รวมวัฒนธรรมการให้ทิปในต่างประเทศ

รวมวัฒนธรรม การให้ทิป ในต่างประเทศ

การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศย่อมต้องเจอวัฒนธรรมบางอย่างที่เราไม่คุ้นชิน อย่างเช่นเรื่อง การให้ทิป ตามร้านอาหาร โรงแรม สนามบิน หรือแท็กซี่ ก็อาจสร้างความปวดหัวหรือยุ่งยากใจให้กับเราได้เหมือนกัน เพราะเราไม่รู้ว่าวัฒนธรรม การให้ทิป ของคนในประเทศนั้นเป็นอย่างไร การให้ทิป เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่อาจเข้าใจยาก หากไม่ได้เป็นคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ บางครั้งการให้ทิปก็ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงความขอบคุณสำหรับการให้บริการ แต่ในบางประเทศก็อาจทำให้ขัดเคืองต่อความรู้สึกได้ Allianz Travel เลยรวบรวมวิธีการให้ทิปของประเทศต่างๆ มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ

1. ทวีปยุโรป

ที่เที่ยวอิตาลี ทวีปยุโรป

(1) การให้ทิป ร้านอาหาร

ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสหราชอาณาจักร จะใส่ค่าบริการลงไปในใบเสร็จเลย แต่ถ้าไม่ได้ใส่ไว้ เราก็ควรให้ทิปพนักงานประมาณ 5-10% (เป็นเงินสดในสกุลเงินท้องถิ่น) เว้นเสียแต่ว่าคุณจะรู้สึกว่าร้านนั่นให้บริการไม่ดี หรืออาหารแย่มากๆ แต่บางประเทศ เช่น อิตาลี ออสเตรีย และรัสเซีย จะไม่ใส่ค่าบริการหรือคาดหวังว่าเราจะต้องให้ทิปเสมอไป แต่ถ้าเราจะปัดเศษขึ้นจากราคาค่าอาหารก็ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณไปที่ร้านอาหารในอิตาลี คุณอาจเห็นคำว่า ‘corperto’ ในใบเสร็จของคุณ ซึ่งแปลว่า ‘ค่าบริการที่เก็บเพิ่มเติม’ ซึ่งบางครั้งเงินจำนวนนี้อาจเป็นการจ่ายให้กับร้านอาหาร  ซึ่งถ้าเราต้องการให้ทิปพนักงาน เราควรให้เป็นเงินสดและมอบให้กับพนักงานเสิร์ฟของคุณโดยตรง

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าอาหารแพงจนน้ำตาไหล แต่โชคดีที่ประเทศเหล่านี้ไม่ได้คาดหวังกับเรื่องทิป และราคาค่าบริการมักคิดรวมอยู่ในราคาอาหารโดยรวมไปแล้ว

สหราชอาณาจักร

การไปเที่ยวผับในลอนดอนหรือเมืองอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร เราอาจให้ปัดเศษขึ้นตอนจ่ายเงินรวมเพื่อเป็นสินน้ำใจก็ได้ แต่ก็ไม่นิยมทำกันนัก ถ้าคุณรู้สึกชื่นชอบการให้บริการในแบบฉบับผับอังกฤษแบบดั้งเดิมแล้ว คุณสามารถซื้อเครื่องดื่มให้บาร์เทนเดอร์ได้ โดยพูดว่า “และอีกแก้วสำหรับตัวคุณเอง”

(2) การให้ทิป พนักงานโรงแรม

พนักงานโรงแรม

การให้ทิปพนักงานโรงแรมสำหรับหลายประเทศในยุโรปนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน คุณอาจจะให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 1-2 ยูโรต่อกระเป๋า หรือให้พนักงานทำความสะอาดประมาณ 2-5 ยูโร

รัสเซีย

เราสามารถให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 200-250 รูเบิล และ 100-200 รูเบิลสำหรับพนักงานทำความสะอาด

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

พนักงานโรงแรมไม่ได้คาดหวังที่จะได้ทิป เนื่องจากค่าบริการรวมอยู่ในค่าจ้างแล้ว

สวิตเซอร์แลนด์

พนักงานไม่ได้คาดหวังกับเงินทิปเช่นกัน แต่การมอบเงินจำนวนเล็กน้อยให้กับพนักงานทำความสะอาด (ประมาณ 5-10 ฟรังก์) เมื่อเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

(3) การให้ทิป ไกด์และคนขับรถ

ประเทศยุโรปกลางและตะวันออกและอิตาลี

ไกด์และคนขับรถในเกือบทุกประเทศในยุโรปจะได้รับทิปแยกกัน คิดเป็นประมาณ 10-20% ต่อวัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณสนุกกับทัวร์มากน้อยแค่ไหน

ประเทศยุโรปตะวันตก (ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน และสหราชอาณาจักร)

ทิปประมาณ 25-40 ยูโร (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อวันสำหรับไกด์ และ 10-15 ยูโรสำหรับคนขับรถ

รัสเซีย

ไกด์และคนขับรถคาดหวังทิปประมาณ 3,000 รูเบิล และ 2,000 รูเบิลตามลำดับ

ตุรกี

ถ้าเราเช่ารถส่วนตัวก็ควรให้ทิปคนขับรถประมาณ 200-300 ลีราต่อวัน ถ้าเป็นไกด์นำเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ก็ให้ทิปประมาณ 60-100 ลีรา และประมาณ 450 ลีราสำหรับไกด์ทัวร์ส่วนตัว

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

ไม่จำเป็นต้องให้ทิปกับไกด์และคนขับรถ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณประทับใจกับการเดินทาง การให้ทิป 10% กับไกด์และคนขับรถถือว่าเป็นสินน้ำใจที่ดี หรือคุณสามารถเลี้ยงอาหารกลางวันพวกเขาก็ได้

(4) การให้ทิป คนขับแท็กซี่

ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป

คนขับแท็กซี่มักไม่คาดหวังทิป แต่การปัดเศษขึ้นจากราคาค่าโดยสารถือเป็นเรื่องปกติ

ฝรั่งเศส รัสเซีย และสวิตเซอร์แลนด์

คนขับแท็กซี่มักจะคาดหวังทิป 10-15%

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

ไม่จำเป็นต้องให้ทิปคนขับแท็กซี่ แม้แต่จะปัดการปัดเศษค่าโดยสารขึ้นก็ตาม

2. ทวีปอเมริกา

ที่เที่ยวอเมริกา ทวีปอเมริกา

(1) การให้ทิป ร้านอาหาร

ร้านอาหาร

สหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ร้านอาหารไม่ได้รวมค่าบริการไว้ในบิลเสมอไป การให้ทิปประมาณ 15-20% ถือเป็นเรื่องปกติ เว้นแต่ว่าอาหารจะทานไม่ได้เลย หรือพนักงานเสิร์ฟให้บริการแย่มาก เราก็อาจจะให้ทิปประมาณ 5% และถ้าเราไปเที่ยวผับหรือบาร์ก็ควรให้ทิปประมาณ 1 ดอลลาร์ต่อเครื่องดื่ม 1 แก้ว หรือ 15- 20% ของยอดรวมในบิล

เม็กซิโก นิการากัว อาร์เจนตินา และเปรู

ค่าบริการจะคิดเพิ่มไปในบิลซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณต้องการให้ทิปพนักงานเสิร์ฟเพิ่มเป็นการส่วนตัวก็ควรให้ประมาณ 10-15% (ในสกุลเงินท้องถิ่นหรือดอลลาร์สหรัฐ)

บราซิล ชิลี และคอสตาริกา

ร้านอาหารมักคิด ‘ค่าบริการ’ 10% (เรียกว่า ‘cubierto’ ในชิลี) ซึ่งหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มก็ได้ แต่เราก็สามารถให้เพิ่มอีกประมาณ 5% ก็ได้ หากได้รับการบริการที่ดี คุณไม่จำเป็นต้องให้ทิปในบาร์ แต่คุณสามารถปัดเศษขึ้นในบิลโดยรวมได้

ประเทศในแคริบเบียน (นอกรีสอร์ทแฟนซี)

ให้ตรวจสอบบิลก่อนว่าใส่ค่าทิปไปหรือยัง หากยังไม่ได้ใส่ ก็ให้ทิปประมาณ 15-20% หรือปัดเศษขึ้นในบิลหากไปดื่มที่บาร์

(2) การให้ทิป พนักงานโรงแรม

สหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ควรทิปพนักงานทำความสะอาดประมาณ 3-5 ดอลล่าร์สหรัฐต่อวัน และให้พนักงานยกกระเป๋า 1 เหรียญต่อกระเป๋า

ประเทศอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ปกติแล้วพนักงานจะรับเงินดอลลาร์สหรัฐ สำหรับพนักงานขนกระเป๋าในประเทศต่างๆ เช่น คอสตาริกา เม็กซิโก นิการากัว บราซิล ชิลี เปรู และโคลอมเบีย ให้ใช้สกุลเงินท้องถิ่นที่เทียบเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกระเป๋า และ 1-2 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันสำหรับพนักงานทำความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาใต้ นักท่องเที่ยวมักนิยมไปพักตามไร่องุ่นในชนบท ซึ่งคนที่ดูแลคุณจะเป็นครอบครัวของพนักงาน รวมทั้งทำอาหาร ทำความสะอาด และดูแลสวน ดังนั้นคุณควรทิ้งทิปไว้ก่อนเช็คเอาท์ประมาณ 10-15 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อแขกหนึ่งท่าน

(3) การให้ทิป ไกด์และคนขับรถ

สหรัฐอเมริกา แคนาดา และโคลอมเบีย

เราควรให้ทิปไกด์และคนขับรถแยกกัน โดยทิปไกด์นำเที่ยวประมาณ 10-20 ดอลลาร์ในสกุลเงินท้องถิ่นต่อวัน และประมาณ 5-10 ดอลลาร์สำหรับคนขับรถ

ประเทศอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ส่วนใหญ่ไกด์จะได้รับเงินทิปประมาณ 5-10 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินท้องถิ่น) สำหรับงานในหนึ่งวัน และเราสามารถให้ทิปคนขับรถประมาณครึ่งหนึ่งของทิปที่ให้ไกด์

บราซิล

ถือเป็นข้อยกเว้นจากประเทศในอเมริกาใข้ เพราะคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่นี่ต้องอาศัยเงินจากค่าทิป เราควรให้ไกด์ประมาณ 100 ถึง 200 เรียลต่อวัน และอาจน้อยกว่าเล็กน้อยสำหรับคนขับรถ

ประเทศในแคริบเบียน

นักท่องเที่ยวนิยมเที่ยวไปทั่วเกาะกับทัวร์รถบัส การให้ทิปคนขับรถ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐถือเป็นเรื่องปกติ และถ้าเป็นทัวร์แบบส่วนตัว ก็ควรให้ทิปไกด์ประมาณ 20 ดอลลาร์ และคนขับรถประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อวัน

(4) การให้ทิป คนขับแท็กซี่

แท็กซี่ Taxi

สหรัฐอเมริกา แคนาดา และแคริบเบียน

เราควรให้ทิปคนขับรถแท็กซี่ประมาณ 10 ถึง 15% ของค่าโดยสาร หรือประมาณ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการเดินทางเป็นระยะทางใกล้ๆ

ประเทศอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ถ้าคุณต่อรองราคาค่าโดยสารก่อนขึ้นแท็กซี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการให้ทิป เว้นแต่ว่าคุณถูกชะตากับคนขับแท็กซี่ และถ้าค่าโดยสารเป็นไปตามมิเตอร์ คุณก็สามารถปัดเศษขึ้นเมื่อให้ค่าโดยสาร

3. ทวีปเอเชีย

ที่เที่ยวสิงคโปร์ ทวีปเอเชีย

(1) การให้ทิป ร้านอาหาร

จีน เมียนมาร์ สิงคโปร์ และไต้หวัน

ไม่มีวัฒนธรรมการให้ทิปที่ชัดเจน เราไม่จำเป็นต้องให้ทิปในร้านอาหารหรือในบาร์ แต่เนื่องจากปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในเอเชียมากมาย ร้านอาหารใหม่เก๋ๆ บางแห่งในจีนจึงเริ่มรับทิปเล็กๆ น้อยๆ กันแล้ว

ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กัมพูชา ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย)

เริ่มชินกับการรับทิปมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ให้ทิปก็ยังถือว่าไม่เป็นไร

อินเดีย

การให้ทิปยังไม่ได้เป็นวัฒนธรรมของอินเดีย แต่พนักงานในร้านอาหารก็คุ้นเคยกับการได้รับทิปจากนักท่องเที่ยว ถ้าเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่และค่อนข้างเป็นทางการที่ยังไม่ได้รวมค่าบริการในบิล เราอาจให้ทิปประมาณ 5-10% หากคุณชื่นชอบอาหารเป็นอย่างมาก สำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก เราอาจวางเศษเหรียญไว้ 2-3 เหรียญหรือปัดเศษค่าอาหารขึ้นจากในใบเสร็จ คุณอาจให้ทิปบาร์เทนเดอร์ได้ถึง 10% ถ้าพวกเขาให้บริการคุณอย่างดี

ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย รวมทั้งญี่ปุ่นและเนปาล

เชื่อว่าการให้ทิปต้องสำหรับการบริการที่ดีเยี่ยมเท่านั้น การให้บริการและต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีถือเป็นเรื่องปกติและไม่ควร “ให้รางวัล” และพนักงานในร้านอาหารบางแห่งในญี่ปุ่นอาจปฏิเสธการให้ทิปอย่างสุภาพหากคุณวางทิปไว้

(2) การให้ทิป พนักงานโรงแรม

จีน

ไม่จำเป็นต้องให้ทิปพนักงานโรงแรม แต่ถ้าคุณพักในโรงแรมที่หรูหราเป็นพิเศษ คุณสามารถให้ทิปพนักงานยกกระเป๋า 5 หยวนต่อกระเป๋า และโรงแรมระดับไฮเอนด์ก็จะบวกค่าบริการ 10% ไว้ในใบเรียกเก็บเงินโดยรวม

ญี่ปุ่น

พนักงานโรงแรมไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้ทิป โดยเฉพาะการเข้าพักในโรงแรมแบบเรียวกัง แต่ถ้าคุณรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากและอยากให้ทิปเป็นการตอบแทน ให้นำเงินใส่ซองไว้ประมาณ 5,000 เยน (สำหรับการพักระยะสั้น) แต่พนักงานก็อาจปฏิเสธอย่างสุภาพหากคุณส่งมอบด้วยตนเอง

อินเดีย

พนักงานโรงแรมในอินเดียได้รับเงินค่าจ้างต่ำมาก ดังนั้นการให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 50 รูปีต่อกระเป๋า และพนักงานทำความสะอาด 250 รูปีต่อวันจะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย)

ค่าบริการจะรวมอยู่ในบิลโดยรวมเมื่อเช็คเอาท์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ทิปก็ได้ แต่ก็ควรให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าในสกุลเงินท้องถิ่นที่เทียบเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกระเป๋า การให้ทิปพนักงานทำความสะอาดก็ถือว่าไม่จำเป็น แต่ถ้าคุณอยากให้ คุณก็อาจให้เป็นสกุลเงินท้องถิ่นที่เทียบเท่ากับ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืนก็ได้

(3) การให้ทิป ไกด์และคนขับรถ

จีน

ไม่คาดหวังทิป

เกาหลีใต้และไต้หวัน

คาดหวังว่าจะได้รับเงินเพิ่มเล็กน้อยหลังจากการเดินทาง เราสามารถให้ทิปรวมกันระหว่างไกด์กับคนขับรถประมาณ 10% ของค่าทัวร์

ญี่ปุ่น

ควรเอาเงินทิปใส่ซองให้กับไกด์ประมาณ 2,500-5,000 เยนสำหรับทัวร์เต็มวัน และถ้าคุณจ้างคนขับรถส่วนตัว คุณควรเลี้ยงอาหารกลางวันพวกเขาด้วย

อินเดีย

ให้ทิปไกด์ประมาณ 300-500 รูปีต่อวัน และ 100-200 รูปีสำหรับคนขับ

สิงคโปร์และฟิลิปปินส์

ให้ทิปไกด์และคนขับรถรวม 10% ของค่าทัวร์โดยรวมโดยให้พวกเขาไปแบ่งกันเอง

ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซีย)

ให้ทิปไกด์นำเที่ยวประมาณ 10-20 ดอลลาร์สหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อวัน และครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินนั้นสำหรับคนขับ เป็นเรื่องปกติที่จะให้ทิปทั้งหมดแก่ไกด์ ซึ่งจะเป็นผู้แบ่งเงินให้กับคนขับรถเอง

(4) การให้ทิป คนขับแท็กซี่

แท็กซี่ taxi

จีนและเกาหลีใต้

ไม่จำเป็นต้องให้ทิป

ญี่ปุ่น

ปัดเศษค่าโดยสารขึ้นถือว่าเป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานในญี่ปุ่น

อินเดีย

คนขับแท็กซี่และรถสามล้อในอินเดียไม่คุ้นเคยกับการรับทิป แต่การบอกให้พวกเขาเก็บเงินทอนไว้เป็นการให้ทิปแบบสุภาพ

กัมพูชาและไทย

การให้ทิปเป็นเงินท้องถิ่นมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐเป็นจำนวนที่กำลังดี

อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

ทิป 10% จากค่าโดยสารถือเป็นมาตรฐานทั่วไป

สิงคโปร์และเวียดนาม

เพียงปัดเศษค่าโดยสารขึ้นหรือบอกให้คนขับเก็บเงินทอนไว้

4. ทวีปตะวันออกกลาง

ที่เที่ยวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทวีปตะวันออกกลาง

(1) การให้ทิปร้านอาหาร

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ จอร์แดน และซาอุดิอาระเบีย

พนักงานในร้านอาหารคาดหวังว่าจะได้รับทิป 10-15% ส่วนในดูไบซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เพิ่ม 10% ลงในบิลร้านอาหาร โรงแรม และบาร์ แต่พนักงานเสิร์ฟก็ยังคาดหวังจะได้รับทิปสูงถึง 15-20%

อิสราเอล

ร้านอาหารจะใส่ค่าบริการ 10% ในบิลร้านอาหารและบาร์ ดังนั้นเราควรตรวจเช็คบิลก่อนจ่ายเงินเพื่อไม่ให้ต้องให้ทิปซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น

(2) การให้ทิปพนักงานโรงแรม

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

รัฐบาลดูไบบังคับให้ต้องจ่ายค่าบริการ 10% ให้กับโรงแรมอยู่แล้ว และในรัฐอื่นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พนักงานคอนเซียชคาดหวังว่าจะได้รับทิปประมาณ 100-120 เดอร์แฮม หากมีการขอให้ทำอะไรเป็นพิเศษ เช่น การจองโต๊ะที่ร้านอาหารยอดนิยม หรือการจัดทัวร์ พนักงานยกกระเป๋าให้ทิปประมาณ 7 เดอร์แฮมต่อกระเป๋า และพนักงานทำความสะอาดประมาณ 10-11 เดอร์แฮมต่อวัน

จอร์แดนและอิสราเอล

ให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าในสกุลเงินท้องถิ่นเท่ากับ 1.50 เหรียญสหรัฐต่อกระเป๋า และ 1.50 เหรียญสหรัฐต่อวันสำหรับพนักงานทำความสะอาด และประมาณ 2 เหรียญสหรัฐสำหรับพนักงานคอนเซียชถ้าคุณขอให้ทำอะไรเล็กน้อย

(3) การให้ทิปไกด์และคนขับรถ

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์

ทิปไกด์นำเที่ยวในสกุลเงินท้องถิ่นมูลค่าประมาณ 10-15 เหรียญสหรัฐ และคนขับรถส่วนตัวประมาณครึ่งหนึ่งของไกด์

อิสราเอลและจอร์แดน

ทิปไกด์ประมาณ 25-35 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) และ 35-45 เหรียญสหรัฐ สำหรับไกด์ที่ขับรถให้ด้วย

(4) การให้ทิปคนขับแท็กซี่

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล จอร์แดน กาตาร์ และซาอุดีอาระเบีย

ให้ทิปคนขับแท็กซี่ประมาณ 10 ถึง 15% ของค่าโดยสาร แต่ขับแท็กซี่ในดูไบไม่คาดหวังทิป แต่คุณสามารถให้ปัดเศษค่าโดยสารขึ้นได้

5. ทวีปแอฟริกา

ที่เที่ยวแอฟริกา ทวีปแอฟริกา

(1) การให้ทิปร้านอาหาร

ร้านอาหาร

อียิปต์ โมร็อกโก และแอฟริกาใต้

ร้านอาหารและบาร์ยอดนิยมในสถานที่ท่องเที่ยวจะเพิ่มค่าบริการ 10% ในใบเสร็จ ถ้าไม่มีรวมในใบเสร็จ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะให้ทิปประมาณ 10-15% หากคุณคิดว่าอาหารอร่อย

ประเทศอื่นในแอฟริกา

ทิปปกติ 10-15% สำหรับการบริการที่ดีในร้านอาหาร เช่นเดียวกับการปัดเศษค่าอาหารและเครื่องดื่มขึ้นในบาร์ พนักงานเสิร์ฟและพนักงานบาร์ทั่วแอฟริกาส่วนใหญ่มักจะได้รับค่าครองชีพขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการให้ทิปจึงเป็นรายได้เสริมที่ดีสำหรับพวกเขา

(2) การให้ทิปพนักงานโรงแรม

อียิปต์และโมร็อกโก

พนักงานคอนเซียชเป็นผู้ช่วยที่ดีที่เราควรให้ทิปพวกเขาประมาณ 15-20 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) ในช่วงเริ่มต้นการเข้าพัก เพื่อให้ได้รับบริการที่ดีตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ ทิปพนักงานทำความสะอาดประมาณ 3-5 เหรียญสหรัฐต่อวัน และพนักงานยกกระเป๋า 1 เหรียญสหรัฐต่อกระเป๋า (ในสกุลเงินท้องถิ่น)

แอฟริกาใต้ เคนยา และแทนซาเนีย

พนักงานยกกระเป๋าคาดหวังทิปประมาณ 1 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) สำหรับกระเป๋าแต่ละใบ และ 1 เหรียญสหรัฐสำหรับพนักงานทำความสะอาดในแต่ละวัน ให้ทิปพนักงานคอนเซียชประมาณ 3-5 เหรียญสหรัฐ สำหรับงานที่คุณขอให้พวกเขาทำในแต่ละครั้ง แคมป์ซาฟารีหรูๆ มักจะมีกล่องทิปอยู่ที่แผนกต้อนรับ และซึ่งเงินทิปที่ได้จะนำไปแบ่งกันในกลุ่มเจ้าหน้าที่ของแคมป์ ถ้าคุณอยากให้ทิปพนักงานคนไหนเป็นพิเศษก็ให้ส่งให้กับตัวพวกเขาเลย

(3) การให้ทิปไกด์และคนขับรถ

ประเทศแอฟริกาเหนือ

หลังจากจบทัวร์ควรให้ทิปไกด์ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ในสกุลเงินท้องถิ่น) และให้ทิปคนขับรถน้อยกว่าเล็กน้อย

อิสราเอลและจอร์แดน

ทิปไกด์ประมาณ 25-35 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) และ 35-45 เหรียญสหรัฐ สำหรับไกด์ที่ขับรถให้ด้วย

(4) การให้ทิปคนขับแท็กซี่

ทั่วทั้งทวีปแอฟริกา ปัดเศษค่าโดยสารขึ้น หรือบอกให้คนขับเก็บเงินทอนไว้ แต่ในประเทศที่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว อย่างเช่น อียิปต์และแอฟริกาใต้ คนขับแท็กซี่ในมักคาดหวังทิป 10%

6. ทวีปโอเชียเนีย

ที่เที่ยวออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย

(1) การให้ทิปร้านอาหาร

ร้านกาแฟ ร้านอาหาร

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

พนักงานในร้านอาหารและบาร์ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องให้ทิป แต่เราอาจให้ 10-15% หากรู้สึกว่าประทับใจกับการบริการ

หมู่เกาะแปซิฟิกใต้

การให้ทิปในร้านอาหารและบาร์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสิ่งนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นเมือง แต่ถ้าไปทานอาหารในร้านที่หรูหราเป็นพิเศษและรู้สึกทึ่งกับอาหารและบริการที่ดีเยี่ยม คุณสามารถให้ทิปไปอีก 10% ของราคาในบิลทั้งหมด

(2) การให้ทิปพนักงานโรงแรม

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ทิปมาตรฐานสำหรับพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 1 ดอลลาร์ (ออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์) ต่อกระเป๋า และ 3-5 ดอลลาร์ต่อวันสำหรับพนักงานทำความสะอาด

หมู่เกาะแปซิฟิกใต้

ตามวัฒนธรรมไม่จำเป็นต้องให้ แต่ถ้าคุณอยากให้ให้รางวัลเป็นเงินกับพนักงานคนใดคนหนึ่งก็ควรให้ต่อหน้า ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครหยิบไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพนักงานทำความสะอาด

(3) การให้ทิปไกด์และคนขับรถ

ไกด์ Guide Tour

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ควรให้ทิปไกด์และคนขับรถส่วนตัวประมาณ 20-50 เหรียญ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อวัน และ 5-10 เหรียญต่อวันทำงานสำหรับไกด์ทัวร์บนรถบัส

หมู่เกาะแปซิฟิกใต้

หากไกด์นำเที่ยวหรือคนขับรถส่วนตัวให้บริการดีมาก คุณสามารถให้ทิปตอบแทนได้ โดยจำนวนเงินที่จะให้ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ควรให้เป็นสกุลเงินท้องถิ่นเสมอ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐนั้นหาที่แลกยาก

(4) การให้ทิปคนขับแท็กซี่

คนขับแท็กซี่ในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะแปซิฟิกใต้จะไม่ได้คาดหวังเงินทิป แต่การปัดเศษค่าโดยสารขึ้นให้เป็นเลขเต็มจำนวน 1-5 เหรียญถือเป็นเรื่องปกติ

หากเราต้องเดินทางไปต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลและวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศนั้นๆ ไว้ด้วย เพื่อให้ท่องเที่ยวได้อย่างสนุก และทำตามในสิ่งที่คนท้องถิ่นทำในกิจวัตรประจำวันได้อย่างไม่เคอะเขิน นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ควรต้องมีติดตัวไว้ทุกครั้งขณะเดินทางออกนอกประเทศก็คือประกันภัยการเดินทาง ที่จะช่วยคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เช่น เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินล่าช้า เป็นต้น*

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ประกันการเดินทาง Dance Moves มีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Lonely Planet

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

5 ประเทศยอดฮิตในเอเชีย ที่เที่ยวสำหรับครอบครัว

5 ประเทศยอดฮิตในเอเชีย ที่เที่ยวสำหรับครอบครัว

ช่วงปิดเทอมของเด็กๆจัดเป็นเวลาที่ดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะพาลูกๆ ออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเริ่มหา ที่เที่ยวสำหรับครอบครัว การไปเที่ยวประเทศในเอเชียที่ไม่ไกลจากไทย และใช้เวลาเดินทางไม่มาก และสะดวกก็น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสม ที่เที่ยวที่ดีสำหรับเด็กๆ ก็ต้องเป็นที่ที่ให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ นอกเหนือตำราเรียน และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ก็สนุกไปด้วยกันได้ 

Allianz Travel รวบรวมลิสต์สถานที่เที่ยวสำหรับครอบครัวที่อยากแนะนำให้ไปสนุกกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถจัดทริปไปสนุกทั้งครอบครัวแบบสั้นๆ กับ 5 ประเทศในเอเชีย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถเที่ยวได้อย่างมีความสุขกันอย่างแน่นอนค่ะ

1. ประเทศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศยอดฮิตที่ใช้เวลาเดินทางไม่มาก ที่สำคัญคือมี ที่เที่ยวสำหรับครอบครัว มากมาย ตั้งแต่สวนสนุกไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ และมีทั้งที่เที่ยวแบบทันสมัยไปจนถึงแบบย้อนยุคให้ศึกษาวัฒนธรรม หากเด็กๆ ได้มีโอกาสไปคงเที่ยวเล่นกันสนุกเลยค่ะ

(1) โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)

โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Roméo A. on Unsplash 

สวนสนุกระดับโลกที่มีเครื่องเล่นและขบวนพาเหรดสวยงาม ในโตเกียวดิสนีย์แลนด์จะมีเหล่าตัวละครจากดิสนีย์มากมายมาทำการแสดง ทั้งร้อง เล่น เต้น จัดเต็มตัวแสง สี เสียง รวมไปถึงพลุไฟแสนสวยงาม เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก เพราะจะได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นดิสนีย์ ดินแดนแห่งความฝันอย่างเต็มเปี่ยม

ที่ตั้ง: Maihama, Urayasu-shi, Chiba
เวลาทำการ:
ทุกวัน 9:00 – 22:00 น. (เวลาทำการจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ตรวจสอบรายละเอียดที่นี่)

(2) โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo Disneysea)

โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo Disneysea)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Sarah Castañeda on Unsplash 

เครื่องเล่นของดิสนีย์ซีจะอิงตามภาพยนตร์หรืออนิเมชันแนวแอคชั่นผจญภัยของดิสนีย์ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กโต หรือย่างเข้าสู่วัยรุ่น ที่ต้องการความตื่นเต้น การผจญภัย ได้สวมวิญญาณนักผจญภัยตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่เกาะลอสท์ริเวอร์เดลต้า เกาะธีมแนวอารยธรรมโบราณที่สาปสูญ อินเดียนาโจนส์ แอดเวนเจอร์ หรือเกาะเมอร์เมดลากูน ที่ยกโลกใต้ทะเลของเงือกน้อย แอเรียล จากเงือกน้อยผจญภัย มาให้ทุกคนได้ร่วมสำรวจความสวยงามของโลกใต้ทะเล

ที่ตั้ง: Maihama, Urayasu-shi, Chiba
เวลาทำการ:
ทุกวัน 9:00 – 22:00 น. (เวลาทำการจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ตรวจสอบรายละเอียดที่นี่)

(3) ซานริโอ พูโรแลนด์ (Sanrio Puroland)

ดินแดนที่เต็มไปด้วยความมุ้งมิ้งที่พร้อมจะเปลี่ยนโลกให้ดูน่ารักสดใส เป็นธีมปาร์คในร่มที่น่ารักที่สุดในโบก ที่รวมคาแรคเตอร์ต่างๆที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อย่าง Hello Kitty, My Melody, Cinnamonroll, Gudetama และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีการแสดงสดต่างๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ โชว์ “Believe” ของขบวนพาเหรด Sanrio Heartful เป็นการแสดงโชว์ที่มีตัวละครหลักเป็น Hello Kitty มาให้ความสนุกพร้อมกับเหล่าผองเพื่อน

ที่ตั้ง: 1−31 Ochiai, Tama, Tokyo, 206-8588
เวลาทำการ: วันธรรมดา 10.00 – 17.00 น. / วันเสาร์-อาทิตย์ 10.00 – 20.00 น. เช็คเวลาเปิดปิดที่นี่

2. ประเทศฮ่องกง

ฮ่องกงเป็นแดนสวรรค์ของทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะมีทั้งที่ช้อปปิ้ง ที่เที่ยวสวยๆ วัดศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญมี ที่เที่ยวสำหรับครอบครัว และที่เที่ยวสำหรับเด็กๆ อยู่เพียบ การเดินทางก็สะดวกสบาย Allianz Travel จะพาไปดูที่เที่ยวที่ถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่กันค่ะ

(1) ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland)

ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Russel Jhon Seares on Unsplash

ดินแดนในฝันของเด็กและผู้ใหญ่หัวใจเด็ก ที่จะได้เพลิดเพลินไปกับโลกของการ์ตูนและเหล่า Super Hero จากค่ายดิสนีย์ แบ่งออกเป็น 7 โซนที่มีทั้งสนุกสุดเหวี่ยงกับเครื่องเล่นแนวผาดโผน ไปจนถึงเครื่องเล่นเบาๆ น่ารักๆ เด็กเล็กเล่นได้ไม่มีอันตรายค่ะ นอกจากนี้ยังมีขบวนพาเหรด และการแสดงพลุในตอนกลางคืนด้วยค่ะ 

ที่ตั้ง: Penny’s Bay, Lantau Island
เวลาทำการ: 10.00-20.00 น. (เวลาทำการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละช่วง แนะนำให้ตรวจสอบล่วงหน้าได้ที่นี่)

(2) เรือโนอาร์ (Noah’s Ark Resort)

เรือโนอาร์ (Noah’s Ark Resort)
ขอบคุณรูปภาพจาก : noahsarkhotel

ตั้งอยู่บนเกาะ Ma Wan island หรือ Park Island ซึ่งเป็นเกาะเชิงนิเวศของฮ่องกง มีการจำกัดการใช้งานพาหนะเพื่อทำให้เกิดมลพิษกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เรือโนอาร์ของฮ่องกง เป็นเรือแห่งวันสิ้นโลก ที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์และสัตว์ต่างๆอย่างละ 1 คู่ขึ้นไปบนเรือเพื่อให้รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก และได้เริ่มต้นชีวิตยังดินแดนใหม่ เรือโนอาร์เหมาะกับครอบครัวที่พาเด็กๆ มาเที่ยว เพราะจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เรียนรู้ชีวิตและประเภทของสัตว์ต่างๆ

ที่ตั้ง: 33 Pak Yan Road, Hong Kong
เวลาทำการ: 10.00 – 18.00 น.

(3) พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์

สำหรับใครที่พาเด็กๆ มาฮ่องกง พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสต์ฮ่องกงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ต้องแวะไปให้ได้ค่ะ เพราะนอกจากจะได้ความรู้แล้วยังได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ที่น่าสนุกสนาน ด้านในของพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงนิทรรศการอินเตอร์แอคทีฟเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หลากหลายแขนง มากกว่า 500 งาน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่เกี่ยวกับการคมนาคม การสื่อสาร Food Science และอื่นๆ ค่ะ

ที่ตั้ง: 2 Science Museum Road, Tsim Sha Tsui East, Kowloon
เวลาทำการ: วันจันทร์, พุธ – เสาร์ 10.00 น. – 18.00 น., วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ 10.00 น. – 19.00 น. (หยุดทุกวันอังคาร และ 2 วันแรกของตรุษจีน)
เว็บไซต์: hk.science.museum/en_US/web/scm/index.html

3. ประเทศเกาหลีใต้

เกาหลีใต้มีทั้งสวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ สวนสนุก ร้านกาแฟและร้านอาหารน่ารักๆ หลากหลายรูปแบบ และพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่คุณสามารถพาเด็กๆ เดินชมและเรียนรู้วัฒนะธรรมได้โดยรอบ สถานที่ต่างๆ ก็เข้าถึงได้สะดวกด้วยรถสาธารณะ และทุกที่มีห้องน้ำที่ทั้งสะอาดและสะดวกสำหรับเด็กเล็ก

(1) สวนสนุกล็อตเตเวิลด์ (Lotte World Adventure)

สวนสนุกล็อตเตเวิลด์ (Lotte World Adventure)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Konrad Ziemlewski on Unsplash

เป็นหนึ่งในสวนสนุกที่ดังที่สุดของเกาหลี ที่มีอาคารสวนสนุกในร่มที่มีขนาดใหญที่สุดในโลกอยู่ด้วย ภายในมีทั้งเครื่องเล่นที่น่าตื่นเต้น อย่างเช่น Gyro Drop (ดรอปทาวเวอร์) สูง 70 เมตร, เครื่องเล่นที่เสมือนอยู่ในพายุทอร์นาโด, Flume Ride เรือยาวโต้คลื่นสูง และเรือโจรสลัดสเปนแกว่งถึง 75 องศา เป็นต้น ลานไอซ์สเก็ต ทะเลสาบ พิพิธภัณท์หมู่บ้านโบราณเกาหลี ขบวนพาเหรดรูปแบบต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

ที่ตั้ง: 240 Olympic-ro, Jamsil-dong, Songpa-gu, Seoul, South Korea

เวลาทำการ: 

Lotte World: 09:30 – 22:00 น. (เวลาปิดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัน โปรดตรวจสอบที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการอีกครั้ง

พิพิธภัณท์หมู่บ้านโบราณเกาหลี: วันธรรมดา 09:30 – 20:00 น. / วันหยุดสุดสัปดาห์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 09:30 – 21:00 น. (เปิดทุกวัน และเข้าชมรอบสุดท้าย 1 ชั่วโมงก่อนปิดทำการ)

ลานไอซ์สเก็ตในร่ม: วันอาทิตย์ – วันศุกร์ และวันหยุดราชการ 10:00 – 21:30 น. / วันเสาร์ 10:00 -22:00 น.

เว็บไซต์: lotteworld.com

(2) คลองชองกเยชอน (Cheonggyecheon Stream)

คลองชองกเยชอน (Cheonggyecheon Stream)

อีกหนึ่งสถานที่ ที่เหมาะที่จะพาครอบครัวมาเที่ยวเล่นพักผ่อน และสัมผัสกับประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายที่จะจัดขึ้นตลอดทั้งปี เหนือคลองจะมีสะพานทั้งหมด 20 สะพานที่ออกแบบมาด้วยแนวความคิดที่แตกต่างกัน เช่น สะพานนาแร (Narae Bridge) ที่เป็นตัวแทนของผีเสื้อที่โบยบิน กับสะพานกวางเกียว (Gwanggyo Bridge) สัญลักษณ์แห่งความลงตัวของอดีตและอนาคต นอกจากนี้บริเวณสองข้างทางริมคลองยังเต็มไปด้วยร้านคาเฟ่และร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ ให้ไว้นั่งพักผ่อนอีกด้วย และในช่วงเวลากลางคืนนั้นจะมีการเปิดไฟประดับตามทางเดินอย่างสวยงาม สามารถเดินเล่นเรียบคลองแห่งนี้ได้อย่างเพลิดเพลิน

ที่ตั้ง: 148 Seorin-dong, Jongno-gu, Seoul, South Korea
เวลาทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

(3) พิพิธภัณฑ์กิมจิ (Museum-Kimchikan)

แหล่งเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรมเกาหลีที่น่าสนใจและน่าสนุกเป็นอย่างมาก เพราะกิมจิถือว่าเป็นอาหารหรือเครื่องเคียงที่อยู่คู่กับชาวเกาหลีมาช้านาน เป็นสถานที่เพื่อไปเรียนรู้เกี่ยวกับกิมจิหลายแบบที่มีของเกาหลีตั้งแต่ดั้งเดิมจนถึงปัจจุบัน ผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับกิมจิในทุกรูปแบบที่แตกต่างกันรวมถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสนุกๆ ที่มีภายในพิพิธภัณฑ์อีกด้วย เช่น การเรียนรู้เรื่องการทำ การหมัก การเก็บรักษากิมจิ การเรียนทำกิมจิซึ่งจะเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเรียนและทำด้วยตัวเอง ซึ่งเรียกว่าเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับกิมจิโดยเฉพาะ แถมยังมีกิจกรรมสนุกๆให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมอีกด้วย

ที่ตั้ง: 35-4 Insadong-gil, Jongno-gu, Seoul
เวลาทำการ: อังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น. (เข้าชมรอบสุดท้าย 17.30 น.)

(4) สวนสนุกเอฟเวอร์แลนด์ (Everland)

สวนสนุกเอฟเวอร์แลนด์ (Everland)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Ho Phuoc Duy on Unsplash

เป็นสวนสนุกที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้เข้าชมได้ตลอดทั้งปี เป็น ที่เที่ยวสำหรับครอบครัว ที่ให้ทั้งความสนุกและความบันเทิง เพราะสถานที่ภายในมีสิ่งอำนวยความดวกไว้คอยบริการ มีการจัดงานเทศกาลขึ้นตลอดทั้งปีเช่น Tulip Festival, Rose Festival, Summer Splash, Halloween Festival, Romantic Illumination และเทศกาลอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งมีโซนเครื่องเล่น และโซนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่เด็กๆชื่นชอบ เรียกได้ว่า เป็นสวนสนุกที่มีความบันเทิงไว้คอยบริการครบครัน

ที่ตั้ง: 199 Everland-ro, Pogog-eup, Cheoin-gu, Yongin-si, Gyeonggi-do, South Korea
เวลาทำการ: 10.00 – 22.00 น. (เวลาทำการแตกต่างกันไป ตามวันในสัปดาห์ เยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างเป็นทางการที่นี่)

4. ประเทศสิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสิ่งทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะหรือแฟชั่น ที่เหมาะสำหรับการเดินทางออกนอกประเทศในระยะสั้น มี ที่เที่ยวสำหรับครอบครัว ที่เที่ยวสนุกๆ สำหรับเด็กๆ ให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ นอกเหนือตำราเรียน และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ก็สนุกไปด้วยกันได้

(1) สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo)

สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Kyan Ng on Unsplash

ภายในมีสัตว์กว่า 2,000 ตัว จากจำนวนมากกว่า 315 สายพันธุ์ รวมถึงสัตว์หายากอยู่ที่นี่ ให้เราเดินชมกันได้ทั้งวัน อีกทั้งบรรยากาศภายในสวนสัตว์ยังตกแต่งแบบจำลองธรรมชาติและป่าในแบบต่างๆได้เหมือนจริงมากๆ สำหรับที่อยู่ของสัตว์ก็จะใช้การสร้างกำแพงหินและลำธารแทนการใช้กรงขังอีกด้วยค่ะ ดังนั้นสัตว์ที่นี่ก็จะอาศัยอยู่แบบธรรมชาติมากๆ เราเองก็สามารถชมสัตว์ได้อย่างใกล้ชิด คุณจะมีโอกาสได้เก็บภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย พร้อมชมการแสดงสุดหรรษา และเข้าร่วมกิจกรรมสนุกๆ ที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว

ที่ตั้ง: 80 Mandai Lake Road, Singapore 729826 
เวลาทำการ: ทุกวัน เวลา 8.30 – 18.00 น. (เปิดขายตั๋วถึงเวลา 17.30 น.)

(2) ริเวอร์ซาฟารี (River Safari Singapore)

ริเวอร์ซาฟารี (River Safari Singapore)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Hansel Wong on Unsplash

สวนสัตว์ทางน้ำแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการทั่วทุกโซน ภายในจัดแสดงสัตว์แบบผสมผสานกันระหว่างแบบ Aquarium และแบบซาฟารี และมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ทำให้บรรยากาศสดชื่นเย็นสบายมากๆ นอกจากเด็กๆ จะได้พบกับสัตว์น้ำนานาชนิดแล้ว ยังมีแพนด้า แพนด้าแดง พะยูน และสัตว์แปลกๆ เกือบทั่วทุกมุมโลกภายในริเวอร์ซาฟารีแห่งนี้อีกด้วยค่ะ

ที่ตั้ง: 80 Mandai Lake Rd, Singapore 729826
เวลาทำการ: 10.00 – 19.00 น.

(3) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ S.E.A. Aquarium (South East Asia Aquarium)

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ S.E.A. Aquarium (South East Asia Aquarium)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Zheng Wei Lim on Unsplash

ผจญภัยในโลกใต้ทะเลที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทางทะเลที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถมยังครองอันดับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ภายในมีสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ ราว 100,000 ตัว มากกว่า 800 สายพันธุ์ ภายในแท็งก์บรรจุน้ำมากกว่า 60 ล้านลิตร มีทั้งปลากระเบน Manta Ray ที่แหวกว่ายอยู่ในบ่อขนาดใหญ่, ปลาเก๋ายักษ์, ปลานโปเลียน หรือปลานกขุนทองหัวโหนก และสามารถดูฉลามแบบใกล้ชิดได้มากกว่า 200 ตัว นอกจากนี้ยังมีปลาไหลมอเรย์ที่ชอบหลบอยู่ตามซอกหิน ด้วยพันธุ์สัตว์น้ำที่หลากหลาย รับรองได้เลยว่าพาลูกเที่ยวสิงคโปร์ มาที่นี้จะต้องฟินอย่างแน่นอน

ที่ตั้ง: Sentosa Island, 8 Sentosa Gateway, Singapore 098269
เวลาทำการ: 10.00 – 19.00 น.

(4) ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ (Universal Studio Singapore)

ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ (Universal Studio Singapore)

ถ้ามาเที่ยวสิงคโปร์ ก็ไม่ควรพลาดแวะชมสวนสนุกในธีมภาพยนตร์ฮอลลีวูดแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยว อุปกรณ์เครื่องเล่นที่แบ่งตามธีมภาพยนตร์ โดยมีทั้งหมด 7 โซนที่ถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อสร้างความบันเทิงสำหรับครอบครัวและผู้ชื่นชอบในความตื่นเต้นเร้าใจ และหากมาเที่ยวในวันศุกร์ เสาร์ หรือวันหยุดราชการบางวัน คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์ในสวนสนุกแห่งนี้ในยามค่ำคืนกับกิจกรรม Universal After Hours ที่มีกิจกรรมน่าตื่นเต้นมากมายจัดขึ้นไปจนถึง 22.00 น. สนุกไปกับท่วงทำนองเพลงมันๆ และการเต้นรำของ Rhythm Truck และเอร็ดอร่อยกับอาหารริมทางขึ้นชื่อ คุณจะต้องมนต์สะกดไปกับเหล่าดาราในงานพาเหรด Hollywood Dreams Light Up Parade

ที่ตั้ง: 8 Sentosa Gateway, Singapore
เวลาทำการ: เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 น. – 19.00 น. (อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเทศกาลและธีมพิเศษต่างๆ)

5. ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

Allanz Travel ขอนำคุณไปเที่ยวที่เมืองดูไบ นครใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งบนโลก หลายคนอาจคิดว่าที่นี่คงมีแต่ทะเลทรายตามสภาพอากาศของตะวันออกกลาง แต่ดูไบมี ที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว ที่น่าสนใจอยู่มากมาย อย่างเช่น ลานสกี มีเพนกวินให้กอด, มีตึกที่สูงที่สุดในโลก, มีห้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก, มีสวนสนุกและสวนน้ำระดับโลก รวมไปถึงมีวิวสวยๆให้เก็บภาพเป็นที่ระลึกเต็มไปหมด

(1) ดูไบ พาร์ค แอนด์ รีสอร์ท (Dubai Parks and Resorts)

ดูไบ พาร์ค แอนด์ รีสอร์ท (Dubai Parks and Resorts)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Dubai Parks and Resorts

แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดของดูไบที่รวบรวมสวนสนุกขนาดใหญ่ถึง 3 แห่งและสวนน้ำอีก 1 แห่งไว้ในที่เดียว! บอกเลยว่าคุ้มค่าสุดๆ เราสามารถเดินทางไปยังสวนสนุกแห่งนี้อย่างสะดวกสบายและไม่ยุ่งยาก ด้วย บริการรถรับส่งส่วนตัวระหว่างดูไบ พาร์ค แอนด์ รีสอร์ท กับสวนสนุกเลโก้แลนด์และสวนน้ำเลโก้แลนด์ นอกจากนี้ยังมีสวนสนุกโมชั่นเกต ที่มีเครื่องเล่นสุดตระการตาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ต่าง ๆ ของฮอลลีวู้ด เช่น The Hunger Games, Ghostbusters, Step Up เป็นต้น และสวนสนุกบอลลีวู้ดพาร์ค สวนสนุกแห่งแรกของโลกในธีมภาพยนตร์บอลลีวู้ด ที่ภูมิใจนำเสนอทั้งเครื่องเล่นแบบอินเตอร์แอคทีฟให้ผู้ชมมีส่วนร่วมได้ และเทคโนโลยีมัลติมีเดียที่ไม่เหมือนใคร

ที่อยู่: Sheik Zayed Rd, Opp Palm Jebel Ali, Dubai, UAE

เวลาทำการ: 

สวนสนุกเลโก้แลนด์ : วันเสาร์-วันพุธ เวลา 10:00-18:00 น. / วันพฤหัสบดี-วันศุกร์ เวลา 10:00-20:00 น.

สวนน้ำเลโก้แลนด์ : ทุกวัน เวลา 10:00-18:00 น.

สวนสนุกโมชั่นเกต : วันเสาร์-วันพุธ เวลา 11:00-20:00 น. / วันพฤหัสบดี-วันศุกร์ เวลา 11:00-21:00 น.

สวนสนุกบอลลีวู้ดพาร์ค : วันเสาร์-วันพุธ เวลา 13:00-21:00 น. / วันพฤหัสบดี-วันศุกร์ เวลา 13:00-22:00 น.

เว็บไซต์: www.dubaiparksandresorts.com/en

(2) โลกแห่งการผจญภัย IMG (IMG Worlds of Adventure)

สวนสนุกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ขนาด 28 สนามฟุตบอล มีพื้นที่รวม 4 โซน ได้แก่ Marvel (โซนเหล่าฮีโร่ชื่อดัง), Lost Valley (โซนไดโนเสาร์), IMG Boulevard (โซนบ้านผีสิงท้าความกล้า) และ Cartoon Network (โลกแห่งจินตนาการสำหรับเด็กเล็ก) นอกจากนี้ ในสวนสนุกยังมีเครื่องเล่นและบริการอื่นๆ เช่น โรงภาพยนตร์แบบ Multiplex 12 แห่ง และ 3D IMAX เป็นต้น

ที่ตั้ง: E311 Sheikh Mohammed Bin Zayed Rd – City of Arabia – Dubai
เวลาทำการ: จันทร์ – พฤหัสบดี 12:00-22:00 / ศุกร์ – อาทิตย์ 12:00-23:00

(3) สวนน้ำอควาเวนเจอร์ (Aquaventure Waterpark)

สวนน้ำอควาเวนเจอร์ (Aquaventure Waterpark)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Atlantis Dubai

ส่วนหนึ่งในบริเวณรีสอร์ต Atlantis the Palm ไฮไลท์อยู่ที่ Shark Attack ลื่นสไลเดอร์ลอดอุโมงค์ชมฝูงฉลามใต้ทะเลสาบ คุณพ่อใจกล้าลองเล่นแคปซูลสไลเดอร์ความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงให้กระตุ้นอดรีนาลีน นอกจากนี้ยังมีโซน Dolphins Bay ให้เด็กๆ ได้สัมผัสความน่ารักและเกาะครีบหลังโลมาว่ายน้ำอย่างใกล้ชิด โซน Cownose Ray Feeding ป้อนอาหารปลากระเบนกับมือ โซนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในธีมผจญภัย The Lost Chambers Aquarium สนุกสนานกับเกมอินเตอร์แอคทีฟที่จะทำให้รู้จักสัตว์ทะเลมากขึ้น รวมถึงโซนสิงโตทะเล Sea Lion Discovery

ที่ตั้ง: Atlantis The Palm – Crescent Rd – Dubai – UAE
เวลาทำการ: ทุกวัน 10.00 – 17.00 น.

(4) เดอะกรีนแพลนเน็ต (The Green Planet)

เดอะกรีนแพลนเน็ต (The Green Planet)
ขอบคุณรูปภาพจาก : The Green Planet

สถานที่แห่งความมหัศจรรย์ทั้งทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมที่ได้รวบรวมเอาความสวยงามของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน ไบโอโดมใจกลางเมืองแห่งทะเลทรายถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการศึกษาเกี่ยวกับระบบนิเวศสีเขียวของโลก รวมไปถึงพืชพันธุ์และสัตว์ที่มักถูกพบได้แค่ที่ป่าฝนเขตร้อน ซึ่งอยู่ห่างไกลจากดูไบ ก็ถูกนำมาไว้ในไบโอโดมแห่งนี้ด้วย เด็ก ๆ จะได้รู้จักกับ The Canopy ชั้นซึ่งช่วยในการกระจายแสงแดดและสายฝน โดยอยู่สูงจากพื้นดินขึ้นไป 30-40 เมตร ในส่วนของ Midstory เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชั้นกลางของป่าฝนเขตร้อนพร้อมกับใบไม้ขนาดใหญ่ สำหรับชั้น Forest Floor พบกับสัตว์หลากหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเปียกชื้น และในส่วนพื้นที่ Flooded Rainforest จะเต็มไปด้วยสัตว์พิเศษที่เติบโตในสภาพแวดล้อมเปียกแฉะและเต็มไปด้วยน้ำ สถานที่ท่องเที่ยวในรูปแบบป่าฝนเขตร้อนแห่งนี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศเท่านั้น แต่คุณยังได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของพื้นที่เหล่านี้ที่มีต่อผู้คนและโลกใบนี้อีกด้วย

ที่ตั้ง: City Walk | Al Wasel Road, Dubai 123311, United Arab Emirates
เวลาทำการ: 10:00-18:00 น.

ประเทศต่างๆ ที่ Allianz Travel แนะนำ ล้วนมีความสวยงามของทัศนียภาพโดยรอบ และมีสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่น่าตื่นตาตื่นใจ รวมถึงเป็นที่ที่ทำให้พ่อแม่ลูกได้ทำกิจกรรมร่วมกัน หากเราได้พาเด็กๆ ได้ไปเที่ยวสถานที่ที่ประทับใจก็จะกลายเป็นประสบการณ์ที่เก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป 

และสิ่งสำคัญที่ต้องมีพกติดตัวไว้ก็คือประกันการเดินทาง เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด และอุ่นใจ สนุกได้เต็มที่ Allianz Travel ขอนำเสนอแผนที่คุ้มยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการซื้อประกันการเดินทางแผนครอบครัว (ประกันการเดินทาง Dance Moves แผน Samba และแผน Tango) ในราคาที่ประหยัดกว่า โดยจ่ายค่าเบี้ยในราคาสำหรับ 2 คน แต่คุ้มครองทั้งครอบครัวได้ถึง 4 คน เรียกได้ว่าถ้าเดินทางเที่ยวพร้อมกันพ่อ แม่ ลูก ก็ประหยัดเงินไปกว่าครึ่ง แต่ได้ความคุ้มครองเต็มทุกคนเลยค่ะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครอง และเลือกแผนที่เหมาะกับความต้องการของคุณได้ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Talon Japan, Travel True ID, Visit Singapore, Trip.com, Chillout Korea, Hong Kong Tourism Board, Visit Dubai

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

มหาวิทยาลัยในอเมริกา

10 อันดับ มหาวิทยาลัยในอเมริกา 2023

ช่วงนี้เป็นช่วงที่นิสิตนักศึกษากำลังจะเริ่มเปิดเทอม หรือบางคนก็กำลังหาข้อมูลที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ และประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ละที่ก็มีคุณภาพคับแก้ว มีการเรียนการสอนที่ดี มีศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมากมาย  ทำให้ยากที่จะตัดสินว่าจะเลือกสมัครที่ไหนดี วันนี้ Allianz Travel รวบรวมข้อมูล 10 อันดับ มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่ดีที่สุดในปี 2023 (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2565) จัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds (QS) หรือ QS World University Rankings ซึ่งเป็นองค์กรการให้ข้อมูลในด้านการศึกษาและการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เรามาทำความรู้จักมหาวิทยาลัยเหล่านั้นกันเลยค่ะ

1. Massachusetts Institute of Technology (MIT)

Massachusetts Institute of Technology (MIT)

มหาวิทยาลัยที่ได้อันดับ 1 จากการจัดอันดับของ QS ในปีนี้คือ “สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์” ก่อตั้งขึ้นในปี 1861 เป็นสถาบันชั้นนำทางเทคโนโลยี ดังนั้นสาขาวิชาชื่อดังของที่นี่ย่อมหนีไม่พ้นวิศวกรรมศาสตร์ในสาขาต่างๆ และยังมีสาขาเคมีและฟิสิกส์อีกด้วยเช่นกัน เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นที่รู้กันว่ามีเด็กได้เหรียญโอลิมปิค (International Olympic Medals, IOM) มากมายโดยเฉพาะทางด้าน Science และ Math จึงมีนักเรียนทุนรัฐบาลไทยไปเรียนที่นี่จำนวนไม่น้อย รับรองว่าทั้งการเรียนการสอน และการวิจัยของที่นี่เข้มข้นแน่นอน

ที่ตั้ง: เมือง Cambridge รัฐ Massachusetts อยู่ห่างจากสนามบิน Boston Logan 8 กิโลเมตร ขับรถเพียง 12 นาที 

ค่าเทอมต่อปี: 55,878 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับเข้าเรียน: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://web.mit.edu/

2. Stanford University

Standford University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Standford University

มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดก่อตั้งขึ้นในปี 1891 และได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 3 สถาบันชั้นนำทางเทคโนโลยีในอเมริกา สาขาวิชาที่ดังมากๆ คือ วิทยาศาสตร์การแพทย์ ฟิสิกส์ และเศรษฐศาสตร์ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเท่านั้นที่ดีนะคะ เพราะด้านกีฬาก็เด่นมากด้วยเหมือนกัน ทั้งเรื่องอเมริกันฟุตบอล เทนนิส และกอล์ฟ แสตนฟอร์ดเคยได้รับถ้วยรางวัล Director’s Cup ที่มอบให้กับมหาวิทยาลัยที่ประสบความสำเร็จด้านกีฬามากที่สุดเป็นเวลาถึง 11 ปีติดต่อกัน!

ที่ตั้ง: เมือง Stanford รัฐ California อยู่ห่างสนามบิน San Francisco International Airport (SFO) เพียง 38 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาทีเท่านั้น

ค่าเทอมต่อปี: 56,169 เหรียญ

อัตราการตอบรับเข้าเรียน: 5% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.stanford.edu/

3. Harvard University

Harvard University

เราเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก “มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด” อย่างแน่นอน เพราะเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงในระดับโลก และ เป็น มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่เก่าแก่ที่สุด ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1636 มีชื่อเสียงทุกด้านจนแทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ซึ่งมาจากคุณภาพทางวิชาการ คุณภาพของคณาจารย์ที่สอน และคุณภาพของนักศึกษา เป็นมหาวิทยาลัยที่ปั้นประธานาธิบดีของอเมริกามาถึง 8 คน มหาเศรษฐีหมื่นล้าน 188 คน ได้รางวัลโนเบล 160 คน นักกีฬาได้เหรียญโอลิมปิค 108 คน (ข้อมูลจาก Wikipedia) ความยากในการเข้า Harvard เป็นที่รู้กันดีว่ายากมากๆ แต่ก็มีคนไทยหลายคนที่เรียนจบจากที่นี่กันนะคะ สาขาวิชาที่โดดเด่นของที่นี่ได้แก่ การแพทย์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสังคมศาสตร์

ที่ตั้ง: เมือง Cambridge รัฐ Massachusetts อยู่ห่างจาก Boston Logan International Airport เพียง 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 10-15 นาที

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 55,587 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 5% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.harvard.edu/

4. California Institute of Technology (Caltech)

California Institute of Technology (Caltech)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Caltech

“สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย” หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า “แคลเทค” ได้รับการจัดอันดับว่ามีความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยี เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะด้านจากแหล่งอุตสาหกรรมด้านเทคโนโล ถือเป็นอีกสถาบันที่มีผลงานวิจัยโดดเด่นและมีคุณภาพมากๆ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาแบบเจ๋งๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะห้องวิจัยพลังงานขับดัน (Jet propulsion laboratory) ของนาซ่า เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาโครงการวิจัยของตนเองร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา ใครที่อยากเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ขอบอกเลยว่าจะพลาดที่นี่ไม่ได้ โดยเฉพาะสาขาวิศวกรรมอากาศยาน วิศวกรรมโยธา และวิศวกรรมเครื่องยนต์

ที่ตั้ง: เมือง Pasadena รัฐ California

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 58,680 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.caltech.edu/

5. University of Chicago

University of Chicago
ขอบคุณรูปภาพจาก : The University of Chicago

มหาวิทยาลัยชิคาโก เป็น มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่เน้นการวิจัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาและของโลก ก่อตั้งในปี ค.ศ.1890 โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก ‘จอห์น ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์’ (John D. Rockefeller) มหาเศรษฐีน้ำมันชาวอเมริกัน เน้นให้นักศึกษาเรียนจากตำราคลาสสิก ต้นฉบับต่าง ๆ (The Great Books) การเน้นการอภิปรายในชั้นเรียนมากกว่าจากการบรรยาย นอกจากนี้ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็น “อาจารย์ของเหล่าอาจารย์” (Teacher of Teachers)อีกด้วย เนื่องจากศิษย์เก่าที่จบจากที่นี่ประมาณหนึ่งในเจ็ด ไปประกอบอาชีพเป็นครูอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ มหาวิทยาลัยชิคาโกได้ให้กำเนิดสำนักความคิด (School of Thought) ในหลายสาขาวิชา อาทิ สำนักเศรษฐศาสตร์ชิคาโก (The Chicago School of Economics) สำนักวรรณคดีวิจารณ์ชิคาโก (The Chicago School of Literary Criticism) สำนักสังคมวิทยาชิคาโก (The Chicago School of Sociology) และการบุกเบิกในด้านกฎหมายกับเศรษฐศาสตร์ (Law and Economics) ในทางวิทยาศาสตร์ ได้มีการคิดค้นปฏิกิริยานิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในโลกในบริเวณมหาวิทยาลัย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการแมนฮัตตัน ส่วนใครที่อยากเรียนสาขาสังคมวิทยา ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่เปิดสอนเลยนะคะ

ที่ตั้ง: เมือง Chicago รัฐ Illinois อยู่ในชุมชนไฮด์พาร์ก (Hyde Park) ห่างจากใจกลางเมืองชิคาโกไปทางใต้ประมาณ 12 กิโลเมตร

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 60,963 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.uchicago.edu/

6. University of Pennsylvania

University of Pennsylvania
ขอบคุณรูปภาพจาก : Penn Today

มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยเอกชนชั้นนำของอเมริกาก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1740 เก่าแก่เป็นอันดับที่ 4 ของอเมริกา โดยผู้ก่อตั้งสถาบันคือเบนจามิน แฟรงคลิน หนึ่งในบิดาแห่งการสร้างชาติอเมริกานั่นเองค่ะ ที่นี่เปิดสอนระดับปริญญาตรีทั้งหมด 4 คณะ ระดับปริญญาโทและเอก 12 คณะ ที่ดังที่สุดของที่นี่คือ หลักสูตรปริญญาตรีด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ที่ติดอันดับ 1 ของประเทศมายาวนาน นอกจากนี้ยังมีคณะที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกคือ แพทย์ศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ มีคนไทยที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เรียนจบจากที่นี่ แต่การจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้นั้นค่อนข้างยาก เรียกว่าเป็นอีกสถาบันที่มีการแข่งขันเข้าเรียนสูงที่สุดเลยล่ะ

ที่ตั้ง: เมือง Philadelphia รัฐ Pennsylvania อยู่ระหว่าง New York City และ Washington DC โดยห่างจากสนามบิน New York JFK 180 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมง ห่างจาก เมือง Baltimore 150 กิโลเมตร และห่างจากเมือง Washington DC 225 กิโลเมตร

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 61,710 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 9% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.upenn.edu/

7. Princeton University

Princeton University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Princeton University

มหาวิทยาลัยพรินซ์ทัน หนึ่งในมหาวิทยาลัยในกลุ่มIvy League ก่อตั้งเมื่อปี 1746 และเปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอก ที่นี่มีชื่อเสียงมากทางด้านศิลปะและมนุษย์ศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยด้วย

ที่ตั้ง: เมือง Princeton รัฐ New Jersey อยู่ห่างจากสนามบิน John F. Kennedy ระยะทาง 105 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถ 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือ สนามบิน Newark Liberty ระยะทาง 65 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถ 50-60 นาที

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 56,060 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 6% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.princeton.edu/

8. Yale University

Yale University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Yale University

มหาวิทยาลัยเยลก่อตั้งขึ้นในปี 1701 เป็นอีกหนึ่ง มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่อยู่ในกลุ่มสมาชิก Ivy League และเป็นสถาบันที่เก่าแก่เป็นอันดับที่ 3 ของอเมริกา มหาวิทยาลัยจัดขึ้นตามหลักการทางวิชาการของการศึกษาเสรีนิยม มุ่งมั่นที่จะมีความโดดเด่นในด้านการสอนและการมีส่วนร่วมของนักเรียน และในการเพิ่มพูนประสบการณ์ของนักเรียน โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกและร้านอาหาร ร้านค้า และสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมายภายในมหาวิทยาลัยและรอบๆ เมือง New Haven เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทางด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และชีววิทยา

ที่ตั้ง: เมือง New Haven รัฐ Connecticut สามารถเดินทางได้ทั้งจาก Boston และ New York แต่ถ้ามาจากสนามบิน John F. Kennedy International Airport จะใกล้กว่า ระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร ขับรถประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาทีถึง 2 ชั่วโมง

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 59,950 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.yale.edu/

9. Cornell University

Cornell University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Cornell University

มหาวิทยาลัย Cornell ก่อตั้งเมื่อปี 1865 เป็น Ivy ที่มีอัตรการตอบรับสูงสุด ซึ่งอาจเป็นเพราะมีขนาดคลาสเรียนที่ใหญ่กว่ามหาวิทยาลัย Ivy อื่นๆ ซึ่งรับนักศึกษาปีละ 1-3 พันคน แต่ที่นี่รับนักศึกษาได้ถึงปีละ 5 พันกว่าคน Cornell มีชื่อเสียงทางด้านวิศวกรรมศาสต์ ธุรกิจ ศึกษาศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ ส่วนคณะฮอตฮิตของที่นี่คือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่ระดับปริญญาตรีติดอันดับ 1 ของอเมริกาติดต่อกันหลายปี และคณะการจัดการโรงแรม ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร CEOWORLD ให้เป็นอันดับ 1 ของโลก

ที่ตั้ง: เมือง Itaca รัฐ New York

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 61,015 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 11% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.cornell.edu/

10. Columbia University

Columbia University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Columbia University

ก่อตั้งเมื่อปี 1754 ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในนครนิวยอร์ก  และเก่าแก่เป็นอันดับ 5 ของอเมริกา มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำระดับโลก มีศิษย์เก่าและอาจารย์ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมาย ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ มากถึง 102 คน และยังมีศิษย์เก่าที่เป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการจากที่นี่ล้วนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ อย่างเช่น เลเซอร์ที่เราใช้กันในปัจจุบันก็มาจากการค้นพบของของโคลัมเบียค่ะ นอกจากด้านวิทยาศาสตร์แล้ว สาขาที่มีชื่อเสียงคือ นิติศาสตร์ ศิลปะ วิศวกรรมศาสตร์ ศัลยศาสตร์ และสาธารณสุข

ที่ตั้ง: New York City รัฐ New York อยู่ห่างจากสนามบิน John F. Kennedy International Airport เพียง 31 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 30 นาที

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 63,530 เหรียญ

อัตราการตอบรับ: 5.1% (ข้อมูลจาก ivycoach.com)

เว็บไซต์: https://www.columbia.edu/

การเดินทางเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศในแต่ละครั้ง เราจะเดินทางเป็นระยะเวลาที่นานหลายเดือน หรือบางคนอาจอยู่ยาวเป็นปีๆ ทำให้ความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นก็มีมากขึ้นตามไปเช่นกัน การเลือกทำประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถเพิ่มความอุ่นใจให้กับเราตลอดระยะเวลาที่เราเรียนอยู่ที่ต่างประเทศได้
ประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel คุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าเคลื่อนย้ายกรณีเกิดอุบัติเหตุ การชดเชยค่าเล่าเรียน หรือความคุ้มครองอื่น ๆ มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนต่อที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : ivycoach.com , www.usnews.com , QS World University Rankings 2023: Top global universities


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

10 อาหารเกาหลียอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

10 อาหารเกาหลี ยอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

เกาหลีใต้ หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เหล่าสาวกเกาหลีคงเริ่มวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวเกาหลีกันแล้ว ยิ่งถ้าใครติดตามซีรีย์เกาหลี ก็คงต้องอินกับ อาหารเกาหลี เมนูต่างๆ ที่มีทั้งในฉากรับประทานอาหาร หรือฉากทำกับข้าว จนหลายคนต้องกับหัดทำหรือตามรอยไปหาที่ชิมกัน และยิ่งถ้ามีโอกาสได้เดินทางไปถึงเกาหลี แล้วยิ่งต้องจัดให้ได้! 

วันนี้ Allianz Travel จัด 10 อาหารเกาหลี เมนูเด็ดที่สายกินห้ามพลาด มาให้เพื่อนๆ ได้เก็บไว้ในลิสต์ตามชิม หากได้ไปเยือนเกาหลีกันค่ะ

1. กิมจิ

อาหารเกาหลี กิมจิ

อาหารหรือเครื่องเคียงที่อยู่คู่กับชาวเกาหลีมานานกว่า 2,000 ปี มีจุดเริ่มต้นจากสภาพอากาศของเกาหลีในฤดูหนาวที่หนาวจัดจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ จึงต้องใช้วิธีการดองเพื่อยืดอายุอาหาร ซึ่งก็คือกิมจินั่นเอง และในปัจจุบันกิมจิได้รับความนิยมในการกินมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเครื่องเคียงที่นิยมกินคู่กับอาหารต่างๆ โดยเฉพาะการกินอาหารประเภทปิ้งย่าง

2. บิบิมบับ

อาหารเกาหลี บิบิมบับ

เมนูข้าวยำจานเด็ดของเกาหลีที่ไม่ควรพลาด มีเสริฟอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหาร ฟู้ดคอร์ท หรือแม้แต่ตามสตรีทฟู้ด บิบิมบับจะสามารถเลือกรับประทานได้ว่าจะใส่เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเน้นผัก แต่ส่วนประกอบที่สำคัญของบิบัมบับจะมี ข้าวสวยร้อนๆ ผักต่างๆ และไข่ดิบ

3. ซัมกยอบซัล

อาหารเกาหลี ซัมกยอบซัล

หมูสามชั้นย่างที่หมักด้วยซอสสูตรพิเศษทำให้ซัมกยอบซัลมีรสชาติที่อร่อย นุ่ม กลอมกล่อม นิยมทานคู่กับผักหลากหลายชนิด พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ และมีน้ำจิ้มสำหรับทานคู่กันคือซัมจัง

4. บูลโกกิ

อาหารเกาหลี บูลโกกิ

เมนูเนื้อย่างหรือผัดสไตล์เกาหลี จุดเด่นคือตัวเนื้อจะถูกหมักด้วยซอส น้ำมันงา และเครื่องปรุงอื่นๆ ทำให้เนื้อมีความนุ่ม หวาน หอม อร่อย สามารถทานคู่กับข้าวร้อนๆ หรือห่อผักและทานคู่กับน้ำจิ้มก็ได้

5. ต๊อกบกกี

อาหารเกาหลี ต๊อกบกกี

อาหารที่อยู่คู่กับวงการสตรีทฟู้ดของเกาหลีมาอย่างเนิ่นนาน คือการนำคาแรต็อก (แป้งเค้กข้าว) หรือที่รู้เราทุกคนจะคุ้นหูว่า “แป้งต๊อก” ไปผัดกับซอสเกาหลีสีแดง มีรสชาติเผ็ด หวาน อร่อย มีเอกลักษณ์พร้อมใส่ปลาแผ่น และผักเล็กน้อย ซึ่งในบางร้านจะใส่ไข่ต้มหรือเส้นรามยอนลงไปอีกด้วย

6. ไก่ทอดเกาหลี

ไก่ทอดเกาหลี

เมนูที่กำเนิดจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามเกาหลี ถึงหน้าตาจะดูเหมือนไก่ทอดธรรมดา แต่จะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละร้านไม่ซ้ำกัน โดยทั่วไปจะคลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดหวาน บางร้านก็จะมีท๊อปปิ้งพิเศษเพิ่มเติมใส่ลงไปด้วย เช่น แป้งต๊อกทอด เฟรนฟราย หรือการราดชีส ซึ่งคนเกาหลีนิยมทานเป็นกับแกล้มกับเบียร์

7. ซัมกเยทัง

อาหารเกาหลี ซัมกเยทัง

หรือก็คือซุปไก่โสม เป็นเมนูที่คนเกาหลีนิยมทานกันช่วงฤดูร้อน (ช่วงเดือน มิถุนายน – ต้นเดือนกันยายน) เพื่อช่วยฟื้นฟูกำลังของร่างกาย ไก่ที่นำมาประกอบเมนูนี้จะเป็นไก่ที่อายุไม่เกิน 45 วัน ยัดใส้ด้วยข้าวเหนียว และสมุนไพรต่างๆ เช่น เกาลัด พุทรา โสม แปะก๊วย

8. บิบิม เนงเมียน

อาหารเกาหลี บิบิม เนงเมียน

บะหมี่เย็นสไตล์เกาหลี ตัวเส้นที่ใช้จะเป็นเส้นยาวบาง ทำจากแป้งผสมบัควีท หรือมันหวาน เสิร์ฟในชามสเตนเลสเย็นๆ คลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดร้อน เป็นเมนูที่ชาวเกาหลีนิยมทานในช่วงฤดูร้อน

9. จาจังมยอน

อาหารเกาหลี จาจังมยอน

บะหมี่ดำเกาหลี ใช้เส้นบะหมี่แบบหนาคล้ายเส้นอุด้ง คลุกเคล้าด้วยซอสที่ทำจากเต้าเจี้ยว ถั่วดำหมัก ผัดกับเนื้อหมูหั่นและผัก นอกจากนี้ จาจังมยอนถือเป็นอาหารที่บ่งบอกถึงความโสด เนื่องจากในวันแบล๊กเดย์หรือวันคนโสดของเกาหลีซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายน เหล่าคนโสดจะพร้อมใจกันรับประทานจาจังมยอนกัน ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีเฉพาะที่เกาหลีที่เดียว

10. จิเก

อาหารเกาหลี จิเก

หรือซุปเกาหลี มีหลากหลายแบบตามประเภทเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไป เช่น เต้าหู้ ไข่ปลา เนื้อปู กิมจิ หรือเนื้อหมู ปรุงรสด้วยโกชูจัง มิโซะหมัก เต้าเจี้ยวหรือกุ้งดองเค็ม นิยมทานเป็นของคั่นกลางระหวางอาหารจานหลัก

ในประเทศเกาหลียังมีอาหารอร่อยอีกมากมายรอให้เพื่อนๆ ได้ไปชิมกัน ใครที่ตามหาอาหารเพื่อตามรอยซีรีส์ที่ชอบ คงสนุกและอิ่มท้องกันนะคะ

และที่สำคัญสำหรับการเดินทางทุกครั้ง เหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ Allianz Travel ขอแนะนำประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า และอื่นๆ อีกมากมาย #DanceMoves จะช่วยให้คุณทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทริปได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://sg.hotels.com/go/south-korea/great-korean-dishes

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

5 เทศกาลห้ามพลาด ในยุโรป

เทศกาลห้ามพลาดในยุโรป เป็นเทศกาลท้องถิ่นที่เป็นวัฒนธรรมที่สืบสานตกทอดมาจากอดีต ซึ่งจะมีความเป็นเอกลักษณ์ และความสวยงาม ให้ผู้เข้าร่วมเทศกาลได้รับกับประสบการณ์ที่สุดตื่นตา Allianz Travel จึงนำเทศกาลที่ไม่ควรพลาดหากได้ไปท่องเที่ยวยุโรปมาให้ดูกันว่ามีอะไรบ้าง

เทศกาล Midsummer ประเทศ สวีเดน

เทศกาลเพื่อเฉลิมฉลองวันครีษมายัน เป็นอีกเทศกาลห้ามพลาดในยุโรป เป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุดในรอบปีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งถือเป็นวันที่สำคัญมากที่สุดของสวีเดน ใันงานเทศกาล Midsummer นี้จะมีจะมีการร้องเพลงต่างๆ แต่เพลงที่ขาดไม่ได้ในงานนี้เลยคือเพลง “Sma Grodorna” หรือแปลว่าเจ้ากบน้อย ซึ่งในขณะที่ร้องเพลงนี้ผู้มาร่วมงานจะทำท่าเต้นที่เหมือนกบและกระโดดไปรอบๆ เสากลางงานเทศกาลที่เป็นลัญลักษณ์ของเทศกาล(Maypole) และสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยในงานเทศกาลก็คืออาหาร โดยในงานจะมีเสิร์ฟอาหาร 3 อย่างเป็นหลักคือ มันฝรั่งสดๆ ปลาแฮริ่งดอง และสตรอว์เบอร์รีตลอดงานเทศกาล นอกจากอาหารแล้ว ก็จะมีการเสิร์ฟเบียร์เย็นๆ หรือสุรา อควาวิตที่ผลิตในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งตามวัฒนธรรมของสวีเดนแล้วหากมีการดื่มสุราก็จะมีการร้องเพลงดื่มสุราที่เรียกว่า Snapvisor ด้วย

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: เทศกาลจะจัดขึ้นในทุกวันศุกร์ปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงก่อนวันครีษมายัน

เทศกาล La Tomatina ประเทศสเปน

La Tamotina เป็นเทศกาลแห่งการปามะเขือเทศที่จะย้อมเมืองให้เป็นสีแดง เริ่มจัดในช่วงเช้าโดยการใช้แฮมเสียบลงในแท่งไม้ใจกลางจัตุรัสเมือง ให้ผู้มาร่วมงานแข่งขันกันขึ้นไปหยิบแฮมชิ้นนั้นเพื่อเป็นสัญญานเริ่มต้นสงครามมะเขือเทศ หลังจากสัญญานการเริ่มงานเกิดขึ้นแล้ว จะมีรถบรรทุกมะเขือเทศที่ใกล้หมดอายุขัยเพื่อให้แน่ใจว่าผลมะเขือเทศจะนิ่ม และไม่เป็นอันตรายต่อผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งจะใช้มะเขือเทศทั้งหมดเกือบ 180 ตัน ในระยะเวลาของเทศกาลที่จัดขึ้นเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

งานเทศกาล La Tamatina จะมีการเก็บค่าเข้าร่วมคนละ 10 euro หรือประมาณ 360บาท และจำกัดจำนวนของผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานได้เพียง 30,000 คน ซึ่งหากเพื่อนๆ ต้องการไปเข้าร่วม Allianz Travel แนะนำให้ใส่แว่นตาสำหรับว่ายน้ำเพื่อปกป้องดวงตา และใส่รองเท้าคู่เก่าเพราะรองเท้าของเราจะพังอย่างแน่นอน

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: เทศกาลนี้จัดขึ้นทุกปี ในวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ที่หมู่บ้านบาเลนเซีย เมือง Bunol

เทศกาล Up Helly Aa ประเทศสกอตแลนด์

Up Helly Aa เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงชาวไวกิ้ง ที่เป็นชนเผ่านักรบและนักเดินเรือ ผู้คนจะแต่งตัวกันในชุดนักรบไวกิ้งแบบเต็มยศน่าเกรงขาม ซึ่งสีและธีมของชุดไวกิ้งก็จะเปลี่ยนไปทุกๆ ปีอีกด้วย และในระหว่างวันก็จะมีการเดินขบวนพาเหรดไวกิ้งซึ่งเปิดโอกาสให้แก่นักท่องเที่ยวร่วมแต่งกายเป็นไวกิ้งและเดินขบวนร่วมไปด้วยได้ นอกจากขบวนพาเหรดไวกิ้งแล้ว ยังมีการจัดนิทรรศการ Up Helly Aa ให้เข้าชมโดยเนื้อหาของนิทรรศการจะประกอบด้วย ประวัติของชาวไวกิ้ง อุปกรณ์ของชาวไวกิ้งต่างๆ ชุดไวกิ้งที่ใช้ในงานเทศกาล Up Helly Aa ที่ผ่านมา และภาพถ่ายบรรยกาศของงาน Up Helly Aa ในปีต่างๆ

พอถึงช่วงเย็นที่พระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งชาวเมืองที่แต่งตัวด้วยชุดนักรบไวกิ้งก็จะตั้งขบวนอีกครั้ง โดยรอบนี้จะมีการจุดคบเพลิง และลากเรือไวกิ้งที่จัดทำขึ้นเพื่อเทศกาลนี้โดยเฉพาะไปทั่วเมือง หลังจากที่ลากเรือไวกิ้งไปทั่วเมืองแล้วขบวนไวกิ้งก็จะนำเรือมาไว้ที่ลานกว้างของเมือง เพื่อร้องเพลง และเต้นรอบเรือไวกิ้ง จากนั้นก็จะทำการจุดไฟเผาเรือโดยคบเพลิงของผู้ร่วมงาน หลังจากเผาเรือแล้วก็จะมีการเฉลิมฉลองตลอดทั้งคืนทั้ง การกิน การดื่ม การเต้นรำไปกับเสียงดนตรี ถือเป็นเทศกาลไฟที่สร้างความสุข และความสนุกสนานให้ผู้มาร่วมได้อย่างมากมาย

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: จัดขึ้นที่ท่าเรือของเมืองเลอร์วิก ในปลายเดือนมกราคมของทุกปี

เทศกาล Oktoberfest ประเทศเยอรมัน

Oktoberfest คือเทศกาลเบียร์ที่โด่งดังที่สุดในโลก จัดที่เมืองมิวนิก ภายในงานเราจะได้เห็นภาพแห่งความสนุกสนานของเต็นท์ขนาดใหญ่ที่มีนักร้อง และวงดนตรีมาเล่น พร้อมกับผู้ที่มาร่วมงานที่แต่งกายในชุดพื้นเมืองที่เรียกว่า Lederhosen สำหรับผู้ชาย และ Dirndl สำหรับผู้หญิง มีอาหาร และเครื่องดื่มที่มากมายหลากหลายภายในงาน เป็นอีกหนึ่งใน เทศกาลห้ามพลาดในยุโรป

เต๊นท์และร้านค้าภายในงาน จะแบ่งเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ เต็นท์เบียร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และซุ้มเครื่องเล่น โดนร้านอาหารที่อยู่นอกเต๊นท์เบียร์จะขายอาหารจำพวกไส้กรอก และแซนวิชเพื่อให้รองท้องก่อนเข้าไปจัดเต็มกับอาหารในเต๊นท์เบียร์ ส่วนเครื่องเล่นก็จะมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นซุ้มยิงปืน โยนบอล ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ ราวกับยกสวนสนุกมาไว้ในงานเลยทีเดียว

ส่วนพระเอกของงานนี้ที่จะพลาดไปไม่ได้เลยคือเต๊นท์เบียร์ขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีมากกว่า 14 เต็นท์ แต่ละเต๊นท์ก็จะมีการตกแต่ง และกิจกรรมที่แตกต่างกันไป

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน ยาวถึงต้นเดือนตุลาคม ประมาณ 16-18วัน ในทุกๆ ปี

เทศกาล Venice Carnival ประเทศอิตาลี

เวนิส เมืองแห่งสายน้ำ และความโรแมนติก มีเทศกาลประจำเมืองคือ Venice Carnival ที่มีจุดกำเนิดมาจากในสมัยก่อนที่ชาวเมืองเวนิสจะสวมใส่หน้ากากในการดำรงชีวิต เป็นการซ่อนหน้าตา และชนชั้นวรรณะไว้ใต้หน้ากาก แต่การใส่หน้ากากก็ถูกห้ามขึ้นในปี ค.ศ. 1797 จากการที่เมืองถูกยึดครองโดยกองทัพนโปเลียน แต่ประเพณีการสวมหน้ากากก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1978 โดยกลุ่มอดีตนักศึกษาของ Academy of Fine Art

ปัจจุบันผู้เข้าร่วมงาน Venice Carnival จะสวมใส่หน้ากากที่มีการตกแต่งเพื่อความสวยงาม มีหน้ากากหลากหลายดีไซน์ สี และลวดลายที่ไม้ซ้ำกัน จะใส่คู่กับชุดคอสตูมที่มีความอลังการอย่างมากทั้งผู้ชาย และผู้หญิง อีเวนท์และการแสดงในงานจะมีจัดขึ้นทุกวันไม่ซ้ำกัน เช่น การประกวดหน้ากากและเครื่องแต่งกาย การประกวดขบวนพาเหรด การแสดงคอนเสิร์ต การแสดงแกลอรี่รูปภาพและประวัติความเป็นมาของเทศกาล Venice Carnival เป็นต้น

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: จัดขึ้นช่วงต้นปีเป็นประจำทุกปี เป็นระยะเวลามากกว่า 10 วัน

หลังจากที่ได้รับชมเทศกาลในยุโรปไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือการเตรียมตัว เพราะแต่ละเทศกาลที่กล่าวมานั้น ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรจองที่พัก และตั๋วสำหรับเข้าร่วมเทศกาลไว้ล่วงหน้าเลย และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับทุกการเดินทางคือ ประกันภัยการเดินทาง “Dance Moves” จาก Allianz Travel ที่ให้ความคุ้มครองจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น ป่วยหนักจนต้องยกเลิกทริป และพลาดชมเทศกาลที่เราวางแผนไว้*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เรียนต่อประเทศอังกฤษ

เรียนต่อประเทศอังกฤษ ต้องเตรียมตัวอย่างไร

คนที่เรียนจบจากประเทศไทยและกำลังวางแผนไปเรียนต่อต่างประเทศต้องมีประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มาแรงติดอยู่ในอันดับท๊อป  5 ของใครหลายคน เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมายหลายแห่ง และประเทศก็สวยงาม หลายๆ คนเลยเลยตัดสินใจเลือก เรียนต่อประเทศอังกฤษ

United Kingdom - UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศจะต้องมีการเตรียมตัวที่มากกว่าการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ นอกจากเรื่องการสมัครเรียนและจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวกับการศึกษาแล้ว เรายังต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับการไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่น ความแตกต่างทางด้านภาษา วัฒนธรรม อาหาร อากาศ เวลา ระบบการศึกษา กฎหมายและกฎของนักเรียนต่างชาติที่พักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ วันนี้ Allianz Travel รวบรวมสิ่งที่ต้องทำและเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับการไปเรียนต่อประเทศยอดนิยมอย่างประเทศอังกฤษมาแชร์ค่ะ ไปดูกันเลยมีหัวข้ออะไรบ้าง

1. ค้นหาหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่สนใจ

เริ่มแรกเลย เราอาจต้องดูจากสาขาวิชาที่เราสนใจก่อน เมืองที่ต้องการอยู่ หรือมหาวิทยาลัยที่สนใจ เพื่อสมัครเรียน และหาข้อมูลของข้อกำหนดในการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรนั้นๆ ซึ่งอาจมีบางข้อที่แตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัย ดังนั้นเราจึงควรหาข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ได้มหาวิทยาลัยที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

Cambridge University

2. เอกสารที่ใช้ในกาสมัครเรียน

หลังจากเลือกมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษได้แล้ว เราก็ต้องเตรียมเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่เราเลือก โดยเอกสารสำคัญขั้นต้นที่ควรรวบรวมไว้มีดังต่อไปนี้

  • ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
  • ใบรับรองหรือประกาศนียบัตรที่แสดงการจบหลักสูตรจากสถาบันการศึกษา (Graduation Certificate)
  • ผลสอบ IELTS ที่มีคะแนนตามความต้องการของมหาวิทยาลัย
  • หนังสือรับรอง หรือจดหมายแนะนำจากอาจารย์หรือที่ทำงานอย่างน้อย 2 ฉบับ (Letters of Recommendation)
  • จดหมายแนะนำตัว เขียนเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการเข้าศึกษา สิ่งที่หวังว่าจะได้รับหลังจบหลักสูตร และเหตุผลการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย (Statement of Purpose)
  • เอกสารที่ผ่านการอบรม หรือฝึกงานอื่นๆ เพื่อช่วยประกอบในการพิจารณา
  • รูปถ่ายหน้าตรง สวมชุดสุภาพ ขนาด 1 นิ้ว หรือ 1 นิ้วครึ่ง (ขึ้นอยู่กับสถาบันที่สมัคร)
  • สำเนาหนังสือเดินทาง
  • ใบสมัครที่ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง
  • หนังสือรับรองการทำงาน สำหรับบางคณะที่ต้องมีประสบการณ์การทำงานด้วย
Document Preparation

3. ช่วงเวลาที่ต้องทำการสมัครเรียน

สำหรับการ เรียนต่อประเทศอังกฤษ ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยที่อังกฤษจะมีการเปิดเรียน 2 ช่วงในแต่ละปี ส่วนใหญ่เปิดช่วงเดือนกันยายน และบางหลักสูตร (ตัวเลือกไม่มาก) จะไปเปิดช่วงมกราคม การสมัครเรียนต้องเริ่มสมัคร 1 ปีล่วงหน้าก่อนปีที่เราจะไปเรียนค่ะ เช่น ถ้าเราสนใจจะเรียนหลักสูตรที่เปิดเทอมเดือนกันยายนปี 2022 เราก็ต้องเริ่มสมัครตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 เลย

ทั้งนี้เราจะต้องอ่านรายละเอียดของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วย เพราะแต่ละหลักสูตรจะมีวันที่ปิดรับสมัครไม่เหมือนกัน บางหลักสูตรอาจปิดรับสมัครปลายเดือนมิถุนายน แต่บางหลักสูตรก็ให้เวลาไปถึงเดือนสิงหาคม สำหรับนักเรียนไทยควรสมัครไปอย่างช้าที่สุดไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่จะเริ่มเรียน เพราะหากล่าช่าไป เราก็อาจจะเตรียมเอกสารและเตรียมตัวไม่ทันได้

ถ้าเป็นปริญญาตรี เราต้องศึกษากำหนดการของ UCAS (Universities and Colleges Admissions Service) ซึ่งเป็นกระบวนการสมัครเรียนหลักสูตรระดับปริญญาตรีในอังกฤษผ่านระบบส่วนกลางให้ดีเสียก่อน โดยกำหนดการเปิดรับสมัครจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ช่วงเวลาดังนี้

  • เดือนตุลาคม – สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครเรียนใน University of Oxford และ University of Cambridge หรือหลักสูตรทางการแพทย์ สัตวแพทย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ และทันตแพทย์
  • 15 มกราคม – วันสุดท้ายของการรับใบสมัครเรียนปริญญาตรีของหลักสูตรอื่นๆ
  • เดือนมีนาคม – วันสุดท้ายของการสมัครเรียนหลักสูตรด้านศิลปะและการออกแบบ
  • 30 มิถุนายน – ใบสมัครที่มาในช่วงนี้จะเรียกว่ากลุ่ม clearing ซึ่งผู้สมัครอาจไม่ได้มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้ในอันดับต้นๆ
Time to apply

4. ค่าใช้จ่ายสำหรับ เรียนต่อประเทศอังกฤษ

โดยทั่วไปค่าเทอม ค่าที่พัก และค่าใช่จ่ายต่างๆ ในการไปเรียนต่อที่อังกฤษจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าเล่าเรียน ประมาณ 10,000-20,000 ปอนด์ต่อปี (400,000 – 800,000 บาท) ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายส่วนตัวจะใช้ค่าเฉลี่ยจากทางสถานทูตในการคำนวนคือ 1,265 ปอนด์ (ประมาณ 50,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่ในลอนดอน และ 1,015 ปอนด์ (ประมาณ 40,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่นอกลอนดอน นอกจากค่าเทอม และค่าดำรงชีพแล้ว หากเราเดินทางไปเรียนที่ประเทศอังกฤษระยะเวลาเกิน 6 เดือน ผู้เดินทางไปเรียนจะต้องเสียค่าบริการที่เรียกว่า Immigration Health Surcharge สำหรับการเข้าสู่ระบบดูแลสุขภาพ NHS หรือ National Health Service ของประเทศอังกฤษ ซึ่งคล้ายๆ ประกันสังคมของบ้านเรา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 470 ปอนด์ หรือประมาณ 20,200 บาท ต่อปี

Budget for study in UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าเราจะจ่ายค่า Immigration Health Surcharge เพื่อเข้าสู่ระบบ NHS แล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้ารักษาพยาบาลอย่างเช่น NSH จะไม่ครอบคลุมค่ายาที่จะต้องจ่ายเพิ่มเองประมาณ 6.85 ปอนด์ (ประมาณ 300 บาท) ต่อชนิดของยาต่อครั้ง และไม่ครอบคลุมกรณีต้องขอใบรับรองแพทย์ด้วย

ดังนั้นการทำประกันภัยการเดินทางเพิ่มเติมเพื่อให้คุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปเรียนทั้งหมดไม่ว่าค่ารักษาพยาบาล ค่าเคลื่อนย้ายกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือความคุ้มครองอื่นๆ ซึ่งประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ “Overseas Student Care” จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนต่อที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : gov.uk , efluk.net , siuk-thailand.com, tonyeducation.com , wegoabroad.com


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel