7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

โอซาก้าเป็นเมืองท่าในภูมิภาคทางตะวันตกของคันไซ มีกลิ่นอายของความเรียบง่าย สนุกสนาน และมีสีสัน และมีสำเนียงโอซาก้าที่โดดเด่น มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมล้ำสมัย อาหารอร่อย ว่ากันว่าชาวโอซาก้าใช้จ่ายไปกับค่าอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงทำให้โอซาก้ามีชื่อเสียงในด้านอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู ซึ่งบางเมนูก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและอาจเลยไปจนถึงต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นโชคดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด เพราะอาหารที่ควรลองส่วนใหญ่เป็นอาหารที่อยู่ในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึงได้ Allianz Travel จะพาคุณไปชิมอาหารโอซาก้าที่คุณควรลอง และแนะนำแหล่งร้านอาหารโอซาก้าที่ควรห้ามพลาด ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอาหารโอซาก้า เมนูไหนบ้าง และย่านแหล่งรวม ร้านอาหารโอซาก้า ที่ไหนบ้าง ที่เราควรไปลิ้มลองกันค่ะ :)!

1. ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ทาโกะยากิเป็นหนึ่งในอาหารโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารประจำภูมิภาคที่ขายดีที่สุดของโอซาก้า ลักษณะเป็นลูกกลมเล็กๆ ทำจากแป้งผสมไข่และสอดไส้ปลาหมึกยักษ์หรือทาโกะที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โอซาก้ามีร้านทาโกะยากิมากกว่า 700 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมืองที่ขายตลอดทั้งวันให้คุณได้ลิ้มลอง (โตเกียวมีประมาณ 200 ร้าน) ทำให้เมืองนี้เป็นตลาดทาโกะยากิที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเขตมินามิ ร้านทาโกะยากิแต่ละร้านพยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ ไม่ให้เหมือนใคร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าติดใจจนมาทานกันบ่อยๆ อย่างทาโกะยากิสูตรหน้าร้อน ที่ทานกับน้ำแข็งใส หรือบางร้านก็พยายามหาวัตถุดิบพื้นฐานที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเอร็ดอร่อยได้ แม้ไม่ต้องใส่ซอส

อาหารโอซาก้า ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ว่ากันว่าเกือบทุกบ้านในโอซาก้าจะมีเครื่องทำทาโกะยากิ และแม้แต่เด็กๆ ก็รู้วิธีย่างทาโกะยากิ เราสามารถทานทาโกะยากิได้ทั้งเป็นของว่างและอาหารจานหลัก

2. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

โอโคโนมิยากิ หรือที่บางคนเรียกว่าพิซซ่าญี่ปุ่น สามารถหาได้เกือบทุกพื้นที่ของโอซาก้า ตั้งแต่ย่านใจกลางเมืองใหญ่ไปจนถึงย่านช็อปปิ้งในชานเมือง โอโคโนมิยากิมีรสชาติและท็อปปิ้งที่หลากหลาย ทำจากไข่ แป้งสาลี ผสมกับน้ำหรือซุปดาชิ จากนั้นใส่กะหล่ำปลีหั่น และส่วนผสมอื่นๆ อย่างเช่น หัวหอม เนื้อหมูหั่นบางๆ ปลาหมึก กิมจิ หรือชีส จากนั้นก็ย่างบนกระทะเหล็กร้อน จากนั้นราดด้วยซอสโอโคโนมิยากิ สาหร่ายแห้ง ปลาคัตสึโอะแห้ง และมายองเนสตามชอบ

อาหารโอซาก้า โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

ร้านอาหารโอโคโนมิยากิบางแห่งก็เปิดโอกาสให้คุณปรุงและย่างเองบนโต๊ะด้วย โดยพนักงานจะนำวัตถุดิบมาให้ลูกค้าเลือก และนำไปย่างเองบนแผ่นกระทะร้อน (เท็ปปังยากิ) ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกในทริป หรือบางร้านก็จะมีพ่อครัวมาทำโอโกโนมิยากิตรงหน้าลูกค้าเลย

3. คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

คุชิคัตสึคือของทอดเสียบไม้ ที่นำเนื้อสัตว์และผักที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำนำมาเสียบไม้ แล้วชุบแป้งทอดจนกรอบ หนึ่งในของอร่อยประจำโอซาก้าที่เทียบเคียงความนิยมได้ไม่ต่างจากโอโคโนมิยากิและทาโกะยากิ จุดเริ่มต้นของคุชิคัตสึคือปี 1929 ในย่านชินเซไก ซึ่งเป็นศูนย์กลางใจกลางเมืองของผู้ใช้แรงงานรายวันที่มีรายได้น้อย จากร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ต้องการทำอาหารจานด่วน ราคาถูก รวดเร็ว อร่อย และอิ่มอยู่ท้อง ขายให้กับเหล่าแรงงานเหล่านั้น ผลก็คือได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อาหารโอซาก้า คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

ร้านคุชิคัตสึส่วนใหญ่เป็นร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ มีเพียงเคาน์เตอร์แบบยืนหรือแบบนั่งเท่านั้น พอเข้าไปในร้านจะเห็นถ้วยสแตนเลสใส่ซอสตั้งไว้อยู่หน้าที่นั่งแต่ละที่บนเคาน์เตอร์สำหรับใช้ร่วมกัน โดยมีกฎเหล็กคือให้จิ้มคุชิคัตสึในซอสได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องเป็นคุชิคัตสึที่ยังไม่ได้กัดด้วยเพื่อจุดประสงค์ในเรื่องอนามัย และเป็นการใช้ซอสอย่างประหยัดเพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับร้านค้าด้วย บางร้านมีกะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้นวางไว้ให้หยิบทานได้ฟรี เพื่อแก้เลี่ยนจากการรับประทานของทอด โดยจะกินเปล่าๆ หรือจิ้มซอสก็ได้ หรือถ้าคุณต้องการซอสเพิ่มบนคุชิคัตสึที่คุณกินไปแล้ว คุณสามารถใช้กะหล่ำปลีนี้ตักซอสขึ้นมาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเวลาเอามาจิ้มซอสก็จิ้มได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

4. คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

คิทสึเนะอุด้ง หรืออุด้งร้อนในน้ำซุปที่ทำจากดาชิ โชยุ มิริน โปะหน้าด้วยฟองเต้าหู้ทอดแผ่นใหญ่ต้มซีอิ๊วหวาน โรยด้วยต้นหอมซอย เป็นอุด้งในแบบฉบับโอซาก้าแท้ๆ ที่คนโอซาก้านิยมกินมากๆ คำว่าคิทสึเนะในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวว่า สุนัขจิ้งจอก ในตำนานเชื่อว่าเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าอินาริ (เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม)  ช่วยจับสัตว์ที่เข้ามาก่อกวนพืชพรรณในไร่นา ผู้คนจึงถวายแผ่นเต้าหู้ทอดในศาลเจ้าอินาริเพื่อแสดงความขอบคุณ เลยเป็นที่มาของการเรียก ซูชิที่ห่อด้วยแผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะว่า อินาริซูชิ (Inari Sushi) ส่วน อุด้ง ที่ใส่แผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะก็เรียกว่า คิทสึเนะอุด้งนั่นเอง

อาหารโอซาก้า คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

5. บูตะมัน (Butaman)

บูตะมันคือซาลาเปาเนื้อนุ่มไส้หมูที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงหลังการฟื้นฟูเมจิ เมื่อซาลาเปาจีนที่เคยเข้ามาในย่านไชน่าทาวน์ถูกดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมสไตล์ญี่ปุ่น หากเทียบกับซาลาเปาในภูมิภาคอื่นๆ บูตะมันของโอซาก้ามีขนาดใหญ่ใส่เนื้อหมูและหัวหอมชุ่มฉ่ำอยู่ในแป้งเนื้อนุ่ม บางร้านอาจใส่ผักสับละเอียดลงไปด้วย เช่น ทาโทโกะ (หน่อไม้) หรือเห็ดหอมแห้ง วิธีรับประทานส่วนใหญ่จะแบ่งขนมปังออกเป็นสองส่วนแล้วจิ้มมัสตาร์ดรสเผ็ด หรือราดด้วยซอสเปรี้ยวและซีอิ๊ว โอซาก้ามีร้านขายบูตะมันโดยเฉพาะมากมายซึ่งมีหลายรูปแบบ บางแบบจะอันใหญ่ไส้เยอะ หรือบางแบบก็ทำขนาดเล็กและแป้งหุ้มบาง เครือร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งได้เปิดร้านทั่วภูมิภาคคันไซ โดยขายซาลาเปาได้มากถึง 170,000 ชิ้นต่อวัน คุณสามารถหาซื้อบูตะมันได้ตามร้านที่ขายโดยเฉพาะ หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่นึ่งสดใหม่ หรือจะซื้อกลับบ้านแบบแช่เย็นหรือแช่แข็งก็ได้ บางคนก็ซื้อบูตะมันในสถานีรถไฟเพื่อเป็นของขวัญและของที่ระลึก

อาหารโอซาก้า บูตะมัน (Butaman)

6. ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

ชื่อฮาโกะซูชิอาจไม่คุ้นหูพวกเรากันนัก แต่ถ้าถามคนโอซาก้าแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันหมดทุกคน เนื่องจากฮาโกะซูชิถือว่าเป็นซูชิแบบต้นตำรับของโอซาก้าที่มีมานานมากๆ แล้ว และมีรูปแบบที่แตกต่างจากซูชิแบบทั่วไปที่เรารู้จักกัน โดยจะเป็นซูชิที่ทำจากข้าวหุงในน้ำส้มสายชู ผสมกับส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ปลาไหลปรุงรส กุ้ง ปลาทรายแดงเล็ก และไข่หวาน อัดลงในกล่องไม้หรือฮาโกะ ถอดออกมาก้อน แล้วจึงหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ จึงเป็นที่มาของชื่อ “โอชิ-ซูชิ (ข้าวปั้นที่ถูกกดทับเป็นสี่เหลี่ยม)” ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยเมจิ (1868-1912) ต่อมานำมาประยุกต์เป็นฮาโกะซูชิ ที่เป็นอาหารสำหรับแขกหรือการเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ โดยรูปลักษณ์ที่สดใสและมีสีสันของซูชิเป็นตัวแทนของโอซาก้า ป้จจุบันมีจำนวนร้านอาหารที่ขายฮาโกะซูชิมีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากขั้นตอนการทำต้องใช้เวลาและความชำนาญ แต่เทคนิคและรสชาติยังได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น

อาหารโอซาก้า ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

7. เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

เบนิโชงะหรือชิงดองสีชมพูเป็นหนึ่งในเครื่องเคียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเมื่อรับประทานกิวด้งหรือข้าวหน้าเนื้อ และเป็นเมนูที่คุณรับประทานได้ไม่อั้น มีขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น และโอซาก้าเป็นเมืองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นในด้านการทำขิงดองและเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนโอซาก้าจะนำเบนิโชกะมาปรุงเป็นอาหารโอซาก้า แบบใหม่ๆ อาหารที่ไม่ธรรมดาที่สุดที่คุณสามารถพบได้ในโอซาก้าเท่านั้นคือเบนิโชงะเทมปุระ โดยนำเบนิโชงะมาหั่นเป็นแผ่นเสียบไม้ แล้วทอดชุบแป้งทอดแบบเทมปุระ คุณสามารถรับประทานเปล่าๆ หรือจิ้มซอสวูสเตอร์ก็ได้ เหมาะสำหรับเป็นอาหารทานเล่นเวลาดื่มเหล้า หากคุณชอบรับประทานเบนิโชงะหรือขิงดองรสเข้มข้น คุณต้องลองเบนิโชงะโนะเทมปุระแสนอร่อยนี้

อาหารโอซาก้า เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

ขอบคุณรูปภาพจาก: kyoudo-ryouri.com, gourmetbclass.travellerspoint.com

แหล่ง ร้านอาหารโอซาก้า ที่คุณห้ามพลาด

1. ย่านนัมบะ

การเดินทางไปยังสถานีนัมบะเรียกได้ว่าสะดวกมาก เพราะเป็นบริเวณที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมหลักของโอซาก้าที่มีทั้งรถไฟจาก JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า รถไฟฟ้านันไค รถไฟฟ้าฮันชิน และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่น จึงมี ร้านอาหารโอซาก้า และร้านอาหารมากมายทั้งในตัวสถานี ตลาด และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ด้านนอก อย่างเช่น ตลาดคุโรมงอิจิบะ (Kuromon Ichiba Market) ศูนย์การค้านัมบะพาร์ค โอซาก้า (Namba Parks Osaka) และศูนย์การค้านัมบะซิตี้ โอซาก้า (Namba City Mall) เป็นต้น

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านนัมบะ

2. ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทุกคนเมื่อมาโอซาก้าคือย่านชินไซบาชิ ซึ่งอยู่สถานีถัดจากนัมบะหากนั่งรถไฟใต้ดิน และโดทงโบริคือถนนช้อปปิ้งที่ยาวเชื่อมระหว่างสถานีนัมบะและสถานีชินไซบาชิ คุณสามารถเดินจากสถานีนัมบะไปโดทงโบริโดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

ระหว่างทางที่เชื่อมระหว่างชินไซบาชิและโดทงโบริ คุณจะพบกับ ร้านอาหารแบบดั้งเดิมและ ร้านอาหารโอซาก้า ยอดนิยมมากมายที่น่าลอง หากมาในย่านนี้ คุณควรต้องมาตอนท้องว่างเท่านั้น!

3. ย่านอุเมดะ

อุเมดะเป็นหนึ่งย่านใจกลางเมืองโอซาก้า และหมายถึงพื้นที่รอบๆ สถานี JR โอซาก้า สถานีโอซาก้า-อุเมดะ สถานีอุเมดะ สถานีฮิกาชิ-อุเมดะ และสถานีนิชิ-อุเมดะ ถือได้ว่าสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายมาก เราสามารถนั่งรถไฟจากอุเมดะไปยังนัมบะหรือชินไซบาชิโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ย่านอุเมดะมีทั้งศูนย์การค้า ร้านอาหาร และร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นและอาหารว่างที่มีขายอยู่ทุกถนน

อาหารที่ต้องลองในย่านนี้มีให้เลือกมากมาย ทั้งทาโกะยากิ ปลาปักเป้า เนื้อโกเบ และเมื่อคุณทาอาหารจนอิ่มแล้ว คุณสามารถเลือกร้านกาแฟที่มีทิวทัศน์สวยงามให้คุณได้นั่งพักผ่อนเช่นกัน

4. ย่านชิน-โอซาก้า

ที่นี่คือสถานีรถไฟชินคันเซ็นที่จอดที่โอซาก้าก่อนมุ่งหน้าไปยังเกียวโต โกเบ นารา โตเกียว หรือจุดหมายปลายทางสำคัญอื่นๆ ในญี่ปุ่น และสถานีนี้ยังมีให้บริการรถไฟ JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า และรถไฟสายอื่นๆ อีกหลายสาย คุณสามารถนั่งรถไฟจากย่านนัมบะมาที่ชิน-โอซาก้าโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือนั่งรถไฟ 5 นาทีจากสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอุเมดะ

ภายในสถานีมีร้านอาหารมากกว่า 30 ร้าน รวมถึงร้านอาหารที่เป็นแบรนด์ของโอซาก้าที่ต้องลอง หรืออาหารสตรีทฟู้ดก็มีให้เลือกมากมาย คุณสามารถหาทานอาหารยอดนิยมของโอซาก้า อย่างโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ หรืออุด้ง ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล หรือหากต้องการอาหารที่มีเฉพาะที่ ก็ซื้ออาหารกล่องบนรถไฟหรือ ‘เอกิเบน’ เมนูที่เราอยากแนะนำก็คือชุดเนื้อโกเบหรือลิ้นวัวที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

5. ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

บริเวณนี้รายล้อมไปด้วยสถานีโดบุทสึเอ็นมาเอะ (Dobutsuen-mae) สถานีเอบิซุโจ (Ebisucho) ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหอคอยสึเต็งกากุ (Tsutenkaku) และสถานีเทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งเป็นสถานีตามเส้นทางของรถไฟใต้ดินโอซาก้า เป็นย่านที่เป็นจุดแวะชิมอีกแห่งหนึ่งแห่งที่ใช้เวลาเดินจากสถานีต่างๆ ประมาณ 10 นาที หากนั่งรถไฟจากนัมบะไปสถานีเอบิซูโชใช้เวลาประมาณ 15 นาที  และจากอุเมดะจะใช้เวลาประมาณ 25 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

ถนนช้อปปิ้งชินเซไกมีความย้อนยุคแบบเต็มรูปแบบ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดุดตาที่สุดในย่านนี้ ที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของคุชิคัตสึ หนึ่งในอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของโอซาก้า คุณสามารถลองชิมรสชาติแบบดั้งเดิมจากร้านค้าต่างๆ หรือร้านอิซากายะราคาไม่แพงแต่อร่อย นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ควรชิมอีกอย่างเช่น ซูชิ แซนด์วิชเนื้อ คุณจะพบร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น หรือร้านกาแฟทันสมัยได้ที่นี่

ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวโอซาก้ามีอะไรบ้าง นอกเหนือจากการลองชิมอาหารอร่อย  คุณอาจลองเข้าคลาสทำอาหารต้นตำรับของโอซาก้า หรือแวะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวฟินแลนด์ ช่วงคริสต์มาส แวะบ้านเกิดซานตาคลอส

เที่ยวฟินแลนด์ ช่วงคริสต์มาส แวะบ้านเกิดซานตาคลอส

เทศกาลวันคริสต์มาสซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปีใกล้จะมาถึงแล้ว สถานที่หลายแห่งจะมีการประดับประดาตกแต่ง สร้างบรรยากาศเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุข และหนึ่งในสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาสที่ทุกคนนึกถึงคือซานตาคลอส ชายแก่ท่าทางใจดี สวมชุดสีแดง มีหนวดเคราสีขาว สวมรองเท้าบูตสีดำ ที่มักปรากฏตัวในค่ำคืนของวันคริสต์มาส พร้อมกับกวางเรนเดียร์จมูกแดงและรถลากเลื่อนคู่ใจ เพื่อนำของขวัญไปมอบให้แก่เด็กๆ ที่เป็นภาพจำของผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน และวันนี้ Allianz Travel จะพาคุณไปสัมผัสความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของคริสต์มาส นั่นคือการจัดทริปพาคุณไปเที่ยวฟินแลนด์ บ้านคุณลุงซานต้าที่หมู่บ้านซานตาคลอสกันค่ะ

เที่ยวฟินแลนด์ หมู่บ้านซานตาคลอส ช่วงเทศกาลคริสต์มาส

หมู่บ้านซานตาคลอสตั้งอยู่บนเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล (Arctic Circle) เมืองโรวาเนียมิ (Rovaniemi) แลปแลนด์ (Lapland) ภูมิภาคทางเหนือสุดของประเทศฟินแลนด์ บ้านเกิดอย่างเป็นทางการของซานตาคลอสตั้งแต่ปีพ.ศ. 2508 และเป็นหนึ่งในที่เที่ยวสุดฮิตของฟินแลนด์ที่มีนักท่องเที่ยวแวะมากันอย่างคึกคัก ที่นี่เปิดให้เที่ยวชม และพบกับลุงซานต้าได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสก็อาจเป็นช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์ที่สุด งานเฉลิมฉลองเทศกาลจะจัดล่วงหน้าก่อนวันสำคัญประมาณ 1 เดือน มีการประดับไฟกันอย่างสวยงาม นักท่องเที่ยวก็ยิ่งเยอะมากเป็นพิเศษ และทุกวันที่ 23 ธันวาคม จะมีกิจกรม Santa is on His Way ซึ่งผู้คนจะมารวมตัวกันเพื่อชมช่วงเวลาอันงดงามขณะที่ซานตาคลอสกำลังจะออกเดินทางรอบโลก

ที่เที่ยวฟินแลนด์ หมู่บ้านซานตาคลอส

กิจกรรมห้ามพลาดที่หมู่บ้านซานตาคลอส

หมู่บ้านซานตาคลอสเป็นประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์ในการไปเที่ยวฟินแลนด์ ที่คุณสามารถใช้เวลาแบบรวดรัดใน 1 วัน หรือพักค้างคืนเพื่อร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมถึงอาจออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ โดยรอบ

1. เที่ยวฟินแลนด์ถ่ายรูปกับซานต้า

สิ่งที่เป็นที่นิยมมากที่สุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านซานตาคลอสคือการไปเจอและถ่ายรูปกับกับซานตาคลอสที่สำนักงาน ซึ่งเปิดทุกวันตลอดทั้งปี เช็ครายละเอียดเวลาทำการได้ที่นี่

เที่ยวฟินแลนด์ ถ่ายรูปกับซานต้า

2. ที่ทำการไปรษณีย์ซานต้า

ศูนย์กลางการส่งของขวัญและจดหมาย มีการ์ดสวยๆ แสตมป์และของขวัญที่ไม่ซ้ำใคร คุณสามารถส่งโปสการ์ดและประทับตราไปรษณีย์พิเศษจากหมู่บ้านซานตาคลอสไปถึงเพื่อนของคุณได้ทั่วโลก รวมถึงชมการคัดแยกจดหมายจากเด็กๆ ทั่วโลกที่จ่าหน้าซองถึงคุณลุงซานต้าด้วย ซึ่งจดหมายทุกฉบับที่จ่าหน้าซองถึง “Santa Claus” จะถูกส่งมาที่นี่โดยไม่ต้องระบุที่อยู่! อ่านรายละเอียดที่นี่

ที่เที่ยวฟินแลนด์ ที่ทำการไปรษณีย์ซานต้า

3. นั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์

เพลิดเพลินกับการนั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เนิบนาบไปเรื่อยๆ แต่สนุก เพราะเจ้ากวางเรนเดียร์จะค่อยๆ พาคุณเข้าไปในป่าสนที่เต็มไปด้วยหิมะ ราวกับเข้าไปในวันเดอร์แลนด์ พอจบทริปก็แวะไปที่ฟาร์มเพื่อเยี่ยมชมและให้อาหารกวางเรนเดียร์ และเหล่าเพื่อน เช่น อัลปาก้า ลูกม้า แพะ แกะ กระต่าย ลา และนกชนิดต่างๆ

ที่เที่ยวฟินแลนด์ นั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์

4. เดินข้ามเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล

เส้นอาร์กติกเซอร์เคิลเป็นเส้นวงกลมละติจูดที่อยู่เหนือสุดของโลก อยู่ที่ 66 องศา 33 ลิปดา 45.9 ฟิลิปดา ซึ่งเส้นนี้จะมีการขยับขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ตามการเอียงของแกนโลก บริเวณเส้นเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลจะเป็นดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน หน้าร้อนจะสว่างตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนหน้าหนาวจะมีแต่ความหนาวเย็นและความมืด คุณสามารถเดินข้ามเข้าไปในวงกลมอาร์กติกและได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่าคุณได้มาถึงขั้วโลกเหนือแล้ว

5. ชมแสงเหนือ

คุณสามารถชมแสงเหนือหรือแสงออโรร่า บอเรลลิส (Aurora Borealis) ได้ที่หมู่บ้านซานตาคลอส ซึ่งปรากฎการณ์นี้เห็นได้มากที่สุดระหวางเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม คุณสามารถเลือกไปกับทัวร์ไล่ล่าแสงเหนือด้วยสโนว์โมบิลซึ่งจะพาคุณออกตระเวนไปตามบริเวณที่มีแนวโน้มว่าจะพบเห็นมากที่สุด หรือนั่งรอชมแบบอุ่นๆ ในที่พักแบบ igloo ที่มีห้องหลังคากระจกกว้างและมีเครื่องจับคลื่นแม่เหล็กจากแสงเหนือ เลือกได้ตามสไตล์ที่คุณชอบ

เที่ยวคริสมาสต์ ที่ฟินแลนด์ ดูแสงเหนือหรือแสงออโรร่า บอเรลลิส (Aurora Borealis)

6. ฮัสกี้ซาฟารี (Husky Safaris)

นอกจากการนั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์แล้ว เรายังสามารถไปสัมผัสกับสุนัขแสนรู้พันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ นั่งเลื่อนที่ลากด้วยสุนัขฮัสกี้ที่ทรงพลัง 6 ตัว วิ่งกันเป็นทีมด้วยความเร็วไปบนพื้นหิมะในป่าสนที่ขาวโพลน เตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อมที่สุดเลยนะคะ

เที่ยวคริสมาสต์ ที่ฟินแลนด์ นั่งเลื่อนที่ลากด้วยสุนัขฮัสกี้และการนั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์

7. สนุกกับการขี่สโนว์โมบิล

อยู่รอบแลปแลนด์ด้วยการขี่สโนว์โมบิล ซึ่งเลือกได้ตั้งแต่ 2 ชั่วโมง ไปจนถึง 4 ชั่วโมง และถ้าอยากพิเศษกว่านั้นยามค่ำคืนก็มีขับสโนว์โมบิลไปล่าแสงเหนือได้อีกด้วยค่ะ

เที่ยวฟินแลนด์ ขี่สโนว์โมบิล

วิธีเดินทางจากเฮลซิงกิไปโรวาเนียมิ

การเดินทางจากเฮลซิงกิไปโรวาเนียมิมีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งทางเครื่องบิน รถไฟ รถโค้ช หรือรถยนต์ และโดยเฉพาะช่วงคริสต์มาส มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำพร้อมแพ็คเกจโรงแรมให้บริการจากหลายประเทศ

  • การเดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินฟินแอร์ ให้บริการเที่ยวบินระหว่างโรวาเนียมิและเฮลซิงกิทุกวันตลอดทั้งปี และสายการบินนอร์วีเจียน ให้บริการสัปดาห์ละหลายเที่ยว นอกจากนี้คุณยังสามารถบินตรงจากเมืองอื่นๆ ในยุโรปในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคมได้อีกด้วย อย่างเช่น ลอนดอน ปารีส มาดริด อัมสเตอร์ดัม เป็นต้น
  • การเดินทางด้วยรถไฟการรถไฟฟินแลนด์ ให้บริการรถไฟจากเมืองต่างๆ ในฟินแลนด์ โดยมีรถไฟหลายขบวนวิ่งไปและกลับจากเฮลซิงกิทุกวัน ตลอดทั้งปี แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่ดีก็ตาม
เที่ยวคริสมาสต์ ที่ฟินแลนด์ การเดินทางด้วยรถไฟ จากเฮลซิงกิไปโรวาเนียมิ
  • การเดินทางด้วยรถบัส – คุณสามารถใช้บริการรถบัสของ Matkahuolto และ Onnibus ที่ครอบคลุมหลายเส้นทางเชื่อมต่อเมืองโรวาเนียมิกับเมืองทางตอนเหนือของแลปแลนด์
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ – เมืองโรวาเนียมิเข้าถึงได้ง่ายทางรถยนต์ แต่คุณควรจัดตารางเวลาให้ดีสำหรับการขับรถระยะทางไกลและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในฤดูหนาว

ส่งจดหมายหาซานตาคลอส

หากคุณยังไม่มีโอกาสเดินทางไปถึงหมู่บ้านซานตาคลอส คุณสามารถส่งจดหมายถึงซานต้าได้ตามที่อยู่นี้

Santa Claus
Santa Claus’s Main Post Office969
30 Napapiiri, Finland

เที่ยวคริสมาสต์ ที่ฟินแลนด์ ส่งจดหมายหาซานตาคลอส

ติดตามหมู่บ้านซานตาคลอสผ่าน Live

ขอบคุณ Live จาก: santaclausvillage.info

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมู่บ้านซานตาคลอส

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ santaclausvillage.info

ขอบคุณรูปภาพจาก : santaclausvillage.info

ประสบการณ์การไปพบกับซานตาคลอสเป็นอีกหนึ่งทริปที่มีความทรงจำที่คุ้มค่า อาจเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ทำให้ความฝันในวัยเยาว์ได้เติมเต็ม แต่การไปเที่ยวต่างประเทศในที่ที่คุณไม่คุ้นเคย อาจทำให้คุณกังวลกับเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่คุณควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : santaclausvillage.info, visitfinland.com, visitrovaniemi.fi

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Winter in Japan - เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว สัมผัสความหนาวเย็นของหิมะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว สัมผัสความหนาวเย็นของหิมะ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่วางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อไปชมดอกซากุระบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับหลายๆ คนก็รอคอยเวลาที่จะได้ไป เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว เพื่อไปสัมผัสกับความหนาวเย็นและหิมะนุ่มๆ ฟูๆ ในฤดูหนาว ญี่ปุ่นมีสถานที่มหัศจรรย์ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามอยู่มากมายให้คุณได้ชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นสกีรีสอร์ทกว้างใหญ่ เมืองออนเซ็นที่เต็มไปด้วยหิมะ หรือเทศกาลน้ำแข็งที่น่าทึ่ง แถมเมื่ออากาศเย็นลง คุณไม่ต้องกังวลกับความหนาวเย็นหลังจากออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะที่พักจะมีบ่อน้ำร้อนให้คุณลงไปแช่ หรือไปนั่งทานอาหารร้อนๆ เพื่อคลายหนาว Allianz Travel พาคุณเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ออกไปสำรวจ 10 ที่เที่ยวหน้าหนาวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ให้คุณได้เช็คอินในหน้าหนาว เป็นรายการจุดหมายปลายทางห้ามพลาดของคุณ

1. ปีศาจหิมะแห่งภูเขาซาโอะ (Mount Zao) จังหวัดยามากาตะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ปีศาจหิมะแห่งภูเขาซาโอะ (Mount Zao) จังหวัดยามากาตะ

ภูเขาซาโอะตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดมิยากิและจังหวัดยามากาตะ เป็นหนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 1,841 เมตร ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดหากได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาว ภูเขาซาโอะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวสายผจญภัยได้ทำมากมาย เช่น สกี สโนว์บอร์ด ขึ้นกระเช้าชมวิว เดินป่า ปีนปากปล่องภูเขาไฟ แช่ออนเซ็น และการชมปีศาจหิมะ (Snow Monster) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าจูเฮียว (Juhyo) เป็นปรากฎการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดจากการทับถมของหิมะบนต้นสน ยืนเรียงรายกันอยู่นับพันต้นทั่วเชิงเขา จนดูเหมือนกองทัพปีศาจหิมะสีขาว เป็นอีกหนึ่งความสวยงามทางธรรมชาติที่แปลกมากๆ ยิ่งตอนกลางคืนในเทศกาลปีศาจหิมะแห่งซาโอะ (Zao Snow Monster Festival) จะมีการประดับไฟหลากสี เพื่อเพิ่มความสวยงามและความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

2. ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) จังหวัดกิฟุ

หมู่บ้านชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1995 ตั้งอยู่กลางหุบเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดกิฟุ (Gifu) โอบล้อมด้วยภูเขากับป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีแม่น้ำโชคาวะ (Shokawa) ไหลผ่าน ลักษณะภูมิอากาศที่สำคัญอย่างหนึ่งของชิราคาวาโกะ คือมีหิมะตกหนักตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงมีนาคม ซึ่งมีความหนาประมาณ 2 ถึง 3 เมตร (เคยมีบันทึกปริมาณหิมะสูงถึง 4.5 เมตร)

สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะคือบ้านเรือนรูปทรงแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี เรียกว่า ‘บ้านแบบกัสโชสึคุริ’ (Gassho-Zukuri) ซึ่งมาจากคำว่า ‘กัสโช’ ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงการพนมมือ ตามรูปแบบของบ้านที่หลังคาชันถึง 60 องศา มีลักษณะคล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน ซึ่งปรับให้เข้ากับสภาพธรรมชาติป้องกันหิมะทับถมลงมาเรื่อยๆ ในช่วงฤดูหนาว

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) จังหวัดกิฟุ

หลายๆ คนจะมีหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago) อยู่ในลิสต์ของการเดินทางไป เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ด้วยอย่างแน่นอน เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago) ในช่วงฤดูหนาว เพื่อชมความงดงามของหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งชิราคาวาโกะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน นอกจากนี้ยังมีเทศกาลแสดงไฟหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago Light Up) บ้านแต่ละหลังจะเปิดไฟยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศที่สวยงาม ในคืนวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ บอกได้เลยว่าสวยโรแมนติกมาก

3. เส้นทางเจแปนแอลป์ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Tateyama-Kurobe Alpine Route) จังหวัดโทยามะ

เส้นทางเจแปนแอลป์ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Tateyama-Kurobe Alpine Route) จังหวัดโทยามะ

เส้นทางแอลป์ทาเตยามะคุโรเบะ เป็นเส้นทางธรรมชาติอันงดงาที่อยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดโทยามะปละจังหวัดนากาโนะ ผ่านทิวทัศน์เทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงามจนได้ชื่อว่า เทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น โดยจุดที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาทาเตยามะ สูงประมาณ 3,015 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่นรองจากภูเขาไฟฟูจิ

ยุคิโนะโอทานิ (Yuki no Otani) หรือ กำแพงหิมะ

แต่จุดสูงสุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปได้อยู่ที่ มุโรโดะ (Murodo) ซึ่งมีความสูงประมาณ 2,450 เมตร และมีไฮไลท์สำคัญที่เรียกว่ายุคิโนะโอทานิ (Yuki no Otani) หรือ กำแพงหิมะ ซึ่งในหนึ่งปีจะมีแค่เพียงช่วงเดียวเท่านั้น คือราวกลางเดือนเมษายนไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน เราสามารถสัมผัสความสวยงามของกำแพงหิมะได้จากบนรสบัสที่กำลังวิ่งผ่าน หรือจะลงจากรถเพื่อมาสัมผัสกับกำแพงหิมะที่มีความสูงเกือบ 10 เมตร ได้แบบใกล้ชิดอีกด้วย ที่นี่ถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวเลยค่ะ

4. เทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ (Kamakura no Sato) จังหวัดนากาโน่

หากคุณมีแผนไปเที่ยวจังหวัดนากาโน่ในฤดูหนาว คุณไม่ควรพลาดเทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ ที่เมืองอียามะ ทางตอนเหนือของจังหวัดนากาโน่ ซึ่งเปิดในช่วงเวลาจำกัดแค่ 1 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี คุณจะพบกับกระท่อมหิมะคามาคุระทรงกลมประมาณ 20 หลัง ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้นหิมะขาวสะอาด

เทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ (Kamakura no Sato) จังหวัดนากาโน่

ช่วงกลางคืนทุกหลังจะประดับประดาด้วยโคมไฟส่องสว่างที่ให้บรรยากาศสวยงามราวกับเทพนิยาย เหมาะกับครอบครัว เพื่อน และคู่รัก ภายในกระท่อมจะมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้เตรียมไว้สำหรับคนจำนวน 5-6 คน แนะนำว่าไม่ควรพลาดโอกาสลิ้มลองอาหารจานเด็ดของท้องถิ่นอย่างโนะโระชินาเบะ (Noroshi Nabe) อาหารประเภทหม้อไฟที่ปรุงด้วยชินชูมิโซะ (Shinshu Miso) ใส่เห็ด และผัก ที่ปลูกในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีบริการเหล้าหวานอามาซาเกะ (Amazake) และข้าวปั้นที่ทำจากข้าวญี่ปุ่นพันธุ์โคชิฮิคาริของอียามะ ให้นั่งกินภายในกระท่อมหิมะเหล่านี้ด้วย คุณสามารถจองที่นั่งทานอาหารกลางวัน อาหารเย็น อาหารว่างยามบ่าย หรือจองพักค้างคืนได้ที่เว็บไซต์นี้เลยค่ะ

5. เทศกาลประดับไฟนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ

เทศกาลประดับไฟที่อลังการยิ่งใหญ่สุดในญี่ปุ่น จัดขึ้นที่สวนนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) สวนพฤกษศาสตร์บนเกาะเล็กๆ อย่างนากาชิมะ เมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มักมีรูปปรากฎในอินสตาแกรมอยู่บ่อย ๆ

เทศกาลประดับไฟนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ

ที่นี่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณหลากหลายกว่า 40 ชนิด ซึ่งรวมถึงซากุระ ทิวลิป และดอกคอสมอส (ดอกดาวกระจาย) นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมกับความงามของดอกไม้ได้ทุกฤดูกาล และในช่วงฤดูหนาวจะมีการจัดงานประดับไฟเป็นประจำทุกปี แต่ละปีก็จะมีธีมที่แตกต่างกันออกไป และไฮไลท์อยู่ที่การประดับไฟในอุโมงค์ยาว 200 เมตร หรือ The Tunnel of Lights ที่เกือบทุกคนต้องมีภาพมุมนี้กลับไป นอกจากนี้ภายในสวนนาบานะโนะซาโตะยังมีออนเซ็นธรรมชาติและร้านอาหารไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

6. เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) จังหวัดฮอกไกโด

เทศกาลหิมะซัปโปโร เป็นงานเทศกาลหิมะประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น จัดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีที่เมืองซัปโปโร ภายในงานมีการจัดแสดงประติมากรรมที่สร้างจากหิมะและน้ำแข็งมากมาย ราวกับดินแดนแห่งเทพนิยาย ลานจัดงานเทศกาลหิมะซัปโปโรมีทั้งหมด 3 แห่ง ดังนี้

(1) ลานจัดงานโอโดริ (Odori Site)

จัดขึ้นที่สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) ใจกลางเมืองซัปโปโร มีการจัดแสดงประติมากรรมหิมะขนาดใหญ่ กลาง และเล็กตลอดเส้นทางยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 12 โซน ได้แก่ ลานไอซ์สเก็ต ลานประชาชน ลานหิมะ ประติมากรรมหิมะขนาดกลาง ลานนานาชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการประดับไฟตอนกลางคืนอีกด้วย

สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park)
ประติมากรรมหิมะ สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park)

(2) ลานจัดงานซูซูกิโนะ (Susukino Site)

จัดขึ้นที่บริเวณย่านซูซูกิโนะ เป็นส่วนของการจัดการแข่งขันประติมากรรมหิมะ ที่มีทีมผู้เข้าแข่งขันส่งผลงานเข้าประกวดมากมาย และยังมีถนน Illumination Street ที่มีการประดับไฟสวยงามไว้ตลอดเส้นทาง

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ลานจัดงานซูซูกิโนะ (Susukino Site)

(3) ลานจัดงานสึโดเมะ (Tsudomu Site)

จัดขึ้นภายในสึโดเมะ (Sapporo Community Dome) ซึ่งเป็นโดมอเนกประสงค์ของเมืองซัปโปโร ที่นี่เต็มไปด้วยกิจกรรมและเครื่องเล่นต่างๆ อย่างสไลเดอร์หิมะขนาดยักษ์ บ้านตุ๊กตาหิมะ และอื่นๆ อีกมากมาย เหมาะสำหรับเด็กและครอบครัว

 เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ลานจัดงานสึโดเมะ (Tsudomu Site)

งานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโรประจำปี 2024 (Sapporo Snow Festival) ครั้งที่ 74 จัดขึ้นในช่วงวันที่ 4-11 กุมภาพันธ์ 2024 เป็นระยะเวลาทั้งหมด 8 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

7. งานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง (Otaru Snow Light Path Festival) จังหวัดฮอกไกโด

เมืองโอตารุเป็นเมืองท่าเล็กๆ บนชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นในจังหวัดฮอกไกโด มีอาคารและโกดังเก่าแก่ในสไตล์ตะวันตกแบบวิคตอเรียนที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่หลายแห่ง ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนมาท่องเที่ยวยุโรป

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - งานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง (Otaru Snow Light Path Festival) จังหวัดฮอกไกโด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณเลียบคลองโอตารุ (Otaru Canal) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองที่สามารถมาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปียังใช้เป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง โดยจะมีการประดับประดาไปด้วยแสงไฟตามพื้นที่จัดงานซึ่งมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณคลองโอตารุ บริเวณทางรถไฟเก่าซึ่งอยู่ระหว่างสถานีโอตารุและคลองโอตารุ และบริเวณอาซาริกาวะออนเซ็น ซึ่งอยู่นอกเมืองเมืองโอตารุ

8. สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen) จังหวัดอิชิคาวะ

สวนเคนโรคุเอ็นในจังหวัดอิชิคาวะถือเป็นหนึ่งในสามสวนที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น มีความเป็นมาอย่างยาวนานและน่าสนใจ พื้นที่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาเยี่ยมชมตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูหนาวจะมีความพิเศษมากขึ้นไปอีก ทั้งสวนจะแปรเปลี่ยนเป็นเมืองหิมะขาวโพลน และเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้กลายเป็นพื้นที่อันเงียบสงบอย่างแท้จริง

สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen) จังหวัดอิชิคาวะ

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม รุกขกรที่มีทักษะจะขึงเชือกไว้เหนือต้นสนและต้นอาซาเลียหลายร้อยต้น เพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งก้านของต้นไม้หักลงมาในยามที่ต้องรับน้ำหนักของหิมะ วิธีนี้เรียกว่ายุคิซุริ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภูมิภาคนี้ เพราะต้นไม้เหล่านี้มีอายุมาก โดยเฉพาะต้นสน 200 ปี ที่มีชื่อเสียงของสวนเคนโรคุเอ็น พอถึงช่วงที่หิมะตกลงมาบนต้นไม้ทรงกรวย ทางสวนจะมีการประดับประดาไฟที่ต้นไม้ ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์ ยุคิซุริจะมีอยู่จนถึงกลางเดือนมีนาคม เป็นอีกไฮไลท์ที่ควรเก็บภาพสวยๆ ไว้เป็นที่ระลึก และบางครั้งก็มีการจัดมินิคอนเสิร์ตที่โรงน้ำชาอุจิฮาชิเทอิในสวนด้วย

9. กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) จังหวัดยามากาตะ

เมื่อพูดถึงกินซัน ออนเซ็น ในเมืองโอบานาซาวะ จังหวัดยามากาตะ นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติก็น่าจะให้คะแนนที่นี่เป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่สวยที่สุดในประเทศ ที่นี่เป็นหมู่บ้านโบราณในยุคไทโช (ศตวรรษที่ 19) อดีตเคยเป็นแหล่งเหมืองแร่เงินที่รุ่งเรืองมาก จนเมื่อยกเลิกการผลิตเงิน ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นสถานที่เที่ยวและที่พัก ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม มีแม่น้ำไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ภูเขาล้อมรอบ และบ่อออนเซ็น ทำให้ มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่าแสนคน

กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) จังหวัดยามากาตะ

และถึงแม้ว่าเมืองออนเซ็นนี้จะมีขนาดเล็กจนสามารถเดินจากทางเข้าเมืองไปยังท้ายเมืองได้ภายในสิบกว่านาที แต่สถาปัตยกรรมของโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นหรือเรียวกังจากยุคไทโชที่ขนาบข้างไปตามถนนคนเดินและแม่น้ำก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินทางย้อนกลับไปในอดีตและตัดขาดจากโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย กินซันออนเซ็นเป็นสถานที่ที่สวยน่าตะลึงในฤดูหนาวเมื่อมีหิมะโปรยปราย และตกสะสมบนหลังคาบ้านและถนน เป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก

10. น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิ (The Icicles of Misotsuchi) จังหวัดไซตามะ

น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณศาลเจ้ามิตสึมิเนะ (Mitsumine Shrine) เมืองจิจิบุ จังหวัดไซตามะ เกิดจากการเยือกแข็งของสายน้ำจาก แม่น้ำอาระคาวะ (Arakawa) ในช่วงที่มีอากาศหนาวจัดระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์เท่านั้น ทำให้มีลักษณะเป็นน้ำแข็งงอกน้ำแข็งย้อยเรียงตัวกันตรงผาหินเป็นแนวกว้าง 30 เมตร และสูง 10 เมตร มีรูปทรงที่เปลี่ยนไปทุกปีเนื่องจากปัจจัยทางธรรมชาติ

น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิ (The Icicles of Misotsuchi) จังหวัดไซตามะ

ช่วงกลางวันเราจะได้เห็นความงดงามตามธรรมชาติของธารน้ำแข็ง พอถึงระหว่างเวลา 17.00-19.00 น. ก็จะเป็นช่วงเวลาของเทศกาลไฟโอตากิ (Otaki Ice Festival) ที่แต่งแต้มสีสันให้กับผลึกน้ำแข็งได้ส่องสว่าง เป็นสถานที่ เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ที่มีความงดงามอลังการราวกับต้องมนต์เลยทีเดียว

ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ประเทศญี่ปุ่นก็สวยงามน่าเที่ยวอยู่เสมอ แต่สำหรับใครที่ชอบอากาศหนาวเย็นจะต้องไม่พลาดที่เที่ยวบรรยากาศโรแมนติกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวละมุนตา และแสงไฟประดับระยิบระยับตามลิสต์ที่ Allianz Travel แนะนำไว้ข้างต้นนะคะ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่สำคัญที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันการเดินทาง ซึ่งช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : timeout.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

kamikochi ธรรมชาติอันงดงาม แห่งเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น

คามิโคจิ (Kamikochi) ธรรมชาติอันงดงาม แห่งเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น

หนึ่งในสถานที่ฮอตฮิตในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีสำหรับ ทริปเที่ยวญึ่ปุ่น ที่คนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ คงหนีไม่พ้นคามิโคจิ ( 上高地, Kamikochi ) แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังของจังหวัดนากาโน่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติชูบุซังกะคุ (Chubu Sangaku National Park) ชื่อคามิโคจิมีความหมายว่า “ดินแดนที่เทพเจ้าลงมาประทับ” ซึ่งมีความงดงามสมชื่อ เป็นที่ราบสูงทอดตัวยาวไปตามแม่น้ำอาซุสะ ระยะทางยาว 15 กิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยประมาณ  1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงมากมาย ทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยอลังการ และเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามที่สุด เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เปรียบเหมือนสวรรค์ของนักเดินทางสายธรรมชาติ และสายผจญภัยที่ชอบเที่ยวป่าเขา ช่วงไฮซีซั่นที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากคือประมาณกลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม และวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนตุลาคม ถ้าไม่ชอบคนเยอะๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลานี้เลยค่ะ

Autumn in Kamikochi, Japan

ช่วงเวลาที่ควรไปเที่ยวคามิโคจิ

คามิโคจิเปิดให้ท่องเที่ยวเพียงปีละ 7 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น เพราะช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่ทางอุทยานแห่งชาติปิดทำการเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ อีกทั้งสภาพอากาศที่หนาวจัดยังไม่เหมาะแก่การไปเที่ยวในช่วงนั้นอีกด้วย คามิโคจิมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดู ซึ่งเราสามารถเลือกไปตามสไตล์ที่เราชอบได้เลยค่ะ

  • ฤดูใบไม้ผลิ (กลางเดือนเมษายน – ปลายเดือนมิถุนายน) ช่วงแรกที่อุทยานฯ เปิดให้เข้าไปเที่ยวคามิโคจิอาจยังมีหิมะหลงเหลือบ้าง อุณหภูมิประมาณ 1-19 องศา และต้นไม้จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่ม พร้อมกับอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้น ช่วงเดือนมิถุนายนอาจฝนบ้างเป็นบางวัน ช่วงนี้คนยังไม่ค่อยเยอะนัก บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ

  • ฤดูร้อน (เดือนกรกฎาคม – กลางเดือนกันยายน) อากาศเย็นสบายเนื่องจากอยู่ที่สูงและล้อมรอบด้วยป่าเขา อุณหภูมิประมาณ 12 -24 องศา เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินป่ากัน เพราะเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อนของชาวญี่ปุ่น และเป็นฤดูกาลแห่งการปีนเขาอีกด้วย

  • ฤดูใบไม้ร่วง (กลางเดือนกันยายน – กลางเดือนพฤศจิกายน) เป็นอีกหนึ่งช่วงพีคของนักท่องเที่ยวที่มาชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่มีสีสันสดใสสวยงามเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาแนะนำสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีคือช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ อุณหภูมิช่วงต้นฤดูประมาณ 10-14 องศา พอเข้าช่วงเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิจะเย็นลงประมาณ -4 ถึง 9 องศา บางปีอาจมีหิมะตกช่วงปลายเดือนด้วย

5 จุดไฮไลท์ถ่ายรูปสวยห้ามพลาดในคามิโคจิ

1. สะพานคัปปะ (Kappa Bridge)

จุดแลนด์มาร์คสำคัญใจกลางคามิโคจิที่ห้ามพลาด เป็นสะพานแขวนข้ามแม่น้ำอาซุสะ มีฉากหลังเป็นเทือกเขาโอกาตะ ซึ่งเป็นภาพที่อยู่ในโปสการ์ดของคามิโคจิ คุณสามารถเดินจากสถานีขนส่งคามิโคจิเพียง 5 นาที และโดยรอบยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกหลายแห่ง ผู้คนมักจะแวะเวียนมาถ่ายรูปโดยรอบหรือบนสะพาน มานั่งพักผ่อนระหว่างเดินป่า และนั่งชมทิวทัศน์ที่สวยงาม

Kappa Bridge - Kamikochi

2. บึงไทโช (Taisho Pond)

บึงขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากสะพานคัปปะนัก เกิดจากการระเบิดของภูเขายาเกดาเกะตั้งแต่ปีค.ศ. 1915 มีความสวยงามเป็นพิเศษในยามเช้าหลังพระอาทิตย์ขึ้น บางวันคุณจะได้เห็นหมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำ และเงาของภูเขาโฮตาคาดาเกะและภูเขายาเกดาเกะที่สะท้อนบนผิวน้ำตัดกับท้องฟ้าที่สดใส เกิดเป็นภาพความงามที่เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในคามิโคจิ และถ้าคุณไปเที่ยวในฤดูร้อน คุณสามารถเช่าเรื่อพายหรือเรือถีบเพื่อชมบึงอย่างใกล้ชิดได้อีกด้วย

บึงไทโช (Taisho Pond) - Kamikochi

3. บึงทะชิโระ (Tashiro Marshland)

เป็นบึงน้ำขนาดเล็กล้อมรอบด้วยที่ลุ่ม ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินป่าที่เชื่อมระหว่างสะพายคัปปะและบึงไทโช คุณจะเห็นน้ำใสสะท้อนภาพท้องฟ้า ภูเขาสูงตระหง่าน และขอบสระน้ำที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้ตามฤดูกาลในช่วงอากาศอบอุ่น

บึงทะชิโระ (Tashiro Marshland) - Kamikochi

4. บึงเมียวจิน (Myojin Pond)

หรือเมียวจินิเกะ (ค่าเข้า: 300 เยน) คุณจะได้เห็นบึงน้ำกว้าง น้ำนิ่งใส และดูลึกลับ ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ยิ่งถ้ามาช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี บึงน้ำก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดงจากต้นไม้ที่สะท้อนเงาลงมาอย่างงดงาม ใช้เวลาเดินจากบริเวณสะพานคัปปะประมาณหนึ่งชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตศาลเจ้าโฮทากะ โอคุมิยะ (Hotaka Shrine Okumiya) ซึ่งจัดพิธีโอมิซึกะเอชิเป็นประจำทุกปี บึงเมียวจินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อศาสนาชินโตซึ่งถือว่าธรรมชาติเป็นศูนย์กลางในการสักการะ

บึงเมียวจิน (Myojin Pond) - Kamikochi

5. แม่น้ำอาซุสะ (Azusa River)

แม่น้ำสายหลักของคามิโคจิ ที่มีสีฟ้าใสราวกับกระจก มีต้นน้ำมาจากภูเขายาริ ไหล่ผ่านกลางหุบเขาคามิโคจิและไหลไปลงทะเลที่จังหวัดนิกาตะ เส้นทางเดินเลียบแม่น้ำชมธรรมชาติมีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร ระหว่างทางมีทัศนียภาพที่สวยงาม บางช่วงที่น้ำน้อย เราสามารถลงไปเดินเล่นได้เลย

แม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) - Kamikochi

การเดินทางไปคามิโคจิ Kamikochi

คามิโคจิเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่ไปได้ง่ายและสะดวกที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถบัสจากเมืองใหญ่ต่างๆ ซึ่งคุณอาจต้องเช็คให้ดีว่ามีรถบัสวิ่งในวันที่คุณวางแผนเดินทาง และสามารถไปทันเวลาที่ต้องเปลี่ยนเป็นรถบัสอีกคันหรือไม่ ถ้าคุณพลาดรถไฟและรถบัส คุณอาจต้องเสียเงินนั่งแท็กซี่ขึ้นหรือลงจากภูเขา *เที่ยวสุดท้ายของรถไฟและรถบัสที่ไปยังคามิโคจิอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

1. การเดินทางจากโตเกียว ไป Kamikochi

1.1 เดินทางด้วยรถบัสตรงจากโตเกียวไปคามิโคจิ เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนรถระหว่างทาง รถบัสมีออกทั้งรอบเช้าหรือรอบดึก หากอยากไปเที่ยวแบบค้างคืนก็ไปรอบเช้า แต่หากอยากไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับก็เดินทางด้วยรถรอบกลางคืน ซึ่งจะไปถึงคามิโคจิแต่เช้า คุณสามารถเลือกขึ้นได้จากสถานีโตเกียว ชิจูกุ และชิบุย่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง (รถบัสรอบเช้าจะใช้เวลาน้อยกว่า) รถบัสแบบวิ่งตรงจะมีจำนวนรอบรถไม่มากนัก ดังนั้นจึงควรตรวจสอบจากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการก่อนการเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีรถออกในวันที่ต้องการเดินทาง

เดินทางด้วยรถบัสตรงจากโตเกียวไปคามิโคจิ

1.2 เดินทางด้วยตั๋วชุดคามิโคจิยูยู (Kamikochi Yu Yu) เป็นแพคเกจตั๋วชุดรถบัสเที่ยวแบบราคาประหยัด แต่ต้องแลกด้วยการเปลี่ยนรถหลายต่อ (3 ช่วง) ตั๋วมีอายุ 7 วันนับตั้งแต่วันเริ่มต้นใช้ตั๋ว และไม่จำเป็นต้องใช้ติดกันทุกวัน ซึ่งทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการเดินทาง และสามารถแวะเที่ยวเมืองอื่นระหว่างทางได้ โดยตั๋วที่รวมอยู่ในตั๋วชุดคามิโคจิยูยู ซึ่งประกอบด้วย

– ตั๋วรถบัสด่วนพิเศษไป-กลับ สถานีรถบัสชินจูกุ – สถานีรถบัสมัตสึโมโตะ

– ตั๋วรถไฟไป-กลับ สถานีรถบัสมัตสึโมโตะ – สถานีชินชิมะชิมะ

– ตั๋วรถบัสประจำทางไป-กลับ ชินชิมะชิมะ – คามิโคจิ

*ตั๋วชุดคามิโคจิยูยูจะมีช่วงวันที่ไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้น ควรเช็คช่วงเวลาที่ให้บริการจากเว็บไซต์ ให้ดีก่อนซื้อตั๋ว

เดินทางด้วยตั๋วชุดคามิโคจิยูยู (Kamikochi Yu Yu)

1.3 เดินทางด้วย JR Pass เหมาะสำหรับคนที่ซื้อ JR Pass เพื่อใช้เดินทางอยู่แล้ว โดยนำมาใช้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษขบวนอาซุซะ (Azusa) จากสถานีชินจูกุไปลงที่สถานีมัตสึโมโตะได้โดยไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟสายคามิโคจิจากจากสถานีมัตสึโมโตะไปลงสถานีชินชิมาชิมะ (Shinshimashima Station) และต่อด้วยรถบัสประจำทางจากสถานทีรถบัสชินชิมาชิมะ ไปลงที่คามิโคจิ วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดสำหรับคนที่มี JR Pass แต่ถ้าไม่มีก็ไม่แนะนำ เพราะจะเสียค้าเดินทางแพงที่สุด และต้องเปลี่ยนรถหลายต่อ

เดินทางด้วย JR Pass

2. การเดินทางจากเมืองนาโกย่า หรือ ทาคายาม่า ไป Kamikochi

2.1 เดินทางด้วยรถบัสวิ่งตรงที่ออกจากสถานีรถบัสเมเท็ตสึ เมืองนาโกย่า รอบกลางคืน วันละ 1 รอบ และวิ่งเฉพาะเดือนกรกฎาคม – เดือนตุลาคม เท่านั้น เนื่องจากรอบรถมีน้อย จึงเต็มเร็ว โดยเฉพาะเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อนของญี่ปุ่น สามารถซื้อตั๋วได้จากเว็บไซต์ของ Highwaybus

เดินทางด้วยรถบัสวิ่งตรงที่ออกจากสถานีรถบัสเมเท็ตสึ เมืองนาโกย่า

2.2 สำหรับคนที่จองตั๋วรถจากนาโกย่าไม่ทัน หรืออยากไปเที่ยวคามิโคจิในช่วงเวลาอื่น หรืออยากแวะไปเที่ยวทาคายาม่าก่อน สามารถนั่งรถบัสหรือรถไฟไปลงที่ทาคายาม่า แล้วนั่งรถบัสจากสถานีรถบัสทาคายาม่าดนฮิไปลงที่สถานีรถบัสฮิรายุออนเซ็น แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นรถบัสอีกสายที่วิ่งไปคามิโคจิ โดยคุณสามารถซื้อตั๋วรถจากจุดขึ้นรถแต่ละจุดได้เลย และรอบรถมีทุกชั่วดมง ทำให้สะดวกและยืดหยุ่นในการเดินทางเป็นอย่างมาก

นาโกย่า - ทากายาม่าโนฮิ - ฮิรายุ - คามิโคจิ

3. การเดินทางจากเมืองโอซาก้า หรือ เกียวโต ไป Kamikochi

เดินทางด้วยรถบัสด่วนพิเศษรอบกลางคืนจากสถานีโอซาก้า และแวะจอดรับคนที่สถานีชินโอซาก้าและสถานีเกียวโต ก่อนไปจอดส่งที่สถานีรถบัสคามิโกจิ โดยซื้อตั๋วได้จากเว็บไซต์ของ Japan Bus Online

เดินทางด้วยรถบัสด่วนพิเศษรอบกลางคืนจากสถานีโอซาก้า
Japan Alps, Kamikochi, Nagano, Japan

ใครที่ชื่นชอบธรรมชาติ บรรยากาศป่าเขา บึงน้ำใส สัมผัสอากาศเย็นๆ คามิโคจิ (kamikochi) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คุ้มค่ากับการเดินทางไปเที่ยวเป็นอย่างมาก ที่สำคัญก็ต้องวางแผนการเดินทางให้ดี เช็คตารางรถ และสภาพอากาศเพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง และสิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : kamikochi.org, japan-guide.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เมื่อเราได้ข้อมูลการพยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ปี 2023 มาแล้ว (หากใครที่ยังไม่มีข้อมูลสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่บทความ พยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น 2023 ได้ที่นี่เลย!) ก็เตรียมตัววางแผนไป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่ญี่ปุ่นกันได้เลย! ในช่วงเวลานี้คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามสถานที่ต่างๆ ของญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง สัมผัสลมหนาวที่กำลังเริ่มพัดเข้ามาแทนที่อากาศร้อน ได้เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ในญี่ปุ่นกำลังเริ่มเปลี่ยนสีเตรียมผลัดใบ ทิวทัศน์โดยรอบถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดใส สีส้ม และสีเหลืองทองของใบไม้เปลี่ยนสีจนดูราวกับงานศิลปะอันน่าทึ่ง

Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ของคุณโดยประมาณมาให้แล้วค่ะ

คุณสามารถเลือกสถานที่ในการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าตื่นตาตื่นใจได้หลายแห่งในญี่ปุ่นทั้งในเมืองและพื้นที่ธรรมชาตินอกเมือง รวมถึงสวนสาธารณะ สวน วัด ศาลเจ้า และภูเขา นอกจากนี้ สถานที่หลายแห่งจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีและกิจกรรมพิเศษต่างๆ รวมถึงจัดแสงไฟยามค่ำคืนเพื่อให้ชมความงามของใบไม้ที่มีไฟส่องสว่างด้วย

1. ภูมิภาคฮอกไกโด (เมืองซัปโปโร/เมืองฮาโกดาเตะ)

ฮอกไกโดตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของหมู่เกาะญี่ปุ่น และมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ จึงเป็นที่ที่เผยโฉมสีสันแรกของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสีเริ่มต้นที่ภูเขาอาซาฮีในกลุ่มภูเขาไฟไดเซ็ตสึซัง และค่อยๆ ไล่สีลงไปทางใต้ มัทั้งต้นไม้ใบกว้างอย่างเช่น ต้นเมเปิล และต้นสนผสมผสานกัน ทำให้เกิดการผสมผสานเฉดสีแดง เหลือง และเขียวอันสวยงาม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

กลางเมืองซัปโปโร (Supporo City) – ประมาณวันที่ 8 พฤศจิกายน: มหาวิทยาลัยฮอกไกโดและสวนสาธารณะนากาจิมะ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี มหาวิทยาลัยฮอกไกโด (Supporo City)

โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen) – ประมาณวันที่ 17-26 ตุลาคม: เมื่องน้ำพุร้อนที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองซัปโปโรโดยรถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมง โดดเด่นด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามริมแม่น้ำโทโยฮิระอันเงียบสงบ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โซอุนเคียว (Sounkyo) – ประมาณวันที่ 10-20 ตุลาคม: หมู่บ้านออนเซ็นที่อยู่ในอ้อมกอดของภูเขาสูงตระหง่านในเขตอุทยานแห่งชาติได้เซ้ตสึซัง (Daisetsuzan) เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีหน้าผาสูงตระหง่าน น้ำตก และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

โซอุนเคียว (Sounkyo)

โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen) – ประมาณวันที่ 24 ตุลาคม-11 พฤศจิกายน: เมืองแห่งน้ำพุร้อนชื่อดังในฮอกไกโด ล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น เต็มไปด้วยไอน้ำและกลิ่นกำมะถันที่ฟุ้งขึ้นจากใต้ดิน และเป็นแหล่งออนเซ็นชั้นดี

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen)

2. ภูมิภาคโทโฮคุ (เมืองเซนได/เมืองอาโอโมริ)

โทโฮคุ (Tohoku) หมายถึงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของ 6 จังหวัดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องธรรมชาติแสนสวยจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อย่างเช่น เทือกเขาชิราคามิซันจิ (Shirakami-Sanchi) ในจังหวัดอาโอโมริ และเมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) ในจังหวัดอิวาเตะ ช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคโทโฮคุอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงกลางตุลาคม – ปลายเดือนพฤศจิกายน เร็วกว่าโตเกียวราวครึ่งเดือน

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge) – ประมาณวันที่ 29 ตุลาคม-6 พฤศจิกายน: บริเวณหุบเขาโออิราเสะร่มรื่นไปด้วยเสียงน้ำตกและอากาศสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะกับการเดินเล่นไปตามทางเดินเลียบหุบเขาเพื่อชื่นชมกับความงามของใบไม้เปลี่ยนสีตลอดความยาว 14 กิโลเมตรของลำธารโออิราเสะ ที่ไหลลงไปสู่ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) – ประมาณวันที่ 30 ตุลาคม-12 พฤศจิกายน: หนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ บริเวณหุบเขาแห่งนี้จะงดงามไปด้วยสีแดง สีทอง และสีส้มสดใสของใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge)

เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain) – ประมาณวันที่ 15 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: เทือกเขาซาโอะเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ระหว่างจังหวัดยามากาตะและจังหวัดมิยางิ มีใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงาม คุณสามารถนั่งกระเช้าชมวิวจากมุมสูงของเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แดงได้อย่างเต็มตา

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) – ประมาณวันที่ 9-18 พฤศจิกายน: เมืองเล็กๆ ในจังหวัดอาคิตะ มีชื่อเสียงเรื่องย่านที่อยู่อาศัยของซามูไรสมัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและถนนที่งดงามซึ่งเรียงรายไปด้วยต้นซากุระเก่าแก่ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง บริเวณนี้จะมีชีวิตชีวาด้วยสีสันที่สดใส ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าหลงใหล

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)

หุบเขาเกบิเค (Geibikei Gorge) – ประมาณวันที่ 4-13 พฤศจิกายน: หุบเขาเกบิเคตั้งอยู่ในจังหวัดอิวาเตะ มีแม่น้ำอันเงียบสงบขนาบข้างด้วยหน้าผาสูงชันและป่าไม้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใสในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

3. ภูมิภาคคันโต (เมืองโตเกียว/โยโกฮาม่า)

พื้นที่โตเกียวและปริมณฑลมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงย่านนิกโกอันโด่งดังและถนนแปะก๊วยสีทองในเมจิจิงกุไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) นอกจากนี้ บรรยากาศอันเงียบสงบของสวนสาธารณะต่างๆ ในภูมิภาค ยังช่วยให้คุณดื่มด่ำไปกับสีสันอันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง โดยช่วงเวลาในการชมจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม: ถือเป็นภูเขาที่คนนิยมเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เนื่องจากเดินทางสะดวกและมีหลายเส้นทางเดินป่าที่ประดับประดาด้วยใบไม้หลากสีสันช่วยให้หลีกหนีความวุ่นวายจากในเมือง และหากเป็นช่วงที่ฟ้าโปร่ง สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

นิกโก (Nikko) – ประมาณวันที่ 6-19 พฤศจิกายน: นิกโก้มีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามของวัดและศาลเจ้าต่าง ๆ จนองค์การยูเนสโก้ถูกประกาศให้เป็นเขตมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1999 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นิกโกจะกลายเป็นจุดชมวิวที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และมีภูเขาที่ทอดยาว มีสถานที่มากมายที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับฤดูใบไม้ร่วงในนิกโกได้ เช่น ภูเขา ทะเลสาบ และน้ำตก เป็นต้น

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี นิกโก (Nikko)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาแต่สมัยโบราณ มีธรรมชาติอันงดงาม ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (กิงโกะ) ที่เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร จะเปลี่ยนเป็นสวรรค์สีทองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาด

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

ฮาโกเน่ (Hakone) – ประมาณวันที่ 13-28 พฤศจิกายน: ฮาโกเนะเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ และคุณจะสามารถมองเห็นภูเขาฟูจิได้จากฮาโกเนะในวันที่มีอากาศสดใส สถานที่ติดอันดับสำหรับการชมใบไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงในฮาโกเนะคือสวนสาธารณะโกระ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮาโกเนะ ทะเลสาบอะชิโนะโกะ วัดโชอันจิ และรถไฟสายฮาโกเนะโทซัง

ฮาโกเน่ (Hakone)

คามิโคจิ (Kamikochi) ประมาณวันที่ 21 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: คามิโคจิตั้งอยู่ในเมืองนากาโนะ บริเวณเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น ถือเป็นอัญมณีบริสุทธิ์ที่ได้รับการยกย่องจากความงามที่ยังบริสุทธิ์และสีสันใบไม้ร่วงอันงดงาม บริเวณนี้มีแม่น้ำที่ใสราวกับคริสตัล ยอดเขาสูงตระหง่าน และใบไม้สีแดง สีส้ม และสีทองอันอุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี คามิโคจิ (Kamikochi)

4. ภูมิภาคโฮคุริคุ (เมืองคานาซาว่า/เมืองฟุคุอิ)

ภูมิภาคโฮคุริกุครอบคลุมพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของเกาะฮอนชู มีชื่อเสียงในด้านเทือกเขาที่กว้างใหญ่และมีหิมะตกหนักในช่วงฤดูหนาว ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในโฮคุริคุ แต่สถานที่บางแห่งอาจมีใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คสภาพอากาศและพยากรณ์เป็นระยะก่อนการเดินทาง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม: เป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นมากของเมืองคานาซาวะ ที่สายธรรมชาติห้ามพลาดกันเลย เพราะที่นี่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของสวนที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของสวนที่งดงามตระการตามาก และถ้าไปช่วงเทศกาลที่มีการประดับไฟตอนกลางคืน จะทำให้บรรยากาศที่น่าหลงใหลและมหัศจรรย์

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en)

หุบเขาคุซูริว (Kuzuryu Gorge) – ประมาณวันที่ 4-15 พฤศจิกายน: หุบเขาคุซูริวอยู่ในจังหวัดโทยามะ คุณจะได้เห็นสีสันของฤดูใบไม้ร่วงตามเส้นทางเดินป่าเลียบไปตามแม่น้ำคุซูริวที่ใสสะอาดไหลอยู่เบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam) – ประมาณวันที่ 4-17 ตุลาคม: พื้นที่เขื่อนคุโรเบะล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่าน มองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของใบไม้หลากสีสันที่สะท้อนบนผืนน้ำอันเงียบสงบเบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)

5. ภูมิภาคชูบุ (ภูเขาไฟฟูจิ/เมืองกิฟุ/เมืองนาโกย่า)

ภูมิภาคชูบุเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น มีจุดที่งดงามมากมายพร้อมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม พื้นที่ทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ รวมถึงทะเลสาบคาวากุจิ มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านใบไม้ที่สวยงามตระการตา

ทะเลสาบคาวากุจิในเดือนพฤศจิกายนจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีทางตอนเหนือ สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปชมคือทางเดินโมมิจิ ซึ่งคุณสามารถเก็บภาพทิวทัศน์อันน่าทึ่งของภูเขาไฟฟูจิและใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชีวิตชีวาได้ในเฟรมเดียว เป็นภาพสัญลักษณ์ที่มักปรากฏบนโปสการ์ดและเว็บไซต์ท่องเที่ยว ทำให้ที่นี่เป็นไฮไลท์ของการมาเยือนภูมิภาคนี้

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi) – ประมาณวันที่ 15-24 พฤศจิกายน: หนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยผืนน้ำอันเงียบสงบและทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาไฟฟูจิ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงาม

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi)

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม): ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิซุ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขียวขจี สวนสาธารณะในฤดูใบไม้ร่วงจะประดับประดาไปด้วยใบไม้หลากสีสัน มอบบรรยากาศอันเงียบสงบสำหรับผู้รักธรรมชาติ

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) (ดีที่สุดตั้งแต่วันที่ 2-15 พฤศจิกายน): ในจังหวัดกิฟุ เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่มีชื่อเสียงจากบ้านหลังคามุงจากแบบดั้งเดิมที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา แวดล้อมด้วยธรรมชาติชาติที่เป็นฉากหลังอันน่าทึ่งสำหรับสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

สวนโยโระ (Yoro Park) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-8 ธันวาคม: ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ มีเป็นพื้นที่ธรรมชาติสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีและงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะเห็นความสวยงามสีสันท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ นอกจากนี้ ยังมีทั้งน้ำตก ศาลเจ้า หมู่บ้าน และอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีให้คุณได้ชื่นชมอีกด้วย

6. ภูมิภาคคันไซ (เมืองเกียวโต/เมืองโอซาก้า)

ภูมิภาคคันไซเป็นที่ตั้งของเมืองประวัติศาสตร์สำคัญๆ เช่น เกียวโตและโอซาก้า มีสถานที่ท่องเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีมากมายในฤดูใบไม้ร่วง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

เมืองเกียวโต (Kyoto) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: เกียวโตมีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามของทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอันน่าทึ่ง ที่คุณจะได้เห็นการผสมผสานของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมกับสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง จุดไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ อาราชิยามะ วัดคิโยมิสึเดระ และวัดเอนโคจิ ท่ามกลางสถานที่สวยงามอื่นๆ อีกมากมาย

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองเกียวโต (Kyoto)

เมืองโอซาก้า (Osaka) – ประมาณวันที่ 16 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีห้ามพลาด ได้แก่ ปราสาทโอซาก้า น้ำตกมิโนะ และถนนมิโดสุจิ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองโอซาก้า (Osaka)

เมืองนารา (Nara) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: สำรวจความงามของสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงได้ตามศาลเจ้าและวัดเก่าแก่ สวนนารา หรือเดินเขาชมทิวทัศน์ที่ภูเขาโยชิโนะ

เมืองชิงะ (Shiga) – ประมาณวันที่ 24 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม: สถานที่ห้ามพลาดคือปราสาทฮิโกเนะที่สวยงามเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วง ถนนต้นสน Metasequoia Namiki ในเมืองทาคาชิมะ ที่มีชื่อเสียงจากละครโทรทัศน์ยอดนิยม และมีต้นสนเมตาเซโคเอียประมาณ 500 ต้นตลอดถนนระยะทาง 2.4 กม. สีสันอันน่าทึ่งของฤดูใบไม้ร่วงทำให้ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน “100 เส้นทางชมวิวแห่งใหม่” ของญี่ปุ่น

7. ภูมิภาคชูโกกุ (เมืองฮิโรชิม่า/เมืองโอคายามะ)

ภูมิภาคชูโกกุตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 5 จังหวัด รวมถึงฮิโรชิม่าและโอคายามะ

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima) – ประมาณวันที่ 16-29 พฤศจิกายน: เกาะมิยาจิมะ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าเกาะอิทสึคุชิมะ สถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือประตูโทริอิสีแดงอันใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลและศาลเจ้ามรดกโลกอิทสึคุชิมะ อาคารเก่าแก่บนเกาะแห่งนี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นเมื่อประดับด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วโลก

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima)

สวนโอคายามะ โคระคุเอ็น (Okayama Korakuen) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน-6 ธันวาคม: เป็นหนึ่งในสามของสวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งได้สามดาวจากมิชลินกรีนไกด์ เป็นสวนที่ได้รับการวางผังเป็นอย่างดีจัดแสดงภูมิทัศน์อันงดงามและสถาปัตยกรรมที่กลมกลืนกัน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สีสันของใบไม้จะเพิ่มสัมผัสแห่งความงามอันสดใสให้กับบรรยากาศอันเงียบสงบ และช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความงามของสวนที่มีการจัดแต่งไฟที่ให้ภาพที่งดงามแตกต่างจากตอนกลางวัน

หุบเขาโอคุตสึ (Okutsu Valley) – ประมาณวันที่ 8-21 พฤศจิกายน: หุบเขาโอคุตสึเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดโอคายาม่า คุณจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของใบไม้สีแดงเข้ม ส้มอบอุ่น และสีเหลืองสดใสตามเส้นทางที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ราวกับผืนผ้าใบอันน่าหลงใหลที่มีในฤดูใบไม้ร่วง

8. ภูมิภาคชิโกะคุ (เมืองคากาวะ/เมืองโทคุชิมะ)

ภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) คือ 1 ใน 4 เกาะหลักของญี่ปุ่น โอบล้อมด้วยทะเลเซโตะ (Seto Inland Sea) และมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime), จังหวัดคางาวะ (Kagawa), จังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) และจังหวัดโคชิ (Kochi) บนเกาะนี้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อากาศค่อนข้างอบอุ่น มีเส้นทางปั่นจักรยาน มีเส้นทางจาริกแสวงบุญที่ยาวนานถึง 1,200 ปีไปยังวัด 88 แห่ง ทั้งนี้พื้นที่บริเวณโดยรอบยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีมนต์เสน่ห์น่าค้นหา

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

สวนริทสึริน (Ritsurin Garden) – ประมาณวันที่ 22 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม: สวนริทสึรินตั้งอยู่ในเมืองทะคะมัทสึ  และถือเป็นสวนที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้มีบ่อน้ำ 6 บ่อ และเนินเขาที่มีภูมิทัศน์สวยงาม 13 ลูก โดยมีภูเขาชิอินเป็นฉากหลัง สวนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ทิวทัศน์รอบตัวคุณเปลี่ยนแปลงไปในทุกย่างก้าว

หุบเขาคันคาเค (Kankakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม: ตั้งอยู่กลางเกาะโชโดะในจังหวัดคางาวะ เป็นหนึ่งในสามหุบเขาที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับรางวัล 1 ดาวจากมิชลินกรีนไกด์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาแห่งนี้จะมีสีสันสวยงามไปทั้งหุบเขา ควรขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเพื่อชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของหุบเขา

ช่องเขานาเมโทโกะ (Nametoko Gorge) – ประมาณวันที่ 19-30 พฤศจิกายน): เพลิดเพลินกับธรรมชาติใน หุบเขาที่ทอดตัวไปตามริมแม่น้ำเมกุโระ มีลำธารใสสะอาดไหลผ่านตามโขดหินท่ามกลางป่ามอสที่สวยงาม และน้ำตกยูกิวะไหลลงมาตามผาหินขนาดยักษ์ ช่องเขานาเมโทโกะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบเดินป่าและจุดชมวิวที่มีเสน่ห์อย่างมากโดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขาอิยะ (Iya Valley) คือหนึ่งในสามสถานที่ unseen หรือสถานที่เร้นลับที่ยังไม่ค่อยมีผู้มาเยือนของญี่ปุ่น มีแม่น้ำโยชิโนะ (Yoshino River) ไหลผ่านกลาง นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับภูเขาสีสันสวยงามด้วยใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาอิยะ (Iya Valley)

9. ภูมิภาคคิวชู (เมืองฟุกุโอกะ/เมืองคาโกชิม่า)

ภูมิภาคคิวชู (Kyushu) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ประกอบด้วย 7 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka) จังหวัดซะกะ (Saga) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto) จังหวัดโออิตะ (Oita) จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima) ภูมิภาคนี้มีอากาศที่อบอุ่นและมีภูมิประเทศสูงต่ำสลับกัน มีทะเลและภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีจุดเด่นที่แหล่งประวัติศาสตร์เมืองโบราณทางตอนใต้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่มีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงอาหารพื้นเมืองน่าลิ้มลองอีกหลายชนิด

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ในปี 2023

หุบเขายาบาเคอิ (Yabakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14-26 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ในเมืองนาคัตสึ จังหวัดโออิตะ เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันมีสีสันของภูมิภาค เราขอแนะนำคุณมาเยี่ยมชมก่อนพระอาทิตย์ตกดินเพื่อชมการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์จากแสงสว่างไปสู่ความมืด และบางส่วนของพื้นที่จะมีการประดับไฟในตอนกลางคืน

หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) – ประมาณวันที่ 22-30 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยะซะกิ มีหน้าผาสูงชันทอดตัวเป็นแนวยาวถึง 7 กิโลเมตร และเต็มไปด้วยสถานที่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามลึกลับ มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีกระจายอยู่ทั่ว กิจกรรมที่แนะนำเมื่อมาเยือนที่นี่ คือการพายเรือผ่านน้ำตกมะนะอิโนทาคิ (Manainotaki Waterfall) ที่มีความสูงถึง 17 เมตร ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของหุบเขาแห่งนี้ แล้วชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด ภาพของหุบเขา น้ำตก และใบไม้สีเหลืองและแดงรวมกันกลายเป็นความงดงามทางธรรมชาติราวกับภาพวาดที่หาชมได้ยาก

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge)

สวนพฤกษศาสตร์ชิราโนเอะ (Shiranoe Botanical Garden) มีพื้นที่กว้างขวางให้ได้เดินชมความงามของธรรมชาติทั้ง 4 ฤดู สามารถมาชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือน จุดชมใบไม้แดงเด่นๆ ได้แก่ Iriguchi hiroba ตรงทางเข้า, Komorebi no ro ที่มีต้นเมเปิลกว่า 800 ต้น และ Rakuyo no mori ที่มีต้นเมเปิลอิโรฮะโมมิจิขนาดใหญ่ที่ถูกปลูกเมื่อ 50 ปีก่อน

วางแผน เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องจากช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงควรเริ่มวางแผนทริปล่วงหน้าทันทีที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน เราสามารถกะเวลาโดยประมาณจากพยากรณ์ข้างต้น เพื่อจัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก เขียนกำหนดการอย่างคร่าวๆ เตรียมเอกสารที่จำเป็น และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com, matcha-jp.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023

พยากรณ์ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023

พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023 ของ Japan Meteorological Corporation ฉบับแรกของปีออกมาแล้ว (4 กันยายน 2023) หากคุณวางแผนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีปีนี้ เตรียมจองตั๋วเครื่องบินไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นกันได้เลย!

Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดช่วงเวลาที่คุณสามารถวางแผนทริปของคุณโดยประมาณมาให้แล้วค่ะ

*หมายเหตุ*

ข้อมูลพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นปี 2023 อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นควรตรวจสอบช่วงเวลาที่เดินทางกับเว็บไซต์ เป็นระยะเพื่อความถูกต้อง

ช่วงเวลาของการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน Japan Meteorological Corporation ได้ทำการพยากรณ์ช่วงเวลาโดยประมาณในการเริ่มชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นตามเมืองและภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคมจากเหนือจรดใต้ แต่ละสถานที่จะมีช่วงเวลาที่ใบไม้มีสีสันสดใสประมาณ 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม ใบไม้เปลี่ยนสี มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่จะได้สัมผัสกับสีสันความสวยงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023 สีเหลือง

ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะมี 2 ช่วง ได้แก่ ใบไม้สีเหลือง (ต้นแปะก๊วย) ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตามมาด้วยใบไม้สีแดง (เมเปิ้ลญี่ปุ่น) ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สีของยอดเขาจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากระดับความสูงและสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ บางครั้งใบไม้เปลี่ยนสีอาจเกิดช้าไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคมเลยก็ได้

ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023 สีแดง

ภาคเหนือ

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้แดง:

บริเวณภูเขาจะเป็นช่วงระหว่างต้นถึงกลางเดือนพฤศจิกายน และที่ราบตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้สีเหลือง:

บริเวณที่ราบคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่ต้นถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

ภาคตะวันออก

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสี:

บริเวณภูเขาระหว่างปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม และที่ราบตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้สีเหลือง:

บริเวณที่ราบคาดการณ์ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

ภาคตะวันตก

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสี:

บริเวณภูเขาคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม ส่วนบริเวณที่ราบจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้สีเหลือง:

บริเวณที่ราบคาดการณ์ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

แผนที่พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่น 2023

แผนที่พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”

แผนที่พยากรณ์ วันใบไม้เปลี่ยนสี สีแดง

แผนที่พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”

แผนที่พยากรณ์ วันใบไม้เปลี่ยนสี สีเหลือง

ตาราง พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ปี 2023

สถานที่ พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง” พยากรณ์วันใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”
ซัปโปโร 8 November 2023 6 November 2023
อาโอโมริ 14 November 2023 6 November 2023
เซนได 27 November 2023 29 November 2023
โตเกียว 30 November 2023 25 November 2023
คานาซาว่า 30 November 2023 10 November 2023
นากาโน่ 22 November 2023 14 November 2023
นาโงย่า 2 December 2023 18 November 2023
เกียวโต 11 December 2023 27 November 2023
โอซาก้า 3 December 2023 24 November 2023
วากายามะ 12 December 2023 26 November 2023
ฮิโรชิม่า 28 November 2023 20 November 2023
โคชิ 9 December 2023 15 November 2023
ฟุกุโอกะ 9 December 2023 27 November 2023
คาโกชิมะ 13 December 2023 28 November 2023

อ้างอิงข้อมูลจาก Japan Meteorological Corporation

วางแผนเที่ยวญี่ปุ่นช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องจากช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงควรเริ่มวางแผนทริปล่วงหน้าทันทีที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน เราสามารถคาดการณ์เวลาโดยประมาณจากการพยากรณ์ข้างต้น เพื่อจัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก เขียนกำหนดการอย่างคร่าวๆ เตรียมเอกสารที่จำเป็น และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel