10 กิจกรรมที่ควรทำ เมื่อไปเที่ยวไต้หวัน

10 กิจกรรมที่ควรทำเมื่อไป เที่ยวไต้หวัน

ไต้หวัน เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เดินทางไปง่าย และไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก ค่าเงินก็พอกับเงินบาทของเรา ท่องเที่ยวง่ายมีอะไรให้ดูเยอะ สำหรับคนที่ไป เที่ยวไต้หวัน เป็นครั้งแรก Allianz Travel อยากให้คุณได้สัมผัสกับความมีชีวิตชีวาของไทเป เมืองหลวงของไต้หวัน หนึ่งในเมืองที่น่าทึ่งที่สุดในเอเชีย มีสิ่งให้ทำมากมายไม่รู้จบ เมืองที่มีความหลากหลายและวุ่นวายที่ผสมผสานอิทธิพลต่างๆ แต่สนุกที่ได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการกินสตรีทฟู้ดอร่อยๆ ในตลาดกลางคืนแห่งใดแห่งหนึ่ง สำรวจวัดโบราณและชื่นชมทิวทัศน์จากจุดชมวิวต่างๆ ของไทเป Allianz Travel รวบรวม 10 กิจกรรมที่ควรทำเมื่อเที่ยวไทเป ให้คุณตามมาสำรวจไทเปกับเรากันเลย!

1. ชมวิวเมืองจากจุดชมวิวตึกไทเป 101

คุณไม่ควรพลาดที่จะไปเยือน ตึกไทเป 101(台北101)เมื่อไป เที่ยวไต้หวัน เป็นตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน สูง 508 เมตร มีทั้งหมด 101 ชั้น และเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 5 ปีซ้อน (ปี 2547-2553) ชั้น 1-5 จะเป็นส่วนของห้างสรรพสินค้า และชั้น 5 จะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วเพื่อขึ้นไปจุดชมวิวบนชั้น 89 โดยขึ้นลิฟท์ที่ได้รับการบันทึกสถิติว่าเร็วที่สุดในโลกโดยกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด ที่ความเร็ว 1,010 เมตรต่อนาที ภายในลิฟท์จะมีหน้าจอที่เพดานลิฟท์ทำเหมือนว่าเรากำลังพุ่งออกไปในอวกาศให้ชมระหว่างอยู่ในลิฟท์ด้วย ใช้เวลาเพียง 37 วินาทีก็ขึ้นมาถึงชั้น 89 ซึ่งเป็นชั้นชมวิวที่อยู่ในอาคาร เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของเมืองจากหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน

ชมวิวเมืองจากจุดชมวิวตึกไทเป 101

คุณสามารถขึ้นบันไดไปที่ลานชมวิวกลางแจ้งที่ชั้น 91 หรือเดินลงไปที่ชั้น 88 เพื่อไปดูลูกตุ้มเหล็กยักษ์ (Wind Damper) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกันกระแทกจากลมกระโชกแรงหรือแผ่นดินไหว ช่วยเรื่องการทรงตัวของตึกเมื่อรับมือกับแผ่นดินไหวและลมพายุ

คุณควรจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าและเลือกเวลาที่คุณวางแผนจะไป เมื่อไปถึงตึกก็ไปรับตั๋วจริงที่ชั้น 5 จากนั้นรอคิวยาว และแวะถ่ายภาพหน้าจอสีเขียว ที่คุณจะได้รูปคู่กับภาพสำเร็จรูปของอาคารไทเป 101 ที่คุณสามารถซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้

2. ขึ้นเขาเซี่ยงซานหรือเขาช้าง

เมื่อไป เที่ยวไต้หวัน การขึ้นไปชมวิวบนยอดตึกที่สูงที่สุดในไต้หวันหมายความว่าคุณจะมองไม่เห็นตัวตึกไทเป 101 ที่โดดเด่นอยู่กลางเส้นขอบฟ้าของไทเป ดังนั้นคุณต้องมุ่งหน้าไปยังเขาเซี่ยงซานหรือเขาช้าง (象山) ทางฝั่งตะวันออกของแถบชานเมืองไทเป ที่อยู่ไม่ไกลจากตึกไทเป 101 นัก มีเส้นทางเดินขึ้นเขาที่สะดวกสบายอยู่หลายเส้นทาง ซึ่งคุณสามารถเดินขึ้นสู่ยอดเขาในเวลาประมาณ 20-30 นาที ที่ด้านบนสุดจะมีลานสำหรับฟิตเนสเล็กๆ สำหรับคนท้องถิ่นที่มาออกกำลังกายและจุดชมวิวเมืองไทเปยอดนิยมอีกจุดหนึ่งโดยเฉพาะที่จุดสูงสุดของภูเขา ทุกวันจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาถ่ายรูปเมืองไทเปและตึกไทเป 101 กันมากมาย

ขึ้นเขาเซี่ยงซานหรือเขาช้าง

นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางเดินต่อไปที่ภูเขาอีก 3 ลูกที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่า เทือกเขา 4 อสูร (4 beasts, 四獸山) ประกอบด้วย เขาช้าง เขาเสือ เขาสิงโต และเขาเสือดาว (Leopard Mountain) ซึ่งใช้เวลาในการปีนเขาทั้ง 4 ลูกนี้ประมาณ 2-4 ชั่วโมง

ข้อแนะนำ: หากคุณจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก ควรพกยากันยุงไปด้วย เพราะยุงจำนวนมากจะออกมาเต็มที่ในตอนพลบค่ำ

3. สัมผัสวัฒนธรรมไต้หวันผ่านอาหารที่ตลาดกลางคืน

อาหารเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมไต้หวัน และไทเปก็เป็นหนึ่งในเมืองอาหารริมทางชั้นนำของโลก สิ่งนี้เห็นได้จากจำนวนตลาดกลางคืนที่กระจายอยู่ทั่วเมือง ที่เปิดตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ และต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเช้าตรู่ คุณจะพบรถเข็นขายอาหาร แผงลอย และร้านอาหารเล็กๆ มากมายที่จำหน่ายอาหารหลากหลายชนิด เป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลทางวัฒนธรรมหลายอย่าง ตั้งแต่ชาวไต้หวันพื้นเมือง ชาวจีน ไปจนถึงชาวญี่ปุ่น

คุณไม่เพียงแต่จะได้ทานอาหารอร่อยๆ เท่านั้น แต่ยังมีร้านค้าและแผงลอยที่ขายเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของที่ระลึก และเครื่องประดับเล็ก ๆ อีกด้วย หากคุณรู้สึกอิ่มจากการลองชิมอาหารแล้ว ก็อาจไปเดินเล่นชอปปิ้ง เล่นเกม หรือแวะดูดวงก็ได้ ทริปไต้หวันของคุณจะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้แวะไปตลาดกลางคืนไทเปที่อย่างน้อยหนึ่งแห่ง

สัมผัสวัฒนธรรมไต้หวันผ่านอาหารที่ตลาดกลางคืน

ตลาดแนะนำ

  • ตลาดกลางคืนซื่อหลิน (Shilin) ตลาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในไทเปที่มีแผงขายอาหารมากกว่า 500 ร้าน ประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ๆ คือ สินค้าทั่วไปและอาหารท้องถิ่น เหมาะสำหรับผู้มาครั้งแรกที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดของตลาดกลางคืนในไต้หวัน อย่าลืมไปสำรวจชั้นใต้ดินภายในตลาดที่เรียกว่า ‘ศูนย์อาหารตลาดซื่อหลิน’ ซึ่งเป็นสวรรค์ของอาหารอีกแห่งหนึ่งที่อยู่: No. 101, Jihe Road, Shilin District, Taipei City, Taiwan 111
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (16.00 น.– 24.00 น.) เสาร์-อาทิตย์ (15.00 น.– 01.00 น.)
    อาหารแนะนำ: ไส้กรอกข้าวเหนียว ซาละเปาทอด ไก่ทอด ชานมไข่มุก
  • ตลาดกลางคืนเหราเหอ (Raohe) เป็นตลาดที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง อยู่บนถนนเส้นเดียวเป็นระยะทาง 600 เมตร มีแผงขายของเรียงรายทั้งสองด้านและมีแถวตรงกลาง เป็นขนาดที่เหมาะสำหรับการเดินสำรวจและลิ้มลองอาหารที่อยู่: Raohe St, Songshan District, Taipei City, Taiwan 105
    เวลาทำการ: จันทร์-อาทิตย์ (16.00 น.– 24.00 น.)
    อาหารแนะนำ: ซาละเปาหมูพริกไทยดำอบโอ่ง ปลาหมึกย่าง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ
  • ตลาดกลางคืนหลินเจียง (ถงหัว) หนึ่งในตลาดกลางคืนที่เล็กที่สุด อยู่ในตัวเมืองไทเป ไม่ไกลจากตึกไทเป 101 ขายอาหารต้นตำรับและอาหารสมัยเก่าที่เป็นที่นิยมในหมู่คนท้องถิ่น ตลาดมีพื้นที่ยาว 400 เมตรจากถนนจีหลงไปยังถนนอันเหอที่อยู่: No. 76, Lingjiang Street, Da’an District, Taipei City, Taiwan 106
    เวลาทำการ: จันทร์-พฤหัสบดี (17.00 น.– 24.00 น.) ศุกร์-เสาร์ (16.00 น.– 03.00 น.) อาทิตย์ (16.00 น.– 24.00 น.)
    อาหารแนะนำ: เต้าหู้เหม็น ของหวานแบบไต้หวัน
  • ตลาดกลางคืนหนิงเซี่ย (Ningxia) เป็นตลาดขนาดเล็กบนถนนหนิงเซี่ย แต่มีผู้คนพลุกพล่าน และแผงลอยขายอาหารที่ตั้งอยู่อย่างหนาแน่น คุณควรมาแต่เนิ่นๆ เพราะคนจะเต็มเร็วมาก อาหารที่นี่ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับตลาดที่ใหญ่และเป็นที่นิยมมากกว่าที่อยู่: 103, Taiwan, Taipei City, Datong District, Ningxia Rd, 寧夏夜市
    เวลาทำการ: จันทร์-พฤหัสบดี (17.00 น.– 24.00 น.) ศุกร์-เสาร์ (16.00 น.– 03.00 น.) อาทิตย์ (16.00 น.– 24.00 น.)
    อาหารแนะนำ: ออส่วน เผือกทอด โมจิไต้หวัน
  • ตลาดกลางคืนนันจิชาง (Nanjichang) หนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในไทเปในการลองชิมอาหารท้องถิ่นของไต้หวัน ตั้งอยู่ในย่านประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองและขึ้นชื่อเรื่องอาหารริมทางและบรรยากาศที่พลุกพล่าน มีแผงขายหลายร้อยร้านให้เลือก ขายทุกอย่างตั้งแต่อาหารไต้หวันดั้งเดิมไปจนถึงขนมและของหวานที่อยู่: Lane 307, Section 2, Zhonghua Rd, Zhongzheng District, Taipei City, Taiwan 100
    เวลาทำการ: จันทร์-อาทิตย์ (17.00 น.– 24.00 น.)
    อาหารแนะนำ: เต้าหู้เหม็น ไก่ย่างเสียบไม้ ปอเปี๊ยะทอด

4. เที่ยวไต้หวัน เรียนรู้วัฒนธรรมเก่าแก่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกู้กง

พิพิธภัณท์พระราชวังแห่งชาติกู้กง (National Palace Museum, 國立故宮博物院) เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดของเมืองไทเป และไต้หวัน สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2508 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบพระราชวังจีนโบราณ โดยมีผนังสีเหลืองและหลังคาเซรามิคสีเขียว สูง 4 ชั้น ชั้น 1-3 เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ ชั้น 4 เป็นห้องน้ำชา “ซันซีถัง” ที่ใช้สำหรับพักผ่อนดื่มน้ำชา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรวบรวมสมบัติและงานศิลปะประจำชาติจีนไว้มากมายที่สุดในโลก มากกว่า 700,000 ชิ้น โบราณวัตถุต่างๆ ส่วนใหญ่ถูกนำมาจากในพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) ของเมืองปักกิ่ง ที่ขนย้ายมาในช่วงสงครามกลางเมืองจีน ตอนเจียงไคเชกแพ้สงครามแล้วล่าถอยมาอยู่ที่เกาะไต้หวันแห่งนี้ ซึ่งมีตั้งแต่วัตถุโบราณ 10,000 ปีก่อน ยุคหินใหม่ (Neolithic)  มาจนถึงยุคราชวงศ์ฉิง (Qing Dynasty) ที่เกือบจะครอบคลุมประวัติศาสตร์จีนที่มีอายุยาวนานถึง 5,000 ปีได้เกือบทั้งหมด จนทำให้พิพิธภัณฑ์กู้กงได้ชื่อว่า “คลังสมบัติทางวัฒนธรรมของจีน”

เรียนรู้วัฒนธรรมเก่าแก่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกู้กง

นอกจากนี้ที่ด้านข้างของพิพิธภัณท์พระราชแห่งชาติวังกู้กงจะมีสวนจื้อซั่น (Zhi Shan Garden) ซึ่งเป็นสวนที่ออกแบบและตกแต่งสไตล์จีนได้อย่างสวยงาม มีสระน้ำหลายสระ มีสะพานที่สวยงามข้ามสระน้ำ และศาลาสวยๆไว้นั่งพักชมวิว ซึ่งค่าเข้ารวมอยู่ในตั๋วเข้าชมพิพิธภัณท์แล้ว

*ด้านในพิพิธภัณท์จะห้ามถ่ายรูป และต้องฝากกระเป๋าเป้หรือกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ตู้ล็อคเกอร์ด้านนอก

5. ตามรอย Spirited Away ที่จิ่วเฟิ่น

ถนนโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street / 九份老街) ถนนสายวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประเทศไต้หวันที่ปัจจุบันได้กลายเป็นตลาดโบราณที่ยังคงบรรยากาศสุดคลาสสิคของไต้หวันเมื่อ100 ปีที่แล้วไว้ได้เป็นอย่างดี ไฮไลท์ของที่นี่คือร้านน้ำชาที่ตั้งอยู่บริเวณฝั่งหน้าผา ให้นักท่องท่องเที่ยวที่มา เที่ยวไต้หวัน ได้มานั่งจิบชายามบ่าย ชมทัศนียภาพกว้างขวางของทะเลจีนตะวันออก หรือช่วงพระอาทิตย์ตกดิน และชมแสงไฟสวยๆ ในยามค่ำคืน มนต์เสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใครทำให้โลเคชั่นของหมู่บ้านโบราณบนภูเขาเลียบชายฝั่งทะเลแห่งนี้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Spirited Away ของ Studio Ghibli ผู้ผลิตการ์ตูนยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอีกด้วย

ตามรอย Spirited Away ที่จิ่วเฟิ่น

นอกจากเป็นเมืองที่ถ่ายรูปสวยมากๆ บรรยากาศดีสุดๆ แล้ว ที่นี่ยังมีของกินอร่อยที่พลาดไม่ได้หลายเมนูด้วยกันนะ ทั้ง เต้าหู้เหม็น ไอศกรีมถั่วตัด เต้าฮวยบัวลอยเผือก ถนนคนเดินสายแห่งนี้มีร้านขายของที่ระลึกและอาหารริมทางที่น่าแวะชมและชิมเป็นอย่างมาก ดังนั้นควรเผื่อเวลาไว้เดินเล่นและชมของกระจุกกระจิกต่างๆ ไว้ด้วย

6. เที่ยวน้ำตกซือเฟิ่นและถนนคนเดินซือเฟิ่น

    • น้ำตกซือเฟิ่น (Shifen Waterfall / 十分瀑布) น้ำตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในไต้หวัน อยู่ห่างจากเมืองไทเปเพียง 45 นาทีเท่านั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีในเขตผิงซี (Pingxi District) เมืองนิวไทเป (New Taipei City) ระหว่างสถานีต้าหัว (Dahua) และ สถานีซือเฟิ่น (Shifen) บนเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ผิงซี น้ำตกซือเฟิ่นเป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีความสูงประมาณ 20 เมตร และความกว้าง 40 เมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำจีหลง (Keelung River) ผาน้ำตกมีลักษณะโค้งคล้ายเกือกม้า พร้อมสายน้ำสีขาวที่เทกระหน่ำลงมาเป็นริ้วๆ ราวกับผ้าแพร เสียงของสายน้ำดังก้องกังวานไปทั่ว ไอน้ำฟุ้งกระจายต้องกับแสงแดดจนเกิดเป็นรุ้งกินน้ำ สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวอย่างไม่รู้ลืม ด้วยเหตุนี้เอง น้ำตกซือเฟิ่นจึงได้รับการขนานนามให้เป็น “ไนแองการาแห่งไต้หวัน” นั่นเองค่ะ
น้ำตกซือเฟิ่น
  • สถานีซือเฟิ่น (Shifen Station) สถานีรถไฟเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1918 โอบล้อมไปด้วยทิวทัศน์ของภูเขา น้ำตก ตลอดไปจนถึงวิวเมือง เดิมเคยใช้เป็นสถานที่ขนส่งถ่าน แต่หลังจากปี ค.ศ. 1992 ก็ได้พัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราสามารถไปเดินเล่นชมวิวที่สะพานแขวนจิ้งอัน สะพานแขวนโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นที่เที่ยวอันสำคัญของไต้หวัน
  • ถนนคนเดินซือเฟิ่น ชุมชนเล็กๆ เก่าแก่ริมทางรถไฟสายเก่าอย่างสายรถไฟผิงซี เมื่อก่อนเป็นเส้นทางลำเลียงถ่านหินสมัยที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน ถ้ามองดูรอบๆ ก็อาจจะคล้ายๆ กับตลาดร่มหุบ ในไทยค่อนข้างมากเลยทีเดียว แต่มีความเป็นระเบียบอยู่มาก
  • ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวซือเฟิ่น ตั้งอยู่ในพื้นที่ชมวิวรุ่ยเฟิ่ง ล้อมรอบด้วยภูเขา น้ำตก และลุ่มแม่น้ำต้าหัวที่สวยงาม ใช้เวลาเดินเพียง 15 นาที จากสถานีสือเฟินไปถึงถนนโบราณ ไม่เพียงแต่เหมาะแก่การเดินเล่มชมวิวริมแม่น้ำเท่านั้น ที่นี่ยังมีกิจกรรมสอนการทำโคมลอยพื้นบ้าน ให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วย

7. ไหว้พระขอพรที่วัดหลงซานเมื่อไป เที่ยวไต้หวัน

วัดหลงซานเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 300 ปี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1738 ตั้งอยู่ในแถบย่านเมืองเก่าของไทเป เป็นหนึ่งในวัดที่คนไต้หวันเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ทุกๆ วันจะมีทั้งคนไต้หวันและนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนเข้ามามากมาย วัดหลงซานมีชื่อเสียงในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และการขอพรด้านต่างๆ ทั้งการเรียน การงาน การเดินทางปลอดภัย และอื่นๆ เพราะภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าหลายองค์ โดยมาจากทั้งศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื้อ ไม่ว่าจะเป็น เจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม เทพเจ้ากวนอู รวมถึงเทพที่มีชื่อเสียงเรื่องการขอพรความรัก นั่นก็คือ เทพเย่ว์เหล่า หรือ ผู้เฒ่าจันทรา นั่นเอง

ไหว้พระขอพรที่วัดหลงซาน

วัดหลงซานเคยเสียหายเป็นอย่างมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่องค์เจ้าแม่กวนอิมในพระตำหนักไม่ได้รับความเสียหายใดๆ สิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้ชาวไต้หวันเกิดความเลื่อมใสและศรัทธามากขึ้นไปอีก รวมถึงได้มีการบูรณะวัดและสร้างใหม่จนสวยงามกว่าในสมัยก่อนมากๆ แนะนำว่าใครไปเที่ยวไทเป ต้องเข้าไปสักการะ วัดหลงซานให้ได้สักครั้งเลยค่ะ

ขั้นตอนการไหว้พระในวัดหลงซาน

  1. เริ่มจากเดินเข้าไปทางประตูมังกรที่อยู่ด้านเดียวกับน้ำตก แล้วรับธูปตรงด้านขวามือ (ธูปฟรี)
  2. อธิษฐานแล้วปักธูปที่กระถางธูปเจ้าแม่กวนอิมที่ตั้งอยู่กลางวัดเป็นอันดับแรก ตามด้วยกระถางธูปเทียนกง (สามารถขอพรได้ทุกเรื่อง)
  3. เข้าไปยังตำหนักหลัก เริ่มจากขวาไปซ้าย แล้วปักธูปที่กระถางหน้าศาล เจ้าเหวินชาง (ขวามือสุด) แล้วต่อด้วยกระถางธูปสุ่ยเซียนจุนหวัง กระถางธูปเจ้าแม่มาจู่ กระถางธูปเจ้าแม่จู้เซิง และกระถางธูปกวนอู
  4. เมื่อไหว้ถึงกระถางธูปกวนอูจะเจอกับเฒ่าจันทรา (เทพเยว่เหล่า) ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ให้ไหว้อธิษฐานโดยบอกชื่อ-นามสกุล วันเกิด ที่อยู่ของตัวเอง แล้วบอกลักษณะนิสัย/รูปร่างของคนรักที่คาดหวังไว้
  5. อธิษฐานขอด้ายแดงของเฒ่าจันทราด้วยการโยนไม้เสี่ยงทายสองชิ้นพร้อมกัน ให้โยนจนกว่าจะออก “หงาย” และ “คว่ำ” อย่างละอัน ติดกัน 3 ครั้งรวด
  6. นำด้ายแดงไปวนขวา 3 รอบ ที่กระถางธูปเจ้าแม่กวนอิม (จุดที่ปักธูปครั้งแรก)
  7. กลับไปไหว้อีกครั้งที่หน้าตำหนักหลัก แล้วบอกชื่อ-นามสกุล วันเกิด ที่อยู่ของตัวเอง แล้วบอกลักษณะนิสัย/รูปร่างของคนรักที่คาดหวังตามที่อธิษฐานไว้ในครั้งแรก
  8. นำด้ายแดงใส่กระเป๋าติดตัว แล้วเดินออกทางประตูเสือ (อีกฝั่งของวัด)

8. ขึ้นกระเช้าเมาคงขึ้นไปยังไร่ชาเมื่อไป เที่ยวไต้หวัน

หากคุณต้องการเพลิดเพลินไปกับวิวเมืองที่สวยงามพร้อมกับนั่งจิบชาไต้หวันไปด้วย การนั่งกระเช้าเมาคงไปยังเมาคงคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ กระเช้าลอยฟ้าเมาคงที่มีความยาวทั้งหมด 4.03 กิโลเมตร เป็นเส้นทางกระเช้าลอยฟ้าสายแรกของเมืองไทเป หนึ่งเที่ยวใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที มีสถานีให้ผู้โดยสารได้ขึ้น-ลงทั้งหมด 4 สถานีได้แก่ “สถานีสวนสัตว์” “สถานีภายในสวนสัตว์” “สถานีวัดจื่อหนานกง” และ “สถานีเมาคง”

ขึ้นกระเช้าเมาคงขึ้นไปยังไร่ชา

เมาคงตั้งอยู่บนภูเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองไทเป การไปชมไร่ชาเมาคงเป็นอีกหนึ่งทริปยอดนิยมระหว่างวันจากไทเป เพื่อไปชมแหล่งผลิตชาบนเนินเขาที่มีร้านน้ำชา และวิวด้านล่างสุดลูกหูลูกตา ถ้านั่งกระเช้าลอยฟ้า ให้ลงสถานีเมาคงซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของระบบ ไร่ชาส่วนใหญ่อยู่บนถนนสายหลักของภูเขา หลายแห่งมีชาและอาหารให้ลองชิมมากมาย ศูนย์ส่งเสริมชาไต้หวันจะมีการจัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตชา วิธีการชงที่ถูกต้อง วิธีเก็บรักษา แนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการจำหน่ายชาไต้หวัน ศิลปะการชงชา รวมถึงสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาดินและน้ำอีกด้วย

ประชาชนจำนวนมากตั้งใจเดินทางมาที่เมาคงเพื่อมาดื่มชาโดยเฉพาะ หากคุณเดินทางมาที่เมาคง อย่าลืมแวะร้านชา ลิ้มรสชาชื่อดัง “ชามู่จ้าเถี่ยกวนอิน” และ “ชาเหวินซันเปาจ่ง” จากนั้นลองชิมอาหารเมนูจากใบชาสุดพิเศษแสนอร่อย พร้อมๆ กับการชมทัศนียภาพที่งดงามของเมืองไทเป ถึงจะไม่เสียเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเมาคง

9. ชมพิธีเปลี่ยนเวรยามที่อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค

อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก(Chiang Kai-Shek Memorial Hall) เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศไต้หวัน และสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่ต้องมาของเมืองไทเป สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อเป็นการรำลึกถึงอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชก เป็นอาคารสีขาวทั้ง 4 ด้านมีหลังคาทรง 8 เหลี่ยมสีน้ำเงินแบบสถาปัตยกรรมแบบจีน ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางของจตุรัสเสรีภาพ(Freedom Square) มีบันไดด้านหน้า 89 ขั้นเท่ากับอายุของท่านประธานาธิบดี โดยภายในจะมีรูปปั้นทำจากทองสัมฤทธิ์ของท่านในท่านั่งขนาดใหญ่ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากรูปปั้นของท่านในที่อื่นๆ ซึ่งจะมีทหารยืนเฝ้าไว้ 2 นายตลอดเวลา และที่กำแพงด้านในหลังจะมีข้อความปรัชญาทางการเมืองการปกครองของท่านอยู่ 3 คำ คือ จริยธรรม ประชาธิปไตย และวิทยาศาสตร์

อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค

ไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวชมอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก คือพิธีเปลี่ยนเวรทหาร ซึ่งจะมีทุกๆต้นชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 10:00-16:00 ของทุกวัน นอกจากนี้ก็จะมีพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาในตอนเช้าตรู่และในตอนเย็นด้วย คือเวลา 06:00 และ 18:10 ในช่วงเดือนเมษายน-เดือนกันยายน อีกช่วงคือเวลา 06:30 และ 17:10 ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งทหารที่ทำหน้าที่นี้จะผลัดเปลี่ยนกันมาจาก 3 เหล่าทัพซึ่งจะมีสีของชุดยูนิฟอร์มไม่เหมือนกัน โดยจะทำหน้าที่กันครั้งละ 4 เดือน

10. ย้อนวันวาน เที่ยวไต้หวัน ที่ย่านเมืองเก่าต้าเต้าเฉิง

ย่านเมืองเก่าต้าเต้าเฉิง Dadaocheng ตั้งอยู่บนถนนตี๋ฮว่า (Dihua) แหล่งชอปปิ้งสินค้าท้องถิ่นและสินค้าหลากหลายสไตล์ อาทิ เครื่องเซรามิคแบบโบราณ, ร้านชาบรรยากาศคลาสิกที่บ้างตั้งอยู่บนตึกหรือตามตรอกซอกซอย, ร้านสมุนไพรไต้หวันที่หาซื้อได้ยากจากที่อื่นๆ ลิ้มรสชาติอาหารไต้หวันจากร้านอาหารท้องถิ่นอยู่ตามริมถนนหรือตามตรอกต่างๆ บรรยากาศให้กลิ่นอายของยุคสมัยเก่า ร้านขนมไต้หวันที่ใช้วัตถุดิบหลักคืออัลมอนด์และเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ทางทิศใต้ของถนนมีสถานที่ยอดนิยมมาขอคู่ครองหรือลูกอย่างวัดเสียไห่ (Xia Hai) ถัดจากวัดคือตลาดผ้าหยงเล่อ (Yongle Fabric Market)ศูนย์รวมผ้าขนาดใหญ่ทั้งแบบทันสมัยและดั้งเดิม ถนนเรียงรายไปด้วยอาคารบ้านเรือนหลายร้อยหลังสะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมแบบฝูเจี้ยนของจีนและบารอคของตะวักตกไว้อย่างลงตัวกลมกลืนไปกับยุคสมัยปัจจุบัน และยังเป็นจุดดึงดูนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ย่านเมืองเก่าต้าเต้าเฉิง Dadaocheng

ไม่ว่าคุณจะเดินทางคนเดียว กับเพื่อนหรือกับครอบครัว การเดินทางท่องเที่ยวให้สนุกจะต้องมีการเตรียมตัวและเตรียมการหาข้อมูลล่วงหน้า รวมถึงเตรียมพร้อม หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : What to Do in Taipei – Top 13 Must Dos | We Fun Taiwan 一起玩台灣, Taipei things to do | Taipei Travel

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

20 tourist attractions in iceland

20 ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ดินแดนธรรมชาติอันงดงาม

ประเทศไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ไม่เพียงแต่สำหรับนักผจญภัยที่แสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้รักธรรมชาติที่มองหาสิ่งที่แตกต่างออกไปด้วย แหล่ง ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ คุณจะได้พบกับภูเขาไฟที่ยังไม่ดับและปะทุอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก น้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน บ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง ธารน้ำแข็ง ทุ่งน้ำแข็ง และฟยอร์ด 

เราสามารถ เที่ยวไอซ์แลนด์ ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเช่ารถขับ หรือใช้บริการทัวร์ที่มีอยู่มากมาย อย่างเช่น ทัวร์ล่าแสงเหนือ ขี่รถ ATV เหนือทุ่งลาวา ทัวร์ไปเช้าเย็นกลับ เพื่อชมความงามทางธรรมชาติที่น่าทึ่งของไอซ์แลนด์ และเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการผจญภัยครั้งต่อไปของคุณ Allianz Travel ได้นำ 20 ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ดินแดนอันงดงามของธรรมชาติมาใส่เพิ่มในแผนการเดินทางของคุณค่ะ

1. เมืองเรคยาวิก (Reykjavík)

เรคยาวิกเป็นเมืองหลวงของไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ที่คุณควรไปเยี่ยมชมเมื่อไปถึงไอซ์แลนด์ คุณควรใช้เวลาสัก 2-3 วันเพื่อเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไอซ์แลนด์ ที่นี่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่คุณคาดหวังได้จากเมืองหลวงของยุโรป เช่น พิพิธภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมและแหล่งช้อปปิ้งชั้นยอด โดยเริ่มต้นด้วยการชมเมืองมุมสูง 360 องศาจากโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja) โบสถ์คอนกรีตสีขาวที่มีดาดฟ้าสำหรับชมวิวในหอคอยสูง 74.5 เมตร เดินเล่นสำรวจรอบเมือง เยี่ยมชมอาคาร Harpa ในเขตท่าเรือเก่า ชมหอศิลป์สำคัญๆ แวะชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์ และผ่อนคลายแช่น้ำอุ่นตามสระว่ายน้ำสาธารณะที่มีอยู่หลายแห่งของเมือง

โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja)
โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja)

2. บลูลากูน (Blue Lagoon)

บลูลากูนเป็นสปาที่ใช้ความร้อนจากใต้พิภพ มีอุณหภูมิสูงถึง 37-39 องศาเซลเซียส และกล่าวกันว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อทั้งสุขภาพและผิวพรรณ นอกจากการอาบน้ำในบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครแล้ว ที่นี่ยังมีร้านขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สปาทรีตเมนต์ต่างๆ และสถานที่กินและดื่มอีกด้วย คุณสามารถเดินทางไปเช้าเย็นกลับจากเมืองเรคยาวิก โดยใช้เวลาขับรถเพียง 40 นาที การจองตั๋วรถบัสไปยังบลูลากูนจากเรคยาวิกก็ทำได้ไม่ยาก และถ้าคุณต้องการเพิ่มการผจญภัยในไอซ์แลนด์ คุณสามารถจองการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับด้วยรถเอทีวีที่จะพาคุณขับรถไปตามเส้นทางหินลาวา

บลูลากูน (Blue Lagoon)

หากคุณมีเวลาไม่มาก คุณอาจแวะแช่ตัวในน้ำสีฟ้าร้อนและโคลนสีฟ้าที่อุดมด้วยแร่ธาตุในสระอาบน้ำสัก 2-3 ชั่วโมงทันทีที่คุณบินมาถึงไอซ์แลนด์ หรือแม้แต่ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินออกจากประเทศ เพราะบลูลากูนตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินนานาชาติเคฟลาวิกเป็นอย่างมาก

3. คาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes)

อุทยานธรณีคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes) อยู่ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 50 กิโลเมตร เป็นที่เดียวในโลกที่จะมีโอกาสได้เห็นทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปยุโรปที่ปกติจะมีมหาสมุทรแอตแลนติกคั่นกลางในระยะทางนับพันกิโลเมตร แต่คุณสามารถเดินข้ามทวีปตรงรอยแยกระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียและอเมริกาเหนือในเวลาไม่ถึงนาที โดยผ่านสะพานข้ามทวีปบริเวณสีขาวที่มีชื่อเรียกว่า ‘Leif the Lucky’ ตั้งขึ้นเป็นเกียรติแก่นาย เลฟ เอริกสัน (Leif Erikson) นักสำรวจชาวไอซ์แลนด์ และเป็นชาวยุโรปคนแรกที่พิชิตทวีปอเมริกาเหนือสำเร็จเมื่อพันปีก่อน ตามตำนานของชาวไอซ์แลนด์

คาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes)

สำหรับผู้หลงใหลธรณีวิทยา คาบสมุทร Reykjanes แห่งนี้เปรียบเสมือนดินแดนที่จะย้อนเวลาให้คุณเข้าใจถึงการกำเนิดโลก ค้นพบเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาไฟ ทุ่งลาวา แผ่นดินไหว รอยแยก ชั้นหินต่าง ๆ น้ำพุร้อน และระบบความร้อนใต้พิภพได้เป็นอย่างดี

4. ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ บนเส้นทางวงกลมทองคำ (The Golden Circle)

เส้นทางวงกลมทองคำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้ความนิยมที่สุดของไอซ์แลนด์ มีระยะทางเมื่อขับรถวนรอบแค่ 240 กิโลเมตร และรวมสถานที่ที่ดีที่สุดที่ควรไปเยี่ยมชมในไอซ์แลนด์ไว้ถึง 3 แห่ง คุณสามารถขับรถเที่ยวจากเมืองเรคยาวิกวนเป็นวงกลมได้ใน 1 วัน โดยเริ่มจากอุทยานแห่งชาติ Thingvellir ซึ่งเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีทั้งประวัติศาสตร์และทิวทัศน์ที่สวยงาม และยังเป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกของทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรปแยกออกจากกัน นอกจากนี้หากคุณกล้าท้าความหนาวเย็น คุณสามารถไปดำน้ำตื้นหรือดำน้ำลึกได้ที่รอยแยกใต้น้ำซิลฟรา (Silfra Fissure) ซึ่งเป็นรอยแยกแผ่นทวีปยูเรเชีย-อเมริกาเหนือ หลังจากนั้นให้ขับรถไปที่หุบเขาเฮาคาดาลูร์ Haukadalur ซึ่งคุณจะพบกับกีย์เซอร์หรือน้ำพุร้อนใต้ดินที่พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ และที่สุดท้ายคือน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) น้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์และเป็นน้ำตกที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด

น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss)

5. น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss) และสโกกาฟอสส์ (Skógafoss)

น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์และสโกกาฟอสส์ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนใต้ไม่ไกลจากเมืองเรคยาวิก น้ำตกแห่งแรกที่คุณจะไปถึงคือน้ำตกเซลยาลันด์ฟอสส์ ซึ่งมีน้ำไหลลงมาจากหน้าผาสูงและเป็นทางเข้าสู่ถ้ำขนาดใหญ่ คุณสามารถเดินไปตามขอบถ้ำและเข้าไปด้านหลังน้ำตกเพื่อถ่ายภาพได้ เมื่อคุณขับรถต่อไปตามถนนอีกหน่อย คุณก็จะถึงน้ำตกสโกการ์ฟอสส์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใต้เงาของภูเขาไฟเอยาฟยาลลาโจกุล (Eyjafjallajökull) อันเลื่องชื่อ ที่เพิ่งปะทุจนต้องหยุดการจราจรทางอากาศทั้งหมดในปี 2010

น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss)
น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss)
น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skógafoss)
น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skógafoss)

6. หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์ (Vestmannaeyjar)

หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์อยู่นอกชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ที่มียอดเขาสูงชัน คุณใช้เวลานั่งเรือข้ามฟากจากแผ่นดินใหญ่เพียง 30 นาที แต่บรรยากาศให้ความรู้สึกเหมือนออกไปไกลหลายสิบกิโลเมตร คุณจะได้ยินเสียงร้องของนกทะเล เห็นหน้าผาสูงตระหง่าน และภาพกระท่อมที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนยอดเขา ประชากรกว่า 4,000 คนของเกาะอาศัยอยู่ที่เมือง Heimaey ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ และมีลาวาที่ไหลเป็นเส้นตรงผ่านใจกลางเมือง ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกพัฟฟินที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และคุณสามารถไปกับทัวร์เรือชมหมู่เกาะเพื่อชมพวกมันได้

หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์ (Vestmannaeyjar)
หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์ (Vestmannaeyjar)
นกพัฟฟิน
นกพัฟฟิน

7. น้ำตกเฮงกิฟอสส์ (Hengifoss)

น้ำตกเฮนกิฟอสส์เป็นน้ำตกที่สูงเป็นอันดับสามของไอซ์แลนด์ด้วยความสูงที่ 128 เมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามมาก มีความสูง 128 เมตร นับว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของน้ำตกที่สูงที่สุดของไอซ์แลนด์ น้ำตกเฮงกิฟอสส์มีความโดดเด่นด้วยช่องเขาที่อยู่โดยรอบ ซึ่งมีส่วนประกอบของหินสีแดงที่เกิดจากการ oxidation ของแร่เหล็กในโคลน แทรกตัวอยู่ระหว่างชั้นของกินบะซอลล์อายุราว 5-6 ล้านปี ที่เรียงตัวซ้อนกันเป็นชั้นๆ สีปูนแดงซึ่งทำให้น้ำตกแห่งนี้ดูสวยงามยิ่งขึ้น คุณสามารถเดินขึ้นเขาจากลานจอดรถไปที่น้ำตกได้ในเวลาประมาณ 40-60 นาที ซึ่งมีม้านั่งให้พักชมวิวเป็นระยะ ระหว่างทางคุณจะเจอกับน้ำตกลิทลันเนสฟอสส์ (Litlanesfoss) หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์มากที่สุด ไหลผ่านหินบะซอลต์รูปแท่ง (columnar basalt) ที่เกิดจากการเย็นตัวอย่างช้าๆ ของลาวาในช่วงไม่ถึง 20 ล้านปี

น้ำตกเฮงกิฟอสส์ (Hengifoss)
น้ำตกลิทลันเนสฟอสส์ (Litlanesfoss)

8. ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน (Jokulsarlon)

ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอนเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ทางใต้ตรงปลายๆ ของธารน้ำแข็ง “วาตนาเยอคูตล์” (Vatnajökull) อยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติสเกฟตาลเฟลล์ (Skeftalfell National Park) และเมืองฮอฟน์ (Höfn) มีขนาดกว้างถึง 18 ตารางกิโลเมตร และลึกประมาณ 200 เมตร หากคุณต้องการใกล้ชิดกับภูเขาน้ำแข็ง คุณสามารถเลือกเดินทางไปกับทัวร์ทางเรือ ซึ่งคุณอาจได้เจอกับแมวน้ำมากมายที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบและตรงใกล้ชายฝั่งทะเล หรืออาจกำลังพักผ่อนอยู่เหนือภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเลสาบ ทะเลสาบแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยฝูงนกอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูร้อน ที่คุณมีโอกาสได้ชมเหล่านกนางนวลและนกสายพันธุ์อื่นๆอีกด้วย

ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน (Jokulsarlon)

9. ธารน้ำแข็งฟอลซาลอน (Fjallsarlon)

ธารน้ำแข็งฟอลซาลอนคือทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่มาก อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติวนาโจกูล (Vatnajokull) ลักษณะคล้ายกับทะเลสาบโจกุลซาลอนแต่มีหน้าหาดที่ใหญ่กว่าและคนน้อยกว่า ทะเลสาบ ฟอลซาลอนอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขา ลักษณะเหมือนกำลังจะไหลลงมาแต่ถูกสกัดด้วยความเย็นจึงเกิดน้ำแข็งที่มีรูปร่างสวยงาม การมาถึงทะเลสาบแห่งนี้ก็เหมือนได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความฝันที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอันตระการตา คุณสามารถล่องเรือชมภูเขาน้ำแข็งและธารน้ำแข็งขนาดยักษ์ และสัมผัสทิวทัศน์ธรรมชาติอันน่าทึ่งได้

ธารน้ำแข็งฟอลซาลอน (Fjallsarlon)

10. อุทยานแห่งชาติสกัฟตาเฟล (Skaftafell National Park)

อุทยานแห่งชาติสกัฟตาเฟลล์เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ และเข้าถึงได้จากถนนวงแหวน (Ring Road) ประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ น้ำตกสีดำ Svartifoss ที่ไหลลงมาเหนือเสาหินบะซอลต์สีดำ คุณยังสามารถเดินไปที่ขอบของสกัฟตาเฟลส์โจกุล Skaftafellsjökull ในช่วงฤดูร้อน หรือเข้าร่วมทัวร์พร้อมไกด์เพื่อเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งของธารน้ำแข็ง ทิวทัศน์ที่น่าทึ่งที่สุดคือยอดเขา Hvannadalshnjúkur ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ ที่สูงถึง 2,110 เมตร คุณสามารถปีนขึ้นไปได้ในช่วงฤดูร้อนพร้อมไกด์ที่มีประสบการณ์

น้ำตกสีดำ Svartifoss
น้ำตกสีดำ Svartifoss
สกัฟตาเฟลส์โจกุล Skaftafellsjökull
Skaftafellsjökull

11. ฟยาดราเกลยูเฟอร์ (Fjaðrárgljúfur)

หุบโตรกฟยาดราเกลยูเฟอร์ อีกจุดท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้อยู่ไม่ไกลจากกทางตะวันออกเฉียงใต้ของถนนวงแหวน มีลักษณะเป็นช่องเขาที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งโบราณที่พยายามกัดเซาะชั้นลาวาภูเขาไฟในบริเวณนี้ จนเกิดเป็นแนวช่องแคบยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และลึก 100 เมตร เมื่อก่อนที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักเมื่อเทียบกับบริเวณชายฝั่งทางตอนใต้ จนกระทั่ง Justin Bieber มาถ่ายทำมิวสิควิดีโอบริเวณนี้!

ฟยาดราเกลยูเฟอร์ (Fjaðrárgljúfur)

12. ที่ราบสูงไอซ์แลนด์ (Icelandic Highlands)

ที่ราบสูงไอซ์แลนด์อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ มีพื้นที่กว้างใหญ่แต่แทบไม่มีคนอาศัยอยู่ และไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายบริเวณโดยรอบถนนวงแหวน แต่คุณจะได้พบกับน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน และทัศนียภาพอันงดงามของไอซ์แลนด์มากมาย ไฮไลท์หลักของที่นี่คือลานมันนาเลยการ์ (Landmannalaugar) ที่มีทั้งบ่อน้ำพุร้อน ภูเขาสูง และหุบเขากว้าง

ลานมันนาเลยการ์ (Landmannalaugar)

13. เมืองอคูเรย์รี่ (Akureyri)

เมืองอคูเรย์รี่เป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเมืองเดียวในไอซ์แลนด์ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีประชากรทั้งหมดประมาณ 18,000 คน และเป็นจุดตั้งต้นที่ดีในการสำรวจดินแดนทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับทะเลสาบมิวาทน์ (Mývatn Lake) และทริปชมวาฬในฮูสาวิก (Húsavík) นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอย่างเช่น บ้านเลาฟาส( Laufás Turf Houses) และสวนพฤกษศาสตร์อาร์กติก รวมถึงพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและโบสถ์ไอซ์แลนด์ที่สวยงามโดดเด่น ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมที่คุณสามารถมาตามล่าแสงเหนือในฤดูหนาว

เมืองอคูเรย์รี่ (Akureyri)

14. ทะเลสาบมิวาทน์ (Lake Mývatn)

หากคุณมาเที่ยวเพื่อชมธรรมชาติในไอซ์แลนด์ ทะเลสาบมิวาท์นก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้เป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งสำหรับการท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ในฤดูหนาว เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของบ่อน้ำพุร้อนจากลาวาภูเขาไฟจำนวนหลายแห่ง จัดว่าเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรณีวิทยา ได้รับการประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ของไอซ์แลนด์  ในฤดูหนาวทะเลสาบใจกลางประเทศแห่งนี้จะมีหิมะปกคลุม น้ำในทะเลสาบแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง ดูสวยงามตระการตามาก และอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่พลาดไม่ได้ คือการมานอนแช่ออนเซ็นต์แบบไอซ์แลนด์ ที่ Myvatn Nature Baths  ซึ่งเป็นเขตอาบน้ำแร่ที่อุดมไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ

ทะเลสาบมิวาทน์ (Mývatn Lake)
ทะเลสาบมิวาทน์ (Mývatn Lake)

15. น้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss)

ไอซ์แลนด์เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องน้ำตก แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่ทรงพลังเท่ากับน้ำตกเดตติฟอสส์ซึ่งมีขนาดที่สูงชันถึง 44 เมตร และปริมาณน้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาทุกวินาทีทำให้น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสองของยุโรป ถึงแม้ว่าน้ำตกแห่งนี้จะไม่ใช่น้ำตกที่ถ่ายรูปออกมาสวยที่สุด แต่ก็ทำให้คุณเห็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันทรงพลังของไอซ์แลนด์ที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก

น้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss)

16. หุบเขาอัสบีร์กี (Ásbyrgi)

หุบเขาอัสบีร์กีตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่แปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์ หุบเขาแห่งนี้มีความยาว 3 กิโลเมตร และกว้าง 1 กิโลเมตร ในช่วงฤดูร้อน ด้านในของหุบเขาจะถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียวสดจากต้นไม้และพืชพันธุ์ที่มีชีวิตชีวา ที่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในไอซ์แลนด์ที่คุณจะได้เห็นต้นไม้มากมาย ทำให้ที่นี่เป็นจุดแวะที่ไม่เหมือนใครในแผนการเดินทางใดๆ หน้าผาของหุบเขาสูงขึ้นไป 100 เมตร ทำให้เพิ่มความเหนือจริงให้กับสถานที่มากขึ้นไปอีก

หุบเขาอัสบีร์กี (Ásbyrgi)

17. น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss)

น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss) เป็นอีกหนึ่งจุดใน ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ที่สำคัญในเขตทะเลสาบมีวัทน์ (Myvatn Lake) โดย คำว่าโกดาฟอสส์นั้นแปลว่าน้ำตกแห่งพระเจ้า (Waterfall of God) ซึ่งดูนยิ่งใหญ่อลังการสมชื่อจริงๆ เพราะน้ำตกที่นี่มีความงดงามและใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ความงดงามของน้ำตกแห่งนี้เกิดจากสายน้ำตกของโกดาฟอสส์ที่มีลักษณะโค้งเป็นครึ่งวงกลมและไหลตกลงมายังแอ่งขนาดใหญ่ตรงกลาง ในฤดูหนาวเส้นทางจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน  น้ำในแอ่งบางส่วนจับตัวเป็นน้ำแข็งน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้มาเที่ยวไอซ์แลนด์ในหน้าหนาว

น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss)
น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss) และแสงเหนือ

18. เมืองฮูสาวิก (Húsavík)

สิ่งที่ดีที่สุดของไอซ์แลนด์ต้องรวมถึงเมืองฮูสาวิกอย่างแน่นอน ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ทางชายฝั่งตอนเหนือ และที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการชมวาฬของประเทศไอซ์แลนด์ เมืองฮูสาวิกอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล และตลอดทั้งปี แหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในอ่าวดึงดูดวาฬหลากหลายสายพันธุ์จำนวนมาก ในช่วงเวลาต่างๆ ของปี คุณสามารถเจอได้ทั้งวาฬออร์กา วาฬสีน้ำเงิน วาฬมิงค์ วาฬสเปิร์ม และวาฬหลังค่อม นอกจากนี้ยังมีปลาโลมา วาฬหัวทุย และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนเข้าร่วมทริปชมวาฬ คุณควรแวะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วาฬฮูซาวิกเพื่อศึกษาเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตในบริเวณนี้

วาฬในฮูสาวิก (Húsavík)
วาฬในฮูสาวิก (Húsavík)

19. เวสท์ฟยอร์ด (Westfjords)

เวสท์ฟยอร์ด หรือฟยอร์ดตะวันตกเป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ความเป็นมาและลักษณะทางธรณีวิทยาที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ความน่าทึ่งของเวสท์ฟยอร์ด คือมีการก่อตัวของหินที่มีอายุมากถึง 14 ล้านปี ทำให้เวสท์ฟยอร์ดกลายเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในไอซ์แลนด์ มีส่วนที่เป็นคอคอดขนาดกว้าง 7 กิโลเมตร และทางตะวันตกจะมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงและเนินเขาสูงชัน ความโค้งเว้าของภูมิประเทศทำให้มีการคมนาคมทางบกที่ไม่สะดวก ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนอาศัยอยู่นัก แต่เป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ประจำถิ่นทั้งนกอินทรี แกะ และสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก ส่วนผู้คนมักจะอาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้านชาวประมงที่ริมชายฝั่ง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือน้ำตก Dynjandi ซึ่งสูงถึง 100 เมตร ไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของเวสท์ฟยอร์ดคือหาดเราดาซานดูร์ (Rauðasandur Beach) หาดทรายยาวที่มีทรายสีแดง

น้ำตก Dynjandi ที่เที่ยวไอซ์แลนด์
น้ำตก Dynjandi
 หาดเราดาซานดูร์ (Rauðasandur Beach) ที่เที่ยวไอซ์แลนด์
หาดเราดาซานดูร์ (Rauðasandur Beach)

20. คาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snæfellsnes Peninsula)

คาบสมุทรสไนล์แฟลซเนสตั้งอยู่ระหว่างเมืองเรคยาวิกทางใต้และทางตอนเหนือของเวสท์ฟยอร์ด ภูเขา Kirkjufell ที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือน้ำตกเคิร์กจูแฟลส์ฟอสส์ (Kirkjufellsfoss) เกิดองค์ประกอบโดยรวมที่ดูสวยงามสมบูรณ์แบบสำหรับการถ่ายภาพลงอินสตราแกรมเป็นอย่างมาก ด้านปลายสุดทางตะวันตกของคาบสมุทรเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติสไนล์เฟลส์โจกุล (Snæfellsjökull National Park) คุณจะได้พบกับแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ปกคลุมภูเขาไฟ ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่คลาสสิกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์!

ภูเขา Kirkjufell ที่เที่ยวไอซ์แลนด์

ประเทศไอซ์แลนด์เป็นดินแดนแห่งธรรมชาติอันงดงามแปลกตา มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีกิจกรรมให้คุณได้เลือกทำอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถชมทิวทัศน์ การเดินป่า ทัวร์ชมวาฬ ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนในฤดูร้อน และแสงเหนือในฤดูหนาว เป็นต้น แต่การเดินทางไป เที่ยวไอซ์แลนด์ ที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน ก็อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : roadaffair.com, thecrazytourist.com, planetware.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 Tourist Attractions in Winter EP.2

10 ที่เที่ยวฤดูหนาว ต่างประเทศ สวยตรึงใจ EP.2

ฤดูหนาวในประเทศเมืองหนาวที่แตกต่างจากประเทศไทยเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ที่สุดของปีที่ควรไปสัมผัส จุดหมายปลายทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโปรยปราย ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เป็นสิ่งที่ชาวเมืองร้อนอย่างเราอยากมีประสบการณ์ได้ไปสักครั้ง ในบทความที่แล้วเราได้ แนะนำ 10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว สวยตรึงใจ EP.1 ไปแล้ว วันนี้ Allianz Travel ขอแนะนำ 10 ที่เที่ยวฤดูหนาว ในต่างประเทศที่สวยงามที่สุด EP.2 เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนเที่ยวฤดูหนาว พร้อมยกตัวอย่างกิจกรรมฤดูหนาวที่ห้ามพลาดของแต่ละเมืองมาให้คุณได้ค้นหาสิ่งที่คุณสนใจ มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย!

1. เมืองทรอมโซ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์

เมืองทรอมโซตั้งอยู่ห่างจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลไปทางเหนือมากกว่า 300 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองหลวงของอาร์กติก และมีผู้พูดถึงกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดตั้งต้นในการชมแสงเหนือ และมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ในฤดูหนาว เรามักจะเห็นหิมะแรกในเดือนตุลาคม และหลังจากนั้นก็จะมืดลง (และเย็นลง) ทุกวัน ในช่วงก่อนที่เทศกาลคืนขั้วโลกจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า คุณจะได้สัมผัสแสงสีมหัศจรรย์บนท้องฟ้าทั้งในตอนเช้าและตอนบ่าย ตั้งแต่สีส้ม ชมพู ไปจนถึงฟ้า เป็นประสบการณ์อันน่าทึ่งและเป็น ที่เที่ยวฤดูหนาว ที่ควรไปชื่นชมอย่างยิ่ง

ที่เที่ยวฤดูหนาว Tromsø, Tromso in Norway

กิจกรรมแนะนำ

  • เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของแสงเหนือหรือแสงออโรร่าผ่านท้องฟ้าอาร์กติกในช่วงเดือนกันยายนถึงเมษายน 
  • ดูวาฬในทะเลนอก Skjervøy ทางเหนือของ Tromsø ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม คุณอาจโชคดีได้พบกับวาฬออร์กา วาฬหลังค่อม และวาฬมิงก์
Whale in Tromso
  • นั่งเลื่อนที่ลากโดยสุนัขสัมผัสผ่านภูมิประเทศที่สวยงามรอบๆ ทรอมโซเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
  • สำรวจฟยอร์ดโดยเรือเพื่อชมภูมิทัศน์ของฟยอร์ดในพื้นที่ทางธรรมชาติที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
  • ท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตของชาวซามิ เช่น พักในกระโจมของชนเผ่าแบบเดิม ชมแสงเหนือ และสัมผัสกับกวางเรนเดียร์อย่างใกล้ชิด รวมถึงการชมนิทรรศการศิลปะของชาวซามิซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Northern Light in Tromso

2. ควิเบ็กซิตี้ (Quebec City) ประเทศแคนาดา

ควิเบกเป็นสถานที่พักผ่อนในเมืองที่ยอดเยี่ยมในฤดูหนาว คุณจะได้เห็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป กำแพงหินอันยิ่งใหญ่ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับศูนย์กลางประวัติศาสตร์ อาคารรัฐสภาจำลองตามพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อันโด่งดังในกรุงปารีส เสียงพูดภาษาฝรั่งเศสลอยอยู่เหนือถนนที่ปูด้วยหินขณะที่ระฆังโบสถ์ส่งเสียงดังแว่วมาแต่ไกล และหิมะจำนวนมาก หากคุณมาถึงในเดือนธันวาคม คุณจะได้เดินชมตลาดคริสต์มาสที่มีแผงขายของตั้งแต่ขนมจากต้นเมเปิ้ลไปจนถึงของเล่นไม้ทำมือ นอกจากนี้ฤดูหนาวที่นี่มีเทศกาล งานอีเวนต์ และงานแสดงสินค้ามากมาย คุณจะเห็นว่าผู้คนในควิเบกซิตี้สนุกสนานกันอย่างมากเมื่ออุณหภูมิลดลง

ที่เที่ยวฤดูหนาว Quebec City, Canada

กิจกรรมแนะนำ

  • สไลด์แคร่เลื่อนหิมะที่อยู่ใจกลางเมือง พุ่งไปตามทางที่เป็นน้ำแข็งลงจากเนินเขาด้วยความเร็วสูงสุด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • เยี่ยมชมหรือพักค้างคืนที่โรงแรมน้ำแข็ง Hotel de Glace หนึ่งในโรงแรมน้ำแข็งเพียงไม่กี่แห่งในโลก ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดทุกปีด้วยธีมที่แตกต่างกัน 
  • ชิม Maple Taffy ที่ทำจากเมเปิ้ลไซรัป น้ำเชื่อมจากต้นเมเปิ้ลที่อร่อยและขึ้นชื่อของประเทศแคนาดา ในช่วงเทศกาลฤดูหนาว ร้านค้าจะนำน้ำเชื่อมเมเปิ้ลราดลงบนน้ำแข็งเป็นทางยาว จากนั้นจึงนำไม้มาม้วนน้ำเชื่อมที่แข็งตัวเป็นลูกอมเมเปิ้ลแสนหวาน
Maple Taffy in Quebec City, Canada
  • หากคุณมาเที่ยวในเดือนธันวาคม อย่าพลาดการจัดงานคริสต์มาสที่ลาน Château Frontenac พร้อมด้วยต้นคริสต์มาสยักษ์และไฟประดับมากมาย
  • ตกปลาในน้ำแข็งที่หมู่บ้านนอร์ดิกแห่งท่าเรือควิเบก เพื่อสัมผัสประสบการณ์ฤดูหนาวในพื้นที่เมืองที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในฤดูหนาว
Activity in Quebec City, Canada

3. แลปแลนด์ (Lapland) ประเทศฟินแลนด์

แลปแลนด์ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศฟินแลนด์ มีภูมิอากาศแบบป่าสนหรือกึ่งอาร์กติก ฤดูหนาวในแลปแลนด์เป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ที่สุดของปีที่ควรไปเยือน จุดหมายปลายทางแห่งเทศกาลคริสต์มาสที่เราทุกคนใฝ่ฝันถึงตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของซานตาคลอสอีกด้วย คุณจะได้พบกับทิวทัศน์ฤดูหนาวอันสวยงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นอันน่าหลงใหล ตามด้วยค่ำคืนแสนสบายข้างกองไฟหรือในกระท่อมน้ำแข็งใต้แสงเหนือ แลปแลนด์มีทั้งความโรแมนติกและการผจญภัย ดังนั้นจึงรับประกันความสนุกสำหรับทุกคนในครอบครัวเลยค่ะ

ที่เที่ยวฤดูหนาว Northern Light, Lapland

กิจกรรมแนะนำ

  • ตามล่าหาแสงเหนือสีสวยเรืองแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
  • นั่งเลื่อนที่ลากด้วยกวางเรนเดียร์ หรือขับเคลื่อนด้วยสุนัขลากเลื่อน Husky Safari
Husky Safari, Lapland
  • ล่องเรือตัดน้ำแข็งอย่าง SAMPO Icebreaker ที่มีชื่อเสียงดังระดับโลก
  • เยี่ยมชมหมู่บ้านซานตาคลอส หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของแลปแลนด์ 
  • พักค้างคืนในโรงแรมน้ำแข็ง ทานอาหารในร้านอาหารหิมะ ดื่มเครื่องดื่มในบาร์น้ำแข็ง และแวะชมปราสาทหิมะ
Santa Claus Village, Lapland

4. ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ประเทศญี่ปุ่น

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านโบราณเก่าแก่อายุกว่า 250-300 ปี ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ.2538 ตั้งอยู่ในหุบเขาในเขตจังหวัดกิฟูและโทยาม่า (Gifu and Toyama Prefectures) ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วยบ้านเรือนกระจายไปในแนวเหนือ-ใต้ ตามที่ราบแคบๆ ที่ขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ (Shokawa River) มีชื่อเสียงในเรื่องของการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบ “กัสโซซึคุริ” อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ คำว่ากัสโชหมายถึง ‘มืออธิษฐาน’ ซึ่งหมายถึงหลังคามุมสูงของบ้านที่ดูเหมือนมือของพระสงฆ์ในการอธิษฐาน และสิ่งที่ทำให้น่าสนใจขึ้นไปอีกก็คือหลังคาที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูหรือวัสดุโลหะใดๆ โดยทั้งหมดทำจากฟางและไม้ที่มาจากป่ารอบๆ หมู่บ้าน เป็นหนึ่งใน ที่เที่ยวฤดูหนาว ที่หลายๆ คน อยากไปสัมผัสความงามสักครั้ง

ที่เที่ยวฤดูหนาว Shirakawago, Japan

กิจกรรมแนะนำ

  • พักในบ้านกัสโช เพื่อสัมผัสการใช้ชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในชิราคาวาโกะ 
  • ชิมอาหารท้องถิ่น อย่างเช่น โคร็อกเกะเนื้อฮิดะ
  • ชมวิวที่จุดชมวิวเท็นชุคาคุ (Tenshukaku Observatory) เพื่อเก็บภาพมุมสูงแบบพาโนราม่าของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
  • แช่ออนเซ็นกลางแจ้งที่ชิราคาวาโกะโนะยุออนเซ็น (Shirakawago no Yu) และชมวิวสวยๆของธรรมชาติรอบๆและแม่น้ำโชกาวะ
  • ชมงานประดับไฟยามเย็นที่จัดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 

5. เมืองเบอร์เกน (Bergen) ประเทศนอร์เวย์

เบอร์เกนเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศนอร์เวย์รองลงมาจากกรุงออสโล ล้อมรอบด้วยภูเขาและตั้งอยู่ใกล้กับซองเนฟยอร์ด (Sognefjord) ฟยอร์ดที่ยาวและลึกที่สุดของนอร์เวย์ เบอร์เกนมีท่าเรือใหญ่เป็นอันดับต้นๆของนอร์เวย์ จึงทำให้เป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในเมืองที่ถูกยกย่องให้เป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป ปัจจุบันบ้านเรือนต่างๆ กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และแกลลอรี่ โชว์งานศิลปะต่างๆ ด้วย

Bergen, Norway

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินชมท่าเทียบเรือเก่า Bryggen ที่มีอายุเกือบ 300 ปี อาคารไม้สีพาสเทลสดใสเรียงรายตามถนนขนานไปกับริมน้ำ และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ 
  • นั่งรถกระเช้าไฟฟ้า Fløibanen ไปยังยอดเขา Fløyen เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงาม
  • ขึ้นเคเบิลคาร์ Ulriken เพื่อขึ้นไปจุดสูงสุดของ “ภูเขาทั้ง 7” ชมภูมิประเทศบนภูเขาสูง 643 เมตรเหนือถนนในเมือง
  • ล่องเรือชมฟยอร์ดที่สวยงามที่สุดของนอร์เวย์
  • เดินเขาท้าความสูงขึ้นไปบนหน้าผาโทรลล์ทุงก้า (Trolltunga) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก (ในฤดูหนาวต้องมีไกด์นำทาง)
Trolltunga in Bergen, Norway

6. กรุงปราก (Prague) สาธารณรัฐเช็ก

ปรากเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยว ฤดูหนาวในปรากเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ คุณจะได้เห็นเมืองที่สวยงามแห่งนี้ภายใต้หิมะที่โปรยปราย สถานที่ท่องเที่ยวจะแออัดน้อยกว่าช่วงฤดูท่องเที่ยว คุณจะได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่ดีที่สุดในปรากในฤดูหนาวโดยปราศจากฝูงชนที่มักจะเต็มท้องถนน!

Prague, Czech

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินไปตามถนน เพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมยุคโกธิก บาโรก และอาคารสมัยใหม่ที่ผสมผสานกันอย่างน่าทึ่ง
  • สำรวจตลาดคริสต์มาส ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม ดูแผงขายของประดับตกแต่งวันคริสต์มาส ของขวัญ ของที่ระลึก ตลอดจนอาหารและเครื่องดื่มอุ่นๆ อร่อยๆ
  • เล่นสเก็ตน้ำแข็งตามลานสเก็ตยอดนิยม เช่น Victory Square 
  • เยี่ยมชมปราสาทปราก และอย่าพลาดการเปลี่ยนเวรยามเวลา 12.00 น. ภายในประตูปราสาท
  • ถ่ายรูปยามเช้าที่สะพานชาร์ลส์ เพื่อสัมผัสความเงียบสงบและปกคลุมไปด้วยหิมะโปรยปราย
Christmas Market in Prague, Czech

7. เมืองเซโกเบีย (Segovia) ประเทศสเปน

เมืองเซโกเบีย เป็นหนึ่งในหลายๆ เมืองมรดกโลกของสเปนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาเกือบ 2 พันปี ตั้งอยู่ในแคว้น Castile and León ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Guadarrama ห่างจากเมืองแมดริดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 70 กิโลเมตร ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือระบบท่อส่งน้ำและสะพานส่งน้ำ (Aqueduct bridge) อันแสดงถึงความรุ่งเรืองของชาวโรมัน มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมแบบโรมันที่เรียกว่าอาร์กโค้งที่มีช่องโค้งทั้งหมด 166 ช่วง ยาวถึง 17 กิโลเมตรจากแม่น้ำ Acebeda ในเทือกเขา Sierra de Fuenfría โครงสร้างทางวิศวกรรมถูกสร้างขึ้นจากบล็อคหินแกรนิต 20,400 ชิ้น ถือว่าเป็น 1 ในแลนด์มาร์คของเซโกเวียที่หากมาถึงก็ต้องถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกแน่นอน

Segovia, Spain

กิจกรรมแนะนำ

  • ขึ้นไปบนจุดชมวิวข้างจัตุรัส Plaza Artillería เพื่อชมวิวสะพานส่งน้ำและตัวเมืองเก่า
  • เดินเล่นผ่าน Calle Juan Bravo ดูร้านขายงานศิลปะและงานฝีมือในท้องถิ่น 
  • ชมปราสาท Alcazar สถานที่ประทับของกษัตริย์และราชินีแห่งอาณาจักรคาสติล ว่ากันว่าเป็นปราสาทต้นแบบของปราสาทเจ้าหญิงนิทราในดีสนีย์แลนด์
  • ปีนขึ้นไปบนยอดหอคอย Torre de Juan II เพื่อชมพระอาทิตย์ตก
  • ลองชิม Ponche Segoviano เค้กสเปนแบบดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดจากเมืองเซโกเวีย

8. ทะเลสาบเบลด (Lake Bled) ประเทศสโลวีเนีย

ทะเลสาบเบลดมีความสวยงามตลอดทั้งปี แต่หิมะสีขาวปกคลุมทำให้ที่นี่มีมนต์ขลังมากยิ่งขึ้น! ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและแสงไฟคริสต์มาสทำให้เบลดกลายเป็นเทพนิยายในฤดูหนาวจริงๆ เบลดในฤดูหนาวจะมีนักท่องเที่ยวน้อยและราคาถูกกว่าช่วงไฮซีซั่นในฤดูร้อนมาก นอกจากนั้น คุณสามารถเลือกกีฬาฤดูหนาวและกิจกรรมฤดูหนาวมากมายเพื่อทำให้วันหยุดที่ทะเลสาบเบลดของคุณพิเศษยิ่งขึ้น เดือนธันวาคมมีมนต์ขลังเป็นพิเศษเนื่องจากมีการประดับประดาคริสต์มาส ตลาดคริสต์มาส และกิจกรรมรื่นเริงมากมาย

Lake Bled, Slovenia

กิจกรรมแนะนำ

  • เยี่ยมชมเกาะเบลดที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ด้วยการเช่าเรือพายไปเอง หรือนั่งเรือพายรับส่งแบบดั้งเดิมก็ได้
  • ชมพระอาทิตย์ตกจากปราสาทเบลด เพลิดเพลินกับการแสดงธรรมชาติที่เปลี่ยนสีเหนือทะเลสาบและภูเขาด้านหลัง 
  • เดินเล่นรอบทะเลสาบเบลดชมทัศนียภาพที่สมบูรณ์แบบของเกาะเบลดจากทุกมุม
  • ชิมครีมเค้ก Bled แบบดั้งเดิม 
  • ขึ้นบันได 99 ขั้นไปยังโบสถ์บนเกาะเบลด เพื่อไปตี “ระฆังขอพร” สามครั้ง แล้วคำอธิษฐานของคุณจะเป็นจริง แต่มีข้อแม้คือคุณสามารถขอพรได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น

9. เมืองฮาร์บิน (Harbin) ประเทศจีน

เมืองฮาร์บินอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูหนาว ทุกเดือนมกราคมจะมีการจัดเทศกาลประติมากรรมน้ำแข็งและหิมะนานาชาติ ซึ่งเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการสร้างหมู่บ้านน้ำแข็งอันวิจิตรงดงามพร้อมโคมไฟน้ำแข็งสำหรับเทศกาลที่ยาวนานถึงหนึ่งเดือน เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือในตอนเย็น เมื่อเมืองน้ำแข็งสว่างไสวด้วยแสงไฟหลากสีนับพันดวง งานประจำปีนี้เปลี่ยนพื้นที่หลายแห่งของเมืองให้กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งหิมะที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก

Harbin, China

กิจกรรมแนะนำ

  • เพลิดเพลินไปกับดินแดนมหัศจรรย์แห่งน้ำแข็งและหิมะในเทศกาลน้ำแข็งและหิมะนานาชาติ ตื่นตาตื่นใจไปกับความงามของประติมากรรมกว่า 2,000 ชิ้นและตัวละครจากหิมะที่อาบแสงหลากสี
  • ดูคนท้องถิ่นรวมตัวกันในตอนเช้าที่แม่น้ำซงหัว (Songhua) เพื่อว่ายน้ำในฤดูหนาว!
  • เดินข้ามแม่น้ำซงหัวที่กลายเป็นน้ำแข็งกว้างประมาณ 100 เมตร โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สกีพิเศษ 
  • ลองทานอาหารฮาร์บินที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารรัสเซีย มองโกเลีย และจีนทางตอนเหนือ 
  • ดูเสือไซบีเรียอย่างใกล้ชิดที่สวนเสือไซบีเรีย แหล่งอนุรักษ์เสือไซบีเรียที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Siberian Tigers in Harbin, China

10. อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา

การเยี่ยมชมอุทยายแห่งชาติเยลโลว์สโตนในฤดูหนาวเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ ป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะมีความเงียบอันน่าพิศวง กลุ่มควันไอน้ำลอยขึ้นอย่างแผ่วเบารอบๆ บ่อน้ำพุร้อน อากาศแห่งความสันโดษแผ่ซ่านไปทั่วดินแดนมหัศจรรย์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอันบริสุทธิ์ สัมผัสความเงียบสงบของฤดูกาล คุณมีโอกาสผจญภัยและเชื่อมต่อกับธรรมชาติบนพรมแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่รอการพิชิตจากนักสำรวจเช่นคุณ ถ้าคุณวางแผนการเดินทางไว้อย่างเหมาะสม เยลโลว์สโตนเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่ดีที่สุดที่ควรไปเยี่ยมชมในเดือนธันวาคมและช่วงที่เหลือของฤดูหนาว การแช่น้ำพุร้อน เล่นสกีครอสคันทรีไปเล่นน้ำตก และชมสัตว์ป่าที่ลงมาจากภูเขาเป็นสิ่งที่ต้องทำในเยลโลว์สโตนในฤดูหนาว

Yellowstone in winter

กิจกรรมแนะนำ

  • เล่นสกีครอสคันทรี 
  • เดินลุยหิมะด้วยรองเท้าเดินบนหิมะไปยังจุดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม 
  • ไปทัวร์กับรถสโนว์โค้ช เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่สวยงามและสัตว์ป่า
  • ขี่สโนว์โมบิล สัมผัสสายลมที่พัดผ่านอย่างรวดเร็วผ่านภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหิมะ
Drive in snow, Yellowstone
  • ทัวร์ชมสัตว์ป่ากับไกด์นักธรรมชาติวิทยา 
  • ตกปลาในน้ำแข็งที่ทะเลสาบ Hebgen ทางเหนือของ West Yellowstone
Snow in Yellowstone

หากคุณมีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงฤดูหนาว ก็ควรจัดเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม เช่น เสื้อกันหนาวที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของประเทศที่เราจะเดินทางไป ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้า ที่ปิดหูเพื่อให้ความอบอุ่น เป็นต้น ถ้าเราเอาเสื้อผ้าหรือของใช้จำเป็นไปไม่เพียงพอก็อาจทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยจนหมดสนุก และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศในช่วงฤดูหนาว ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : wanderherway.com, planetware.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Allianz Travel : 10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว สวยตรึงใจ

10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว สวยตรึงใจ EP.1

ช่วงฤดูหนาวเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับการไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติที่แตกต่างไปจากประเทศไทย อย่างเช่น ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ทะเลสาบน้ำแข็ง ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสท่ามกลางอากาศเย็น เพราะเราจะได้เจอกับสิ่งที่แปลกใหม่ บรรยากาศแปลกใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และผู้คนก็แปลกใหม่ Allianz Travel ขอแนะนำ 10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว ที่สวยงามที่สุด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นข้อมูลให้กับทริปฤดูหนาวของคุณ มาค้นหาสถานที่ท่องเที่ยววันหยุดฤดูหนาวที่ดีที่สุดท่ามกลางหิมะทั่วโลกกันเถอะ

1. เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

ชิคาโก้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางฤดูหนาวที่สวยงามแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่มีลมพัดแรงตลอดทั้งปี จนถูกขนานนามว่า Windy City เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์จะเป็นช่วงเดือนที่หนาวที่สุด หากคุณโชคดีและไปเยี่ยมเยียนในช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัด คุณอาจเห็นทะเลสาบมิชิแกนกลายเป็นน้ำแข็ง และเล่นเลื่อนหิมะ หรือเดินบนหิมะท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงาม นอกจากนี้ฤดูหนาวในชิคาโกเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเดินทางผ่านแสงไฟในวันหยุดที่ส่องแสงระยิบระยับ เดินดูลานสเก็ตน้ำแข็งกลางแจ้งหลายแห่งในเมือง หรือนั่งสบายๆ ในคาเฟ่ของพิพิธภัณฑ์ และที่สำคัญการได้ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ ขณะที่เดินไปตามถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก็นับเป็นประสบการณ์ที่ควรอยู่ในลิสต์เลยค่ะ!

Chicago USA

กิจกรรมแนะนำ

  • ชมต้นคริสต์มาสประดับไฟสวยงามที่สวนสาธารณะ Millennium Park 
  • จิบ Glühwein หรือไวน์ร้อน เลือกซื้อของขวัญทำมือ เพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เยอรมันใต้เกล็ดหิมะและแสงไฟระยิบระยับ ที่ตลาดไครสต์คินเดิล (Christkindle market) ตลาดประจำปีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศเยอรมนี 
  • เล่นสเก็ตน้ำแข็งที่ Maggie Daley Park สัมผัสประสบการณ์ “เทือกเขาแอลป์ในเมือง” บนแถบน้ำแข็งที่คดเคี้ยวโค้งขึ้นและลงรอบๆ กำแพงสูง 40 ฟุต โดยมีเส้นขอบฟ้าที่สวยงามของเมืองเป็นฉากหลัง
  • ขึ้นรถไฟและรถประจำทางของ Chicago Transit Authority ที่ตกแต่งภายในและภายนอกด้วยของประดับตกแต่งตามเทศกาลและไฟนับพันดวงเพื่อให้ส่องแสงระยิบระยับขณะร่อนและระยิบระยับไปรอบๆ เมืองชิคาโก
Chicago USA Winter

2. เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

เมืองทาลลินน์ในเอสโตเนียมาพร้อมกับมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาว คุณจะได้เห็นเมืองเก่าในยุคกลางปกคลุมไปด้วยหิมะ หนาเป็นชั้นๆ และเกล็ดหิมะเล็กๆ โปรยปรายอยู่เหนือหอคอยโบสถ์สไตล์โกธิคและป้อมปราการของปราสาท การมาถึงทาลลินน์ก็เหมือนกับการเดินเข้าไปในเทพนิยายในฤดูหนาว เมืองในยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของยุโรป มีความงดงามในช่วงเวลาต่างๆ ของปี แต่ในช่วงวันที่หนาวเย็นของฤดูหนาว หิมะจะเพิ่มความมหัศจรรย์เป็นพิเศษ

Tallinn in Estonia

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินเล่นที่ Old Town Square ในเดือนธันวาคม กินอาหารสำหรบเทศกาลคริสต์มาส และถ่ายรูกับต้นคริสต์มาสยักษ์ที่ประดับด้วยไฟระยิบระยับ
  • ดื่ม Glögi หรือ Hõõgwein ไวน์แดงที่ผสมกับบรั่นดี รัม หรือวอดก้า ต้มกับเครื่องเทศ เช่น กานพลู อบเชย ขิง กระวาน และลูกจันทน์เทศ เวลาดื่มก็ต้องดื่มแบบอุ่นหรือร้อนๆ
  • เล่นสเก็ตที่ Uisuplats Ice Rink บนถนน Harju ถัดจากโบสถ์ St Nicholas โดยมีฉากหลังเป็นอาคารยุคกลางที่สวยงาม 
  • ขึ้นไปชมวิวบนเนินเขา Toompea จากจุดชมวิว Kohtuotsa และ Patkuli ที่มองเห็นทิวทัศน์พาโนรามาของหลังคาบ้านเรือนที่ปกคลุมด้วยหิมะ ป้อมปราการที่ปูด้วยกระเบื้องสีแดง และโบสถ์ที่มียอดแหลม
Winter in Tallinn, Estonia

3. อุทยานแห่งชาติ Plitvice Lakes ประเทศโครเอเชีย

อุทยานแห่งชาติ Plitvice Lakes ตั้งอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ที่สวยงามโครเอเชีย ประกอบด้วยหุบเขาหินปูน ป่าไม้ ทะเลสาบ 16 แห่งที่เชื่อมต่อถึงกัน น้ำตก 90 แห่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีทิวทัศน์อันน่าทึ่งจากทุกมุม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเยี่ยมชมที่นี่ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือในฤดูหนาว Plitvice จะกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์

Plitvice Lakes, Croatia

กิจกรรมแนะนำ

  • ชมความงดงามของทะเลสาบพลิทวิเซ่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวทุกหนทุกแห่งจากมุมสูง และชมน้ำตกขนาดใหญ่ที่น้ำไหลลงบนธารน้ำแข็ง
  • เดินตามทางเดินริมทะเลสาบตอนล่างและลัดเลาะชมทิวทัศน์ของป่าที่เต็มไปด้วยหิมะ
  • สำหรับผู้ที่รักการเล่นสกี คุณสามารถฝึกกีฬานี้ได้จากทางเข้าใกล้กับหมู่บ้าน Mukinje ซึ่งมีทางลาดที่ง่ายกว่าเหมาะสำหรับเด็กและสำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเลื่อนหิมะ
  • สำรวจและเรียนรู้ระบบนิเวศทางธรรมชาติของอุทยานบน 8 เส้นทาง
Winter in Plitvice Lakes, Croatia

4. สวนลิงจิโกคุดานิ (Jigokudani Monkey Park) ประเทศญี่ปุ่น

สวนลิงป่าจิโกคุดานิตั้งอยู่ในหุบเขาที่เงียบสงบทางตะวันออกของเมืองนากาโนะ เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงแสมญี่ปุ่นหรือเรียกกันว่าลิงหิมะจำนวนมากที่ลงมาจากภูเขาเพื่อรับความอบอุ่นจากน้ำพุร้อน โดยนั่งแช่น้ำอุ่นในออนเซ็น (น้ำพุร้อนของญี่ปุ่น) อยู่กันเต็มบ่อ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า พวกมันอาบน้ำในฤดูหนาวเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและลดระดับความเครียด และสวนแห่งนี้ก็เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่หาตัวได้ยากนี้อย่างใกล้ชิด พวกลิงมาที่บ่อน้ำตลอดปี แต่มักจะใช้เวลาอยู่ในบ่อนานๆ ในช่วงฤดูที่มีอากาศหนาว ดังนั้น ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมคือช่วงที่ดีที่สุดในการมาเยี่ยมชมที่นี่

Jigokudani Monkey Park, Japan

กิจกรรมแนะนำ

  • ทางเดินยาว 2 กิโลเมตรที่เริ่มจากคังบายาชิอนเซ็นตัดผ่านป่าที่เงียบสงบ ในฤดูหนาวทางเดินนี้สวยงามเป็นพิเศษ คุณน่าจะเพลิดเพลินไปกับการเดินมากพอๆ กับการได้พบฝูงลิง ป้ายต่างๆ ตามทางเดินผ่านป่าไปจนถึงบ่อน้ำจะให้ข้อมูลแก่ผู้มาเยือนเกี่ยวกับลำดับชั้นทางสังคม พฤติกรรม และการเลี้ยงลูกของลิงกัง
  • สังเกตทุกอากัปกิริยาของเหล่าลิงรอบๆ บ่อน้ำ พวกมันคุ้นเคยกับการมีมนุษย์รายล้อม ดังนั้นคุณสามารถถ่ายรูปได้ แต่มักจะไม่ได้รับความสนใจจากพวกมันเลย
  • มองหาลูกลิงกังที่แสนซนและน่ารัก
Winter in Jigokudani Monkey Park, Japan

5. อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) ประเทศแคนาดา

อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) เป็นอุทยานที่เก่าแก่ที่สุดของแคนาดาและเป็นศูนย์กลางของสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทั้งทะเลสาบ ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ และน้ำพุร้อน มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และสัตว์ต่างๆ เช่น อินทรีย์สีทอง หมีกริซซ์ลี และ หมีดำ กวางมูส แพะภูเขา

Banff National Park, Canada

อุทยานแห่งชาติแบมฟ์จะเปลี่ยนเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งฤดูหนาวในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม เมื่อน้ำในทะเลสาบหลุยส์และทะเลสาบโมเรนใสที่สุด แบมฟ์ยังเป็นที่ตั้งของหุบเขาสิบยอด (Valley of the Ten Peaks) ดังนั้นคุณจะได้เห็นยอดเขาทั้งสิยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้คุณเลือก เพียงเตรียมอุปกรณ์กันหนาวที่เหมาะสมเพื่อให้คุณอบอุ่นและสบายตลอดทั้งวัน!

Valley of the Ten Peaks in Banff National Park, Canada

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินป่าในฤดูหนาว คุณจะรู้สึกเหมือนได้เข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์ในฤดูหนาวท่ามกลางต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ 
  • เล่นสเก็ตบนทะเลสาบน้ำแข็ง ล้อมรอบด้วยยอดเขาสูงตระหง่าน
  • ปั่นจักรยานล้อโต (Fat Bike) เพื่อสำรวจอุทยานแห่งชาติแบมฟ์
  • เช่ารองเท้าลุยหิมะออกไปสำรวจเส้นทางแถบทะเลสาบหลุยส์ หรือเข้าร่วมทัวร์ชมสีสันอันน่าทึ่งของ Marble Canyon ซึ่งเป็นช่องเขาหินปูนลึก 40 เมตร 
Train in Banff National Park, Canada

6. เมืองฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) ประเทศออสเตรีย

เมืองฮัลล์สตัทท์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) World Heritage Site ประเภท Cultural Landscape ภาพของหมู่บ้านที่มีเทือกเขาเป็นองค์ประกอบอยู่ด้านหลังแห่งนี้เป็นภาพคุ้นตาชาวโลกที่ถูกเผยแพร่มากที่สุด และจะสวยงามเป็นพิเศษในฤดูหนาว ดังนั้นคุณควรไปเยี่ยมชมเพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมที่มีรายละเอียดสวยงามและภูเขาซาลซ์บูร์กที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

Hallstatt, Austria

กิจกรรมแนะนำ

  • สำรวจถนนในเมืองฮัลล์สตัทท์ เดินเล่นไปตามถนนที่ขนาบข้างด้วยบ้านสีพาสเทลแบบดั้งเดิมพร้อมระเบียงที่สวยงาม ชมวิวริมทะเลสาบและภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะโดยรอบ 
  • แวะชมจตุรัสตลาดเก่าแก่ Central Square Marktplatz ที่คึกคักด้วยการตกแต่งที่สวยงาม ตลาดคริสต์มาส ดนตรี และกิจกรรมรื่นเริง 
  • ตื่นตาไปกับโบสถ์ประวัติศาสตร์ที่สวยงามหลายแห่ง เช่น โบสถ์คาทอลิกแห่งฮัลล์สตัทท์ สมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีแท่นบูชาสไตล์โกธิคที่งดงาม จิตรกรรมฝาผนังแบบโกธิก ภาพวาดล้ำค่า และงานศิลปะ 
  • ชมเมืองฮัลล์สตัทท์จากมุมสูงจากจุดชมวิว Hallstatt Skywalk ที่อยู่สูงเหนือเมือง 350 เมตร ดื่มด่ำกับทัศนียภาพแบบพาโนรามาของทะเลสาบ และชมทิวทัศน์ภูเขาที่รวมถึงยอดเขาอัลไพน์ด้วย

7. ริชมอนด์พาร์ค สหราชอาณาจักร

ริชมอนด์พาร์ค (Richmond Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอนบนพื้นที่ 2,500 เอเคอร์ เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่โล่งกว้าง มีทุ่งหญ้า คุณสามารถเห็นสัตว์มากมายหลากหลายชนิด เช่น กวาง กระรอกน้ํา ซึ่งเป็นสัตว์ที่พบบ่อยที่สุดที่นี่ สวนแห่งนี้ยังเป็นแหล่งปลูกต้นไม้ชั้นนำของสหราชอาณาจักร ทั้งพันธุ์ไม้หายากและดอกไม้ป่าอีกหลายชนิด หากคุณแวะมาเยี่ยมชมสวนริชมอนด์ในฤดูหนาว คุณจะได้สัมผัสความสงบ ความงามที่ปฏิเสธไม่ได้

Richmond Park, United Kingdom

กิจกรรมแนะนำ

  • นั่งรถม้าชมรอบสวนท่ามกลางความงามของฤดูหนาว เพลิดเพลินไปกับเสียงฝีเท้าม้าและระฆัง สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ และชมสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิด 
  • เดินป่าบนเส้นทาง Tamsin Trail (11.8 กม.) ที่นิตยสาร Country Living ประกาศให้เป็นเส้นทางเดินเล่นตามฤดูกาลที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดของสหราชอาณาจักร
  • ขึ้นไปบนเนิน King Henry’s Mound เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขาเทมส์ทางทิศตะวันตก และวิวของ St. Paul’s Cathedral ทางทิศตะวันออก และมองลงไปดูวิวสวยๆ ของเมือง
  • ขับรถไปยังส่วนตะวันตกของสวนเพื่อพบกับ Pembroke Lodge คฤหาสน์แบบจอร์เจียนท่ามกลางสวนภูมิทัศน์สวยงาม เพลิดเพลินกับชาและเค้กภายในห้องหรูของบ้าน
A Deer in Richmond Park, United Kingdom

8. ทะเลทรายโกบี ประเทศมองโกเลีย

ทะเลทรายโกบีเป็น 1 ใน 5 ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างประเทศมองโกเลียตอนใต้ กับเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ทางตอนเหนือของประเทศจีน ทะเลทรายโกบีในมองโกเลียเป็นจุดหมายปลายทางฤดูหนาวที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสทิวทัศน์อันน่าทึ่งและความงามตามธรรมชาติ  และเรียนรู้วัฒนธรรมที่น่าสนใจและวิถีชีวิตเร่ร่อนที่ปฏิบัติที่นี่มานับพันปี การท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวในทะเลทรายโกบีเหมาะสำหรับนักเดินทางแนวผจญภัย แม้ว่าโกบีจะอุ่นกว่าทางตอนเหนือของมองโกเลีย แต่ก็ยังเป็นทะเลทรายที่หนาวที่สุดในโลก และอุณหภูมิในช่วงกลางฤดูหนาวก็ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และบางครั้งก็ลดลงต่ำกว่านั้น แต่ฤดูหนาวในทะเลทรายโกบีมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายให้เราได้ไปสัมผัส

Kobee, Mongolia

ในการแสวงหาความสวยงามในฤดูหนาว ควรมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายโกบีในมองโกเลียในวันที่ 6 และ 7 มีนาคม เนื่องจากเป็นวันที่มีเทศกาลอูฐ 1,000 ตัวที่ Dalanzadgad งานประจำปีของที่นี่เป็นที่รู้จักจากการแข่งขันโปโลอูฐและการประกวดอูฐ หากไปถึงโกบีแล้วลองทัวร์ชมอูฐกึ่งทะเลทรายโกบีพร้อมไกด์ท้องถิ่น

กิจกรรมแนะนำ

  • ทัวร์ทะเลทรายในฤดูหนาวด้วยรถจี๊ป
  • พักค้างคืนในเกอ เต็นท์แบบดั้งเดิมของผู้เลี้ยงปศุสัตว์เร่ร่อนชาวมองโกเลีย
  • ชิมอาหารพื้นเมืองของผู้เลี้ยงปศุสัตว์มองโกเลียที่ปรุงจากเนื้อสัตว์และนมเป็นหลัก
  • ขี่อูฐ Bactrian ชมทะเลทราย
  • เดินป่าสำรวจเส้นทางกับไกด์ท้องถิ่นที่เพื่อชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของทะเลทราย

9. เมืองบรูจส์ (Bruges) ประเทศเบลเยียม

เมืองบรูจส์เป็นหนึ่งในเมืองในยุโรปยุคกลางที่โดดเด่นและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและมีเสน่ห์ให้แวะเยี่ยมชมได้ทุกฤดูกาล แต่เมืองบรูจส์ในฤดูหนาวจะมีมนต์ขลังเป็นพิเศษ ไม่ว่าคุณจะเดินเล่นไปตามถนนที่ปูด้วยหินแปลกตา ดื่มด่ำกับช็อกโกแลตและเบียร์อันงดงามของภูมิภาค หรือชื่นชมสถาปัตยกรรมในยุคอดีต และคลองที่กลายเป็นน้ำแข็ง ร้านช็อกโกแลต โรงแรมบรรยากาศสบาย ๆ และร้านอาหารที่แปลกตา หาเวลาไปเที่ยวชมปราสาทท้องถิ่นสักแห่งจากทั้งหมด 470 แห่ง คุณจะต้องหลงไหลไปกับมนต์เสน่ห์ของเมืองในเทพนิยายในฤดูหนาวแห่งนี้อย่างแน่นอน

Bruges, Belgium

กิจกรรมแนะนำ

  • นั่งรถม้าสุดโรแมนติกที่ Market Square
  • เล่นสเก็ตน้ำแข็งที่ Minnewater Lake 
  • นั่งเรือชมคลองเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงาม ซึ่งรวมถึงจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดของบรูจส์ นั่นคือท่าเรือโรซารี
  • อย่าพลาดโอกาสในการดื่มด่ำกับช็อกโกแลตร้อนของเบลเยียม 
  • ปีนบันได 366 ขั้นสู่ยอดหอระฆัง Bell Tower เพื่อชมวิวเมืองแบบ 360 องศา 
Market Square in Bruges, Belgium

10. ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Schloss Neuschwanstein) ประเทศเยอรมนี

ปราสาทนอยชวานสไตน์เป็นหนึ่งในปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เนื่องจากมีความสวยงามจนน่าทึ่งและลักษณะสถาปัตยกรรมที่เหมือนเทพนิยาย ตัวปราสาทมีมนต์ขลังมากจนแม้แต่ดิสนีย์ก็ตัดสินใจใช้การออกแบบของปราสาทนอยชวานสไตน์เป็นต้นแบบในการออกแบบปราสาทของเจ้าหญิงนิทรา ในช่วงฤดูหนาวปราสาทนอยชวานสไตน์จะกลายเป็นปราสาทคริสต์มาสในเทพนิยาย เมื่อหิมะปกคลุมหอคอยและภูเขาบาวาเรียโดยรอบ เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมปราสาทและสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาว

Schloss Neuschwanstein in Winter, Germany

กิจกรรมแนะนำ

  • การถ่ายภาพฤดูหนาวที่ปราสาทนอยชวานสไตน์ ที่นี่เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการถ่ายภาพที่สวยงามที่สุด คุณจะได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของปราสาท และหิมะที่ตกบนเทือกเขา Bavarian Alps ทำให้ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นเหมือนภาพความฝันในฤดูหนาว
  • แวะชมเมือง Fussen ที่อยู่ใกล้เคียง และเพลิดเพลินกับตลาดคริสต์มาสที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ งานฝีมือ ศิลปะ กลิ่นหอม และอาหารอร่อย 
Schloss Neuschwanstein, Germany

เมื่อหา ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว ได้แล้ว ก่อนจะออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การเที่ยวในช่วงฤดูหนาว สัมผัสความหนาวกับบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก และบรรยากาศความสดใสของเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเอกสาร เสื้อผ้า ยาประจำตัว และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศในช่วงฤดูหนาว ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : roughguides.com, happy.rentals

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด!

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่สวยงามที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ อุณหภูมิที่เย็นขึ้นและสภาพอากาศที่สดใสทำให้เรารู้สึกสดชื่น สิ่งที่ทำให้ผู้คนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็คือสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ที่เรียกว่า koyo ในภาษาญี่ปุ่น ทำให้ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ในหลายๆ สถานที่กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่มีเฉดสีสดใส สร้างทิวทัศน์อันตระการตาของใบไม้สีแดง สีส้ม และสีเหลืองในป่าหลายแห่งของประเทศ

เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำกับความงดงามของฤดูกาล Allianz Travel จะพาคุณไปยัง 9 สถานที่เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่ดีที่สุด รวมถึงช่วงเวลาและวิธีเดินทางไปที่นั่นด้วย เตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเลยค่ะ!

1. ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) – จังหวัดยามานาชิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) ที่เที่ยวญี่ปุ่น สุดฮิตของนักท่องเที่ยว โดย ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้งห้า (ทะเลสาบคาวากุจิ ทะเลสาบยามานากะ ทะเลสาบโมโตสึ ทะเลสาบโชจิ และทะเลสาบไซโกะ) ที่อยู่เชิงภูเขาไฟฟูจิ ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิมากที่สุดจนเรียกได้ว่าเป็นประตูสู่ฟูจิ เป็นจุดชมความงามของภูเขาไฟฟูจิในหลากหลายวิว บริเวณทะเลสาบจะเน้นชมวิวแนวธรรมชาติ โดยการนั่งรถ Retro bus เพื่อชมวิวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ โดยรอบ หรือจะเลือกที่จะขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชมวิวและล่องเรือในทะเลสาบคาวากุจิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko)

สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยสุดโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งในแถบภูเขาไฟฟูจิโดดเด่นที่สุดคืออุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko เป็นไฮไลท์หลักที่หากมาเที่ยวคาวากุจิโกะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็นจุดที่ห้ามพลาดเลย ที่นี่เป็นถนนเลียบคลองสายเล็กๆ ที่มีต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่นเรียงรายตลอดสองข้างทางจนดูเหมือนอุโมงค์ที่ยาวเกือบ 1.5 กม. คุณจะได้เห็นภาพใบไม้แดงร่วงหล่นลงมาย้อมทางน้ำจนปกคลุมเป็นสีแดงไปทั่ว ในตอนกลางคืนยังมีการประดับไฟตามทางเดินไปตลอดแนว ต้นเมเปิลญี่ปุ่นสีสันสดใสจะสว่างไสวสวยงามมากๆ ค่ะ

อุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko

นอกจากนี้ จะมีเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่ทะเลสาบคาวากุจิ (Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival) จัดขึ้นทุกปีบนชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบ บริเวณนี้เต็มไปด้วยแผงขายอาหารและของที่ระลึกซึ่งมีงานฝีมือในท้องถิ่นและอีกมากมาย ทะเลสาบคาวากุจิเป็นจุดที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสความงามของสีสันในฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น โดยมีภูเขาไฟฟูจิตระหง่านเป็นฉากหลัง

Fuji Kawaguchiko Autumn

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: ขึ้นรถบัสจากสาถนชินจูกูหรือสถานีชิบูย่า (2.3 ชม.) หรือนั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวไปยังสถานีโอสึกิ (สายหลักชูโอ ประมาณ 1 ชั่วโมง 16 นาที); จากสถานี Ōtsuki ถึงสถานี Kawaguchiko (สาย Fujikyuko ประมาณ 43 นาที)

พิกัด: https://goo.gl/maps/e9woio6u4ZvPKJV96

2. เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ที่เที่ยวญี่ปุ่น อีกแห่งหนึ่งในโตเกียวที่เราอยากแนะนำคือสวนเมจิจิงงูไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน คุณจะได้เห็นต้นแปะก๊วย 146 ต้นที่ปลูกเรียงรายอยู่ตามถนนกว้างเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใสและใบไม้ที่ร่วงหล่นทำให้ถนนยาว 300 เมตรแห่งนี้กลายเป็นถนนที่เต็มไปด้วยสีเหลืองทองที่สวยงามมาก

เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เป็นช่วงเวลาที่ดีในการชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น เนื่องจากบริเวณนี้ห้ามยานพาหนะทุกคันผ่านและกลายเป็นสวรรค์สำหรับคนเดินถนน ให้คุณเดินเล่นสบาย ๆ ผ่านปรากฏการณ์อันน่าประทับใจนี้

คุณสามารถแวะนั่งที่ร้านกาแฟในพื้นที่ นั่งชมทัศนียภาพอันน่ามหัศจจรย์ของต้นแปะก๊วยสีทอง และทุกปีจุดชมใบไม้ร่วงแห่งนี้ดึงดูดผู้คนได้ประมาณ 1,800,000 คน ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟมาลงสถานีชินาโนะมาจิ  JR Shinamomachi (JR สายชูโอ-โซบุ) หรือสถานีรถไฟใต้ดิน รือ สถานีรถไฟใต้ดิน Gaiemmae และ Aoyama-itchome แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/oLzA2F5u2y1AGtfE6

3. ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

ทะเลสาบโทวาดะเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่อยู่ระหว่างจังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ ธรรมชาติที่เขียวชอุ่มและทิวทัศน์ตามฤดูกาลของทะเลสาบก็น่าทึ่งมาก ต้นไม้ผลัดใบ เช่น บีช เมเปิล และโรแวนญี่ปุ่น เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนชายฝั่งของทะเลสาบโทวาดะ ซึ่งจะสร้างสีสันไปพร้อมๆ กันเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง

ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

สีแดงและสีเหลืองอันตระการตาตัดกับผืนน้ำสีฟ้าของทะเลสาบ ทำให้เกิดทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ร่วงที่สดใสและอุดมสมบูรณ์จนเกือบจะดูเหมือนภาพวาด จุดชมวิวโคงาคุได (Kogakudai) และจุดอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้คุณสามารถชมวิวได้จากหลายมุม

นอกจากชื่นชมความงามจากจุดชมวิวแล้ว คุณสามารถเลือกนั่งเรือล่องไปตามน่านน้ำของทะเลสาบนอกฤดูหนาวและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงของทะเลสาบโทวาดะจากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร!

Lake Towada

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง (ชินคันเซ็น/รถไฟ): จากสถานีโตเกียวไปยังสถานี Shin-Aomori (Tohoku Shinkansen ประมาณ 3 ชั่วโมง); จากสถานี Shin-Aomori ถึงป้ายรถประจำทาง Yasumiya (รถบัสประจำทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง)

พิกัด: ใกล้ Towadakohanyasumiya-486 Okuse, Towada, Aomori 034-0301

4. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) จังหวัดยามากาตะ

วัดยามาเดระแปลตามตัวได้ว่า “วัดภูเขา” หากเรียกชื่ออย่างเป็นทางการก็คือวัดริชาคุจิ (Risshakuji Temple) เป็นวัดพุทธเก่าแก่ของนิกาย Tendai ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 860 ในสมัยคามาคุระ ซึ่งนับว่ามีอายุมากกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่บนเขาในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku)

Yamadera, Yamagata

วัดนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบด้วยธรรมชาติ เป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยมีบันไดหินเรียงรายกว่า 1,000 ขั้นที่นำพาผู้มาเยือนขึ้นไปสู่ไฮไลท์ของวัดคือวิหารโกไดโด (Godaido) ที่อยู่ด้านบนสุดชวนให้สัมผัสถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน สำหรับผู้มาเยือนวัดยามาเดระ นอกจากจะได้รับพรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้ามาในฤดูใบไม้ร่วงจะได้เห็นวิวต้นไม้และภูเขาที่เปลี่ยนไปเป็นสีส้มปนแดง สวยจับใจเลยล่ะ

Yamadera

แต่บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่มีผู้ร่วมทางอายุเยอะหรือเจ็บข้อเข่า ควรพิจารณาให้ดีก่อนขึ้น เพราะการเดินขึ้นมีบันไดไปยังชั้นบนสุด ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีลิฟต์หรือกระเช้าใดๆ ช่วยทั้งสิ้นนะคะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: จากสถานีโตเกียว ให้นั่งรถสายไฟโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) ไปลงสถานีเซนได (Sendai Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR สาย เซนซัน (Senzan Line) ไปลงสถานียามาเดระ (Yamadera Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และเดินต่ออีก 5 นาที

พิกัด: 4456-1, Yamadera, Yamagata-shi, Yamagata, 999-3301

5. มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi)

เส้นทางขับรถสายนี้ถือเป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีทัศนียภาพสวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีราวกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้นานาพันธุ์ในป่าอันกว้างใหญ่ที่รายล้อมโดยรอบจะพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีเหลืองสลับส้ม แต่งแต้มสีสันให้ทั่วทั้งพื้นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

จุดที่เป็นไฮไลต์สำคัญคือสะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) สะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ราวกับกำลังลอยอยู่เหนือทะเลใบไม้เปลี่ยนสี และถ้ามองจากสะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge) ก็จะเห็นทิวทัศน์ของสะพานมัตสึมิที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติตระการตา สมกับที่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 มุมถ่ายรูปสวยของฮอกไกโด

บนเส้นทางนี้ยังมีจุดชมวิว Mikuni Pass Observation Deck ซึ่งอยู่ตรงจุดแวะพักรถบริเวณหน้าอุโมงค์ (Mikuni Tunnel) สามารถดื่มด่ำชมวิวพาโนรามาสุดปังของแนวทิวป่าได้อย่างเต็มอิ่ม และยังมีคาเฟ่ (Mikuni Café) ที่ให้นั่งพัก จิบกาแฟ หรือทานอาหาร เพื่อเติมพลังระหว่างเที่ยวกันด้วย

*คาเฟ่เปิดให้บริการช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

การเข้าถึง (เที่ยวบิน+เช่า): จากสนามบินนาริตะ (โตเกียว) ไปยังสนามบินอาซาฮิกาวะ (ฮอกไกโด ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที); จากสนามบินอาซาฮิคาวะถึงมิคุนิพาส (โดยรถยนต์ ประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที)

จากโซอุนเคียว ออนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง มิคุนิพาส หรือหากมาจากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที 

พิกัด: https://goo.gl/maps/sTRGCzy5KgADvAy26

6. วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

วัดบิชามอนโด เป็นวัดในนิกายเทนได (Tendai) ถือเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในวันสำคัญต่างๆ มักมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้ขอพร ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองและครอบครัวมีความสุขปลอดภัยจากอัตรายต่างๆ เพราะมีเทพเจ้าประจำวัดคือบิชามอนเทน (Bishamonten) หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น

วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

ผู้ตนมากมายมุ่งหน้ามายังวัดบิชามอนโด วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในแถบยามาชินะแห่งนี้ เพราะชื่อเสียงเรื่องความงดงามในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และเมื่อต้นเมเปิลสีแดงสดผลัดใบลงสู่พื้นดิน เราจะได้เห็นภาพอันงดงามของอุโมงค์ต้นเมเปิลที่ดูราวกับมีพรมสีแดงปูตลอดทางเข้าสู่บริเวณวัด อีกทั้งยังมีต้นซากุรอายุกว่า 150 ปีคอยต้อนรับผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติอีกด้วย ทำให้วัดบิชามอนโดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงของเกียวโต

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถไฟทั้งสายรถไฟใต้ดินโทไซ (Tozai Subway Line) และสายเคย์ฮัน เคย์ชิน (Keihan Keishin Line) โดยลงที่สถานียามาชินะ (Yamashina Station) และเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที

เวลาเปิดปิด: 8:30 – 17:00 น.

พิกัด: 18, Anshuinariyamacho, Yamashina-Ku, Kyoto-Shi, Kyoto, 607-8003

7. ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ภูมิภาคคันโตเป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่มีจุดชมใบไม้ร่วงที่สวยงามและโดดเด่นหลายแห่ง เช่น น้ำตกโอดาชิโรกาฮาระ (Odashirogahara) และน้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall) และอีกแห่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้ที่ใดก็คือถนนอิโรฮาซากะที่มีความยาวประมาณ 15.8 กิโลเมตร เชื่อมเมืองนิกโกกับทะเลสาบชูเซ็นจิ (ทะเลสาบในอุทยานแห่งชาตินิกโก) ซึ่งขึ้นชื่อด้านโค้งกิ๊บปิ่นโตทั้งหมด 48 โค้งทั้งสองทิศทาง

น้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall)

ถนนอิโรฮาซากะสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1954 และ 1965 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สดใสในทุกโค้ง และไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้เช่ารถ การลดหน้าต่างลงและเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์โดยตรง ช่วงที่สวยขั้นสุดจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม ใบไม้จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ส้ม และแดงสลับกันไป

ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือความคดเคี้ยวของถนนที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถ เราสามารถซื้อทัวร์รถบัสแบบไปเช้าเย็นกลับที่มีอยู่มากมายจากโตเกียวที่ให้บริการผ่านตัวแทนท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยให้เราได้เพลิดเพลินไปกับสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ที่สำคัญหากใครที่มีปัญหาเรื่องเมารถ ขอแนะนำให้ทานยาป้องกันการเมารถไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ป่วยจนต้องหมดสนุกค่ะ

Irohazaka

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนตุลาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวถึงสถานี Utsunomiya (Tohoku Shinkansen) ประมาณ 50 นาที และจากสถานี Utsunomiya ไปถึงที่หมายโดยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือจาก JR หรือ Tobu Nikko Station โดยสารรถบัส Tobu bus ที่ไปยัง Chuzenjiko Onsen หรือ Yumoto Onsen ลงที่ Akechidaira bus stop ใช้เวลา 35 นาที (รถบัสไม่จอดที่สถานี Akechidaira ในเส้นทางขากลับ) 

พิกัด: Chuguushi, Nikko-shi, Tochigi, 321-1661

8. เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

เกาะอิทสึคุชิมะเป็นชื่อที่เป็นทางการของเกาะมิยาจิมะ (Miyajima) ที่คนทั่วไปนิยมเรียกกัน เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ที่เมืองฮะสึไกชิทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองฮิโรชิม่า ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “เกาะแห่งเทพเจ้า” เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกไม่แพ้ภูเขาไฟฟูจิเลย ได้รับการจดทะเบียนให้เป็มรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก มิชลีนไกด์ยังให้คะแนนแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ถึงสามดาว และยังเป็นหนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

จุดเด่นของเกาะนี้คือเสาแดงโทริอิไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าเกาะในทะเลเซโตะ เราสามารถเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆ ในช่วงเวลาน้ำลงได้ด้วย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนักท่องเที่ยวก็นิยมพากันมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park) สวนสาธารณะที่อยู่ตรงเชิงเขาของป่ามิเซ็นบนเกาะอิทสึคุชิมะ มีต้นเมเปิ้ลประมาณ 700 ต้น เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการตระเวนชมใบไม้เปลี่ยนสี โดยเฉพาะบริเวณสะพานไม้สีแดงที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีดูสวยงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park)

นอกจากนี้ คุณห้ามพลาดขึ้นกระเช้าชมวิว (Miyajima Ropeway) เพื่อไปชมวิวบนยอดเขามิเซ็น (Mt. Misen) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากเช่นกัน 

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย JR Sanyo จากสถานี Hiroshima มาลงที่สถานี Miyajimaguchi ใช้เวลาประมาณ 25 นาที  และเดินต่ออีกนิดหน่อยไปที่ท่าเรือให้นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก (ใช้ JR Pass ได้) โดยใช้เวลาประมาณอีก 15 นาทีก็จะถึงเกาะมิยาจิม่า

พิกัด: Miyajima-cho, Hatsukaichi-shi, Hiroshima 739-0588

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

วัดคิโยะมิซุหรือที่เรารู้จักกันในชื่อวัดน้ำใส เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ที่มาของชื่อวัดน้ำใสมาจากการที่วัดแห่งนี้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างโดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆ ทั้งสิ้น เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

และเมื่อมาถึงวัดคิโยมิซุแล้ว อย่าพลาดไปต่อคิวดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านวัดกันด้วยนะคะ นอกจากนี้บริเวณทางเข้าวัดก็ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าพื้นเมืองและขนมอร่อยๆ มากมาย ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคนจะเยอะมาก เผื่อเวลาเที่ยวกันดีๆ ใครอยากไปแบบคนน้อยๆ แนะนำว่าให้ไปตั้งแต่เช้าเลยค่ะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถบัสสาย 100, 206 ลงที่ป้ายรถบัส Gojo-zaka หรือป้ายรถบัส Kiyomizu-michi และเดินประมาณ 10-15 นาที หรือขึ้นรถไฟสาย Keihan ไปลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station และเดินต่อประมาณ 20 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/ZnoJ7crLPTZ3CNk97

ใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี รีบวางแผนการเดินทางกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ เพราะถ้ารอใกล้ๆ ช่วงนั้น ทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พักก็อาจราคาพุ่งสูงขึ้น หรืออาจหายากแล้วค่ะ แต่ก่อนจะออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเอกสาร เสื้อผ้า ยาประจำตัว และ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวญี่ปุ่น ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา

หลายคนกำลังวางแผนเที่ยวอเมริกา โดยมีจุดหมายปลายทาง ที่เที่ยวอเมริกา เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามและน่าทึ่ง (สามารถดูรายละเอียดอุทยานแห่งชาติที่สวยจนต้องไปสัมผัส ได้จากบทความนี้ค่ะ : 5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส) แต่ก็อาจต้องมานั่งกังวลกับอุปสรรคที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าเดินทางไปยังอุทยาน ที่พัก อาหาร อุปกรณ์ ค่าเข้าอุทยาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งหมดอาจเป็นปัญหาที่แท้จริงสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด  Allianz Travel ขอแบ่งปัน 10 เคล็ดลับในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในอเมริกาในราคาประหยัด เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ประหยัดเงินในการเดินทางท่องเที่ยวและสนุกกับทริปเที่ยวอเมริกากันได้อย่างเต็มที่

1. เดินทางในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือช่วงต้นของฤดูท่องเที่ยว

ฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับอุทยานแห่งชาติอเมริกาคือช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเดินทางไปเที่ยวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมธรรมชาติอันสวยงาม แต่นั่นหมายถึงห้องพักและที่ตั้งแคมป์จะเต็มอย่างรวดเร็ว และมีราคาแพง หากเพื่อนๆ ที่ต้องการประหยัดเงินและหลีกเลี่ยงฝูงชน การเดินทางช่วงนอกฤดกาลจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลงและห้องว่างที่มากขึ้น ทำให้เราเพลิดเพลินไปกับความสงบของธรรมชาติ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน เช่น สภาพอากาศที่เย็น หรือมีการปิดเส้นทางและน้ำตกบางแห่งเนื่องจากมีหิมะตก

ที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติในอเมริกา

ดังนั้นจึงควรศึกษาสภาพตามฤดูกาลเพื่อป้องกันเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เสียเวลาและเสียเงินมากยิ่งขึ้น และพึงระลึกไว้ว่าอุทยานบางแห่งมีฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากที่อื่น อุทยานที่อยู่ในเขตที่มีอากาศอบอุ่น อย่างเช่น Death Valley และ Everglades จะคึกคักที่สุดในฤดูหนาว

2. ซื้อบัตรเข้าชมอุทยานแห่งชาติรายปี หรือบัตร America the Beautiful

บัตร America the Beautiful เป็นบัตรผ่านสำหรับเที่ยวพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่อนุรักษ์ และสถานพักผ่อนหย่อนใจของรัฐบาลกลางกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในระยะเวลา 1 ปี

America The Beautiful Card - Annual Pass

บัตรผ่านใบนี้มีราคา 80 เหรียญสหรัฐ ใช้ได้กับผู้ถือบัตรและแขกที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน และสามารถลงลายมือชื่อเป็นเจ้าของบัตรได้ 2 คน ซึ่งแปลว่ายืมกันใช้ได้! เราสามารถซื้อบัตรผ่านได้ที่ด่านทางเข้าอุทยานทุกแห่ง โดยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าต้องการซื้อบัตร America the Beautiful และสามารถจ่ายเงินได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต เจ้าหน้าที่จะเจาะหลังบัตรเพื่อระบุวันที่ซื้อบัตร และให้เราเซ็นหลังบัตรเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของบัตร

ตามปกติค่าเข้าอุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30 เหรียญต่อรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นหากวางแผนที่จะเยี่ยมชมอุทยานมากกว่า 4 ครั้ง บัตรผ่านนี้จะคุ้มค่าและประหยัดเงินเป็นอย่างมาก!

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรรายปีและบัตรประเภทอื่นๆ ที่นี่

3. ลองกางเต็นท์แทนที่จะอยู่โรงแรมในอุทยานแห่งชาติ

หากวางแผนที่จะพักค้างคืนในอุทยานแห่งชาติ การกางเต๊นท์เป็นตัวเลือกที่ดีและถูกที่สุด เพราะพื้นที่ตั้งแคมป์ในอุทยานแห่งชาตินั้นมีราคาไม่แพงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับที่พักภายในอุทยาน ส่วนใหญ่ค่าเช่าพื้นที่จะมีตั้งแต่ 18 ถึง 35 เหรียญ ขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ และเมื่อเทียบราคากับโรงแรมในอุทยานแห่งชาติซึ่งอาจมีราคาหลายร้อยดอลลาร์

camping in national park

แต่พื้นที่ตั้งแคมป์มักเต็มในช่วงฤดูท่องเที่ยว คุณควรจองสถานที่ทางออนไลน์ล่วงหน้า โดยเฉพาะถ้าจะไปอุทยานแห่งชาติที่เป็นที่นิยม และถ้าอยากให้ประหยัดมากยิ่งขึ้น อุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีพื้นที่สาธารณะที่สามารถกางเต็นท์ได้ฟรี (แต่อาจไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ หรือห้องอาบน้ำ) หากคุณเลือกที่จะตั้งแคมป์ในที่สาธารณะ คุณต้องปฏิบัติตามกฎ Leave No Trace หรือการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และเรียนรู้วิธีขุดหลุมเข้าส้วมกลางป่าไว้ด้วย

campsites

หากคุณต้องการพักในโรงแรม หรือตัวเลือกอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับงบประมาณ อยากเช่น เลือกจองที่ตั้งแคมป์ของเอกชนในบริเวณใกล้เคียง โมเต็ลราคาไม่แพงที่อยู่นอกอุทยานแห่งชาติหลายแห่งรองรับนักท่องเที่ยว เป็นต้น

4. หาเช่าหรือซื้ออุปกรณ์ตั้งแคมป์มือสอง

หากคุณยังไม่เคยเดินป่าหรือตั้งแคมป์ ก็ยังไม่ควรที่จะใช้เงินจำนวนมากไปกับอุปกรณ์ใหม่ๆ อย่างเช่น กระเป๋าเป้ ไฟ เต็นท์ เตา และอื่นๆ สำหรับการเดินทางไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเป็นครั้งแรก ทางที่ดีและประหยัดก็คือหาซื้ออุปกรณ์มือสองหรือจะเป็นการเช่าก็ได้ ตรวจสอบร้านค้าและเว็บไซต์มือสอง เช่น Craigslist, Amazon และ eBay หรือโพสต์คำขอบน Freecycle เพื่อค้นหาผู้คนที่นำอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมเดินป่าที่ไม่ต้องการใช้แล้วมาแจกให้ฟรี มีหลายคนที่ลองมาตั้งแคมป์ และพบว่าพวกเขาไม่คุ้นชินกับความไม่สะดวกสบายในการนอนเต็นท์ และการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้อย่างไม่ระมัดระวังเป็นวิธีง่ายๆ ในการประหยัดเงิน

Camping Equipment - Second Hand

บางครั้งการตั้งแคมป์จะต้องลงทุนในอุปกรณ์การตั้งแคมป์ เช่น เต็นท์และถุงนอน เคล็ดลับที่ดีคือการหยิบยืมอุปกรณ์สำหรับการเดินทางจากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว หรือมองหาอุปกรณ์ตั้งแคมป์ลดราคาตามเว็บไซต์หรืองานแฟร์ต่างๆ

5. เตรียมอาหารไปทำทานเอง

การทำอาหารเองเพื่อนำไปรับประทานระหว่างวันในอุทยานแห่งชาติช่วยประหยัดเงินได้มาก โดยเฉพาะหากเดินทางกันเป็นครอบครัว สถานที่ตั้งแคมป์ส่วนใหญ่จะมีเตาปิ้งย่างที่สามารถปรุงอาหารได้

Cooking when camping

และหากวันนั้นมีแผนที่จะไปเดินเขาหรือปีนเขา การเตรียมแซนวิชไว้ล่วงหน้านั้นเหมาะสำหรับการรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทิวทัศน์ที่สวยงาม เพราะราคาอาหารในร้านค้าที่ตั้งอยู่ในอุทยานมักจะมีราคาแพงกว่าร้านอาหารในเมืองใกล้เคียง นอกจากจะประหยัดเงินค่าอาหารแล้ว ยังสร้างความทรงจำที่ดีรอบกองไฟในช่วงมื้อเย็นอีกด้วย

Camping Cooking

6. เตรียมของใช้ให้พร้อมก่อนเดินทาง

อุทยานแห่งชาติหลายแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ของแทบทุกอย่างมีราคาสูงกว่าละแวกในเมือง ดังนั้นควรเตรียมซื้อของใช้จำเป็นให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปยังอุทยาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองเพื่อซื้อครีมกันแดด แบตเตอรี่ สเปรย์กันแมลง อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และสิ่งจำเป็นอื่นๆ

Camping Equipment

นอกจากนี้อาหารในบริเวณอุทยานยังมีราคาแพงกว่าและบางครั้งก็หาซื้อได้ยาก ดังนั้นควรเตรียมของว่าง เครื่องดื่ม และแม้แต่อาหารมาด้วย เพียงต้องแน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของอุทยานสำหรับการจัดเก็บอาหารและการกำจัดของเสีย ไม่มีใครอยากให้หมีเปิดตะกร้าปิกนิกของคุณอย่างแน่นอน

7. เลือกเดินทางในวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรี

คุณรู้หรือไม่ว่าอุทยานแห่งชาติอเมริกาจะมีวันที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าในแต่ละปี ซึ่งรวมถึงการเข้าอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ โบราณสถาน และวนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ รวมกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ วันเข้าฟรีเป็นโอกาสที่ดีในไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป หรือไปที่ที่เราชื่นชอบและอยากไปอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทยานแห่งชาติที่มีการเก็บค่าเข้า การยกเว้นค่าเข้าไม่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกหรือค่าธรรมเนียมสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น การตั้งแคมป์ การปล่อยเรือ ค่าล่องเรือ ค่าเดินทาง หรือทัวร์พิเศษของแต่ละสถานที่

Choose date for planning to travel

ทั้งนี้ การเข้าฟรีก็จะหมายถึงผู้คนจำนวนมาก การจราจรที่คับคั่ง และพื้นที่ส่วนกลางก็อาจเต็มไปด้วยผู้คนอีกด้วย

ตัวอย่างวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรีสำหรับปี พ.ศ. 2565:

17 มกราคม วันเกิดมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

16 เมษายน: วันแรกของสัปดาห์อุทยานแห่งชาติ

4 สิงหาคม: วันครบรอบการออกกฎหมาย Great American Outdoors Act

24 กันยายน วันพื้นที่สาธารณะแห่งชาติ (National Public Lands Day)

11 พฤศจิกายน: วันทหารผ่านศึก

เช็ควันเข้าฟรีอุทยานแห่งชาติก่อนวางแผนการเดินทางได้ที่นี่

8. อย่าพลาดโอกาสในการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน

สิ่งแรกที่คุณควรทำหลังจากเข้าไปในอุทยานคือไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากบางครั้งเส้นทางต่างๆ ในอุทยานมักถูกปิดด้วยเหตุผลด้านการบำรุงรักษาหรือความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาได้ด้วยการบอกคุณว่าพื้นที่ใดหรือเส้นทางใดที่ปิดในวันนั้น

เจ้าหน้าที่อุทยาน

คุณไม่จำเป็นต้องขับรถหนึ่งชั่วโมงไปยังจุดหมายปลายทางเพียงเพื่อที่จะเห็นว่ามันปิด เจ้าหน้าที่ยังช่วยให้คำปรึกษาในสิ่งที่คุณสนใจได้ อย่างเช่น แนะนำเส้นทางเดินเขาไปยังจุดชมวิวที่ดีที่สุด เป็นต้น นี่คือคำแนะนำที่คุณจะได้รับโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

9. มองหาที่เที่ยวในอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (National Monument)

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียง เช่น เยลโลว์สโตน โยเซมิตี แกรนด์แคนยอน และเกลเชอร์ แต่ไม่คุ้นเคยกับอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่อาจจะเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับงบประมาณของคุณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติหลายแห่งมีภูมิประเทศที่สวยงามน่าประทับใจ รวมถึงมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ที่อยู่อาศัยบนหน้าผาของชนพื้นเมือง และลักษณะที่น่าสนใจอื่นๆ

Lincoln Memorial

อกจากนี้คุณจะเห็นผู้คนจำนวนครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าที่คุณพบในอุทยานแห่งชาติ มีค่าเข้าที่ถูกกว่า (หรือไม่มีเลย) และที่ตั้งแคมป์ฟรีหรือไม่แพง อย่างเช่น อนุสรณ์สถานวอชิงตันและลินคอล์นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (ฟรี) หรือ Natural Bridges ในรัฐยูทาห์ ที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน (ค่าเข้า 20 เหรียญต่อคัน) Castillo de San Marcos ในเมืองเซนต์ออกัสติน รัฐฟลอริด้า (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไป) หรือ Fort McHenry ในบัลติมอร์ (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่) สถานที่เหล่านี้ก็มีจุดน่าสนใจให้สำรวจหลายร้อยแห่ง ดังนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องไปหาจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สุด (ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้คนแออัดและราคาแพงที่สุด)

ค้นหาอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ตามรัฐต่างๆ ได้ที่นี่

10. เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติที่ไม่เก็บค่าเข้า

อุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาทำให้เราได้เข้าถึงความงามทางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุดที่เราจะพบได้ทุกที่ อุทยานแห่งชาติหลายแห่งเรียกเก็บค่าเข้าชมเพื่อช่วยจ่ายค่าบำรุงรักษาพื้นฐานและเงินเดือนพนักงาน (ยกเว้นบางวันที่เปิดให้เข้าฟรีเป็นพิเศษ เช็คที่นี่)

แต่ถ้าคุณเดินทางแบบประหยัด ยังมีบางแห่งที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าแม้แต่บาทเดียว นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในราคาประหยัด! ลองดูลิสต์ที่ Allianz Travel เอามาให้ดูดังต่อไปนี้

(1) Redwood National Park รัฐแคลิฟอร์เนีย

Redwood National Park

(2) New River Gorge National Park รัฐเวสต์เวอจิเนีย

(3) Biscayne National Park รัฐฟลอริดา

(4) Great Basin National Park รัฐเนวาดา

Great Basin National Park
ขอบคุณรูปภาพจาก : Visit The USA

(5) Congaree National Park รัฐเซาธ์แคโรไลนา

(6) Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

Kenai Fjords National Park
Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

(7) Great Smoky Mountains National Park รัฐนอร์ธแคโรไลนา และรัฐเทนเนสซี่

(8) Cuyahoga Valley National Park รัฐโอไฮโอ

(9) North Cascades National Park รัฐวอชิงตัน

วัตถุประสงค์ของการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติคือการออกไปสัมผัสธรรมชาติกลางแจ้งและเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางไปยัง ที่เที่ยวอเมริกา ในสถานที่ต่างๆ เราควรต้องค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว/ที่ตั้งแคมป์/เส้นทางยอดนิยมที่สุด รู้ล่วงหน้าดีกว่าผิดหวังเมื่อไปถึง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางของคุณเมื่อคุณไปถึงที่นั่น เพื่อให้การผจญภัยในอุทยานแห่งชาติของเราสนุก คุ้มค่า และราคาไม่แพง

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวลอีกอย่างหนึ่งก็คือประกันการเดินทาง เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น อย่าให้เงินที่เราตั้งใจจะประหยัดในการเดินทาง ต้องมาจ่ายให้กับเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดดังกล่าว

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้* ประกันการเดินทาง Dance Moves มีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : nps.gov, bearfoottheory.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel