Winter in Japan - เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว สัมผัสความหนาวเย็นของหิมะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว สัมผัสความหนาวเย็นของหิมะ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่วางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อไปชมดอกซากุระบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับหลายๆ คนก็รอคอยเวลาที่จะได้ไป เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว เพื่อไปสัมผัสกับความหนาวเย็นและหิมะนุ่มๆ ฟูๆ ในฤดูหนาว ญี่ปุ่นมีสถานที่มหัศจรรย์ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามอยู่มากมายให้คุณได้ชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นสกีรีสอร์ทกว้างใหญ่ เมืองออนเซ็นที่เต็มไปด้วยหิมะ หรือเทศกาลน้ำแข็งที่น่าทึ่ง แถมเมื่ออากาศเย็นลง คุณไม่ต้องกังวลกับความหนาวเย็นหลังจากออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะที่พักจะมีบ่อน้ำร้อนให้คุณลงไปแช่ หรือไปนั่งทานอาหารร้อนๆ เพื่อคลายหนาว Allianz Travel พาคุณเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ออกไปสำรวจ 10 ที่เที่ยวหน้าหนาวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ให้คุณได้เช็คอินในหน้าหนาว เป็นรายการจุดหมายปลายทางห้ามพลาดของคุณ

1. ปีศาจหิมะแห่งภูเขาซาโอะ (Mount Zao) จังหวัดยามากาตะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ปีศาจหิมะแห่งภูเขาซาโอะ (Mount Zao) จังหวัดยามากาตะ

ภูเขาซาโอะตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดมิยากิและจังหวัดยามากาตะ เป็นหนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 1,841 เมตร ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดหากได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาว ภูเขาซาโอะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวสายผจญภัยได้ทำมากมาย เช่น สกี สโนว์บอร์ด ขึ้นกระเช้าชมวิว เดินป่า ปีนปากปล่องภูเขาไฟ แช่ออนเซ็น และการชมปีศาจหิมะ (Snow Monster) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าจูเฮียว (Juhyo) เป็นปรากฎการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดจากการทับถมของหิมะบนต้นสน ยืนเรียงรายกันอยู่นับพันต้นทั่วเชิงเขา จนดูเหมือนกองทัพปีศาจหิมะสีขาว เป็นอีกหนึ่งความสวยงามทางธรรมชาติที่แปลกมากๆ ยิ่งตอนกลางคืนในเทศกาลปีศาจหิมะแห่งซาโอะ (Zao Snow Monster Festival) จะมีการประดับไฟหลากสี เพื่อเพิ่มความสวยงามและความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

2. ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) จังหวัดกิฟุ

หมู่บ้านชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1995 ตั้งอยู่กลางหุบเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดกิฟุ (Gifu) โอบล้อมด้วยภูเขากับป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีแม่น้ำโชคาวะ (Shokawa) ไหลผ่าน ลักษณะภูมิอากาศที่สำคัญอย่างหนึ่งของชิราคาวาโกะ คือมีหิมะตกหนักตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงมีนาคม ซึ่งมีความหนาประมาณ 2 ถึง 3 เมตร (เคยมีบันทึกปริมาณหิมะสูงถึง 4.5 เมตร)

สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะคือบ้านเรือนรูปทรงแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี เรียกว่า ‘บ้านแบบกัสโชสึคุริ’ (Gassho-Zukuri) ซึ่งมาจากคำว่า ‘กัสโช’ ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงการพนมมือ ตามรูปแบบของบ้านที่หลังคาชันถึง 60 องศา มีลักษณะคล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน ซึ่งปรับให้เข้ากับสภาพธรรมชาติป้องกันหิมะทับถมลงมาเรื่อยๆ ในช่วงฤดูหนาว

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) จังหวัดกิฟุ

หลายๆ คนจะมีหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago) อยู่ในลิสต์ของการเดินทางไป เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ด้วยอย่างแน่นอน เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago) ในช่วงฤดูหนาว เพื่อชมความงดงามของหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งชิราคาวาโกะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน นอกจากนี้ยังมีเทศกาลแสดงไฟหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago Light Up) บ้านแต่ละหลังจะเปิดไฟยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศที่สวยงาม ในคืนวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ บอกได้เลยว่าสวยโรแมนติกมาก

3. เส้นทางเจแปนแอลป์ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Tateyama-Kurobe Alpine Route) จังหวัดโทยามะ

เส้นทางเจแปนแอลป์ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Tateyama-Kurobe Alpine Route) จังหวัดโทยามะ

เส้นทางแอลป์ทาเตยามะคุโรเบะ เป็นเส้นทางธรรมชาติอันงดงาที่อยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดโทยามะปละจังหวัดนากาโนะ ผ่านทิวทัศน์เทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงามจนได้ชื่อว่า เทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น โดยจุดที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาทาเตยามะ สูงประมาณ 3,015 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่นรองจากภูเขาไฟฟูจิ

ยุคิโนะโอทานิ (Yuki no Otani) หรือ กำแพงหิมะ

แต่จุดสูงสุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปได้อยู่ที่ มุโรโดะ (Murodo) ซึ่งมีความสูงประมาณ 2,450 เมตร และมีไฮไลท์สำคัญที่เรียกว่ายุคิโนะโอทานิ (Yuki no Otani) หรือ กำแพงหิมะ ซึ่งในหนึ่งปีจะมีแค่เพียงช่วงเดียวเท่านั้น คือราวกลางเดือนเมษายนไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน เราสามารถสัมผัสความสวยงามของกำแพงหิมะได้จากบนรสบัสที่กำลังวิ่งผ่าน หรือจะลงจากรถเพื่อมาสัมผัสกับกำแพงหิมะที่มีความสูงเกือบ 10 เมตร ได้แบบใกล้ชิดอีกด้วย ที่นี่ถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวเลยค่ะ

4. เทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ (Kamakura no Sato) จังหวัดนากาโน่

หากคุณมีแผนไปเที่ยวจังหวัดนากาโน่ในฤดูหนาว คุณไม่ควรพลาดเทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ ที่เมืองอียามะ ทางตอนเหนือของจังหวัดนากาโน่ ซึ่งเปิดในช่วงเวลาจำกัดแค่ 1 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี คุณจะพบกับกระท่อมหิมะคามาคุระทรงกลมประมาณ 20 หลัง ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้นหิมะขาวสะอาด

เทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ (Kamakura no Sato) จังหวัดนากาโน่

ช่วงกลางคืนทุกหลังจะประดับประดาด้วยโคมไฟส่องสว่างที่ให้บรรยากาศสวยงามราวกับเทพนิยาย เหมาะกับครอบครัว เพื่อน และคู่รัก ภายในกระท่อมจะมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้เตรียมไว้สำหรับคนจำนวน 5-6 คน แนะนำว่าไม่ควรพลาดโอกาสลิ้มลองอาหารจานเด็ดของท้องถิ่นอย่างโนะโระชินาเบะ (Noroshi Nabe) อาหารประเภทหม้อไฟที่ปรุงด้วยชินชูมิโซะ (Shinshu Miso) ใส่เห็ด และผัก ที่ปลูกในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีบริการเหล้าหวานอามาซาเกะ (Amazake) และข้าวปั้นที่ทำจากข้าวญี่ปุ่นพันธุ์โคชิฮิคาริของอียามะ ให้นั่งกินภายในกระท่อมหิมะเหล่านี้ด้วย คุณสามารถจองที่นั่งทานอาหารกลางวัน อาหารเย็น อาหารว่างยามบ่าย หรือจองพักค้างคืนได้ที่เว็บไซต์นี้เลยค่ะ

5. เทศกาลประดับไฟนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ

เทศกาลประดับไฟที่อลังการยิ่งใหญ่สุดในญี่ปุ่น จัดขึ้นที่สวนนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) สวนพฤกษศาสตร์บนเกาะเล็กๆ อย่างนากาชิมะ เมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มักมีรูปปรากฎในอินสตาแกรมอยู่บ่อย ๆ

เทศกาลประดับไฟนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ

ที่นี่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณหลากหลายกว่า 40 ชนิด ซึ่งรวมถึงซากุระ ทิวลิป และดอกคอสมอส (ดอกดาวกระจาย) นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมกับความงามของดอกไม้ได้ทุกฤดูกาล และในช่วงฤดูหนาวจะมีการจัดงานประดับไฟเป็นประจำทุกปี แต่ละปีก็จะมีธีมที่แตกต่างกันออกไป และไฮไลท์อยู่ที่การประดับไฟในอุโมงค์ยาว 200 เมตร หรือ The Tunnel of Lights ที่เกือบทุกคนต้องมีภาพมุมนี้กลับไป นอกจากนี้ภายในสวนนาบานะโนะซาโตะยังมีออนเซ็นธรรมชาติและร้านอาหารไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

6. เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) จังหวัดฮอกไกโด

เทศกาลหิมะซัปโปโร เป็นงานเทศกาลหิมะประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น จัดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีที่เมืองซัปโปโร ภายในงานมีการจัดแสดงประติมากรรมที่สร้างจากหิมะและน้ำแข็งมากมาย ราวกับดินแดนแห่งเทพนิยาย ลานจัดงานเทศกาลหิมะซัปโปโรมีทั้งหมด 3 แห่ง ดังนี้

(1) ลานจัดงานโอโดริ (Odori Site)

จัดขึ้นที่สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) ใจกลางเมืองซัปโปโร มีการจัดแสดงประติมากรรมหิมะขนาดใหญ่ กลาง และเล็กตลอดเส้นทางยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 12 โซน ได้แก่ ลานไอซ์สเก็ต ลานประชาชน ลานหิมะ ประติมากรรมหิมะขนาดกลาง ลานนานาชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการประดับไฟตอนกลางคืนอีกด้วย

สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park)
ประติมากรรมหิมะ สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park)

(2) ลานจัดงานซูซูกิโนะ (Susukino Site)

จัดขึ้นที่บริเวณย่านซูซูกิโนะ เป็นส่วนของการจัดการแข่งขันประติมากรรมหิมะ ที่มีทีมผู้เข้าแข่งขันส่งผลงานเข้าประกวดมากมาย และยังมีถนน Illumination Street ที่มีการประดับไฟสวยงามไว้ตลอดเส้นทาง

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ลานจัดงานซูซูกิโนะ (Susukino Site)

(3) ลานจัดงานสึโดเมะ (Tsudomu Site)

จัดขึ้นภายในสึโดเมะ (Sapporo Community Dome) ซึ่งเป็นโดมอเนกประสงค์ของเมืองซัปโปโร ที่นี่เต็มไปด้วยกิจกรรมและเครื่องเล่นต่างๆ อย่างสไลเดอร์หิมะขนาดยักษ์ บ้านตุ๊กตาหิมะ และอื่นๆ อีกมากมาย เหมาะสำหรับเด็กและครอบครัว

 เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ลานจัดงานสึโดเมะ (Tsudomu Site)

งานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโรประจำปี 2024 (Sapporo Snow Festival) ครั้งที่ 74 จัดขึ้นในช่วงวันที่ 4-11 กุมภาพันธ์ 2024 เป็นระยะเวลาทั้งหมด 8 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

7. งานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง (Otaru Snow Light Path Festival) จังหวัดฮอกไกโด

เมืองโอตารุเป็นเมืองท่าเล็กๆ บนชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นในจังหวัดฮอกไกโด มีอาคารและโกดังเก่าแก่ในสไตล์ตะวันตกแบบวิคตอเรียนที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่หลายแห่ง ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนมาท่องเที่ยวยุโรป

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - งานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง (Otaru Snow Light Path Festival) จังหวัดฮอกไกโด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณเลียบคลองโอตารุ (Otaru Canal) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองที่สามารถมาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปียังใช้เป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง โดยจะมีการประดับประดาไปด้วยแสงไฟตามพื้นที่จัดงานซึ่งมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณคลองโอตารุ บริเวณทางรถไฟเก่าซึ่งอยู่ระหว่างสถานีโอตารุและคลองโอตารุ และบริเวณอาซาริกาวะออนเซ็น ซึ่งอยู่นอกเมืองเมืองโอตารุ

8. สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen) จังหวัดอิชิคาวะ

สวนเคนโรคุเอ็นในจังหวัดอิชิคาวะถือเป็นหนึ่งในสามสวนที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น มีความเป็นมาอย่างยาวนานและน่าสนใจ พื้นที่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาเยี่ยมชมตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูหนาวจะมีความพิเศษมากขึ้นไปอีก ทั้งสวนจะแปรเปลี่ยนเป็นเมืองหิมะขาวโพลน และเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้กลายเป็นพื้นที่อันเงียบสงบอย่างแท้จริง

สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen) จังหวัดอิชิคาวะ

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม รุกขกรที่มีทักษะจะขึงเชือกไว้เหนือต้นสนและต้นอาซาเลียหลายร้อยต้น เพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งก้านของต้นไม้หักลงมาในยามที่ต้องรับน้ำหนักของหิมะ วิธีนี้เรียกว่ายุคิซุริ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภูมิภาคนี้ เพราะต้นไม้เหล่านี้มีอายุมาก โดยเฉพาะต้นสน 200 ปี ที่มีชื่อเสียงของสวนเคนโรคุเอ็น พอถึงช่วงที่หิมะตกลงมาบนต้นไม้ทรงกรวย ทางสวนจะมีการประดับประดาไฟที่ต้นไม้ ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์ ยุคิซุริจะมีอยู่จนถึงกลางเดือนมีนาคม เป็นอีกไฮไลท์ที่ควรเก็บภาพสวยๆ ไว้เป็นที่ระลึก และบางครั้งก็มีการจัดมินิคอนเสิร์ตที่โรงน้ำชาอุจิฮาชิเทอิในสวนด้วย

9. กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) จังหวัดยามากาตะ

เมื่อพูดถึงกินซัน ออนเซ็น ในเมืองโอบานาซาวะ จังหวัดยามากาตะ นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติก็น่าจะให้คะแนนที่นี่เป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่สวยที่สุดในประเทศ ที่นี่เป็นหมู่บ้านโบราณในยุคไทโช (ศตวรรษที่ 19) อดีตเคยเป็นแหล่งเหมืองแร่เงินที่รุ่งเรืองมาก จนเมื่อยกเลิกการผลิตเงิน ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นสถานที่เที่ยวและที่พัก ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม มีแม่น้ำไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ภูเขาล้อมรอบ และบ่อออนเซ็น ทำให้ มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่าแสนคน

กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) จังหวัดยามากาตะ

และถึงแม้ว่าเมืองออนเซ็นนี้จะมีขนาดเล็กจนสามารถเดินจากทางเข้าเมืองไปยังท้ายเมืองได้ภายในสิบกว่านาที แต่สถาปัตยกรรมของโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นหรือเรียวกังจากยุคไทโชที่ขนาบข้างไปตามถนนคนเดินและแม่น้ำก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินทางย้อนกลับไปในอดีตและตัดขาดจากโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย กินซันออนเซ็นเป็นสถานที่ที่สวยน่าตะลึงในฤดูหนาวเมื่อมีหิมะโปรยปราย และตกสะสมบนหลังคาบ้านและถนน เป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก

10. น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิ (The Icicles of Misotsuchi) จังหวัดไซตามะ

น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณศาลเจ้ามิตสึมิเนะ (Mitsumine Shrine) เมืองจิจิบุ จังหวัดไซตามะ เกิดจากการเยือกแข็งของสายน้ำจาก แม่น้ำอาระคาวะ (Arakawa) ในช่วงที่มีอากาศหนาวจัดระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์เท่านั้น ทำให้มีลักษณะเป็นน้ำแข็งงอกน้ำแข็งย้อยเรียงตัวกันตรงผาหินเป็นแนวกว้าง 30 เมตร และสูง 10 เมตร มีรูปทรงที่เปลี่ยนไปทุกปีเนื่องจากปัจจัยทางธรรมชาติ

น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิ (The Icicles of Misotsuchi) จังหวัดไซตามะ

ช่วงกลางวันเราจะได้เห็นความงดงามตามธรรมชาติของธารน้ำแข็ง พอถึงระหว่างเวลา 17.00-19.00 น. ก็จะเป็นช่วงเวลาของเทศกาลไฟโอตากิ (Otaki Ice Festival) ที่แต่งแต้มสีสันให้กับผลึกน้ำแข็งได้ส่องสว่าง เป็นสถานที่ เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ที่มีความงดงามอลังการราวกับต้องมนต์เลยทีเดียว

ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ประเทศญี่ปุ่นก็สวยงามน่าเที่ยวอยู่เสมอ แต่สำหรับใครที่ชอบอากาศหนาวเย็นจะต้องไม่พลาดที่เที่ยวบรรยากาศโรแมนติกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวละมุนตา และแสงไฟประดับระยิบระยับตามลิสต์ที่ Allianz Travel แนะนำไว้ข้างต้นนะคะ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่สำคัญที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันการเดินทาง ซึ่งช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : timeout.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

kamikochi ธรรมชาติอันงดงาม แห่งเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น

คามิโคจิ (Kamikochi) ธรรมชาติอันงดงาม แห่งเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น

หนึ่งในสถานที่ฮอตฮิตในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีสำหรับ ทริปเที่ยวญึ่ปุ่น ที่คนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ คงหนีไม่พ้นคามิโคจิ ( 上高地, Kamikochi ) แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังของจังหวัดนากาโน่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติชูบุซังกะคุ (Chubu Sangaku National Park) ชื่อคามิโคจิมีความหมายว่า “ดินแดนที่เทพเจ้าลงมาประทับ” ซึ่งมีความงดงามสมชื่อ เป็นที่ราบสูงทอดตัวยาวไปตามแม่น้ำอาซุสะ ระยะทางยาว 15 กิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยประมาณ  1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงมากมาย ทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยอลังการ และเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามที่สุด เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เปรียบเหมือนสวรรค์ของนักเดินทางสายธรรมชาติ และสายผจญภัยที่ชอบเที่ยวป่าเขา ช่วงไฮซีซั่นที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากคือประมาณกลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม และวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนตุลาคม ถ้าไม่ชอบคนเยอะๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลานี้เลยค่ะ

Autumn in Kamikochi, Japan

ช่วงเวลาที่ควรไปเที่ยวคามิโคจิ

คามิโคจิเปิดให้ท่องเที่ยวเพียงปีละ 7 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น เพราะช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่ทางอุทยานแห่งชาติปิดทำการเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ อีกทั้งสภาพอากาศที่หนาวจัดยังไม่เหมาะแก่การไปเที่ยวในช่วงนั้นอีกด้วย คามิโคจิมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดู ซึ่งเราสามารถเลือกไปตามสไตล์ที่เราชอบได้เลยค่ะ

  • ฤดูใบไม้ผลิ (กลางเดือนเมษายน – ปลายเดือนมิถุนายน) ช่วงแรกที่อุทยานฯ เปิดให้เข้าไปเที่ยวคามิโคจิอาจยังมีหิมะหลงเหลือบ้าง อุณหภูมิประมาณ 1-19 องศา และต้นไม้จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่ม พร้อมกับอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้น ช่วงเดือนมิถุนายนอาจฝนบ้างเป็นบางวัน ช่วงนี้คนยังไม่ค่อยเยอะนัก บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ

  • ฤดูร้อน (เดือนกรกฎาคม – กลางเดือนกันยายน) อากาศเย็นสบายเนื่องจากอยู่ที่สูงและล้อมรอบด้วยป่าเขา อุณหภูมิประมาณ 12 -24 องศา เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินป่ากัน เพราะเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อนของชาวญี่ปุ่น และเป็นฤดูกาลแห่งการปีนเขาอีกด้วย

  • ฤดูใบไม้ร่วง (กลางเดือนกันยายน – กลางเดือนพฤศจิกายน) เป็นอีกหนึ่งช่วงพีคของนักท่องเที่ยวที่มาชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่มีสีสันสดใสสวยงามเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาแนะนำสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีคือช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ อุณหภูมิช่วงต้นฤดูประมาณ 10-14 องศา พอเข้าช่วงเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิจะเย็นลงประมาณ -4 ถึง 9 องศา บางปีอาจมีหิมะตกช่วงปลายเดือนด้วย

5 จุดไฮไลท์ถ่ายรูปสวยห้ามพลาดในคามิโคจิ

1. สะพานคัปปะ (Kappa Bridge)

จุดแลนด์มาร์คสำคัญใจกลางคามิโคจิที่ห้ามพลาด เป็นสะพานแขวนข้ามแม่น้ำอาซุสะ มีฉากหลังเป็นเทือกเขาโอกาตะ ซึ่งเป็นภาพที่อยู่ในโปสการ์ดของคามิโคจิ คุณสามารถเดินจากสถานีขนส่งคามิโคจิเพียง 5 นาที และโดยรอบยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกหลายแห่ง ผู้คนมักจะแวะเวียนมาถ่ายรูปโดยรอบหรือบนสะพาน มานั่งพักผ่อนระหว่างเดินป่า และนั่งชมทิวทัศน์ที่สวยงาม

Kappa Bridge - Kamikochi

2. บึงไทโช (Taisho Pond)

บึงขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากสะพานคัปปะนัก เกิดจากการระเบิดของภูเขายาเกดาเกะตั้งแต่ปีค.ศ. 1915 มีความสวยงามเป็นพิเศษในยามเช้าหลังพระอาทิตย์ขึ้น บางวันคุณจะได้เห็นหมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำ และเงาของภูเขาโฮตาคาดาเกะและภูเขายาเกดาเกะที่สะท้อนบนผิวน้ำตัดกับท้องฟ้าที่สดใส เกิดเป็นภาพความงามที่เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในคามิโคจิ และถ้าคุณไปเที่ยวในฤดูร้อน คุณสามารถเช่าเรื่อพายหรือเรือถีบเพื่อชมบึงอย่างใกล้ชิดได้อีกด้วย

บึงไทโช (Taisho Pond) - Kamikochi

3. บึงทะชิโระ (Tashiro Marshland)

เป็นบึงน้ำขนาดเล็กล้อมรอบด้วยที่ลุ่ม ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินป่าที่เชื่อมระหว่างสะพายคัปปะและบึงไทโช คุณจะเห็นน้ำใสสะท้อนภาพท้องฟ้า ภูเขาสูงตระหง่าน และขอบสระน้ำที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้ตามฤดูกาลในช่วงอากาศอบอุ่น

บึงทะชิโระ (Tashiro Marshland) - Kamikochi

4. บึงเมียวจิน (Myojin Pond)

หรือเมียวจินิเกะ (ค่าเข้า: 300 เยน) คุณจะได้เห็นบึงน้ำกว้าง น้ำนิ่งใส และดูลึกลับ ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ยิ่งถ้ามาช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี บึงน้ำก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดงจากต้นไม้ที่สะท้อนเงาลงมาอย่างงดงาม ใช้เวลาเดินจากบริเวณสะพานคัปปะประมาณหนึ่งชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตศาลเจ้าโฮทากะ โอคุมิยะ (Hotaka Shrine Okumiya) ซึ่งจัดพิธีโอมิซึกะเอชิเป็นประจำทุกปี บึงเมียวจินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อศาสนาชินโตซึ่งถือว่าธรรมชาติเป็นศูนย์กลางในการสักการะ

บึงเมียวจิน (Myojin Pond) - Kamikochi

5. แม่น้ำอาซุสะ (Azusa River)

แม่น้ำสายหลักของคามิโคจิ ที่มีสีฟ้าใสราวกับกระจก มีต้นน้ำมาจากภูเขายาริ ไหล่ผ่านกลางหุบเขาคามิโคจิและไหลไปลงทะเลที่จังหวัดนิกาตะ เส้นทางเดินเลียบแม่น้ำชมธรรมชาติมีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร ระหว่างทางมีทัศนียภาพที่สวยงาม บางช่วงที่น้ำน้อย เราสามารถลงไปเดินเล่นได้เลย

แม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) - Kamikochi

การเดินทางไปคามิโคจิ Kamikochi

คามิโคจิเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่ไปได้ง่ายและสะดวกที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถบัสจากเมืองใหญ่ต่างๆ ซึ่งคุณอาจต้องเช็คให้ดีว่ามีรถบัสวิ่งในวันที่คุณวางแผนเดินทาง และสามารถไปทันเวลาที่ต้องเปลี่ยนเป็นรถบัสอีกคันหรือไม่ ถ้าคุณพลาดรถไฟและรถบัส คุณอาจต้องเสียเงินนั่งแท็กซี่ขึ้นหรือลงจากภูเขา *เที่ยวสุดท้ายของรถไฟและรถบัสที่ไปยังคามิโคจิอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

1. การเดินทางจากโตเกียว ไป Kamikochi

1.1 เดินทางด้วยรถบัสตรงจากโตเกียวไปคามิโคจิ เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนรถระหว่างทาง รถบัสมีออกทั้งรอบเช้าหรือรอบดึก หากอยากไปเที่ยวแบบค้างคืนก็ไปรอบเช้า แต่หากอยากไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับก็เดินทางด้วยรถรอบกลางคืน ซึ่งจะไปถึงคามิโคจิแต่เช้า คุณสามารถเลือกขึ้นได้จากสถานีโตเกียว ชิจูกุ และชิบุย่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง (รถบัสรอบเช้าจะใช้เวลาน้อยกว่า) รถบัสแบบวิ่งตรงจะมีจำนวนรอบรถไม่มากนัก ดังนั้นจึงควรตรวจสอบจากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการก่อนการเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีรถออกในวันที่ต้องการเดินทาง

เดินทางด้วยรถบัสตรงจากโตเกียวไปคามิโคจิ

1.2 เดินทางด้วยตั๋วชุดคามิโคจิยูยู (Kamikochi Yu Yu) เป็นแพคเกจตั๋วชุดรถบัสเที่ยวแบบราคาประหยัด แต่ต้องแลกด้วยการเปลี่ยนรถหลายต่อ (3 ช่วง) ตั๋วมีอายุ 7 วันนับตั้งแต่วันเริ่มต้นใช้ตั๋ว และไม่จำเป็นต้องใช้ติดกันทุกวัน ซึ่งทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการเดินทาง และสามารถแวะเที่ยวเมืองอื่นระหว่างทางได้ โดยตั๋วที่รวมอยู่ในตั๋วชุดคามิโคจิยูยู ซึ่งประกอบด้วย

– ตั๋วรถบัสด่วนพิเศษไป-กลับ สถานีรถบัสชินจูกุ – สถานีรถบัสมัตสึโมโตะ

– ตั๋วรถไฟไป-กลับ สถานีรถบัสมัตสึโมโตะ – สถานีชินชิมะชิมะ

– ตั๋วรถบัสประจำทางไป-กลับ ชินชิมะชิมะ – คามิโคจิ

*ตั๋วชุดคามิโคจิยูยูจะมีช่วงวันที่ไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้น ควรเช็คช่วงเวลาที่ให้บริการจากเว็บไซต์ ให้ดีก่อนซื้อตั๋ว

เดินทางด้วยตั๋วชุดคามิโคจิยูยู (Kamikochi Yu Yu)

1.3 เดินทางด้วย JR Pass เหมาะสำหรับคนที่ซื้อ JR Pass เพื่อใช้เดินทางอยู่แล้ว โดยนำมาใช้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษขบวนอาซุซะ (Azusa) จากสถานีชินจูกุไปลงที่สถานีมัตสึโมโตะได้โดยไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟสายคามิโคจิจากจากสถานีมัตสึโมโตะไปลงสถานีชินชิมาชิมะ (Shinshimashima Station) และต่อด้วยรถบัสประจำทางจากสถานทีรถบัสชินชิมาชิมะ ไปลงที่คามิโคจิ วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดสำหรับคนที่มี JR Pass แต่ถ้าไม่มีก็ไม่แนะนำ เพราะจะเสียค้าเดินทางแพงที่สุด และต้องเปลี่ยนรถหลายต่อ

เดินทางด้วย JR Pass

2. การเดินทางจากเมืองนาโกย่า หรือ ทาคายาม่า ไป Kamikochi

2.1 เดินทางด้วยรถบัสวิ่งตรงที่ออกจากสถานีรถบัสเมเท็ตสึ เมืองนาโกย่า รอบกลางคืน วันละ 1 รอบ และวิ่งเฉพาะเดือนกรกฎาคม – เดือนตุลาคม เท่านั้น เนื่องจากรอบรถมีน้อย จึงเต็มเร็ว โดยเฉพาะเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อนของญี่ปุ่น สามารถซื้อตั๋วได้จากเว็บไซต์ของ Highwaybus

เดินทางด้วยรถบัสวิ่งตรงที่ออกจากสถานีรถบัสเมเท็ตสึ เมืองนาโกย่า

2.2 สำหรับคนที่จองตั๋วรถจากนาโกย่าไม่ทัน หรืออยากไปเที่ยวคามิโคจิในช่วงเวลาอื่น หรืออยากแวะไปเที่ยวทาคายาม่าก่อน สามารถนั่งรถบัสหรือรถไฟไปลงที่ทาคายาม่า แล้วนั่งรถบัสจากสถานีรถบัสทาคายาม่าดนฮิไปลงที่สถานีรถบัสฮิรายุออนเซ็น แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นรถบัสอีกสายที่วิ่งไปคามิโคจิ โดยคุณสามารถซื้อตั๋วรถจากจุดขึ้นรถแต่ละจุดได้เลย และรอบรถมีทุกชั่วดมง ทำให้สะดวกและยืดหยุ่นในการเดินทางเป็นอย่างมาก

นาโกย่า - ทากายาม่าโนฮิ - ฮิรายุ - คามิโคจิ

3. การเดินทางจากเมืองโอซาก้า หรือ เกียวโต ไป Kamikochi

เดินทางด้วยรถบัสด่วนพิเศษรอบกลางคืนจากสถานีโอซาก้า และแวะจอดรับคนที่สถานีชินโอซาก้าและสถานีเกียวโต ก่อนไปจอดส่งที่สถานีรถบัสคามิโกจิ โดยซื้อตั๋วได้จากเว็บไซต์ของ Japan Bus Online

เดินทางด้วยรถบัสด่วนพิเศษรอบกลางคืนจากสถานีโอซาก้า
Japan Alps, Kamikochi, Nagano, Japan

ใครที่ชื่นชอบธรรมชาติ บรรยากาศป่าเขา บึงน้ำใส สัมผัสอากาศเย็นๆ คามิโคจิ (kamikochi) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คุ้มค่ากับการเดินทางไปเที่ยวเป็นอย่างมาก ที่สำคัญก็ต้องวางแผนการเดินทางให้ดี เช็คตารางรถ และสภาพอากาศเพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง และสิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : kamikochi.org, japan-guide.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เมื่อเราได้ข้อมูลการพยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ปี 2023 มาแล้ว (หากใครที่ยังไม่มีข้อมูลสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่บทความ พยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น 2023 ได้ที่นี่เลย!) ก็เตรียมตัววางแผนไป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่ญี่ปุ่นกันได้เลย! ในช่วงเวลานี้คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามสถานที่ต่างๆ ของญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง สัมผัสลมหนาวที่กำลังเริ่มพัดเข้ามาแทนที่อากาศร้อน ได้เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ในญี่ปุ่นกำลังเริ่มเปลี่ยนสีเตรียมผลัดใบ ทิวทัศน์โดยรอบถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดใส สีส้ม และสีเหลืองทองของใบไม้เปลี่ยนสีจนดูราวกับงานศิลปะอันน่าทึ่ง

Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ของคุณโดยประมาณมาให้แล้วค่ะ

คุณสามารถเลือกสถานที่ในการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าตื่นตาตื่นใจได้หลายแห่งในญี่ปุ่นทั้งในเมืองและพื้นที่ธรรมชาตินอกเมือง รวมถึงสวนสาธารณะ สวน วัด ศาลเจ้า และภูเขา นอกจากนี้ สถานที่หลายแห่งจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีและกิจกรรมพิเศษต่างๆ รวมถึงจัดแสงไฟยามค่ำคืนเพื่อให้ชมความงามของใบไม้ที่มีไฟส่องสว่างด้วย

1. ภูมิภาคฮอกไกโด (เมืองซัปโปโร/เมืองฮาโกดาเตะ)

ฮอกไกโดตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของหมู่เกาะญี่ปุ่น และมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ จึงเป็นที่ที่เผยโฉมสีสันแรกของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสีเริ่มต้นที่ภูเขาอาซาฮีในกลุ่มภูเขาไฟไดเซ็ตสึซัง และค่อยๆ ไล่สีลงไปทางใต้ มัทั้งต้นไม้ใบกว้างอย่างเช่น ต้นเมเปิล และต้นสนผสมผสานกัน ทำให้เกิดการผสมผสานเฉดสีแดง เหลือง และเขียวอันสวยงาม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

กลางเมืองซัปโปโร (Supporo City) – ประมาณวันที่ 8 พฤศจิกายน: มหาวิทยาลัยฮอกไกโดและสวนสาธารณะนากาจิมะ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี มหาวิทยาลัยฮอกไกโด (Supporo City)

โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen) – ประมาณวันที่ 17-26 ตุลาคม: เมื่องน้ำพุร้อนที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองซัปโปโรโดยรถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมง โดดเด่นด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามริมแม่น้ำโทโยฮิระอันเงียบสงบ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โซอุนเคียว (Sounkyo) – ประมาณวันที่ 10-20 ตุลาคม: หมู่บ้านออนเซ็นที่อยู่ในอ้อมกอดของภูเขาสูงตระหง่านในเขตอุทยานแห่งชาติได้เซ้ตสึซัง (Daisetsuzan) เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีหน้าผาสูงตระหง่าน น้ำตก และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

โซอุนเคียว (Sounkyo)

โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen) – ประมาณวันที่ 24 ตุลาคม-11 พฤศจิกายน: เมืองแห่งน้ำพุร้อนชื่อดังในฮอกไกโด ล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น เต็มไปด้วยไอน้ำและกลิ่นกำมะถันที่ฟุ้งขึ้นจากใต้ดิน และเป็นแหล่งออนเซ็นชั้นดี

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen)

2. ภูมิภาคโทโฮคุ (เมืองเซนได/เมืองอาโอโมริ)

โทโฮคุ (Tohoku) หมายถึงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของ 6 จังหวัดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องธรรมชาติแสนสวยจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อย่างเช่น เทือกเขาชิราคามิซันจิ (Shirakami-Sanchi) ในจังหวัดอาโอโมริ และเมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) ในจังหวัดอิวาเตะ ช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคโทโฮคุอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงกลางตุลาคม – ปลายเดือนพฤศจิกายน เร็วกว่าโตเกียวราวครึ่งเดือน

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge) – ประมาณวันที่ 29 ตุลาคม-6 พฤศจิกายน: บริเวณหุบเขาโออิราเสะร่มรื่นไปด้วยเสียงน้ำตกและอากาศสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะกับการเดินเล่นไปตามทางเดินเลียบหุบเขาเพื่อชื่นชมกับความงามของใบไม้เปลี่ยนสีตลอดความยาว 14 กิโลเมตรของลำธารโออิราเสะ ที่ไหลลงไปสู่ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) – ประมาณวันที่ 30 ตุลาคม-12 พฤศจิกายน: หนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ บริเวณหุบเขาแห่งนี้จะงดงามไปด้วยสีแดง สีทอง และสีส้มสดใสของใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge)

เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain) – ประมาณวันที่ 15 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: เทือกเขาซาโอะเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ระหว่างจังหวัดยามากาตะและจังหวัดมิยางิ มีใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงาม คุณสามารถนั่งกระเช้าชมวิวจากมุมสูงของเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แดงได้อย่างเต็มตา

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) – ประมาณวันที่ 9-18 พฤศจิกายน: เมืองเล็กๆ ในจังหวัดอาคิตะ มีชื่อเสียงเรื่องย่านที่อยู่อาศัยของซามูไรสมัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและถนนที่งดงามซึ่งเรียงรายไปด้วยต้นซากุระเก่าแก่ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง บริเวณนี้จะมีชีวิตชีวาด้วยสีสันที่สดใส ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าหลงใหล

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)

หุบเขาเกบิเค (Geibikei Gorge) – ประมาณวันที่ 4-13 พฤศจิกายน: หุบเขาเกบิเคตั้งอยู่ในจังหวัดอิวาเตะ มีแม่น้ำอันเงียบสงบขนาบข้างด้วยหน้าผาสูงชันและป่าไม้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใสในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

3. ภูมิภาคคันโต (เมืองโตเกียว/โยโกฮาม่า)

พื้นที่โตเกียวและปริมณฑลมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงย่านนิกโกอันโด่งดังและถนนแปะก๊วยสีทองในเมจิจิงกุไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) นอกจากนี้ บรรยากาศอันเงียบสงบของสวนสาธารณะต่างๆ ในภูมิภาค ยังช่วยให้คุณดื่มด่ำไปกับสีสันอันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง โดยช่วงเวลาในการชมจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม: ถือเป็นภูเขาที่คนนิยมเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เนื่องจากเดินทางสะดวกและมีหลายเส้นทางเดินป่าที่ประดับประดาด้วยใบไม้หลากสีสันช่วยให้หลีกหนีความวุ่นวายจากในเมือง และหากเป็นช่วงที่ฟ้าโปร่ง สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

นิกโก (Nikko) – ประมาณวันที่ 6-19 พฤศจิกายน: นิกโก้มีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามของวัดและศาลเจ้าต่าง ๆ จนองค์การยูเนสโก้ถูกประกาศให้เป็นเขตมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1999 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นิกโกจะกลายเป็นจุดชมวิวที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และมีภูเขาที่ทอดยาว มีสถานที่มากมายที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับฤดูใบไม้ร่วงในนิกโกได้ เช่น ภูเขา ทะเลสาบ และน้ำตก เป็นต้น

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี นิกโก (Nikko)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาแต่สมัยโบราณ มีธรรมชาติอันงดงาม ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (กิงโกะ) ที่เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร จะเปลี่ยนเป็นสวรรค์สีทองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาด

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

ฮาโกเน่ (Hakone) – ประมาณวันที่ 13-28 พฤศจิกายน: ฮาโกเนะเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ และคุณจะสามารถมองเห็นภูเขาฟูจิได้จากฮาโกเนะในวันที่มีอากาศสดใส สถานที่ติดอันดับสำหรับการชมใบไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงในฮาโกเนะคือสวนสาธารณะโกระ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮาโกเนะ ทะเลสาบอะชิโนะโกะ วัดโชอันจิ และรถไฟสายฮาโกเนะโทซัง

ฮาโกเน่ (Hakone)

คามิโคจิ (Kamikochi) ประมาณวันที่ 21 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: คามิโคจิตั้งอยู่ในเมืองนากาโนะ บริเวณเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น ถือเป็นอัญมณีบริสุทธิ์ที่ได้รับการยกย่องจากความงามที่ยังบริสุทธิ์และสีสันใบไม้ร่วงอันงดงาม บริเวณนี้มีแม่น้ำที่ใสราวกับคริสตัล ยอดเขาสูงตระหง่าน และใบไม้สีแดง สีส้ม และสีทองอันอุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี คามิโคจิ (Kamikochi)

4. ภูมิภาคโฮคุริคุ (เมืองคานาซาว่า/เมืองฟุคุอิ)

ภูมิภาคโฮคุริกุครอบคลุมพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของเกาะฮอนชู มีชื่อเสียงในด้านเทือกเขาที่กว้างใหญ่และมีหิมะตกหนักในช่วงฤดูหนาว ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในโฮคุริคุ แต่สถานที่บางแห่งอาจมีใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คสภาพอากาศและพยากรณ์เป็นระยะก่อนการเดินทาง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม: เป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นมากของเมืองคานาซาวะ ที่สายธรรมชาติห้ามพลาดกันเลย เพราะที่นี่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของสวนที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของสวนที่งดงามตระการตามาก และถ้าไปช่วงเทศกาลที่มีการประดับไฟตอนกลางคืน จะทำให้บรรยากาศที่น่าหลงใหลและมหัศจรรย์

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en)

หุบเขาคุซูริว (Kuzuryu Gorge) – ประมาณวันที่ 4-15 พฤศจิกายน: หุบเขาคุซูริวอยู่ในจังหวัดโทยามะ คุณจะได้เห็นสีสันของฤดูใบไม้ร่วงตามเส้นทางเดินป่าเลียบไปตามแม่น้ำคุซูริวที่ใสสะอาดไหลอยู่เบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam) – ประมาณวันที่ 4-17 ตุลาคม: พื้นที่เขื่อนคุโรเบะล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่าน มองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของใบไม้หลากสีสันที่สะท้อนบนผืนน้ำอันเงียบสงบเบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)

5. ภูมิภาคชูบุ (ภูเขาไฟฟูจิ/เมืองกิฟุ/เมืองนาโกย่า)

ภูมิภาคชูบุเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น มีจุดที่งดงามมากมายพร้อมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม พื้นที่ทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ รวมถึงทะเลสาบคาวากุจิ มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านใบไม้ที่สวยงามตระการตา

ทะเลสาบคาวากุจิในเดือนพฤศจิกายนจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีทางตอนเหนือ สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปชมคือทางเดินโมมิจิ ซึ่งคุณสามารถเก็บภาพทิวทัศน์อันน่าทึ่งของภูเขาไฟฟูจิและใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชีวิตชีวาได้ในเฟรมเดียว เป็นภาพสัญลักษณ์ที่มักปรากฏบนโปสการ์ดและเว็บไซต์ท่องเที่ยว ทำให้ที่นี่เป็นไฮไลท์ของการมาเยือนภูมิภาคนี้

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi) – ประมาณวันที่ 15-24 พฤศจิกายน: หนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยผืนน้ำอันเงียบสงบและทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาไฟฟูจิ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงาม

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi)

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม): ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิซุ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขียวขจี สวนสาธารณะในฤดูใบไม้ร่วงจะประดับประดาไปด้วยใบไม้หลากสีสัน มอบบรรยากาศอันเงียบสงบสำหรับผู้รักธรรมชาติ

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) (ดีที่สุดตั้งแต่วันที่ 2-15 พฤศจิกายน): ในจังหวัดกิฟุ เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่มีชื่อเสียงจากบ้านหลังคามุงจากแบบดั้งเดิมที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา แวดล้อมด้วยธรรมชาติชาติที่เป็นฉากหลังอันน่าทึ่งสำหรับสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

สวนโยโระ (Yoro Park) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-8 ธันวาคม: ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ มีเป็นพื้นที่ธรรมชาติสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีและงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะเห็นความสวยงามสีสันท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ นอกจากนี้ ยังมีทั้งน้ำตก ศาลเจ้า หมู่บ้าน และอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีให้คุณได้ชื่นชมอีกด้วย

6. ภูมิภาคคันไซ (เมืองเกียวโต/เมืองโอซาก้า)

ภูมิภาคคันไซเป็นที่ตั้งของเมืองประวัติศาสตร์สำคัญๆ เช่น เกียวโตและโอซาก้า มีสถานที่ท่องเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีมากมายในฤดูใบไม้ร่วง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

เมืองเกียวโต (Kyoto) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: เกียวโตมีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามของทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอันน่าทึ่ง ที่คุณจะได้เห็นการผสมผสานของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมกับสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง จุดไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ อาราชิยามะ วัดคิโยมิสึเดระ และวัดเอนโคจิ ท่ามกลางสถานที่สวยงามอื่นๆ อีกมากมาย

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองเกียวโต (Kyoto)

เมืองโอซาก้า (Osaka) – ประมาณวันที่ 16 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีห้ามพลาด ได้แก่ ปราสาทโอซาก้า น้ำตกมิโนะ และถนนมิโดสุจิ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองโอซาก้า (Osaka)

เมืองนารา (Nara) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: สำรวจความงามของสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงได้ตามศาลเจ้าและวัดเก่าแก่ สวนนารา หรือเดินเขาชมทิวทัศน์ที่ภูเขาโยชิโนะ

เมืองชิงะ (Shiga) – ประมาณวันที่ 24 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม: สถานที่ห้ามพลาดคือปราสาทฮิโกเนะที่สวยงามเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วง ถนนต้นสน Metasequoia Namiki ในเมืองทาคาชิมะ ที่มีชื่อเสียงจากละครโทรทัศน์ยอดนิยม และมีต้นสนเมตาเซโคเอียประมาณ 500 ต้นตลอดถนนระยะทาง 2.4 กม. สีสันอันน่าทึ่งของฤดูใบไม้ร่วงทำให้ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน “100 เส้นทางชมวิวแห่งใหม่” ของญี่ปุ่น

7. ภูมิภาคชูโกกุ (เมืองฮิโรชิม่า/เมืองโอคายามะ)

ภูมิภาคชูโกกุตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 5 จังหวัด รวมถึงฮิโรชิม่าและโอคายามะ

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima) – ประมาณวันที่ 16-29 พฤศจิกายน: เกาะมิยาจิมะ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าเกาะอิทสึคุชิมะ สถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือประตูโทริอิสีแดงอันใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลและศาลเจ้ามรดกโลกอิทสึคุชิมะ อาคารเก่าแก่บนเกาะแห่งนี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นเมื่อประดับด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วโลก

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima)

สวนโอคายามะ โคระคุเอ็น (Okayama Korakuen) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน-6 ธันวาคม: เป็นหนึ่งในสามของสวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งได้สามดาวจากมิชลินกรีนไกด์ เป็นสวนที่ได้รับการวางผังเป็นอย่างดีจัดแสดงภูมิทัศน์อันงดงามและสถาปัตยกรรมที่กลมกลืนกัน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สีสันของใบไม้จะเพิ่มสัมผัสแห่งความงามอันสดใสให้กับบรรยากาศอันเงียบสงบ และช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความงามของสวนที่มีการจัดแต่งไฟที่ให้ภาพที่งดงามแตกต่างจากตอนกลางวัน

หุบเขาโอคุตสึ (Okutsu Valley) – ประมาณวันที่ 8-21 พฤศจิกายน: หุบเขาโอคุตสึเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดโอคายาม่า คุณจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของใบไม้สีแดงเข้ม ส้มอบอุ่น และสีเหลืองสดใสตามเส้นทางที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ราวกับผืนผ้าใบอันน่าหลงใหลที่มีในฤดูใบไม้ร่วง

8. ภูมิภาคชิโกะคุ (เมืองคากาวะ/เมืองโทคุชิมะ)

ภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) คือ 1 ใน 4 เกาะหลักของญี่ปุ่น โอบล้อมด้วยทะเลเซโตะ (Seto Inland Sea) และมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime), จังหวัดคางาวะ (Kagawa), จังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) และจังหวัดโคชิ (Kochi) บนเกาะนี้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อากาศค่อนข้างอบอุ่น มีเส้นทางปั่นจักรยาน มีเส้นทางจาริกแสวงบุญที่ยาวนานถึง 1,200 ปีไปยังวัด 88 แห่ง ทั้งนี้พื้นที่บริเวณโดยรอบยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีมนต์เสน่ห์น่าค้นหา

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

สวนริทสึริน (Ritsurin Garden) – ประมาณวันที่ 22 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม: สวนริทสึรินตั้งอยู่ในเมืองทะคะมัทสึ  และถือเป็นสวนที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้มีบ่อน้ำ 6 บ่อ และเนินเขาที่มีภูมิทัศน์สวยงาม 13 ลูก โดยมีภูเขาชิอินเป็นฉากหลัง สวนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ทิวทัศน์รอบตัวคุณเปลี่ยนแปลงไปในทุกย่างก้าว

หุบเขาคันคาเค (Kankakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม: ตั้งอยู่กลางเกาะโชโดะในจังหวัดคางาวะ เป็นหนึ่งในสามหุบเขาที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับรางวัล 1 ดาวจากมิชลินกรีนไกด์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาแห่งนี้จะมีสีสันสวยงามไปทั้งหุบเขา ควรขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเพื่อชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของหุบเขา

ช่องเขานาเมโทโกะ (Nametoko Gorge) – ประมาณวันที่ 19-30 พฤศจิกายน): เพลิดเพลินกับธรรมชาติใน หุบเขาที่ทอดตัวไปตามริมแม่น้ำเมกุโระ มีลำธารใสสะอาดไหลผ่านตามโขดหินท่ามกลางป่ามอสที่สวยงาม และน้ำตกยูกิวะไหลลงมาตามผาหินขนาดยักษ์ ช่องเขานาเมโทโกะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบเดินป่าและจุดชมวิวที่มีเสน่ห์อย่างมากโดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขาอิยะ (Iya Valley) คือหนึ่งในสามสถานที่ unseen หรือสถานที่เร้นลับที่ยังไม่ค่อยมีผู้มาเยือนของญี่ปุ่น มีแม่น้ำโยชิโนะ (Yoshino River) ไหลผ่านกลาง นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับภูเขาสีสันสวยงามด้วยใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาอิยะ (Iya Valley)

9. ภูมิภาคคิวชู (เมืองฟุกุโอกะ/เมืองคาโกชิม่า)

ภูมิภาคคิวชู (Kyushu) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ประกอบด้วย 7 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka) จังหวัดซะกะ (Saga) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto) จังหวัดโออิตะ (Oita) จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima) ภูมิภาคนี้มีอากาศที่อบอุ่นและมีภูมิประเทศสูงต่ำสลับกัน มีทะเลและภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีจุดเด่นที่แหล่งประวัติศาสตร์เมืองโบราณทางตอนใต้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่มีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงอาหารพื้นเมืองน่าลิ้มลองอีกหลายชนิด

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

หุบเขายาบาเคอิ (Yabakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14-26 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ในเมืองนาคัตสึ จังหวัดโออิตะ เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันมีสีสันของภูมิภาค เราขอแนะนำคุณมาเยี่ยมชมก่อนพระอาทิตย์ตกดินเพื่อชมการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์จากแสงสว่างไปสู่ความมืด และบางส่วนของพื้นที่จะมีการประดับไฟในตอนกลางคืน

หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) – ประมาณวันที่ 22-30 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยะซะกิ มีหน้าผาสูงชันทอดตัวเป็นแนวยาวถึง 7 กิโลเมตร และเต็มไปด้วยสถานที่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามลึกลับ มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีกระจายอยู่ทั่ว กิจกรรมที่แนะนำเมื่อมาเยือนที่นี่ คือการพายเรือผ่านน้ำตกมะนะอิโนทาคิ (Manainotaki Waterfall) ที่มีความสูงถึง 17 เมตร ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของหุบเขาแห่งนี้ แล้วชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด ภาพของหุบเขา น้ำตก และใบไม้สีเหลืองและแดงรวมกันกลายเป็นความงดงามทางธรรมชาติราวกับภาพวาดที่หาชมได้ยาก

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge)

สวนพฤกษศาสตร์ชิราโนเอะ (Shiranoe Botanical Garden) มีพื้นที่กว้างขวางให้ได้เดินชมความงามของธรรมชาติทั้ง 4 ฤดู สามารถมาชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือน จุดชมใบไม้แดงเด่นๆ ได้แก่ Iriguchi hiroba ตรงทางเข้า, Komorebi no ro ที่มีต้นเมเปิลกว่า 800 ต้น และ Rakuyo no mori ที่มีต้นเมเปิลอิโรฮะโมมิจิขนาดใหญ่ที่ถูกปลูกเมื่อ 50 ปีก่อน

วางแผน เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องจากช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงควรเริ่มวางแผนทริปล่วงหน้าทันทีที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน เราสามารถกะเวลาโดยประมาณจากพยากรณ์ข้างต้น เพื่อจัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก เขียนกำหนดการอย่างคร่าวๆ เตรียมเอกสารที่จำเป็น และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com, matcha-jp.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023

พยากรณ์ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023

พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023 ของ Japan Meteorological Corporation ฉบับแรกของปีออกมาแล้ว (4 กันยายน 2023) หากคุณวางแผนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีปีนี้ เตรียมจองตั๋วเครื่องบินไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นกันได้เลย!

Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดช่วงเวลาที่คุณสามารถวางแผนทริปของคุณโดยประมาณมาให้แล้วค่ะ

*หมายเหตุ*

ข้อมูลพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นปี 2023 อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นควรตรวจสอบช่วงเวลาที่เดินทางกับเว็บไซต์ เป็นระยะเพื่อความถูกต้อง

ช่วงเวลาของการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน Japan Meteorological Corporation ได้ทำการพยากรณ์ช่วงเวลาโดยประมาณในการเริ่มชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นตามเมืองและภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคมจากเหนือจรดใต้ แต่ละสถานที่จะมีช่วงเวลาที่ใบไม้มีสีสันสดใสประมาณ 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม ใบไม้เปลี่ยนสี มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่จะได้สัมผัสกับสีสันความสวยงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023 สีเหลือง

ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะมี 2 ช่วง ได้แก่ ใบไม้สีเหลือง (ต้นแปะก๊วย) ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตามมาด้วยใบไม้สีแดง (เมเปิ้ลญี่ปุ่น) ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สีของยอดเขาจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากระดับความสูงและสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ บางครั้งใบไม้เปลี่ยนสีอาจเกิดช้าไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคมเลยก็ได้

ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023 สีแดง

ภาคเหนือ

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้แดง:

บริเวณภูเขาจะเป็นช่วงระหว่างต้นถึงกลางเดือนพฤศจิกายน และที่ราบตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้สีเหลือง:

บริเวณที่ราบคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่ต้นถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

ภาคตะวันออก

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสี:

บริเวณภูเขาระหว่างปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม และที่ราบตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้สีเหลือง:

บริเวณที่ราบคาดการณ์ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

ภาคตะวันตก

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสี:

บริเวณภูเขาคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม ส่วนบริเวณที่ราบจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้สีเหลือง:

บริเวณที่ราบคาดการณ์ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

แผนที่พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023

แผนที่พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”

แผนที่พยากรณ์ วันใบไม้เปลี่ยนสี สีแดง

แผนที่พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”

แผนที่พยากรณ์ วันใบไม้เปลี่ยนสี สีเหลือง

ตาราง พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ปี 2023

สถานที่ พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง” พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”
ซัปโปโร 8 November 2023 6 November 2023
อาโอโมริ 14 November 2023 6 November 2023
เซนได 27 November 2023 29 November 2023
โตเกียว 30 November 2023 25 November 2023
คานาซาว่า 30 November 2023 10 November 2023
นากาโน่ 22 November 2023 14 November 2023
นาโงย่า 2 December 2023 18 November 2023
เกียวโต 11 December 2023 27 November 2023
โอซาก้า 3 December 2023 24 November 2023
วากายามะ 12 December 2023 26 November 2023
ฮิโรชิม่า 28 November 2023 20 November 2023
โคชิ 9 December 2023 15 November 2023
ฟุกุโอกะ 9 December 2023 27 November 2023
คาโกชิมะ 13 December 2023 28 November 2023

อ้างอิงข้อมูลจาก Japan Meteorological Corporation

วางแผนเที่ยวญี่ปุ่นช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องจากช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงควรเริ่มวางแผนทริปล่วงหน้าทันทีที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน เราสามารถคาดการณ์เวลาโดยประมาณจากการพยากรณ์ข้างต้น เพื่อจัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก เขียนกำหนดการอย่างคร่าวๆ เตรียมเอกสารที่จำเป็น และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

9 ที่เที่ยวตุรกี ดินแดนสองทวีป แหล่งอารยธรรมและมรดกโลก

9 ที่เที่ยวตุรกี ดินแดนสองทวีป แหล่งอารยธรรมและมรดกโลก

สาธารณรัฐตุรกี (Republic of Turkey) ได้ขอเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น Republic of Türkiye ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 โดยสำนักงานราชบัณฑิตยสภามีมติให้เขียนเป็นภาษาไทยว่า ‘สาธารณรัฐทูร์เคีย’ แต่ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ชื่อใดชื่อหนึ่งก็ได้ตามที่เห็นสมควร เนื่องจากชื่อแบบเดิมเป็นชื่อที่สาธารณชนไทยคุ้นเคย สาธารณรัฐทูร์เคียมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีพื้นที่เชื่อมต่อทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย จนได้ฉายาว่า “ดินแดนสองทวีป” ที่เที่ยวตุรกี มีความงดงามทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมและอารยธรรม หากเราไปเที่ยวที่นี่ก็จะได้เที่ยว 2 ทวีปกันไปเลย นอกจากนี้ตุรกียังเป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า และเที่ยวได้ถึง 30 วัน

Allianz Travel จะพาคุณไปเที่ยวตุรกี ที่เต็มไปด้วยสถานที่ที่งดงาม ทั้งทางประวัติศาสต์ สถาปัตยกรรมและโบราณสถานที่สะท้อนถึงอารยธรรมโบราณกว่าพันปี และธรรมชาติที่น่าสนใจ เราคัดมาแต่ที่เด็ดๆ ให้คุณได้ปักหมุด เช็คอิน และถ่ายรูปสวยไปลงรูปรัวๆ ในโซเชียลมีเดียได้ตลอดทั้งทริปเลยค่ะ

1. มัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque) เมืองอิสตันบูล

มัสยิดสีน้ำเงิน หรือมัสยิดสุลต่านอาเหม็ด (Sultan Ahmed Mosque) เป็นมัสยิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกี สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1609-1616 ในรัชสมัยของสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 (Sultan Ahmed I) โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ประกอบด้วยหอคอยสูง 6 ต้นและโดมซึ่งมีระเบียงล้อมรอบตรงกลางมัสยิด เป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่สวยงาม ส่วนภายในมัสยิด ตกแต่งด้วยกระเบื้องและกระจกโทนสีน้ำเงินและฟ้าสลับกับสีสันต่างๆ จนเกิดเป็นลวดลายดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกทิวลิป ดอกคาร์เนชั่น ดอกกุหลาบ ทำให้เกิดการโปร่งแสง วิจิตรงดงามจนหาที่ติไม่ได้เลยค่ะ

เที่ยวตุรกี มัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque) เมืองอิสตันบูล

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • มัสยิดสีน้ำเงินเปิดระหว่างเวลา 08:30-18:45 น. อย่างไรก็ตามจะมีการปิดไม่ให้เข้าในช่วงเวลาละหมาดระหว่างวันทั้งหมด 5 รอบด้วยกัน โดยแต่ละรอบจะใช้เวลา 90 นาที และจะปิด 2 ชั่วโมงในช่วงเที่ยงของวันศุกร์ ควรปิดแฟลชเมื่อคุณถ่ายภาพภายในมัสยิด และหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพผู้คนที่กำลังสวดมนต์อยู่
  • ผู้เข้าชมทั้งชายและหญิงไม่ได้รับอนุญาตให้สวมกางเกงขาสั้นหรือสวมเสื้อผ้าที่เปิดเผยให้เห็นผิวหนังมากเกินไป โดยผู้หญิงจะต้องใส่ผ้าคลุมศีรษะ ซึ่งหากไม่ได้เตรียมไปก็สามารถใช้ผ้าที่ทางมิสยิดจัดไว้ให้ก่อนจะเข้าไปด้านใน และต้องถอดรองเท้าฝากใส่ถุงไว้ ภายในก็จะมีป้ายบอกว่าให้รักษาความเงียบและงดเว้นจากการส่งเสียงดัง ผู้เข้าชมจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น และห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
  • ช่วงพิธีรอมฎอน จะมีการสวดอย่างต่อเนื่องตลอด 1 เดือนเต็ม แนะนำให้หลีกเลี่ยงการไปท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว

วิธีเดินทาง

มัสยิดสีน้ำเงิน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าอิสตันบูล (Old Istanbul) และอยู่ใกล้กับ ที่เที่ยวตุรกี ที่เป็นสถานที่ยอดนิยมอื่นๆ อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์พระราชวังโทพคาปึ และฮาเกียโซเฟีย วิธีที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดในการเดินทางคือนั่งรถรางสาย Bağcılar-Kabataş Tram T1 ลงที่สถานี Sultanahmet/ Blue Mosque

2. พิพิธภัณฑ์พระราชวังโทพคาปิ (Topkapi Palace) เมืองอิสตันบูล

พระราชวังริมน้ำเก่าแก่ซึ่งใช้เป็นที่พำนักขององค์สุลต่านในจักรวรรดิออตโตมันยาวนานกว่า 4 ศตวรรษ สร้างขึ้นตามความประสงค์ของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 หลังจากตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลแตกพ่าย ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของจักรวรรดิ โดยเฉพาะถ้วยโถโอชามและเพชรนิลจินดาทั้งหลาย นอกจากนี้ความโดดเด่นขงพระราชวังโทพคาปิยังอยู่ที่สถาปัตยกรรมที่เป็นกลุ่มอาคารหลังเล็กอยู่รวมกันคล้ายกระโจมของชาวเติร์กในอดีต ภายในตกแต่งเรียบง่ายด้วยกระเบื้องลวดลายธรรมชาติและเรขาคณิต โดยเฉพาะลายเถาไม้และดอกทิวลิป สัญลักษณ์ของประเทศตุรกี

เที่ยวตุรกี พิพิธภัณฑ์พระราชวังโทพคาปึ (Topkapi Palace) เมืองอิสตันบูล

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์พระราชวังโทพคาปิเปิดทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร เวลา 9.00-18.00 น. ห้องขายตั๋วปิดก่อนเวลา 30 นาที และควรไปเยี่ยมชมแต่เช้าพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชน นอกจากนี้จะปิดทำการในช่วงเช้าของวันแรกของวันหยุดอิสลามที่ใหญ่ที่สุด 2 วัน ได้แก่ Ramazan Bayramı (เทศกาลรอมฎอน) และ Kurban Bayramı (เทศกาลบูชายัญ)

3. ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) หรืออายาโซฟยา (Ayasofya) เมืองอิสตันบูล

โบราณสถานสำคัญที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมันและจักรวรรดิไบแซนไทน์แล้ว ยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง และเป็นโบสถ์ทรงโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาเป็นเวลาเกือบพันปีเลยค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น ศาสนสถานสุดยิ่งใหญ่แห่งนี้กลับต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อ ศิลปะวัฒนธรรม และสถานะอยู่หลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่เป็นโบสถ์ จากนั้นเป็นมัสยิด และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายนอกของโบสถ์อาจดูธรรมดา แต่ภายในตกแต่งด้วยหินอ่อนที่คัดมาอย่างดี ปูพื้นและฉาบทั่วผนัง สลับกับหินแกรนิตสีเขียวลายดำที่ขัดจนเป็นมัน ภายในโถงกลาง โดมแห่งสรวงสวรรค์ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ปิดผิวพื้นด้วยโมเสกทองคำเคลือบแก้วต้องแสงระยิบระยับ ที่มุมทั้งสี่ของโดมรองรับด้วยแกนอิฐขนาดใหญ่ ประดับด้วยภาพเทวดาเซราฟิมที่มุมทั้งสี่ของโดม เพื่อป้องกันรัศมีที่แผ่ออกจากพระกายของพระเจ้าผู้ประทับอยู่กึ่งกลางโดม และเนื่องจากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และผ่านมือของวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งภายนอกและภายในสุเหร่าโซเฟียจึงเป็นส่วนผสมที่น่าทึ่งของสถาปัตยกรรมและศิลปะอิสลาม คาทอลิก เพแกนนิสต์ และออร์โธดอกซ์ นี่คือสิ่งที่ทำให้สุเหร่าโซเฟียมีความพิเศษ แตกต่างจากมัสยิดและโบสถ์อื่นๆ ทั้งหมดที่สามารถพบได้ในอิสตันบูล

เที่ยวตุรกี ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) หรืออายาโซฟยา (Ayasofya) เมืองอิสตันบูล

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • ส่วนกลางของโบสถ์เป็นโดมครึ่งทรงกลมขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลาง 32.5 เมตรในแกนเหนือ-ใต้ และกว้าง 31 เมตรในแกนตะวันออก-ตะวันตก อยู่สูงจากพื้นขึ้นไปประมาณ 56 เมตร เทียบได้กับตึกยุคใหม่สูง 20 ชั้นเลยทีเดียว
  • หากเห็นเสาในห้องโถงที่มีนักท่องที่ยวต่อคิวเพื่อขอพร เสานี้เรียกว่า เสาขอพร (Wishing Column) หรือ เสาร่ำไห้ (Weeping Column) ที่เชื่อกันว่า มีพลังทางด้านการเยียวยารักษาที่มากับตำนานที่ให้เอานิ้วโป้งสอดเข้าไปในรูที่อยู่บนเสา แล้วหมุนข้อมือให้ครบรอบ ก็จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริง (เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

4. ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar) เมืองอิสตันบูล

ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Kapalıçarşı ในภาษาตุรกี) เป็นหนึ่งในแหล่งช้อปปิ้งและตลาดในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ 30,700 ตารางเมตร มีร้านค้าประมาณ 4,000 ร้าน รวมถึงมัสยิด ไปรษณีย์ ร้านอาหาร ธนาคาร และสถานีตำรวจของตลาด ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองเล็กใจกลางเมือง ตลาดแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1461 และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในตลอดหลายศตวรรษแห่งการปกครองของออตโตมัน การเยี่ยมชมที่นี่ไม่ใช่แค่การซื้อของที่ระลึกเท่านั้น ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมในอิสตันบูลเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของชาวออตโตมัน

เที่ยวตุรกี ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar) เมืองอิสตันบูล

เคล็ดลับการช้อปปิ้งในตลาดแกรนด์บาซาร์

  • คุยและต่อรองราคากับคนขาย โดยเฉพาะสินค้าทำมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น พรม งานฝีมือ งานศิลปะ ของเก่า และสินค้าอื่นๆ ที่ไม่มีราคามาตรฐาน
  • ไม่ควรเร่งรีบ เพราะตลาดแกรนด์บาซาร์มีขนาดใหญ่และกว้างขวางและเต็มไปด้วยร้านค้าทางวัฒนธรรมที่หลากหลายไม่เหมือนที่อื่นในโลก อย่าซื้อจากผู้ขายรายแรกที่เจอ ควรใชเวลาเดินสำรวจสิ่งต่างๆ และค้นหาราคาที่ดีที่สุด
  • วางแผนไว้ก่อนว่าคุณอยากซื้ออะไร จะช่วยจำกัดสถานที่ที่คุณต้องการไปให้แคบลง ดูแผนที่ของตลาดล่วงหน้าเพื่อตัดสินใจเลือกทางเข้าและถนนที่จะเข้าไป
  • เลี่ยงการไปช่วงกลางวัน เพราะจะมีคนเยอะมาก ใช้เวลาช่วงเช้าหรือบ่ายจะดีที่สุด
  • อย่ากลัวที่จะเดินจากไป
  • หากคุณไม่สนใจสินค้าที่มีคนมาเสนอขาย หรือไม่ได้ราคาตามที่คุณต้องการ ให้รีบเดินออกไป
  • ถ้าคุณชอบสินค้านั้นจริงๆ และได้ข้อเสนอดีๆ ให้ซื้อไว้เลย คุณจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง

5. หุบเขาสีแดง (Red Valley) เมืองคัปปาโดเกีย

เที่ยวตุรกี หุบเขาสีแดง (Red Valley) เมืองคัปปาโดเกีย
หุบเขาสีแดง (Red Valley) เมืองคัปปาโดเกีย

หุบเขาสีแดงตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเกอเรเม่ทางตอนกลางของตุรกี หนึ่งใน ที่เที่ยวตุรกี ที่มีชื่อเสียงในเรื่องหินสีแดง ปล่องไฟนางฟ้า สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟโบราณ และบอลลูนลมร้อน สารที่ทำให้บริเวณนี้มีสีแดงคือแร่เหล็กที่อยู่ในหินเถ้าภูเขาไฟ โดยพื้นที่หุบเขานี้จะเป็นสีชมพูในตอนกลางวัน และเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อพระอาทิตย์ตก คุณควรเริ่มเดินป่าจากหมู่บ้าน Cavusin อย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อให้ทันภาพหุบเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มยามพระอาทิตย์ตกดิน หุบเขาสีแดงยังอยู่บนเส้นทางยอดนิยมของการนั่งบอลลูนลมร้อนในคัปปาโดเกีย การขับรถเอทีวี ทัวร์ซาฟารีแบบออฟโรดบนรถที่ขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ

6. พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Göreme Open-Air Museum) เมืองคัปปาโดเกีย

สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรพลาดในภูมิภาคคัปปาโดเกียกีคือพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ในหุบเขาเกอเรเม่ ใช้เวลาเดินเพียง 20 นาที (1.5 กม.) จากเมืองเกอเรเม่ ที่นี่เป็นโบสถ์น้อยใหญ่ที่เกิดจากการขุดเจาะกลุ่มหินปล่องไฟนางฟ้าจนกลายเป็นโพรงถ้ำต่างๆ สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 3 จนถึงศตวรรษที่ 12 ทำให้มีโบสถ์ถ้ำน้อยใหญ่เกิดขึ้นมากมาย ภายในโบสถ์มีภาพเขียนเฟรสโกที่บอกเล่าเรื่องราวของพระเยซู และอัครสาวก รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังส่วนใหญ่ในโบสถ์ได้รับความเสียหายจากลม น้ำ สภาพอากาศ แผ่นดินไหว และคน แต่ความสวยงามและการตกแต่งของโบสถ์ยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจน

เที่ยวตุรกี พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Göreme Open-Air Museum) เมืองคัปปาโดเกีย

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดอยู่ในโบสถ์แห่งความมืด (Karanlık Kilise) ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มเติม (TL12) และโบสถ์ไม่มีคนพลุกพล่านนัก
  • หากไปเที่ยวในฤดูร้อน ควรไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะตอนกลางวันจะร้อนจัด และคนเยอะมาก ทำให้เข้าไปแออัดในโบสถ์ขนาดเล็ก บางครั้งอาจบังแสงธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงเดียวในโบสถ์ส่วนใหญ่
  • โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุด เด่นที่สุด และสวยที่สุดคือ โบสถ์ Buckle (Tokalı Kilise) อยู่นอกเขตหุบเขาหลัก ลงเนินไปทางเมือง Göreme เพียงไม่กี่ก้าวทางด้านขวามือ ภาพวาดภายในยังสมบูรณ์และงดงามไปด้วยเรื่องราวในศาสนาคริสต์ และรวมอยู่ในตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่แล้ว
  • พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 08:30-19:00 น. ในช่วงฤดูหนาวจะปิดเร็วขึ้น (17.00 น.)

7. ปามุคคาเล่ (Pamukkale) เมืองเดนิซลี

ปามุคคาเล่ หรือปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของตุรกีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ด้วยภาพคุ้นตาคือน้ำสีฟ้าใสในแอ่งสีขาวที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ สวยงาม ยาวประมาณ 2.7 กิโลเมตร สูง 160 เมตร ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งสปา” เนื่องจากมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติจำนวนมากที่เกิดจากความดันความร้อนใต้พื้นดินที่ 35 – 36 องศาเซลเซียส ว่ากันว่าน้ำพุร้อนที่นี่มีอายุมากว่า 14,000 ปี โดยตะกอนที่ไหลมาได้ฝังตัวทับถมกันจนเป็นตะไคร่น้ำสีขาวและกลายเป็นปราสาทปุยฝ้ายเช่นที่ปรากฏ ส่วนน้ำสีฟ้าใสราวกับแสงตกกระทบกับกระเบื้องหินอ่อนนั้น เกิดจากน้ำร้อนที่ทำปฏิกิริยากับกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสูญเสียความร้อน เมื่อก๊าซสัมผัสกับอากาศจึงทำให้แคลเซียมคาร์บอเนตตกตะกอน พื้นน้ำในบ่อน้ำพุร้อนเหล่านี้จึงมีสีฟ้าสดใส สวยงาม และเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแช่น้ำแร่ธรรมชาติที่นี่ได้ด้วย ด้วยลักษณะทางธรรมชาติที่โดดเด่นไม่เหมือนที่ใดในโลก ปามุคคาเล่จึงได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก ในปี ค.ศ. 1988

เที่ยวตุรกี ปามุคคาเล่ (Pamukkale) เมืองเดนิซลี

ข้อมูลเพิ่มเติม

ปามุคคาเล่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นตลอดทั้งปี ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) และช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) จะเป็นช่วงที่น้ำเต็มทุกบ่อ เหมาะสำหรับการมาเที่ยวปามุคคาเล่ที่สุด ส่วนในช่วงฤดูร้อนนั้นน้ำจะค่อนข้างแห้งและอากาศร้อนอบอ้าว ส่วนฤดูหนาวก็หนาวเย็นจนเกินไป แต่ก็จะได้สัมผัสกับความสวยงามในอีกบรรยากาศหนึ่ง

ปามุคคาเล่ (Pamukkale) เมืองเดนิซลี

วิธีเดินทาง (ถ้าไม่ได้เช่ารถ)

  • นั่งเครื่องบินภายในประเทศมาลงที่สนามบินอิซเมียร์แล้วต่อรถบัส ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ www.pamukkale.com.tr
  • นั่งเครื่องบินภายในประเทศมาลงที่สนามบินอิซเมียร์แล้วต่อรถไฟไปลงที่เมืองเดนิซลี จากนั้นค่อยต่อมินิบัสหรือแท็กซี่ไปที่ปามุคคาเล่อีกที รถไฟใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
  • นั่งรถบัสจากอิสตันบูล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-11 ชั่วโมง ตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ www.kamilkoc.com.tr

8. เมืองโบราณเอฟิซัส (Ephesus)

เที่ยวตุรกี เมืองโบราณเอฟิซัส (Ephesus)

เมืองเอฟิซัสเป็นเมืองท่ากรีกโบราณที่ตั้งอยู่ใกล้กับชายฝั่งตะวันตกของตุรกีสมัยใหม่ เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมีอายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี แหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศตุรกี สถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือวิหารอาร์เทมิส สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ปัจจุบัน เหลือเพียงฐานรากและเสาเดียวของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโบราณ หอสมุดเซลซุส (Library of Celcus) หอสมุดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก แม้จะถูกทำลายไปหลายส่วน หลงเหลือเพียงสถาปัตยกรรมภายนอกเท่านั้น แต่ก็สะท้อนถึงศิลปะเฮลเลนนิสติก (Hellenistic) ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมี โรงละครกลางแจ้งเอฟิซัส (Great Theatre) ที่สามารถจุคนได้ถึง 30,000 คน มหาวิหารแห่งอาร์เทมิส (Temple of Artemis) และสถานที่อื่นๆ อีกมากมายที่น่าไปเยี่ยมชมค่ะ

เมืองโบราณเอฟิซัส (Ephesus)

9. หมู่บ้านโอลูเดนิซ (Ölüdeniz) เมืองเฟติเย (Fethiye)

หมู่บ้านโอลูเดนิซ (Ölüdeniz) หมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลอีเจียน อยู่ในเมืองเฟติเย (Fethiye) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี เป็นจุดหมายปลายทางชายฝั่งเทอร์ควอยส์ที่มีชื่อเรื่องบลูลากูนอันงดงามและเงียบสงบ ตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาติ เป็นสถานที่สำหรับ ว่ายน้ำ อาบแดด ดำน้ำตื้น หรือดำน้ำลึกเพื่อสำรวจผืนน้ำที่ใสดุจคริสตัลของทะเลสาบและแนวหินใต้น้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจ และพาราไกลดิ้งจากยอดเขาใกล้เคียง หรือเพียงแค่พักผ่อนบนเลานจ์ริมชายหาดบนชายฝั่ง และเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นของแสงแดด ที่มีชายหาดที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 5 ชายหาดที่สวยที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยหาดทรายสีขาวสะอาด ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใสที่ค่อยๆ ไล่เฉดเป็นสีน้ำเงินเข้มตามความตื้นลึกของท้องทะเล โอบล้อมไปด้วยภูเขาอุดมสมบูรณ์ เป็นทั้งแหล่งพักผ่อน และจุดกระโดดร่มขึ้นชื่อ เรียกว่าตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวสายชิล และสายลุยเลยค่ะ

เที่ยวตุรกี หมู่บ้านโอลูเดนิซ (Ölüdeniz) เมืองเฟติเย (Fethiye)

ประกันการเดินทางต่างประเทศจำเป็นไหม

สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวลก็คือประกันการเดินทาง เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น อย่าให้เงินที่เราตั้งใจจะประหยัดในการเดินทาง ต้องมาจ่ายให้กับเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดดังกล่าว ประกันภัยการเดินทาง จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด ด้วยค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

การไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อม สิ่งสำคัญที่จะช่วยคุณรับมือหากเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดระหว่างการเดินทาง ที่อาจทำให้คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : turkeytravelplanner.com, cuddlynest.com, journalofnomads.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวสกอตแลนด์ 9 ที่เที่ยวบนเกาะสกาย

เที่ยวสกอตแลนด์ กับ 9 สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสกาย มงกุฎเพชรแห่งสกอตแลนด์

เกาะสกายหรือ The Isle of Skye เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสกอตแลนด์ เป็นที่ เที่ยวสกอตแลนด์ และเกาะที่สวยงามที่อยู่ในลิสต์สถานที่ที่ต้องไปของนักท่องเที่ยวมากมาย ทั้งเนินหญ้ากว้างใหญ่ที่ดูลึกลับ ยอดเขารูปทรงแปลกประหลาด ทะเลสาบ และหน้าผาริมทะเลสูงตระหง่าน เป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่ไม่ธรรมดา เหมือนกับหลุดออกไปอยู่ที่โลกอื่น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมภาพยนตร์เรื่อง เกาะที่เป็นสถานที่ในฝันของช่างภาพสายแลนด์สเคปทั่วโลก และเป็นสถานที่ถ่ายทำของภาพยนต์ดังมากมาย เช่น Transformer, James Bond หลายภาค, Snow White and the Huntsman, Prometheus, Made of Honour, 47 Ronin และ Harry Potter

การเข้าถึงเกาะสกายสะดวกมาก ไม่ว่าจะเป็นการเช่ารถขับมาจากแผ่นดินใหญ่ของสกอตแลนด์ เรือข้ามฟากก็เป็นตัวเลือกยอดนิยม หรือขึ้นรถไฟแล้วต่อรถประจำทางจากเมืองใกล้เคียงก็ได้ 

Allianz Travel จะพาคุณไปสัมผัสกับความสวยงามน่ามหัศจรรย์ของ 9 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของเกาะสกาย: มงกุฎเพชรแห่งสกอตแลนด์! ไม่ว่าคุณจะใช้เวลาไม่กี่วัน หรืออยู่นานเป็นสัปดาห์ คุณจะหลงเสน่ห์ความงดงามของเกาะสกายอย่างแน่นอน

1. Old Man of Storr

หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเกาะสกายที่นักปีนป่ายห้ามพลาดกันเลยก็คือ Old Man of Storr ซึ่งเป็นภูเขาที่มีแท่งหินตั้งตระหง่านโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินด้านบนของภูเขา ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศของคาบสมุทร Trotternish ถือเป็นแลนด์มาร์กที่ดังที่สุดบนเกาะนี้ที่มีคนแวะมาถ่ายรูปกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ สถานที่นี้ถูกใช้เป็นฉากหลังของภาพยนตร์หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์ชื่อดังที่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คนคือภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter รวมถึงภาพยนตร์ไซไฟระทึกขวัญเรื่อง Prometheus

เที่ยวสกอตแลนด์ Old Man of Storr

หากอยากได้มุมมองที่ดีที่สุด ก็ต้องใช้แรงเดินขึ้นเขากันมากสักหน่อย โดยเริ่มเดินจากที่จอดรถของ Old Man of Storr ไต่ขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปประมาณ 20 นาที คุณจะเห็นแท่งหิน Old Man of Storr โผล่ขึ้นมาต่อหน้าคุณ แต่จุดชมวิวหลักที่สวยที่สุดนั้นต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อย เดินผ่าน Old Man ไปเรื่อย ๆ จนถึงลานหินสูงที่อยู่สูงขึ้นไปบนเนินเขา ซึ่งอยู่ห่างจากที่จอดรถประมาณ 2.1 กิโลเมตร และใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง คุณจะได้เห็นความงดงามของ Old Man of Storr ที่มีทะเลเป็นฉากหลัง เป็นภาพที่คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง

หากคุณไม่อยากเดินไกล คุณสามารถแวะชมความงามของ Old Man of Storr จากทะเลสาบฟาดา (Loch Fada) ซึ่งอยู่ริมถนน ห่างจากที่จอดรถของ Old Man of Storr ไปประมาณ 5 กิโลเมตร

2. Portree

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Portree

เมืองพอร์ทรี (Portree) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะสกายและตั้งอยู่ในอ่าวทางฝั่งตะวันออกของเกาะ หมู่บ้านชาวประมงสีสันสดใสแห่งนี้มีมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันได้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของเกาะสกายที่มีท่าเรือที่พลุกพล่านทั้งเรือประมงและเรือท่องเที่ยว และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมในสกอตแลนด์ ในเมืองเต็มไปด้วยร้านกาแฟเล็กๆ ผับ ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้า และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นสถานที่ที่เหมาะในการแวะซื้อเสบียง ดื่มกาแฟ รับประทานอาหารกลางวัน และเพลิดเพลินกับบ้านหลากสีสันก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ

3. Quiraing

Quiraing อยู่เหนือสุดของ เทือกเขา Trotternish Ridge ซึ่งเกิดจากแผ่นดินถล่มหลายครั้ง เป็นพื้นที่หุบเขาติดกับมหาสมุทรซึ่งมีลมแรงลอดเวลา Quiraing เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนบนเกาะสกาย คุณจะได้เห็นหินรูปร่างแปลกตาคดเคี้ยวไปตามเนินหญ้าที่เป็นลูกคลื่น มีแท่งหินรูปทรงบิดเบี้ยวโปล่ขึ้นมาตามเส้นทาง วิธีที่ดีที่สุดในการชม Quiraing คือการเดินที่มีความยากระดับปานกลางไปตามทางเดินที่ยาว 6.5 กิโลเมตร แบ่งออกเป็นเจ็ดช่วง ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง (ในหน้าร้อน) คุณจะได้เห็นภูมิประเทศที่น่าทึ่ง ภาพพาโนรามาทางธรณีวิทยาที่สวยงาม และถึงแม้ว่าคุณไม่อยากเดินไปตามเส้นทางทั้งหมด เพียงแค่เดินจากที่จอดรถไปไม่กี่ร้อยเมตร คุณก็จะได้เห็นภาพวิวจากมุมมองที่เปิดกว่าขึ้น

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Quiraing

แต่หากคุณไม่มีเวลาเพียงพอ ให้ขับรถไปที่จุดชมวิวที่อยู่ติดกับที่จอดรถหลัก คุณก็สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามเหนือพื้นที่ลาดชัด เพื่อชมทิวทัศน์ที่แปลกตาของ Quiraing ที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดแห่งหนึ่ง

4. Kilt Rock & Mealt Falls

คุณจะได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามที่สุดสองแห่งที่สามารถมองเห็นได้จากจุดชมวิวเดียวกัน ประกอบด้วยน้ำตกมีลท์ (Mealt Falls) สูง 55 เมตรที่มีน้ำจากทะเลสาบมีลท์ (Loch Mealt) ไหลลงมาเหนือคิลท์ร็อค (Kilt Rock) ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเสาหินบะซอลต์บนยอดหินทราย มีลักษณะเป็นแท่งๆ ต่อกันเหมือนระลอกคลื่นที่คล้ายกับรอยพับของกระโปรงคิลต์แบบดั้งเดิม ซึ่งความพิเศษของน้ำตกนี้คือเป็นน้ำตกที่ไหลลงไปในทะเล เป็นการผสมผสานกันระหว่างน้ำตกและหน้าผาสูงชันที่ทอดตัวยาวตามแนวชายทะเล กลายเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Kilt Rock & Mealt Falls

คุณสามารถขับรถมาชมน้ำตกมีลท์ได้อย่างสะดวก มีที่จอดรถที่มีป้ายบอกทางเห็นได้อย่างชัดเจน และเดินเข้าถึงพื้นที่ชมวิวได้อย่างสะดวก นอกจากนี้บริเวณชายฝั่ยยังทำหนหน้าที่เป็นแหล่งวางไข่ของนกทะเลจำนวนมาก ทำให้บริเวณโดยรอบเป็นเขตห้ามใช้โดรนในช่วงฤดูนกทำรังในเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนกรกฎาคม

5. Fairy Glen

Fairy Glen หรือหุบเขานางฟ้าเป็นพื้นที่ที่มีการก่อตัวของหินตามธรรมชาติ รายล้อมไปด้วยโขดหิน ทุงหญ้ากว้างใหญ่ หุบเขา แอ่งน้ำใหญ่ ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย เส้นทางเดินที่คดเคี้ยวเข้าและออกจากเนินหญ้าและสระน้ำเล็กๆ และมีทางเดินหลายเส้นทางให้คุณออกไปสำรวจตามพื้นที่ต่างๆ จุดเด่นของหุบเขานี้อยู่ที่ภูเขาหินขนาดเล้กที่มีหน้าตาคล้ายปราสาท หรือรู้จักกันในชื่อปราสาทอีเวน (Castle Ewen) นักท่องเที่ยวนิยมปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามของพื้นที่

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Fairy Glen

บางคนบอกว่า Fairy Glen เปรียบเสมือนเป็น Quiraing ขนาดเล็ก เพราะรูปร่างหน้าตาของภูเขานั้นคล้ายกัน แต่มีขนาดย่อส่วนลงมามากในระยะที่เราเดินเล่นได้หมดภายในเวลาไม่นานนัก

6. Sligachan

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Sligachan

สลิกัคฮัน (Sligachan) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Black Cuillin และเป็นศูนย์กลางสำหรับนักปีนเขาและผู้ที่เดินทางมาสู่เกาะสกายตั้งแต่ปี 1830 ก่อนที่จะแยกไปยังส่วนอื่นๆ ของเกาะ สะพานหินเก่าแก่ที่หมู่บ้านสลิกัคฮันไม่ได้ให้รถขับผ่าน ดังนั้นเราสามารถเดินเล่นชมวิว ถ่ายรูปกับเทือกเขาสวยงามที่อยู่ด้านหลังได้อย่างสบายใจ และจุดนี้น่าจะเป็นจุดที่มีคนมาแวะถ่ายรูปมากที่สุดบนเกาะสกาย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีตำนานเล่าว่าน้ำเย็นที่อยู่ใต้สะพานมอบความงามอันเป็นนิรันดร์ให้กับใครก็ตามที่จุ่มหน้าลงไปในเวลา 7 วินาที และปล่อยให้แห้งโดยที่ไม่ต้องเช็ด ใครที่เป็นสายมูก็สามารถลองทำกันได้เลยค่ะ

7. Fairy Pools

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Fairy Pools

แฟรี่พูลส์ (Fairy Pools) หรือสระนางฟ้า เป็นแอ่งน้ำตกที่ตั้งอยู่ในหุบเขา Glen Brittle ทางใต้ของเกาะสกาย เป็นสระน้ำธรรมชาติที่สวยงามดุจดังในเทพนิยาย ธารน้ำที่มีความต่างระดับกัน ทำให้น้ำใสสะอาดเหมือนคริสตัวไหลเป็นน้ำตกเตี้ยๆ ลงมาสู่แอ่งด้านล่าง ก่อนจะถูกบีบให้กลายเป็นลำธารสายเล็กๆ สีฟ้าสดใส ที่นี่เป็นหนึ่งในสระว่ายน้ำที่มีผู้คนเยี่ยมชมมากที่สุดในเกาะสกาย ภูมิทัศน์ส่วนใหญ่เป็นหินโดยมีพื้นที่เป็นที่ลุ่ม หากคุณอยากลงไปว่ายน้ำ คุณสามารถกระโดดลงไปตรงไหนก็ได้ แต่ให้เตรียมใจรับมือกับน้ำที่เย็นจัดเนื่องจากเป็นน้ำที่ไหลผ่านภูเขา นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากที่จอดรถลงมาที่แพรี่พูลส์ได้ผ่านทางเดินเท้าที่โรยด้วยหินกรวด หญ้า ไม้พุ่ม ระยะทางไปยังน้ำตกหลักและแอ่งน้ำคือ 2.4 กิโลเมตร เฉลี่ยเวลาในการเดินคือ 40 นาที (โดยไม่มีการหยุดพัก) คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการเดินขึ้นไปตามแม่น้ำจากน้ำตกในการสำรวจแอ่งน้ำต่างๆ

8. Neist Point

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Neist Point

นีสท์พอยท์ (Neist Point) ตั้งอยู่ริมขอบปลายสุดทางด้านซ้ายของเกาะสกาย เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายภาพที่ดีที่สุดบนเกาะ ถ้าหากได้ไป เที่ยวสกอตแลนด์ แล้วห้ามพลาด! ประภาคารซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนีสพอยท์ตั้งอยู่ที่ปลายหน้าผาสูงชัน ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล เมื่อพระเอาทิตย์ตกดิน วิวจะงดงามยิ่งขึ้น คุณสามารถเดินลงไปที่ประภาคารตามเส้นทางที่จัดไว้ให้เป็นเส้นทางเดียวกันทั้งขาไปและขากลับ ครอบคลุมระยะทาง 2.2 กม. ใช้เวลาเดินโดยไม่หยุดเลยประมาณ 45 นาที ดังนั้นหากอยากเดินลงไปสำรวจประภาคาร ควรเผื่อเวลาไว้ขณะเดินกลับด้วย เพราะต้องเดินกลับขึ้นไปบนเส้นทางที่สูงชัน ที่อาจต้องหยุดพักระหว่างทาง

9. Dunvegan Castle

อีกสถานที่ท่อง เที่ยวสกอตแลนด์ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยี่ยมชมเกาะสกายก็คือปราสาทดันเวแกน (Dunvegan Castle) ที่ตั้งอยู่บนเนินหินบะซอลท์ริมทะเลสาบดันเวแกน ที่นี่เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในสกอตแลนด์ที่ยังมีคนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องของครอบครัวหัวหน้าแคลน แมคลาวด์ (Chiefs of Clan MacLeod) ตระกูลไฮแลนด์ที่มีชื่อเสียงนานกว่า 800 ปี สิ่งปลูกสร้างปัจจุบันส่วนมากเป็นผลมาจากการพัฒนาและฟื้นฟูมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ถึง 19 ภายในปราสาทมีภาพวาดที่สวยงามและมรดกตกทอดที่สำคัญอยู่มากมาย

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Dunvegan Castle

หนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมที่ปราสาทดันวีแกนคือการนั่งเรือออกไปดูแมวน้ำในทะเลสาบ เป็นทริปที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว การนั่งเรือ 25 นาทีจะทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับฝูงแมวน้ำ และถ้าคุณโชคดี คุณก็อาจได้เห็นนกกระสาทำรังหรือนกอินทรีหางขาว (นกอินทรีทะเล) ซึ่งเป็นนกล่าเหยื่อที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร การเดินทางมีค่าใช้จ่าย 12 ปอนด์ (พร้อมตั๋วปราสาท) และไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า

การไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อม สิ่งสำคัญที่จะช่วยคุณรับมือหากเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดระหว่างการเดินทาง ที่อาจทำให้คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : anywhereweroam.com, inspiredbymaps.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel