10 Items for aboard

10 ไอเทมสำคัญ อย่าลืมพกไปต่างประเทศ

การเดินทางไปต่างประเทศ เราต้องเตรียมตัวก่อนเดินทางหลายสิ่งหลายอย่าง อันได้แก่ การวางแผนกำหนดการการเดินทาง ข้อมูลของสถานที่ที่เราจะไปแวะเยี่ยมชม เสื้อผ้าตามสภาพอากาศในพื้นที่ และอาจมีพร็อพเก๋ๆ ที่จะช่วยให้คุณถ่ายภาพความทรงจำได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้ เรายังต้องมีข้าวของเครื่องใช้จำเป็นอื่นๆ ที่ขาดไม่ได้สำหรับการเดินทาง Allianz Travel ได้ทำลิสต์ 10 ไอเทมสำคัญ หรือสิ่งของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หากต้องเดินทางไปต่างประเทศกันนะคะ

1. หนังสือเดินทาง

เปรียบเสมือนบัตรประจำตัวประชาชนสากลเพื่อใช้สำหรับระบุตัวตนของเรา และควรตรวจเช็ควันหมดอายุด้วย เพราะหนังสือเดินทางควรมีอายุมากกว่า 180 วัน นับจากวันที่เดินทางไป ถ้าหนังสือเดินทางใกล้จะหมดอายุแล้วควรไปต่ออายุก่อนเดินทาง

2. ยาประจำตัว รวมไปถึงยาสามัญต่างๆ

เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ซึ่งในบางประเทศอาจจะไม่มียาที่เราใช้เป็นประจำจำหน่าย ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะลืมนำติดตัวไปด้วย

3. อุปกรณ์สำหรับแปลภาษา

ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมใช้แอปพลิเคชันแปลภาษาที่อยู่บนมือถือ ควรดาวน์โหลดติดตั้งเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทาง เมื่อไปถึงประเทศปลายทางจะได้สื่อสารกับคนท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้สื่อสารเพื่อขอความช่วยเหลือกับคนรอบข้างได้

4. หัวปลั๊กไฟ

ควรใช้แบบ Universal เพราะแต่ละประเทศจะมีหัวปลั๊กไฟที่ไม่เหมือนกัน เวลาเราต้องเดินทางประเทศต่างๆ จะได้นำออกมาใช้ได้ทุกครั้ง

5. พาวเวอร์แบงค์

พกไว้เมื่อเวลาแบตเตอรีของอุปกรณ์ต่างๆ หมดในระหว่างการเดินทาง เช่น โทรศัพท์มือถือ iPad นาฬิกา Smart Watch หูฟัง เป็นต้น โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือซึ่งถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการค้นหาข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยว แผนที่การเดินทาง การติดต่อสื่อสาร ถ้าปล่อยให้แบตเตอรีหมดแย่แน่เลย

6. ร่มพับ

เป็นไอเทมสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะใช้กันแดด กันฝน กันหิมะ เพราะสภาพอากาศมีความไม่แน่นอน ดังนั้นพกติดตัวไว้ไม่เสียหาย

7. รองเท้าสำรอง

เผื่อกรณีเกิดเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าเปียก หรือขาด เราจะได้สลับเปลี่ยนไปใช้อีกคู่ได้ทันที ทำให้แผนการเดินทางท่องเที่ยวของเราไม่สะดุด

8. กระเป๋าคาดอก

สำหรับพกสิ่งของสำคัญไม่ว่าจะเป็น กุญแจ กระเป๋าเงิน มือถือติดตัวระหว่างวัน โดยที่ไม่ต้องแบกเป้หรือกระเป๋าใบใหญ่ ทำให้สามารถเต็มที่ได้กับทุกกิจกรรม

9. กล้องถ่ายรูป

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันโทรศัพท์ก็สามารถถ่ายรูปได้อยู่แล้ว แต่อุตส่าห์ไปไกลถึงต่างประเทศทั้งที การพกกล้องดีๆ ติดไปด้วยซักตัวเพื่อให้เราได้ภาพที่คมชัดสวยงามเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ประทับใจกับสถานที่นั้นๆ ก็ถือว่าคุ้มที่ได้พกไปด้วย

10. ประกันภัยการเดินทาง

ควรทำไว้ก่อนเดินทาง เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และค่าบริการต่างๆ ที่ต่างประเทศก็ไม่ใช่ถูกๆ การมีประกันภัยการเดินทางไว้เพื่อคอยซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็ทำให้เราอุ่นใจไปได้เยอะเลย

ในการเดินทางไปต่างประเทศในที่ที่คุณไม่คุ้นเคย อาจทำให้คุณกังวลกับเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่คุณควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

romantic-marriage-proposal-places

5 สถานที่สุดโรแมนติก สำหรับขอแต่งงาน

การที่มีคนที่เรารักมาทำเซอร์ไพรส์ขอเราแต่งงานคงเป็นอีกหนึ่งความฝันของใครหลายๆ คน ซึ่งก่อนอื่นการทำเซอร์ไพรส์ขอคนรักแต่งงานคงต้องวางแผนหาสถานที่สุดโรแมนติกเพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนรัก ในวินาทีที่สำคัญเช่นนี้ วันนี้ Allianz Travel ขอนำเสนอ 5 สถานที่สุดโรแมนติกสำหรับการขอแต่งงาน มีที่ไหนบ้าง เรามาดูกันเลย

1. หอไอเฟล – ฝรั่งเศส (Eiffel)

หนึ่งในสถานที่สุดโรแมนติกที่ต้องอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน ด้วยบรรยากาศโดยรอบ และตัวหอไอเฟลที่มีความโดดเด่น ทำให้คู่รักหลากหลายคู่เลือกที่จะมาสารภาพรัก หรือขอแต่งงานกันที่สถานที่แห่งนี้

2. สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ – ฝรั่งเศส (Disneyland)

หลายคนคงกำลังคิดว่าสวนสนุกจะสร้างความโรแมนติกได้ยังไง? แต่หากคุณได้มาเยือน ปราสาท Sleeping Beauty ปราสาทสีชมพูสุดอลังการแห่งสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในกรุงปารีส ก็จะเข้าใจถึงความโรแมนติกนี้ เพราะบรรยากาศโดยรอบที่ราวกับอยู่ในเทพนิยาย ทำให้หลายๆ คู่รักเลือกที่จะมาขอแต่งงานกันที่นี่

ขอบคุณรูปภาพจาก : 20 Secrets Of The Sleeping Beauty Castle At Disneyland Paris

3. ปราสาทนอยชวานสไตน์ – เยอรมนี (Neuschwanstein Castle)

ขึ้นชื่อว่าเป็นปราสาทแห่งเทพนิยาย ทำให้การขอแต่งงานที่ปราสาทแห่งนี้ทำให้ได้บรรยากาศและอารมณ์ของการเป็นเจ้าหญิง และเจ้าชายกันเลย

4. สะพานชาร์ลส์ – สาธารณรัฐเช็ก (Charles Bridge)

สะพานหินโค้งเก่าแก่ตั้งอยู่ภายในกรุงปราก เนื่องจากมีทัศนียภาพอันแสนสวยงาม ทำให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชอบมาเซอร์ไพรส์ขอคนรักแต่งงาน

5. เมืองเวนิส – อิตาลี (Venice)

เมืองที่มีความโรแมนติกแทรกตัวอยู่ตามสถาปัตยกรรมต่างๆ ของเมือง อีกทั้งยังมีบริการเรือกอนโดลาให้คู่รักนั่งชมทัศนียภาพของเมือง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการขอคนรักแต่งงาน

หากถึงเวลาที่ต้องขอคนรักแต่งงาน 5 สถานที่สุดโรแมนติก ที่ Allianz Travel นำเสนอ ก็สามารถใช้เป็นตัวเลือกสำหรับสถานที่ ที่คุณสามารถสร้างความประทับใจที่ยากจะลืมเลือนให้กับคนรักของคุณได้นะคะ : )

เดินทางกับคนที่คุณรัก แผนการเดินทางไม่สะดุด คุ้มครองค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ถ้ามีประกันภัยการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

christmas travel locations

10 สถานที่น่าเที่ยวช่วงคริสต์มาส

เทศกาลคริสต์มาสใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนคงนึกถึงเทศกาลแห่งความสนุกสนาน หิมะสีขาว รวมถึงช่วงเวลาแห่งการหยุดพักผ่อน และการได้เฉลิมฉลองกับครอบครัว Allianz Travel เลยอยากแนะนำเพื่อนๆ ไปเยี่ยมชม 10 สถานที่ที่มีมนต์เสน่ห์แห่งเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกันค่ะ

1. สวนแห่งดวงดาว (Starlight Garden) กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

สถานที่ที่หนุ่มสาวคู่รักจะจูงมือกันไปชมทะเลดวงดาวสวยงามตระการตาจากการประดับไฟนับล้านดวง

2. แมนฮัตตัน นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส นครนิวยอร์กจะเต็มไปด้วยการประดับตกแต่งด้วยสีเขียวและสีแดงมากมายทั่วเมือง โดยมีแมนฮัตตันเป็นหัวใจหลักในการจัดงาน

3. อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

บ้านเกิดของเซนต์นิโคลัส หรือซานตาคลอส ซึ่งในทุกๆ ปีจะมีขบวนพาเหรดซานตาคลอส เพื่อระลึกถึงนักบุญขวัญใจเด็กๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีเทศกาลไฟประดับ (Light Festival) ที่จัดขึ้นให้ชาวเมือง และนักท่องเที่ยวได้ชมกันอย่างเพลิดเพลิน

4. หมู่บ้านซานตาคลอส (Santa Clause Village) เมืองแลปแลนด์ ประเทศฟินแลนด์

หมู่บ้านน่ารัก สวยงามที่ทุกคนจะได้พูดคุยกับซานตาคลอส และได้ชิมขนมและอาหารประจำเทศกาลแห่งความสุขนี้ รวมไปถึงการเลือกซื้อของฝากที่ระลึกประจำเทศกาลน่ารักๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านกันอีกด้วย

5. กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ถึงแม้ว่ากรุงลอนดอนจะมีการฉลองคริสต์มาสที่สั้นกว่าประเทศอื่นๆ เพราะสิ้นสุดแค่วันที่ 24 ธันวาคม หรือคริสต์มาสอีฟ แต่ก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการชมเมืองยามค่ำคืนที่มีการประดับไฟสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งได้ตลอดเวลา

6. เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา

อีกหนึ่งเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งหากเดินทางมาเที่ยวช่วงคริสต์มาสแล้ว นอกจากจะได้ชมการตกแต่งเมืองที่สวยงาม เพื่อนๆ ก็ยังจะได้ลิ้มลองขนม อาหาร และเครื่องดื่มประจำเทศกาลสไตล์ยุโรปเก่าแก่อีกด้วย

7. เมืองเรคาวิก ประเทศไอซ์แลนด์

จะมีการจำลองเมืองทั้งเมืองให้เหมือนเมืองในเทพนิยาย และมีหมู่บ้านคริสต์มาสที่จะเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ตลอดเดือนธันวาคม นอกจากนี้ยังมีการก่อกองไฟ และจุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองในช่วงปีใหม่อีกด้วย

8. ตลาดสินค้าคริสต์มาส กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

เริ่มจัดเทศกาลคริสมาสตร์ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงวันคริสต์มาส มีสิ่งของให้จับจ่ายและอาหารให้เลือกชิมมากมาย เช่น ขนมปัง วาฟเฟิล ไส้กรอกย่าง และไวน์ เป็นต้น

9. ตลาดคริสต์มาสแห่งนครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน

เป็นตลาดที่เก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1393 มีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม มีร้านค้ามากมายถึง 200 ร้านค้าที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดและสิ่งของเกี่ยวกับคริสต์มาสมากมาย

10. ตลาดคริสต์มาสแห่งเมืองนูเรมเบิร์ก อีกหนึ่งที่เที่ยวช่วงเทศกาลคริสต์มาสแห่งประเทศเยอรมัน

ซึ่งเป็นเมืองต้นตำรับแห่งการทำขนมผิง โดยจะมีร้านค้ามากถึงเกือบ 200 ร้านค้ามาจำหน่ายของสินค้าที่มีแค่เฉพาะที่นี่ รวมทั้งอาหารและขนมที่จะมีขายปีละครั้งในเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น

เป็นยังไงกันบ้างคะกับ 10 สถานที่น่าเที่ยวช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาส ที่เราได้พาไปเยี่ยมชมกัน Allianz Travel หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะมีความสุขในเทศกาลคริสต์มาสในปีนี้นะคะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เช็คอิน 20 เมืองน่าเที่ยว ยุโรปตะวันออก

ยุโรปตะวันออก: เช็คอิน 20 เมืองน่าเที่ยว

เมื่อพูดถึงทวีป “ยุโรป” หลาย ๆ คน คงนึกถึงประเทศในแถบทวีปยุโรปตะวันตกกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือเยอรมัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ ล้วนเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ยุโรปไม่ได้มีดีเพียงแค่ยุโรปตะวันตกเท่านั้นค่ะ ประเทศในแถบยุโรปตะวันออกเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย รวมไปถึงสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือน และโบสถ์ยุคกลางที่ยังคงความสมบูรณ์ วันนี้ Allianz Travel เลยไม่รอช้า ขออาสาเป็นไกด์ พาทุกคนไปเที่ยว 20 เมืองยุโรปตะวันออกกันค่ะ

1. BUCHAREST, ROMANIA

มาเริ่มกันที่เมืองแรกเลยค่ะกับเมืองบูคาเรสต์ เมืองหลวงของประเทศโรมาเนีย บูคาเรสต์เคยได้ฉายาว่า “Little Paris” ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ด้วยความทันสมัยของอาคารบ้านเรือนและรสนิยมของชาวเมืองที่คล้าย ๆ กับเมืองปารีสของฝรั่งเศส ณ ขณะนั้น

เมืองบูคาเรสต์ มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ท่องเที่ยวชมมากมาย แต่ที่โดดเด่น และถือเป็นไฮไลต์พลาดไม่ได้เลย ก็คือ พระราชวังรัฐสภา ซึ่งมีความหรูหราและอลังการ เทียบเท่าได้กับเพนตากอนของสหรัฐเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมอีกหลายแห่งที่มีความโดดเด่น อาทิ คอนเสิร์ตฮอลล์ Romanian Athenaeum, มหาวิทยาลัยบูคาเรสต์ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เป็นต้น

BUCHAREST, ROMANIA

2. SIBIU, ROMANIA

จากเมืองหลวงบูคาเรสต์ ขึ้นเหนืออีกนิดไปที่เมืองซีบีอู แคว้นทรานซิลวาเนีย ซีบีอูเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปเมื่อปี ค.ศ. 2007 และเป็นเมืองมรดกโลกที่มีความเก่าแก่ทางสถาปัตยกรรม ด้วยบริเวณเมืองเก่าเป็นชุมชนของชาวเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ จึงเต็มไปด้วยบ้านเรือนศิลปะแบบบาโรคและโกธิค สำหรับสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ พิพิธภัณฑ์พระราชวัง Brukenthal, จตุรัส Piaata Mare และร้านอาหาร Crama Sibiu Vechi และเมื่อมายังแคว้นทรานซิลวาเนียแล้ว ใครที่ชื่นชอบการปีนเขา ที่นี่ก็มี Transylvania Mountain Trail ด้วยค่ะ โดยเส้นทางปีนเขาทรานซิลวาเนีย เป็นจุดหมายปลายทางของนักปีนเขาจำนวนมาก ด้วยความสวยงามของภูเขา Carpathian บวกกับภาพวิวทิวทัศน์ปราสาท Bran ปราสาทที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และตั้งตระหง่าอยู่กลางภูเขาล้อมรอบด้วยป่าไม้

SIBIU, ROMANIA

3. BRATISLAVA, SLOVAKIA

จากประเทศโรมาเนีย มาเที่ยวกันต่อที่เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย กับเมืองบราติสลาวา เมืองที่อยู่ติดชายแดนกับประเทศออสเตรีย สามารถนั่งรถไฟมาจากกรุงเวียนนาได้ บราติสลาวา เป็นเมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง มีปราสาทเนินเขาบราติสลาวาเป็นจุดเด่นสำคัญ และเมื่อมาเที่ยวบราติสลาวาแล้ว ก็ห้ามพลาดการเยี่ยมชมพระราชวัง Primatial โรงละคร Slovenske narodne divadlo รวมไปถึงการเดินหาอาหารพื้นเมืองทานที่จตุรัสเมืองเก่า ซึ่งที่นั้นจะมีร้านอาหาร ผับ บาร์ และตลาดนัด ให้เดินเล่นและทานอาหารกันอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ

BRATISLAVA, SLOVAKIA

4. SKOPJE, MACEDONIA

สโกเปีย เมืองหลวงของประเทศมาซิโดเนียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในอดีต สโกเปียเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลายอาณาจักร เช่น โรมัน ไบแซนไทน์ บัลกาเรียน เซอร์เบีย และออโตมันซึ่งปกครองเมืองยาวนานกว่า 500 ปี ด้วยเหตุนี้ สโกเปียจึงเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมทั้งคริสเตียนและอิสลาม ผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว

สำหรับสถานที่เที่ยวน่าสนใจ อาทิ จตุรัสมาซิโดเนีย, ประตูชัยมาซิโดเนีย, โบสถ์แม่ชีเทเรซ่า, โรงละครแห่งชาติมาซิโดเนีย เป็นต้น

SKOPJE, MACEDONIA

5. DUBROVNIK, CROATIA

ดูโบรฟนิก ไข่มุกแห่งทะเลอเดรียติค เมืองเก่าแก่ติดชายทะเลทางตอนใต้ของโครเอเชียที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากนักท่องเที่ยว ด้วยการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Game of Thrones ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันจำนวนมากค่ะ

ดูโบรฟนิกเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปยุคกลาง ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรปตะวันออก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ. 1979 ดูโบรฟนิกมีศิลปและวัฒนธรรมสไตล์ยุโรปยุคกลางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ หรือประติมากรรม และสถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือ การเดินตามกำแพงเมืองเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์เมืองและทะเลอเดรียติคค่ะ

DUBROVNIK, CROATIA

6. SPLIT, CROATIA

จากดูโบรฟนิก ขึ้นเหนือเลียบชายฝั่งมายังเมืองสปลิต เมืองชายฝั่งทางตะวันออกของทะเลอเดรียติค และเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสองของประเทศโครเอเชียด้วยค่ะ เมื่อมาเที่ยวยังเมืองสปลิตแล้ว ก็พลาดไมได้เลยที่จะไป เยือนพระราชวังไดโอคลีเชียน พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิไดโอคลีเชียนเมื่อศตวรรษที่ 4 และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยค่ะ โดยตัวพระราชวัง เปรียบเสมือนศูนย์กลางของเมือง ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และถนนคนเดิน

สำหรับใครที่ชื่นชอบการเล่นน้ำทะเล ที่เมืองสปลิตก็มีชายหาดสีขาวสวยงามหลากหลายหาดให้เล่นน้ำทะเลกันด้วยค่ะ

SPLIT, CROATIA

7. BELGRADE, SERBIA

จากโครเอเชีย ย้ายมาเที่ยวที่เซอร์เบียกับเมืองเบลเกรด เมืองหลวงของประเทศเซอร์เบีย ซึ่งเบลเกรดเป็นศูนย์กลางทางการค้า วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ เป็นดินแดนที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของยุโรป สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หลาย ๆ แห่งในเมืองเบลเกรดตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ทหารเบลเกรด ซึ่งมีวัตถุโบราณกว่า 3,000 ชิ้น หรือจะแวะพักผ่อนที่สวนสาธารณะเคลเมกเดน สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่รอบป้อมปราการ และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเซอร์เบียที่จะพาเราดื่มด่ำไปกับงานศิลปะกว่า 400,000 ชิ้นจากหลากหลายยุคสมัย

เบลเกรดเป็นเมืองที่แม่น้ำสองสายดานูบและซาวาไหลมาบรรจบกัน เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเบลเกรดคือเป็นเมืองราบลุ่มที่มีเนินต่ำสลับ โดยมีทิวเขาสองแห่งตั้งเป็นกำแพงอยู่ทางใต้ ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิหนาวจัด เหมาะแก่การท่องเที่ยวค่ะ

BELGRADE, SERBIA

8. LIUBLJANA, SLOVENIA

ลูบลิยานา เมืองหลวงของประเทศสโลวีเนีย ตั้งอยู่ใจกลางของทวีปยุโรประหว่างเทือกเขาแอลป์ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และที่ราบแพนโนเนียน ลูบลิยานา เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารและโรงแรม โดยใจกลางเมืองจะเป็นจตุรัสขนาดใหญ่ ขนาบข้างด้วยแม่น้ำลูบลิยานาที่ไหลผ่าน ซึ่งทางรัฐบาลได้จัดให้พื้นที่จตุรัสกลางเมืองเป็นพื้นที่ห้ามรถวิ่ง ทำให้มีร้านอาหาร และคาเฟ่ตลอดสองข้างทางเลียบแม่น้ำ เหมาะแก่การปั่นจักรยานเล่นกลางเมือง และถ้าใครอยากชมสถาปัตยกรรมแบบสโลวีเนีย ก็อย่าลืมแวะไปที่ปราสาทลูบลิยานา และห้องสมุดแห่งชาติ ทั้งสองสถานที่ล้วนมีความสวยงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมสโลวีเนีย

LIUBLJANA, SLOVENIA

9. WARSAW, POLAND

วอร์ซอเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศโปแลนด์ เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็กกล้า รถยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และยังเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาอีกด้วย โดยสถานที่เที่ยววอร์ซอแบ่งได้เป็นสามโซนหลัก ๆ ด้วยกันคือ โซน Old Town โซน Royal Route และโซนเมืองใหม่

โซนเมืองเก่าเป็นโซนที่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ภายหลังจากการเสียหายจากภัยสงครามโลก สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ในโซนเมืองเก่า ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยคงรูปแบบเดิมเอาไว้ และสำหรับใครที่อยากศึกษาประวัติศาสตร์เมืองเก่าแห่งนี้ ก็มีพิพิธภัณฑ์ Warsaw Rising Museum ที่เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์เมืองให้ศึกษาอีกด้วยค่ะ

WARSAW, POLAND

10. KRAKOW, POLAND

จากวอร์ซอ มาต่อกันที่เมืองคราโคว เมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศโปแลนด์ และเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยไฮไลต์ของเมือง อยู่ที่ย่าน Old Town ซึ่งจะมีอาคารบ้านเรือน พระราชวัง และโบสถ์เก่าแก่จำนวนมาก ที่เที่ยวที่ห้ามพลาดเลยก็คือ ปราสาทพระราชวังวาเวล และโบสถ์ St. Adabert โบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุเกือบพันปี และปิดท้ายทริปด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Schindler พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในสมัยที่กองทัพนาซีของเยอรมันเข้ายึดครองเมือง ซึ่ง พิพิธภัณฑ์ Schindler ตั้งอยู่บนโรงงานเดิมของ Oscar Schindler นักอุตสาหกรรมชาวเยอรมันที่ได้ช่วยชีวิตชาวยิวในเมืองคราโควกว่า 1,200 คน เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยค่ะ

KRAKOW, POLAND

11. SOFIA, BULGARIA

เมื่อพูดถึงประเทศบัลแกเรีย หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงโยเกิร์ตกันเป็นอันดับแรก แต่บัลแกเรียไม่ได้มีดีแค่โยเกิร์ตนะคะ เพราะบัลแกเรียเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และเมืองที่เราจะพาไปเที่ยววันนี้ก็คือเมืองหลวงของประเทศ อย่างเมืองโซเฟียค่ะ

โซเฟียเป็นเมืองหลวงสุดน่ารักที่เต็มไปด้วยอาคารเกร๋ ๆ แต่งแต้มไปด้วยสีพาสเทล เหมาะแก่การเดินเล่นชิล ๆ และถ่ายรูปสวย ๆ เป็นที่ระลึก ขณะที่ ภายในเมืองก็มีร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารจำนวนมากในบริเวณมาร์เก็ตฮอลล์ และหากใครไปโซเฟียทั้งทีก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวอาสนวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (Alexander Nevsky Cathedral) โบสถ์สไตล์ออร์โธด็อกซ์ของบัลแกเรีย จากนั้นแวะไปเที่ยวที่โบสถ์โบยานา (Boyana Church) โบสถ์เล็ก ๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ดูข้างนอกอาจจะธรรมดา แต่ภายในเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันสวยงามค่ะ

SOFIA, BULGARIA

12. TALLINN, ESTONIA

จากบัลแกเรีย มาต่อกันที่ประเทศเล็ก ๆ อย่างเอสโตเนีย กับเมืองหลวงทาลลินน์ เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสวยงามมากมาย และตลอดสองข้างทางของเมือง ก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และร้านคาเฟ่ โดยไฮไลต์สำคัญของเมืองคือการเยี่ยมชม ทาวน์ฮอลล์สไตล์โกธิคที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป รวมไปถึงแลนมาร์คสำคัญของเมืองอย่างโบสถ์เซนต์โอลาฟ ซึ่งภายในโบสถ์จะมีจุดให้เราชมวิวทิวทัศน์เมืองแบบ 360 องศา

เอสโตเนีย มีขนาดพื้นที่โดยรวมแค่ประมาณ 45,227 ตารางกิโลเมตร (17,462 ตารางไมล์) ทางทิศเหนือจะติดกับอ่าวฟินแลนด์ ทิศตะวันตกติดกับทะเลบอลติก ทิศใต้ติดกับปะเทศลัตเวีย ส่วนทางทิศตะวันออกจะติดกับประเทศรัสเซียนั่นเอง ทำให้สามารถเที่ยวหมดได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ และสามารถนั่งรถไฟมาจากทางประเทศรัสเซียหรือทางลัตเวียได้ค่ะ

TALLINN, ESTONIA

13. RIGA, LATVIA

ริกา เมืองหลวงของประเทศลัตเวียที่ตั้งอยู่ริมทะเลบอลติก หนึ่งในสามประเทศเกิดใหม่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ริกาได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งศิลปะ “อาร์ตนูโว” (Art Nouveau) ด้วยความโดดเด่นของเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโว ซึ่งหมายถึงการใช้รูปแบบธรรมชาติ โดยเฉพาะดอกไม้และพืชอื่น ๆ มาทำเป็นลวดลายเส้นโค้งที่อ่อนช้อย ประดับทั้งภายในและภายนอกอาคาร

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจภายในเมือง อาทิ Central Market, The Riga Art Nouveau Center, House of Blackheads, Latvia National Museum of Art เป็นต้น

ริกา เป็นเมืองชิล ๆ สีสันสดใส ที่สามารถเดินเล่นได้รอบเมืองเลยค่ะ ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรม เดินไปทางไหน เป็นอันต้องหยุดเพื่อแชะภาพเป็นที่ระลึก ที่สำคัญ เป็นเมืองที่สามารถเที่ยวได้หมดภายในหนึ่งวัน

RIGA, LATVIA

14. VILNIUS, LITHUANIA

จากลัตเวีย ลงทางใต้มายังประเทศลิธัวเนียที่เมืองวีลนิอุส เมืองหลวงของประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพราะความเก่าแก่ยาวนานของประวัติศาสตร์ และความสวยงามของตัวอาคารบ้านเรือนที่มีอายุมาตั้งแต่ช่วงยุคกลาง ตัวเมืองวิลนีอุสมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ สองสายไหลผ่านได้แก่ Neris กับ Vilnia จึงทำให้ภายในบริเวณเขตตัวเมืองเก่านั้นมีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มไปทั่วทั้งเมือง และบริเวณจัตุรัสเมืองหรือ Town Hall Square จะมีสไตล์การปลูกสร้างเป็นศิลปะแบบบาโรค และบางส่วนก็จะมีส่วนผสมของศิลปะแบบโกธิครวมอยู่ด้วยค่ะ

เมื่อมายังเมืองวีลนิอุสแล้ว อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดก็คือ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ (Museum of Genocide) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความโหดร้ายของการกดขี่และการสังหารหมู่ชาวลิธัวเนีย ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียตนานกว่า 50 ปี

VILNIUS, LITHUANIA

15. KOTOR, MONTENEGRO

กอเตอร์ เมืองโบราณที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่ติดทะเลอเดรียติค มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน เคยเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเล และศูนย์การค้าที่สำคัญในแถบทะเลเอเดรียติก กอเตอร์เป็นเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงาม รายล้อมด้วยเทือกเขาและอ่าวกอเตอร์ ภายในเมืองมีกำแพงเมือง ป้อมปราการจากอดีต คูคลองที่เชื่อมกับอ่าว และอาคารบ้านเรือนแบบยุคกลางที่ยังคงอนุรักษ์ความเก่าแก่ไว้ได้เป็นอย่างดี จนความสวยงามทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกค่ะ

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจได้แก่ กำแพงเมืองและป้อมกอเตอร์ กำแพงและป้อมเก่าแก่ที่ยังคงความสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป, โบสถ์เลดี้ออฟเดอะร็อคส์ โบสถ์พระแม่มารีที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ, ปราสาทแห่งซาน จีโอวานนี ปราสาทเก่าแก่ยุคกลาง, โบสถ์แห่งกอเตอร์ โบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ในเมือง

KOTOR, MONTENEGRO

16. SARAJEVO, BOSNIA AND HERCEGOVINA

ซาราเยโวเป็นมืองหลวงของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งเมื่อทศวรรษ 1990 ทั้งเมืองเคยกลายเป็นซากปรักหักพังจากภัยสงครามกลางเมืองก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมา กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองยอดนิยมเมืองหนึ่งของประเทศ

เมื่อมาถึงซาราเยโวแล้ว พลาดไม่ได้เลยที่จะต้องไปดู Kovaci Memorial Cemetery สุสานขนาดใหญ่สำหรับฝังศพชาวบอสเนียที่ทำการสู้รบกับชาวเซิรบ์ในสงครามกลางเมืองเมื่อทศวรรษ 1990 รวมไปถึงการเยี่ยมชม Sarajevo Tunnel Museum พิพิธภัณฑ์ที่ครั้งหนึ่งชาวบอสเนียเคยใช้เป็นอุโมงค์เพื่อหลบหนีออกไปนอกเมือง และใช้เป็นที่ส่งเสบียงอาหารเข้ามายังภายในเมือง สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ Gazi Husrev-beg Mosque, Latin Bridge, Jewish Museum, Sarajevo Town Hall เป็นต้น

SARAJEVO, BOSNIA AND HERCEGOVINA

17. PRAGUE, CZECH REPUBLIC

ปราก เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐเช็ก ปรากได้รับฉายาว่า “The City of a Hundred Spires” หรือ “เมืองแห่งหนึ่งร้อยยอด” เนื่องจากทั้งเมืองเต็มไปด้วยความสวยงามและเงียบสงบท่ามกลางขุนเขา อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางอาณาจักรโบราณมาเนิ่นนานตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล เมืองปรากจึงเต็มไปด้วยเรื่องราว เรื่องเล่า และสถาปัตยกรรมเก่าแก่จำนวนมาก จนทำให้ปรากได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1992 และนับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยค่ะ

สำหรับสถานที่เที่ยวน่าสนใจ อาทิ
• สะพานชาร์ลส์ สะพานหินเก่าแก่คู่เมือปราก สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1357
• ปราสาทปราก ปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และภายในปราสาทยังมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ ถนนทองคำ, มหาวิหารบาซิลลิกา ออฟ เซนต์จอร์จ, พระราชวังเก่า
• หอนาฬิกาดาราศาสตร์ หอนาฬิกาเก่าแก่ที่ติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1410 และยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน
• ซุ้มประตูเมือง Powder Tower ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณย่านโซนเก่า สร้างด้วยสถาปัตยกรรมโกธิค ด้านบนเป็นหอคอยจุดชมวิวเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

PRAGUE, CZECH REPUBLIC

18. OLOMOUC, CZECH REPUBLIC

จากกรุงปราก มาเที่ยวกันต่อที่เมืองโอโลโมซ ซึ่งตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูมิภาค Moravia เคยเป็นเมืองหลวงเก่ามาก่อน ห่างจากกรุงปรากโดยรถไฟประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ตามเรื่องเล่า เล่ากันว่าเมืองโอโลโมซถือกำเนิดจากการเป็นป้อมปราการของชาวโรมัน โดยมีจูเลียส ซีซาร์เป็นผู้สร้างเมืองขึ้นมา ทำให้เมืองทั้งเมืองได้รับอิทธิพลทางศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบโรมันมาทั้งหมดค่ะ

สำหรับสถานที่เที่ยวยอดนิยมที่ใครมาโอโลโมซต่างต้องแวะมาก็คือ จตุรัสใจกลางเมืองที่มีเสาหิน Holy Trinity ศิลปะสไตล์บาโรคตั้งอยู่ โดยเจ้าเสาหินนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ประดับประดาไปด้วยรูปปั้นทางศาสนา นอกจากนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ หอนาฬิกาดาราศาสตร์ โบสถ์เซนต์มอริสท์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ศาลากลางยุคศตวรรษ 14 และพระราชวังบิชอป เป็นต้น

OLOMOUC, CZECH REPUBLIC

19. BERAT, ALBANIA

เบรัต เมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “Town of a thousand windows” หรือเมืองที่มีหน้าต่างหลายพันบาน ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา ทำให้อาคารบ้านเรือนสร้างขึ้นลดหลั่นกันตามแนวภูเขา Tomorri ไปจนถึงตัวปราสาทเบรัต เกิดเป็นภาพหน้าต่างหลายพันบานเมื่อมองมาจากข้างล่าง นอกจากนี้แล้ว ทั้งเมืองยังเป็นเมืองเก่าที่อนุรักษ์สถาปัตยกรรมออตโตมันไว้อย่างสมบูรณ์จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2005

เมื่อมายังเบรัตแล้ว สถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการขึ้นไปยังปราสาทเบรัตเพื่อชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองแบบ 360 องศา และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกลางเมือง เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศอันแสนสบายแบบชาวเบรัต ที่จะพากันออกมาสังสรรค์ตามถนนกัน และถ้าอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศิลปะของชาวเบรัต ก็มีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ Onufri ให้เข้าชมกันค่ะ

BERAT, ALBANIA

20. BUDAPEST, HUNGARY

มาถึงเมืองสุดท้ายกับเมืองบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งแม่น้ำดานูบ” เนื่องด้วยลักษณะของเมืองที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำดานูบ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเรียกว่าฝั่งบูดา และฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเรียกว่าฝั่งเปสต์ ด้วยลักษณะเมืองที่มีแม่น้ำคั่นกลาง ทำให้ภูมิทัศน์เมืองมีความสวยงามทั้งจากตัวสถาปัตยกรรม ผังเมือง สะพานข้ามแม่น้ำ และอาคารบ้านเรือน

บูดาเปสต์ เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ต้องใช้เวลาหลายวันในการเที่ยว สถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลยได้ อาทิ
• สะพานเชนเซเชนยี สะพานที่พาดระหว่างแม่น้ำดานูบสองฝั่ง ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมือง
• ปราสาทบูดา ปราสาทที่ในอดีตเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์ฮังการี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติ
• โรงอาบน้ำเซเชนยี โรงอาบน้ำที่มีสปาน้ำพุร้อนใหญ่ที่สุดในยุโรป
• จัตุรัสวีรชน สร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญวีรบุรุษฮังการีในอดีต และเพื่อฉลองครบรอบ 1,000 ปีประเทศ
• เกลเลิร์ต ฮิลล์ สถานที่ชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวบูดาเปสต์ทั้งสองฝั่งได้แบบพาโนรามา
• รัฐสภาฮังการี รัฐสภาที่มีความงดงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค

BUDAPEST, HUNGARY

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 20 เมืองน่าเที่ยวประเทศแถบยุโรปตะวันออก หลาย ๆ เมืองอาจเป็นเมืองที่เราไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เมืองเหล่านี้ล้วนมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลากหลายแห่ง รวมไปถึงสถาปัตยกรรม ศิลปะและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสถานที่อื่น ๆ รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปค้นหา เรียนรู้ และสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ หวังว่าประเทศแถบยุโรปตะวันออกจะอยู่ใน “Bucket List” สำหรับแพลนเที่ยวครั้งหน้านะคะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
25 Amazing Places in Eastern Europe You Have To Visit

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

best-hiking-trails-europe

ตะลุยธรรมชาติ: 12 เส้นทางเดินเขาทวีปยุโรป

การท่องเที่ยวด้วยการเดินเขาถือเป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวสายผจญภัยที่ชื่นชอบความท้าทายและความทรหด ความสนุกของการเดินเขา นอกเหนือจากการได้ท้าทายขีดจำกัดตัวเองแล้ว ก็คือการค้นพบธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทาง และประสบการณ์แปลกใหม่ที่หาที่ไหนไม่ได้ ประเทศแถบยุโรป นับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเดินเขาและเดินป่าเป็นอย่างมาก เพราะมีแนวเทือกเขาแอลป์และอุทยานแห่งชาติทอดยาวในหลายประเทศ บทความนี้ Allianz Travel เลยขอเอาใจคนรักการผจญภัย พาไปดู 12 สถานที่เดินเขายอดนิยมทวีปยุโรป จะสวยงามแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

1. THE KING’S TRAIL, SWEDEN

ระยะทาง: 440 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 8-10 วัน

ระดับความยาก: ยาก

มาเริ่มกันที่เส้นทางแรกกันเลยค่ะ กับ The Kings Trail เส้นทางเดินเขาที่สวยงามที่สุดในประเทศสวีเดน ด้วยระยะทางเดินกว่า 440 กิโลเมตร เริ่มเดินเท้าจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Abisko ไปจนถึง Kebnekaise ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุดในสวีเดน และวิวทิวทัศน์จุดนี้ก็มีความสวยงามมากจนแทบลืมหายใจเลยค่ะ

ตลอดสองข้างทางเดินเขา จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางบ่อยครั้ง เนื่องจากทางมีความซับซ้อนและทรหดพอสมควร The Kings Trail จึงเหมาะกับนักเดินเขามืออาชีพมากกว่ามือสมัครเล่น หรือคนที่ไม่เคยเดินเขาเลยค่ะ

THE KING’S TRAIL, SWEDEN

2. HAUTE ROUTE, FRANCE & SWITZERLAND

ระยะทาง: 180 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 14 วัน

ระดับความยาก: ยาก

Haute Route เป็นเส้นทางเดินเขาที่พาดผ่านสองประเทศคือฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ Haute Route มีความสวยงามอยู่ที่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางเดินที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยเฉพาะการต้องเดินขึ้นภูเขาธารน้ำแข็งสูง 4,000 เมตร จากนั้นก็เดินลงผ่านหุบเขาป่าไม้สีเขียว ซึ่งทัศนียภาพที่แตกต่างกันนี้ เป็นเอกลักษณ์ของ Haute Route เลยค่ะ

Haute Route เริ่มเดินจากเมือง Chamonix ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ไปยังเมือง Zermatt ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับใครที่อยากมาเดินเขาที่นี้ ช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด เพราะจะเห็นทัศนียภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนค่ะ

HAUTE ROUTE, FRANCE & SWITZERLAND

3. TOUR DE MONTE ROSA, SWITZERLAND

ระยะทาง: 163 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 9 วัน

ระดับความยาก: ยาก

Tour de Monte Rosa เป็นเส้นทางเดินเขาบนเทือกเขาแอลป์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีจุดชมวิวมากมายที่ทำให้นักเดินเขาหลงใหล และมายังสถานที่แห่งนี้กันทุกปี เส้นทางเดินเขาเริ่มที่ Zermatt ผ่านไปยัง Cervinia และจบเส้นทางที่ Saas-Fee and Grachen

ถึงแม้ว่าการมาเดินเขา Monte Rosa หน้าหนาว จะทำให้เห็นวิวทิวทัศน์แบบ “เมืองหิมะ” แต่เพื่อความปลอดภัย ควรมาเดินขึ้นเขาในช่วงฤดูร้อนมากกว่าค่ะ

TOUR DE MONTE ROSA, SWITZERLAND

4. TOUR DE MONT BLANC, FRANCE, SWITZERLAND, AND ITALY

ระยะทาง: 170 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 11 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง – ยาก

Tour de Mont Blanc เส้นทางเดินเขาที่ได้รับขนานนามว่า “ราชาขุนเขาแห่งยุโรป” เนื่องด้วยทัศนียภาพที่โดดเด่นและสวยงามระดับห้าดาว รอให้นักเดินเขาได้สัมผัสและซึมซับบรรยากาศอย่างเต็มอิ่มตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ โดยเส้นทาง Tour de Mont Blanc จะเริ่มจากเมือง Chamonix ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ไปจบลงที่ Courmayeur หมู่บ้านในประเทศอิตาลี

TOUR DE MONT BLANC, FRANCE, SWITZERLAND, AND ITALY

5. HARDANGERVIDDA TRANSVERSE, NORWAY

ระยะทาง: 67 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 7 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง

Hardangervidda เป็นเส้นทางเดินเขาบนที่ราบสูง ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งนักเดินเขามือสมัครเล่น หรือคนที่ไม่เคยเดินเขามาก่อนเลย ก็สามารถมาเดินเส้นทางนี้ได้ เพราะไม่ต้องเดินผ่านเขาสูงชันนัก ที่สำคัญ ตลอดสองข้างทางจะพบกับทัศนียภาพที่สวยงามทั้งธารน้ำแข็ง ทะเลสาบและแม่น้ำ

HARDANGERVIDDA TRANSVERSE, NORWAY

6. CINQUE TERRE MOUNTAIN TRAIL, ITALY

ระยะทาง: 40 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 2-5 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง

Clinque Terre เส้นทางเดินเขายอดนิยมของประเทศอิตาลี และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเขาที่สวยที่สุดในประเทศยุโรป โดยเฉพาะถ้าเป็นนักเดินเขาที่ชื่นชอบทัศนียภาพริมชายหาด เพราะเส้นทางเดินเขาติดชายฝั่งทะเล และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินสะท้อนกับผิวน้ำ ภาพทิวทัศน์มีความสวยมากจนต้องหยุดดูเลยค่ะ

สำหรับใครที่ไม่ชอบเดินเขาแบบคนพลุกพล่าน แนะนำให้หลีกเลี่ยงเส้นทางติดทางรถไฟ และควรมีไกด์ท้องถิ่นที่ชำนาญทางให้คำแนะนำในการเดินทางด้วยค่ะ

CINQUE TERRE MOUNTAIN TRAIL, ITALY
Vernazza in Cinque Terre, Liguria, Italy, on sunset

7. ALPE ADRIA TRAIL, AUSTRIA, SLOVENIA, ITALY

ระยะทาง: 750 กิโลเมตร (แบ่งเป็น 43 Section, Section ละ 20 กิโลเมตร)

ระยะเวลา: 32 วัน

ระดับความยาก: ยาก

Alpe Adria Trail เส้นทางเดินเขาที่มีระยะทางยาวกว่า 750 กิโลเมตร พาดผ่านสามประเทศคือ ออสเตรีย สโลวีเนีย และอิตาลี ซึ่งตลอดเส้นทางจะพบกับความสวยงามของเทือกเขาแอล์ปสโลวีเนีย และหุบเขาที่เคยเป็นสถานที่รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ตลอดเส้นทาง Alpe Adria มีทั้งการเดินผ่านเขาสูงชันที่มีความท้าทาย และเขาที่มีความชันไม่มากนัก โดยเราสามารถเลือกเส้นทางที่จะเดินได้ ไม่จำเป็นต้องเดินจนจบระยะ 750 กิโลเมตรก็ได้ค่ะ

ALPE ADRIA TRAIL, AUSTRIA, SLOVENIA, ITALY

8. CENTRAL PICOS CIRCUIT, SPAIN

ระยะทาง: 79 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 5 วัน

ระดับความยาก: ยาก

เส้นทาง Central Picos Circuit เป็นเส้นทางผ่านภูเขา Picos de Europa ซึ่งพาดผ่านสามจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศสเปน ได้แก่ Cantabria, Asturias และ Leon เส้นทางบริเวณนี่เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหุบเขา ป่าไม้ หรือทะเลสาบธารน้ำแข็ง ซึ่งตลอดเส้นทางจะมีป้ายบอกทางเดินและจุดพักชมวิวที่จัดทำโดยทางอุทยานด้วยค่ะ

CENTRAL PICOS CIRCUIT, SPAIN

9. EAGLES WALK, AUSTRIA

ระยะทาง: 412 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 1-10 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง – ยาก

“Eagles Walk” เส้นทางเดินเขาที่มีภูมิประเทศคล้ายกับนกอินทรีที่กำลังกางปีกบิน โดยเส้นทางจะเริ่มจากเมือง Tirol ทางตะวันออกไปยังตะวันตกของออสเตรีย และพาดผ่านภูเขาสองลูกคือ Arlberg และ Kaiser โดยมีระยะทางรวม 412 กิโลเมตร แบ่งเป็นทั้งหมด 33 Sections ด้วยกัน ซึ่งตลอดทางก็จะผ่านทั้งเทือกเขาที่มีความสูงชัน หุบเขา ป่าไม้ ทะเลสาบ และที่ราบ ซึ่งแต่ละสถานที่ ล้วนมีธรรมชาติที่สวยงาม รอให้นักเดินทางไปสัมผัสกันค่ะ

EAGLES WALK, AUSTRIA

10. LAUGAVEGURINN – ICELAND

ระยะทาง: 54 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 3-5 วัน

ระดับความยาก: ง่าย

Laugavegurinn เป็นเส้นทางเดินป่าเขาที่ผสมผสานธรรมชาติมาไว้ที่นี่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภูเขาหลากสี ภูเขาไฟลาวาที่เพิ่งมอด แคนยอน ถ้ำน้ำแข็ง ทะเลสาบสีดำ และโขดหินทรงประหลาด โดยเส้นทางเดินจะเริ่มจากป่าในไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้จากแหล่งน้ำพุร้อน Landmannalaugar ไปยังหุบเขาน้ำแข็ง Porsmork ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 3-5 วันค่ะ

LAUGAVEGURINN – ICELAND

11. ENGLAND’S COAST TO COAST, UNITED KINGDOM

ระยะทาง: 309 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 8-10 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง

England’s Coast to Coast เส้นทางเดินเลียบชายฝั่งจากทะเลไอริชไปยังทะเลเหนือ เริ่มจากอ่าว St. Bees Head และไปจบเส้นทางที่อ่าว Robin Hood รวมระยะทางกว่า 309 กิโลเมตร ตลอดสองข้างทาง เต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะซากปรักหักพังสไตล์โรมัน อาคารบ้านเรือนโบราณ รวมถึงทัศนียภาพอันสวยงามจากริมผาและชายทะเลที่สำคัญ เส้นทางยาวกว่า 309 กิโลเมตรนี้ พาดผ่านอุทยานแห่งชาติถึง 3 อุทยานด้วยกันคือ Yorkshire Dales National Park, The Lake District National Park และ The North York Moors National Park

ENGLAND’S COAST TO COAST, UNITED KINGDOM

12. TRANSYLVANIAN MOUNTAIN TRAIL – ROMANIA

ระยะทาง: 80 – 130 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 7-10 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง – ยาก

เส้นทางเดินเขา Transylvanian เป็นจุดหมายปลายทางของใครหลาย ๆ คน ด้วยความสวยงามของภูเขา Carpathian บวกกับภาพวิวทิวทัศน์ปราสาท Bran ปราสาทที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และตั้งตระหง่าอยู่กลางภูเขาล้อมรอบด้วยป่าไม้

เส้นทาง Transylvanian เป็นเส้นทางที่นักเดินเขามืออาชีพชอบมาเดิน สำหรับใครที่เป็นมือสมัครเล่น หรือไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เส้นทางนี้อาจไม่เหมาะเท่าไหร่ค่ะ

TRANSYLVANIAN MOUNTAIN TRAIL – ROMANIA

หลายๆ เส้นทางเดินเขาที่เราแนะนำข้างต้น ล้วนเต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติและทัศนียภาพระหว่างทาง แต่ละเส้นทางก็จะมีลักษณะภูมิประเทศเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นภูเขาธารน้ำแข็ง ภูเขาป่าไม้ หรือที่ราบสูง เราหวังว่าทั้ง 12 เส้นทางเดินเขาธรรมชาติในทวีปยุโรปที่แนะนำวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนเดินเขาในครั้งหน้านะคะ : )

ขอบคุณข้อมูลจาก:
50 best hikes in Europe (Single & multi-day trails)

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

พาลูกขึ้นเครื่องบินอย่างไร ให้ราบรื่นตลอดทาง

เมื่อต้องเดินทางไกลไปต่างประเทศ การเดินทางด้วยเครื่องบินนับเป็นวิธีการเดินทางที่รวดเร็วและสะดวกที่สุด แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องพาลูกน้อยขึ้นเครื่องบินด้วยแล้ว หลายท่านอาจเกิดความกังวลใจขึ้นมาว่าลูกน้อยจะสร้างความรำคาญให้แก่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ แถมการเดินทางด้วยเครื่องบินอาจทำให้ลูกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกด้วยค่ะ วันนี้ Allianz Travel มีเคล็ด (ไม่) ลับ ในการพาลูกขึ้นเครื่องบินให้ราบรื่นมาฝากค่ะ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง มีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

ข้อควรรู้ก่อนพาลูกออกเดินทาง

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเด็กขึ้นเครื่องบินได้ตั้งแต่อายุกี่เดือน หรือกี่ขวบ และมีค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง บางคนอาจเข้าใจผิดว่า ต้องรอให้ลูกอายุครบหนึ่งหรือสองขวบก่อน ถึงจะขึ้นเครื่องบินได้ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว บางสายการบินอนุญาตให้เด็กทารกที่มีอายุตั้งแต่ 14 วันขึ้นไปสามารถขึ้นเครื่องบินได้ แต่บางสายการบินอาจอนุญาตให้เพียงแค่ 7 วัน ก็ขึ้นเครื่องบินได้แล้วค่ะ นอกจากนี้ ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง 2 ปีบริบูรณ์ ส่วนใหญ่แล้วสายการบินจะอนุญาตให้นั่งตักผู้โดยสารผู้ใหญ่ได้ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อที่นั่งเพิ่มอีกที่ แต่อาจเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเล็กน้อย ขณะที่ถ้าเป็นเด็กอายุ 2 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป จะมีอัตราค่าโดยสารเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ หรือบางสายการบินก็จะคิดอัตราพิเศษค่ะ

เมื่อรู้แล้วว่าอายุเท่าไหร่ถึงขึ้นเครื่องบินได้ และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มไหม ก็ถึงเวลามาดู 5 เคล็ด (ไม่) ลับพาลูกขึ้นเครื่องบินกันค่ะ

1.เลือกไฟลท์บินใกล้เคียงเวลานอนเด็ก

เคล็ดลับง่าย ๆ เลยสำหรับการพาลูกขึ้นเครื่องบินก็คือการเลือกไฟลท์บินให้ใกล้เคียงกับเวลานอนของลูกให้ได้มากที่สุด เช่น ถ้าปกติลูกนอนเวลาสามทุ่ม ก็ควรเลือกเที่ยวบินให้ใกล้เคียง อาจจะก่อนสามทุ่มเล็กน้อย เผื่อเวลาให้เครื่องบินผ่านการปรับความกดอากาศก่อน จะได้ไม่มีเสียงรบกวนหรือหูอื้อที่อาจทำให้ตื่นกลางคัน

2.เลือกที่นั่งให้เหมาะกับเด็ก

การเลือกที่นั่งบนเครื่องบินเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเลือกที่นั่งในช่วงการจองตั๋ว แนะนำให้เลือกที่นั่งติดริมทางเดิน ที่นั่งใกล้ห้องน้ำ หรือที่นั่งที่สามารถยืดขาได้และไม่มีเก้าอี้แถวด้านหน้า การเลือกที่นั่งเหล่านี้ จะไม่เป็นการรบกวนผู้โดยสารคนอื่น ๆ ถ้าหากต้องลุกมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อย หรือถ้าต้องลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ นอกจากนี้ บางสายการบินจะมีที่นั่งแนะนำให้คุณแม่ที่เดินทางกับลูกน้อยโดยเฉพาะด้วยค่ะ

3.เตรียมของใช้ที่จำเป็น

เมื่ออยู่บนเครื่องบินแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับลูกน้อย สิ่งของเหล่านี้ต้องพกติดตัวขึ้นเครื่องบิน ไม่ควรโหลดใต้ท้องเครื่อง สิ่งของจำเป็นที่ต้องเตรียม อาทิ ขวดนม นมผง น้ำร้อน ผ้าอ้อม แพมเพิร์ส ทิชชู่เปียก และที่สำคัญคือ ถุงพลาสติก สำหรับเหตุฉุกเฉินเมื่อลูกเกิดการอาเจียนและอ้วกบนเครื่องบินเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศระหว่างเครื่องกำลังขึ้น นอกจากนี้ ควรพกพวกของเล่นเด็กไปด้วย เผื่อลูกไม่หลับ และเบื่อกับการนั่งเครื่องนาน ๆ อย่างน้อย การมีของเล่นสักชิ้น สองชิ้น ก็คลายเบื่อ และทำให้ลูกไม่งอแงได้แล้วค่ะ

4.เตรียมของกินไม่ให้เด็กหิว

อีกเคล็ดลับที่สำคัญมาก ๆ คือ อย่าปล่อยให้ลูกหิวเด็ดขาด เพราะถ้าหิวขึ้นมาแล้วละก็ งอแงและร้องลั่นเครื่องแน่ ๆ เราสามารถเตรียมพร้อมเรื่องนี้ได้ โดยการเตรียมนมและอาหารให้เพียงพอและตรงตามเวลาที่ลูกกินเป็นประจำ โดยของเหลวทั้งอาหารและนมของเด็ก สายการบินอนุญาตให้ถือขึ้นเครื่องได้ค่ะ
เมื่อพูดถึงเรื่องกินแล้ว อีกเรื่องที่ควรระวังมาก ๆ คือ ไม่ควรให้เด็กกินอิ่มเกินไปก่อนขึ้นเครื่องหรือระหว่างอยู่บนเครื่อง เพราะอาจอาเจียนได้

5.เตรียมรับมือกับแรงกดอากาศ

เรื่องสุดท้ายที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ก็คือ อาการหูอื้อจากแรงกดอากาศขณะเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและกำลังลงจอดบนรันเวย์ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเรายังมีอาการหูอื้อเลย เพราะฉะนั้นแล้วเด็ก ๆ ต้องเตรียมการรับมือเป็นพิเศษ โดยวิธีป้องกันอาการหูอื้อมีด้วยกันหลายวิธี วิธีแรกคือการใช้ที่อุดหู (ตามร้านอุปกรณ์กีฬา) อีกวิธีคือการให้ เด็ก ๆ ดื่มน้ำ นม หรือทานอาหารระหว่างที่เครื่องบินขึ้นและลง ถ้าเด็กกินอาหารไม่ลง ก็ลองเปลี่ยนให้ทานขนมขบเคี้ยวดู เพราะการทานอาหาร ขนมหรือน้ำ ทำให้เด็กต้องกลืนน้ำลายซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการหูอื้อได้ค่ะ

เพื่อที่จะให้การเดินทางราบรื่นตลอดไฟล์ท การวางแผนพาลูกขึ้นเครื่องบินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพียงทำตาม 5 เคล็ด (ไม่) ลับที่แนะนำไป แค่นี้ก็สามารถคลายกังวลได้แล้วค่ะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา