เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ นิวอิงแลนด์ (New England), อเมริกา (USA)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี นิวอิงแลนด์ (New England), สหรัฐอเมริกา (USA) ในฤดูใบไม้ร่วง

หากคุณต้องการไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) เพื่อ เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี จุดหมายปลายทางยอดนิยมและเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามและโด่งดังที่สุดของอเมริกาก็คือ รัฐทั้งหกของนิวอิงแลนด์ (New England) ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา ประกอบด้วยรัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) รัฐโรดไอแลนด์ (Rhode Island) รัฐคอนเนคทิคัต (Connecticut) ,รัฐนิวแฮมเชอร์ (New Hampshire) รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) และรัฐเมน (Maine) 

ความยากในการไปเยือนนิวอิงแลนด์ก็คือการตัดสินใจเลือกว่าควรไป เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงเวลาไหน เพราะถ้าเราไปเร็วเกินไป ใบไม้อาจยังไม่เปลี่ยนสีเต็มที่ หรือหากไปช้าเกินไป ใบไม้ก็อาจจะร่วงลงมาหมดแล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม และนี่คือสถานที่ที่ Allianz Travel แนะนำให้คุณเก็บไว้ในลิสต์ชมใบไม้เปลี่ยนสีของคุณ

1. เมืองแคมเดน รัฐเมน (Camden – Maine)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี - เมืองแคมเดน รัฐเมน (Camden – Maine)

เมืองแคมเดน (Camden) เป้นเมืองโรงสีเก่าที่โอบล้อมอ่าวเพนอบสกอต (Penobscot Bay) เป็นจุด เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ในฤดูใบไม้ร่วงที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐเมน (Maine) คุณจะได้เห็นใบไม้ที่มีสีสันหลากหลายที่สุดบนภูเขาแบตตี้ (Mount Battie) ในอุทยานแห่งรัฐแคมเดนฮิลส์ (Camden Hills State Park) คุณจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามระหว่างการเดินป่า และจะยิ่งสวยงามยิ่งขึ้นเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 1 สูง 26 ฟุตเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้ภาพของคุณออกมาสมบูรณ์แบบมากขึ้น

2. เมืองสโตว์ รัฐเวอร์มอนต์ (Stowe – Vermont)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี - เมืองสโตว์ รัฐเวอร์มอนต์ (Stowe – Vermont)

เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) จะเปลี่ยนทิวทัศน์จากภูเขาสีเขียวชอุ่มเป็นสีสันสดใสหลากหลาย เมืองสโตว์ (Stowe) ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาแมนส์ฟิลด์ (Mount Mansfield) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในรัฐเวอร์มอนต์ จะกลายเป็น “เมืองหลวงแห่งสีสัน” ของรัฐ ผู้มาเยือนสามารถ เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ได้หลายวิธี เช่น เดินป่า ขี่จักรยานเสือภูเขา ขับรถ ล่องเรือ ซิปไลน์ หรือขี่ม้าผ่านป่าหลากสี ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการ เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ในเมืองสโตว์มักจะเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนจนถึงสองสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน เมืองนี้จะกลายเป็นสวรรค์ของนักเล่นสกีและสโนว์บอร์ดค่ะ

3. เมืองพอร์ตสมัธ รัฐนิวแฮมเชอร์ (Portsmouth – New Hampshire)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี - เมืองพอร์ตสมัธ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ (Portsmouth – New Hampshire)

บริเวณดาวน์ทาวน์ของเมืองพอร์ตสมัธ เมืองชายฝั่งของรัฐนิวแฮมเชอร์(New Hampshire) ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามราวกับภาพวาดของนอร์แมน ร็อคเวลล์ (Norman Rockwell) หากคุณมาเที่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคม คุณสามารถชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีได้จากต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ริมถนนโดยรอบมาร์เก็ตสแควร์ (Market Square) หรือชมจากอ่าว Great Bay หรือแม่น้ำ Cocheco

4. ถนนโมฮอร์ค เทรล รัฐแมสซาชูเซตส์ (Mohawk Trail – Massachusetts)

ถนนโมฮอร์ค เทรล รัฐแมสซาชูเซตส์ (Mohawk Trail – Massachusetts)

พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐแมสซาชูเซตส์จะเต็มไปด้วยใบไม้ที่มีสีสันสวยงามทุกฤดูใบไม้ร่วง แต่เส้นทางบนถนนโมฮอร์ค เทรล อาจเป็นพื้นที่ที่สวยที่สุดในรัฐที่คุณสามารถขับรถชมวิวได้ตลอดเส้นทาง แต่ถ้าคุณอยากชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด ให้เดินไปตามเส้นทาง Mohican-Mohawk Trail ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้แวะตลอดทาง ตั้งแต่ซิปไลน์ น้ำตก สวนพฤกศาสตร์ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ และสะพานไม้ย้อนยุค

5. ภูมิภาคเบิร์กเชียร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ (Berkshires – Massachusetts)

ภูมิภาคเบิร์กเชียร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ (Berkshires – Massachusetts)

ความงามตามธรรมชาติภูมิภาคเบิร์กเชียร์ ที่อยู่ทางตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซตส์ ทำให้เราตะลึงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่มีท้องฟ้าสีฟ้าสดใส เป็นความงามแบบเดียวกับที่ดึงดูดให้ผู้ตั้งถิ่นฐานเข้ามาตั้งรกราก สร้างฟาร์ม และสร้างชุมชนในพื้นที่นี้ ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการเดินทางโดยรถยนต์เพื่อดื่มด่ำกับการชมใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงาม การใช้เวลาช่วงบ่ายขับรถไปตามเส้นทางที่สวยงามของเบิร์กเชียร์ ชื่นชมกับใบไม้สีสันสดใส นอกจากนี้คุณอาจแวะเก็บแอปเปิลหรือการจับจ่ายซื้อของในชุมชนที่มีชีวิตชีวาได้อีกด้วย

6. เทือกเขากรีนเมาเทนส์ รัฐเวอร์มอนต์ (Green Mountains – Vermont)

เทือกเขากรีนเมาเทนส์ รัฐเวอร์มอนต์ (Green Mountains – Vermont)

พอเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เทือกเขากรีนส์เมาเทนส์จะเปลี่ยนจากสีเขียวขจีไปเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีน้ำตาลแดง แดง ส้ม และเหลือง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินป่า หรือขับรถไปตามถนนในพื้นที่ชนบทเพื่อชมภาพต้นไม้ในหุบเขาที่สวยงามราวกับโปสการ์ดที่ทอดตัวอยู่ใต้แสงแดดอุ่นๆ ของเดือนตุลาคม ตามภูเขาเราจะเห็นบ้านชาวนาที่ทอดตัวยาวหรือคฤหาสน์แบบโคโลเนียล ต้นแอปเปิลที่แผ่กิ่งก้าน และฟักทองแกะสลักวางอยู่บนกำแพงหิน คุณอาจแวะที่เมืองวูดสต็อก (Woodstock) ชุมชนของคนร่ำรวยที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1700 ที่สวยงามราวกับเทพนิยาย และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี มีแม่น้ำออตโตเกชี (Ottauquechee River) ไหลผ่านเมือง

The Green Mountains, Vermont

7. เมืองนิวพอร์ต รัฐโรดไอแลนด์ (Newport – Rhode Island)

เมืองนิวพอร์ต รัฐโรดไอแลนด์ (Newport – Rhode Island)

คุณสามารถเที่ยวเมืองนิวพอร์ต (Newport) ได้ทุกช่วงเวลา แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดอาจเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี แวะชมคฤหาสน์นิวพอร์ตอันโด่งดังที่ปกคลุมไปด้วยสีสันในช่วงปลายเดือนตุลาคม หลังจากนั้นก็ขับรถไปตามถนน Ocean Drive ซึ่งเป็นแนวชายฝั่งอันงดงาม หากคุณเดินทางไปเที่ยวชมในช่วงเวลานี้ของปี คุณควรไปแต่เช้าหรือช่วงพลบค่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากที่มาชมใบไม้เปลี่ยนสี

8. อุทยานแห่งชาติไวท์เมาท์เทนส์ รัฐนิวแฮมเชอร์ (White Mountains – New Hampshire)

อุทยานแห่งชาติไวท์เมาท์เทนส์ รัฐนิวแฮมป์เชอร์ (White Mountains – New Hampshire)

หากต้องการขับรถท่ามกลางสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ให้ไปที่เมืองลินคอล์น รัฐนิวแฮมเชอร์ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ระยะทาง 35 ไมล์บนทางหลวง Kancamagus จะคดเคี้ยวผ่านอุทยานแห่งชาติไวท์เมาท์เทนส์ (White Mountain National Forest) ก่อนจะไปสิ้นสุดที่เมืองคอนเวย์ (Conway) ใกล้กับชายแดนรัฐเมน (Maine) ชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งที่จุดชมวิวแฮนด์ค็อค (Hancock Overlook) จากนั้นแวะที่น้ำตก Sabbaday เพื่อเดินขึ้นไปชมวิวอันสวยงามจากด้านบน

9. เมืองโอลด์ไลม์ รัฐคอนเน็คทิคัต (Old Lyme – Connecticut)

เมืองโอลด์ไลม์ รัฐคอนเน็คทิคัต (Old Lyme – Connecticut)

ในช่วงฤดูร้อน เมืองโอลด์ไลม์จะเป็นจุดพักผ่อนสุดเก๋ และเมื่อถึงปลายเดือนตุลาคม เมืองนี้จะกลายเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยม วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการชมใบไม้เปลี่ยนสีคือการเช่าเรือคายัคพายสำรวจพื้นที่ดูแลสัตว์ป่า Great Island หรือไปตามแม่น้ำคอนเน็คทิคัต ซึ่งคุณอาจได้เจอนกอินทรีหัวล้านบินอยู่ในบริเวณอีกด้วย

10. เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐเวอร์มอนต์ (Montgomery – Vermont)

เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐเวอร์มอนต์ (Montgomery – Vermont)

เมืองมอนต์โกเมอรี่ (Montgomery) ได้ชื่อว่า “เมืองหลวงของสะพานไม้โค้งแห่งเวอร์มอนต์” คุณจะได้ชมและถ่ายภาพสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุด 6 แห่งของเมือง โดยมีฉากหลังเป็นใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม และปลายเดือนกันยายนจะเป็นช่วงที่สวยที่สุด

11. อุทยานแห่งชาติอคาเดีย รัฐเมน (Acadia National Park – Maine)

เขาคาดิลแลค (Cadillac Mountain) อุทยานแห่งชาติอคาเดีย รัฐเมน (Acadia National Park – Maine)

อุทยานแห่งชาติอคาเดียมีชื่อเสียงในเรื่องทัศนียภาพบนหน้าผาริมมหาสมุทรแอตแลนติกและพระอาทิตย์ขึ้นแห่งแรกของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐเมนอีกด้วย ช่วงที่มักจะสวยที่สุดคือช่วงกลางเดือนตุลาคม คุณควรเดินป่าขึ้นไปบนเขาคาดิลแลค (Cadillac Mountain) เพื่อชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงที่กว้างใหญ่ หรือขึ้นไปกางเต็นท์ในอุทยานเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างน้อย 1 คืน

12. เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ (Boston – Massachusetts)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีไม่จำเป็นจะต้องออกนอกเมืองเสมอไป เมืองบอสตัน (Boston) เป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมากมาย ผู้ที่ชื่นชอบใบไม้เปลี่ยนสีสามารถไปที่สวนสาธารณะบอสตัส คอมมอน (Boston Common) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสวน Back Bay Fens และในพื้นที่ที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้ เช่น ย่าน South End และย่าน Beacon Hill ใบไม้ในเมืองจะมีสีสันมากขึ้นตลอดเดือนตุลาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการชมใบไม้ร่วงนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ พื้นที่ที่อยู่คนละด้านของภูเขาก็ อาจมีสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่แตกต่างกันมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในพื้นที่และปริมาณแสงแดดที่ได้รับ ดังนั้นคุณอาจจะต้องดูจากสถิติการคาดการณ์ว่าควรจองตั๋วไปเที่ยวในช่วงเวลาไหน และที่สำคัญ เราขอแนะนำให้คุณทำประกันการเดินทางติดตัวไว้ด้วยค่ะ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทาง ที่อาจทำให้คุณต้องเสียทั้งเงินและเวลา ประกันการเดินทาง จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์* ไม่ว่าจะเป็น การเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : travellandleisure.com, travel.usnews.com, visitnewengland.com, audleytravel.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands)

10 ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ดินแดนมหัศจรรย์แห่งมหาสมุทรแอตแลนติก

ถ้าหากคุณชอบสำรวจธรรมชาติ คุณจะต้องชอบหมู่เกาะแฟโรอย่างแน่นอน Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ที่คุณห้ามพลาดเมื่อไปเยือน สถานที่แต่ละแห่งบนเกาะล้วนมีความงดงามและความมหัศจรรย์ในแบบของตัวเอง เราแนะนำให้คุณได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับสถานที่และสถาปัตยกรรมอันงดงามในแต่ละแห่งให้เต็มที่ เพราะสิ่งต่างๆ บนเกาะจะทำให้คุณตกหลุมรัก หมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ได้อย่างแน่นอน!

หมู่เกาะแฟโรเป็นหมู่เกาะในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ เป็นเขตการปกตรองตนเองของประเทศเดนมาร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 มีอำนาจในการปกตรองตัวเองทุกด้าน ยกเว้นด้านการต่างประเทศและการทหาร ทางด้านภูมิศาสตร์ประกอบด้วยเกาะ 18 เกาะและเกาะเล็กเกาะน้อยมากกว่า 750 เกาะ

หมู่เกาะแฟโรมีประชากรเพียง 50,000 คน เป็นหนึ่งในที่ที่มีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุดในยุโรป ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่โดยรอบและในเมืองทอร์สเฮาน์ (Tórshavn) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของหมู่เกาะแฟโร ชาวเกาะเหล่านี้สืบเชื้อสายมาจากชาวไวกิ้ง และภาษาที่ใช้โดยทั่วไปบนหมู่เกาะจะเป็น ภาษาแฟโร แต่ภาษาราชการจะใช้ ภาษาเดนมาร์กค่ะ

ทัศนียภาพบนหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands

แม้ว่าหมู่เกาะแฟโรจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมบนผืนดินและท้องทะเลอย่างเต็มที่ พวกเขาจึงมีความรู้สึกผูกพันกับชุมชนและประเพณีอย่างแน่นแฟ้น และเป็นความเชื่อที่สะท้อนออกมาในชีวิตประจำวันของพวกเขา

ถึงแม้ว่าหมู่เกาะแฟโรจะมีประชากรน้อย แต่มีแกะอยู่ถึง 80,000 ตัว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชาวแฟโร ที่นำไปใช้เป็นเนื้อ นม และขนสัตว์ แกะเหล่านี้มักจะเดินเตร่ไปมาอย่างอิสระทั่วเกาะและสามารถปีนหน้าผาสูงชันและเดินบนพื้นที่แคบๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย

เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ช่วงไหนดี

หมู่เกาะแฟโรมีสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก บางครั้งก็แดดออก บางครั้งก็ฝนตกหนัก บางครั้งที่ตอนเช้าเริ่มต้นด้วยหมอกหนาทึบ ก่อนจะกลายเป็นวันแดดจัดที่สวยงาม และตอนเย็นก็มีฝนตก สภาพอากาศโดยทั่วไปค่อนข้างอบอุ่น ฤดูร้อนจะเย็นสบายและฤดูหนาวที่ไม่หนาวรุนแรงนัก

ช่วงฤดูหนาว

ในช่วงฤดูหนาวจะมีลมแรงและฝนตกหนัก และอาจตามด้วยช่วงที่อากาศสงบ ช่วงเวลานี้อาจทำให้เดินทางไปหมู่เกาะแฟโรได้ยาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นแสงเหนือ

ช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีอุณหภูมิที่อบอุ่นและกลางวันยาวขึ้น ในเดือนมีนาคมยังคงมีหิมะตกอยู่ และหิมะจะลดลงเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นหิมะในเดือนเมษายนหรือแม้แต่ในเดือนพฤษภาคม

ช่วงฤดูร้อน

ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม เป็นช่วงเวลาที่นิยมมาเยี่ยมชมหมู่เกาะแฟโรมากที่สุด นี่คือช่วงที่สภาพอากาศดีที่สุดและเป็นช่วงที่อากาศแห้งแล้งที่สุดในหมู่เกาะแฟโรอีกด้วย อุณหภูมิสูงสุดอยู่ระหว่าง 15-21 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ในช่วงกลางฤดูร้อนหรือกลางเดือนมิถุนายน ดวงอาทิตย์จะไม่ตกดิน ทำให้คุณสามารถเที่ยวชมสถานที่และทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น

ช่วงฤดูใบไม้ร่วง

ช่วงฤดูใบไม้ร่วงโดยทั่วไปจะมีสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนัก มีอุณหภูมิที่อบอุ่นและฝนตกเป็นครั้งคราว และมีสีสันที่สดใสสวยงามของฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมทั่วเนินหญ้า

การเดินทางไปหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands)

การเดินทาง ทางอากาศ

มีสายการบิน 3 สายที่บินไปยังหมู่เกาะแฟโร ได้แก่ Atlantic Airways, Scandinavian Airlines และ Widerøe AS คุณสามารถบินตรงไปยังหมู่เกาะแฟโรได้จากหลายเมืองในหลายประเทศ เช่น โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก), ปารีส (ฝรั่งเศส), เรคยาวิก (ไอซ์แลนด์), เอดินบะระ (สกอตแลนด์), ออสโล (นอร์เวย์), และเบอร์เกน (นอร์เวย์) นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินตามฤดูกาลจากสถานที่ต่างๆ เช่น บาร์เซโลนา หมู่เกาะกรานคานารี และมายอร์กา เที่ยวบินใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ 1-3 ชั่วโมง เที่ยวบินของ Atlantic Airways เป็นเที่ยวบินที่บินบ่อยที่สุดและไปยังเมืองต่างๆ หลายแห่งทั่วทั้งยุโรป

การเดินทาง ทางเรือ

คุณสามารถโดยสารเรือเฟอร์รี่จากเดนมาร์กและไอซ์แลนด์กับบริษัท Smyril Line ไปยังหมู่เกาะแฟโร ใช้เวลาประมาณ 24-36 ชั่วโมง คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่สวยงามระหว่างทาง และบนเรื่อยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า โรงภาพยนตร์ และแม้แต่อ่างน้ำร้อนบนดาดฟ้า

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands)

1. น้ำตก Múlafossur

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) หนึ่งในแลนด์มาร์คชื่อดังบนเกาะ Vagar ของหมู่เกาะแฟโรที่คุณไม่ควรพลาด และต้องเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทางของคุณก็คือน้ำตก Múlafossur ที่คุณจะได้ชมวิวสุดอลังการของน้ำตกที่ไหลลงสู่มหาสมุทรจากหน้าผาสูง 60 เมตร และบริเวณริมหน้าผายังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า Gásadalur ที่คุณสามารถชมทิวทัศน์ของเทือกเขา Arnafjall ได้แบบพาโนรามา และคุณสามารถมองเห็นเกาะ Mykines ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นแหล่งทำรังของนกพัฟฟินได้ในระยะไกลในวันที่อากาศแจ่มใส

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - น้ำตก Múlafossur

ในอดีต วิธีเดียวที่จะไปยังหมู่บ้าน Gásadalur และน้ำตก Múlafossur ได้คือเดินตามเส้นทางเดินป่าที่ลาดชันผ่านภูเขาสูงที่เรียกได้ว่าแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ปัจจุบัน (ตื้งแต่ปี พ.ศ. 2547) มีอุโมงค์รถยนต์เชื่อมเส้นทางนี้กับถนนจากสนามบิน Vágar โดยใช้เวลาขับรถไม่ถึง 20 นาที ทำให้ที่นี่เป็นจุดแวะพักแรกหรือจุดสุดท้ายของการเดินทางของใครหลายๆ คน

2. เมือง Tórshavn

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เมือง Tórshavn

เมืองหลวงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแฟโร ภาพบ้านไม้สีดำ แดง เขียว เหลือ ที่มีการปลูกหญ้าไม่บนหลังคาเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ก็คือย่าน Tinganes ย่านเก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของ Tórshavn ที่ผสมผสานความเก่าแก่และความทันสมัยได้อย่างลงตัว คุณจะได้เห็นอาคารรัฐสภาดั้งเดิมสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 อยู่ใกล้กับตึกสูงทันสมัย เพลิดเพลินไปกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ท่าเรือสีสันสดใน ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารระดับ 5 ดาว คาเฟ่ สถานบันเทิงยามค่ำคืน บาร์ และแหล่งชอปปิ้ง สถานที่จัดคอนเสิร์ต และอื่นๆ อีกมากมาย เมืองนี้ยังเป็นจุดขึ้นเรือเฟอร์รี่และเรือที่จะข้ามไปยังเกาะอื่นๆ เช่น เกาะ Mykines เกาะ Skúvoy เกาะ Nólsoy และเกาะ Suduroy เป็นต้น

3. เมือง Tjørnuvík

เมือง Tjørnuvík เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ Streymoy ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาที่มีน้ำตกมากมายและหาดทรายสีดำที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้าที่คุณสามารถมองเห็นเสาหินตั้งอยู่ในทะเล มีเรื่องเล่ากันว่าเสาหินเหล่านี้เคยเป็นยักษ์ใหญ่ 2 ตนที่มีชื่อว่า Risin และ Kellingin (ยักษ์และแม่มด) ที่พยายามย้ายหมู่เกาะแฟโรกลับไปทางไอซ์แลนด์ และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาก็กลายเป็นหินให้ยามเช้า และคงอยู่บนหมู่เกาะแฟโรตลอดไป

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เมือง Tjørnuvík

หากคุณเดินเที่ยว คุณจะได้พบกับของเก่าแก่และกระดูกวาฬในร้านค้าท้องถิ่น ตรงปลายแหลมเป็นที่ที่เหมาะกับการนั่งจิบกาแฟกับเค้กแครอท หรือวาฟเฟิลตามคาเฟ่ และกาแฟในคาเฟ่ ในช่วงฤดูร้อน ผู้คนมักจะมานั่งเล่นบนชายหาดหรือเล่นจานร่อน แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นและมีลมแรงก็ตาม และในหน้าหนาว เมือง Tjørnuvík เป็นอีกสถานที่หนึ่งในไม่กี่แห่งบนเกาะที่จะได้สัมผัสกับความมืดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นฉากหลังของละครประวัติศาสตร์อันมืดมิดหรือหนังรักแบบหักมุม

4. หมู่บ้าน Saksun

หมู่บ้าน Saksun เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบนเกาะแฟโร ตั้งอยู่บริเวณปลายฟยอร์ดแคบๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Streymoy สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่นี่คือบ้านซึ่งมีหลังคาที่ปกคลุมด้วยหญ้าสวยงามซึ่งดูราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย การขับรถเพื่อไปเที่ยวแค่ตัวหมู่บ้านเพียงอย่างเดียวก็คุ้มแล้ว คุณสามารถเดินเล่นไปตามถนนแคบๆ ที่มีจุดจอดรถมากมาย เพื่อชมธารน้ำแข็งที่ไหลลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ นอกจากนี้ คุณจะได้เจอกับนกนางนวลได้ง่ายตามลำธาร โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ของพวกมันในฤดูร้อน

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - หมู่บ้าน Saksun

หากคุณมีเวลาพอ คุณควรไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชื่อ Dúvugarðar และชมทิวทัศน์ที่สวยงามโดยรอบได้ และจากที่นี่ คุณสามารถเดินป่าขึ้นไปยังยอดฟยอร์ดได้ ซึ่งมีน้ำตกขนาดใหญ่ตลอดทาง เพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามจากด้านบน คุณยังสามารถเดินป่าจากหมู่บ้าน Saksun ไปยังเมือง Tjornuvik ได้ในเวลา 2-3 ชั่วโมง แต่คุณควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่อาจเปลี่ยนไปกระทันหันขณะที่อยู่บนเนินเขาสูง และทำการจองรถบัสเพื่อกลับไปที่รถของคุณ

5. Trælanípa

Trælanípa หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Slave Cliff เป็นหน้าผาสูงชันบนเกาะ Vágar ในหมู่เกาะแฟโรที่ยังไม่มีใครสำรวจ หน้าผาแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของหมู่เกาะแฟโร คุณจะมองเห็นทัศนียภาพของทะเลสาบน้ำจืด Leitisvatn ที่ดูราวกับว่าลอยอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือที่มีน้ำเค็ม นับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - Trælanípa

หลังจากนั้น หากคุณ​เดินเลยไปอีกหน่อย คุณจะพบกับ Geituskorardrangur ซึ่งเป็นกลุ่มเสาหินทะเลสูงตระหง่านเหนือมหาสมุทรถึง 116 เมตร คุณจะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของท้องทะเลจากสถานที่ท่องเที่ยวริมชายฝั่งแห่งนี้ และคุณได้เห็นลำธารที่กลายเป็นน้ำตก Bøsdalafossur อีกด้วย หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์พิเศษ สามารถเช่าเรือคายัคที่ทะเลสาบ Sørvágsvatn แล้วพายไปจนถึงชายทะเล เมื่อขึ้นบก คุณจะอยู่ห่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าทึ่งเหล่านี้เพียงไม่กี่นาที

6. เกาะ Mykines

หากคุณเป็นคนที่สนใจอยากชมนกอย่างใกล้ชิด การเดินทางไปยังเกาะ Mykines (ออกเสียงว่า Me-chin-es) ควรอยู่ในรายการลำดับต้นๆ ของคุณ ในช่วงฤดูร้อน นกที่จะมาทำรังบนเกาะ Mykines อยู่เป็นหมื่นๆ ตัว

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เกาะ Mykines

คุณสามารถโดยสารเรือเฟอร์รี่ขนาดเล็กซึ่งมีวันละ 2 เที่ยวจากหมู่บ้าน Sørvágur บนเกาะ Vágar ไปยังเกาะ Mykines ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน โดยเรือเฟอร์รี่จะเปิดให้บริการเฉพาะวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 31 สิงหาคมเท่านั้น นอกจากนี้ผู้เยี่ยมชมจะต้องชำระค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นเกาะ และจะต้องมีไกด์พาชมใน ‘พื้นที่จำกัดการเข้าชม’ ซึ่งคุณควรจองไกด์ล่วงหน้า เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีและปลอดภัยในสภาพอากาศเลวร้าย

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - นกพัฟฟิน (Puffin)

การเข้าถึง ‘พื้นที่จำกัดการเข้าชม’ จะต้องปีนขึ้นไปบนเนินหญ้าสูงชัน จากนั้นลงบันไดหินชันหลายขั้น เพื่อไปยังทุ่งหญ้าริมหน้าผาที่ยื่นออกไปสู่ท้องทะเล เป็นจุดที่คุณจะได้เห็นนกกาเน็ตบนโขดหิน นกพัฟฟินที่บินเข้าและออกจากรัง นกนางนวลอาร์กติกที่ร่อนลงมาขโมยปลาจากนกพัฟฟิน และนกทะเลชนิดอื่นๆ หลายพันตัวทำรังอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

7. Drangarnir

Drangarnir แปลว่า ‘กองหินทะเล’ เป็นกลุ่มหินบะซอลต์รูปร่างแปลกตาอยู่บริเวณนอกเกาะ Vágar ใกล้กับเกาะ Tindholmur ซึ่งเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีทัศนียภาพสวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับการสำรวจในหมู่เกาะนี้ หินนี้สูงประมาณ 70 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หินก้อนที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า Stóri Drangur หรือ ‘หินทะเลขนาดใหญ่’ ส่วนก้อนที่เล็กกว่าเรียกว่า Lítli Drangur หรือ ‘หินทะเลขนาดเล็ก’ เป็นที่อยู่อาศัยของนกทะเลในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - Drangarnir

วิธีที่ดีที่สุดในการชมกลุ่มหิน Drangarnir คือการล่องเรือออกไปจนสุดฟยอร์ด Sørvágsfjørður หรือเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะพัฟฟินยอดนิยมอย่าง Mykines และขากลับจะผ่านกลุ่มหิน Drangarnir นี้ ทำให้คุณได้ไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสองแห่งในที่เดียว หากสภาพอากาศเอื้ออำนวย คุณอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่ล่องเรือผ่านซุ้มด้านล่างของหินนี้ 🙂

8. Hvíthamar

Hvíthamar เป็นจุดชมวิวเหนือหมู่บ้าน Funningur อันสวยงาม ตั้งอยู่บนเกาะ Eysturoy คุณจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเหลือเชื่อเมื่อเดินขึ้นเขาไปเพียงเล็กน้อยจากช่องเขา Gjáarskarð ดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงามของฟยอร์ด Funningsfjørður และภูเขาโดยรอบเมื่อยืนอยู่บนสันเขา นอกจากนี้ยังมีวิวอันน่าทึ่งทางทิศเหนือไปยังเกาะ Kalsoy อีกด้วย ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส คุณจะเห็นยอดเขา Slættaratindur ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดอีกด้วย จุดชมวิว Hvíthamar เข้าถึงได้ง่ายด้วยการเดินเท้า

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - Slættaratindur, Hvíthamar

ทิวทัศน์ในฤดูหนาวที่มองจากจุดชมวิวนี้เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ ถ้าคุณมาเที่ยวที่นี่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ Hvíthamar เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการมาเยี่ยมชมเมื่อคุณต้องการสัมผัสกับธรรมชาติโดยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คน

9. หมู่บ้าน Gjógv

หมู่บ้านชาวประมง Gjógv อยู่เหนือสุดบนเกาะ Eysturoy ชื่อ Gjógv มาจากหุบเขาที่โอบล้อมน้ำทะเลสวยงามยาว 200 เมตร ซึ่งชาวบ้านใช้เป็นท่าเรือธรรมชาติมานานหลายศตวรรษ มีบันไดลงไปยังหุบเขาตลอดทาง นักท่องเที่ยวสามารถยืนชมวิวและเพลิดเพลินไปกับเสียงธรรมชาติของท้องทะเล

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - หมู่บ้าน Gjógv

ปัจจุบันหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีบ้านสีขาวที่มีหลังคาหญ้าไม่เกิน 100 หลัง มีโบสถ์เล็กๆ และชาวบ้านเพียงไม่กี่คน หากคุณเดินลงไปในหุบเขา คุณจะได้เห็นหมู่เกาะสีเข้มอยู่บนขอบฟ้าและนกที่ทำรังบนหน้าผาในช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้ที่วางอยู่บนยอดผาที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการมาเยือนของมกุฏราชกุมารีแมรี ซึ่งปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีแมรีแห่งเดนมาร์กในปี 2548

10. Klaksvík

เมือง Klaksvík เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสองของหมู่เกาะแฟโร ตั้งอยู่บนเกาะ Borðoy ที่ประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพประมง ปัจจุบันคุณสามารถเดินทางไปยังเมือง Klaksvík ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมีอุโมงค์ใต้น้ำ Norðoyartunnilin ที่เชื่อมเกาะ Borðoy กับเกาะ Eysturoy และคุณสามารถเดินทางต่อไปยังเกาะ Kunoy และเกาะ Viðoy ได้อีกด้วย เนื่องจากเกาะทั้งสองนี้เชื่อมต่อกับเกาะ Borðoy ด้วยเขื่อนกั้นน้ำ

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เมือง Klaksvík

คุณสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา Kunoyarnakki ที่มีรูปร่างเหมือนปิรามิดจากเมือง Klaksvík หรือไปที่ Klakkur จุดชมวิวแบบพาโนรามาที่อยู่เหนือตัวเมือง ที่ต้องเดินพอสมควรเพื่อไปยังจุดที่สวยงามแห่งนี้ นอกจากนี้ ระหว่างที่คุณท่องเที่ยวอยู่ในตัวเมือง Klaksvík คุณจะสนุกกับการซื้อของท้องถิ่นและของที่ระลึกอื่นๆ นั่งจิบกาแฟชมวิว และหากคุณต้องการเรียนรู้วิถีชีวิตของที่นี่ ให้เข้าร่วมทัวร์ชิมอาหาร เพื่อลิ้มรสอาหารท้องถิ่นอย่าง Skerpikjøt ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะทำจากแกะที่ขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติที่โดดเด่น

หมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) มีความปลอดภัยสูง แต่ก็อาจเกิดอุบัติเหตุที่เราไม่ได้คาดฝันขึ้นได้ หากคุณเกิดเหตุใดๆ ระหว่างการเดินทาง ให้โทรไปที่หมายเลขฉุกเฉินของเกาะที่เบอร์ 112 โรงพยาบาลในเมือง Tórshavn และอีก 2 แห่งในประเทศมีบริการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และที่สำคัญ เราขอแนะนำให้คุณทำประกันเดินทางติดตัวไว้ด้วยค่ะ เพราะหากคุณเกิดเรื่องราวที่คุณไม่คาดคิดระหว่างเดินทาง คุณอาจต้องเสียทั้งเงินและเวลา ประกันการเดินทาง จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก :
The 11 Best Attractions in the Faroe Islands
8 of the best places to visit in the Faroe Islands
Top 12 Places you Must Visit in the Faroe Islands
BEST THINGS TO DO IN THE FAROE ISLANDS

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน

10 ที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน

แอลเบเนีย หรือชื่อที่เรียกกันอย่างเป็นทางการก็คือ สาธารณรัฐแอลเบเนีย (Republic of Albania) เป็นประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ที่เที่ยวแอลเบเนีย ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติอันงดงาม วัฒนธรรมโบราณ และค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ปัจจุบันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และ คนไทยสามารถเที่ยวแอลเบเนียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่านานถึง 90 วัน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 6 มีนาคม – 31 ธันวาคม 2567 โดยผู้เดินทางจะต้องกรอก e-Visa ผ่านเว็บไซต์ https://e-visa.al/apply ก่อนเดินทางไปยังประเทศแอลเบเนีย

หากคุณกำลังวางแผนการเดินทางไปยังแอลเบเนีย แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนในแอลเบเนีย Allianz Travel รวบรวม 10 สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน มาให้คุณได้เก็บเป็นลิสต์เบื้องต้นกันแล้ว

1. Tirana

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Tirana

เมืองติรานา (Tirana) เป็นเมืองหลวงที่มีเสน่ห์และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแอลเบเนีย และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการคมนาคมของประเทศ เมืองนี้เต็มไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมาของประเทศในอดีตที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งตั้งอยู่บริเวณโดยรอบจัตุรัส Skanderbeg ที่อยู่ใจกลางเมือง หากคุณต้องการทราบประวัติของประเทศแอลเบเนีย พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติจะให้คำตอบคุณได้ดีที่สุด สิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งในติรานาคือสิ่งก่อสร้างที่ดูคล้ายโดมทรงกลมขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ใจกลางเมือง คือหลุมหลบภัยหรือบังเกอร์เก่าที่ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เรียกว่า BUNK’ART 2 คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในแอลเบเนียภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์และสะท้อนประวัติศาสตร์ด้านมืดของประชาชนในยุคเผด็จการครองอำนาจมายาวนาน แต่หากคุณต้องการพักผ่อนในวันที่อากาศอบอุ่น แกรนด์พาร์คแห่งติรานา (Grand Park of Tirana) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่และเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการหลีกหนีจากความวุ่นวายในใจกลางเมืองติรานา

2. Ksamil

ที่เที่ยวแอเบเนีย - Ksamil

คซามิล (Ksamil) เป็นหมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งทะเลไอโอเนียนทางตอนใต้ของประเทศแอลเบเนีย และอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติบูตริน (Butrint National Park) ชายหาดที่นี่เป็นดาวเด่นของแอลเบเนียริเวียร่า (Albanian Riviera) ด้วยความที่มีน้ำสีฟ้าใสเป็นประกาย หาดทรายขาว และล้อมรอบไปด้วยทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม ต่างจากชายหาดอื่นๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ยังคงเป็นสถานที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว ที่นี่เหมาะสำหรับกิจกรรมสนุกๆ บนชายหาดหรือวันหยุดแสนโรแมนติก คุณสามารถใช้เวลาทั้งวันอาบแดด ดำน้ำ ว่ายน้ำหรือนั่งเรือไปสำรวจเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่บริเวณหน้าชายฝั่งได้

3. Shkodra

ที่เที่ยวแอเบเนีย - Shkodra

เมืองชโคดรา (Shkodra) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของแอลเบเนีย ติดกับพรมแดนของประเทศมอนเตเนโกร ที่นี่ถือเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของแอลเบเนีย เนื่องจากมีเทศกาลต่างๆ มากมายตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลคาร์นิวัล วันทะเลสาบ (Lake Day) เทศกาลสำหรับเด็ก (Children’s Festival) และเทศกาลดนตรีแจ๊สแห่งเมืองชโคดรา เป็นต้น หนึ่งในสิ่งที่ควรแวะไปเยี่ยมชมคือปราสาทหินโรซาฟา (Rozafa Castle) ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตกของเมือง และเคยเป็นป้อมปราการของชาวอิลลิเรียน (Illyrian Stronghold) มาก่อน จากปราสาท คุณจะได้เห็นทิวทัศน์มุมสูงของทะเลสาบชโคดรา (Lake Shkodra) และอีกที่ที่น่าไปเยี่ยมชมก็คือสะพานเมชิ (Mesi Bridge)

4. Berat

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Berat

เมืองเบรัต (Berat) ที่เที่ยวแอลเบเนีย ทางตอนใต้ของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโอซูมิ (Osumi River) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) ด้วยความเก่าแก่ยาวนานกว่า 2,000 ปี มีหลักฐานการตั้งรกรากมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ก่อนจะเปลี่ยนผ่านการยึดครองมากมาย และตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมันในศตวรรษที่ 15 จุดเด่นของเมืองคือบ้านเรือนที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบออตโตมันไว้เป็นอย่างดี สร้างเรียงรายเป็นทิวแถวไปตามเชิงเขา มองเห็นกรอบสี่เหลี่ยมของประตูหน้าต่างมากมายจากอาคารแต่ละหลัง จนเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เมืองแห่งหน้าต่างพันบาน (The City of a Thousand Windows)’ คุณยังสามารถเดินเยี่ยมชมโบสถ์ มัสยิด ปราสาท และป้อมปราการโบราณ และที่น่าสนใจคือ คุณยังเห็นผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้

5. Durrës

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Durrës

เมืองดูร์เริส (Durrës) ที่เที่ยวแอลเบเนีย อีกแห่งที่สวยงามมาก เป็นหนึ่งในเมืองท่าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในคาบสมุทรบอลข่าน และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศแอลเบเนีย ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเอเดรียติก ห่างจากเมืองหลวงติรานาไปทางตะวันตก 33 กิโลเมตร เมืองดูร์เริสผสมผสานประวัติศาสตร์ที่นับย้อนหลังไปเกือบ 3,000 ปี วัฒนธรรม และความงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าด้วยกันอย่างน่าสนใจ คุณจะได้พบกับอัฒจันทร์โรมันของจักรพรรดิเฮเดรียน (Emperor Hadrian) สร้างขึ้นในปีคริสตศักราช 100 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเมือง และเป็นอัฒจันทร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในคาบสมุทรบอลข่าน ปราสาทดูร์เริส ซึ่งเป็นป้อมปราการยุคกลางที่มีต้นกำเนิดย้อนกลับไปถึงยุคไบแซนไทน์ ดูร์เริสยังเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางวัฒนธรรม เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และโรงละครมากมาย นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งก็คือชายหาดที่มีทรายสีทองบรรจบกับน้ำทะเลใสดุจคริสตัลของทะเลเอเดรียติก ให้คุณได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศชายฝั่งที่มีชีวิตชีวา หรือดื่มด่ำกับกีฬาทางน้ำ

6. Krujë

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Krujë

หมู่บ้านครูเยอ (Krujë) หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาแอลเบเนียแอลป์ สูง 608 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ห่างจากติรานาเพียง 32 กม. สิ่งที่น่าสนใจคือที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ย้อนกลับไปในสมัยโรมัน บริเวณนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าอัลบานี (Albani) ชนเผ่าบอลข่านโบราณที่เปลี่ยนพื้นที่นี้ให้กลายเป็นเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคนั้น ต่อมาในยุคกลางก็กลายเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของรัฐแอลเบเนีย หมู่บ้านนี้ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบ้านเกิดของวีรบุรุษแห่งชาติ Skanderbeg ผู้บัญชาการทหารที่ต่อสู้กับกองกำลังออตโตมันเป็นเวลา 25 ปีเต็ม สถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดคือปราสาทครูเยอ ซึ่งภายในจะมีพิพิธภัณฑ์ ที่สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองจากมุมสูงที่มองเห็นได้ทั้งเมือง ใกล้ทางเข้าปราสาทยังมีตลาดแบบดั้งเดิมซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย Skanderbeg ขายผลิตภัณฑ์งานฝีมือของชาวแอลเบเนีย เช่น สินค้าปัก พรม วัตถุเงิน ทองแดง เศวตศิลา ลวดลายเป็นเส้น เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม เป็นต้น

7. Saranda

แอลเบเนีย - Saranda

เมืองซารานเดอ (Saranda) เป็นเมืองตากอากาศริมทะเลยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนแถบชายฝั่งริเวียร่า (Albanian Riviera) ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติและน้ำทะเลสีฟ้าใสดุจคริสตัลล้อมรอบเมือง ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของแอลเบเนีย ระหว่างเนินเขาและทะเลไอโอเนียน คุณจะได้พบกับชายหาดที่สวยงาม แหล่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน เช่น อุทยานแห่งชาติ Butrint ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก ปราสาทเลอเคียวแลสซี่ (Lëkurësi Castle) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา และหมู่บ้านที่งดงามท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เมืองนี้มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น เดินเล่นบนถนนที่ทอดยาวเลียบอ่าว ชิมอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและอาหารนานาชาติเลิศรส พร้อมชมทิวทัศน์อันงดงามของอ่าว บาร์และร้านอาหารบางแห่งจะกลายเป็นคลับในตอนกลางคืน ทำให้เมืองนี้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวา หรือหากคุณมีเวลาพอ ก็สามารถไปเที่ยวเกาะคอร์ฟูของประเทศกรีซที่เดินทางโดยเรือเฟอร์รีเพียง 30 นาทีเท่านั้น

8. Apollonia

แอลเบเนีย - โบสถ์ใน Apollonia

เมืองโบราณอพอลโลเนีย (Apollonia) หนึ่งในสมบัติแห่งอารยธรรมและวัฒนธรรมโบราณของแอลเบเนีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 588 ปีก่อนคริสตกาล โดยอาณานิคมกรีกที่มาจากเมืองโครินธ์ มีร่องรอยของวัฒนธรรมอิลลิเรียน กรีก และโรมัน ภายใต้ซากปรักหักพังของอารยธรรมโรมัน ซึ่งเป็นจุดที่การพัฒนาถึงจุดสูงสุด

แอลเบเนีย - ร่องรอยซากปรักหักพังของอารยธรรมโรมัน

เมืองโบราณแห่งนี้ถูกค้นพบในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้มาเยือน Apollo คืออนุสรณ์สถานของ Agonotes อัฒจรรย์ ห้องสมุด ผนัง  ระเบียง วิลล่าโมเสกสไตล์โรมัน พิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่แสดงวัตถุต่างๆ อย่างน้อย 800 ชิ้นที่แสดงถึงพัฒนาการของยุคสมัย เช่น รูปเหมือนของขุนนาง กลาดิเอเตอร์ รูปเด็กผู้หญิง หินหลุมศพแกะสลัก เครื่องมือทำงาน รูปสัตว์ อัศวิน นักรบ เป็นต้น นอกจากสำรวจเมืองโบราณแล้ว คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามองทะเลเอเดรียติกสีฟ้าด้วย คุณจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันเพื่อชมอนุสรณ์สถานทางโบราณคดีทั้งหมด

9. Korçë

แอลเบเนีย - Korçë

ถ้าคุณเป็นนักดื่มเบียร์ คุณก็คงเคยได้ยินชื่อเมืองคอร์เชอ (Korçë) เมืองเล็กๆ ที่เป็นที่มาของชื่อเบียร์แอลเบเนียยอดนิยม อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอลเบเนีย ที่ใช้เวลาเดินทางจากเมืองติรานาโดยรถยนต์เพียง 3 ชั่วโมง แต่ให้ความรู้สึกเหมือนออกมานอกเส้นทางของนักท่องเที่ยว ที่นี่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 13 เป็นที่รู้จักจากบทบาทในวัฒนธรรมแอลเบเนียและมรดกทางปัญญา (เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนภาษาแอลเบเนียแห่งแรก) พิพิธภัณฑ์ระดับโลก โบสถ์เก่าแก่ สถาปัตยกรรมที่สวยงาม ร้านกาแฟแปลกตา ร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย เมืองคอร์เชอเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา มีพื้นที่สีเขียว ลานเบียร์ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ตลอดจนสถาบันที่สำคัญหลายแห่งและอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมเป็นจุดเด่นของศูนย์กลางแห่งนี้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีโรงเบียร์เป็นของตัวเองอีกด้วย!

10. Gjirokastër

สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย - Gjirokastër

เมืองกีโรคาสตรา (Gjirokastër) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์มากมาย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันของหุบเขาแม่น้ำดริโน (Drino) มีเสน่ห์ด้วยตรอกซอกซอยที่สูงชัน จนมีชื่อว่า ‘เมืองแห่งบันไดพันขั้น’ ซึ่งประกอบด้วยบ้านหลายร้อยหลัง มีลักษณะคล้ายหอคอยสไตล์ออตโตมันที่มีหลังคาหิน ระเบียงไม้ และกำแพงหิน ในย่านสำคัญของเมือง และมีปราสาท Argjiro อันงดงามบนเนินเขาสูงชัน ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 4 คุณสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อาวุธภายในปราสาทที่จัดแสดงอาวุธต่างๆ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง คุณยังสามารถเยี่ยมชมโรงละครโบราณ Hadrianapolis ใกล้กับหมู่บ้าน Sofratik ห่างจากเมืองกีโรคาสตราประมาณ 14 กม. อีกสิ่งที่น่าสนใจคือที่นี่เป็นบ้านเกิดของบุคคลที่มีชื่อเสียงของแอลเบเนีย ได้แก่ Enver Hoxha ผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์ และนักเขียนชื่อดัง Ismail Kadare คุณสามารถเยี่ยมชมบ้านที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงรายละเอียดชีวิตของพวกเขา

สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย - Gjirokastër

ถึงแม้ว่าประเทศแอลเบเนียจะไม่ได้บังคับให้นักเดินทางต้องทำประกันการเดินทาง แต่เราขอแนะนำให้คุณทำประกันเดินทางก่อนออกเดินทางไปยังแอลเบเนียค่ะ เพราะหากคุณเกิดเรื่องราวที่คุณไม่คาดคิดระหว่างเดินทาง คุณอาจต้องเสียทั้งเงินและเวลา ประกันภัยการเดินทาง จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟล์ทดีเลย์ เป็นต้น ประกันเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : 14 Best Places To Visit In Albania

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น 2024

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! [ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024]

ได้เวลาเตรียมตัววางแผนการเดินทางเพื่อไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 กันแล้ว การชมดอกซากุระที่บานสะพรั่งอย่างสวยงามหรือที่รู้จักกันในชื่อฮานามิหรือโอฮานามิในญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากในการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมและเมษายน หากคุณวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เช็คช่วงเวลาพยากรณ์ดอกซากุระบาน เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศในแต่ละปี Allianz Travel จะพาคุณไปเช็คจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่น ซึ่งตาราง พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 อย่างเป็นทางการของ Japan Meteorological Corporation จะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2024 จนถึง ณ ตอนนี้ JMC ได้เผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์ซากุระบาน ในญี่ปุ่น ออกมาแล้วทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 11 ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาซากุระบานมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้นะคะ 🙂

Update! เพื่อน ๆ สามารถตรวจสอบช่วงเวลาดอกซากุระบาน ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 ได้ที่นี่ค่ะ: พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025 ล่าสุด!

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2024

ตารางพยากรณ์ช่วงดอกซากุระบานของญี่ปุ่นในปี 2024 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 11) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2024 ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางปี 2024 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ดอกซากุระบานปี 2024 (พยากรณ์ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024)

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาที่ซากุระเริ่มบานช่วงเวลาที่ซากุระบานเต็มที่
โตเกียว – Tokyo29 มีนาคม4 เมษายน
นาโงย่า – Nagoya28 มีนาคม7 เมษายน
เกียวโต – Kyoto29 มีนาคม5 เมษายน
โคจิ – Kochi23 มีนาคม31 มีนาคม
ฟุกุโอกะ – Fukuoka27 มีนาคม2 เมษายน
โอซาก้า – Osaka30 มีนาคม6 เมษายน
ฮิโรชิมะ – Hiroshima25 มีนาคม5 เมษายน
วากายามะ – Wakayama30 มีนาคม3 เมษายน
คานาซาว่า – Kanazawa1 เมษายน8 เมษายน
นากาโน่ – Nagano8 เมษายน10 เมษายน
คาโกชิมะ – Kagoshima29 มีนาคม7 เมษายน
เซนได – Sendai2 เมษายน9 เมษายน
อาโอโมริ – Aomori15 เมษายน18 เมษายน
ซัปโปโร – Sapporo27 เมษายน30 เมษายน
ดอกซากุระบานหรือดอกซากุระบานเต็มที่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2024 Cherry Blossom Forecast (11th forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปชื่นชมฤดูดอกซากุระบานในญี่ปุ่นควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โรงแรมในโตเกียวและเกียวโตจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบจองที่พักทันทีที่มีกำหนดวันเดินทาง และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่คนรักญี่ปุ่นเฝ้ารอและวางแผนเตรียมไปชมความงามของดอกซากุระ 🌸 สีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีขาวที่บานสะพรั่งไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้สุดไปจนถึงตอนเหนือสุดของประเทศ มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว หลายแห่งมีคนหนาแน่นเต็มพื้นที่ จนต้องต่อคิวถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความงามที่ในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว และ Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 จุดชมซากุระโตเกียว ที่ดีที่สุด เตรียมตัวเดินทางไปพร้อมกับเราเลยค่ะ

1. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ (Shinjuku) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว เปรียบเสมือนโอเอซิสที่อยู่กลางกรุง มีขนาดใหญ่ประมาณ 540,000 ตารางเมตร และล้อมรอบเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร คุณจะได้เห็นภาพของต้นซากุระกว่า 1,100 ต้นบานสะพรั่ง และกลีบดอกไม้ที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าและสระน้ำ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเกินบรรยาย ที่นี่มีต้นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะบานช้าเร็วไม่พร้อมกัน ทำให้คุณได้ชื่นชมกับภาพความงามของดอกซากุระได้ยาวนานขึ้น เปรียบเหมือนกับการแสดงดอกไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สวนชินจูกุเกียวเอ็นเป็นสถานที่ชมซากุระที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ร้านค้าท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบสวนยังเต็มไปด้วยของว่างอร่อยๆ และของที่ระลึกน่ารักในธีมดอกซากุระอีกด้วย

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีชินจูกุ ทางออก South Exit
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/7Aw8H6evdX2DjeBo8
ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น.- 16.00 น. (ฤดูดอกซากุระบาน จะขยายเวลาเปิดจนถึง 17.30 น.)

2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

สวนอุเอโนะ (Ueno Park) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในโตเกียวสำหรับการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย คุณจะได้เห็นทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาชมดอกซากุระที่นี่กันอย่างมากมาย สวนอุเอโนะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร ต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่อยู่ในพื้นที่มากกว่าครึ่งของสวน ทำให้มึจุดชมซากุระอยู่มากมาย เริ่มจากถนนสายหลักยาวประมาณ 500 เมตร ที่อยู่ใจกลางสวนจะมีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์เรียงรายไปสองข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนหนาแน่นมาก แต่ถ้าอยากชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็สามารถชมได้ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน และเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเวลาดอกซากุระบานเท่านั้น และอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปชมก็คือบริเวณสระน้ำชิโนบาสุ (Shinobazu Pond) ที่คุณจะได้ชมบรรยากาศของดอกซากุระริมฝั่งน้ำ

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานี Ueno เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้สวนมากที่สุด มีรถไฟหลายสายที่ผ่าน อย่างเช่น รถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ueno ออกทางออก Park Exit หรือรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Hibiya Line มาลงที่สถานี Ueno ออกทางออก 7 หรือ 9
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/gnAsmJvojfkARuqV6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: 5.00 น.- 23.00 น.

3. สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ตั้งอยู่ในเขตชิโยดะ (Chiyada) ใจกลางกรุงโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียวต้องไม่พลาด คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้น บานสะพรั่งตัดกับกำแพงหินโบราณของปราสาทเอโดะ ซึ่งปัจจุบันคือพระราชวังอิมพีเรียลอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางมหัศจรรย์ที่มีต้นซากุระกว่า 260 ต้นเรียงรายไปตามคูน้ำที่ยาวกว่า 700 เมตรที่เรียกว่า “อุโมงค์ซากุระ” คุณจะรู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนผ่านความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนที่มีการประดับไฟ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น และกิจกรรมที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวชมสวนจิโดริกะฟุจิก็คือการพายเรือล่อง หรือถีบเรือเป็ดล่องไปตามสระน้ำ ซึ่งทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับดอกซากุระที่รายล้อมมากยิ่งขึ้น

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Toei Shinjuku, Tokyo Metro Tozai หรือ Hanzomon มาลงสถานี Kudanshita ออกจากสถานีที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อ 5 นาที
  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hanzomon มาลงสถานี Hanzomon ออกจากสถานีที่ทางออก 5 แล้วเดินต่อ 5 นาที

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/NERZnRnbM3BN4qGQ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

4. สวนสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสุมิดะ (Sumida Park) ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับวันเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) เป็นสวรรค์แห่งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีซากุระปลูกอยู่ถึง 1,000 ต้น เป็นจุดที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการปิกนิกมารวมตัวกันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสวนอย่างสง่างามได้อีกด้วย

สวนสุมิดะ (Sumida Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Toei Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa
  • นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/nq9eaUnQFUEsu7ScA
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านฮิตกิ๊บเก๋อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการเดินเล่น ออกกำลังกาย พายเรือหรือถีบเรือ วาดรูป การแสดงต่างๆ และชอปปิ้งตลอดนัดทุกวันอาทิตย์ ที่นี่มีต้นซากุระญี่ปุ่นประมาณ 500 ต้น และเมื่อยืนมองจากสะพานที่ข้ามสระน้ำจะเห็นต้นซากุระสีชมพูงดงามแผ่กิ่งก้านออกไปเหนือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันงดงาม และมีตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าคอยสาปให้ชายหญิงที่มาพลอดรักกันที่สวนแห่งนี้มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ก็มีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ให้ไปกราบไหว้ขอพรศาลของเทพเจ้าเบ็นไซเต็น (Benzaiten) ภายในสวน ก็จะกลับมารักกันได้เช่นเดิม กิจกรรมยอดนิยมในสวนแห่งนี้คือการถีบเรือเป็ดชมซากุระ หรือปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กัน

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 3 นาที (280 เมตร) จากสถานีรถไฟคิชิโจจิ (Kichijoji Station) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/sbGGWsSNaMP1gwSZ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียว โดยเป็นแม่น้ำขนาดไม่กว้างนัก ทอดยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ไปตามแลห่งที่อยู่อาศัยในย่านเมกุโระ (Meguro) ในเขตชินากาว่า (Shinagawa) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว และไหลไปลงอ่าวโตเกียว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมกุโระเรียงรายไปด้วยต้นซากุระประมาณ 800 ต้นที่บานสะพรั่งอย่างงดงามในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระ ที่มีการออกร้านกันอย่างคึกคักตั้งแต่สปาร์คกลิ้งไวน์สีซากุระไปจนถึงของว่างรสเลิศ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์และความมีชีวิตชีวา ในช่วงกลางคืนจะมีบรรยากาศโรแมนติกที่เสริมด้วยแสงสียามเย็นที่สวยงาม

จุดชมซากุระโตเกียว : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานที่ยอดนิยมสำหรับชมซากุระอยู่บริเวณสะพาน Meguro Shinbashi ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟเมกุโระ (Meguro) และสถานีนากะเมกุโระ (Nakameguro)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/BA6k4ow4c8EjLNJT9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาประดับไฟ 17.00 น. – 21.00 น.)

7. สวนโยโยงิ (Yoyogi Park)

สวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโตเกียว ตั้งอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ และชิบูย่า เป็นสถานที่นั่งเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย ชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่นี่มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้น และมีหลายสายพันธุ์ ทะยอยบานตั้งแต่เดือนมีนามคมไปจนถึงเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งปิกนิก นั่งพักผ่อน หรือเดินชมดอกซากุระ โดยในช่วงเทศกาลชมซากุระ จะมีคนเข้าไปจับจองพื้นที่นั่ง หาอาหารมาทาน และจิบเบียร์เย็น ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่ากับที่อื่นๆ

สวนโยโยงิ (Yoyoki Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/SJs42qdvxsCPWxE36
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

8. สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

สวนโคอิชิกาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยและเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว โดยชื่อของสวนแห่งนี้นั้นได้รับการตั้งชื่อตามบทกวีและเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1629 ราวๆ ยุคสมัยเอโดะตอนต้น ในสวนมีบ่อน้ำตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยเส้นทางเดินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน สวนแห่งนี้มีความสวยงามตลอดทั้งปีด้วยพืชและต้นไม้ที่หลากหลาย ด้านหลังสวนถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองโตเกียวที่มองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆอย่างตัดสลับระหว่างความเป็นธรรมชาติบรรยากาศย้อนยุคกับตึกอาคารที่เต็มไปด้วยความทันสมัย แต่คนจะนิยมมาเป็นพิเศษในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของดอกซากุระที่สะท้อนจากสระไดเซ็นซุย ในสวนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นั่งปิกนิก แต่คุณสามารถนั่งชมดอกซากุระได้ที่ร้านน้ำชาที่มีเสน่ห์แปลกตาของสวน และเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาเขียวกับชิมขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง:

  • เดิน 3 นาทีจากสถานีอิดะบาชิ (Iidabashi Station) เข้าประตูทิศตะวันตกของสวน 
  • เดิน 5 นาทีจากซุอิโดบาชิ (Suidobashi) เข้าประตูทิศตะวันออกของสวน

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/RzsR6ok9Qpjz89rb8
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00น.

9. สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของโตเกียว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว เป็นสวนที่มีขนาดกว้างใกญ่และสวยงามมาก สร้างขึ้นราวๆ ปีค.ศ. 1700 ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี สำหรับโชกุนโทกุกาวะที่ 5 สวนริคุงิเอ็นเป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ในรายละเอียด ชื่อของสวนนี้แปลว่า “สวนแห่งบทกวีทั้งหก” บ่งบอกถึงรากฐานที่หยั่งรากลึกในบทกวีของญี่ปุ่น โดยมีภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนฉากจากบทกวีที่โด่งดัง จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือต้นซากุระใหญ่สายพันธุ์ชิดะเระ ซากุระ ที่เมื่อบานเต็มที่ กิ่งจะย้อยตัวลงมาค้ายน้ำตก สูงประมาณ 15 เมตร และกว้าง 20 เมตร สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วงที่มีการเปิดไฟประดับ ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและงดงามมาก

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • เดินประมาณ 7 นาทีจากสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
  • เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line)

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/8XWkRR4arTEdxzHR7
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (ขยายเวลาเป็น 21.00 น. ในช่วงฤดูดอกซากุระบาน เพื่อจัดกิจกรรมประดับไฟ)

10. สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ภายในสวนเด็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและต้นซากุระที่ปลูกไว้ประมาณ 600 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะนำเสนอทิวทัศน์อันตระการตาของดอกซากุระ ซึ่งคนในโตเกียวจะมานั่งปิกนิก และพักผ่นใต้ต้นซากุระกัน และช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟต้นซากุระด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรถไฟรางเดียว Asuka Park Rail ให้บริการนั่งผ่านสวนตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.และมีจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นเมืองและมองรถไฟที่วิ่งไปมาได้ด้วย

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาที จากสถานีโอจิ (Oji Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/qBNPwKkhQXmy9z6K6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: เปิด 24 ชม. (มีการแสดงไฟตลอดช่วงที่ซากุระบาน ตั้งแต่เย็นจนถึง 21.00 น.)

เมืองโตเกียวสดใสมีชีวิตชีวาเมื่อถึงฤดูดอกซากุระบาน เตรียมชุดสวยๆ หยิบกล้อง และติดอาหารไปนั่งปิกนิกชมสวนชิลๆ Allianz Travel รวมจุดชมซากุระหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกเยี่ยมชมตามสไตล์ที่คุณชอบ บางคนชอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทีแผงขายอาหาร และคนนั่งปิกนิกมากมาย หรือบางคนก็ชอบเดินเล่นแบบเงียบสงบและผ่อนคลายใต้ต้นซากุระในโตเกียว และไม่ว่าคุณจะวางแผนไปที่ไหนสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส

13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส

นักเดินทางที่งบเที่ยวไม่มากนัก แต่อยากได้ฟีลแบบเที่ยวยุโรปคงต้องนึกถึงประเทศจอร์เจียเป็นอันดับแรก ประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่มีความสวยงามระดับโลกอย่างเทือกเขาคอเคซัส ตั้งอยู่ระหว่างจุดตัดระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่สำคัญคือคนไทยอย่างเราไปเที่ยวจอร์เจียกันได้แบบไม่ต้องขอวีซ่า แถมยังอยู่ได้นานถึง 1 ปี เรียกได้ว่าเที่ยวกันได้เกือบทั่วประเทศเลยล่ะ ที่เที่ยวจอร์เจีย แต่ละแห่งมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ คนที่รักการถ่ายรูปวิวธรรมชาติสุดอลังการทั้งหลายคงต้องร้องว้าวถ้าได้ไปที่จอร์เจีย เพราะไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด มีกลิ่นอายของความเป็นยุโรป มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ทำให้จอร์เจียเต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่าสนใจ ทำให้หลายคนต้องปักหมุดที่นี่ไว้เป็นจุดหมายในการเดินทาง

Allianz Travel ได้รวบรวม 13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ที่หลายคนบอกว่ามีความสวยงามเทียบเท่าสวิสเซอร์แลนด์ มีที่ไหนกันบ้าง ไปดูกันเลย

1. Telavi

Telavi เป็นเมืองศูนย์กลางในภูมิภาค Kakheti มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 2,000 ปี ตั้งอยู่ทางตะวันออกของจอร์เจีย ที่ระดับความสูง 490 เมตรเหนือระดับทะเล ท่ามกลางหุบเขา Alazani ที่แสนงดงาม และยังเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ที่สำคัญของจอร์เจียเนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบเหมาะแก่การปลูกองุ่น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

Telavi ยังมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ เริ่มจากการชื่นชมแนวป้องกันของ Dzveli Galavani ป้อมปราการในยุคของกษัตริย์ Kakhetian จากนั้นมุ่งหน้าไปยัง Batonis Tsikhe หนึ่งในพระราชวังยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีเพียงไม่กี่แห่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

นอกจากนี้ ไม่ควรพลาดการไปชมต้นมะเดื่ออายุ 900 ปีของเมือง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถขอพรได้ ถ้าหากมีเวลาเหลือ เราอาจออกจากเมืองไปยังอาราม Alaverdi ซึ่งเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/KYQDe9KtXEu59Ncr5

2. Sighnaghi

Sighnaghi อยู่บนเนินเขาสูงกว่า 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล อาคารบ้านเรือนที่นี่จะดูเก่าแก่โบราณในสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และมีการปรับปรุงอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 17

ที่เที่ยวจอร์เจีย Sighnaghi

นอกจากนี้ วิวทิวทัศน์ต่างๆก็สวยงามจนแทบจะหาที่ติไม่ได้ ร้านค้าในเมืองนั่นยังคงสภาพสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งหลังคาบ้านแต่ละหลังของที่นี่ ก็พร้อมใจกันใช้สีแดงอิฐ ดูสวยงามโดดเด่นท่ามกลางหุบเขาที่ล้อมรอบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณสามารถเดินเล่นได้เพลินๆ

ที่เที่ยวจอร์เจีย Sighnaghi

มีคู่รักมากมายที่ตกหลุมรักเมืองนี้ และมาจัดงานแต่งงานกันที่นี่ ทำให้เมือง Sighnaghi มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The city of Love แห่งจอร์เจีย และอีกอย่างที่ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นก็เพราะว่าเมืองเเห่งนี้ ถือว่าเป็นเมืองที่ผลิตไวน์ชั้นยอดของโลก หรือเรียกว่าดี และมีคุณภาพมากที่สุดในประเทศจอร์เจียนั่นเอง

แผนที่ : https://goo.gl/maps/QymNPzTPe8tFDqfz8

3. Tusheti National Park

อุทยานแห่งชาติ Tusheti เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจียและเป็นภูมิภาคที่ยังไม่ถูกทำลายทางนิเวศวิทยามากที่สุดแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัส มีภูมิประเทศที่สวยงามและสัตว์คุ้มครอง เช่น แพะป่า เป็นสถานที่ที่ผู้รักธรรมชาติต้องไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมชมทิวทัศน์อันงดงาม ป้อมปราการเก่าแก่ การต้อนรับอย่างอบอุ่น และวัฒนธรรมพื้นบ้านที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park

ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างเช่น Dartlo หรือบ้านที่สร้างจากหินก่ออิฐโบราณ นอกจากนี้ชีส Tusheti ยังมีรสชาติไม่เหมือนที่ไหนและควรลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง อุทยานแห่งชาติ Tusheti  เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คุ้มค่าแก่การไปเยือน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park
ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park

แผนที่ : https://goo.gl/maps/dko6fuqMgx4wxRKf8

4. Uplistsikhe

เมืองถ้ำ Uplistsikhe ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขาของภูมิภาค Shida Kartli นักโบราณคดีระบุว่าเป็นหนึ่งในการตั้งถิ่นฐานในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Uplistsikhe

Uplistsikhe ตามภาษาจอร์เจียแปลว่า “ป้อมปราการของขุนนาง” ซึ่งเมืองถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนหินผา ใช้การก่อสร้างด้วยการขุดและเจาะจนเกิดเป็นถ้ำเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยขึ้นมา คาดว่าน่าจะก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปลายของยุคสำริด ก่อนคริสต์ศักราชถึง 1,000 ปี ซึ่งถูกใช้เป็นที่อาศัยของคนมาจนถึงศตวรรษที่ 13 โดยสถานที่แห่งนี้ถือเป็นใจกลางเมืองของคนในยุคโบราณที่มีความสำคัญทางด้านการปกครองและศาสนา เนื้อที่ของเมืองนี้ครอบคลุมไปถึง 40,000 ตารางเมตร และในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดก็มีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 20,000 คนเลยทีเดียว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Uplistsikhe

Uplistsikhe ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ดังนั้นจึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งในประเทศจอร์เจียที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดเด็ดขาด นอกจากความสวยงามของวิวธรรมชาติที่มองเห็นได้จากที่นี่แล้ว ยังได้ชมโบราณสถานที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศนี้อีกด้วย นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมในปัจจุบันสามารถสำรวจกลุ่มที่อยู่อาศัยในถ้ำ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมือง และค้นพบความสำคัญทางสถาปัตยกรรมของเมืองได้

แผนที่ : https://g.page/Chokoladobana?share

5. Gudauri

Gudauri ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,196 เมตร ห่างจากกรุง Tbilisi เมืองหลวงของจอร์เจียไปทางทิศเหนือราว 120 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นสกีรีสอร์ทที่สมบูรณ์แบบที่สุดบริเวณเทือกเขาคอเคซัส เพราะระดับความลาดชันมีความเหมาะสม มีลานสกีที่หลากหลายเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มาทุกระดับ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สงเสริมให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฤดูหนาวของจอร์เจียตั้งแต่เดือนธันวาคม-เดือนเมษายน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Gudauri

กิจกรรมอื่นๆ บริเวณรอบๆพื้นที่เล่นสกีก็จะมีกิจกรรม Paragliding โดดร่มผาดโผนลงจากเทือกเขาสำหรับคนชอบความตื้นเต้น อีกทั้งยังมีการขี่มอเตอร์ไซค์เล่นลงเขา นั่งกระเช้าชมวิว เป็นต้น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Gudauri

ดังนั้นผู้คนจึงใช้เวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากการเล่นสกีอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเพราะสามารถเที่ยวเล่นได้หลายอย่าง อีกทั้งยังมีโรงแรงบริการรองรับสำหรับคนที่ต้องการเล่นสกีหลายๆวันด้วย

แผนที่ : https://goo.gl/maps/rM4Wj9tiemYT3jds8

6. Jvari Monastery

วิหารจวารี (Jvari Monastery) โบสถ์แห่งไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 6 ตั้งอยู่ที่เมืองมิชเคทา (Mtskheta) เมืองหลวงเก่าของจอร์เจีย เป็นจุดตัดของแม่น้ำอักราวิและแม่น้ำมิกวาริ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1994

ที่เที่ยวจอร์เจีย Jvari

ภายในโบสถ์มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางโถง มีตำนานเล่าขานว่า “นักบุญนีโน” (Saint Nino) แห่งคัปปาโดเกีย ได้นำไม้กางเขนนี้เข้ามา พร้อมเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจอร์เจียเป็นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 4 เล่ากันว่าขณะที่นักบุญนีโนปักไม้กางเขนลงบนพื้นดิน ได้เกิดเหตุการณ์ปาฎิหาริย์ และทำให้กษัตริย์และชาวเมืองหันมานับถือคริสต์ศาสนาอย่างจริงจัง

ที่เที่ยวจอร์เจีย Jvari

แผนที่ : https://goo.gl/maps/8kqEzoh3oukx98d36

7. Stepantsminda

เมือง Stepantsminda หรือชื่อเก่าที่คุ้นเคยกันอย่าง Kazbegi คือเมืองทางตอนเหนือของจอร์เจีย ห่างจากกรุง Tbilisi ประมาณ 145 กิโลเมตร ตั้งชื่อตามสเตฟาน พระภิกษุออร์โธดอกซ์ชาวจอร์เจียที่สร้างอาศรมในภูมิภาคนี้ สเตฟานส์มินดาเป็นจุดแวะพักที่สวยงามแห่งหนึ่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda
ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

จุดเช้คอินที่ห้ามพลาดคือโบสถ์ Gergeti Holy Trinity หรือ Tsminda Sameba โบสถ์ชื่อดัง สัญลักษณ์สำคัญที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 บนความสูง 2,170 เมตร

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่าผ่านเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Kazbegi และการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา Kazbegi เป็นต้น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda
ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

แผนที่ : https://goo.gl/maps/ckqVT3U9dhc2qbHh8

8. Vardzia

Vardzia เป็นเมืองถ้ำและอารามโบราณที่มีชื่อเสียงทางตอนใต้ของจอร์เจีย สร้างขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งชาวจอร์เจียนมาสร้างที่พักอาศัยกันที่ภูเขาหิน โดยใช้วิธีการขุดเจาะเข้าไป เพื่อหลบซ่อนตัวจากการรุกรานของกองทัพมองโกล ที่นี่มีด้วยกันถึง 19 ชั้น 6,000 ห้อง มีทั้งส่วนที่พักอาศัย และสถานที่ประกอบศาสนพิธี เป็นที่หลบภัยของประชาชนจำนวนมากถึง 50,000 คน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Vardzia

ปัจจุบันบางส่วนของ Vardzia ถูกทำลายลงไปเนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และแม้ว่าจะถูกละทิ้งหลังจากการยึดครองประเทศของออตโตมันในศตวรรษที่ 16 แต่ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์และรอการจารึกในอนาคตให้เป็นหนึ่งในรายการมรดกโลกของยูเนสโก

ที่เที่ยวจอร์เจีย Vardzia

แผนที่ : https://goo.gl/maps/cBnRevknYVTsJVbz6

9. Rabati Fortress

ป้อมปราการ Rabati เป็นสถานที่สำคัญตั้งอยู่ที่เมือง Akhaltsikhe หรือที่มีชื่อเดิมว่า Lomisa เมืองเล็กๆ ในแคว้น Samtskhe-javakheti ทางตอนใต้ของจอร์เจีย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 และได้รับการปรับปรุงใหม่ในปี 2554

ที่เที่ยวจอร์เจีย Rabati Fortress

ปราสาทด้านในประกอบด้วยอาคารหลายส่วน ซึ่งล้อมรอบด้วยแนวกำแพงหินที่ใช้เป็นป้อมปราการป้องกันข้าศึก อาณาเขตของปราสาทมีพื้นที่ถึง 7 เอเคอร์ ประกอบด้วยอาคารหลากหลายศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมกันมากมาย เช่น จอร์เจีย ออตโตมัน ยิว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Rabati Fortress

แผนที่ : https://goo.gl/maps/5pt1X1FGmXQNmtM49

10. Mestia

Mestia เป็นเมืองทางตอนเหนือของจอร์เจีย ตั้งอยู่บนเทือกเขาคอเคซัส ที่ระดับความสูง 1,500 เมตร มีลักษณะเป็นหมู่บ้านอยู่บริเวณเขา และทุกบ้านจะมีปล่องไฟขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

กิจกรรมที่มีให้ทำที่นี่ก็จะมีการขี่ม้าเที่ยวชมรอบหมู่บ้าน การปีนเขา และการเล่น Paragliding ที่จะทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติและหุบเขาคอเคซัสอันสวยงามแบบ 360 องศาเลยทีเดียว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia
ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

นอกจากนี้ ด้วยความที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นศูนย์กลางในการเที่ยวชมธรรมชาติในหุบเขาคอเคซัส จึงมีพิพิธภัณฑ์ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของบริเวณหุบเขาคอเคซัสที่มีชื่อว่า Svaneti Museum of History and Ethnography ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงสิ่งของที่ถูกค้นพบในยุคสมัยเก่า เช่น เครื่องครัว อาวุธ เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงรูปภาพและคัมภีร์ทางศาสนาต่าง ๆ อีกด้วย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

แผนที่ : https://goo.gl/maps/9NBmz6ouhcasBD26A

11. Zugdidi

Zugdidi อยู่ในจังหวัด Samegrelo อยู่ทางตะวันตกของกรุง Tsibili ประมาณ 316 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ชื่อ Zugdidi มาจากภาษา Mingrelian แปลว่าเนินเขาใหญ่ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์และแปลกตาและมีสถาปัตยกรรมที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเริ่มจากพระราชวัง Dadiani ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และเพลิดเพลินไปกับการสำรวจโครงสร้างและบริเวณรอบ ๆ ของสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่ 19

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

นอกจากนี้ยังมีสวนพฤกศาสตร์ Zugdidi โรงละคร ป้อมปราการ และ หากเดินทางออกไปนอกเมือง ก็จะกับพบความสวยงามของธรรมชาติ และผจญภัยใน Martvili Canyon

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/nWfgbrwyvDXFVcVX8

12. Ushguli

Ushguli เป็นเขตชุมชนเล็กๆ อยู่ริมแม่น้ำ Patara Enguri ในภูมิภาค Upper Svaneti ในหุบเขา Enguri บนแนวเทือกเขาคอเคซัส ทางตอนเหนือของประเทศจอร์เจีย สูงจากเชิงเขา Shkhara ราว ๆ 2,100 เมตร มีประชากร 200 คน ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

Ushguli ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในชื่อ Upper Svaneti เมื่อปี 1996 จึงกลายเป็นชุมชนมรดกโลกที่สูงที่สุดในยุโรปไปโดยปริยาย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

นอกจากบ้านเรือนที่มีลักษณะเก่าแก่โบราณน่าเที่ยวชมแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังอยู่ในจุดที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์เจีย เพราะขนาบข้างไปด้วยแนวเทือกเขาสูงใหญ่ ในฤดูร้อนจะเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีมีดอกไม้เล็ก ๆ แทรกแซมอยู่ ฤดูหนาวก็จะเต็มไปด้วยหิมะ งดงามราวกับดินแดนในเทพนิยาย  สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน ณ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นจำนวนมาก

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

แผนที่ : https://goo.gl/maps/fsTXBhjqPKjJWAUg8

13. Batumi

เมืองชายฝั่ง Batumi หนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย ได้รับความนิยมในฐานะลาสเวกัสแห่งทะเลดำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi

สถานบันเทิงยามค่ำคืนในฤดูร้อนที่พลุกพล่าน แสงนีออน สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และเทศกาลทางวัฒนธรรมทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยม และนักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาสนุกสนานและเต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆ ได้ที่นี่

ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/C41H6bT7UFRW1rNc8

จอร์เจีย ประเทศเล็กๆ ที่สามารถได้ใจนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางไปสัมผัสธรรมชาติอันงดงาม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันงดงาม ทำให้ใครหลายๆ คนหลงรักประเทศนี้ จากลิสต์สถานที่เที่ยวในจอร์เจียที่ Allianz Travel นำมาฝากเพื่อนๆ คงทำให้หลายๆ คนเพิ่มจอร์เจียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่อยู่ในลิสต์ของประเทศที่อยากไปกัน และตอนนี้จอร์เจียก็เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้แล้ว เริ่มกดวันลาหรือมองหาวันหยุด เตรียมตัวแพ็คกระเป๋า แล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปสัมผัสกับธรรมชาติสุดสวยที่จอร์เจียกันได้เลย แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้วแต่ยังไงเราก็ควรอัพเดทข่าวสารและมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศจอร์เจียกันด้วยนะคะ วางแผนการเดินทางและเตรียมความพร้อมให้ดี สิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศคือ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel  ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัด ช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Must-Visit Attractions in Georgia

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel