10 อาหารเกาหลียอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

10 อาหารเกาหลี ยอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

เกาหลีใต้ หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เหล่าสาวกเกาหลีคงเริ่มวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวเกาหลีกันแล้ว ยิ่งถ้าใครติดตามซีรีย์เกาหลี ก็คงต้องอินกับ อาหารเกาหลี เมนูต่างๆ ที่มีทั้งในฉากรับประทานอาหาร หรือฉากทำกับข้าว จนหลายคนต้องกับหัดทำหรือตามรอยไปหาที่ชิมกัน และยิ่งถ้ามีโอกาสได้เดินทางไปถึงเกาหลี แล้วยิ่งต้องจัดให้ได้! 

วันนี้ Allianz Travel จัด 10 อาหารเกาหลี เมนูเด็ดที่สายกินห้ามพลาด มาให้เพื่อนๆ ได้เก็บไว้ในลิสต์ตามชิม หากได้ไปเยือนเกาหลีกันค่ะ

1. กิมจิ

อาหารเกาหลี กิมจิ

อาหารหรือเครื่องเคียงที่อยู่คู่กับชาวเกาหลีมานานกว่า 2,000 ปี มีจุดเริ่มต้นจากสภาพอากาศของเกาหลีในฤดูหนาวที่หนาวจัดจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ จึงต้องใช้วิธีการดองเพื่อยืดอายุอาหาร ซึ่งก็คือกิมจินั่นเอง และในปัจจุบันกิมจิได้รับความนิยมในการกินมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเครื่องเคียงที่นิยมกินคู่กับอาหารต่างๆ โดยเฉพาะการกินอาหารประเภทปิ้งย่าง

2. บิบิมบับ

อาหารเกาหลี บิบิมบับ

เมนูข้าวยำจานเด็ดของเกาหลีที่ไม่ควรพลาด มีเสริฟอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหาร ฟู้ดคอร์ท หรือแม้แต่ตามสตรีทฟู้ด บิบิมบับจะสามารถเลือกรับประทานได้ว่าจะใส่เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเน้นผัก แต่ส่วนประกอบที่สำคัญของบิบัมบับจะมี ข้าวสวยร้อนๆ ผักต่างๆ และไข่ดิบ

3. ซัมกยอบซัล

อาหารเกาหลี ซัมกยอบซัล

หมูสามชั้นย่างที่หมักด้วยซอสสูตรพิเศษทำให้ซัมกยอบซัลมีรสชาติที่อร่อย นุ่ม กลอมกล่อม นิยมทานคู่กับผักหลากหลายชนิด พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ และมีน้ำจิ้มสำหรับทานคู่กันคือซัมจัง

4. บูลโกกิ

อาหารเกาหลี บูลโกกิ

เมนูเนื้อย่างหรือผัดสไตล์เกาหลี จุดเด่นคือตัวเนื้อจะถูกหมักด้วยซอส น้ำมันงา และเครื่องปรุงอื่นๆ ทำให้เนื้อมีความนุ่ม หวาน หอม อร่อย สามารถทานคู่กับข้าวร้อนๆ หรือห่อผักและทานคู่กับน้ำจิ้มก็ได้

5. ต๊อกบกกี

อาหารเกาหลี ต๊อกบกกี

อาหารที่อยู่คู่กับวงการสตรีทฟู้ดของเกาหลีมาอย่างเนิ่นนาน คือการนำคาแรต็อก (แป้งเค้กข้าว) หรือที่รู้เราทุกคนจะคุ้นหูว่า “แป้งต๊อก” ไปผัดกับซอสเกาหลีสีแดง มีรสชาติเผ็ด หวาน อร่อย มีเอกลักษณ์พร้อมใส่ปลาแผ่น และผักเล็กน้อย ซึ่งในบางร้านจะใส่ไข่ต้มหรือเส้นรามยอนลงไปอีกด้วย

6. ไก่ทอดเกาหลี

ไก่ทอดเกาหลี

เมนูที่กำเนิดจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามเกาหลี ถึงหน้าตาจะดูเหมือนไก่ทอดธรรมดา แต่จะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละร้านไม่ซ้ำกัน โดยทั่วไปจะคลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดหวาน บางร้านก็จะมีท๊อปปิ้งพิเศษเพิ่มเติมใส่ลงไปด้วย เช่น แป้งต๊อกทอด เฟรนฟราย หรือการราดชีส ซึ่งคนเกาหลีนิยมทานเป็นกับแกล้มกับเบียร์

7. ซัมกเยทัง

อาหารเกาหลี ซัมกเยทัง

หรือก็คือซุปไก่โสม เป็นเมนูที่คนเกาหลีนิยมทานกันช่วงฤดูร้อน (ช่วงเดือน มิถุนายน – ต้นเดือนกันยายน) เพื่อช่วยฟื้นฟูกำลังของร่างกาย ไก่ที่นำมาประกอบเมนูนี้จะเป็นไก่ที่อายุไม่เกิน 45 วัน ยัดใส้ด้วยข้าวเหนียว และสมุนไพรต่างๆ เช่น เกาลัด พุทรา โสม แปะก๊วย

8. บิบิม เนงเมียน

อาหารเกาหลี บิบิม เนงเมียน

บะหมี่เย็นสไตล์เกาหลี ตัวเส้นที่ใช้จะเป็นเส้นยาวบาง ทำจากแป้งผสมบัควีท หรือมันหวาน เสิร์ฟในชามสเตนเลสเย็นๆ คลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดร้อน เป็นเมนูที่ชาวเกาหลีนิยมทานในช่วงฤดูร้อน

9. จาจังมยอน

อาหารเกาหลี จาจังมยอน

บะหมี่ดำเกาหลี ใช้เส้นบะหมี่แบบหนาคล้ายเส้นอุด้ง คลุกเคล้าด้วยซอสที่ทำจากเต้าเจี้ยว ถั่วดำหมัก ผัดกับเนื้อหมูหั่นและผัก นอกจากนี้ จาจังมยอนถือเป็นอาหารที่บ่งบอกถึงความโสด เนื่องจากในวันแบล๊กเดย์หรือวันคนโสดของเกาหลีซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายน เหล่าคนโสดจะพร้อมใจกันรับประทานจาจังมยอนกัน ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีเฉพาะที่เกาหลีที่เดียว

10. จิเก

อาหารเกาหลี จิเก

หรือซุปเกาหลี มีหลากหลายแบบตามประเภทเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไป เช่น เต้าหู้ ไข่ปลา เนื้อปู กิมจิ หรือเนื้อหมู ปรุงรสด้วยโกชูจัง มิโซะหมัก เต้าเจี้ยวหรือกุ้งดองเค็ม นิยมทานเป็นของคั่นกลางระหวางอาหารจานหลัก

ในประเทศเกาหลียังมีอาหารอร่อยอีกมากมายรอให้เพื่อนๆ ได้ไปชิมกัน ใครที่ตามหาอาหารเพื่อตามรอยซีรีส์ที่ชอบ คงสนุกและอิ่มท้องกันนะคะ

และที่สำคัญสำหรับการเดินทางทุกครั้ง เหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ Allianz Travel ขอแนะนำประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า และอื่นๆ อีกมากมาย #DanceMoves จะช่วยให้คุณทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทริปได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://sg.hotels.com/go/south-korea/great-korean-dishes

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

5 เทศกาลห้ามพลาด ในยุโรป

เทศกาลห้ามพลาดในยุโรป เป็นเทศกาลท้องถิ่นที่เป็นวัฒนธรรมที่สืบสานตกทอดมาจากอดีต ซึ่งจะมีความเป็นเอกลักษณ์ และความสวยงาม ให้ผู้เข้าร่วมเทศกาลได้รับกับประสบการณ์ที่สุดตื่นตา Allianz Travel จึงนำเทศกาลที่ไม่ควรพลาดหากได้ไปท่องเที่ยวยุโรปมาให้ดูกันว่ามีอะไรบ้าง

เทศกาล Midsummer ประเทศ สวีเดน

เทศกาลเพื่อเฉลิมฉลองวันครีษมายัน เป็นอีกเทศกาลห้ามพลาดในยุโรป เป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุดในรอบปีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งถือเป็นวันที่สำคัญมากที่สุดของสวีเดน ใันงานเทศกาล Midsummer นี้จะมีจะมีการร้องเพลงต่างๆ แต่เพลงที่ขาดไม่ได้ในงานนี้เลยคือเพลง “Sma Grodorna” หรือแปลว่าเจ้ากบน้อย ซึ่งในขณะที่ร้องเพลงนี้ผู้มาร่วมงานจะทำท่าเต้นที่เหมือนกบและกระโดดไปรอบๆ เสากลางงานเทศกาลที่เป็นลัญลักษณ์ของเทศกาล(Maypole) และสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยในงานเทศกาลก็คืออาหาร โดยในงานจะมีเสิร์ฟอาหาร 3 อย่างเป็นหลักคือ มันฝรั่งสดๆ ปลาแฮริ่งดอง และสตรอว์เบอร์รีตลอดงานเทศกาล นอกจากอาหารแล้ว ก็จะมีการเสิร์ฟเบียร์เย็นๆ หรือสุรา อควาวิตที่ผลิตในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งตามวัฒนธรรมของสวีเดนแล้วหากมีการดื่มสุราก็จะมีการร้องเพลงดื่มสุราที่เรียกว่า Snapvisor ด้วย

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: เทศกาลจะจัดขึ้นในทุกวันศุกร์ปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงก่อนวันครีษมายัน

เทศกาล La Tomatina ประเทศสเปน

La Tamotina เป็นเทศกาลแห่งการปามะเขือเทศที่จะย้อมเมืองให้เป็นสีแดง เริ่มจัดในช่วงเช้าโดยการใช้แฮมเสียบลงในแท่งไม้ใจกลางจัตุรัสเมือง ให้ผู้มาร่วมงานแข่งขันกันขึ้นไปหยิบแฮมชิ้นนั้นเพื่อเป็นสัญญานเริ่มต้นสงครามมะเขือเทศ หลังจากสัญญานการเริ่มงานเกิดขึ้นแล้ว จะมีรถบรรทุกมะเขือเทศที่ใกล้หมดอายุขัยเพื่อให้แน่ใจว่าผลมะเขือเทศจะนิ่ม และไม่เป็นอันตรายต่อผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งจะใช้มะเขือเทศทั้งหมดเกือบ 180 ตัน ในระยะเวลาของเทศกาลที่จัดขึ้นเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

งานเทศกาล La Tamatina จะมีการเก็บค่าเข้าร่วมคนละ 10 euro หรือประมาณ 360บาท และจำกัดจำนวนของผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานได้เพียง 30,000 คน ซึ่งหากเพื่อนๆ ต้องการไปเข้าร่วม Allianz Travel แนะนำให้ใส่แว่นตาสำหรับว่ายน้ำเพื่อปกป้องดวงตา และใส่รองเท้าคู่เก่าเพราะรองเท้าของเราจะพังอย่างแน่นอน

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: เทศกาลนี้จัดขึ้นทุกปี ในวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ที่หมู่บ้านบาเลนเซีย เมือง Bunol

เทศกาล Up Helly Aa ประเทศสกอตแลนด์

Up Helly Aa เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงชาวไวกิ้ง ที่เป็นชนเผ่านักรบและนักเดินเรือ ผู้คนจะแต่งตัวกันในชุดนักรบไวกิ้งแบบเต็มยศน่าเกรงขาม ซึ่งสีและธีมของชุดไวกิ้งก็จะเปลี่ยนไปทุกๆ ปีอีกด้วย และในระหว่างวันก็จะมีการเดินขบวนพาเหรดไวกิ้งซึ่งเปิดโอกาสให้แก่นักท่องเที่ยวร่วมแต่งกายเป็นไวกิ้งและเดินขบวนร่วมไปด้วยได้ นอกจากขบวนพาเหรดไวกิ้งแล้ว ยังมีการจัดนิทรรศการ Up Helly Aa ให้เข้าชมโดยเนื้อหาของนิทรรศการจะประกอบด้วย ประวัติของชาวไวกิ้ง อุปกรณ์ของชาวไวกิ้งต่างๆ ชุดไวกิ้งที่ใช้ในงานเทศกาล Up Helly Aa ที่ผ่านมา และภาพถ่ายบรรยกาศของงาน Up Helly Aa ในปีต่างๆ

พอถึงช่วงเย็นที่พระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งชาวเมืองที่แต่งตัวด้วยชุดนักรบไวกิ้งก็จะตั้งขบวนอีกครั้ง โดยรอบนี้จะมีการจุดคบเพลิง และลากเรือไวกิ้งที่จัดทำขึ้นเพื่อเทศกาลนี้โดยเฉพาะไปทั่วเมือง หลังจากที่ลากเรือไวกิ้งไปทั่วเมืองแล้วขบวนไวกิ้งก็จะนำเรือมาไว้ที่ลานกว้างของเมือง เพื่อร้องเพลง และเต้นรอบเรือไวกิ้ง จากนั้นก็จะทำการจุดไฟเผาเรือโดยคบเพลิงของผู้ร่วมงาน หลังจากเผาเรือแล้วก็จะมีการเฉลิมฉลองตลอดทั้งคืนทั้ง การกิน การดื่ม การเต้นรำไปกับเสียงดนตรี ถือเป็นเทศกาลไฟที่สร้างความสุข และความสนุกสนานให้ผู้มาร่วมได้อย่างมากมาย

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: จัดขึ้นที่ท่าเรือของเมืองเลอร์วิก ในปลายเดือนมกราคมของทุกปี

เทศกาล Oktoberfest ประเทศเยอรมัน

Oktoberfest คือเทศกาลเบียร์ที่โด่งดังที่สุดในโลก จัดที่เมืองมิวนิก ภายในงานเราจะได้เห็นภาพแห่งความสนุกสนานของเต็นท์ขนาดใหญ่ที่มีนักร้อง และวงดนตรีมาเล่น พร้อมกับผู้ที่มาร่วมงานที่แต่งกายในชุดพื้นเมืองที่เรียกว่า Lederhosen สำหรับผู้ชาย และ Dirndl สำหรับผู้หญิง มีอาหาร และเครื่องดื่มที่มากมายหลากหลายภายในงาน เป็นอีกหนึ่งใน เทศกาลห้ามพลาดในยุโรป

เต๊นท์และร้านค้าภายในงาน จะแบ่งเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ เต็นท์เบียร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และซุ้มเครื่องเล่น โดนร้านอาหารที่อยู่นอกเต๊นท์เบียร์จะขายอาหารจำพวกไส้กรอก และแซนวิชเพื่อให้รองท้องก่อนเข้าไปจัดเต็มกับอาหารในเต๊นท์เบียร์ ส่วนเครื่องเล่นก็จะมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นซุ้มยิงปืน โยนบอล ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ ราวกับยกสวนสนุกมาไว้ในงานเลยทีเดียว

ส่วนพระเอกของงานนี้ที่จะพลาดไปไม่ได้เลยคือเต๊นท์เบียร์ขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีมากกว่า 14 เต็นท์ แต่ละเต๊นท์ก็จะมีการตกแต่ง และกิจกรรมที่แตกต่างกันไป

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน ยาวถึงต้นเดือนตุลาคม ประมาณ 16-18วัน ในทุกๆ ปี

เทศกาล Venice Carnival ประเทศอิตาลี

เวนิส เมืองแห่งสายน้ำ และความโรแมนติก มีเทศกาลประจำเมืองคือ Venice Carnival ที่มีจุดกำเนิดมาจากในสมัยก่อนที่ชาวเมืองเวนิสจะสวมใส่หน้ากากในการดำรงชีวิต เป็นการซ่อนหน้าตา และชนชั้นวรรณะไว้ใต้หน้ากาก แต่การใส่หน้ากากก็ถูกห้ามขึ้นในปี ค.ศ. 1797 จากการที่เมืองถูกยึดครองโดยกองทัพนโปเลียน แต่ประเพณีการสวมหน้ากากก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1978 โดยกลุ่มอดีตนักศึกษาของ Academy of Fine Art

ปัจจุบันผู้เข้าร่วมงาน Venice Carnival จะสวมใส่หน้ากากที่มีการตกแต่งเพื่อความสวยงาม มีหน้ากากหลากหลายดีไซน์ สี และลวดลายที่ไม้ซ้ำกัน จะใส่คู่กับชุดคอสตูมที่มีความอลังการอย่างมากทั้งผู้ชาย และผู้หญิง อีเวนท์และการแสดงในงานจะมีจัดขึ้นทุกวันไม่ซ้ำกัน เช่น การประกวดหน้ากากและเครื่องแต่งกาย การประกวดขบวนพาเหรด การแสดงคอนเสิร์ต การแสดงแกลอรี่รูปภาพและประวัติความเป็นมาของเทศกาล Venice Carnival เป็นต้น

ต้องไปเที่ยวช่วงไหน: จัดขึ้นช่วงต้นปีเป็นประจำทุกปี เป็นระยะเวลามากกว่า 10 วัน

หลังจากที่ได้รับชมเทศกาลในยุโรปไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือการเตรียมตัว เพราะแต่ละเทศกาลที่กล่าวมานั้น ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรจองที่พัก และตั๋วสำหรับเข้าร่วมเทศกาลไว้ล่วงหน้าเลย และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับทุกการเดินทางคือ ประกันภัยการเดินทาง “Dance Moves” จาก Allianz Travel ที่ให้ความคุ้มครองจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น ป่วยหนักจนต้องยกเลิกทริป และพลาดชมเทศกาลที่เราวางแผนไว้*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เรียนต่อประเทศอังกฤษ

เรียนต่อประเทศอังกฤษ ต้องเตรียมตัวอย่างไร

คนที่เรียนจบจากประเทศไทยและกำลังวางแผนไปเรียนต่อต่างประเทศต้องมีประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มาแรงติดอยู่ในอันดับท๊อป  5 ของใครหลายคน เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมายหลายแห่ง และประเทศก็สวยงาม หลายๆ คนเลยเลยตัดสินใจเลือก เรียนต่อประเทศอังกฤษ

United Kingdom - UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศจะต้องมีการเตรียมตัวที่มากกว่าการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ นอกจากเรื่องการสมัครเรียนและจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวกับการศึกษาแล้ว เรายังต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับการไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่น ความแตกต่างทางด้านภาษา วัฒนธรรม อาหาร อากาศ เวลา ระบบการศึกษา กฎหมายและกฎของนักเรียนต่างชาติที่พักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ วันนี้ Allianz Travel รวบรวมสิ่งที่ต้องทำและเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับการไปเรียนต่อประเทศยอดนิยมอย่างประเทศอังกฤษมาแชร์ค่ะ ไปดูกันเลยมีหัวข้ออะไรบ้าง

1. ค้นหาหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่สนใจ

เริ่มแรกเลย เราอาจต้องดูจากสาขาวิชาที่เราสนใจก่อน เมืองที่ต้องการอยู่ หรือมหาวิทยาลัยที่สนใจ เพื่อสมัครเรียน และหาข้อมูลของข้อกำหนดในการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรนั้นๆ ซึ่งอาจมีบางข้อที่แตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัย ดังนั้นเราจึงควรหาข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ได้มหาวิทยาลัยที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

Cambridge University

2. เอกสารที่ใช้ในกาสมัครเรียน

หลังจากเลือกมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษได้แล้ว เราก็ต้องเตรียมเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่เราเลือก โดยเอกสารสำคัญขั้นต้นที่ควรรวบรวมไว้มีดังต่อไปนี้

  • ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
  • ใบรับรองหรือประกาศนียบัตรที่แสดงการจบหลักสูตรจากสถาบันการศึกษา (Graduation Certificate)
  • ผลสอบ IELTS ที่มีคะแนนตามความต้องการของมหาวิทยาลัย
  • หนังสือรับรอง หรือจดหมายแนะนำจากอาจารย์หรือที่ทำงานอย่างน้อย 2 ฉบับ (Letters of Recommendation)
  • จดหมายแนะนำตัว เขียนเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการเข้าศึกษา สิ่งที่หวังว่าจะได้รับหลังจบหลักสูตร และเหตุผลการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย (Statement of Purpose)
  • เอกสารที่ผ่านการอบรม หรือฝึกงานอื่นๆ เพื่อช่วยประกอบในการพิจารณา
  • รูปถ่ายหน้าตรง สวมชุดสุภาพ ขนาด 1 นิ้ว หรือ 1 นิ้วครึ่ง (ขึ้นอยู่กับสถาบันที่สมัคร)
  • สำเนาหนังสือเดินทาง
  • ใบสมัครที่ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง
  • หนังสือรับรองการทำงาน สำหรับบางคณะที่ต้องมีประสบการณ์การทำงานด้วย
Document Preparation

3. ช่วงเวลาที่ต้องทำการสมัครเรียน

สำหรับการ เรียนต่อประเทศอังกฤษ ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยที่อังกฤษจะมีการเปิดเรียน 2 ช่วงในแต่ละปี ส่วนใหญ่เปิดช่วงเดือนกันยายน และบางหลักสูตร (ตัวเลือกไม่มาก) จะไปเปิดช่วงมกราคม การสมัครเรียนต้องเริ่มสมัคร 1 ปีล่วงหน้าก่อนปีที่เราจะไปเรียนค่ะ เช่น ถ้าเราสนใจจะเรียนหลักสูตรที่เปิดเทอมเดือนกันยายนปี 2022 เราก็ต้องเริ่มสมัครตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 เลย

ทั้งนี้เราจะต้องอ่านรายละเอียดของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วย เพราะแต่ละหลักสูตรจะมีวันที่ปิดรับสมัครไม่เหมือนกัน บางหลักสูตรอาจปิดรับสมัครปลายเดือนมิถุนายน แต่บางหลักสูตรก็ให้เวลาไปถึงเดือนสิงหาคม สำหรับนักเรียนไทยควรสมัครไปอย่างช้าที่สุดไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่จะเริ่มเรียน เพราะหากล่าช่าไป เราก็อาจจะเตรียมเอกสารและเตรียมตัวไม่ทันได้

ถ้าเป็นปริญญาตรี เราต้องศึกษากำหนดการของ UCAS (Universities and Colleges Admissions Service) ซึ่งเป็นกระบวนการสมัครเรียนหลักสูตรระดับปริญญาตรีในอังกฤษผ่านระบบส่วนกลางให้ดีเสียก่อน โดยกำหนดการเปิดรับสมัครจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ช่วงเวลาดังนี้

  • เดือนตุลาคม – สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครเรียนใน University of Oxford และ University of Cambridge หรือหลักสูตรทางการแพทย์ สัตวแพทย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ และทันตแพทย์
  • 15 มกราคม – วันสุดท้ายของการรับใบสมัครเรียนปริญญาตรีของหลักสูตรอื่นๆ
  • เดือนมีนาคม – วันสุดท้ายของการสมัครเรียนหลักสูตรด้านศิลปะและการออกแบบ
  • 30 มิถุนายน – ใบสมัครที่มาในช่วงนี้จะเรียกว่ากลุ่ม clearing ซึ่งผู้สมัครอาจไม่ได้มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้ในอันดับต้นๆ
Time to apply

4. ค่าใช้จ่ายสำหรับ เรียนต่อประเทศอังกฤษ

โดยทั่วไปค่าเทอม ค่าที่พัก และค่าใช่จ่ายต่างๆ ในการไปเรียนต่อที่อังกฤษจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าเล่าเรียน ประมาณ 10,000-20,000 ปอนด์ต่อปี (400,000 – 800,000 บาท) ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายส่วนตัวจะใช้ค่าเฉลี่ยจากทางสถานทูตในการคำนวนคือ 1,265 ปอนด์ (ประมาณ 50,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่ในลอนดอน และ 1,015 ปอนด์ (ประมาณ 40,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่นอกลอนดอน นอกจากค่าเทอม และค่าดำรงชีพแล้ว หากเราเดินทางไปเรียนที่ประเทศอังกฤษระยะเวลาเกิน 6 เดือน ผู้เดินทางไปเรียนจะต้องเสียค่าบริการที่เรียกว่า Immigration Health Surcharge สำหรับการเข้าสู่ระบบดูแลสุขภาพ NHS หรือ National Health Service ของประเทศอังกฤษ ซึ่งคล้ายๆ ประกันสังคมของบ้านเรา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 470 ปอนด์ หรือประมาณ 20,200 บาท ต่อปี

Budget for study in UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าเราจะจ่ายค่า Immigration Health Surcharge เพื่อเข้าสู่ระบบ NHS แล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้ารักษาพยาบาลอย่างเช่น NSH จะไม่ครอบคลุมค่ายาที่จะต้องจ่ายเพิ่มเองประมาณ 6.85 ปอนด์ (ประมาณ 300 บาท) ต่อชนิดของยาต่อครั้ง และไม่ครอบคลุมกรณีต้องขอใบรับรองแพทย์ด้วย

ดังนั้นการทำประกันภัยการเดินทางเพิ่มเติมเพื่อให้คุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปเรียนทั้งหมดไม่ว่าค่ารักษาพยาบาล ค่าเคลื่อนย้ายกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือความคุ้มครองอื่นๆ ซึ่งประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ “Overseas Student Care” จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนต่อที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : gov.uk , efluk.net , siuk-thailand.com, tonyeducation.com , wegoabroad.com


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

ที่เที่ยวสิงคโปร์

10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ สุดฮิต ที่ไม่ควรพลาด!

สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทย เหล่าช่างภาพ และอินสตาแกรมเมอร์ที่ต้องไปเยือนเพื่อเก็บภาพมาโพสต์ให้เหล่าแฟนคลับได้ดู การเดินทางไปพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน สามารถจัดเป็นทริประยะสั้นเพียงแค่ 1-2 วันหรือไปกลับภายในวันเดียวก็ได้ ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่น่าสนใจมีเป็นจำนวนมาก มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีประวัติความเป็นมา ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศูนย์การค้าสุดหรู แหล่งช้อปปิ้ง และอาหารอร่อยขึ้นชื่อที่ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก วันนี้ Allianz Travel ได้รวม 10 สถานที่ยอดนิยมที่ไม่ควรพลาดหากได้ไปเยือนสิงคโปร์มาให้ผู้ที่มีแผนกำลังจะเดินทางได้เก็บไว้ในเช็คลิสต์กันด้วยค่ะ

1. Jewel Changi Airport

จีเวล ชางงี แอร์พอร์ต (Jewel Changi Airport) ที่เที่ยวสิงคโปร์ ยอดนิยม เป็นอาคารศูนย์การค้าของสนามบินชางงีประเทศสิงคโปร์ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกัน 7 ปี ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลกคือ Moshe Safdie ผู้ออกแบบมารีน่า เบย์ แซนด์สร่วมกับสถาปนิกฝีมือดีอีกมากมาย เป็นอาคารที่เชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสาร 1, 2 และ 3 ส่วนอาคารผู้โดยสารที่ 4 จะมีรถรับส่งมายังอาคาร ลักษณะของอาคารเป็นรูปโดม ประกอบไปด้วยสวนป่า Forest Valley ที่มีน้ำตกในร่มที่สูงถึง 40 เมตรอย่าง The HSBC Rain Vortex และรายล้อมไปด้วยต้นไม้กว่า 2,000 ต้น

Jewel Changi Airport

ภายในสนามบิน Jewel Changi ยังมีโรงภาพยนตร์ 2 แห่ง และส่วนที่ให้ความบันเทิงต่างๆ มีสวนในร่มที่มีเขาวงกตในสวนและจุดชมวิวที่สวยงาม และสไลเดอร์สูง 12 เมตร (ความสูงตึก 4 ชั้น) สามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เว็บไซต์ : https://www.jewelchangiairport.com/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/YHXQH3teGoBwqLij8

2. Merlion Park

สวนสาธารณะขนาดเล็กริมอ่าวมารีน่าเบย์ (Marina Bay) เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเมอร์ไลอ้อน (Merlion) ที่มีหัวเหมือนสิงโต และลำตัวของปลา มีน้ำหนัก 70 ตันและสูง 8.6 เมตร โดยตรงส่วนปากของมันจะมีน้ำพุพ่นออกมา โดยเจ้า Merlion ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำชาติ ของประเทศสิงคโปร์ และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่มีผู้เข้าชมมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี

Merlion Park

สวนสาธารณะ Merlion เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ไม่ว่าคุณจะกำลังถ่ายเซลฟี่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัญลักษณ์หรือถ่ายภาพทิวทัศน์อันงดงามจากสวนสาธารณะเมื่อมองออกไปนอกอ่าว

แผนที่ : https://g.page/merlion-park-singapore?share

3. Marina Bay Sands

Marina Bay Sands คือรีสอร์ทสุดหรูซึ่งเปิดให้เป็นศูนย์กลางการให้บริการอย่างครบวงจร ประกอบไปด้วย โรงแรม ศูนย์การค้า
แบรนด์เนม พิพิธภัณฑ์ ArtScience Museum ร้านอาหารชื่อดัง จุดชมวิวสูงของเมือง รวมไปถึงคาสิโนหรูด้วยค่ะ

Marina Bay Sands

อาคาร Marina Bay Sands มีเป็นลักษณะเหมือนไพ่สามใบเรียงกันโดยมีเรือวางอยู่ด้านบน ซึ่งเรือข้างบนชั้นที่ 57 มีชื่อว่า Sky Park ที่มีสระน้ำสุดหรูแบบ Infinity Pool ไว้คอยให้บริการลูกค้าของโรงแรม นอกจากนี้สระน้ำของ Marina Bay Sands ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสระน้ำลอยฟ้าที่สูงที่สุดในโลกด้วยค่ะ นอกจากนี้ถ้ายืนอยู่ที่จุดชมวิว Sky Park เราสามารถมองเห็นวิวได้ทั่วทั้งเมือง ทั้งสะพานเกลียวคู่ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ท่าเรือ สวน Gardens by the Bay และเส้นขอบฟ้าที่สวยงาม

ความหรูหราสง่างามของ Marina Bay Sands แสดงให้เห็นถึงรูปแบบและสถานะของสิงคโปร์ในฐานะเมืองนานาชาติที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เว็บไซต์ : http://www.marinabaysands.com/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/PA31wnCD3FKgfeZA9

4. Raffles Hotel Singapore

Raffles Hotel Singapore สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2430 ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งสิงคโปร์ ท่านเซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles) และสร้างโดยพี่น้องตระกูลซาร์กีส์ที่รับดูแลผิดชอบโรงแรมหรูหราอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ในยุคอาณานิคม

Raffles Hotel Singapore
ขอบคุณรูปภาพจาก : RAFFLES SINGAPORE

โรงแรมเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้เป็นหนึ่งในโรงแรมของศตวรรษที่ 19 ที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของโลก และเป็นสถานที่สำคัญของเมืองมาเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ และยังคงรักษาชื่อเสียงอันโด่งดังด้วยอาหารและบริการที่เป็นเลิศ สถาปัตยกรรมคลาสสิกและสวนเขตร้อน และเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ที่หลากหลายและยาวนานของสิงคโปร์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงเคยมาพักผ่อน และสร้างสีสันให้กับโรงแรม อย่างเช่น ชาลี แชปลิน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และรัดยาร์ด คิปลิง

เว็บไซต์ : www.raffles.com/singapore

แผนที่ : https://g.page/raffleshotelsingapore?share

5. Gardens by the Bay

Gardens by the Bay เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาที่ดินริมน้ำบริเวณรอบอ่าวมารีนา ใช้เป็นทั้งพื้นที่จัดแสดงงานและพื้นที่สาธารณะสำหรับกิจกรรมต่างๆ กินบริเวณถึง 250 เอเคอร์ (ราว 630 ไร่ ) นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากอ่าวมาที่สวนนี้โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น สวนแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ สวนริมอ่าวทางใต้ สวนริมอ่าวทางตะวันออก และอ่าวกลาง แต่ละส่วนยังแบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่างๆอีก 7 โซน ได้แก่ Flower Dome, Cloud Forest, Supertree Grove, Heritage Gardens, Dragonfly & Kingfisher Lakes, Bay East Garden และ World of Plants

Gardens by the Bay

โซน Supertree Grove เป็นโซนที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด จุดเด่นจะเป็นกลุ่มโครงเหล็กขนาดยักษ์สีชมพูที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มีต้นไม้จำพวกสับปะรดสี เฟินชนิดต่างๆ กล้วยไม้ และไม้เลื้อยหลากชนิด รวมทั้งสิ้น 162,900 ต้น ปลูกเป็นสวนแนวตั้งบนลำต้นสูงขึ้นไปถึง 25-50 เมตร เทียบเท่ากับตึก 9-16 ชั้น เป็นอีกหนึ่งสวนพฤกษศาสตร์ริมอ่าวมารีน่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

บริเวณด้านบนของ Supertree Grove มีการติดตั้งแผ่น Solar Cell เพื่อเก็บพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าในสวน ตอนกลางคืนจะเห็นไฟประดับต้นไม้ยักษ์สวยงาม มีการแสดงแสง สี เสียง นอกจากนี้ยังมี Cloud Forest Dome น้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกซึ่งเราสามารถเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพจากที่นี่ได้

เว็บไซต์ : http://www.gardensbythebay.com.sg/en.html

แผนที่ : https://goo.gl/maps/gJDLK84yzJquRsDH6

6. Singapore Botanic Gardens

สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Botanic Gardens) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1859 โดยสมาคมเกษตรพืชสวน บนพื้นที่ 60 เอเคอร์และได้รับการแปลงโฉมจากพื้นที่เพาะปลูกที่ทิ้งร้างมาเป็นสวนเพื่อการสันทนาการ ส่วนแห่งนี้เป็นสวนแห่งแรกในประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก

Singapore Botanic Gardens

ไฮไลต์ของที่นี่คือ National Orchid Garden (สวนกล้วยไม้แห่งชาติของสิงคโปร์) ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพืชพรรณและกล้วยไม้กว่า 60,000 ต้น กิจกรรมยอดนิยมอื่นๆ ที่นิยมทำเมื่อได้ไปเที่ยวสวนแห่งนี้ คือ การเยี่ยมชมสวนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทะเลสาบเชิงนิเวศ สวนบอนไซ ประติมากรรม และสวนที่เป็นทางการอื่นๆ อีกหลายแห่ง

Singapore Botanic Gardens

เว็บไซต์ : www.nparks.gov.sg/sbg

แผนที่ : https://goo.gl/maps/k7ucskwZYwxJ21WA7

7. Fort Canning Park

สวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิงเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่บนเนินเขาใจกลางตัวเมืองสิงคโปร์ ที่ภายในแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆที่น่าสนใจทั้งทางด้านประวัติศาสตร์, ลานแสดงดนตรี และธรรมชาติอันร่มรื่น อยู่ติดกับ Clark Quay, พิพิธภัณท์แห่งชาติสิงคโปร์(Singapore National Museum) และใกล้กับย่านช้อปปิ้งถนนออชาร์ด(Orchard Road)

Fort Canning Park

แต่เดิมบริเวณภูเขาแคนนิง(Mount Canning)เป็นเขตที่อยู่ของสุลต่านที่ปกครองเกาะสิงคโปร์ ต่อมา Sir Raffles ได้เข้ามายึดครองเกาะและได้ยึดเอาภูเขานี้เอาไว้เป็นเขตแดนของรัฐบาล ต่อมาที่นี่ได้กลายเป็นป้อมปราการและหอสั่งการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่เรียกว่า Battle Box  ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้เป็นพิพิธภัณท์ที่เกี่ยวกับสงครามด้วย ทำให้ที่สวนแห่งนี้มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางประวัติรวมกันอยู่มากมาย นอกจากนี้ก็จะมีสวนที่สร้างขึ้นเพื่อวิจัยพรรณพืชที่เกี่ยวกับเครื่องเทศต่างๆด้วย

Fort Canning Park

จุดที่เป็นแลนด์มาร์คของผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ และเหล่าอินสตาแกรมเมอร์ทั้งหลาย ก็คืออุโมงบันไดวนที่มีพื้นหลังเป็นต้นไม้สีเขียว ซึ่งสถานที่แห่งนี้ยังได้รับความนิยมสำหรับคนที่ต้องการมาถ่ายพรีเว็ดดิ้งเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังสามารถชมแบบจำลองของตลาดเครื่องเทศ Raffles ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1822 ตลอดจนประติมากรรมของอาเซียนที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1980

แผนที่ : https://goo.gl/maps/8bwejVX7E5bb6e2f8

8. Universal Studios Singapore

Universal Studios Singapore ตั้งอยู่บนพื้นที่ 49 เอเคอร์ของ Resorts World Sentosa เป็นสวนสนุกในธีมภาพยนตร์ฮอลลีวูดแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยว อุปกรณ์เครื่องเล่น และความบันเทิงสำหรับครอบครัวและผู้ชื่นชอบในความตื่นเต้นเร้าใจ

Universal Studios Singapore

โซนเครื่องเล่นแบ่งตามธีมภาพยนตร์ โดยมีทั้งหมด 7 โซนซึ่งถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ โซน Hollywood, New York, Sci fi City, Ancient Egypt, The Lost World, Far Far Away และ  Madagascar ซึ่งแต่ละโซนจะมีเครื่องเล่นและธีมของโซนนั้นๆ โดยบรรยากาศของแต่ละโซนจะถูกอ้างอิงมาจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องต่างๆในเครือยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์ เช่น Shrek, Madagascar, Jurassic Park และ Transformer โดยในเทศกาลต่างๆ จะมีการจัดธีมพิเศษแตกต่างกันออกไปตามเทศกาลนั้นๆ

เว็บไซต์ : https://www.rwsentosa.com/en/attractions/universal-studios-singapore/explore

แผนที่ : https://goo.gl/maps/bCa5As35SZQWAtXE7

9. Singapore Zoo

สวนสัตว์สิงคโปร์ เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ.1973 และเป็นสวนสัตว์แห่งป่าฝนที่ดีที่สุดในโลก ได้รับรางวัลระดับประเทศและระดับสากลมากมาย สวนสัตว์แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์กว่า 2,800 ตัวจาก 300 สายพันธุ์ (อาทิ จระเข้ สมเสร็จมลายู และเสือขาว) เป็นสวรรค์ของสัตว์ป่าพันธุ์ต่างๆ ในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ความสะอาด และความน่าอยู่ โดยสัตว์ต่างๆ ได้รับการดูแลอย่างดี มีพืชพันธุ์เขียวชอุ่มและพื้นที่จำนวนมาก และเป็นที่ที่คนรักสัตว์ต้องแวะไปเยือน

9. Singapore Zoo
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash |
Gillian Putri@gillsgillian

ที่นี่แบ่งเป็นโซนต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 11 โซน คุณจะได้พบกับสัตว์แปลกๆ ที่น่าสนใจมากมายในสวนสัตว์แห่งนี้ ที่อยู่ในถิ่นที่อยู่แบบเปิด ซึ่งออกแบบให้ใกล้เคียงถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้นให้มากที่สุด ที่นี่ลิงอุรังอุตังจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวสามารถชมมันแกว่งไปมาบนแท่นและกินผลไม้ สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสัตว์อื่นๆ  เช่น ชิมแปนซีขนาดใหญ่ ม้าลาย เมียร์แคต มังกรโคโมโด หนูตุ่น เสือขาว จิงโจ้ และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย

เว็บไซต์ : www.wrs.com.sg/en/singapore-zoo

แผนที่ : https://g.page/sg-zoo?share

10. Orchard Road

ถนนออร์ชาร์ดนับเป็นสวรรค์ของนักช้อปทุกคน ตั้งแต่ห้างค้าปลีกหรูหราไปจนถึงภัตตาคารอาหารนานาชาติชั้นนำระดับโลก ย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดของสิงคโปร์แห่งนี้คือแหล่งรวมประสบการณ์อันหลากหลาย

Orchard Road
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash | K8@k8_iv

หากแวะเยี่ยมชมถนนออร์ชาร์ด คุณจะได้ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ตื่นตาตื่นใจ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ ที่ขายสินค้าแบรนด์ดัง ของสะสมของเอเชีย และของที่ระลึกที่ไม่ซ้ำใคร ห้างสรรพสินค้าที่ออกแบบทันสมัย เป็นช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ที่ชวนตื่นตา มีตั้งแต่สินค้าแบรนด์หรูไปจนถึงแฟชั่นไฮสตรีท และร้านที่ขายของไลฟ์สไตล์ต่างๆ ชมผลงานศิลปะจากพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินชาวสิงคโปร์และศิลปินต่างชาติ ที่จะกระตุ้นแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของคุณ ไปจนถึงเดินดูเสื้อผ้าแฟชั่นราคาไม่แพง ตามสมัยนิยม และสถานเสริมความงามที่ราคาจับต้องได้ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มากมาย

นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์สี่แห่ง โรงภาพยนตร์ IMAX ร้านคาราโอเกะ KTV และร้านอาหารมากมายในบริเวณใกล้เคียงที่ให้บริการอาหารนานาชาติ

เว็บไซต์ : http://www.orchardroad.org/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/A23x97WL1JfxPm2t7

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในสิงคโปร์ที่ Allianz Travel นำมาฝาก คงทำให้หลายๆ คนเพิ่มสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่อยู่ในลิสต์ของประเทศที่อยากไปกัน และตอนนี้สิงคโปร์ก็เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้แล้ว เริ่มกดวันลาหรือมองหาวันหยุด เตรียมตัวแพ็คกระเป๋า แล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปเที่ยวกันได้เลย แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้วแต่ยังไงเราก็ควรอัพเดทข่าวสารและมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์กันด้วยนะคะ วางแผนการเดินทางและเตรียมความพร้อมให้ดี สิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ คือ ประกันการเดินทาง ที่จะช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : 20 Top-Rated Tourist Attractions in Singapore | Visitsingapore.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

8 ประเทศยอดนิยม เรียนต่อคอร์สภาษาอังกฤษ

8 ประเทศยอดนิยม เรียนภาษาอังกฤษ

การไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือไป เรียนภาษาอังกฤษ ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษกันในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้เราได้ฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ และได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ จะทำให้เราได้ฝึกสำเนียงที่ถูกต้องและมีความกล้าพูดกับผู้ที่ใช้ภาษานั้นๆ และอาจช่วยให้เราพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่เราต้องตัดสินใจอีกอย่างคือการเลือกประเทศที่เราจะไปเรียนให้เหมาะกับทุนทรัพย์ ระยะเวลา และความคุ่มค่ากับสิ่งที่เราจะได้รับ โดยเราสามารถเลือกคอร์สที่เราสนใจได้ ตัวอย่างเช่น

· General English เรียนพูด อ่าน เขียน เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
· Academic English เรียนเพื่อนำไปใช้ในการเรียนระดับปริญญา
· Business English เรียนเพื่อนำไปใช้ในการทำธุรกิจ

Allianz Travel ขอรวบรวมประเทศที่คนนิยมไปเรียนต่อภาษาอังกฤษกัน มาให้เพื่อนๆ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจกันค่ะ

1. สหราชอาณาจักร (United Kingdom)

ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ จะมีที่ไหนที่ดีไปกว่าการไปเรียนต่อที่ประเทศต้นฉบับเจ้าของภาษาอย่างสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วย 4 ประเทศ คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ และไม่เพียงแต่มีมหาวิทยาลัยที่ผลัดกันรั้งตำแหน่งอันดับ 1 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก อย่างเช่น Oxford หรือ Cambridge แล้ว ก็ยังมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่ติด Top 100 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกด้วย

สหราชอาณาจักร (United Kingdom)

เพื่อนๆ สามารถเลือกเมืองที่จะไปเรียนภาษาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันได้เลย เพราะเราอาจจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่หลายเดือน จนถึงอาจเป็นปีเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นถ้าชอบเมืองการศึกษา ก็ต้องเลีอกมหาวิทยาลัยใน Oxford หรือ Cambridge ถ้าชอบกีฬา ก็มีให้เลือกทั้ง Liverpool, Manchester หรือ Leicester หรือถ้าชอบอยู่ในเมืองที่มีกิจกรรมมากมายที่สามารถ่ออกไปใช้ชีวิตในยากว่างก็อาจจะต้องเลือกเรียนใน  London เป็นต้น

จุดเด่น

· เรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาในสำเนียงภาษาอังกฤษแบบบริติช

· มีหลักสูตรภาษาอังกฤษให้เลือกเรียนมากมาย

· มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม มีโรงเรียนสอนภาษามากมายที่มีคุณภาพระดับโลก

· เป็นประเทศที่สามารถผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี

· สามารถเดินทางท่องเที่ยวประเทศในยุโรปได้สะดวก

· มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ และเทศกาลประจำปีชื่อดังมากมาย

· มีชื่อเสียงด้านกีฬาโดยเฉพาะสโมสรฟุตบอลดังๆ เช่น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี อาร์เซลนอล เป็นต้น

· มีระบบคมนาคมยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถไฟ

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับคอร์สเรียนประมาณ 6 เดือน จะมีค่าเรียนตั้งแต่ 120,000 – 260,000 บาทขึ้นอยู่กับสถาบัน

2. ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA)

หลายคนคงมีชื่อประเทศอเมริกาติดอันดับสถานที่ที่อยากไปเรียนต่อเพื่อฝึกภาษากันอยู่แล้ว เพราะมีชื่อเสียงด้านคุณภาพการศึกษาที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้นำการศึกษาโลก มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่คุณภาพอเมริกา และเป็นจุดหมายของนักศึกษาต่างชาติทั่วโลก

ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA)

อเมริกาเป็นประเทศใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง แต่ละรัฐแต่ละเมืองก็จะมีความหลากหลาย วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม หรือกิจกรรมการท่องเที่ยวก็มีให้เลือกมากมาย หากจะเลือกเมืองที่สนใจจะไปเรียนภาษาก็อาจจะต้องคำนึงถึงค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปตามขนาดของเมือง ซึ่งเราขอยกตัวอย่างค่าที่พักของแต่ละเมืองดังนี้

· เมืองขนาดใหญ่ เช่น New York, San Francisco, Chicago, Miami ค่าที่พักประมาณเดือนละ 1,360 – 1,680 USD หรือประมาณ 44,880 – 55,440 บาท)

· เมืองขนาดกลาง เช่น San Diego, Seattle, Portland ค่าที่พักประมาณเดือนละ 1,180 – 1360 USD หรือประมาณ 38,940 – 44,880 บาท

· เมืองขนาดเล็ก เช่น St Louis, Oklahoma, Thousand Oak, Orlando, Richmond ค่าที่พักประมาณเดือนละ 900 – 1200 USD หรือประมาณ 29,700 – 39,600 บาท

จุดเด่น

· ได้เรียนภาษาสำเนียง American ซึ่งเป็นสำเนียงที่คนไทยคุ้นเคยกัน

· เป็นประเทศทันสมัย และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

· มีจำนวนมหาวิทยาลัยให้เลือกมากมายหลังคุณจบคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

· ผู้คนมีความหลากหลาย พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

· มีโอกาสเที่ยวและเก็บประสบการณ์ชีวิตได้อย่างมากมาย

· ได้เรียนรู้และสัมผัสวัฒนธรรมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับการเรียนภาษา 24 สัปดาห์ หรือประมาณ 6 เดือน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

· กลุ่มที่ 1 โรงเรียนแบบประหยัด (กลุ่ม Budget): ประมาณ 3800 – 4800 USD (120,000 – 150,000 บาท)

· กลุ่มที่ 2 โรงเรียนแบบจริงจัง (กลุ่ม Specialist): ประมาณ 5,300 – 6,300 USD (170,000 – 200,000 บาท)

· กลุ่มที่ 3 ศูนย์สอนภาษาของมหาวิทยาลัย (University): ประมาณ 7,200  -8,400 USD (230,000 – 270,000 บาท)

3. ประเทศออสเตรเลีย (Australia)

ประเทศออสเตรเลียเป็นตัวเลือกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประเทศไทย ค่าใช้จ่ายไม่แพง สภาพภูมิอากาศดีไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมชายหาดที่ล้อมรอบประเทศ ไม่ว่าจะเลือกเรียนที่เมืองอะไรก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองอื่น ๆ ได้สะดวก เป็นประเทศที่ต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ ผู้คนเป็นกันเอง มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีถึง 5 เมืองติด 10 อันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2021 (โดย Economist Intelligence Unit) ได้แก่ Adelaide, Perth, Melbourne, และ Brisbane

เรียนภาษา ประเทศออสเตรเลีย

ออสเตรเลียถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการไป เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะทางด้านภาษา เพราะนอกเหนือจากค่าเงินที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษแล้ว ออสเตรเลียยังเปิดโอกาสให้นักเรียนต่างชาติสามารถทำงานควบคู่ไประหว่างเรียนอีกด้วย โดยผู้ถือวีซ่านักเรียนจะสามารถทำงานได้ถึง 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ตามกฎหมาย ออสเตรเลียมีโรงเรียนสอนภาษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับโลก เมืองที่มีโรงเรียนภาษาเยอะๆ และติดอันดับยอดนิยมที่เด็กไทยมักเลือกไปเรียนกัน ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น บริสเบน และโกลด์โคสต์ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเลื่อกได้ตามความชอบและ Lifestyle ของแต่ละคน

· ซิดนีย์ (Sydney) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย คนเยอะ มีแหล่งชอปปิ้งและของกินมากมาย ค่าที่พักแพง แต่มีให้เลือกหลายรูปแบบ

· เมลเบิร์น (Melbourne) เมืองสวยออกแนวอาร์ทๆ เมืองใหญ่ คนเยอะ แต่อากาศเปลี่ยนไปมา โดยที่เราอาจจะเจอทั้งร้อน หนาว และฝนในวันเดียวกัน ค่าที่พักราคาพอๆ กับซิดนีย์

· บริสเบน (Brisbane) เป็นเมืองกิจกรรมสำหรับคนที่ชอบกิจกรรม Outdoor และกีฬา อากาศคล้ายเมืองไทย มีแดดตลอดทั้งปี ค่าครองชีพถูก ค่าที่พักไม่แพง

· โกลด์โคสต์ (Gold Coast) อีกหนึ่งเมืองใหญ่ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษในบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยลมทะเลและชายหาดอันสวยงาม มีร้านอาหารและร้านค้าต่างๆมากมาย มีสวนสนุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีกิจกรรมกีฬาทางน้ำอย่าง การโต้คลื่น หรือ Surfing

จุดเด่น

· เป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร

· อยู่ใกล้กับประเทศไทย ไป-กลับ สะดวก

· มีสถาบันสอนภาษามีคุณภาพระดับสากลมากมาย

· เปิดโอกาสให้นักเรียนที่มาเรียนภาษาทำงาน Part time ได้

· ภูมิประเทศสวยงาม อาหารการกินสมบูรณ์ และสภาพอากาศเหมาะสมกับคนไทย

· กิจกรรมเยอะ ได้ท่องเที่ยวกับธรรมชาติอย่างเต็มที่

· คนไทยเยอะ ไม่เหงา มีเพื่อนแน่นอน

· มีระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถท่องเที่ยวเมืองอื่น ๆ ได้ง่าย

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับการเรียนภาษา 24 สัปดาห์ จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 140,000 – 300,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรียนและประเภทของคอร์สที่จะเรียน

4. ประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand)

นิวซีแลนด์ถูกจัดอันดับให้เป็นเป็นประเทศที่ปลอดภัยอันดับต้น ๆ ของโลกจากหลายองค์กรเชื่อถือได้ และเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ อาทิเช่น World Population Review, U.S. News, Condé Nast Traveler, Worldpackers, Vision of Humanity เป็นต้น นอกจากนี้นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศที่น่าจับตามองมาก ๆ ในช่วงโควิด-19 เพราะที่นิวซีแลนด์สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ยอดเยี่ยมจนทำให้เมือง Auckland ขึ้นอันดับหนึ่งเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2021 (โดย Economist Intelligence Unit) ที่นิวซีแลนด์ยังมุ่งมั่นพัฒนาด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี การศึกษาของที่นิวซีแลนด์มุ่งเน้นทักษะเพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต แถมที่นี่ดูแลนักเรียนต่างชาติดีมากๆ

ประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand)

จุดเด่น

· นิวซีแลนด์ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ

· ระบบการศึกษาของนิวชีแลนด์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในระดับการศึกษาที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก

· สำหรับนักเรียนต่างชาติที่สมัครเรียนตั้งแต่ 14 สัปดาห์ขึ้นไป และอายุ 18 ปีขั้นไปสามารถทำงาน Part-time ได้ถึง 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

· ผู้คนเป็นมิตร ยินดีต้อนรับและช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติ

· สามารถท่องเที่ยวในประเทศได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะไปเดินป่า เที่ยวภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ หรือชายหาด

· ค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพ ที่ไม่สูงจนเกินไป สมเหตุ สมผล

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

ค่าเรียนภาษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องการเรียน ส่วนมากสถาบันสอนภาษาอังกฤษจะคิดค่าเรียนเป็นรายสัปดาห์ เริ่มต้นที่ NZD 250 หรือประมาณ 5,000 บาทต่อสัปดาห์ แต่ถ้าเรียนศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัย ค่าเรียนอาจจะสูงถึง NZD 450 หรือประมาณ 9,000 บาทต่อสัปดาห์

นอกจากค่าเรียนภาษาอังกฤษแล้ว เราจะต้องเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่มให้กับสถาบันอย่างเช่น ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่า resource fee เป็นต้น โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน ซึ่งจะเรียกเก็บไม่เท่ากัน อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 15,000 บาท

5. ประเทศแคนาดา (Canada)

แคนาดาคืออีกหนึ่งประเทศของโลกในทวีปอเมริกา ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของการศึกษาที่มีศักยภาพดีเยี่ยม มาตรฐานการศึกษายอดเยี่ยม หลักสูตรและการสอนมีความทันสมัย ภาษาอังกฤษมีสำเนียงคล้ายอเมริกัน แต่ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า นอกจากนี้  แคนาดายังเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัย อัตราการก่ออาชญากรรมต่ำมาก และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในปี 2021 (โดย U.S. News and World Report) มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่หลากหลายและสวยงาม เช่น Rocky Mountains, Banff National Park, Niagara Falls เป็นต้น นอกจากนี้ 3 เมืองใหญ่ของแคนาดายังมีมหาวิทยาลัยติดอันดับ Top 50 QS World University Rankings 2021 ซึ่งได้แก่ Toronto, Montreal และ Vancouver

ประเทศแคนาดา (Canada)

จุดเด่น

· มีมาตราฐานการศึกษาดี เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

· เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในปี 2021 และมีความปลอดภัยสูง

· คุณภาพชีวิตดีอันดับ 1 ของโลก (2019 US News’ world report)

· สัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แบบวิวหลักล้าน

· มีภาษาราชการ 2 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ไปเรียนภาษาอังกฤษอาจจะได้ภาษาฝรั่งเศสกลับมาด้วย

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

· สำหรับการเรียนภาษา 20 สัปดาห์ (ประมาณ 5 เดือน) ค่าเรียนประมาณ 130,000-160,000 บาท

· สำหรับการเรียนภาษา 36 สัปดาห์ (ประมาณ 9 เดือน) ค่าเรียนประมาณ 210,000-260,000 บาท

· สำหรับการเรียนภาษา 48 สัปดาห์ (ประมาณ 1 ปี) ค่าเรียนประมาณ 280,000-340,000 บาท

6. ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)

สิงคโปร์ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีหลักสูตรการศึกษาที่ดี เศรษฐกิจดี และเป็นประเทศในเอเชียที่มีการศึกษาติดอันดับต้นๆ ของโลก สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าไทย บ้านเมืองสะอาด ผู้คนตรงต่อเวลาและมีระเบียบวินัยสูง เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีผู้คนสนใจเดินทางเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี การไปเรียนต่อที่สิงคโปร์จึงได้พบกับเพื่อนๆจากหลากหลายประเทศ แถมไม่ต้องเดินทางไปไกลจากไทย ที่พักดี เมืองปลอดภัย  นักเรียนไทยปรับตัวเข้ากับ อาหาร เพื่อนต่างชาติ และวัฒนธรรรมได้ไม่ยากนัก

เรียนภาษา ประเทศสิงคโปร์

จุดเด่น

· อยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดเดินทางสะดวก เวลาต่างจากที่ไทยไม่กี่ชั่วโมง

· เป็นประเทศในเอเชียที่มีความอินเตอร์สูง มากกว่า 40% เป็นชาวต่างชาติ

· มีระบบการเรียนการสอนตามมาตราฐานสากล

· มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและกิจกรรมให้ทำมากมาย

· อาหารมีให้เลือกหลากหลายทั้ง มาเลย์ จีน อินเดีย ตะวันตก และยุโรป

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

· หลักสูตร 2 เดือน ประมาณ 1,145-1,980 SGD

· หลักสูตร 4 เดือน ประมาณ 3,585-4,024 SGD

· หลักสูตร 6 เดือน ประมาณ 5,190-6,592 SGD

7. ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)

ไอร์แลนด์เป็นประเทศเล็ก อยู่ติดกับประเทศอังกฤษ ภาษาราชการของชาวไอริชคือ ภาษาไอริช และภาษาอังกฤษ ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีอันดับต้นๆของโลก รัฐบาลไอร์แลนด์มุ่งมั่นสร้างประเทศให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และทันสมัย ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านการศึกษาและเทคโนโลยีสูงไม่แพ้ประเทศอื่นในแถบยุโรป เป็นประเทศที่สวยงาม และที่สำคัญอุปนิสัยอันเป็นมิตรของชาวไอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ให้ความสำคัญในการศึกษาจึงทำให้คุณภาพการศึกษามีคุณภาพสูง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักเรียนและนักศึกษาเลือกประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทางในการศึกษาต่อ

ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)

จุดเด่น

· ระบบการศึกษาในประเทศไอร์แลนด์ได้รับการยกย่องให้เป็นระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา

· ประเทศไอร์แลนด์ลงทุนให้กับการศึกษาทั้งในระดับงานวิจัย และการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

· มีหลักสูตรต่างๆ มากมาย ได้รับการยอมรับจากองค์กรนานาชาติ

· การเข้าถึงโอกาสที่จะได้ศึกษาระบบงานวิจัยที่ดีที่สุดในโลก

· วีซ่านักเรียนสามารรถทำงานพาร์ทไทม์ได้ 20 ช.ม./สัปดาห์ หรือทำงานเต็มเวลา 40 ชม /สัปดาห์ ช่วงปิดเทอม

· มีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาในประเทศไอร์แลนด์มากกว่า 161 ประเทศทั่วโลก

· เป็นประเทศที่ถือได้ว่ามีมิตรสัมพันธ์ดี และปลอดภัยที่สุดในโลก

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

เริ่มต้นที่ 200,000 บาทต่อการเรียน 25 สัปดาห์

8. ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีประชาการพูดภาษาอังกฤษมากเป็นอันดับ 3 รองจากอเมริกาและอังกฤษ และมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ 2 ประเทศนี้ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ที่ฟิลิปปินส์จึงมีนักเรียนชาวต่างชาติมาเรียนต่อเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ หรือเรียนในมหาวิทยาลัยที่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมาก เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเรียนภาษาอังกฤษนอกประเทศแบบเข้มข้น แต่มีงบประมาณไม่มาก

ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)

เมืองเซบูเป็นเมืองยอดนิยมที่มีนักเรียนชาวต่างชาติอย่าง เกาหลี, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีน รวมทั้งอิหร่าน ลิเบีย บราซิล และรัสเซีย มาเรียนภาษาอังกฤษอยู่เสมอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร มีความปลอดภัย มีรถสาธารณะที่สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดาย และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวดังๆอยู่หลายแห่ง

จุดเด่น

· ค่าใช้จ่ายไม่แพง ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ

· โรงเรียนมีมาตรฐานในการคัดเลือกครูที่จบระดับปริญญาตรีด้านการสอนหรือด้านภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ และจะผ่านการอบรม TESOL ซึ่งเป็นการรับรองด้านการสอนภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

· มีนักเรียนจากหลากหลายประเทศ ทำให้มีโอกาสเจอเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย

· ง่ายต่อการปรับตัว เพราะสภาพแวดล้อมและอุปนิสัยของชาวฟิลิปปินส์ใกล้เคียงกับคนไทยมาก

· คนฟิลิปปินส์เกือบทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้เราใช้ชีวิตได้ไม่ยากและได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษตลอดเวลา

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

บางสถาบันเริ่มต้นที่ราคาประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน (ค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าคอร์สเรียน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และส่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น Wifi เป็นต้น)

ทั้ง 8 ประเทศข้างต้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าเราจะเลือกประเทศไหน เราก็จะได้ความรู้และประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ ค่าเรียนและค่าใช้จ่ายของแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับเมือง ที่พัก และระยะเวลาของหลักสูตรการเรียนที่เราเลือก

นอกจากเลือกประเทศที่เหมาะกับเราแล้ว การเลือกซื้อประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศที่มีความคุ้มครองครอบคลุมก็เป็นสิ่งสำคัญ ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณ ระยะเวลาและความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้สามารถเรียนได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ

การเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งในทางเลือกของนักเรียนที่อยากเพิ่มพูนความรู้ พัฒนาเรื่องภาษา และเพิ่มประสบการณ์ชีวิตให้กับตัวเอง และการเรียนต่อต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นชั้นมัธยม ปริญญาตรี โท หรือเอก ก็จะต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยเป็นระยะเวลานาน อาจหลายเดือนหรือหลายปี จึงต้องมีการเตรียมตัวให้รอบคอบ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถมุ่งเน้นไปที่การเรียนได้อย่างมั่นใจ และครอบครัวที่อยู่ทางเมืองไทยก็หายห่วงไปด้วยเช่นกัน ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ ทำให้ผู้เรียนและครอบครัวสบายใจไร้กังวล

ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel คุ้มครองอะไรบ้าง

1. ค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ

ค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ

เมื่อคุณต้องเจ็บป่วยโดยไม่คาดฝัน Allianz Travel พร้อมดูแลคุณอย่างเต็มที่ คุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง และให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศสูงสุดถึง 5,500,000 บาท รวมถึงค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยเมื่อคุณต้องเจ็บป่วยขณะมาเยี่ยมบ้านสำหรับกรมธรรม์ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไปอีกด้วย

2. การชดเชยค่าเล่าเรียน

การชดเชยค่าเล่าเรียน

หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อได้ คุณก็ไม่ต้องเสียค่าเทอมไปฟรีๆ เพราะ ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มอบความคุ้มครองการชดเชยค่าเล่าเรียนจากกรณี:

  • เจ็บป่วยจนต้องรับการรักษาในฐานะผู้ป่วยใน ติดต่อกันเกิน 1 เดือน
  • ป่วยหนักจนต้องถูกส่งตัวกลับประเทศเพื่อรับการรักษาต่อ
  • คู่สมรส คุณพ่อ คุณแม่ หรือบุตรตามกฎหมายของผู้ทำประกันภัย เสียชีวิต

3. ค่าเดินทางของญาติเพื่อมาเยี่ยมตอนเราป่วย

ช่วงเวลาที่เราต้องนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล และไม่มีผู้ดูแล เรามอบค่าตั๋วเดินทางสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ คู่สมรส พี่น้อง 1 ท่าน* สำหรับการเดินทางมาเยี่ยมผู้เรียน พร้อมค่าที่พักและค่าอาหารวันละ 5,000 บาท เมื่อเราต้องได้รับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน ติดต่อกันตั้งแต่ 5 วันขึ้นไป

4. การชดเชยกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ

การเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุจนต้องเสียชีวิตหรือพิการเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เหตุการที่ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นหากมีเหตุสุดวิสัยจนต้องเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เรามีความคุ้มครองเป็นเงินเยียวยาให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุไว้บนกรมธรรม์ สูงสุดถึง 3,000,000 บาท

5. การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน

ให้ความคุ้มครองการช่วยเหลือในการประสานงานสำหรับการเคลื่อนย้ายจากจุดเกิดเหตุไปยังสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และคุ้มครองค่าย้ายออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้าน หรือแม้แต่ต้องกลับมารักษาตัวต่อที่ประเทศไทย

6. กระเป๋า ทรัพย์สิน สูญหายหรือเสียหายระหว่างการใช้ขนส่งสาธารณะ

กระเป๋า ทรัพย์สิน สูญหายหรือเสียหายระหว่างการใช้ขนส่งสาธารณะ

คุ้มครองกระเป๋า และทรัพย์สิน เสียหายหรือสูญหายจากการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถบัส หรือขนส่งสาธารณะอื่นๆ

7. ความรับผิดชอบตามกฏหมายต่อบุคคลภายนอก

ไม่ต้องกังวล หากเราพลาดทำสิ่งของของผู้อื่นเสียหาย หรือทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บโดยไม่มีเจตนา เพราะประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มอบความคุ้มครองช่วยชดใช้ค่าเสียหายกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เราทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือทำข้าวของเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ และได้รับการตัดสินทางกฎหมายแล้ว

การไปเรียนต่อต่างประเทศ เป็นก้าวหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต ดังนั้นการเลือกซื้อประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศที่มีความคุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปเรียนมีความสำคัญมาก ซึ่ง ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel