20 tourist attractions in iceland

20 ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ดินแดนธรรมชาติอันงดงาม

ประเทศไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ไม่เพียงแต่สำหรับนักผจญภัยที่แสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้รักธรรมชาติที่มองหาสิ่งที่แตกต่างออกไปด้วย แหล่ง ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ คุณจะได้พบกับภูเขาไฟที่ยังไม่ดับและปะทุอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก น้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน บ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง ธารน้ำแข็ง ทุ่งน้ำแข็ง และฟยอร์ด 

เราสามารถ เที่ยวไอซ์แลนด์ ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเช่ารถขับ หรือใช้บริการทัวร์ที่มีอยู่มากมาย อย่างเช่น ทัวร์ล่าแสงเหนือ ขี่รถ ATV เหนือทุ่งลาวา ทัวร์ไปเช้าเย็นกลับ เพื่อชมความงามทางธรรมชาติที่น่าทึ่งของไอซ์แลนด์ และเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการผจญภัยครั้งต่อไปของคุณ Allianz Travel ได้นำ 20 ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ดินแดนอันงดงามของธรรมชาติมาใส่เพิ่มในแผนการเดินทางของคุณค่ะ

1. เมืองเรคยาวิก (Reykjavík)

เรคยาวิกเป็นเมืองหลวงของไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ที่คุณควรไปเยี่ยมชมเมื่อไปถึงไอซ์แลนด์ คุณควรใช้เวลาสัก 2-3 วันเพื่อเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไอซ์แลนด์ ที่นี่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่คุณคาดหวังได้จากเมืองหลวงของยุโรป เช่น พิพิธภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมและแหล่งช้อปปิ้งชั้นยอด โดยเริ่มต้นด้วยการชมเมืองมุมสูง 360 องศาจากโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja) โบสถ์คอนกรีตสีขาวที่มีดาดฟ้าสำหรับชมวิวในหอคอยสูง 74.5 เมตร เดินเล่นสำรวจรอบเมือง เยี่ยมชมอาคาร Harpa ในเขตท่าเรือเก่า ชมหอศิลป์สำคัญๆ แวะชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์ และผ่อนคลายแช่น้ำอุ่นตามสระว่ายน้ำสาธารณะที่มีอยู่หลายแห่งของเมือง

โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja)
โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja)

2. บลูลากูน (Blue Lagoon)

บลูลากูนเป็นสปาที่ใช้ความร้อนจากใต้พิภพ มีอุณหภูมิสูงถึง 37-39 องศาเซลเซียส และกล่าวกันว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อทั้งสุขภาพและผิวพรรณ นอกจากการอาบน้ำในบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครแล้ว ที่นี่ยังมีร้านขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สปาทรีตเมนต์ต่างๆ และสถานที่กินและดื่มอีกด้วย คุณสามารถเดินทางไปเช้าเย็นกลับจากเมืองเรคยาวิก โดยใช้เวลาขับรถเพียง 40 นาที การจองตั๋วรถบัสไปยังบลูลากูนจากเรคยาวิกก็ทำได้ไม่ยาก และถ้าคุณต้องการเพิ่มการผจญภัยในไอซ์แลนด์ คุณสามารถจองการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับด้วยรถเอทีวีที่จะพาคุณขับรถไปตามเส้นทางหินลาวา

บลูลากูน (Blue Lagoon)

หากคุณมีเวลาไม่มาก คุณอาจแวะแช่ตัวในน้ำสีฟ้าร้อนและโคลนสีฟ้าที่อุดมด้วยแร่ธาตุในสระอาบน้ำสัก 2-3 ชั่วโมงทันทีที่คุณบินมาถึงไอซ์แลนด์ หรือแม้แต่ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินออกจากประเทศ เพราะบลูลากูนตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินนานาชาติเคฟลาวิกเป็นอย่างมาก

3. คาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes)

อุทยานธรณีคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes) อยู่ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 50 กิโลเมตร เป็นที่เดียวในโลกที่จะมีโอกาสได้เห็นทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปยุโรปที่ปกติจะมีมหาสมุทรแอตแลนติกคั่นกลางในระยะทางนับพันกิโลเมตร แต่คุณสามารถเดินข้ามทวีปตรงรอยแยกระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียและอเมริกาเหนือในเวลาไม่ถึงนาที โดยผ่านสะพานข้ามทวีปบริเวณสีขาวที่มีชื่อเรียกว่า ‘Leif the Lucky’ ตั้งขึ้นเป็นเกียรติแก่นาย เลฟ เอริกสัน (Leif Erikson) นักสำรวจชาวไอซ์แลนด์ และเป็นชาวยุโรปคนแรกที่พิชิตทวีปอเมริกาเหนือสำเร็จเมื่อพันปีก่อน ตามตำนานของชาวไอซ์แลนด์

คาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes)

สำหรับผู้หลงใหลธรณีวิทยา คาบสมุทร Reykjanes แห่งนี้เปรียบเสมือนดินแดนที่จะย้อนเวลาให้คุณเข้าใจถึงการกำเนิดโลก ค้นพบเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาไฟ ทุ่งลาวา แผ่นดินไหว รอยแยก ชั้นหินต่าง ๆ น้ำพุร้อน และระบบความร้อนใต้พิภพได้เป็นอย่างดี

4. ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ บนเส้นทางวงกลมทองคำ (The Golden Circle)

เส้นทางวงกลมทองคำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้ความนิยมที่สุดของไอซ์แลนด์ มีระยะทางเมื่อขับรถวนรอบแค่ 240 กิโลเมตร และรวมสถานที่ที่ดีที่สุดที่ควรไปเยี่ยมชมในไอซ์แลนด์ไว้ถึง 3 แห่ง คุณสามารถขับรถเที่ยวจากเมืองเรคยาวิกวนเป็นวงกลมได้ใน 1 วัน โดยเริ่มจากอุทยานแห่งชาติ Thingvellir ซึ่งเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีทั้งประวัติศาสตร์และทิวทัศน์ที่สวยงาม และยังเป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกของทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรปแยกออกจากกัน นอกจากนี้หากคุณกล้าท้าความหนาวเย็น คุณสามารถไปดำน้ำตื้นหรือดำน้ำลึกได้ที่รอยแยกใต้น้ำซิลฟรา (Silfra Fissure) ซึ่งเป็นรอยแยกแผ่นทวีปยูเรเชีย-อเมริกาเหนือ หลังจากนั้นให้ขับรถไปที่หุบเขาเฮาคาดาลูร์ Haukadalur ซึ่งคุณจะพบกับกีย์เซอร์หรือน้ำพุร้อนใต้ดินที่พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ และที่สุดท้ายคือน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) น้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์และเป็นน้ำตกที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด

น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss)

5. น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss) และสโกกาฟอสส์ (Skógafoss)

น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์และสโกกาฟอสส์ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนใต้ไม่ไกลจากเมืองเรคยาวิก น้ำตกแห่งแรกที่คุณจะไปถึงคือน้ำตกเซลยาลันด์ฟอสส์ ซึ่งมีน้ำไหลลงมาจากหน้าผาสูงและเป็นทางเข้าสู่ถ้ำขนาดใหญ่ คุณสามารถเดินไปตามขอบถ้ำและเข้าไปด้านหลังน้ำตกเพื่อถ่ายภาพได้ เมื่อคุณขับรถต่อไปตามถนนอีกหน่อย คุณก็จะถึงน้ำตกสโกการ์ฟอสส์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใต้เงาของภูเขาไฟเอยาฟยาลลาโจกุล (Eyjafjallajökull) อันเลื่องชื่อ ที่เพิ่งปะทุจนต้องหยุดการจราจรทางอากาศทั้งหมดในปี 2010

น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss)
น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss)
น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skógafoss)
น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skógafoss)

6. หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์ (Vestmannaeyjar)

หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์อยู่นอกชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ที่มียอดเขาสูงชัน คุณใช้เวลานั่งเรือข้ามฟากจากแผ่นดินใหญ่เพียง 30 นาที แต่บรรยากาศให้ความรู้สึกเหมือนออกไปไกลหลายสิบกิโลเมตร คุณจะได้ยินเสียงร้องของนกทะเล เห็นหน้าผาสูงตระหง่าน และภาพกระท่อมที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนยอดเขา ประชากรกว่า 4,000 คนของเกาะอาศัยอยู่ที่เมือง Heimaey ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ และมีลาวาที่ไหลเป็นเส้นตรงผ่านใจกลางเมือง ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกพัฟฟินที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และคุณสามารถไปกับทัวร์เรือชมหมู่เกาะเพื่อชมพวกมันได้

หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์ (Vestmannaeyjar)
หมู่เกาะแวสต์มานาเอย์ยาร์ (Vestmannaeyjar)
นกพัฟฟิน
นกพัฟฟิน

7. น้ำตกเฮงกิฟอสส์ (Hengifoss)

น้ำตกเฮนกิฟอสส์เป็นน้ำตกที่สูงเป็นอันดับสามของไอซ์แลนด์ด้วยความสูงที่ 128 เมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามมาก มีความสูง 128 เมตร นับว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของน้ำตกที่สูงที่สุดของไอซ์แลนด์ น้ำตกเฮงกิฟอสส์มีความโดดเด่นด้วยช่องเขาที่อยู่โดยรอบ ซึ่งมีส่วนประกอบของหินสีแดงที่เกิดจากการ oxidation ของแร่เหล็กในโคลน แทรกตัวอยู่ระหว่างชั้นของกินบะซอลล์อายุราว 5-6 ล้านปี ที่เรียงตัวซ้อนกันเป็นชั้นๆ สีปูนแดงซึ่งทำให้น้ำตกแห่งนี้ดูสวยงามยิ่งขึ้น คุณสามารถเดินขึ้นเขาจากลานจอดรถไปที่น้ำตกได้ในเวลาประมาณ 40-60 นาที ซึ่งมีม้านั่งให้พักชมวิวเป็นระยะ ระหว่างทางคุณจะเจอกับน้ำตกลิทลันเนสฟอสส์ (Litlanesfoss) หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์มากที่สุด ไหลผ่านหินบะซอลต์รูปแท่ง (columnar basalt) ที่เกิดจากการเย็นตัวอย่างช้าๆ ของลาวาในช่วงไม่ถึง 20 ล้านปี

น้ำตกเฮงกิฟอสส์ (Hengifoss)
น้ำตกลิทลันเนสฟอสส์ (Litlanesfoss)

8. ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน (Jokulsarlon)

ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอนเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ทางใต้ตรงปลายๆ ของธารน้ำแข็ง “วาตนาเยอคูตล์” (Vatnajökull) อยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติสเกฟตาลเฟลล์ (Skeftalfell National Park) และเมืองฮอฟน์ (Höfn) มีขนาดกว้างถึง 18 ตารางกิโลเมตร และลึกประมาณ 200 เมตร หากคุณต้องการใกล้ชิดกับภูเขาน้ำแข็ง คุณสามารถเลือกเดินทางไปกับทัวร์ทางเรือ ซึ่งคุณอาจได้เจอกับแมวน้ำมากมายที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบและตรงใกล้ชายฝั่งทะเล หรืออาจกำลังพักผ่อนอยู่เหนือภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเลสาบ ทะเลสาบแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยฝูงนกอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูร้อน ที่คุณมีโอกาสได้ชมเหล่านกนางนวลและนกสายพันธุ์อื่นๆอีกด้วย

ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน (Jokulsarlon)

9. ธารน้ำแข็งฟอลซาลอน (Fjallsarlon)

ธารน้ำแข็งฟอลซาลอนคือทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่มาก อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติวนาโจกูล (Vatnajokull) ลักษณะคล้ายกับทะเลสาบโจกุลซาลอนแต่มีหน้าหาดที่ใหญ่กว่าและคนน้อยกว่า ทะเลสาบ ฟอลซาลอนอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขา ลักษณะเหมือนกำลังจะไหลลงมาแต่ถูกสกัดด้วยความเย็นจึงเกิดน้ำแข็งที่มีรูปร่างสวยงาม การมาถึงทะเลสาบแห่งนี้ก็เหมือนได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความฝันที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอันตระการตา คุณสามารถล่องเรือชมภูเขาน้ำแข็งและธารน้ำแข็งขนาดยักษ์ และสัมผัสทิวทัศน์ธรรมชาติอันน่าทึ่งได้

ธารน้ำแข็งฟอลซาลอน (Fjallsarlon)

10. อุทยานแห่งชาติสกัฟตาเฟล (Skaftafell National Park)

อุทยานแห่งชาติสกัฟตาเฟลล์เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ และเข้าถึงได้จากถนนวงแหวน (Ring Road) ประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ น้ำตกสีดำ Svartifoss ที่ไหลลงมาเหนือเสาหินบะซอลต์สีดำ คุณยังสามารถเดินไปที่ขอบของสกัฟตาเฟลส์โจกุล Skaftafellsjökull ในช่วงฤดูร้อน หรือเข้าร่วมทัวร์พร้อมไกด์เพื่อเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งของธารน้ำแข็ง ทิวทัศน์ที่น่าทึ่งที่สุดคือยอดเขา Hvannadalshnjúkur ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ ที่สูงถึง 2,110 เมตร คุณสามารถปีนขึ้นไปได้ในช่วงฤดูร้อนพร้อมไกด์ที่มีประสบการณ์

น้ำตกสีดำ Svartifoss
น้ำตกสีดำ Svartifoss
สกัฟตาเฟลส์โจกุล Skaftafellsjökull
Skaftafellsjökull

11. ฟยาดราเกลยูเฟอร์ (Fjaðrárgljúfur)

หุบโตรกฟยาดราเกลยูเฟอร์ อีกจุดท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้อยู่ไม่ไกลจากกทางตะวันออกเฉียงใต้ของถนนวงแหวน มีลักษณะเป็นช่องเขาที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งโบราณที่พยายามกัดเซาะชั้นลาวาภูเขาไฟในบริเวณนี้ จนเกิดเป็นแนวช่องแคบยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และลึก 100 เมตร เมื่อก่อนที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักเมื่อเทียบกับบริเวณชายฝั่งทางตอนใต้ จนกระทั่ง Justin Bieber มาถ่ายทำมิวสิควิดีโอบริเวณนี้!

ฟยาดราเกลยูเฟอร์ (Fjaðrárgljúfur)

12. ที่ราบสูงไอซ์แลนด์ (Icelandic Highlands)

ที่ราบสูงไอซ์แลนด์อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ มีพื้นที่กว้างใหญ่แต่แทบไม่มีคนอาศัยอยู่ และไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายบริเวณโดยรอบถนนวงแหวน แต่คุณจะได้พบกับน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน และทัศนียภาพอันงดงามของไอซ์แลนด์มากมาย ไฮไลท์หลักของที่นี่คือลานมันนาเลยการ์ (Landmannalaugar) ที่มีทั้งบ่อน้ำพุร้อน ภูเขาสูง และหุบเขากว้าง

ลานมันนาเลยการ์ (Landmannalaugar)

13. เมืองอคูเรย์รี่ (Akureyri)

เมืองอคูเรย์รี่เป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเมืองเดียวในไอซ์แลนด์ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีประชากรทั้งหมดประมาณ 18,000 คน และเป็นจุดตั้งต้นที่ดีในการสำรวจดินแดนทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับทะเลสาบมิวาทน์ (Mývatn Lake) และทริปชมวาฬในฮูสาวิก (Húsavík) นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอย่างเช่น บ้านเลาฟาส( Laufás Turf Houses) และสวนพฤกษศาสตร์อาร์กติก รวมถึงพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและโบสถ์ไอซ์แลนด์ที่สวยงามโดดเด่น ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมที่คุณสามารถมาตามล่าแสงเหนือในฤดูหนาว

เมืองอคูเรย์รี่ (Akureyri)

14. ทะเลสาบมิวาทน์ (Lake Mývatn)

หากคุณมาเที่ยวเพื่อชมธรรมชาติในไอซ์แลนด์ ทะเลสาบมิวาท์นก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้เป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งสำหรับการท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ในฤดูหนาว เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของบ่อน้ำพุร้อนจากลาวาภูเขาไฟจำนวนหลายแห่ง จัดว่าเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรณีวิทยา ได้รับการประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ของไอซ์แลนด์  ในฤดูหนาวทะเลสาบใจกลางประเทศแห่งนี้จะมีหิมะปกคลุม น้ำในทะเลสาบแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง ดูสวยงามตระการตามาก และอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่พลาดไม่ได้ คือการมานอนแช่ออนเซ็นต์แบบไอซ์แลนด์ ที่ Myvatn Nature Baths  ซึ่งเป็นเขตอาบน้ำแร่ที่อุดมไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ

ทะเลสาบมิวาทน์ (Mývatn Lake)
ทะเลสาบมิวาทน์ (Mývatn Lake)

15. น้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss)

ไอซ์แลนด์เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องน้ำตก แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่ทรงพลังเท่ากับน้ำตกเดตติฟอสส์ซึ่งมีขนาดที่สูงชันถึง 44 เมตร และปริมาณน้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาทุกวินาทีทำให้น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสองของยุโรป ถึงแม้ว่าน้ำตกแห่งนี้จะไม่ใช่น้ำตกที่ถ่ายรูปออกมาสวยที่สุด แต่ก็ทำให้คุณเห็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันทรงพลังของไอซ์แลนด์ที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก

น้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss)

16. หุบเขาอัสบีร์กี (Ásbyrgi)

หุบเขาอัสบีร์กีตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่แปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์ หุบเขาแห่งนี้มีความยาว 3 กิโลเมตร และกว้าง 1 กิโลเมตร ในช่วงฤดูร้อน ด้านในของหุบเขาจะถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียวสดจากต้นไม้และพืชพันธุ์ที่มีชีวิตชีวา ที่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในไอซ์แลนด์ที่คุณจะได้เห็นต้นไม้มากมาย ทำให้ที่นี่เป็นจุดแวะที่ไม่เหมือนใครในแผนการเดินทางใดๆ หน้าผาของหุบเขาสูงขึ้นไป 100 เมตร ทำให้เพิ่มความเหนือจริงให้กับสถานที่มากขึ้นไปอีก

หุบเขาอัสบีร์กี (Ásbyrgi)

17. น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss)

น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss) เป็นอีกหนึ่งจุดใน ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ที่สำคัญในเขตทะเลสาบมีวัทน์ (Myvatn Lake) โดย คำว่าโกดาฟอสส์นั้นแปลว่าน้ำตกแห่งพระเจ้า (Waterfall of God) ซึ่งดูนยิ่งใหญ่อลังการสมชื่อจริงๆ เพราะน้ำตกที่นี่มีความงดงามและใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ความงดงามของน้ำตกแห่งนี้เกิดจากสายน้ำตกของโกดาฟอสส์ที่มีลักษณะโค้งเป็นครึ่งวงกลมและไหลตกลงมายังแอ่งขนาดใหญ่ตรงกลาง ในฤดูหนาวเส้นทางจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน  น้ำในแอ่งบางส่วนจับตัวเป็นน้ำแข็งน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้มาเที่ยวไอซ์แลนด์ในหน้าหนาว

น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss)
น้ำตกโกดาฟอสส์ (Goðafoss) และแสงเหนือ

18. เมืองฮูสาวิก (Húsavík)

สิ่งที่ดีที่สุดของไอซ์แลนด์ต้องรวมถึงเมืองฮูสาวิกอย่างแน่นอน ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ทางชายฝั่งตอนเหนือ และที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการชมวาฬของประเทศไอซ์แลนด์ เมืองฮูสาวิกอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล และตลอดทั้งปี แหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในอ่าวดึงดูดวาฬหลากหลายสายพันธุ์จำนวนมาก ในช่วงเวลาต่างๆ ของปี คุณสามารถเจอได้ทั้งวาฬออร์กา วาฬสีน้ำเงิน วาฬมิงค์ วาฬสเปิร์ม และวาฬหลังค่อม นอกจากนี้ยังมีปลาโลมา วาฬหัวทุย และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนเข้าร่วมทริปชมวาฬ คุณควรแวะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วาฬฮูซาวิกเพื่อศึกษาเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตในบริเวณนี้

วาฬในฮูสาวิก (Húsavík)
วาฬในฮูสาวิก (Húsavík)

19. เวสท์ฟยอร์ด (Westfjords)

เวสท์ฟยอร์ด หรือฟยอร์ดตะวันตกเป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ความเป็นมาและลักษณะทางธรณีวิทยาที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ความน่าทึ่งของเวสท์ฟยอร์ด คือมีการก่อตัวของหินที่มีอายุมากถึง 14 ล้านปี ทำให้เวสท์ฟยอร์ดกลายเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในไอซ์แลนด์ มีส่วนที่เป็นคอคอดขนาดกว้าง 7 กิโลเมตร และทางตะวันตกจะมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงและเนินเขาสูงชัน ความโค้งเว้าของภูมิประเทศทำให้มีการคมนาคมทางบกที่ไม่สะดวก ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนอาศัยอยู่นัก แต่เป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ประจำถิ่นทั้งนกอินทรี แกะ และสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก ส่วนผู้คนมักจะอาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้านชาวประมงที่ริมชายฝั่ง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือน้ำตก Dynjandi ซึ่งสูงถึง 100 เมตร ไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของเวสท์ฟยอร์ดคือหาดเราดาซานดูร์ (Rauðasandur Beach) หาดทรายยาวที่มีทรายสีแดง

น้ำตก Dynjandi ที่เที่ยวไอซ์แลนด์
น้ำตก Dynjandi
 หาดเราดาซานดูร์ (Rauðasandur Beach) ที่เที่ยวไอซ์แลนด์
หาดเราดาซานดูร์ (Rauðasandur Beach)

20. คาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snæfellsnes Peninsula)

คาบสมุทรสไนล์แฟลซเนสตั้งอยู่ระหว่างเมืองเรคยาวิกทางใต้และทางตอนเหนือของเวสท์ฟยอร์ด ภูเขา Kirkjufell ที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือน้ำตกเคิร์กจูแฟลส์ฟอสส์ (Kirkjufellsfoss) เกิดองค์ประกอบโดยรวมที่ดูสวยงามสมบูรณ์แบบสำหรับการถ่ายภาพลงอินสตราแกรมเป็นอย่างมาก ด้านปลายสุดทางตะวันตกของคาบสมุทรเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติสไนล์เฟลส์โจกุล (Snæfellsjökull National Park) คุณจะได้พบกับแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ปกคลุมภูเขาไฟ ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่คลาสสิกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์!

ภูเขา Kirkjufell ที่เที่ยวไอซ์แลนด์

ประเทศไอซ์แลนด์เป็นดินแดนแห่งธรรมชาติอันงดงามแปลกตา มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีกิจกรรมให้คุณได้เลือกทำอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถชมทิวทัศน์ การเดินป่า ทัวร์ชมวาฬ ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนในฤดูร้อน และแสงเหนือในฤดูหนาว เป็นต้น แต่การเดินทางไป เที่ยวไอซ์แลนด์ ที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน ก็อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : roadaffair.com, thecrazytourist.com, planetware.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 Tourist Attractions in Winter EP.2

10 ที่เที่ยวฤดูหนาว ต่างประเทศ สวยตรึงใจ EP.2

ฤดูหนาวในประเทศเมืองหนาวที่แตกต่างจากประเทศไทยเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ที่สุดของปีที่ควรไปสัมผัส จุดหมายปลายทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโปรยปราย ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เป็นสิ่งที่ชาวเมืองร้อนอย่างเราอยากมีประสบการณ์ได้ไปสักครั้ง ในบทความที่แล้วเราได้ แนะนำ 10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว สวยตรึงใจ EP.1 ไปแล้ว วันนี้ Allianz Travel ขอแนะนำ 10 ที่เที่ยวฤดูหนาว ในต่างประเทศที่สวยงามที่สุด EP.2 เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนเที่ยวฤดูหนาว พร้อมยกตัวอย่างกิจกรรมฤดูหนาวที่ห้ามพลาดของแต่ละเมืองมาให้คุณได้ค้นหาสิ่งที่คุณสนใจ มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย!

1. เมืองทรอมโซ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์

เมืองทรอมโซตั้งอยู่ห่างจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลไปทางเหนือมากกว่า 300 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองหลวงของอาร์กติก และมีผู้พูดถึงกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดตั้งต้นในการชมแสงเหนือ และมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ในฤดูหนาว เรามักจะเห็นหิมะแรกในเดือนตุลาคม และหลังจากนั้นก็จะมืดลง (และเย็นลง) ทุกวัน ในช่วงก่อนที่เทศกาลคืนขั้วโลกจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า คุณจะได้สัมผัสแสงสีมหัศจรรย์บนท้องฟ้าทั้งในตอนเช้าและตอนบ่าย ตั้งแต่สีส้ม ชมพู ไปจนถึงฟ้า เป็นประสบการณ์อันน่าทึ่งและเป็น ที่เที่ยวฤดูหนาว ที่ควรไปชื่นชมอย่างยิ่ง

ที่เที่ยวฤดูหนาว Tromsø, Tromso in Norway

กิจกรรมแนะนำ

  • เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของแสงเหนือหรือแสงออโรร่าผ่านท้องฟ้าอาร์กติกในช่วงเดือนกันยายนถึงเมษายน 
  • ดูวาฬในทะเลนอก Skjervøy ทางเหนือของ Tromsø ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม คุณอาจโชคดีได้พบกับวาฬออร์กา วาฬหลังค่อม และวาฬมิงก์
Whale in Tromso
  • นั่งเลื่อนที่ลากโดยสุนัขสัมผัสผ่านภูมิประเทศที่สวยงามรอบๆ ทรอมโซเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
  • สำรวจฟยอร์ดโดยเรือเพื่อชมภูมิทัศน์ของฟยอร์ดในพื้นที่ทางธรรมชาติที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
  • ท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตของชาวซามิ เช่น พักในกระโจมของชนเผ่าแบบเดิม ชมแสงเหนือ และสัมผัสกับกวางเรนเดียร์อย่างใกล้ชิด รวมถึงการชมนิทรรศการศิลปะของชาวซามิซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Northern Light in Tromso

2. ควิเบ็กซิตี้ (Quebec City) ประเทศแคนาดา

ควิเบกเป็นสถานที่พักผ่อนในเมืองที่ยอดเยี่ยมในฤดูหนาว คุณจะได้เห็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป กำแพงหินอันยิ่งใหญ่ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับศูนย์กลางประวัติศาสตร์ อาคารรัฐสภาจำลองตามพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อันโด่งดังในกรุงปารีส เสียงพูดภาษาฝรั่งเศสลอยอยู่เหนือถนนที่ปูด้วยหินขณะที่ระฆังโบสถ์ส่งเสียงดังแว่วมาแต่ไกล และหิมะจำนวนมาก หากคุณมาถึงในเดือนธันวาคม คุณจะได้เดินชมตลาดคริสต์มาสที่มีแผงขายของตั้งแต่ขนมจากต้นเมเปิ้ลไปจนถึงของเล่นไม้ทำมือ นอกจากนี้ฤดูหนาวที่นี่มีเทศกาล งานอีเวนต์ และงานแสดงสินค้ามากมาย คุณจะเห็นว่าผู้คนในควิเบกซิตี้สนุกสนานกันอย่างมากเมื่ออุณหภูมิลดลง

ที่เที่ยวฤดูหนาว Quebec City, Canada

กิจกรรมแนะนำ

  • สไลด์แคร่เลื่อนหิมะที่อยู่ใจกลางเมือง พุ่งไปตามทางที่เป็นน้ำแข็งลงจากเนินเขาด้วยความเร็วสูงสุด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • เยี่ยมชมหรือพักค้างคืนที่โรงแรมน้ำแข็ง Hotel de Glace หนึ่งในโรงแรมน้ำแข็งเพียงไม่กี่แห่งในโลก ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดทุกปีด้วยธีมที่แตกต่างกัน 
  • ชิม Maple Taffy ที่ทำจากเมเปิ้ลไซรัป น้ำเชื่อมจากต้นเมเปิ้ลที่อร่อยและขึ้นชื่อของประเทศแคนาดา ในช่วงเทศกาลฤดูหนาว ร้านค้าจะนำน้ำเชื่อมเมเปิ้ลราดลงบนน้ำแข็งเป็นทางยาว จากนั้นจึงนำไม้มาม้วนน้ำเชื่อมที่แข็งตัวเป็นลูกอมเมเปิ้ลแสนหวาน
Maple Taffy in Quebec City, Canada
  • หากคุณมาเที่ยวในเดือนธันวาคม อย่าพลาดการจัดงานคริสต์มาสที่ลาน Château Frontenac พร้อมด้วยต้นคริสต์มาสยักษ์และไฟประดับมากมาย
  • ตกปลาในน้ำแข็งที่หมู่บ้านนอร์ดิกแห่งท่าเรือควิเบก เพื่อสัมผัสประสบการณ์ฤดูหนาวในพื้นที่เมืองที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในฤดูหนาว
Activity in Quebec City, Canada

3. แลปแลนด์ (Lapland) ประเทศฟินแลนด์

แลปแลนด์ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศฟินแลนด์ มีภูมิอากาศแบบป่าสนหรือกึ่งอาร์กติก ฤดูหนาวในแลปแลนด์เป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ที่สุดของปีที่ควรไปเยือน จุดหมายปลายทางแห่งเทศกาลคริสต์มาสที่เราทุกคนใฝ่ฝันถึงตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของซานตาคลอสอีกด้วย คุณจะได้พบกับทิวทัศน์ฤดูหนาวอันสวยงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นอันน่าหลงใหล ตามด้วยค่ำคืนแสนสบายข้างกองไฟหรือในกระท่อมน้ำแข็งใต้แสงเหนือ แลปแลนด์มีทั้งความโรแมนติกและการผจญภัย ดังนั้นจึงรับประกันความสนุกสำหรับทุกคนในครอบครัวเลยค่ะ

ที่เที่ยวฤดูหนาว Northern Light, Lapland

กิจกรรมแนะนำ

  • ตามล่าหาแสงเหนือสีสวยเรืองแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
  • นั่งเลื่อนที่ลากด้วยกวางเรนเดียร์ หรือขับเคลื่อนด้วยสุนัขลากเลื่อน Husky Safari
Husky Safari, Lapland
  • ล่องเรือตัดน้ำแข็งอย่าง SAMPO Icebreaker ที่มีชื่อเสียงดังระดับโลก
  • เยี่ยมชมหมู่บ้านซานตาคลอส หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของแลปแลนด์ 
  • พักค้างคืนในโรงแรมน้ำแข็ง ทานอาหารในร้านอาหารหิมะ ดื่มเครื่องดื่มในบาร์น้ำแข็ง และแวะชมปราสาทหิมะ
Santa Claus Village, Lapland

4. ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ประเทศญี่ปุ่น

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านโบราณเก่าแก่อายุกว่า 250-300 ปี ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ.2538 ตั้งอยู่ในหุบเขาในเขตจังหวัดกิฟูและโทยาม่า (Gifu and Toyama Prefectures) ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วยบ้านเรือนกระจายไปในแนวเหนือ-ใต้ ตามที่ราบแคบๆ ที่ขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ (Shokawa River) มีชื่อเสียงในเรื่องของการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบ “กัสโซซึคุริ” อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ คำว่ากัสโชหมายถึง ‘มืออธิษฐาน’ ซึ่งหมายถึงหลังคามุมสูงของบ้านที่ดูเหมือนมือของพระสงฆ์ในการอธิษฐาน และสิ่งที่ทำให้น่าสนใจขึ้นไปอีกก็คือหลังคาที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูหรือวัสดุโลหะใดๆ โดยทั้งหมดทำจากฟางและไม้ที่มาจากป่ารอบๆ หมู่บ้าน เป็นหนึ่งใน ที่เที่ยวฤดูหนาว ที่หลายๆ คน อยากไปสัมผัสความงามสักครั้ง

ที่เที่ยวฤดูหนาว Shirakawago, Japan

กิจกรรมแนะนำ

  • พักในบ้านกัสโช เพื่อสัมผัสการใช้ชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในชิราคาวาโกะ 
  • ชิมอาหารท้องถิ่น อย่างเช่น โคร็อกเกะเนื้อฮิดะ
  • ชมวิวที่จุดชมวิวเท็นชุคาคุ (Tenshukaku Observatory) เพื่อเก็บภาพมุมสูงแบบพาโนราม่าของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
  • แช่ออนเซ็นกลางแจ้งที่ชิราคาวาโกะโนะยุออนเซ็น (Shirakawago no Yu) และชมวิวสวยๆของธรรมชาติรอบๆและแม่น้ำโชกาวะ
  • ชมงานประดับไฟยามเย็นที่จัดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 

5. เมืองเบอร์เกน (Bergen) ประเทศนอร์เวย์

เบอร์เกนเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศนอร์เวย์รองลงมาจากกรุงออสโล ล้อมรอบด้วยภูเขาและตั้งอยู่ใกล้กับซองเนฟยอร์ด (Sognefjord) ฟยอร์ดที่ยาวและลึกที่สุดของนอร์เวย์ เบอร์เกนมีท่าเรือใหญ่เป็นอันดับต้นๆของนอร์เวย์ จึงทำให้เป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในเมืองที่ถูกยกย่องให้เป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป ปัจจุบันบ้านเรือนต่างๆ กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และแกลลอรี่ โชว์งานศิลปะต่างๆ ด้วย

Bergen, Norway

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินชมท่าเทียบเรือเก่า Bryggen ที่มีอายุเกือบ 300 ปี อาคารไม้สีพาสเทลสดใสเรียงรายตามถนนขนานไปกับริมน้ำ และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ 
  • นั่งรถกระเช้าไฟฟ้า Fløibanen ไปยังยอดเขา Fløyen เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงาม
  • ขึ้นเคเบิลคาร์ Ulriken เพื่อขึ้นไปจุดสูงสุดของ “ภูเขาทั้ง 7” ชมภูมิประเทศบนภูเขาสูง 643 เมตรเหนือถนนในเมือง
  • ล่องเรือชมฟยอร์ดที่สวยงามที่สุดของนอร์เวย์
  • เดินเขาท้าความสูงขึ้นไปบนหน้าผาโทรลล์ทุงก้า (Trolltunga) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก (ในฤดูหนาวต้องมีไกด์นำทาง)
Trolltunga in Bergen, Norway

6. กรุงปราก (Prague) สาธารณรัฐเช็ก

ปรากเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยว ฤดูหนาวในปรากเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ คุณจะได้เห็นเมืองที่สวยงามแห่งนี้ภายใต้หิมะที่โปรยปราย สถานที่ท่องเที่ยวจะแออัดน้อยกว่าช่วงฤดูท่องเที่ยว คุณจะได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่ดีที่สุดในปรากในฤดูหนาวโดยปราศจากฝูงชนที่มักจะเต็มท้องถนน!

Prague, Czech

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินไปตามถนน เพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมยุคโกธิก บาโรก และอาคารสมัยใหม่ที่ผสมผสานกันอย่างน่าทึ่ง
  • สำรวจตลาดคริสต์มาส ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม ดูแผงขายของประดับตกแต่งวันคริสต์มาส ของขวัญ ของที่ระลึก ตลอดจนอาหารและเครื่องดื่มอุ่นๆ อร่อยๆ
  • เล่นสเก็ตน้ำแข็งตามลานสเก็ตยอดนิยม เช่น Victory Square 
  • เยี่ยมชมปราสาทปราก และอย่าพลาดการเปลี่ยนเวรยามเวลา 12.00 น. ภายในประตูปราสาท
  • ถ่ายรูปยามเช้าที่สะพานชาร์ลส์ เพื่อสัมผัสความเงียบสงบและปกคลุมไปด้วยหิมะโปรยปราย
Christmas Market in Prague, Czech

7. เมืองเซโกเบีย (Segovia) ประเทศสเปน

เมืองเซโกเบีย เป็นหนึ่งในหลายๆ เมืองมรดกโลกของสเปนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาเกือบ 2 พันปี ตั้งอยู่ในแคว้น Castile and León ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Guadarrama ห่างจากเมืองแมดริดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 70 กิโลเมตร ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือระบบท่อส่งน้ำและสะพานส่งน้ำ (Aqueduct bridge) อันแสดงถึงความรุ่งเรืองของชาวโรมัน มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมแบบโรมันที่เรียกว่าอาร์กโค้งที่มีช่องโค้งทั้งหมด 166 ช่วง ยาวถึง 17 กิโลเมตรจากแม่น้ำ Acebeda ในเทือกเขา Sierra de Fuenfría โครงสร้างทางวิศวกรรมถูกสร้างขึ้นจากบล็อคหินแกรนิต 20,400 ชิ้น ถือว่าเป็น 1 ในแลนด์มาร์คของเซโกเวียที่หากมาถึงก็ต้องถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกแน่นอน

Segovia, Spain

กิจกรรมแนะนำ

  • ขึ้นไปบนจุดชมวิวข้างจัตุรัส Plaza Artillería เพื่อชมวิวสะพานส่งน้ำและตัวเมืองเก่า
  • เดินเล่นผ่าน Calle Juan Bravo ดูร้านขายงานศิลปะและงานฝีมือในท้องถิ่น 
  • ชมปราสาท Alcazar สถานที่ประทับของกษัตริย์และราชินีแห่งอาณาจักรคาสติล ว่ากันว่าเป็นปราสาทต้นแบบของปราสาทเจ้าหญิงนิทราในดีสนีย์แลนด์
  • ปีนขึ้นไปบนยอดหอคอย Torre de Juan II เพื่อชมพระอาทิตย์ตก
  • ลองชิม Ponche Segoviano เค้กสเปนแบบดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดจากเมืองเซโกเวีย

8. ทะเลสาบเบลด (Lake Bled) ประเทศสโลวีเนีย

ทะเลสาบเบลดมีความสวยงามตลอดทั้งปี แต่หิมะสีขาวปกคลุมทำให้ที่นี่มีมนต์ขลังมากยิ่งขึ้น! ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและแสงไฟคริสต์มาสทำให้เบลดกลายเป็นเทพนิยายในฤดูหนาวจริงๆ เบลดในฤดูหนาวจะมีนักท่องเที่ยวน้อยและราคาถูกกว่าช่วงไฮซีซั่นในฤดูร้อนมาก นอกจากนั้น คุณสามารถเลือกกีฬาฤดูหนาวและกิจกรรมฤดูหนาวมากมายเพื่อทำให้วันหยุดที่ทะเลสาบเบลดของคุณพิเศษยิ่งขึ้น เดือนธันวาคมมีมนต์ขลังเป็นพิเศษเนื่องจากมีการประดับประดาคริสต์มาส ตลาดคริสต์มาส และกิจกรรมรื่นเริงมากมาย

Lake Bled, Slovenia

กิจกรรมแนะนำ

  • เยี่ยมชมเกาะเบลดที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ด้วยการเช่าเรือพายไปเอง หรือนั่งเรือพายรับส่งแบบดั้งเดิมก็ได้
  • ชมพระอาทิตย์ตกจากปราสาทเบลด เพลิดเพลินกับการแสดงธรรมชาติที่เปลี่ยนสีเหนือทะเลสาบและภูเขาด้านหลัง 
  • เดินเล่นรอบทะเลสาบเบลดชมทัศนียภาพที่สมบูรณ์แบบของเกาะเบลดจากทุกมุม
  • ชิมครีมเค้ก Bled แบบดั้งเดิม 
  • ขึ้นบันได 99 ขั้นไปยังโบสถ์บนเกาะเบลด เพื่อไปตี “ระฆังขอพร” สามครั้ง แล้วคำอธิษฐานของคุณจะเป็นจริง แต่มีข้อแม้คือคุณสามารถขอพรได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น

9. เมืองฮาร์บิน (Harbin) ประเทศจีน

เมืองฮาร์บินอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูหนาว ทุกเดือนมกราคมจะมีการจัดเทศกาลประติมากรรมน้ำแข็งและหิมะนานาชาติ ซึ่งเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการสร้างหมู่บ้านน้ำแข็งอันวิจิตรงดงามพร้อมโคมไฟน้ำแข็งสำหรับเทศกาลที่ยาวนานถึงหนึ่งเดือน เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือในตอนเย็น เมื่อเมืองน้ำแข็งสว่างไสวด้วยแสงไฟหลากสีนับพันดวง งานประจำปีนี้เปลี่ยนพื้นที่หลายแห่งของเมืองให้กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งหิมะที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก

Harbin, China

กิจกรรมแนะนำ

  • เพลิดเพลินไปกับดินแดนมหัศจรรย์แห่งน้ำแข็งและหิมะในเทศกาลน้ำแข็งและหิมะนานาชาติ ตื่นตาตื่นใจไปกับความงามของประติมากรรมกว่า 2,000 ชิ้นและตัวละครจากหิมะที่อาบแสงหลากสี
  • ดูคนท้องถิ่นรวมตัวกันในตอนเช้าที่แม่น้ำซงหัว (Songhua) เพื่อว่ายน้ำในฤดูหนาว!
  • เดินข้ามแม่น้ำซงหัวที่กลายเป็นน้ำแข็งกว้างประมาณ 100 เมตร โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สกีพิเศษ 
  • ลองทานอาหารฮาร์บินที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารรัสเซีย มองโกเลีย และจีนทางตอนเหนือ 
  • ดูเสือไซบีเรียอย่างใกล้ชิดที่สวนเสือไซบีเรีย แหล่งอนุรักษ์เสือไซบีเรียที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Siberian Tigers in Harbin, China

10. อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา

การเยี่ยมชมอุทยายแห่งชาติเยลโลว์สโตนในฤดูหนาวเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ ป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะมีความเงียบอันน่าพิศวง กลุ่มควันไอน้ำลอยขึ้นอย่างแผ่วเบารอบๆ บ่อน้ำพุร้อน อากาศแห่งความสันโดษแผ่ซ่านไปทั่วดินแดนมหัศจรรย์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอันบริสุทธิ์ สัมผัสความเงียบสงบของฤดูกาล คุณมีโอกาสผจญภัยและเชื่อมต่อกับธรรมชาติบนพรมแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่รอการพิชิตจากนักสำรวจเช่นคุณ ถ้าคุณวางแผนการเดินทางไว้อย่างเหมาะสม เยลโลว์สโตนเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่ดีที่สุดที่ควรไปเยี่ยมชมในเดือนธันวาคมและช่วงที่เหลือของฤดูหนาว การแช่น้ำพุร้อน เล่นสกีครอสคันทรีไปเล่นน้ำตก และชมสัตว์ป่าที่ลงมาจากภูเขาเป็นสิ่งที่ต้องทำในเยลโลว์สโตนในฤดูหนาว

Yellowstone in winter

กิจกรรมแนะนำ

  • เล่นสกีครอสคันทรี 
  • เดินลุยหิมะด้วยรองเท้าเดินบนหิมะไปยังจุดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม 
  • ไปทัวร์กับรถสโนว์โค้ช เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่สวยงามและสัตว์ป่า
  • ขี่สโนว์โมบิล สัมผัสสายลมที่พัดผ่านอย่างรวดเร็วผ่านภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหิมะ
Drive in snow, Yellowstone
  • ทัวร์ชมสัตว์ป่ากับไกด์นักธรรมชาติวิทยา 
  • ตกปลาในน้ำแข็งที่ทะเลสาบ Hebgen ทางเหนือของ West Yellowstone
Snow in Yellowstone

หากคุณมีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงฤดูหนาว ก็ควรจัดเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม เช่น เสื้อกันหนาวที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของประเทศที่เราจะเดินทางไป ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้า ที่ปิดหูเพื่อให้ความอบอุ่น เป็นต้น ถ้าเราเอาเสื้อผ้าหรือของใช้จำเป็นไปไม่เพียงพอก็อาจทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยจนหมดสนุก และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศในช่วงฤดูหนาว ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : wanderherway.com, planetware.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Allianz Travel : 10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว สวยตรึงใจ

10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว สวยตรึงใจ EP.1

ช่วงฤดูหนาวเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับการไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติที่แตกต่างไปจากประเทศไทย อย่างเช่น ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ทะเลสาบน้ำแข็ง ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสท่ามกลางอากาศเย็น เพราะเราจะได้เจอกับสิ่งที่แปลกใหม่ บรรยากาศแปลกใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และผู้คนก็แปลกใหม่ Allianz Travel ขอแนะนำ 10 ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว ที่สวยงามที่สุด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นข้อมูลให้กับทริปฤดูหนาวของคุณ มาค้นหาสถานที่ท่องเที่ยววันหยุดฤดูหนาวที่ดีที่สุดท่ามกลางหิมะทั่วโลกกันเถอะ

1. เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

ชิคาโก้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางฤดูหนาวที่สวยงามแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่มีลมพัดแรงตลอดทั้งปี จนถูกขนานนามว่า Windy City เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์จะเป็นช่วงเดือนที่หนาวที่สุด หากคุณโชคดีและไปเยี่ยมเยียนในช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัด คุณอาจเห็นทะเลสาบมิชิแกนกลายเป็นน้ำแข็ง และเล่นเลื่อนหิมะ หรือเดินบนหิมะท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงาม นอกจากนี้ฤดูหนาวในชิคาโกเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเดินทางผ่านแสงไฟในวันหยุดที่ส่องแสงระยิบระยับ เดินดูลานสเก็ตน้ำแข็งกลางแจ้งหลายแห่งในเมือง หรือนั่งสบายๆ ในคาเฟ่ของพิพิธภัณฑ์ และที่สำคัญการได้ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ ขณะที่เดินไปตามถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก็นับเป็นประสบการณ์ที่ควรอยู่ในลิสต์เลยค่ะ!

Chicago USA

กิจกรรมแนะนำ

  • ชมต้นคริสต์มาสประดับไฟสวยงามที่สวนสาธารณะ Millennium Park 
  • จิบ Glühwein หรือไวน์ร้อน เลือกซื้อของขวัญทำมือ เพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เยอรมันใต้เกล็ดหิมะและแสงไฟระยิบระยับ ที่ตลาดไครสต์คินเดิล (Christkindle market) ตลาดประจำปีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศเยอรมนี 
  • เล่นสเก็ตน้ำแข็งที่ Maggie Daley Park สัมผัสประสบการณ์ “เทือกเขาแอลป์ในเมือง” บนแถบน้ำแข็งที่คดเคี้ยวโค้งขึ้นและลงรอบๆ กำแพงสูง 40 ฟุต โดยมีเส้นขอบฟ้าที่สวยงามของเมืองเป็นฉากหลัง
  • ขึ้นรถไฟและรถประจำทางของ Chicago Transit Authority ที่ตกแต่งภายในและภายนอกด้วยของประดับตกแต่งตามเทศกาลและไฟนับพันดวงเพื่อให้ส่องแสงระยิบระยับขณะร่อนและระยิบระยับไปรอบๆ เมืองชิคาโก
Chicago USA Winter

2. เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

เมืองทาลลินน์ในเอสโตเนียมาพร้อมกับมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาว คุณจะได้เห็นเมืองเก่าในยุคกลางปกคลุมไปด้วยหิมะ หนาเป็นชั้นๆ และเกล็ดหิมะเล็กๆ โปรยปรายอยู่เหนือหอคอยโบสถ์สไตล์โกธิคและป้อมปราการของปราสาท การมาถึงทาลลินน์ก็เหมือนกับการเดินเข้าไปในเทพนิยายในฤดูหนาว เมืองในยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของยุโรป มีความงดงามในช่วงเวลาต่างๆ ของปี แต่ในช่วงวันที่หนาวเย็นของฤดูหนาว หิมะจะเพิ่มความมหัศจรรย์เป็นพิเศษ

Tallinn in Estonia

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินเล่นที่ Old Town Square ในเดือนธันวาคม กินอาหารสำหรบเทศกาลคริสต์มาส และถ่ายรูกับต้นคริสต์มาสยักษ์ที่ประดับด้วยไฟระยิบระยับ
  • ดื่ม Glögi หรือ Hõõgwein ไวน์แดงที่ผสมกับบรั่นดี รัม หรือวอดก้า ต้มกับเครื่องเทศ เช่น กานพลู อบเชย ขิง กระวาน และลูกจันทน์เทศ เวลาดื่มก็ต้องดื่มแบบอุ่นหรือร้อนๆ
  • เล่นสเก็ตที่ Uisuplats Ice Rink บนถนน Harju ถัดจากโบสถ์ St Nicholas โดยมีฉากหลังเป็นอาคารยุคกลางที่สวยงาม 
  • ขึ้นไปชมวิวบนเนินเขา Toompea จากจุดชมวิว Kohtuotsa และ Patkuli ที่มองเห็นทิวทัศน์พาโนรามาของหลังคาบ้านเรือนที่ปกคลุมด้วยหิมะ ป้อมปราการที่ปูด้วยกระเบื้องสีแดง และโบสถ์ที่มียอดแหลม
Winter in Tallinn, Estonia

3. อุทยานแห่งชาติ Plitvice Lakes ประเทศโครเอเชีย

อุทยานแห่งชาติ Plitvice Lakes ตั้งอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ที่สวยงามโครเอเชีย ประกอบด้วยหุบเขาหินปูน ป่าไม้ ทะเลสาบ 16 แห่งที่เชื่อมต่อถึงกัน น้ำตก 90 แห่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีทิวทัศน์อันน่าทึ่งจากทุกมุม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเยี่ยมชมที่นี่ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือในฤดูหนาว Plitvice จะกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์

Plitvice Lakes, Croatia

กิจกรรมแนะนำ

  • ชมความงดงามของทะเลสาบพลิทวิเซ่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวทุกหนทุกแห่งจากมุมสูง และชมน้ำตกขนาดใหญ่ที่น้ำไหลลงบนธารน้ำแข็ง
  • เดินตามทางเดินริมทะเลสาบตอนล่างและลัดเลาะชมทิวทัศน์ของป่าที่เต็มไปด้วยหิมะ
  • สำหรับผู้ที่รักการเล่นสกี คุณสามารถฝึกกีฬานี้ได้จากทางเข้าใกล้กับหมู่บ้าน Mukinje ซึ่งมีทางลาดที่ง่ายกว่าเหมาะสำหรับเด็กและสำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเลื่อนหิมะ
  • สำรวจและเรียนรู้ระบบนิเวศทางธรรมชาติของอุทยานบน 8 เส้นทาง
Winter in Plitvice Lakes, Croatia

4. สวนลิงจิโกคุดานิ (Jigokudani Monkey Park) ประเทศญี่ปุ่น

สวนลิงป่าจิโกคุดานิตั้งอยู่ในหุบเขาที่เงียบสงบทางตะวันออกของเมืองนากาโนะ เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงแสมญี่ปุ่นหรือเรียกกันว่าลิงหิมะจำนวนมากที่ลงมาจากภูเขาเพื่อรับความอบอุ่นจากน้ำพุร้อน โดยนั่งแช่น้ำอุ่นในออนเซ็น (น้ำพุร้อนของญี่ปุ่น) อยู่กันเต็มบ่อ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า พวกมันอาบน้ำในฤดูหนาวเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและลดระดับความเครียด และสวนแห่งนี้ก็เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่หาตัวได้ยากนี้อย่างใกล้ชิด พวกลิงมาที่บ่อน้ำตลอดปี แต่มักจะใช้เวลาอยู่ในบ่อนานๆ ในช่วงฤดูที่มีอากาศหนาว ดังนั้น ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมคือช่วงที่ดีที่สุดในการมาเยี่ยมชมที่นี่

Jigokudani Monkey Park, Japan

กิจกรรมแนะนำ

  • ทางเดินยาว 2 กิโลเมตรที่เริ่มจากคังบายาชิอนเซ็นตัดผ่านป่าที่เงียบสงบ ในฤดูหนาวทางเดินนี้สวยงามเป็นพิเศษ คุณน่าจะเพลิดเพลินไปกับการเดินมากพอๆ กับการได้พบฝูงลิง ป้ายต่างๆ ตามทางเดินผ่านป่าไปจนถึงบ่อน้ำจะให้ข้อมูลแก่ผู้มาเยือนเกี่ยวกับลำดับชั้นทางสังคม พฤติกรรม และการเลี้ยงลูกของลิงกัง
  • สังเกตทุกอากัปกิริยาของเหล่าลิงรอบๆ บ่อน้ำ พวกมันคุ้นเคยกับการมีมนุษย์รายล้อม ดังนั้นคุณสามารถถ่ายรูปได้ แต่มักจะไม่ได้รับความสนใจจากพวกมันเลย
  • มองหาลูกลิงกังที่แสนซนและน่ารัก
Winter in Jigokudani Monkey Park, Japan

5. อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) ประเทศแคนาดา

อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) เป็นอุทยานที่เก่าแก่ที่สุดของแคนาดาและเป็นศูนย์กลางของสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทั้งทะเลสาบ ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ และน้ำพุร้อน มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และสัตว์ต่างๆ เช่น อินทรีย์สีทอง หมีกริซซ์ลี และ หมีดำ กวางมูส แพะภูเขา

Banff National Park, Canada

อุทยานแห่งชาติแบมฟ์จะเปลี่ยนเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งฤดูหนาวในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม เมื่อน้ำในทะเลสาบหลุยส์และทะเลสาบโมเรนใสที่สุด แบมฟ์ยังเป็นที่ตั้งของหุบเขาสิบยอด (Valley of the Ten Peaks) ดังนั้นคุณจะได้เห็นยอดเขาทั้งสิยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้คุณเลือก เพียงเตรียมอุปกรณ์กันหนาวที่เหมาะสมเพื่อให้คุณอบอุ่นและสบายตลอดทั้งวัน!

Valley of the Ten Peaks in Banff National Park, Canada

กิจกรรมแนะนำ

  • เดินป่าในฤดูหนาว คุณจะรู้สึกเหมือนได้เข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์ในฤดูหนาวท่ามกลางต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ 
  • เล่นสเก็ตบนทะเลสาบน้ำแข็ง ล้อมรอบด้วยยอดเขาสูงตระหง่าน
  • ปั่นจักรยานล้อโต (Fat Bike) เพื่อสำรวจอุทยานแห่งชาติแบมฟ์
  • เช่ารองเท้าลุยหิมะออกไปสำรวจเส้นทางแถบทะเลสาบหลุยส์ หรือเข้าร่วมทัวร์ชมสีสันอันน่าทึ่งของ Marble Canyon ซึ่งเป็นช่องเขาหินปูนลึก 40 เมตร 
Train in Banff National Park, Canada

6. เมืองฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) ประเทศออสเตรีย

เมืองฮัลล์สตัทท์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) World Heritage Site ประเภท Cultural Landscape ภาพของหมู่บ้านที่มีเทือกเขาเป็นองค์ประกอบอยู่ด้านหลังแห่งนี้เป็นภาพคุ้นตาชาวโลกที่ถูกเผยแพร่มากที่สุด และจะสวยงามเป็นพิเศษในฤดูหนาว ดังนั้นคุณควรไปเยี่ยมชมเพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมที่มีรายละเอียดสวยงามและภูเขาซาลซ์บูร์กที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

Hallstatt, Austria

กิจกรรมแนะนำ

  • สำรวจถนนในเมืองฮัลล์สตัทท์ เดินเล่นไปตามถนนที่ขนาบข้างด้วยบ้านสีพาสเทลแบบดั้งเดิมพร้อมระเบียงที่สวยงาม ชมวิวริมทะเลสาบและภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะโดยรอบ 
  • แวะชมจตุรัสตลาดเก่าแก่ Central Square Marktplatz ที่คึกคักด้วยการตกแต่งที่สวยงาม ตลาดคริสต์มาส ดนตรี และกิจกรรมรื่นเริง 
  • ตื่นตาไปกับโบสถ์ประวัติศาสตร์ที่สวยงามหลายแห่ง เช่น โบสถ์คาทอลิกแห่งฮัลล์สตัทท์ สมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีแท่นบูชาสไตล์โกธิคที่งดงาม จิตรกรรมฝาผนังแบบโกธิก ภาพวาดล้ำค่า และงานศิลปะ 
  • ชมเมืองฮัลล์สตัทท์จากมุมสูงจากจุดชมวิว Hallstatt Skywalk ที่อยู่สูงเหนือเมือง 350 เมตร ดื่มด่ำกับทัศนียภาพแบบพาโนรามาของทะเลสาบ และชมทิวทัศน์ภูเขาที่รวมถึงยอดเขาอัลไพน์ด้วย

7. ริชมอนด์พาร์ค สหราชอาณาจักร

ริชมอนด์พาร์ค (Richmond Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอนบนพื้นที่ 2,500 เอเคอร์ เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่โล่งกว้าง มีทุ่งหญ้า คุณสามารถเห็นสัตว์มากมายหลากหลายชนิด เช่น กวาง กระรอกน้ํา ซึ่งเป็นสัตว์ที่พบบ่อยที่สุดที่นี่ สวนแห่งนี้ยังเป็นแหล่งปลูกต้นไม้ชั้นนำของสหราชอาณาจักร ทั้งพันธุ์ไม้หายากและดอกไม้ป่าอีกหลายชนิด หากคุณแวะมาเยี่ยมชมสวนริชมอนด์ในฤดูหนาว คุณจะได้สัมผัสความสงบ ความงามที่ปฏิเสธไม่ได้

Richmond Park, United Kingdom

กิจกรรมแนะนำ

  • นั่งรถม้าชมรอบสวนท่ามกลางความงามของฤดูหนาว เพลิดเพลินไปกับเสียงฝีเท้าม้าและระฆัง สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ และชมสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิด 
  • เดินป่าบนเส้นทาง Tamsin Trail (11.8 กม.) ที่นิตยสาร Country Living ประกาศให้เป็นเส้นทางเดินเล่นตามฤดูกาลที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดของสหราชอาณาจักร
  • ขึ้นไปบนเนิน King Henry’s Mound เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขาเทมส์ทางทิศตะวันตก และวิวของ St. Paul’s Cathedral ทางทิศตะวันออก และมองลงไปดูวิวสวยๆ ของเมือง
  • ขับรถไปยังส่วนตะวันตกของสวนเพื่อพบกับ Pembroke Lodge คฤหาสน์แบบจอร์เจียนท่ามกลางสวนภูมิทัศน์สวยงาม เพลิดเพลินกับชาและเค้กภายในห้องหรูของบ้าน
A Deer in Richmond Park, United Kingdom

8. ทะเลทรายโกบี ประเทศมองโกเลีย

ทะเลทรายโกบีเป็น 1 ใน 5 ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างประเทศมองโกเลียตอนใต้ กับเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ทางตอนเหนือของประเทศจีน ทะเลทรายโกบีในมองโกเลียเป็นจุดหมายปลายทางฤดูหนาวที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสทิวทัศน์อันน่าทึ่งและความงามตามธรรมชาติ  และเรียนรู้วัฒนธรรมที่น่าสนใจและวิถีชีวิตเร่ร่อนที่ปฏิบัติที่นี่มานับพันปี การท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวในทะเลทรายโกบีเหมาะสำหรับนักเดินทางแนวผจญภัย แม้ว่าโกบีจะอุ่นกว่าทางตอนเหนือของมองโกเลีย แต่ก็ยังเป็นทะเลทรายที่หนาวที่สุดในโลก และอุณหภูมิในช่วงกลางฤดูหนาวก็ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และบางครั้งก็ลดลงต่ำกว่านั้น แต่ฤดูหนาวในทะเลทรายโกบีมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายให้เราได้ไปสัมผัส

Kobee, Mongolia

ในการแสวงหาความสวยงามในฤดูหนาว ควรมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายโกบีในมองโกเลียในวันที่ 6 และ 7 มีนาคม เนื่องจากเป็นวันที่มีเทศกาลอูฐ 1,000 ตัวที่ Dalanzadgad งานประจำปีของที่นี่เป็นที่รู้จักจากการแข่งขันโปโลอูฐและการประกวดอูฐ หากไปถึงโกบีแล้วลองทัวร์ชมอูฐกึ่งทะเลทรายโกบีพร้อมไกด์ท้องถิ่น

กิจกรรมแนะนำ

  • ทัวร์ทะเลทรายในฤดูหนาวด้วยรถจี๊ป
  • พักค้างคืนในเกอ เต็นท์แบบดั้งเดิมของผู้เลี้ยงปศุสัตว์เร่ร่อนชาวมองโกเลีย
  • ชิมอาหารพื้นเมืองของผู้เลี้ยงปศุสัตว์มองโกเลียที่ปรุงจากเนื้อสัตว์และนมเป็นหลัก
  • ขี่อูฐ Bactrian ชมทะเลทราย
  • เดินป่าสำรวจเส้นทางกับไกด์ท้องถิ่นที่เพื่อชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของทะเลทราย

9. เมืองบรูจส์ (Bruges) ประเทศเบลเยียม

เมืองบรูจส์เป็นหนึ่งในเมืองในยุโรปยุคกลางที่โดดเด่นและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและมีเสน่ห์ให้แวะเยี่ยมชมได้ทุกฤดูกาล แต่เมืองบรูจส์ในฤดูหนาวจะมีมนต์ขลังเป็นพิเศษ ไม่ว่าคุณจะเดินเล่นไปตามถนนที่ปูด้วยหินแปลกตา ดื่มด่ำกับช็อกโกแลตและเบียร์อันงดงามของภูมิภาค หรือชื่นชมสถาปัตยกรรมในยุคอดีต และคลองที่กลายเป็นน้ำแข็ง ร้านช็อกโกแลต โรงแรมบรรยากาศสบาย ๆ และร้านอาหารที่แปลกตา หาเวลาไปเที่ยวชมปราสาทท้องถิ่นสักแห่งจากทั้งหมด 470 แห่ง คุณจะต้องหลงไหลไปกับมนต์เสน่ห์ของเมืองในเทพนิยายในฤดูหนาวแห่งนี้อย่างแน่นอน

Bruges, Belgium

กิจกรรมแนะนำ

  • นั่งรถม้าสุดโรแมนติกที่ Market Square
  • เล่นสเก็ตน้ำแข็งที่ Minnewater Lake 
  • นั่งเรือชมคลองเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงาม ซึ่งรวมถึงจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดของบรูจส์ นั่นคือท่าเรือโรซารี
  • อย่าพลาดโอกาสในการดื่มด่ำกับช็อกโกแลตร้อนของเบลเยียม 
  • ปีนบันได 366 ขั้นสู่ยอดหอระฆัง Bell Tower เพื่อชมวิวเมืองแบบ 360 องศา 
Market Square in Bruges, Belgium

10. ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Schloss Neuschwanstein) ประเทศเยอรมนี

ปราสาทนอยชวานสไตน์เป็นหนึ่งในปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เนื่องจากมีความสวยงามจนน่าทึ่งและลักษณะสถาปัตยกรรมที่เหมือนเทพนิยาย ตัวปราสาทมีมนต์ขลังมากจนแม้แต่ดิสนีย์ก็ตัดสินใจใช้การออกแบบของปราสาทนอยชวานสไตน์เป็นต้นแบบในการออกแบบปราสาทของเจ้าหญิงนิทรา ในช่วงฤดูหนาวปราสาทนอยชวานสไตน์จะกลายเป็นปราสาทคริสต์มาสในเทพนิยาย เมื่อหิมะปกคลุมหอคอยและภูเขาบาวาเรียโดยรอบ เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมปราสาทและสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาว

Schloss Neuschwanstein in Winter, Germany

กิจกรรมแนะนำ

  • การถ่ายภาพฤดูหนาวที่ปราสาทนอยชวานสไตน์ ที่นี่เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการถ่ายภาพที่สวยงามที่สุด คุณจะได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของปราสาท และหิมะที่ตกบนเทือกเขา Bavarian Alps ทำให้ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นเหมือนภาพความฝันในฤดูหนาว
  • แวะชมเมือง Fussen ที่อยู่ใกล้เคียง และเพลิดเพลินกับตลาดคริสต์มาสที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ งานฝีมือ ศิลปะ กลิ่นหอม และอาหารอร่อย 
Schloss Neuschwanstein, Germany

เมื่อหา ที่เที่ยวต่างประเทศฤดูหนาว ได้แล้ว ก่อนจะออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การเที่ยวในช่วงฤดูหนาว สัมผัสความหนาวกับบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก และบรรยากาศความสดใสของเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเอกสาร เสื้อผ้า ยาประจำตัว และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศในช่วงฤดูหนาว ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : roughguides.com, happy.rentals

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา

หลายคนกำลังวางแผนเที่ยวอเมริกา โดยมีจุดหมายปลายทาง ที่เที่ยวอเมริกา เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามและน่าทึ่ง (สามารถดูรายละเอียดอุทยานแห่งชาติที่สวยจนต้องไปสัมผัส ได้จากบทความนี้ค่ะ : 5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส) แต่ก็อาจต้องมานั่งกังวลกับอุปสรรคที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าเดินทางไปยังอุทยาน ที่พัก อาหาร อุปกรณ์ ค่าเข้าอุทยาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งหมดอาจเป็นปัญหาที่แท้จริงสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด  Allianz Travel ขอแบ่งปัน 10 เคล็ดลับในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในอเมริกาในราคาประหยัด เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ประหยัดเงินในการเดินทางท่องเที่ยวและสนุกกับทริปเที่ยวอเมริกากันได้อย่างเต็มที่

1. เดินทางในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือช่วงต้นของฤดูท่องเที่ยว

ฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับอุทยานแห่งชาติอเมริกาคือช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเดินทางไปเที่ยวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมธรรมชาติอันสวยงาม แต่นั่นหมายถึงห้องพักและที่ตั้งแคมป์จะเต็มอย่างรวดเร็ว และมีราคาแพง หากเพื่อนๆ ที่ต้องการประหยัดเงินและหลีกเลี่ยงฝูงชน การเดินทางช่วงนอกฤดกาลจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลงและห้องว่างที่มากขึ้น ทำให้เราเพลิดเพลินไปกับความสงบของธรรมชาติ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน เช่น สภาพอากาศที่เย็น หรือมีการปิดเส้นทางและน้ำตกบางแห่งเนื่องจากมีหิมะตก

ที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติในอเมริกา

ดังนั้นจึงควรศึกษาสภาพตามฤดูกาลเพื่อป้องกันเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เสียเวลาและเสียเงินมากยิ่งขึ้น และพึงระลึกไว้ว่าอุทยานบางแห่งมีฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากที่อื่น อุทยานที่อยู่ในเขตที่มีอากาศอบอุ่น อย่างเช่น Death Valley และ Everglades จะคึกคักที่สุดในฤดูหนาว

2. ซื้อบัตรเข้าชมอุทยานแห่งชาติรายปี หรือบัตร America the Beautiful

บัตร America the Beautiful เป็นบัตรผ่านสำหรับเที่ยวพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่อนุรักษ์ และสถานพักผ่อนหย่อนใจของรัฐบาลกลางกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในระยะเวลา 1 ปี

America The Beautiful Card - Annual Pass

บัตรผ่านใบนี้มีราคา 80 เหรียญสหรัฐ ใช้ได้กับผู้ถือบัตรและแขกที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน และสามารถลงลายมือชื่อเป็นเจ้าของบัตรได้ 2 คน ซึ่งแปลว่ายืมกันใช้ได้! เราสามารถซื้อบัตรผ่านได้ที่ด่านทางเข้าอุทยานทุกแห่ง โดยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าต้องการซื้อบัตร America the Beautiful และสามารถจ่ายเงินได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต เจ้าหน้าที่จะเจาะหลังบัตรเพื่อระบุวันที่ซื้อบัตร และให้เราเซ็นหลังบัตรเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของบัตร

ตามปกติค่าเข้าอุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30 เหรียญต่อรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นหากวางแผนที่จะเยี่ยมชมอุทยานมากกว่า 4 ครั้ง บัตรผ่านนี้จะคุ้มค่าและประหยัดเงินเป็นอย่างมาก!

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรรายปีและบัตรประเภทอื่นๆ ที่นี่

3. ลองกางเต็นท์แทนที่จะอยู่โรงแรมในอุทยานแห่งชาติ

หากวางแผนที่จะพักค้างคืนในอุทยานแห่งชาติ การกางเต๊นท์เป็นตัวเลือกที่ดีและถูกที่สุด เพราะพื้นที่ตั้งแคมป์ในอุทยานแห่งชาตินั้นมีราคาไม่แพงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับที่พักภายในอุทยาน ส่วนใหญ่ค่าเช่าพื้นที่จะมีตั้งแต่ 18 ถึง 35 เหรียญ ขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ และเมื่อเทียบราคากับโรงแรมในอุทยานแห่งชาติซึ่งอาจมีราคาหลายร้อยดอลลาร์

camping in national park

แต่พื้นที่ตั้งแคมป์มักเต็มในช่วงฤดูท่องเที่ยว คุณควรจองสถานที่ทางออนไลน์ล่วงหน้า โดยเฉพาะถ้าจะไปอุทยานแห่งชาติที่เป็นที่นิยม และถ้าอยากให้ประหยัดมากยิ่งขึ้น อุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีพื้นที่สาธารณะที่สามารถกางเต็นท์ได้ฟรี (แต่อาจไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ หรือห้องอาบน้ำ) หากคุณเลือกที่จะตั้งแคมป์ในที่สาธารณะ คุณต้องปฏิบัติตามกฎ Leave No Trace หรือการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และเรียนรู้วิธีขุดหลุมเข้าส้วมกลางป่าไว้ด้วย

campsites

หากคุณต้องการพักในโรงแรม หรือตัวเลือกอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับงบประมาณ อยากเช่น เลือกจองที่ตั้งแคมป์ของเอกชนในบริเวณใกล้เคียง โมเต็ลราคาไม่แพงที่อยู่นอกอุทยานแห่งชาติหลายแห่งรองรับนักท่องเที่ยว เป็นต้น

4. หาเช่าหรือซื้ออุปกรณ์ตั้งแคมป์มือสอง

หากคุณยังไม่เคยเดินป่าหรือตั้งแคมป์ ก็ยังไม่ควรที่จะใช้เงินจำนวนมากไปกับอุปกรณ์ใหม่ๆ อย่างเช่น กระเป๋าเป้ ไฟ เต็นท์ เตา และอื่นๆ สำหรับการเดินทางไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเป็นครั้งแรก ทางที่ดีและประหยัดก็คือหาซื้ออุปกรณ์มือสองหรือจะเป็นการเช่าก็ได้ ตรวจสอบร้านค้าและเว็บไซต์มือสอง เช่น Craigslist, Amazon และ eBay หรือโพสต์คำขอบน Freecycle เพื่อค้นหาผู้คนที่นำอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมเดินป่าที่ไม่ต้องการใช้แล้วมาแจกให้ฟรี มีหลายคนที่ลองมาตั้งแคมป์ และพบว่าพวกเขาไม่คุ้นชินกับความไม่สะดวกสบายในการนอนเต็นท์ และการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้อย่างไม่ระมัดระวังเป็นวิธีง่ายๆ ในการประหยัดเงิน

Camping Equipment - Second Hand

บางครั้งการตั้งแคมป์จะต้องลงทุนในอุปกรณ์การตั้งแคมป์ เช่น เต็นท์และถุงนอน เคล็ดลับที่ดีคือการหยิบยืมอุปกรณ์สำหรับการเดินทางจากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว หรือมองหาอุปกรณ์ตั้งแคมป์ลดราคาตามเว็บไซต์หรืองานแฟร์ต่างๆ

5. เตรียมอาหารไปทำทานเอง

การทำอาหารเองเพื่อนำไปรับประทานระหว่างวันในอุทยานแห่งชาติช่วยประหยัดเงินได้มาก โดยเฉพาะหากเดินทางกันเป็นครอบครัว สถานที่ตั้งแคมป์ส่วนใหญ่จะมีเตาปิ้งย่างที่สามารถปรุงอาหารได้

Cooking when camping

และหากวันนั้นมีแผนที่จะไปเดินเขาหรือปีนเขา การเตรียมแซนวิชไว้ล่วงหน้านั้นเหมาะสำหรับการรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทิวทัศน์ที่สวยงาม เพราะราคาอาหารในร้านค้าที่ตั้งอยู่ในอุทยานมักจะมีราคาแพงกว่าร้านอาหารในเมืองใกล้เคียง นอกจากจะประหยัดเงินค่าอาหารแล้ว ยังสร้างความทรงจำที่ดีรอบกองไฟในช่วงมื้อเย็นอีกด้วย

Camping Cooking

6. เตรียมของใช้ให้พร้อมก่อนเดินทาง

อุทยานแห่งชาติหลายแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ของแทบทุกอย่างมีราคาสูงกว่าละแวกในเมือง ดังนั้นควรเตรียมซื้อของใช้จำเป็นให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปยังอุทยาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองเพื่อซื้อครีมกันแดด แบตเตอรี่ สเปรย์กันแมลง อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และสิ่งจำเป็นอื่นๆ

Camping Equipment

นอกจากนี้อาหารในบริเวณอุทยานยังมีราคาแพงกว่าและบางครั้งก็หาซื้อได้ยาก ดังนั้นควรเตรียมของว่าง เครื่องดื่ม และแม้แต่อาหารมาด้วย เพียงต้องแน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของอุทยานสำหรับการจัดเก็บอาหารและการกำจัดของเสีย ไม่มีใครอยากให้หมีเปิดตะกร้าปิกนิกของคุณอย่างแน่นอน

7. เลือกเดินทางในวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรี

คุณรู้หรือไม่ว่าอุทยานแห่งชาติอเมริกาจะมีวันที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าในแต่ละปี ซึ่งรวมถึงการเข้าอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ โบราณสถาน และวนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ รวมกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ วันเข้าฟรีเป็นโอกาสที่ดีในไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป หรือไปที่ที่เราชื่นชอบและอยากไปอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทยานแห่งชาติที่มีการเก็บค่าเข้า การยกเว้นค่าเข้าไม่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกหรือค่าธรรมเนียมสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น การตั้งแคมป์ การปล่อยเรือ ค่าล่องเรือ ค่าเดินทาง หรือทัวร์พิเศษของแต่ละสถานที่

Choose date for planning to travel

ทั้งนี้ การเข้าฟรีก็จะหมายถึงผู้คนจำนวนมาก การจราจรที่คับคั่ง และพื้นที่ส่วนกลางก็อาจเต็มไปด้วยผู้คนอีกด้วย

ตัวอย่างวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรีสำหรับปี พ.ศ. 2565:

17 มกราคม วันเกิดมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

16 เมษายน: วันแรกของสัปดาห์อุทยานแห่งชาติ

4 สิงหาคม: วันครบรอบการออกกฎหมาย Great American Outdoors Act

24 กันยายน วันพื้นที่สาธารณะแห่งชาติ (National Public Lands Day)

11 พฤศจิกายน: วันทหารผ่านศึก

เช็ควันเข้าฟรีอุทยานแห่งชาติก่อนวางแผนการเดินทางได้ที่นี่

8. อย่าพลาดโอกาสในการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน

สิ่งแรกที่คุณควรทำหลังจากเข้าไปในอุทยานคือไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากบางครั้งเส้นทางต่างๆ ในอุทยานมักถูกปิดด้วยเหตุผลด้านการบำรุงรักษาหรือความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาได้ด้วยการบอกคุณว่าพื้นที่ใดหรือเส้นทางใดที่ปิดในวันนั้น

เจ้าหน้าที่อุทยาน

คุณไม่จำเป็นต้องขับรถหนึ่งชั่วโมงไปยังจุดหมายปลายทางเพียงเพื่อที่จะเห็นว่ามันปิด เจ้าหน้าที่ยังช่วยให้คำปรึกษาในสิ่งที่คุณสนใจได้ อย่างเช่น แนะนำเส้นทางเดินเขาไปยังจุดชมวิวที่ดีที่สุด เป็นต้น นี่คือคำแนะนำที่คุณจะได้รับโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

9. มองหาที่เที่ยวในอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (National Monument)

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียง เช่น เยลโลว์สโตน โยเซมิตี แกรนด์แคนยอน และเกลเชอร์ แต่ไม่คุ้นเคยกับอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่อาจจะเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับงบประมาณของคุณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติหลายแห่งมีภูมิประเทศที่สวยงามน่าประทับใจ รวมถึงมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ที่อยู่อาศัยบนหน้าผาของชนพื้นเมือง และลักษณะที่น่าสนใจอื่นๆ

Lincoln Memorial

อกจากนี้คุณจะเห็นผู้คนจำนวนครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าที่คุณพบในอุทยานแห่งชาติ มีค่าเข้าที่ถูกกว่า (หรือไม่มีเลย) และที่ตั้งแคมป์ฟรีหรือไม่แพง อย่างเช่น อนุสรณ์สถานวอชิงตันและลินคอล์นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (ฟรี) หรือ Natural Bridges ในรัฐยูทาห์ ที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน (ค่าเข้า 20 เหรียญต่อคัน) Castillo de San Marcos ในเมืองเซนต์ออกัสติน รัฐฟลอริด้า (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไป) หรือ Fort McHenry ในบัลติมอร์ (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่) สถานที่เหล่านี้ก็มีจุดน่าสนใจให้สำรวจหลายร้อยแห่ง ดังนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องไปหาจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สุด (ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้คนแออัดและราคาแพงที่สุด)

ค้นหาอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ตามรัฐต่างๆ ได้ที่นี่

10. เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติที่ไม่เก็บค่าเข้า

อุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาทำให้เราได้เข้าถึงความงามทางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุดที่เราจะพบได้ทุกที่ อุทยานแห่งชาติหลายแห่งเรียกเก็บค่าเข้าชมเพื่อช่วยจ่ายค่าบำรุงรักษาพื้นฐานและเงินเดือนพนักงาน (ยกเว้นบางวันที่เปิดให้เข้าฟรีเป็นพิเศษ เช็คที่นี่)

แต่ถ้าคุณเดินทางแบบประหยัด ยังมีบางแห่งที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าแม้แต่บาทเดียว นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในราคาประหยัด! ลองดูลิสต์ที่ Allianz Travel เอามาให้ดูดังต่อไปนี้

(1) Redwood National Park รัฐแคลิฟอร์เนีย

Redwood National Park

(2) New River Gorge National Park รัฐเวสต์เวอจิเนีย

(3) Biscayne National Park รัฐฟลอริดา

(4) Great Basin National Park รัฐเนวาดา

Great Basin National Park
ขอบคุณรูปภาพจาก : Visit The USA

(5) Congaree National Park รัฐเซาธ์แคโรไลนา

(6) Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

Kenai Fjords National Park
Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

(7) Great Smoky Mountains National Park รัฐนอร์ธแคโรไลนา และรัฐเทนเนสซี่

(8) Cuyahoga Valley National Park รัฐโอไฮโอ

(9) North Cascades National Park รัฐวอชิงตัน

วัตถุประสงค์ของการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติคือการออกไปสัมผัสธรรมชาติกลางแจ้งและเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางไปยัง ที่เที่ยวอเมริกา ในสถานที่ต่างๆ เราควรต้องค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว/ที่ตั้งแคมป์/เส้นทางยอดนิยมที่สุด รู้ล่วงหน้าดีกว่าผิดหวังเมื่อไปถึง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางของคุณเมื่อคุณไปถึงที่นั่น เพื่อให้การผจญภัยในอุทยานแห่งชาติของเราสนุก คุ้มค่า และราคาไม่แพง

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวลอีกอย่างหนึ่งก็คือประกันการเดินทาง เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น อย่าให้เงินที่เราตั้งใจจะประหยัดในการเดินทาง ต้องมาจ่ายให้กับเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดดังกล่าว

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้* ประกันการเดินทาง Dance Moves มีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : nps.gov, bearfoottheory.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

อเมริกาเป็นประเทศขนาดใหญ่ ที่นอกจากเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวที่มีสถานที่สวยงามมากมาย ที่รอให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ไปสัมผัส ถึงแม้จะใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 20 ชั่วโมง (หรือมากกว่า) แต่ถ้าได้ไปถึงแล้วก็นับว่าคุ้มค่ากับการนั่งเครื่องบินมากๆ ค่ะ ทุก ที่เที่ยวอเมริกา เราจะได้พบกับความหลากหลายของสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ถนนสายชอปปิ้งในมหานครใหญ่ แลนด์มาร์คสุดปังที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และอื่นๆ อีกมากมาย วันนี้ Allianz Travel จะพาสายธรรมชาติไปเที่ยวอเมริกา ผ่าน 5 อุทยานแห่งชาติในอเมริกา ที่สวยจนครั้งหนึ่งต้องไม่พลาดที่จะไปสัมผัสสักครั้ง มาให้เพื่อนๆ ใส่ไว้ในลิสต์กันก่อนค่ะ

อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา Yosemite National Park

1. อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติต้องไม่พลาดไปชมอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี หนึ่งในสถานที่ ที่เที่ยวอเมริกา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และมีพื้นที่กว้างใหญ่เกือบ 1,200 ตารางไมล์ ที่รวมสถานที่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย เช่น น้ำตกสูงตระหง่าน ต้นเซควาญา (Sequoia) อายุนับพันปี หน้าผาที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา และหินรูปร่างแปลกตา เส้นทางเดินป่าแบบไปเช้าเย็นกลับในอุทยานที่นำทางโดยไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ เป็นต้น

อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Yosemite Valley – หุบเขาโยเซมิตีเหมาะสำหรับผู้ที่มาที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีเป็นครั้งแรก นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโยเซมิตีที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนศูนย์นักท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้า จุดชมวิว พื้นที่ปิกนิก และเส้นทางเดินป่าแบบไม่ยากนัก 
  • Tunnel View – จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด วิวบริเวณนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของโยเซมิตีที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดี คุณจะได้เห็นไฮไลท์ของหุบเขาโยเซมิตีได้เกือบทั้งหมด ทางด้านซ้ายเป็นภูเขาหินขนาดยักษ์ EL Capitan ด้านขวาเป็นน้ำตกที่สวยงาม Bridalveil Falls และที่เห็นไกลๆ คือเขารูปโดม Half Dome ที่อยู่ท่ามกลางป่าสีเขียวที่เปลี่ยนเป็นสีส้มเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
  • Glacier Point – อีกหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดและครอบคลุมที่สุดในโยเซมิตี คุณสามารถมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาโยเซมิตีแบบพาโนรามา ตลอดจนสถานที่สำคัญอย่างน้ำตกโยเซมิตีและฮาล์ฟโดม ที่นี่สามารถขับรถเข้าถึงได้ เหมาะกับคนที่ไม่อยากปีนป่ายมากนัก หรือผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับเด็ก
  • Half Dome – ภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงคล้ายโดม คุณสามารถมอง Half Dome แบบไกลๆ ได้จาก Tunnel View แต่ถ้าอยากเห็นชัดๆ ต้องไปที่ Glacier Point นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของนักปีนเขาเพราะความชันเกือบตั้งฉากเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณกลัวความสูงหรือสภาพร่างกายไม่แข็งแรง คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินแบบสั้นไปยังน้ำตกเนวาดาก็ได้
     
  • Bridalveil Falls – น้ำตก Bridalveil ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าทิศตะวันตกของโยเซมิตี มีความสูงถึง 188 เมตร (ประมาณตึก 60 ชั้น) คุณสามารถเดินไปที่น้ำตกได้โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที เป็นการเดินป่าแบบสบายๆ ที่เหมาะกับครอบครัวพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงาม ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อน ละอองน้ำจะแรงที่สุดเนื่องจากหิมะละลาย คุณจึงสามารถสัมผัสได้ถึงหมอกขณะชมน้ำตก 

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนพฤษภาคมและกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่คนไม่แออัดจนเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องรู้ไว้ก่อนคือถนนและเส้นทางต่างๆ ในโยเซมิตีปิดให้บริการเกือบทั้งปีเนื่องจากหิมะตก หิมะจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนตุลาคมและตกหนักในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งโดยทั่วไปจะยังคงอยู่จนถึงเดือนมีนาคม ถนนและเส้นทางที่ปิดตามฤดูกาลทั้งหมดจะเริ่มเปิดในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นผลให้เส้นทางเดินป่าเต็มไปด้วยผู้คน การจราจรบนถนนคับคั่ง และอัตราค่าโรงแรมมีราคาแพงมาก

2. อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนนับเป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอเมริกา มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้างครอบคลุมรอยต่อของ 3 รัฐ คือรัฐไวโอมิง รัฐมอนทานา และรัฐไอดาโฮ ภูมิประเทศจะมีทั้งที่ราบ ภูเขาสูงชัน หน้าผา ทะเลสาบ บ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อน ที่เที่ยวอเมริกา แห่งนี้นับว่าเป็นความน่ามหัศจรรย์ที่มาพร้อมกับความสวยงาม และความหลากหลายทางพันธุกรรมที่คุณต้องมาสัมผัสดูสักครั้งในชีวิต และด้วยความที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนมีขนาดที่ใหญ่มากคุณจึงควรจะวางแผนการเที่ยวประมาณ 3-7 วันไปเลย เพื่อให้เที่ยวได้ครบและครอบคลุมจริงๆ

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Old Faithful – น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ปะทุน้ำเดือดจากพื้นดินสู่อากาศได้สูงถึง 55 เมตร เกิดขึ้นบ่อยครั้งเฉลี่ยทุก 30-110 นาที ครั้งหนึ่งจะกินเวลาประมาณ 1-5 นาที บริเวณนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเดินเทรคกิ้งหลายแห่ง โดยเส้นทางที่แนะนำคือเส้นทาง 2.25 กิโลเมตร (1.4 ไมล์) ที่พาเดินไปยังสระน้ำร้อน Morning Glory Pool ที่มีสีสันสวยงามอีกแห่งหนึ่ง
  • Grand Canyon of the Yellowstone – เป็นหุบเหวที่มีมีความยิ่งใหญ่ ยาวประมาณ 32 กิโลเมตร ลึกปะรมาณ 240-360 เมตร ที่เกิดจากการแยกตัวของพื้นโลกอันมีสาเหตุมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และน้ำแข็งไหลเลื่อนในยุคที่น้ำแข็งละลาย ด้านล่างมีแม่น้ำเยลโลว์สโตนไหลผ่าน จากจุดนี้คุณจะได้เห็นความสวยงามจากมุมสูง ความสลับซับซ้อนของภูเขาสูงมากมายและรรมชาติที่อยู่รอบตัว
  • Grand Prismatic Spring – บ่อน้ำพุสีรุ้งเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก สีสันสวยงามโดดเด่นไล่ตั้งแต่สีเข้มไปจนถึงอ่อน เริ่มจากตรงกลางเป็นสีฟ้า ถัดมาเป็นสีเขียวมรกต เหลือง ส้ม และแดง เป็นสีที่เกิดจากการรวมตัวอย่างแน่นหนาของแบคทีเรีย สาหร่ายและพืชเซลล์เดียวที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงได้ ซึ่งในแต่ละฤดูจะมีสีที่แตกต่างกันค่ะ
  • Hayden Valley – หนึ่งในสถานที่ที่สายชมสัตว์ป่าชอบกันมาก เพราะทุ่งหญ้ากลางหุบเขาเฮย์เดน เป็นสถานที่อยู่อาศัยตามะรรมชาติของเหล่ากระทิง กวางเอลค์ ความไบซัน หมีกริซลี่ และนกมากมายหลายชนิด เพื่อให้มองเห็นสัตว์ได้ดีขึ้น คุณควรพกล้องส่องทางไกลมาด้วย และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากสัตว์
  • Mammoth Hot Springs – บ่อน้ำร้อนที่เกลือของกรดคาร์บอนตกตะกอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณโดยรอบของบ่อน้ำพุเต็มไปด้วยไอร้อนของน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาตามพื้นผิว จุดเด่นของบ่อน้ำพุร้อนแมมมอธคือมีลักษณะเป็นน้ำตกหินปูนขนาดมหึมา และมีบันไดลดหลั่นหลายชั้น ซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะน้ำพุร้อนเย็นลงในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่สภาพอากาศปานกลาง ผู้คนยังไม่มากนัก และมีการปิดถนนเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นเดือนที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่เด็กๆ ปิดเทอม และอากาศก็อบอุ่นพอที่จะกางเต็นท์นอนข้างนอกได้ อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในบริเวณที่สูงชันก็สามารถลดต่ำลงจนต่ำกว่า 0 องศาในช่วงฤดูร้อนได้

3. อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งล้านเอเคอร์ซึ่งเต็มไปด้วยยอดเขาหินขรุขระ ธารน้ำแข็งมโหฬาร ทุ่งหญ้าอัลไพน์ และทะเลสาบใสดั่งคริสตัล มีเส้นทางเดินป่ามากมายให้กับนักผจญภัยทุกระดับตั้งแต่ผู้เดินป่าเพื่อสันทนาการไปจนถึงนักเดินป่าที่มีประสบการณ์ อีกทั้งยังมีวิวตระการตาและคุณจะมีโอกาสได้เห็นดอกไม้ป่าและแพะภูเขาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีบริเวณตั้งแคมป์ซึ่งมีให้เลือกถึง 13 จุด หรือจะพักในกระท่อมหรือชาเลต์ของอุทยานแห่งชาติก็ได้

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • ถนน Going-to-the-Sun – ถนนที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา มีความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นถนนเส้นหลักของอุทยานเริ่มตั้งแต่ทางเข้าอุทยานที่เวสต์เกลเชอร์ ไปจนถึงทะเลสาบเซนต์แมรี่ ลัดเลาะไปตามไหล่เขาและหน้าผา ผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และผ่านภูมิประเทศเกือบทุกประเภทที่อุทยานมี ตั้งแต่ทะเลสาบน้ำแข็ง น้ำตก และป่าสนซีดาร์ไปจนถึงยอดเขาอัลไพน์ จุดสูงสุดของถนนคือ Logan Pass ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,036 เมตร ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากและเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าต่างๆ มีสัตว์ป่ามาเดินเยอะมาก ลานจอดรถจะเต็มราว 9 โมงเช้า ดังนั้นต้องตื่นแต่เช้ามากเพื่อมาเริ่มต้นที่นี่
     
  • Trail of the Cedars – เส้นทางเดินป่าระยะสั้นยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ถนน Going-to-the-Sun ทางเดินยกระดับตัดผ่านป่าซีดาร์แดงที่มีกลิ่นหอม แต่ไฮไลท์อยู่ที่จุดกึ่งกลางที่มีสะพานลอยเหนือ Avalanche Creek พร้อมทิวทัศน์อันสวยงามของช่องเขาและน้ำตกที่สวยงาม เราแนะนำให้มาในตอนเช้าหรือตอนบ่ายแก่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จอดรถที่แออัด
     
  • Red Bus Tour – ทัวร์รถบัสสีแดงอันเลื่องชื่อของอุทยานเกรเชีย เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากขับรถเองตามทางสูง แต่ก็อยากชมวิว รถบัสเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงช่วงทศวรรษที่ 1930 และมีหลังคาผ้าใบแบบม้วนกลับทำให้เราเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของภูมิทัศน์โดยรอบ นอกจากนี้ รถบัสแต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 17 คน

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นช่วงพีคของนักท่องเที่ยว มีอุณหภูมิเฉลี่ยในตอนกลางวันเฉลี่ยประมาณ 26 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะลดต่ำลงไปถึงประมาณ 0-5 องศาเซลเซียส (ควรเตรียมเสื้อไปหลายชั้น และเสื้อกันฝนที่มีคุณภาพดี) คุณอาจเห็นหิมะในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมบนที่สูง ด้านตะวันออกของอุทยานมีอากาศเย็นและมีลมแรงกว่าฝั่งตะวันตก ด้านตะวันออกก็แห้งแล้งเช่นกัน ในขณะที่หุบเขาทางทิศตะวันตกมีฝนตกมากที่สุด แม้ว่าราคาที่พักและค่าเข้าอุทยานจะสูงขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการและบริการรถรับส่งฟรี นอกจากนี้ คุณยังจะได้สัมผัสกับการปิดถนนและเส้นทางเดินน้อยกว่าในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์เปิด 365 วันต่อปี

4. แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

อีกหนึ่ง ที่เที่ยวอเมริกา ที่หลายคนอยากไปสัมผัสสักครั้ง นั่นก็คือ “แกรนด์แคนยอน” โดยแกรนด์แคนยอนนั้นถือกำเนิดมาจากการที่แม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านและกัดเซาะชั้นหินในบริเวณนี้เป็นเวลาหลายล้านปีซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทางธรณีวิทยาตามธรรมชาติ ความงามที่โดดเด่น สีสันน้ำตาลแดงและสีแบบทะเลทราย และภาพพระอาทิตย์ตกอันสวยงาม ล้วนแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจากทั่วโลก โตรกผาแกรนแคนยอนยาวถึง 446 กิโลเมตร กว้าง 29 กิโลเมตร และบางจุดลึกถึง 1.8 กิโลเลยทีเดียว และเนื่องจาก
แกรนด์แคนยอนมีขนาดใหญ่มาก ตัวอุทยานจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ North Rim และ South Rim

แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • South Rim – อยู่ด้านใต้ของแกรนด์แคนยอน และเป็นด้านที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของศูนย์นักท่องเที่ยว ที่มีทั้งข้อมูลที่มีประโยชน์ โบรชัวร์ การจัดแสดงที่นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ ธรณีวิทยา และชีวิตสัตว์ป่าที่น่าสนใจของพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยวที่ด้านนี้ของแกรนด์แคนยอน ได้แก่ หมู่บ้านแกรนด์แคนยอน เส้นทางเซาท์ไคบับ เส้นทางไบร์ทแองเจิล เส้นทาง
    มาเธอร์พอยต์ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยายาวาปาย และอีกมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจพื้นที่ที่สวยงามและเส้นทางเดินป่าทางด้านใต้ของหุบเขาลึกด้วยการเดินเท้า หรือใช้บริการทัวร์แบบมีไกด์
  • Mather Point – ตั้งอยู่ใน South Rim เป็นจุดแรกที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเมื่อมาถึงแกรนด์แคนยอน อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวโดยใช้เวลาเดินเพียง 5 นาที คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันโดดเด่นของหน้าผาและเส้นทางเดินเลียบเขาด้านล่าง หากสภาพอากาศเหมาะสมจะมองเห็นไกลถึง 50 กิโลเมตรทางทิศตะวันออก และ 95 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันตก เหมาะกับการไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกเหนือหุบเขา
  • North Rim – อยู่ด้านเหนือของแกรนด์แคนยอน เหมาะสำหรับคนชอบความแปลกใหม่ หรือชอบการเดินเขา ปีนเขา ไปยากกว่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่าฝั่งใต้ แต่หลายคนเชื่อว่ามีมุมมองที่น่าสนใจมากกว่า บริเวณนี้มีสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกจนไม่สามารถเข้าไปได้
     
  • Bright Angel Point – หนึ่งในจุดที่สวยที่สุดของ North Rim และไม่ไกลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ระยะทางประมาณกิโลเศษๆ) สามารถมองเห็น South Rim ที่อยู่ต่ำกว่าประมาณ 1,000 ฟุตได้
  • Point Imperial – จุดที่สูงที่สุดของแกรนด์แคนยอนฝั่งเหนือ ที่สามารถมองเห็นวิวแกรนด์แคนยอนฝั่งตะวันออก โตรกผา แม่น้ำโคโลราโด และบางส่วนของทะเลทราย Painted Desert ด้วย
  • Cape Royal – หนึ่งในจุดที่สามารถมองเห็นวิวพาโนรามาของแกรนด์แคนยอนได้ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 36.8 กิโลเมตร

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมแกรนด์แคนยอนคือมีนาคมถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศเย็นในตอนกลางวันและมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ถ้าคุณตัดสินใจไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ที่เป็นช่วงพีคของอุทยาน ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากและที่พักมีจำกัดด้วยค่ะ ช่วงฤดูหนาวยังพอเที่ยวได้ แต่พื้นที่บริเวณ North Rim จะปิดให้บริการหลังจากหิมะตกครั้งแรก ในขณะที่ South Rim เปิดให้บริการตลอดทั้งปี

5. อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

คำว่า Zion เป็นคำในภาษาฮิบรูโบราณ หมายถึง สถานที่หลบลี้ภัย เป็นอุทยานที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ มีพื้นที่ประมาณ 593 ตารางกิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตร์ของอุทยานแห่งชาติไซออนจะมีลักษณะเป็นผาและแคนยอนที่มีความลึกประมาณ 800 เมตรและยาว 24 กิโลเมตร แคนยอนจะมีหน้าผาเป็นสีแดงสลับกับสีออกน้ำตาลซึ่งเป็นสีของหินทรายนาวาโฮซึ่งเกิดการกัดกร่อนโดยแม่น้ำเวอร์จิ้น จุดต่ำสุดของอุทยานอยู่ที่ 3,666 ฟุตที่ Coalpits Wash และจุดสูงที่สุดคือ 8,726 ฟุต ซึ่งคือภูเขา Horse Ranch ตั้งอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของที่ราบสูง Colorado The Great Basin และทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert) อุทยานแห่งชาติที่นี่มีทัศนียภาพที่โดดเด่นและเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์ที่เติบโตและอาศัยอยู่บริเวณนี้

อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Zion Canyon หรือหุบเขาไซออน – มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร และลึกประมาณ 800 เมตร มีความงดงามของทัศนียภาพหน้าผาหินทรายที่ตั้งสูง 2,000 ถึง 3,000 ฟุตจากพื้นหุบเขาลึก และกิจกรรมเดินป่าไปตามเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยม
  • The Narrows – ช่องแคบที่แคบที่สุดของ Zion Canyon และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอุทยาน โดยการเดินลุยน้ำเข้าไปในช่องเขาเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร ได้ความรู้สึกว่าถูกโอบกอดด้วยเขาสูงทั้งสองข้าง ผู้ที่จะเดินเข้าไปต้องเตรียมอุปกรณ์ในการเดินลุยน้ำ เช่น รองเท้าแตะแบบรัดส้นเท้าที่ทนน้ำ และต้องมีวางแผนการเดินทางดี ๆ หากต้องการเดินลุยน้ำในช่องแคบนี้ และบางช่วงต้องระวังน้ำป่าหลากมากเป็นพิเศษ
  • Angels Landing – สันเขาสูง 460 เมตรเหนือพื้นหุบเขา เพื่อชมทิวทัศน์แบบ 360 องศาของหุบเขาไซออน ผ่านเส้นทางไต่เขาครึ่งวันสู่ทางคดเคี้ยว 27 โค้ง
  • Kolob Arch – ซุ้มประตูโค้งธรรมชาติที่ยาวที่สุดเป็นอันดับหกของโลก โดยเข้าถึงได้จากเส้นทางเดินป่าที่มีระยะทางประมาณ 11 กม. หรือเข้าจาก Ice Box Canyon ซึ่งเป็นเส้นทางล่องแก่ง
  • The Subway – เป็นที่รู้จักในชื่อ Left Fork of North Creek ตามชื่ออุโมงค์รถไฟใต้ดินที่คล้ายคลึงกัน ลักษณะเป็นเส้นทางเดินป่าในช่องหุบเขาระหว่างสองยอดเขาเหนือ-ใต้ของการ์เดียน แองเจิล คุณจะตื่นตาไปกับหุบเขาเว้าแหว่งแปลกตาและมีความสวยงาม เหมาะสำหรับนักปีนเขาที่มีประสบการณ์เท่านั้น

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน สภาพอากาศกำลังสบาย และเป็นช่วงที่มีรถรับส่งฟรีของอุทยาน ในขณะที่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ถือเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวของอุทยาน ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวน้อย แต่สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง เช่น Narrows และ Angels Landing อาจหนาวเกินกว่าจะสนุกกันได้อย่างเต็มที่

อยากเที่ยวต้องได้เที่ยว! เพื่อนๆ สายเที่ยวที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเริ่มคันไม้คันมืออยากแพคกระเป๋าเตรียมตัวเที่ยวอเมริกากันแล้ว ก่อนออกเดินทางไปไกล ต้องมีการวางแผนที่ดี ยิ่งไปยังประเทศที่ห่างไกลจากเมืองไทยมากๆ อย่างสหรัฐอเมริกาก็ยิ่งต้องเตรียมตัวมากขึ้น ทั้งกิจกรรมมากมายในแต่ละเมืองที่อาจทำให้เราสนุกจนลืมเวลา Time zone ที่ต่างกันเป็นวันไปได้เลย

และถ้าอยากให้ทริปเที่ยวอเมริกาสนุกแบบไร้กังวล ชีวิตไม่สะดุด สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมติดตัวไว้ก็คือประกันภัยการเดินทาง เพราะเหตุฉุกเฉินหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยอาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน* ยิ่งค่ารักษาพยาบาลในอเมริกาก็เป็นที่รู้กันว่าแพงมาก เราก็ต้องยิ่งต้องมีประกันภัยเดินทางติดตัวไว้นะคะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่ 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : U.S. News – Travel

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 อาหารเกาหลียอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

10 อาหารเกาหลี ยอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

เกาหลีใต้ หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เหล่าสาวกเกาหลีคงเริ่มวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวเกาหลีกันแล้ว ยิ่งถ้าใครติดตามซีรีย์เกาหลี ก็คงต้องอินกับ อาหารเกาหลี เมนูต่างๆ ที่มีทั้งในฉากรับประทานอาหาร หรือฉากทำกับข้าว จนหลายคนต้องกับหัดทำหรือตามรอยไปหาที่ชิมกัน และยิ่งถ้ามีโอกาสได้เดินทางไปถึงเกาหลี แล้วยิ่งต้องจัดให้ได้! 

วันนี้ Allianz Travel จัด 10 อาหารเกาหลี เมนูเด็ดที่สายกินห้ามพลาด มาให้เพื่อนๆ ได้เก็บไว้ในลิสต์ตามชิม หากได้ไปเยือนเกาหลีกันค่ะ

1. กิมจิ

อาหารเกาหลี กิมจิ

อาหารหรือเครื่องเคียงที่อยู่คู่กับชาวเกาหลีมานานกว่า 2,000 ปี มีจุดเริ่มต้นจากสภาพอากาศของเกาหลีในฤดูหนาวที่หนาวจัดจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ จึงต้องใช้วิธีการดองเพื่อยืดอายุอาหาร ซึ่งก็คือกิมจินั่นเอง และในปัจจุบันกิมจิได้รับความนิยมในการกินมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเครื่องเคียงที่นิยมกินคู่กับอาหารต่างๆ โดยเฉพาะการกินอาหารประเภทปิ้งย่าง

2. บิบิมบับ

อาหารเกาหลี บิบิมบับ

เมนูข้าวยำจานเด็ดของเกาหลีที่ไม่ควรพลาด มีเสริฟอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหาร ฟู้ดคอร์ท หรือแม้แต่ตามสตรีทฟู้ด บิบิมบับจะสามารถเลือกรับประทานได้ว่าจะใส่เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเน้นผัก แต่ส่วนประกอบที่สำคัญของบิบัมบับจะมี ข้าวสวยร้อนๆ ผักต่างๆ และไข่ดิบ

3. ซัมกยอบซัล

อาหารเกาหลี ซัมกยอบซัล

หมูสามชั้นย่างที่หมักด้วยซอสสูตรพิเศษทำให้ซัมกยอบซัลมีรสชาติที่อร่อย นุ่ม กลอมกล่อม นิยมทานคู่กับผักหลากหลายชนิด พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ และมีน้ำจิ้มสำหรับทานคู่กันคือซัมจัง

4. บูลโกกิ

อาหารเกาหลี บูลโกกิ

เมนูเนื้อย่างหรือผัดสไตล์เกาหลี จุดเด่นคือตัวเนื้อจะถูกหมักด้วยซอส น้ำมันงา และเครื่องปรุงอื่นๆ ทำให้เนื้อมีความนุ่ม หวาน หอม อร่อย สามารถทานคู่กับข้าวร้อนๆ หรือห่อผักและทานคู่กับน้ำจิ้มก็ได้

5. ต๊อกบกกี

อาหารเกาหลี ต๊อกบกกี

อาหารที่อยู่คู่กับวงการสตรีทฟู้ดของเกาหลีมาอย่างเนิ่นนาน คือการนำคาแรต็อก (แป้งเค้กข้าว) หรือที่รู้เราทุกคนจะคุ้นหูว่า “แป้งต๊อก” ไปผัดกับซอสเกาหลีสีแดง มีรสชาติเผ็ด หวาน อร่อย มีเอกลักษณ์พร้อมใส่ปลาแผ่น และผักเล็กน้อย ซึ่งในบางร้านจะใส่ไข่ต้มหรือเส้นรามยอนลงไปอีกด้วย

6. ไก่ทอดเกาหลี

ไก่ทอดเกาหลี

เมนูที่กำเนิดจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามเกาหลี ถึงหน้าตาจะดูเหมือนไก่ทอดธรรมดา แต่จะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละร้านไม่ซ้ำกัน โดยทั่วไปจะคลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดหวาน บางร้านก็จะมีท๊อปปิ้งพิเศษเพิ่มเติมใส่ลงไปด้วย เช่น แป้งต๊อกทอด เฟรนฟราย หรือการราดชีส ซึ่งคนเกาหลีนิยมทานเป็นกับแกล้มกับเบียร์

7. ซัมกเยทัง

อาหารเกาหลี ซัมกเยทัง

หรือก็คือซุปไก่โสม เป็นเมนูที่คนเกาหลีนิยมทานกันช่วงฤดูร้อน (ช่วงเดือน มิถุนายน – ต้นเดือนกันยายน) เพื่อช่วยฟื้นฟูกำลังของร่างกาย ไก่ที่นำมาประกอบเมนูนี้จะเป็นไก่ที่อายุไม่เกิน 45 วัน ยัดใส้ด้วยข้าวเหนียว และสมุนไพรต่างๆ เช่น เกาลัด พุทรา โสม แปะก๊วย

8. บิบิม เนงเมียน

อาหารเกาหลี บิบิม เนงเมียน

บะหมี่เย็นสไตล์เกาหลี ตัวเส้นที่ใช้จะเป็นเส้นยาวบาง ทำจากแป้งผสมบัควีท หรือมันหวาน เสิร์ฟในชามสเตนเลสเย็นๆ คลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดร้อน เป็นเมนูที่ชาวเกาหลีนิยมทานในช่วงฤดูร้อน

9. จาจังมยอน

อาหารเกาหลี จาจังมยอน

บะหมี่ดำเกาหลี ใช้เส้นบะหมี่แบบหนาคล้ายเส้นอุด้ง คลุกเคล้าด้วยซอสที่ทำจากเต้าเจี้ยว ถั่วดำหมัก ผัดกับเนื้อหมูหั่นและผัก นอกจากนี้ จาจังมยอนถือเป็นอาหารที่บ่งบอกถึงความโสด เนื่องจากในวันแบล๊กเดย์หรือวันคนโสดของเกาหลีซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายน เหล่าคนโสดจะพร้อมใจกันรับประทานจาจังมยอนกัน ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีเฉพาะที่เกาหลีที่เดียว

10. จิเก

อาหารเกาหลี จิเก

หรือซุปเกาหลี มีหลากหลายแบบตามประเภทเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไป เช่น เต้าหู้ ไข่ปลา เนื้อปู กิมจิ หรือเนื้อหมู ปรุงรสด้วยโกชูจัง มิโซะหมัก เต้าเจี้ยวหรือกุ้งดองเค็ม นิยมทานเป็นของคั่นกลางระหวางอาหารจานหลัก

ในประเทศเกาหลียังมีอาหารอร่อยอีกมากมายรอให้เพื่อนๆ ได้ไปชิมกัน ใครที่ตามหาอาหารเพื่อตามรอยซีรีส์ที่ชอบ คงสนุกและอิ่มท้องกันนะคะ

และที่สำคัญสำหรับการเดินทางทุกครั้ง เหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ Allianz Travel ขอแนะนำประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า และอื่นๆ อีกมากมาย #DanceMoves จะช่วยให้คุณทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทริปได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://sg.hotels.com/go/south-korea/great-korean-dishes

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel