10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา

หลายคนกำลังวางแผนเที่ยวอเมริกา โดยมีจุดหมายปลายทาง ที่เที่ยวอเมริกา เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามและน่าทึ่ง (สามารถดูรายละเอียดอุทยานแห่งชาติที่สวยจนต้องไปสัมผัส ได้จากบทความนี้ค่ะ : 5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส) แต่ก็อาจต้องมานั่งกังวลกับอุปสรรคที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าเดินทางไปยังอุทยาน ที่พัก อาหาร อุปกรณ์ ค่าเข้าอุทยาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งหมดอาจเป็นปัญหาที่แท้จริงสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด  Allianz Travel ขอแบ่งปัน 10 เคล็ดลับในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในอเมริกาในราคาประหยัด เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ประหยัดเงินในการเดินทางท่องเที่ยวและสนุกกับทริปเที่ยวอเมริกากันได้อย่างเต็มที่

1. เดินทางในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือช่วงต้นของฤดูท่องเที่ยว

ฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับอุทยานแห่งชาติอเมริกาคือช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเดินทางไปเที่ยวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมธรรมชาติอันสวยงาม แต่นั่นหมายถึงห้องพักและที่ตั้งแคมป์จะเต็มอย่างรวดเร็ว และมีราคาแพง หากเพื่อนๆ ที่ต้องการประหยัดเงินและหลีกเลี่ยงฝูงชน การเดินทางช่วงนอกฤดกาลจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลงและห้องว่างที่มากขึ้น ทำให้เราเพลิดเพลินไปกับความสงบของธรรมชาติ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน เช่น สภาพอากาศที่เย็น หรือมีการปิดเส้นทางและน้ำตกบางแห่งเนื่องจากมีหิมะตก

ที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติในอเมริกา

ดังนั้นจึงควรศึกษาสภาพตามฤดูกาลเพื่อป้องกันเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เสียเวลาและเสียเงินมากยิ่งขึ้น และพึงระลึกไว้ว่าอุทยานบางแห่งมีฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากที่อื่น อุทยานที่อยู่ในเขตที่มีอากาศอบอุ่น อย่างเช่น Death Valley และ Everglades จะคึกคักที่สุดในฤดูหนาว

2. ซื้อบัตรเข้าชมอุทยานแห่งชาติรายปี หรือบัตร America the Beautiful

บัตร America the Beautiful เป็นบัตรผ่านสำหรับเที่ยวพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่อนุรักษ์ และสถานพักผ่อนหย่อนใจของรัฐบาลกลางกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในระยะเวลา 1 ปี

America The Beautiful Card - Annual Pass

บัตรผ่านใบนี้มีราคา 80 เหรียญสหรัฐ ใช้ได้กับผู้ถือบัตรและแขกที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน และสามารถลงลายมือชื่อเป็นเจ้าของบัตรได้ 2 คน ซึ่งแปลว่ายืมกันใช้ได้! เราสามารถซื้อบัตรผ่านได้ที่ด่านทางเข้าอุทยานทุกแห่ง โดยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าต้องการซื้อบัตร America the Beautiful และสามารถจ่ายเงินได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต เจ้าหน้าที่จะเจาะหลังบัตรเพื่อระบุวันที่ซื้อบัตร และให้เราเซ็นหลังบัตรเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของบัตร

ตามปกติค่าเข้าอุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30 เหรียญต่อรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นหากวางแผนที่จะเยี่ยมชมอุทยานมากกว่า 4 ครั้ง บัตรผ่านนี้จะคุ้มค่าและประหยัดเงินเป็นอย่างมาก!

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรรายปีและบัตรประเภทอื่นๆ ที่นี่

3. ลองกางเต็นท์แทนที่จะอยู่โรงแรมในอุทยานแห่งชาติ

หากวางแผนที่จะพักค้างคืนในอุทยานแห่งชาติ การกางเต๊นท์เป็นตัวเลือกที่ดีและถูกที่สุด เพราะพื้นที่ตั้งแคมป์ในอุทยานแห่งชาตินั้นมีราคาไม่แพงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับที่พักภายในอุทยาน ส่วนใหญ่ค่าเช่าพื้นที่จะมีตั้งแต่ 18 ถึง 35 เหรียญ ขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ และเมื่อเทียบราคากับโรงแรมในอุทยานแห่งชาติซึ่งอาจมีราคาหลายร้อยดอลลาร์

camping in national park

แต่พื้นที่ตั้งแคมป์มักเต็มในช่วงฤดูท่องเที่ยว คุณควรจองสถานที่ทางออนไลน์ล่วงหน้า โดยเฉพาะถ้าจะไปอุทยานแห่งชาติที่เป็นที่นิยม และถ้าอยากให้ประหยัดมากยิ่งขึ้น อุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีพื้นที่สาธารณะที่สามารถกางเต็นท์ได้ฟรี (แต่อาจไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ หรือห้องอาบน้ำ) หากคุณเลือกที่จะตั้งแคมป์ในที่สาธารณะ คุณต้องปฏิบัติตามกฎ Leave No Trace หรือการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และเรียนรู้วิธีขุดหลุมเข้าส้วมกลางป่าไว้ด้วย

campsites

หากคุณต้องการพักในโรงแรม หรือตัวเลือกอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับงบประมาณ อยากเช่น เลือกจองที่ตั้งแคมป์ของเอกชนในบริเวณใกล้เคียง โมเต็ลราคาไม่แพงที่อยู่นอกอุทยานแห่งชาติหลายแห่งรองรับนักท่องเที่ยว เป็นต้น

4. หาเช่าหรือซื้ออุปกรณ์ตั้งแคมป์มือสอง

หากคุณยังไม่เคยเดินป่าหรือตั้งแคมป์ ก็ยังไม่ควรที่จะใช้เงินจำนวนมากไปกับอุปกรณ์ใหม่ๆ อย่างเช่น กระเป๋าเป้ ไฟ เต็นท์ เตา และอื่นๆ สำหรับการเดินทางไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเป็นครั้งแรก ทางที่ดีและประหยัดก็คือหาซื้ออุปกรณ์มือสองหรือจะเป็นการเช่าก็ได้ ตรวจสอบร้านค้าและเว็บไซต์มือสอง เช่น Craigslist, Amazon และ eBay หรือโพสต์คำขอบน Freecycle เพื่อค้นหาผู้คนที่นำอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมเดินป่าที่ไม่ต้องการใช้แล้วมาแจกให้ฟรี มีหลายคนที่ลองมาตั้งแคมป์ และพบว่าพวกเขาไม่คุ้นชินกับความไม่สะดวกสบายในการนอนเต็นท์ และการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้อย่างไม่ระมัดระวังเป็นวิธีง่ายๆ ในการประหยัดเงิน

Camping Equipment - Second Hand

บางครั้งการตั้งแคมป์จะต้องลงทุนในอุปกรณ์การตั้งแคมป์ เช่น เต็นท์และถุงนอน เคล็ดลับที่ดีคือการหยิบยืมอุปกรณ์สำหรับการเดินทางจากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว หรือมองหาอุปกรณ์ตั้งแคมป์ลดราคาตามเว็บไซต์หรืองานแฟร์ต่างๆ

5. เตรียมอาหารไปทำทานเอง

การทำอาหารเองเพื่อนำไปรับประทานระหว่างวันในอุทยานแห่งชาติช่วยประหยัดเงินได้มาก โดยเฉพาะหากเดินทางกันเป็นครอบครัว สถานที่ตั้งแคมป์ส่วนใหญ่จะมีเตาปิ้งย่างที่สามารถปรุงอาหารได้

Cooking when camping

และหากวันนั้นมีแผนที่จะไปเดินเขาหรือปีนเขา การเตรียมแซนวิชไว้ล่วงหน้านั้นเหมาะสำหรับการรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทิวทัศน์ที่สวยงาม เพราะราคาอาหารในร้านค้าที่ตั้งอยู่ในอุทยานมักจะมีราคาแพงกว่าร้านอาหารในเมืองใกล้เคียง นอกจากจะประหยัดเงินค่าอาหารแล้ว ยังสร้างความทรงจำที่ดีรอบกองไฟในช่วงมื้อเย็นอีกด้วย

Camping Cooking

6. เตรียมของใช้ให้พร้อมก่อนเดินทาง

อุทยานแห่งชาติหลายแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ของแทบทุกอย่างมีราคาสูงกว่าละแวกในเมือง ดังนั้นควรเตรียมซื้อของใช้จำเป็นให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปยังอุทยาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองเพื่อซื้อครีมกันแดด แบตเตอรี่ สเปรย์กันแมลง อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และสิ่งจำเป็นอื่นๆ

Camping Equipment

นอกจากนี้อาหารในบริเวณอุทยานยังมีราคาแพงกว่าและบางครั้งก็หาซื้อได้ยาก ดังนั้นควรเตรียมของว่าง เครื่องดื่ม และแม้แต่อาหารมาด้วย เพียงต้องแน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของอุทยานสำหรับการจัดเก็บอาหารและการกำจัดของเสีย ไม่มีใครอยากให้หมีเปิดตะกร้าปิกนิกของคุณอย่างแน่นอน

7. เลือกเดินทางในวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรี

คุณรู้หรือไม่ว่าอุทยานแห่งชาติอเมริกาจะมีวันที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าในแต่ละปี ซึ่งรวมถึงการเข้าอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ โบราณสถาน และวนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ รวมกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ วันเข้าฟรีเป็นโอกาสที่ดีในไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป หรือไปที่ที่เราชื่นชอบและอยากไปอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทยานแห่งชาติที่มีการเก็บค่าเข้า การยกเว้นค่าเข้าไม่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกหรือค่าธรรมเนียมสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น การตั้งแคมป์ การปล่อยเรือ ค่าล่องเรือ ค่าเดินทาง หรือทัวร์พิเศษของแต่ละสถานที่

Choose date for planning to travel

ทั้งนี้ การเข้าฟรีก็จะหมายถึงผู้คนจำนวนมาก การจราจรที่คับคั่ง และพื้นที่ส่วนกลางก็อาจเต็มไปด้วยผู้คนอีกด้วย

ตัวอย่างวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรีสำหรับปี พ.ศ. 2565:

17 มกราคม วันเกิดมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

16 เมษายน: วันแรกของสัปดาห์อุทยานแห่งชาติ

4 สิงหาคม: วันครบรอบการออกกฎหมาย Great American Outdoors Act

24 กันยายน วันพื้นที่สาธารณะแห่งชาติ (National Public Lands Day)

11 พฤศจิกายน: วันทหารผ่านศึก

เช็ควันเข้าฟรีอุทยานแห่งชาติก่อนวางแผนการเดินทางได้ที่นี่

8. อย่าพลาดโอกาสในการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน

สิ่งแรกที่คุณควรทำหลังจากเข้าไปในอุทยานคือไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากบางครั้งเส้นทางต่างๆ ในอุทยานมักถูกปิดด้วยเหตุผลด้านการบำรุงรักษาหรือความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาได้ด้วยการบอกคุณว่าพื้นที่ใดหรือเส้นทางใดที่ปิดในวันนั้น

เจ้าหน้าที่อุทยาน

คุณไม่จำเป็นต้องขับรถหนึ่งชั่วโมงไปยังจุดหมายปลายทางเพียงเพื่อที่จะเห็นว่ามันปิด เจ้าหน้าที่ยังช่วยให้คำปรึกษาในสิ่งที่คุณสนใจได้ อย่างเช่น แนะนำเส้นทางเดินเขาไปยังจุดชมวิวที่ดีที่สุด เป็นต้น นี่คือคำแนะนำที่คุณจะได้รับโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

9. มองหาที่เที่ยวในอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (National Monument)

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียง เช่น เยลโลว์สโตน โยเซมิตี แกรนด์แคนยอน และเกลเชอร์ แต่ไม่คุ้นเคยกับอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่อาจจะเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับงบประมาณของคุณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติหลายแห่งมีภูมิประเทศที่สวยงามน่าประทับใจ รวมถึงมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ที่อยู่อาศัยบนหน้าผาของชนพื้นเมือง และลักษณะที่น่าสนใจอื่นๆ

Lincoln Memorial

อกจากนี้คุณจะเห็นผู้คนจำนวนครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าที่คุณพบในอุทยานแห่งชาติ มีค่าเข้าที่ถูกกว่า (หรือไม่มีเลย) และที่ตั้งแคมป์ฟรีหรือไม่แพง อย่างเช่น อนุสรณ์สถานวอชิงตันและลินคอล์นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (ฟรี) หรือ Natural Bridges ในรัฐยูทาห์ ที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน (ค่าเข้า 20 เหรียญต่อคัน) Castillo de San Marcos ในเมืองเซนต์ออกัสติน รัฐฟลอริด้า (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไป) หรือ Fort McHenry ในบัลติมอร์ (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่) สถานที่เหล่านี้ก็มีจุดน่าสนใจให้สำรวจหลายร้อยแห่ง ดังนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องไปหาจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สุด (ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้คนแออัดและราคาแพงที่สุด)

ค้นหาอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ตามรัฐต่างๆ ได้ที่นี่

10. เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติที่ไม่เก็บค่าเข้า

อุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาทำให้เราได้เข้าถึงความงามทางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุดที่เราจะพบได้ทุกที่ อุทยานแห่งชาติหลายแห่งเรียกเก็บค่าเข้าชมเพื่อช่วยจ่ายค่าบำรุงรักษาพื้นฐานและเงินเดือนพนักงาน (ยกเว้นบางวันที่เปิดให้เข้าฟรีเป็นพิเศษ เช็คที่นี่)

แต่ถ้าคุณเดินทางแบบประหยัด ยังมีบางแห่งที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าแม้แต่บาทเดียว นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในราคาประหยัด! ลองดูลิสต์ที่ Allianz Travel เอามาให้ดูดังต่อไปนี้

(1) Redwood National Park รัฐแคลิฟอร์เนีย

Redwood National Park

(2) New River Gorge National Park รัฐเวสต์เวอจิเนีย

(3) Biscayne National Park รัฐฟลอริดา

(4) Great Basin National Park รัฐเนวาดา

Great Basin National Park
ขอบคุณรูปภาพจาก : Visit The USA

(5) Congaree National Park รัฐเซาธ์แคโรไลนา

(6) Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

Kenai Fjords National Park
Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

(7) Great Smoky Mountains National Park รัฐนอร์ธแคโรไลนา และรัฐเทนเนสซี่

(8) Cuyahoga Valley National Park รัฐโอไฮโอ

(9) North Cascades National Park รัฐวอชิงตัน

วัตถุประสงค์ของการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติคือการออกไปสัมผัสธรรมชาติกลางแจ้งและเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางไปยัง ที่เที่ยวอเมริกา ในสถานที่ต่างๆ เราควรต้องค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว/ที่ตั้งแคมป์/เส้นทางยอดนิยมที่สุด รู้ล่วงหน้าดีกว่าผิดหวังเมื่อไปถึง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางของคุณเมื่อคุณไปถึงที่นั่น เพื่อให้การผจญภัยในอุทยานแห่งชาติของเราสนุก คุ้มค่า และราคาไม่แพง

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวลอีกอย่างหนึ่งก็คือประกันการเดินทาง เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น อย่าให้เงินที่เราตั้งใจจะประหยัดในการเดินทาง ต้องมาจ่ายให้กับเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดดังกล่าว

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้* ประกันการเดินทาง Dance Moves มีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : nps.gov, bearfoottheory.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

อเมริกาเป็นประเทศขนาดใหญ่ ที่นอกจากเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวที่มีสถานที่สวยงามมากมาย ที่รอให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ไปสัมผัส ถึงแม้จะใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 20 ชั่วโมง (หรือมากกว่า) แต่ถ้าได้ไปถึงแล้วก็นับว่าคุ้มค่ากับการนั่งเครื่องบินมากๆ ค่ะ ทุก ที่เที่ยวอเมริกา เราจะได้พบกับความหลากหลายของสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ถนนสายชอปปิ้งในมหานครใหญ่ แลนด์มาร์คสุดปังที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และอื่นๆ อีกมากมาย วันนี้ Allianz Travel จะพาสายธรรมชาติไปเที่ยวอเมริกา ผ่าน 5 อุทยานแห่งชาติในอเมริกา ที่สวยจนครั้งหนึ่งต้องไม่พลาดที่จะไปสัมผัสสักครั้ง มาให้เพื่อนๆ ใส่ไว้ในลิสต์กันก่อนค่ะ

อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา Yosemite National Park

1. อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติต้องไม่พลาดไปชมอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี หนึ่งในสถานที่ ที่เที่ยวอเมริกา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และมีพื้นที่กว้างใหญ่เกือบ 1,200 ตารางไมล์ ที่รวมสถานที่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย เช่น น้ำตกสูงตระหง่าน ต้นเซควาญา (Sequoia) อายุนับพันปี หน้าผาที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา และหินรูปร่างแปลกตา เส้นทางเดินป่าแบบไปเช้าเย็นกลับในอุทยานที่นำทางโดยไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ เป็นต้น

อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Yosemite Valley – หุบเขาโยเซมิตีเหมาะสำหรับผู้ที่มาที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีเป็นครั้งแรก นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโยเซมิตีที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนศูนย์นักท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้า จุดชมวิว พื้นที่ปิกนิก และเส้นทางเดินป่าแบบไม่ยากนัก 
  • Tunnel View – จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด วิวบริเวณนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของโยเซมิตีที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดี คุณจะได้เห็นไฮไลท์ของหุบเขาโยเซมิตีได้เกือบทั้งหมด ทางด้านซ้ายเป็นภูเขาหินขนาดยักษ์ EL Capitan ด้านขวาเป็นน้ำตกที่สวยงาม Bridalveil Falls และที่เห็นไกลๆ คือเขารูปโดม Half Dome ที่อยู่ท่ามกลางป่าสีเขียวที่เปลี่ยนเป็นสีส้มเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
  • Glacier Point – อีกหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดและครอบคลุมที่สุดในโยเซมิตี คุณสามารถมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาโยเซมิตีแบบพาโนรามา ตลอดจนสถานที่สำคัญอย่างน้ำตกโยเซมิตีและฮาล์ฟโดม ที่นี่สามารถขับรถเข้าถึงได้ เหมาะกับคนที่ไม่อยากปีนป่ายมากนัก หรือผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับเด็ก
  • Half Dome – ภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงคล้ายโดม คุณสามารถมอง Half Dome แบบไกลๆ ได้จาก Tunnel View แต่ถ้าอยากเห็นชัดๆ ต้องไปที่ Glacier Point นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของนักปีนเขาเพราะความชันเกือบตั้งฉากเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณกลัวความสูงหรือสภาพร่างกายไม่แข็งแรง คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินแบบสั้นไปยังน้ำตกเนวาดาก็ได้
     
  • Bridalveil Falls – น้ำตก Bridalveil ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าทิศตะวันตกของโยเซมิตี มีความสูงถึง 188 เมตร (ประมาณตึก 60 ชั้น) คุณสามารถเดินไปที่น้ำตกได้โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที เป็นการเดินป่าแบบสบายๆ ที่เหมาะกับครอบครัวพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงาม ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อน ละอองน้ำจะแรงที่สุดเนื่องจากหิมะละลาย คุณจึงสามารถสัมผัสได้ถึงหมอกขณะชมน้ำตก 

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนพฤษภาคมและกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่คนไม่แออัดจนเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องรู้ไว้ก่อนคือถนนและเส้นทางต่างๆ ในโยเซมิตีปิดให้บริการเกือบทั้งปีเนื่องจากหิมะตก หิมะจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนตุลาคมและตกหนักในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งโดยทั่วไปจะยังคงอยู่จนถึงเดือนมีนาคม ถนนและเส้นทางที่ปิดตามฤดูกาลทั้งหมดจะเริ่มเปิดในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นผลให้เส้นทางเดินป่าเต็มไปด้วยผู้คน การจราจรบนถนนคับคั่ง และอัตราค่าโรงแรมมีราคาแพงมาก

2. อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนนับเป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอเมริกา มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้างครอบคลุมรอยต่อของ 3 รัฐ คือรัฐไวโอมิง รัฐมอนทานา และรัฐไอดาโฮ ภูมิประเทศจะมีทั้งที่ราบ ภูเขาสูงชัน หน้าผา ทะเลสาบ บ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อน ที่เที่ยวอเมริกา แห่งนี้นับว่าเป็นความน่ามหัศจรรย์ที่มาพร้อมกับความสวยงาม และความหลากหลายทางพันธุกรรมที่คุณต้องมาสัมผัสดูสักครั้งในชีวิต และด้วยความที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนมีขนาดที่ใหญ่มากคุณจึงควรจะวางแผนการเที่ยวประมาณ 3-7 วันไปเลย เพื่อให้เที่ยวได้ครบและครอบคลุมจริงๆ

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Old Faithful – น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ปะทุน้ำเดือดจากพื้นดินสู่อากาศได้สูงถึง 55 เมตร เกิดขึ้นบ่อยครั้งเฉลี่ยทุก 30-110 นาที ครั้งหนึ่งจะกินเวลาประมาณ 1-5 นาที บริเวณนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเดินเทรคกิ้งหลายแห่ง โดยเส้นทางที่แนะนำคือเส้นทาง 2.25 กิโลเมตร (1.4 ไมล์) ที่พาเดินไปยังสระน้ำร้อน Morning Glory Pool ที่มีสีสันสวยงามอีกแห่งหนึ่ง
  • Grand Canyon of the Yellowstone – เป็นหุบเหวที่มีมีความยิ่งใหญ่ ยาวประมาณ 32 กิโลเมตร ลึกปะรมาณ 240-360 เมตร ที่เกิดจากการแยกตัวของพื้นโลกอันมีสาเหตุมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และน้ำแข็งไหลเลื่อนในยุคที่น้ำแข็งละลาย ด้านล่างมีแม่น้ำเยลโลว์สโตนไหลผ่าน จากจุดนี้คุณจะได้เห็นความสวยงามจากมุมสูง ความสลับซับซ้อนของภูเขาสูงมากมายและรรมชาติที่อยู่รอบตัว
  • Grand Prismatic Spring – บ่อน้ำพุสีรุ้งเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก สีสันสวยงามโดดเด่นไล่ตั้งแต่สีเข้มไปจนถึงอ่อน เริ่มจากตรงกลางเป็นสีฟ้า ถัดมาเป็นสีเขียวมรกต เหลือง ส้ม และแดง เป็นสีที่เกิดจากการรวมตัวอย่างแน่นหนาของแบคทีเรีย สาหร่ายและพืชเซลล์เดียวที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงได้ ซึ่งในแต่ละฤดูจะมีสีที่แตกต่างกันค่ะ
  • Hayden Valley – หนึ่งในสถานที่ที่สายชมสัตว์ป่าชอบกันมาก เพราะทุ่งหญ้ากลางหุบเขาเฮย์เดน เป็นสถานที่อยู่อาศัยตามะรรมชาติของเหล่ากระทิง กวางเอลค์ ความไบซัน หมีกริซลี่ และนกมากมายหลายชนิด เพื่อให้มองเห็นสัตว์ได้ดีขึ้น คุณควรพกล้องส่องทางไกลมาด้วย และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากสัตว์
  • Mammoth Hot Springs – บ่อน้ำร้อนที่เกลือของกรดคาร์บอนตกตะกอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณโดยรอบของบ่อน้ำพุเต็มไปด้วยไอร้อนของน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาตามพื้นผิว จุดเด่นของบ่อน้ำพุร้อนแมมมอธคือมีลักษณะเป็นน้ำตกหินปูนขนาดมหึมา และมีบันไดลดหลั่นหลายชั้น ซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะน้ำพุร้อนเย็นลงในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่สภาพอากาศปานกลาง ผู้คนยังไม่มากนัก และมีการปิดถนนเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นเดือนที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่เด็กๆ ปิดเทอม และอากาศก็อบอุ่นพอที่จะกางเต็นท์นอนข้างนอกได้ อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในบริเวณที่สูงชันก็สามารถลดต่ำลงจนต่ำกว่า 0 องศาในช่วงฤดูร้อนได้

3. อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งล้านเอเคอร์ซึ่งเต็มไปด้วยยอดเขาหินขรุขระ ธารน้ำแข็งมโหฬาร ทุ่งหญ้าอัลไพน์ และทะเลสาบใสดั่งคริสตัล มีเส้นทางเดินป่ามากมายให้กับนักผจญภัยทุกระดับตั้งแต่ผู้เดินป่าเพื่อสันทนาการไปจนถึงนักเดินป่าที่มีประสบการณ์ อีกทั้งยังมีวิวตระการตาและคุณจะมีโอกาสได้เห็นดอกไม้ป่าและแพะภูเขาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีบริเวณตั้งแคมป์ซึ่งมีให้เลือกถึง 13 จุด หรือจะพักในกระท่อมหรือชาเลต์ของอุทยานแห่งชาติก็ได้

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • ถนน Going-to-the-Sun – ถนนที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา มีความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นถนนเส้นหลักของอุทยานเริ่มตั้งแต่ทางเข้าอุทยานที่เวสต์เกลเชอร์ ไปจนถึงทะเลสาบเซนต์แมรี่ ลัดเลาะไปตามไหล่เขาและหน้าผา ผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และผ่านภูมิประเทศเกือบทุกประเภทที่อุทยานมี ตั้งแต่ทะเลสาบน้ำแข็ง น้ำตก และป่าสนซีดาร์ไปจนถึงยอดเขาอัลไพน์ จุดสูงสุดของถนนคือ Logan Pass ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,036 เมตร ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากและเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าต่างๆ มีสัตว์ป่ามาเดินเยอะมาก ลานจอดรถจะเต็มราว 9 โมงเช้า ดังนั้นต้องตื่นแต่เช้ามากเพื่อมาเริ่มต้นที่นี่
     
  • Trail of the Cedars – เส้นทางเดินป่าระยะสั้นยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ถนน Going-to-the-Sun ทางเดินยกระดับตัดผ่านป่าซีดาร์แดงที่มีกลิ่นหอม แต่ไฮไลท์อยู่ที่จุดกึ่งกลางที่มีสะพานลอยเหนือ Avalanche Creek พร้อมทิวทัศน์อันสวยงามของช่องเขาและน้ำตกที่สวยงาม เราแนะนำให้มาในตอนเช้าหรือตอนบ่ายแก่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จอดรถที่แออัด
     
  • Red Bus Tour – ทัวร์รถบัสสีแดงอันเลื่องชื่อของอุทยานเกรเชีย เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากขับรถเองตามทางสูง แต่ก็อยากชมวิว รถบัสเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงช่วงทศวรรษที่ 1930 และมีหลังคาผ้าใบแบบม้วนกลับทำให้เราเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของภูมิทัศน์โดยรอบ นอกจากนี้ รถบัสแต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 17 คน

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นช่วงพีคของนักท่องเที่ยว มีอุณหภูมิเฉลี่ยในตอนกลางวันเฉลี่ยประมาณ 26 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะลดต่ำลงไปถึงประมาณ 0-5 องศาเซลเซียส (ควรเตรียมเสื้อไปหลายชั้น และเสื้อกันฝนที่มีคุณภาพดี) คุณอาจเห็นหิมะในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมบนที่สูง ด้านตะวันออกของอุทยานมีอากาศเย็นและมีลมแรงกว่าฝั่งตะวันตก ด้านตะวันออกก็แห้งแล้งเช่นกัน ในขณะที่หุบเขาทางทิศตะวันตกมีฝนตกมากที่สุด แม้ว่าราคาที่พักและค่าเข้าอุทยานจะสูงขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการและบริการรถรับส่งฟรี นอกจากนี้ คุณยังจะได้สัมผัสกับการปิดถนนและเส้นทางเดินน้อยกว่าในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์เปิด 365 วันต่อปี

4. แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

อีกหนึ่ง ที่เที่ยวอเมริกา ที่หลายคนอยากไปสัมผัสสักครั้ง นั่นก็คือ “แกรนด์แคนยอน” โดยแกรนด์แคนยอนนั้นถือกำเนิดมาจากการที่แม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านและกัดเซาะชั้นหินในบริเวณนี้เป็นเวลาหลายล้านปีซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทางธรณีวิทยาตามธรรมชาติ ความงามที่โดดเด่น สีสันน้ำตาลแดงและสีแบบทะเลทราย และภาพพระอาทิตย์ตกอันสวยงาม ล้วนแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจากทั่วโลก โตรกผาแกรนแคนยอนยาวถึง 446 กิโลเมตร กว้าง 29 กิโลเมตร และบางจุดลึกถึง 1.8 กิโลเลยทีเดียว และเนื่องจาก
แกรนด์แคนยอนมีขนาดใหญ่มาก ตัวอุทยานจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ North Rim และ South Rim

แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • South Rim – อยู่ด้านใต้ของแกรนด์แคนยอน และเป็นด้านที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของศูนย์นักท่องเที่ยว ที่มีทั้งข้อมูลที่มีประโยชน์ โบรชัวร์ การจัดแสดงที่นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ ธรณีวิทยา และชีวิตสัตว์ป่าที่น่าสนใจของพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยวที่ด้านนี้ของแกรนด์แคนยอน ได้แก่ หมู่บ้านแกรนด์แคนยอน เส้นทางเซาท์ไคบับ เส้นทางไบร์ทแองเจิล เส้นทาง
    มาเธอร์พอยต์ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยายาวาปาย และอีกมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจพื้นที่ที่สวยงามและเส้นทางเดินป่าทางด้านใต้ของหุบเขาลึกด้วยการเดินเท้า หรือใช้บริการทัวร์แบบมีไกด์
  • Mather Point – ตั้งอยู่ใน South Rim เป็นจุดแรกที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเมื่อมาถึงแกรนด์แคนยอน อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวโดยใช้เวลาเดินเพียง 5 นาที คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันโดดเด่นของหน้าผาและเส้นทางเดินเลียบเขาด้านล่าง หากสภาพอากาศเหมาะสมจะมองเห็นไกลถึง 50 กิโลเมตรทางทิศตะวันออก และ 95 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันตก เหมาะกับการไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกเหนือหุบเขา
  • North Rim – อยู่ด้านเหนือของแกรนด์แคนยอน เหมาะสำหรับคนชอบความแปลกใหม่ หรือชอบการเดินเขา ปีนเขา ไปยากกว่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่าฝั่งใต้ แต่หลายคนเชื่อว่ามีมุมมองที่น่าสนใจมากกว่า บริเวณนี้มีสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกจนไม่สามารถเข้าไปได้
     
  • Bright Angel Point – หนึ่งในจุดที่สวยที่สุดของ North Rim และไม่ไกลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ระยะทางประมาณกิโลเศษๆ) สามารถมองเห็น South Rim ที่อยู่ต่ำกว่าประมาณ 1,000 ฟุตได้
  • Point Imperial – จุดที่สูงที่สุดของแกรนด์แคนยอนฝั่งเหนือ ที่สามารถมองเห็นวิวแกรนด์แคนยอนฝั่งตะวันออก โตรกผา แม่น้ำโคโลราโด และบางส่วนของทะเลทราย Painted Desert ด้วย
  • Cape Royal – หนึ่งในจุดที่สามารถมองเห็นวิวพาโนรามาของแกรนด์แคนยอนได้ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 36.8 กิโลเมตร

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมแกรนด์แคนยอนคือมีนาคมถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศเย็นในตอนกลางวันและมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ถ้าคุณตัดสินใจไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ที่เป็นช่วงพีคของอุทยาน ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากและที่พักมีจำกัดด้วยค่ะ ช่วงฤดูหนาวยังพอเที่ยวได้ แต่พื้นที่บริเวณ North Rim จะปิดให้บริการหลังจากหิมะตกครั้งแรก ในขณะที่ South Rim เปิดให้บริการตลอดทั้งปี

5. อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

คำว่า Zion เป็นคำในภาษาฮิบรูโบราณ หมายถึง สถานที่หลบลี้ภัย เป็นอุทยานที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ มีพื้นที่ประมาณ 593 ตารางกิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตร์ของอุทยานแห่งชาติไซออนจะมีลักษณะเป็นผาและแคนยอนที่มีความลึกประมาณ 800 เมตรและยาว 24 กิโลเมตร แคนยอนจะมีหน้าผาเป็นสีแดงสลับกับสีออกน้ำตาลซึ่งเป็นสีของหินทรายนาวาโฮซึ่งเกิดการกัดกร่อนโดยแม่น้ำเวอร์จิ้น จุดต่ำสุดของอุทยานอยู่ที่ 3,666 ฟุตที่ Coalpits Wash และจุดสูงที่สุดคือ 8,726 ฟุต ซึ่งคือภูเขา Horse Ranch ตั้งอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของที่ราบสูง Colorado The Great Basin และทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert) อุทยานแห่งชาติที่นี่มีทัศนียภาพที่โดดเด่นและเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์ที่เติบโตและอาศัยอยู่บริเวณนี้

อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Zion Canyon หรือหุบเขาไซออน – มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร และลึกประมาณ 800 เมตร มีความงดงามของทัศนียภาพหน้าผาหินทรายที่ตั้งสูง 2,000 ถึง 3,000 ฟุตจากพื้นหุบเขาลึก และกิจกรรมเดินป่าไปตามเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยม
  • The Narrows – ช่องแคบที่แคบที่สุดของ Zion Canyon และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอุทยาน โดยการเดินลุยน้ำเข้าไปในช่องเขาเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร ได้ความรู้สึกว่าถูกโอบกอดด้วยเขาสูงทั้งสองข้าง ผู้ที่จะเดินเข้าไปต้องเตรียมอุปกรณ์ในการเดินลุยน้ำ เช่น รองเท้าแตะแบบรัดส้นเท้าที่ทนน้ำ และต้องมีวางแผนการเดินทางดี ๆ หากต้องการเดินลุยน้ำในช่องแคบนี้ และบางช่วงต้องระวังน้ำป่าหลากมากเป็นพิเศษ
  • Angels Landing – สันเขาสูง 460 เมตรเหนือพื้นหุบเขา เพื่อชมทิวทัศน์แบบ 360 องศาของหุบเขาไซออน ผ่านเส้นทางไต่เขาครึ่งวันสู่ทางคดเคี้ยว 27 โค้ง
  • Kolob Arch – ซุ้มประตูโค้งธรรมชาติที่ยาวที่สุดเป็นอันดับหกของโลก โดยเข้าถึงได้จากเส้นทางเดินป่าที่มีระยะทางประมาณ 11 กม. หรือเข้าจาก Ice Box Canyon ซึ่งเป็นเส้นทางล่องแก่ง
  • The Subway – เป็นที่รู้จักในชื่อ Left Fork of North Creek ตามชื่ออุโมงค์รถไฟใต้ดินที่คล้ายคลึงกัน ลักษณะเป็นเส้นทางเดินป่าในช่องหุบเขาระหว่างสองยอดเขาเหนือ-ใต้ของการ์เดียน แองเจิล คุณจะตื่นตาไปกับหุบเขาเว้าแหว่งแปลกตาและมีความสวยงาม เหมาะสำหรับนักปีนเขาที่มีประสบการณ์เท่านั้น

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน สภาพอากาศกำลังสบาย และเป็นช่วงที่มีรถรับส่งฟรีของอุทยาน ในขณะที่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ถือเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวของอุทยาน ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวน้อย แต่สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง เช่น Narrows และ Angels Landing อาจหนาวเกินกว่าจะสนุกกันได้อย่างเต็มที่

อยากเที่ยวต้องได้เที่ยว! เพื่อนๆ สายเที่ยวที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเริ่มคันไม้คันมืออยากแพคกระเป๋าเตรียมตัวเที่ยวอเมริกากันแล้ว ก่อนออกเดินทางไปไกล ต้องมีการวางแผนที่ดี ยิ่งไปยังประเทศที่ห่างไกลจากเมืองไทยมากๆ อย่างสหรัฐอเมริกาก็ยิ่งต้องเตรียมตัวมากขึ้น ทั้งกิจกรรมมากมายในแต่ละเมืองที่อาจทำให้เราสนุกจนลืมเวลา Time zone ที่ต่างกันเป็นวันไปได้เลย

และถ้าอยากให้ทริปเที่ยวอเมริกาสนุกแบบไร้กังวล ชีวิตไม่สะดุด สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมติดตัวไว้ก็คือประกันภัยการเดินทาง เพราะเหตุฉุกเฉินหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยอาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน* ยิ่งค่ารักษาพยาบาลในอเมริกาก็เป็นที่รู้กันว่าแพงมาก เราก็ต้องยิ่งต้องมีประกันภัยเดินทางติดตัวไว้นะคะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่ 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : U.S. News – Travel

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 อาหารเกาหลียอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

10 อาหารเกาหลี ยอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

เกาหลีใต้ หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เหล่าสาวกเกาหลีคงเริ่มวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวเกาหลีกันแล้ว ยิ่งถ้าใครติดตามซีรีย์เกาหลี ก็คงต้องอินกับ อาหารเกาหลี เมนูต่างๆ ที่มีทั้งในฉากรับประทานอาหาร หรือฉากทำกับข้าว จนหลายคนต้องกับหัดทำหรือตามรอยไปหาที่ชิมกัน และยิ่งถ้ามีโอกาสได้เดินทางไปถึงเกาหลี แล้วยิ่งต้องจัดให้ได้! 

วันนี้ Allianz Travel จัด 10 อาหารเกาหลี เมนูเด็ดที่สายกินห้ามพลาด มาให้เพื่อนๆ ได้เก็บไว้ในลิสต์ตามชิม หากได้ไปเยือนเกาหลีกันค่ะ

1. กิมจิ

อาหารเกาหลี กิมจิ

อาหารหรือเครื่องเคียงที่อยู่คู่กับชาวเกาหลีมานานกว่า 2,000 ปี มีจุดเริ่มต้นจากสภาพอากาศของเกาหลีในฤดูหนาวที่หนาวจัดจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ จึงต้องใช้วิธีการดองเพื่อยืดอายุอาหาร ซึ่งก็คือกิมจินั่นเอง และในปัจจุบันกิมจิได้รับความนิยมในการกินมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเครื่องเคียงที่นิยมกินคู่กับอาหารต่างๆ โดยเฉพาะการกินอาหารประเภทปิ้งย่าง

2. บิบิมบับ

อาหารเกาหลี บิบิมบับ

เมนูข้าวยำจานเด็ดของเกาหลีที่ไม่ควรพลาด มีเสริฟอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหาร ฟู้ดคอร์ท หรือแม้แต่ตามสตรีทฟู้ด บิบิมบับจะสามารถเลือกรับประทานได้ว่าจะใส่เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเน้นผัก แต่ส่วนประกอบที่สำคัญของบิบัมบับจะมี ข้าวสวยร้อนๆ ผักต่างๆ และไข่ดิบ

3. ซัมกยอบซัล

อาหารเกาหลี ซัมกยอบซัล

หมูสามชั้นย่างที่หมักด้วยซอสสูตรพิเศษทำให้ซัมกยอบซัลมีรสชาติที่อร่อย นุ่ม กลอมกล่อม นิยมทานคู่กับผักหลากหลายชนิด พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ และมีน้ำจิ้มสำหรับทานคู่กันคือซัมจัง

4. บูลโกกิ

อาหารเกาหลี บูลโกกิ

เมนูเนื้อย่างหรือผัดสไตล์เกาหลี จุดเด่นคือตัวเนื้อจะถูกหมักด้วยซอส น้ำมันงา และเครื่องปรุงอื่นๆ ทำให้เนื้อมีความนุ่ม หวาน หอม อร่อย สามารถทานคู่กับข้าวร้อนๆ หรือห่อผักและทานคู่กับน้ำจิ้มก็ได้

5. ต๊อกบกกี

อาหารเกาหลี ต๊อกบกกี

อาหารที่อยู่คู่กับวงการสตรีทฟู้ดของเกาหลีมาอย่างเนิ่นนาน คือการนำคาแรต็อก (แป้งเค้กข้าว) หรือที่รู้เราทุกคนจะคุ้นหูว่า “แป้งต๊อก” ไปผัดกับซอสเกาหลีสีแดง มีรสชาติเผ็ด หวาน อร่อย มีเอกลักษณ์พร้อมใส่ปลาแผ่น และผักเล็กน้อย ซึ่งในบางร้านจะใส่ไข่ต้มหรือเส้นรามยอนลงไปอีกด้วย

6. ไก่ทอดเกาหลี

ไก่ทอดเกาหลี

เมนูที่กำเนิดจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามเกาหลี ถึงหน้าตาจะดูเหมือนไก่ทอดธรรมดา แต่จะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละร้านไม่ซ้ำกัน โดยทั่วไปจะคลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดหวาน บางร้านก็จะมีท๊อปปิ้งพิเศษเพิ่มเติมใส่ลงไปด้วย เช่น แป้งต๊อกทอด เฟรนฟราย หรือการราดชีส ซึ่งคนเกาหลีนิยมทานเป็นกับแกล้มกับเบียร์

7. ซัมกเยทัง

อาหารเกาหลี ซัมกเยทัง

หรือก็คือซุปไก่โสม เป็นเมนูที่คนเกาหลีนิยมทานกันช่วงฤดูร้อน (ช่วงเดือน มิถุนายน – ต้นเดือนกันยายน) เพื่อช่วยฟื้นฟูกำลังของร่างกาย ไก่ที่นำมาประกอบเมนูนี้จะเป็นไก่ที่อายุไม่เกิน 45 วัน ยัดใส้ด้วยข้าวเหนียว และสมุนไพรต่างๆ เช่น เกาลัด พุทรา โสม แปะก๊วย

8. บิบิม เนงเมียน

อาหารเกาหลี บิบิม เนงเมียน

บะหมี่เย็นสไตล์เกาหลี ตัวเส้นที่ใช้จะเป็นเส้นยาวบาง ทำจากแป้งผสมบัควีท หรือมันหวาน เสิร์ฟในชามสเตนเลสเย็นๆ คลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดร้อน เป็นเมนูที่ชาวเกาหลีนิยมทานในช่วงฤดูร้อน

9. จาจังมยอน

อาหารเกาหลี จาจังมยอน

บะหมี่ดำเกาหลี ใช้เส้นบะหมี่แบบหนาคล้ายเส้นอุด้ง คลุกเคล้าด้วยซอสที่ทำจากเต้าเจี้ยว ถั่วดำหมัก ผัดกับเนื้อหมูหั่นและผัก นอกจากนี้ จาจังมยอนถือเป็นอาหารที่บ่งบอกถึงความโสด เนื่องจากในวันแบล๊กเดย์หรือวันคนโสดของเกาหลีซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายน เหล่าคนโสดจะพร้อมใจกันรับประทานจาจังมยอนกัน ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีเฉพาะที่เกาหลีที่เดียว

10. จิเก

อาหารเกาหลี จิเก

หรือซุปเกาหลี มีหลากหลายแบบตามประเภทเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไป เช่น เต้าหู้ ไข่ปลา เนื้อปู กิมจิ หรือเนื้อหมู ปรุงรสด้วยโกชูจัง มิโซะหมัก เต้าเจี้ยวหรือกุ้งดองเค็ม นิยมทานเป็นของคั่นกลางระหวางอาหารจานหลัก

ในประเทศเกาหลียังมีอาหารอร่อยอีกมากมายรอให้เพื่อนๆ ได้ไปชิมกัน ใครที่ตามหาอาหารเพื่อตามรอยซีรีส์ที่ชอบ คงสนุกและอิ่มท้องกันนะคะ

และที่สำคัญสำหรับการเดินทางทุกครั้ง เหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ Allianz Travel ขอแนะนำประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า และอื่นๆ อีกมากมาย #DanceMoves จะช่วยให้คุณทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทริปได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://sg.hotels.com/go/south-korea/great-korean-dishes

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

ที่เที่ยวสิงคโปร์

10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ สุดฮิต ที่ไม่ควรพลาด!

สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทย เหล่าช่างภาพ และอินสตาแกรมเมอร์ที่ต้องไปเยือนเพื่อเก็บภาพมาโพสต์ให้เหล่าแฟนคลับได้ดู การเดินทางไปพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน สามารถจัดเป็นทริประยะสั้นเพียงแค่ 1-2 วันหรือไปกลับภายในวันเดียวก็ได้ ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่น่าสนใจมีเป็นจำนวนมาก มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีประวัติความเป็นมา ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศูนย์การค้าสุดหรู แหล่งช้อปปิ้ง และอาหารอร่อยขึ้นชื่อที่ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก วันนี้ Allianz Travel ได้รวม 10 สถานที่ยอดนิยมที่ไม่ควรพลาดหากได้ไปเยือนสิงคโปร์มาให้ผู้ที่มีแผนกำลังจะเดินทางได้เก็บไว้ในเช็คลิสต์กันด้วยค่ะ

1. Jewel Changi Airport

จีเวล ชางงี แอร์พอร์ต (Jewel Changi Airport) ที่เที่ยวสิงคโปร์ ยอดนิยม เป็นอาคารศูนย์การค้าของสนามบินชางงีประเทศสิงคโปร์ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกัน 7 ปี ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลกคือ Moshe Safdie ผู้ออกแบบมารีน่า เบย์ แซนด์สร่วมกับสถาปนิกฝีมือดีอีกมากมาย เป็นอาคารที่เชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสาร 1, 2 และ 3 ส่วนอาคารผู้โดยสารที่ 4 จะมีรถรับส่งมายังอาคาร ลักษณะของอาคารเป็นรูปโดม ประกอบไปด้วยสวนป่า Forest Valley ที่มีน้ำตกในร่มที่สูงถึง 40 เมตรอย่าง The HSBC Rain Vortex และรายล้อมไปด้วยต้นไม้กว่า 2,000 ต้น

Jewel Changi Airport

ภายในสนามบิน Jewel Changi ยังมีโรงภาพยนตร์ 2 แห่ง และส่วนที่ให้ความบันเทิงต่างๆ มีสวนในร่มที่มีเขาวงกตในสวนและจุดชมวิวที่สวยงาม และสไลเดอร์สูง 12 เมตร (ความสูงตึก 4 ชั้น) สามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เว็บไซต์ : https://www.jewelchangiairport.com/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/YHXQH3teGoBwqLij8

2. Merlion Park

สวนสาธารณะขนาดเล็กริมอ่าวมารีน่าเบย์ (Marina Bay) เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเมอร์ไลอ้อน (Merlion) ที่มีหัวเหมือนสิงโต และลำตัวของปลา มีน้ำหนัก 70 ตันและสูง 8.6 เมตร โดยตรงส่วนปากของมันจะมีน้ำพุพ่นออกมา โดยเจ้า Merlion ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำชาติ ของประเทศสิงคโปร์ และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่มีผู้เข้าชมมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี

Merlion Park

สวนสาธารณะ Merlion เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ไม่ว่าคุณจะกำลังถ่ายเซลฟี่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัญลักษณ์หรือถ่ายภาพทิวทัศน์อันงดงามจากสวนสาธารณะเมื่อมองออกไปนอกอ่าว

แผนที่ : https://g.page/merlion-park-singapore?share

3. Marina Bay Sands

Marina Bay Sands คือรีสอร์ทสุดหรูซึ่งเปิดให้เป็นศูนย์กลางการให้บริการอย่างครบวงจร ประกอบไปด้วย โรงแรม ศูนย์การค้า
แบรนด์เนม พิพิธภัณฑ์ ArtScience Museum ร้านอาหารชื่อดัง จุดชมวิวสูงของเมือง รวมไปถึงคาสิโนหรูด้วยค่ะ

Marina Bay Sands

อาคาร Marina Bay Sands มีเป็นลักษณะเหมือนไพ่สามใบเรียงกันโดยมีเรือวางอยู่ด้านบน ซึ่งเรือข้างบนชั้นที่ 57 มีชื่อว่า Sky Park ที่มีสระน้ำสุดหรูแบบ Infinity Pool ไว้คอยให้บริการลูกค้าของโรงแรม นอกจากนี้สระน้ำของ Marina Bay Sands ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสระน้ำลอยฟ้าที่สูงที่สุดในโลกด้วยค่ะ นอกจากนี้ถ้ายืนอยู่ที่จุดชมวิว Sky Park เราสามารถมองเห็นวิวได้ทั่วทั้งเมือง ทั้งสะพานเกลียวคู่ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ท่าเรือ สวน Gardens by the Bay และเส้นขอบฟ้าที่สวยงาม

ความหรูหราสง่างามของ Marina Bay Sands แสดงให้เห็นถึงรูปแบบและสถานะของสิงคโปร์ในฐานะเมืองนานาชาติที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เว็บไซต์ : http://www.marinabaysands.com/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/PA31wnCD3FKgfeZA9

4. Raffles Hotel Singapore

Raffles Hotel Singapore สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2430 ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งสิงคโปร์ ท่านเซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles) และสร้างโดยพี่น้องตระกูลซาร์กีส์ที่รับดูแลผิดชอบโรงแรมหรูหราอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ในยุคอาณานิคม

Raffles Hotel Singapore
ขอบคุณรูปภาพจาก : RAFFLES SINGAPORE

โรงแรมเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้เป็นหนึ่งในโรงแรมของศตวรรษที่ 19 ที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของโลก และเป็นสถานที่สำคัญของเมืองมาเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ และยังคงรักษาชื่อเสียงอันโด่งดังด้วยอาหารและบริการที่เป็นเลิศ สถาปัตยกรรมคลาสสิกและสวนเขตร้อน และเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ที่หลากหลายและยาวนานของสิงคโปร์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงเคยมาพักผ่อน และสร้างสีสันให้กับโรงแรม อย่างเช่น ชาลี แชปลิน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และรัดยาร์ด คิปลิง

เว็บไซต์ : www.raffles.com/singapore

แผนที่ : https://g.page/raffleshotelsingapore?share

5. Gardens by the Bay

Gardens by the Bay เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาที่ดินริมน้ำบริเวณรอบอ่าวมารีนา ใช้เป็นทั้งพื้นที่จัดแสดงงานและพื้นที่สาธารณะสำหรับกิจกรรมต่างๆ กินบริเวณถึง 250 เอเคอร์ (ราว 630 ไร่ ) นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากอ่าวมาที่สวนนี้โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น สวนแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ สวนริมอ่าวทางใต้ สวนริมอ่าวทางตะวันออก และอ่าวกลาง แต่ละส่วนยังแบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่างๆอีก 7 โซน ได้แก่ Flower Dome, Cloud Forest, Supertree Grove, Heritage Gardens, Dragonfly & Kingfisher Lakes, Bay East Garden และ World of Plants

Gardens by the Bay

โซน Supertree Grove เป็นโซนที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด จุดเด่นจะเป็นกลุ่มโครงเหล็กขนาดยักษ์สีชมพูที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มีต้นไม้จำพวกสับปะรดสี เฟินชนิดต่างๆ กล้วยไม้ และไม้เลื้อยหลากชนิด รวมทั้งสิ้น 162,900 ต้น ปลูกเป็นสวนแนวตั้งบนลำต้นสูงขึ้นไปถึง 25-50 เมตร เทียบเท่ากับตึก 9-16 ชั้น เป็นอีกหนึ่งสวนพฤกษศาสตร์ริมอ่าวมารีน่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

บริเวณด้านบนของ Supertree Grove มีการติดตั้งแผ่น Solar Cell เพื่อเก็บพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าในสวน ตอนกลางคืนจะเห็นไฟประดับต้นไม้ยักษ์สวยงาม มีการแสดงแสง สี เสียง นอกจากนี้ยังมี Cloud Forest Dome น้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกซึ่งเราสามารถเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพจากที่นี่ได้

เว็บไซต์ : http://www.gardensbythebay.com.sg/en.html

แผนที่ : https://goo.gl/maps/gJDLK84yzJquRsDH6

6. Singapore Botanic Gardens

สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Botanic Gardens) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1859 โดยสมาคมเกษตรพืชสวน บนพื้นที่ 60 เอเคอร์และได้รับการแปลงโฉมจากพื้นที่เพาะปลูกที่ทิ้งร้างมาเป็นสวนเพื่อการสันทนาการ ส่วนแห่งนี้เป็นสวนแห่งแรกในประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก

Singapore Botanic Gardens

ไฮไลต์ของที่นี่คือ National Orchid Garden (สวนกล้วยไม้แห่งชาติของสิงคโปร์) ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพืชพรรณและกล้วยไม้กว่า 60,000 ต้น กิจกรรมยอดนิยมอื่นๆ ที่นิยมทำเมื่อได้ไปเที่ยวสวนแห่งนี้ คือ การเยี่ยมชมสวนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทะเลสาบเชิงนิเวศ สวนบอนไซ ประติมากรรม และสวนที่เป็นทางการอื่นๆ อีกหลายแห่ง

Singapore Botanic Gardens

เว็บไซต์ : www.nparks.gov.sg/sbg

แผนที่ : https://goo.gl/maps/k7ucskwZYwxJ21WA7

7. Fort Canning Park

สวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิงเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่บนเนินเขาใจกลางตัวเมืองสิงคโปร์ ที่ภายในแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆที่น่าสนใจทั้งทางด้านประวัติศาสตร์, ลานแสดงดนตรี และธรรมชาติอันร่มรื่น อยู่ติดกับ Clark Quay, พิพิธภัณท์แห่งชาติสิงคโปร์(Singapore National Museum) และใกล้กับย่านช้อปปิ้งถนนออชาร์ด(Orchard Road)

Fort Canning Park

แต่เดิมบริเวณภูเขาแคนนิง(Mount Canning)เป็นเขตที่อยู่ของสุลต่านที่ปกครองเกาะสิงคโปร์ ต่อมา Sir Raffles ได้เข้ามายึดครองเกาะและได้ยึดเอาภูเขานี้เอาไว้เป็นเขตแดนของรัฐบาล ต่อมาที่นี่ได้กลายเป็นป้อมปราการและหอสั่งการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่เรียกว่า Battle Box  ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้เป็นพิพิธภัณท์ที่เกี่ยวกับสงครามด้วย ทำให้ที่สวนแห่งนี้มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางประวัติรวมกันอยู่มากมาย นอกจากนี้ก็จะมีสวนที่สร้างขึ้นเพื่อวิจัยพรรณพืชที่เกี่ยวกับเครื่องเทศต่างๆด้วย

Fort Canning Park

จุดที่เป็นแลนด์มาร์คของผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ และเหล่าอินสตาแกรมเมอร์ทั้งหลาย ก็คืออุโมงบันไดวนที่มีพื้นหลังเป็นต้นไม้สีเขียว ซึ่งสถานที่แห่งนี้ยังได้รับความนิยมสำหรับคนที่ต้องการมาถ่ายพรีเว็ดดิ้งเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังสามารถชมแบบจำลองของตลาดเครื่องเทศ Raffles ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1822 ตลอดจนประติมากรรมของอาเซียนที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1980

แผนที่ : https://goo.gl/maps/8bwejVX7E5bb6e2f8

8. Universal Studios Singapore

Universal Studios Singapore ตั้งอยู่บนพื้นที่ 49 เอเคอร์ของ Resorts World Sentosa เป็นสวนสนุกในธีมภาพยนตร์ฮอลลีวูดแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยว อุปกรณ์เครื่องเล่น และความบันเทิงสำหรับครอบครัวและผู้ชื่นชอบในความตื่นเต้นเร้าใจ

Universal Studios Singapore

โซนเครื่องเล่นแบ่งตามธีมภาพยนตร์ โดยมีทั้งหมด 7 โซนซึ่งถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ โซน Hollywood, New York, Sci fi City, Ancient Egypt, The Lost World, Far Far Away และ  Madagascar ซึ่งแต่ละโซนจะมีเครื่องเล่นและธีมของโซนนั้นๆ โดยบรรยากาศของแต่ละโซนจะถูกอ้างอิงมาจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องต่างๆในเครือยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์ เช่น Shrek, Madagascar, Jurassic Park และ Transformer โดยในเทศกาลต่างๆ จะมีการจัดธีมพิเศษแตกต่างกันออกไปตามเทศกาลนั้นๆ

เว็บไซต์ : https://www.rwsentosa.com/en/attractions/universal-studios-singapore/explore

แผนที่ : https://goo.gl/maps/bCa5As35SZQWAtXE7

9. Singapore Zoo

สวนสัตว์สิงคโปร์ เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ.1973 และเป็นสวนสัตว์แห่งป่าฝนที่ดีที่สุดในโลก ได้รับรางวัลระดับประเทศและระดับสากลมากมาย สวนสัตว์แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์กว่า 2,800 ตัวจาก 300 สายพันธุ์ (อาทิ จระเข้ สมเสร็จมลายู และเสือขาว) เป็นสวรรค์ของสัตว์ป่าพันธุ์ต่างๆ ในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ความสะอาด และความน่าอยู่ โดยสัตว์ต่างๆ ได้รับการดูแลอย่างดี มีพืชพันธุ์เขียวชอุ่มและพื้นที่จำนวนมาก และเป็นที่ที่คนรักสัตว์ต้องแวะไปเยือน

9. Singapore Zoo
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash |
Gillian Putri@gillsgillian

ที่นี่แบ่งเป็นโซนต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 11 โซน คุณจะได้พบกับสัตว์แปลกๆ ที่น่าสนใจมากมายในสวนสัตว์แห่งนี้ ที่อยู่ในถิ่นที่อยู่แบบเปิด ซึ่งออกแบบให้ใกล้เคียงถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้นให้มากที่สุด ที่นี่ลิงอุรังอุตังจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวสามารถชมมันแกว่งไปมาบนแท่นและกินผลไม้ สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสัตว์อื่นๆ  เช่น ชิมแปนซีขนาดใหญ่ ม้าลาย เมียร์แคต มังกรโคโมโด หนูตุ่น เสือขาว จิงโจ้ และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย

เว็บไซต์ : www.wrs.com.sg/en/singapore-zoo

แผนที่ : https://g.page/sg-zoo?share

10. Orchard Road

ถนนออร์ชาร์ดนับเป็นสวรรค์ของนักช้อปทุกคน ตั้งแต่ห้างค้าปลีกหรูหราไปจนถึงภัตตาคารอาหารนานาชาติชั้นนำระดับโลก ย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดของสิงคโปร์แห่งนี้คือแหล่งรวมประสบการณ์อันหลากหลาย

Orchard Road
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash | K8@k8_iv

หากแวะเยี่ยมชมถนนออร์ชาร์ด คุณจะได้ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ตื่นตาตื่นใจ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ ที่ขายสินค้าแบรนด์ดัง ของสะสมของเอเชีย และของที่ระลึกที่ไม่ซ้ำใคร ห้างสรรพสินค้าที่ออกแบบทันสมัย เป็นช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ที่ชวนตื่นตา มีตั้งแต่สินค้าแบรนด์หรูไปจนถึงแฟชั่นไฮสตรีท และร้านที่ขายของไลฟ์สไตล์ต่างๆ ชมผลงานศิลปะจากพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินชาวสิงคโปร์และศิลปินต่างชาติ ที่จะกระตุ้นแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของคุณ ไปจนถึงเดินดูเสื้อผ้าแฟชั่นราคาไม่แพง ตามสมัยนิยม และสถานเสริมความงามที่ราคาจับต้องได้ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มากมาย

นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์สี่แห่ง โรงภาพยนตร์ IMAX ร้านคาราโอเกะ KTV และร้านอาหารมากมายในบริเวณใกล้เคียงที่ให้บริการอาหารนานาชาติ

เว็บไซต์ : http://www.orchardroad.org/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/A23x97WL1JfxPm2t7

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในสิงคโปร์ที่ Allianz Travel นำมาฝาก คงทำให้หลายๆ คนเพิ่มสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่อยู่ในลิสต์ของประเทศที่อยากไปกัน และตอนนี้สิงคโปร์ก็เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้แล้ว เริ่มกดวันลาหรือมองหาวันหยุด เตรียมตัวแพ็คกระเป๋า แล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปเที่ยวกันได้เลย แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้วแต่ยังไงเราก็ควรอัพเดทข่าวสารและมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์กันด้วยนะคะ วางแผนการเดินทางและเตรียมความพร้อมให้ดี สิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ คือ ประกันการเดินทาง ที่จะช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : 20 Top-Rated Tourist Attractions in Singapore | Visitsingapore.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Singapore open border and exempt quarantine for vaccinated tourist

สิงคโปร์เปิดประเทศแล้ว นักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนครบโดส ไม่ต้องกักตัว

สิงคโปร์เปิดประเทศ แล้ว! ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 รัฐบาลสิงคโปร์จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการคุมระบาดของโรคโควิด-19 โดยอนุญาตให้นักเดินทางจากทุกชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว รายละเอียดของมาตรการแตกต่างกันไปสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและยังฉีดไม่ครบโดส เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเที่ยวเกาะสิงคโปร์ได้อย่างมั่นใจ 

Jewel Changi Airport - Singapore

1. สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดส

ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสสามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องมีการขออนุมัติเข้าประเทศหรือการกักตัว แต่ต้องแสดงเอกสารยืนยันผลตรวจโควิด-19 ชนิด RT-PCR หรือ Antigen Rapid Test (ART) เป็นลบ ที่ออกโดยสถานพยาบาลในระยะเวลาไม่เกิน 2 วันก่อนการเดินทาง

*ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและเด็กอายุ 12 ปีและต่ำกว่าที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดสสามารถเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ได้

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนออกเดินทาง:

2. สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบโดส

ผู้เดินทางระยะสั้นที่ได้รับวัคซีนไม่ครบโดส ทางสิงคโปร์ยังไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ ยกเว้นในกรณีที่ได้รับการอนุมัติอื่น ๆ หรือมีเหตุจำเป็นต้องเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนออกเดินทาง:

  • ต้องดำเนินเรื่องการขออนุมัติเพื่อเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์:
  • ระยะเวลา 2 วันก่อนออกเดินทาง:
    • ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) หรือ Antigen Rapid Test (ART) ที่ได้รับการรับรองโดยสถานพยาบาล
  • เมื่อเดินทางมาถึงสิงคโปร์:
    • ต้องเข้ารับการกักตัว 7 วัน (Stay-Home Notice: SHN) ณ ที่พักที่ท่านจองล่วงหน้าไว้
  • หลังครบกำหนดกักตัว:
    • ทำการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR

แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันโควิด-19 เมื่อเดินทางมาสิงคโปร์

สวมหน้ากากอนามัย

นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะสวมหรือไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่กลางแจ้ง แต่เมื่ออยู่ภายในอาคารจะต้องสวมหน้ากากอนามัยเสมอ ยกเว้นขณะรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม

การรวมกลุ่ม

อนุญาตให้รวมกลุ่มได้สูงสุด 10 คน

– การรับประทานอาหารในร้าน

ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถรวมกลุ่มกันรับประทานอาหารในร้านได้สูงสุด 10 คน ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ศูนย์อาหาร และร้านกาแฟ โดยทางร้านจะมีการตรวจสอบสถานะการฉีดวัคซีนที่บริเวณทางเข้า

นักท่องเที่ยวสามารถอัพเดทข่าวสาร มาตรการการเดินทาง และติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในสิงคโปร์ได้ทางเว็บไซต์ กระทรวงสาธารณสุข และ Gov.sg

ถึงแม้สิงคโปร์ หรือหลายๆ ประเทศ จะเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสสามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวแล้ว แต่เราก็ควรติดตามและอัพเดทข่าวสาร มาตรการการเดินทางเข้าประเทศของแต่ละประเทศ พร้อมทั้งวางแผนการเดินทางเพื่อเตรียมความพร้อมให้ดี และสิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ คือ ประกันการเดินทาง ที่จะช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: มาตรการการเดินทางเข้าสิงคโปร์สำหรับผู้เดินทางระยะสั้น : visitsingapore.com

เลือกแผนประกันการเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวเกาหลี ไม่ควรพลาด

10 ที่เที่ยวเกาหลี ไม่ควรพลาด

ใครคิดถึงเกาหลียกมือขึ้น! สำหรับคนที่คิดถึง ที่เที่ยวเกาหลี สถานที่ท่องเที่ยวในที่ต่างๆ บรรยากาศ วัฒนธรรม ศิลปะ อาหาร ธรรมชาติ และความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางท่องที่ยวในประเทศเกาหลีใต้ เตรียมเก็บกระเป๋าแล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปสัมผัสบรรยากาศเหล่านั้นในเกาหลีกันเลย


วันนี้​ Allianz Travel ขอนำเสนอลิสต์ 10 ที่เที่ยวเกาหลี ยอดนิยมในเกาหลีใต้ที่หลายๆ คนคิดถึง มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ เพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการทำเช็คลิสต์ที่เที่ยวเมื่อเดินทางไปเกาหลีใต้ ไปดูกันเลยว่ามีที่ไหนกันบ้าง

1. พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

ใครที่ไปเที่ยวกรุงโซลจะต้องไม่พลาดพระราชวังคยองบกกุง ซึ่งเป็นพระราชวังที่เก่าแก่และขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงโซล มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสวยงาม และนักท่องเที่ยวมักสวมใส่ชุดประจำชาติเกาหลีหรือชุดฮันบกเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ภายในบริเวณพระราชวัง มีพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ ที่จัดแสดงวัตถุโบราณของราชวงศ์โชซอน และพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ แสดงวิถีชีวิตดั้งเดิมของเกาหลี

2. โซลทาวเวอร์ (N Seoul Tower)

โซลทาวเวอร์ (N Seoul Tower)

หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองโซล เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1980 ตั้งอยู่บนยอดเขานัมซัง สูง 236 เมตร สามารถชมวิวเมืองโซลและบริเวณโดยรอบแบบพาโนราม่า นับว่าเป็นหนึ่งในทาวเวอร์ที่ให้วิวสวยที่สุดในเอเชีย

โซลทาวเวอร์ มีการปรับปรุงใหม่ในปี 2005 และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น N Seoul Tower โดย N ที่เพิ่มขึ้นมานั้นย่อมาจาก new look หรือ รูปแบบใหม่ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาการต่างๆ ทั้งการให้แสงไฟที่หลากหลายและสวยงามขึ้น รวมถึงภายในที่ตกแต่งใหม่ โดยมีร้านอาหารบนหอคอยที่จะหมุนครบรอบทุกๆ 48 นาที ชื่อว่า N Grill และห้องน้ำตกแต่งสไตล์อวกาศ โซล ทาวเวอร์ ยังเป็นที่เที่ยวสุดโรแมนติกที่คู่รักมักเดินทางมาคล้องกุญแจ Love Key Ceremony ไว้ที่ราวเหล็ก เพราะมีความเชื่อว่าคู่รักที่คล้องกุญแจจะมีความรักที่ยืนยาว

3. หมู่บ้านบุกชอนฮันอก (Bukchon Hanok Village)

หมู่บ้านบุกชอนฮันอก (Bukchon Hanok Village)

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาหลีที่อยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องทันสมัยของกรุงโซล เป็นหมู่บ้านที่ยังคงกลิ่นอายของเกาหลีในยุคเก่าแก่ เหมาะสำหรับคนที่ชอบสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ภายในหมู่บ้านมีอาคารแบบดั้งเดิมของเกาหลีที่เรียกว่าฮันอก (hanok) กว่า 100 หลัง มีอายุเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโชซอน ส่วนชื่อบุคชอน (Bukchon) แปลว่าหมู่บ้านทางตอนเหนือ ซึ่งตั้งตามตำแหน่งที่อยู่ทางทิศเหนือของสถานที่สำคัญ 2 แห่งของกรุงโซล คือ คลองชองกเยชอน (Cheonggyecheon Stream) กับ จงโร (Jongno)

4. เกาะเชจู (Jeju)

เกาะเชจู (Jeju)

ที่เที่ยวเกาหลี ยอดฮิตอีกแห่งก็คือ เกาะเชจู เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นเขตมรดกโลก และมีอากาศดีทั้งปี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามจนได้รับฉายานามว่าเป็นฮาวายเกาหลี ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศยอดฮิตของคนเกาหลี และยังเป็นโลเคชั่นที่ถ่ายทำซีรีย์ดังๆ หลายเรื่อง ด้วยทิวทัศน์สวยงามทั้งทะเล หาดทราย ถ้ำ น้ำตก และหน้าผา ให้ได้เที่ยวชมและพักผ่อนหย่อนใจ

5. ย่านช้อปปิ้งเมียงดง (Myeongdong)

หนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านรวงขายสินค้านานาชนิด รวมถึงร้านอาหารหลากหลายประเภท และเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของกรุงโซล นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารรถเข็นแนว Street Food และมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีกหลายแห่งตั้งอยู่บนถนนและตรอกซอกซอย  จึงเป็นสถานที่ซึ่งคุณสามารถเลือกซื้อเลือกหาสินค้านานาประเภทได้ตามใจชอบ ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น, รองเท้า, เครื่องสำอาง และอื่นๆ อีกมากมาย

6. อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (Seoraksan National Park)

อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (Seoraksan National Park)

ตั้งอยู่ในเมืองซกโช จังหวัดคังวอนโด เป็นอุทยานที่มีพื้นที่ถึง 354 ตารางกิโลเมตร และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลี โดยใบไม้ที่นี่จะเป็นที่แรกๆ ในเกาหลีที่เริ่มเปลี่ยนสี โดยปกติใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีช่วงประมาณปลายเดือนกันยายน แต่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี จะมีสัญลักษณ์ของอุทยานป็นรูปปั้นหมีตั้งอยู่ภายในบริเวณพื้นที่ของอุทยาน นอกจากนี้เรายังสามารถขึ้นไปชมวิวทิวเขาได้โดยการนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขา Gwongeumseong Fortress เพื่อขึ้นไปพิชิตจุดสูงสุดของยอดเขา และชมวิวรอบๆ ในมุมสูง นอกจากนี้เรายังสามารถเดินไปตามเส้นทางเดินป่าของทางอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติและความสวยของอุทยาน โดยเส้นทางจะผ่านวัดและสะพานข้ามลำธารที่อยู่ภายในอุทยาน

7. ปูซาน (Busan)

ปูซานเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลี มีชายหาดและรีสอร์ทที่สวยงามเรียงราย มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มากมาย นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านบนเนินเขาของ Gamcheon เป็นหมู่บ้านสไตล์ยุโรปบนหน้าผาที่อยู่เหนือทะเลที่หลายคนบอกว่าเป็นซานโตรินีในเวอร์ชั่นเกาหลีบ้านและอาคารภายในหมู่บ้านถูกทาเป็นสีพาสเทลมีการประดับตกแต่งด้วยรูปปั้น และงานศิลปะแบบต่างๆ โดยรูปปั้นที่โด่งดังที่สุดคือรูปปั้นของเจ้าชายน้อย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่หลายๆ คนจะต้องแวะมาถ่ายรูปด้วยเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวที่ปูซาน

8. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี (National Museum of Korea)

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี (National Museum of Korea)
ขอบคุณรูปภาพจาก : MUSEUMS OF THE WORLD

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี ตั้งอยู่ในกรุงโซล เป็นสถานที่เก็บรวบรวมผสมผสานศิลปะ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี เพื่อแสดงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และบอกเล่าวเรื่องราวของชาวเกาหลี ตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน โดยวัตถุหรือสิ่งของที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์มีอายุนับล้านปี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รวบรวมสิ่งของทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีมากมาย ตั้งแต่ยุคหินไปจนถึงงานศิลปะสมัยใหม่โดยศิลปินเกาหลี

9. ทางรถไฟดอกซากุระคยองฮวา (Gyeonghwa Station)

ทางรถไฟดอกซากุระคยองฮวา (Gyeonghwa Station)

ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายน สถานีรถไฟคยองฮวา เป็นจุดชมซากุระที่สวยอันดับต้นๆ ของเกาหลี เราสามารถนั่งมองรถไฟที่วิ่งผ่านอุโมงค์ดอกซากุระที่ออกดอกเรียงกันอยู่เต็มสองข้างทาง  สถานีรถไฟคยองฮวาได้ยกเลิกการใช้งานไปแล้วตั้งแต่ปี 2015 แต่จะเปิดให้รถไฟวิ่งเฉพาะในช่วงเทศกาล Jinhae Gunhangje Festival ซึ่งเป็นเทศกาลชมดอกซากุระของเมืองจินแฮ โดยรถไฟจะไม่ได้มาจอดที่สถานี เพียงแต่ใช้เป็นทางผ่านไปยังสถานีอื่นๆ

10. อิแทวอน (Itaewon)

อิแทวอน (Itaewon)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ตั้งอยู่ในกรุงโซล ในเขตยงซานกู ใกล้กับแม่น้ำฮัน เป็นแหล่งช้อปปิ้งสำหรับชาวต่างชาติ ย่านอิแทวอนจะมีชาวต่างชาติอยู่มากมาย เป็นย่านที่เหมาะกับการเดินเล่น และช้อปปิ้ง ตลอดสองข้างทางของถนนเส้นหลักจะมีร้านค้ามากมาย ตั้งแต่ร้านค้าแบรนด์ชั้นนำ ร้านค้าแผงลอย ร้านอาหารนานาชาติ รวมไปถึงแหล่งเที่ยวกลางคืน เช่น สถานบันเทิง คลับ บาร์ นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นโซลทาวเวอร์ และชมวิวของเมืองบนเนินเขาได้จากที่นั่งบนชั้นดาดฟ้าของร้านอาหารหรือคาเฟ่ในอิแทวอนได้อีกด้วย

10 สถานที่เที่ยวในเกาหลีที่เรานำมาฝากคงทำให้หลายๆ คนหายคิดถึงเกาหลีกันได้บ้างนะคะ หรืออาจจะทำให้คิดถึงมากขึ้นกว่าเดิมจนต้องกดลางาน แล้วเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเกาหลีใต้กันเลย แต่ถึงแม้เกาหลีจะเปิดประเทศให้นักเดินทางเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว และฟรีวีซ่าแล้ว แต่เราก็ควรอัพเดทข่าวสารการเดินทางเข้าประเทศ และวางแผนการเดินทางพร้อมกับเตรียมความพร้อมให้ดี และสิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ คือ ประกันการเดินทาง ที่จะช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันการเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel