12 ที่เที่ยวเวียดนาม ไฮไลท์ที่ควรเก็บใส่ลิสต์

12 ที่เที่ยวเวียดนาม 2022 ที่ควรเก็บไว้ในลิสต์

เวียดนามมีทั้งเมืองใหญ่ที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยรถและผู้คน และความงามทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์และน่าทึ่งติดอันดับโลก จากภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกปกคลุม ทุ่งนาเชียวขจี และน้ำตกสูงที่ให้บรรยากาศสดชื่นของเวียดนามตอนเหนือ ไปจนถึงหาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลสีฟ้าครามใสของชายหาดทางตอนใต้ ไฮไลท์ ที่เที่ยวเวียดนาม มีมากมาย จนติดอันดับในประเทศยอดนิยมของนักเดินทาง Allianz Travel ได้รวบรวม 12 สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในเวียดนามมาให้คุณเตรียมตัวเที่ยวเวียดนามกัน รวมทั้งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมสถานที่แต่ละแห่งและวิธีการเดินทาง ไฮไลท์ ที่เที่ยวเวียดนาม มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย

หมายเหตุ: ในช่วงโควิด-19 มีข้อจำกัดในการเดินทางเที่ยวเวียดนามและเวลาทำการของสถานที่อาจแตกต่างจากช่วงเวลาปกติไปบ้าง ตรวจสอบคำแนะนำล่าสุดในเวียดนามก่อนวางแผนการเดินทาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละพื้นที่เสมอ

1. ซาปา (Sapa)

ซาปาตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีน เป็นเมืองเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆท่ามกลางเทือกเขาที่สูงตระหง่านเหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,650 เมตร และล้อมรอบด้วยนาข้าวขั้นบันไดที่เขียวขจี (คุณต้องไปเที่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมของปี!)

Sapa in Vietnam

นอกจากชื่อเสียงเรื่องทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ซาปายังมีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของตนเอง จากหมู่บ้านเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่บนเนินเขา ซึ่งเป็นบ้านของชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่าพันธุ์ 

จากการผสมผสานทั้งวัฒนธรรมและความงามตามธรรมชาติทำให้ซาปาควรค่าแก่การเยี่ยมชมหากคุณมีโอกาส แม้ว่าสถานที่ห่างไกลจะทำให้การเดินทางลำบาก แต่ก็เป็นสิ่งที่รักษาความงดงามของทัศนียภาพและมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานไว้เป็นเวลานาน!

Sapa in Vietnam

ช่วงเวลาเที่ยว:

ช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมเป็นเดือนที่ดีที่สุดในการชมนาขั้นบันได หรือช่วงที่อากาศดีและท้องฟ้าแจ่มใสคือช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 

วิธีการเดินทาง:

ไม่มีเที่ยวบินไปซาปา วิธีที่ดีที่สุดคือนั่งรถไฟข้ามคืนมาลงที่เมืองลาวไค (Lao Cai) และต่อรถตู้ขึ้นเขา หรืออีกทางหนึ่งคือนั่งรถโดยสารประจำทางหรือรถตู้จากฮานอยประมาณ 5-6 ชั่วโมงมาลงที่กลางเมือง

กิจกรรมแนะนำ:

เดินเขาเที่ยวระหว่างหมู่บ้านเพื่อดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันตระการตาและสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของหมู่บ้านชาวเขา หรือหากการเดินเขาไม่ใช่ทางที่คุณชอบ คุณสามารถสำรวจจุดที่สวยงามที่สุดได้ด้วยการเดินทางแบบไปเช้าเย็นด้วยรถยนต์

2. อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay)

คำว่าอ่าวฮาลองเป็นภาษาเวียดนามแปลว่า อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออกประมาณ 170 กิโลเมตร ความสวยงามเกิดจากเกาะหินปูนสูงตระหง่านรูปร่างแปลกตา ตั้งเรียงรายสลับกับเกาะแก่งเล็กๆ กว่า 1,969 เกาะ ท่ามกลางน้ำทะเลสีเขียวมรกต โดยบนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน กลายเป็นความงดงามที่และความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยื่อนทุกปี

อ่าวฮาลอง เป็นอีกสถานที่หนึ่งในเวียดนามที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537

Ha Long Bay

ช่วงเวลาเที่ยว:

ช่วงที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมอ่าวฮาลองคือเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนที่มีท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิกำลังปานกลาง และทะเลสงบ ในช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน อาจมีพายุโซนร้อนเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้ามากนัก ช่วงไฮซีซั่นในฮาลองมักเป็นช่วงตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการท่องเที่ยวภายในประเทศสูงสุด

เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนมักจะอากาศเย็นและมีฝนตกปรอยๆ และหมอกอาจทำให้ทัศนวิสัยต่ำ แม้ว่าจะช่วยเพิ่มบรรยากาศให้สวยงามและโรแมนติก บางครั้งเรือท่องเที่ยวจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง หรืออาจยกเลิกการเดินทางได้โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพทะเล หากคุณกำลังจองเรือ ให้ตรวจสอบนโยบายการคืนเงินให้ดีก่อน

วิธีการเดินทาง:

การเดินทางจากฮานอยไปยังอ่าวฮาลองเบย์มีหลายวิธีดังนี้

  • Seaplane (45 นาที) บินออกจากสนามบินนานาชาตินอยไบ (Noi Bai International Airport)ในฮานอยไปยังท่าเรือ Tuan Chau Cruise Port ซึ่งเป็นท่าเรือไปยังฮาลองเบย์
  • รถบัส (3-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร) แนะนำให้ใช้บริการรถบัสที่ให้บริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและมีคุณภาพดีกว่ารถเมล์ท้องถิ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมถึงมี Wi-Fi บนรถ
  • รถเมล์ท้องถิ่น (4-5 ชั่วโมง) มีราคาถูกที่สุดและยังได้รับประสบการณ์ท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใคร เหมาะกับคนที่ต้องการท่องเที่ยวแบบผจญภัย หรือมีงบประมาณจำกัด หรือคุ้นเคยกับประเทศเวียดนามเป็นอย่างดี
  • รถไฟ (6-7 ชั่วโมง) รถไฟมีเพียงวันละ 1 เที่ยวจากสถานี Yen Vien ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 10 กม. โดยออกจากฮานอยเวลา 4:55 น. และมาถึงที่สถานีฮาลองเวลา 11:41 น. 

กิจกรรมแนะนำ:

ล่องเรือข้ามคืนผ่านอ่าวฮาลองบนเรือสำเภาแบบดั้งเดิมถือเป็นไฮไลท์ คุณจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันแปลกตาขณะล่องไปตามผืนน้ำ ผ่านหมู่บ้านลอยน้ำ เช่น Cua Van, Vung Vieng และ Cong Dam หรือพายเรือคายัคผ่านถ้ำและหุบเขาอันตระการตา ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสำรวจสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม

3. น้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน (Ban Gioc Detian Waterfall)

น้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน อยู่ห่างจากฮานอยประมาณ 360 กิโลเมตร เป็นน้ำตกข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและเป็นอันดับ 4 ของโลก ตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างประเทศจีนและเวียดนาม มีชื่อว่าน้ำตกเต๋อเถียนในประเทศจีน และชื่อน้ำตกบ่านซ่อกในประเทศเวียดนาม มีต้นน้ำมาจากแม่น้ำกุ้ยชุนของจีน น้ำไหลแรงมาในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกนี้มีความกว้างรวมประมาณ 200 เมตร และสูงกว่า 70 เมตร ทัศนียภาพของน้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน ใหญ่โตและน่าเกรงขาม คุณจะได้ยินเสียงของน้ำตกดังมากก่อนที่คุณจะได้เห็นน้ำตกเสียอีก 

Ban Gioc Detian Waterfall

ช่วงเวลาเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูน้ำหลากและน้ำตกไหลแรง นักท่องเที่ยวจะได้เห็นน้ำตกสวยงาม ภูเขาและต้นไม้เขียวขจี หากไปช่วงฤดูแล้ว น้ำตกจะมีปริมาณน้ำน้อยมาก

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสจากสถานีขนส่ง My Dinh ในฮานอยไปยังเมืองกาวบ่าง (Cao Bang) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง และต่อรถมินิบัสไปยังน้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน อีกประมาณ 2 ชั่วโมง

กิจกรรมแนะนำ:

ชมน้ำตกจากจุดชมวิว หรือล่องแพไม้ไผ่ในแอ่งน้ำที่ด้านล่างของน้ำตกเพื่อสัมผัสน้ำตกอย่างใกล้ชิดและเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังสามารถปีนเข่ขึ้นไปชมวิวน้ำตกแบบพาโนรามาได้อีกด้วย

4. จังหวัด นิญห์ บิ่ญห์ (Ninh Binh)

จังหวัด นิญห์ บิ่ญห์อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงฮานอย เป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่นว่าเป็น ‘ฮาลองเบย์บนบก’ ครอบคลุมพื้นที่ที่มีความงามตามธรรมชาติ ด้วยภูมิทัศน์ของแม่น้ำที่มีมนต์ขลัง มีภูเขาหินปูนสูงชันนับร้อยที่ปกตลุมไปด้วยป่าทึบ ทุ่งนาสีเขียวคดเคี้ยวไปตามแม่น้ำ Ngo Dong วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงนิญห์ บิ่ญห์คือการล่องเรือไปตามแม่น้ำ และปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่เป็นตำนาน ที่นี่เหมาะกับการใช้เวลาพักผ่อนในส่วนที่สวยและบริสุทธิ์ที่สุดของเวียดนาม เมืองนิญห์ บิ่ญห์เหมาะสำหรับทุกคนที่สนใจในธรรมชาติ มีสิ่งต่างๆ ให้สำรวจมากมาย เช่น ถ้ำโบราณ เจดีย์ที่สวยงาม เขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Van Long และอุทยานแห่งชาติ Cuc Phuong อุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนามที่มีเส้นทางเดินป่าที่ยอดเยี่ยม

Ninh Binh
ขอบคุณรูปภาพจาก : Đằng Nguyễn on Unsplash

ช่วงเวลาเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมนิญห์ บิ่ญห์คือตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนกรกฎาคม และตั้งแต่เดือนกันยายนถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรในท้องถิ่นเก็บเกี่ยวข้าว หากคุณมาในช่วงฤดูแล้ง (พฤศจิกายนถึงมีนาคม) การเก็บเกี่ยวข้าวจะสิ้นสุดลง ทำให้ทุ่งนามีสีเหลืองขุ่น แม้ว่าคุณจะไม่เห็นความเขียวขจีมากนัก แต่ทิวทัศน์ก็ยังน่าประทับใจ

วิธีการเดินทาง:

สามารถเดินทางไปเมือง นิญห์ บิ่ญห์ ได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงโดยรถยนต์ส่วนตัวจากฮานอย หรือประมาณ 3 ชั่วโมงจากอ่าวฮาลอง

5. จังหวัด ฮ่า ซาง (Ha Giang)

ฮ่า ซาง เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ถือเป็นจุดเหนือสุดของประเทศโดยมีพรมแดนร่วมกับมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีน จึงเป็นที่รู้จักในฐานะเขตแดนสุดท้ายของเวียดนาม คุณจะได้ดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของภูมิทัศน์และบรรยากาศของเมืองที่ห่างไกลและหมู่บ้านชนกลุ่มน้อย มีภูเขาเป็นป่า ถ้ำลึกลับ และหุบเขา Quan Ba ​​ที่มีจุดชมวิวที่เรียกว่า Quan Ba Pass หรือที่รู้จักกันในชื่อประตูสวรรค์ (Heaven’s Gate) ให้ทัศนียภาพตระการตาของนาขั้นบันได เนินเขา และแม่น้ำคดเคี้ยว

Ha Giang
ขอบคุณรูปภาพจาก : Minh Bách Trương on Unsplash

ช่วงเวลาเที่ยว:

ฮ่าซางเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่อุณหภูมิจะดีที่สุดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน และตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ฤดูแล้งทำให้เกิดสภาพอากาศหนาวเย็น ในขณะที่ฤดูร้อนจะมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

วิธีที่ง่ายที่สุดในการไปฮ่าซางคือการขับรถจากฮานอยประมาณ 6 ชั่วโมง หรือนั่งรถโดยสารแบบนอนจากฮานอยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง

6. ฮอยอัน (Hoi An)

ฮอยอัน (Hoi An) คือเมืองในจังหวัดกว๋างนาม (Quang Nam) เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็น ที่เที่ยวเวียดนาม ที่มีบรรยากาศและมีเสน่ห์ที่สุดของเวียดนาม มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่มากมาย คุณจะสนุกกับการสำรวจย่านเมืองเก่าที่เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งเวียดนาม จีน และญี่ปุ่น เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงพีคที่สุดของฮอยอันคือราวศตวรรษที่ 16-17 เพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานเต็มไปหมด นอกจากหลักๆ ที่เป็นคนจีน ญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังมีชาวดัตช์และอินเดียที่เข้ามาเยอะมาก

เมืองฮอยอันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 1999 เหมาะสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ย่านเมืองเก่ายังคงอนุรักษ์มรดกอันน่าทึ่งไว้ในสภาพเดิมได้อย่างดี ทั้งบ้านพ่อค้าญี่ปุ่น ตึกแถวสไตล์จีน อาคารยุคอาณานิคมฝรั่งเศส และโกดังชาโบราณ แถมยังทาสีสันสดใส ประดับตกแต่งด้วยโคมไฟกระดาษแบบเวียดนาม 

แม้ว่าร้านค้าเก่าหลายแห่งจะเปลี่ยนเป็นธุรกิจสมัยใหม่ เช่น ร้านตัดเสื้อ หอศิลป์ ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร แต่เมืองนี้ยังคงเสน่ห์และบรรยากาศที่ล้าสมัยไว้ ทุกคืนไฟฟ้าในเมืองเก่าจะถูกปิดและโคมไฟไหมแบบดั้งเดิมจะถูกแขวนไว้ที่หน้าร้านทุกแห่ง ตะเกียงหลากสีสว่างไสวไปตามถนนและส่องแสงระยิบระยับสุดโรแมนติกเหนือแม่น้ำทูโบน

Hoi An

ช่วงเวลาเที่ยว:

ช่วงที่ดีที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวฮอยอันคือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน คุณจะพบกับอุณหภูมิที่อุ่นสบายและมีฝนตกเล็กน้อย หากต้องการชมพระจันทร์เต็มดวงในช่วงเวลาที่สวยที่สุดแห่งปีควรไปช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม แต่ก็ต้องแลกกับอากาศที่ร้อนมาก

วิธีการเดินทาง:

วิธีที่ง่ายที่สุดในการไปถึงฮอยอันคือบินมาที่ดานัง ซึ่งอยู่ห่างจากฮอยอันเพียง 40 นาที แล้วเดินทางต่อด้วยรถไฟหรือรถยนต์ส่วนตัว

7. อุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่าง (Phong Nha-Ke Bang National Park)

อุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่างได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประกอบด้วยภูเขาหินปูนที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งมีอายุระหว่าง 400 ถึง 450 ล้านปี แม่น้ำใต้ดิน สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ถ้ำที่กว้างใหญ่ และป่าที่ยังไม่ถูกทำลาย คุณสามารถสนุกกับกิจกรรมมากมาย ทั้งการปีนเขา ปั่นจักรยาน พายเรือ หรือพักผ่อนในภูมิภาคที่งดงามและน่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม

ที่นี่เป็นที่ตั้งของถ้ำเซินด่อง (Hang Son Doong) ซึ่งถูกค้นพบในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และได้รับการยืนยันว่าเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2009 ถ้ำนี้มีความยาวกว่า 5 กิโลเมตร โดยมีส่วนสูง 200 เมตรและกว้าง 150 เมตร และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักเดินทางที่ชื่นชอบการผจญภัย 

Phong Nha-Ke Bang National Park

ช่วงเวลาเที่ยว:

เดือนที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่างคือระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายและมีฝนตกน้อย ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ก็ไม่มีฝนเช่นกัน แต่อากาศค่อนข้างเย็น เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ในขณะที่เดือนสิงหาคมและธันวาคมควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากฝนตกหนักและน้ำท่วม

วิธีเดินทาง:

คุณสามารถโดยสารเที่ยวบินภายในประเทศไปยังสนามบิน Dong Hoi จากนั้นนั่งรถต่อไปที่อุทยานเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ระยะทางประมาณ 50 กม.) นอกจากนี้คุณยังสามารถเช่ารถพร้อมคนขับได้จากทุกพื้นที่ในเมือง เช่น ฮานอย นิญห์บิญห์ อ่าวฮาลอง และฮอยอัน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงอุทยานค่อนข้างเข้มงวด (อุทยานยังเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด) อุทยานไม่อนุญาตให้นักท่องเที่นวเดินเขากันเอง คุณต้องไปกับบริษัททัวร์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

8. ดานัง (Da Nang)

ดานังเป็นอดีตหมู่บ้านชาวประมง เมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลาง ที่นี่เป็น ที่เที่ยวเวียดนาม ที่มีความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุดของเวียดนามกลาง เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หาดทรายขาวที่ขึ้นชื่อ วิวที่สวยงามของภูเขาหินอ่อน งานศิลปะผ้าไหมปัก สถานบันเทิงยามค่ำคืน สตรีทฟู้ด รวมถึงร้านอาหารทะเลสดและอร่อย ทำให้ดานังดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกไว้ได้

บรรยากาศของเมืองดานังคึกคักไปด้วยผู้คน เรือสินค้าที่จอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งน้ำ กับเรือประมงเล็กๆ ของชาวบ้านใช้ออกหาปลา ตลอดจนตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่สีสันสดใส นอกจากนี่ ยังมีหาดหมีเคว (My Khe) หาดทรายสีขาวที่สวยงามพร้อมกีฬาทางน้ำมากมาย หรือแวะเยี่ยมชมบานาฮิลส์ เมืองท่องเที่ยวที่เคยเป็นสถานที่ตากอากาศของชาวฝรั่งเศสมาตั้งแต่ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และกลับมาบูรณะเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกครั้งในปี ค.ศ.2009 พร้อมกระเช้าลอยฟ้า 5,801 เมตรที่ต้องใช้เวลาถึง 50 นาที นับว่าเป็นการนั่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย

คุณไม่ควรพลาดสะพานทองคำยาว 150 เมตรที่คุณจะได้เห็นมือหินยักษ์สองมือโผล่ออกมาจากภูเขาเพื่อประคองสะพานสีทอง สะพานแห่งนี้สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร ที่คุณจะได้ชมทิวทัศน์มุมกว้างของเมือง ตลอดจนภูมิทัศน์ธรรมชาติโดยรอบ

Da Nang

ช่วงเวลาเที่ยว:

สภาพอากาศในดานังจะดีที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าแจ่มใส เดือนที่ร้อนที่สุดคือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ในขณะที่ฤดูฝนจะมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนกันยายนถึงกุมภาพันธ์

วิธีเดินทาง:

คุณสามารถหาเที่ยวบินจากกรุงเทพไปลงที่สนามบินนานาชาติดานัง (DAD) หรือเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ดานังอยู่บนเส้นทางรถไฟสายหลักที่ให้บริการจากฮานอย เว้ และโฮจิมินห์ซิตี้ หรือใช้บริการรถโดยสารประจำทางหรือรถส่วนตัว

9. เกาะฟูโกว๊ก (Phu Quoc Island)

เกาะฟูก๊วกอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนใต้ของเวียดนามประมาณ 45 กิโลเมตร เป็นสวรรค์เขตร้อนที่มีหาดทรายสีขาวและน้ำทะเลเป็นประกาย ป่าเขียวชอุ่มและน้ำตกที่มีมนต์ขลัง ที่นี่เป็นเกาะเงียบสงบ และมีขนาดเล็กพอที่จะสำรวจชายหาดกว่าสิบแห่งได้ด้วยจักรยานหรือสกู๊ตเตอร์ ทางด้านตะวันตกของเกาะจะมีหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าคราม และชมวิวอันสวยงามตอนพระอาทิตย์ตกดิน 

นอกจากกิจกรรมการดำน้ำตื้น พายเรือคายัค และล่องเรือนี้ คุณยังสามารถเข้าไปในป่าเพื่อสำรวจเส้นทางเดินป่าและชมสัตว์ป่า หรือแวะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมืองดวงดง (Duong Dong) ที่มีชีวิตชีวามากมาย มีขายทั้งงานฝีมือและอาหารทะเลสด

Phu Quoc Island

ช่วงเวลาเที่ยว:

พฤศจิกายนถึงมีนาคมเป็นฤดูท่องเที่ยวของฟู้โกว๊ก โดยมีอากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสีคราม ตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายนยังเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเยี่ยมชมโดยมีนักท่องเที่ยวน้อยลงและป่าไม้ที่สวยงามหลังจากฝนตกหนักตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

วิธีเดินทาง:

เกาะฟูก๊วกสามารถเข้าถึงได้ด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ๆ เช่น ฮานอย โฮจิมินห์ และดานัง หรือบริการรับส่งส่วนตัวและเรือข้ามฟากความเร็วสูงไปยังเกาะ

10. ดาลัด (Da Lat)

ดาลัดเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนบนของประเทศเวียดนาม จุดเด่นคือเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงและถูกโอบล้อมไปด้วยทิวเขา ทะเลสาบ น้ำตก ป่าไม้ จึงทำให้ดาลัดเป็นเมืองที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 17 องศาเซลเซียสเท่านั้น และด้วยอากาศที่ดีและมีสภาพแวดล้อมที่สวยงามนี่เอง ดาลัดจึงได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิที่โรแมนติกที่สุดในเวียดนามใต้จนขึ้นชื่อว่าเป็น “ปารีสแห่งเวียดนาม”

คุณจะพบว่าดาลัดเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ซึ่งเต็มไปด้วยวิลล่าสไตล์อาณานิคมฝรั่งเศส รถม้า หอวิทยุรูปหอไอเฟล และหุบเขาแห่งความรักอันงดงาม ประดับประดาด้วยประติมากรรมรูปหัวใจ โดยรอบเมืองรายล้อมไปด้วยไร่กาแฟ สตรอเบอร์รี่ และดอกไม้ที่งดงาม อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญของดาลัดก็คือ Doha Cafe เป็น Cafe ที่มีลักษณะรูปทรงเหมือนดอก Atiso ซึ่งเป็นดอกไม้เมืองหนาวที่ปลูกในดาลัด อากาศที่เย็นกว่าและอากาศบนภูเขาที่มีหมอกปกคลุมทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง และคุณสามารถไปเดินป่า ปั่นจักรยานเสือภูเขา ล่องแก่ง และล่องแก่งบนเนินเขาโดยรอบ

Da Lat

ช่วงเวลาเที่ยว:

ดาลัดมีความสวยงามที่สุดระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงเบ่งบานเต็มที่ สภาพอากาศแห้งและมีแดดจัด และอุณหภูมิก็เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมผจญภัยกลางแจ้ง

วิธีเดินทาง:

คุณสามารถบินตรงจากกรุงเทพไปยังเมืองดาลัดได้ โดยใช้เวลาแค่ 1.45 ชม. หรือเดินทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากฮานอยหรือโฮจิมินห์ไปยังสนามบินเลียนเคือง (Lien Khuong) ซึ่งอยู่ห่างจากดาลัดไปทางใต้ 30 กิโลเมตร หรือนั่งรถโดยสารจากโฮจิมินห์ มุยเน่ หรือญาจาง

11. ญาจาง (Nha Trang)

เมืองญาจางอยู่บริเวณริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม อดีตเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรจามปามาก่อน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ก่อเกิดมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 2 และรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 9-10 โดยพื้นที่ของอาณาจักรจามปาจะครอบคลุมอยู่บริเวณเวียดนามกลางและเวียดนามใต้แถบแนวฝั่งทะเลจีนใต้ สิ่งที่บ่งบอกว่าญาจางเคยเป็นอาณาจักรเก่าแก่มาก่อนก็คือปราสาทโปนาคา (Po Nagar Cham Towers) มีลักษณะเป็นปราสาทที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบขอมและฮินดู สันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 7-12 เลยทีเดียว

ปัจจุบันญาจางเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ด้วยฉากหลังของภูเขาที่สวยงาม ชายหาดพระจันทร์เสี้ยวที่กว้างใหญ่และสวยสะอาดตา และอ่าวสีฟ้าครามที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวรองรับหลากหลายแบบทั้งที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ วัดวาอาราม รวมไปถึงสวนสนุกขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีค่าครองชีพไม่แพง ครบครันไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีสนามบินในเมืองใกล้ๆ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไมญาจางจึงเป็นรีสอร์ทริมชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวียดนาม

The towers of Po Nagar near Nha Trang in Vietnam

ช่วงเวลาเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมญาจางคือเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายและไม่ค่อยมีฝน ทัศนวิสัยในการดำน้ำก็ดีที่สุดเช่นกันในช่วงเดือนนี้ และผู้ชื่นชอบการดำน้ำจะหลงรักแหล่งปะการังที่อุดมสมบูรณ์ของทะเลในเมืองญาจาง

วิธีเดินทาง:

เมืองญาจางอยู่ใกล้ไทยเพียงนิดเดียว ถ้าหากเดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ก็จะใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ราว ๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติกามซัญ (Cam Ranh International Airport) ที่ห่างจากญาจางประมาณ 30 กิโลเมตร หากคุณไปเที่ยวเมืองอื่นด้วย คุณสามารถเดินทางไปญาจางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ๆ ในเวียดนาม เช่น ฮานอย โฮจิมินห์ และดานัง หรือเดินทางโดยรถไฟหรือรถยนต์ส่วนตัว

12. มุยเน่ (Mui Ne)

มุยเน่ เป็นเมืองทางชายฝั่งทะเลในจังหวัดบิ่ญถ่วน (Binh Thuan) ทางภาคกลางตอนใต้ของเวียดนาม และเป็นหนึ่งในเมืองพักตากอากาศยอดฮิตสำหรับชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ แหล่งรวมพิกัดคูลๆ ที่ไม่ต้องบินไปเที่ยวไกลๆ ถึงแม้จะไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะเท่าเมืองใหญ่ๆ แต่ที่เที่ยวธรรมชาติของที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้เมืองอื่น ใครที่วางแผนจะไปเที่ยวเวียดนาม จดมุยเน่ลงในลิสต์ รับรองไม่มีผิดหวัง

ไฮไลท์ของมุยเน่ก็คือเนินทราย (Sand Dunes) ที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนินทรายเป็นเกราะป้องกันพายุและการกัดเซาะชายหาด และเป็นที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ทำให้เกิดความหลากหลายทางธรรมชาติ เนินทรายที่มุยเน่มีทั้งหมด 18 เฉดสีด้วยกันค่ะ และเนินทรายที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่สุดคือทะเลทรายขาว (White Sand Dunes) ที่กินพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและสวยงามมากเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และเนินทรายแดง (Red Sand Dunes) ที่ประกอบด้วยเนินเขาสีทองแดงที่เปล่งประกายเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน 

นอกจากนี้สถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือลำธารนางฟ้า (Fairy Stream) ที่เกิดจากภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำและลม จนกลายเป็นร่องหินไล่เฉดสีเข้มอ่อนอย่างน่าอัศจรรย์ ยาว 20 เมตร และมีลำธารไหลผ่าน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเดินลุยน้ำไปตามลำธารค่ะ ดังนั้นต้องเตรียมชุดมาให้พร้อมนะคะ

Mui Ne

ช่วงเวลาเที่ยว:

มุยเน่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่วิเศษสุดในเวียดนาม คุณจะเพลิดเพลินไปกับสภาพอากาศที่สบายตลอดทั้งปี ถ้าต้องการเล่นเซิร์ฟและใช้เวลาที่ชายหาด ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายน

วิธีเดินทาง:

ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะเครื่องบินไปลงที่โฮจิมินห์ซิตี้ก่อน แล้วค่อยนั่งรถบัสเดินทางไปที่มุยเน่ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นอกจากนี้การเรียกแท็กซี่จากโฮจิมินห์ซิตี้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี แม้ราคาอาจจะแพงหน่อย แต่คุณสามารถจองแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังมุยเน่เวลาใดก็ได้ (ใช้เวลาขับรถ 4 ชั่วโมง) ถ้าจะเดินทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปมุยเน่ มีเที่ยวบินประมาณ 1 เที่ยวต่อวัน หรือเดินทางด้วยเรือเร็วจากโฮจิมินห์ซิตี้มี 2 เที่ยวต่อวัน คือรอบเช้าและรอบบ่าย หากคุณต้องการใช้เวลาบนเนินทรายมากขึ้น คุณสามารถพักในหมู่บ้านชาวประมงมุยเน่ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเรียงรายไปด้วยหาดทรายสีทองสวยงาม ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นว่าวและวินด์เซิร์ฟ

นักท่องเที่ยวที่ถือหนังสือเดินทางประเทศไทยสามารถเที่ยวเวียดนามได้นานถึง 30 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า (พาสปอร์ตต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน) และในปัจจุบันนี้การเดินทางเข้าประเทศเวียดนามก็ไม่ต้องใช้ผลตรวจโควิด-19 และเอกสารการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม แจ้งไว้ว่าคุณจะต้องมีประกันสุขภาพหรือประกันภัยการเดินทางที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มครองรวมถึงโควิด-19 ขั้นต่ำ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,500,000 บาท 

นอกจากเรื่องการเจ็บป่วยที่อาจทำให้คุณกังวลและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากระหว่างการเดินทางเที่ยวเวียดนามแล้ว อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ เกิดขึ้นที่ทำให้คุณต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : wayfairertravel.com, lonelyplanet.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

สิงคโปร์เป็นเมืองที่คึกคักเต็มไปด้วยตึกระฟ้าสมัยใหม่และสถาปัตยกรรมล้ำยุค เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความแตกต่างอันงดงาม คุณจะเห็นอาคารยุคอาณานิคมตั้งอยู่เคียงข้างห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัย หรือพื้นที่อันเขียวชอุ่มที่โอบล้อมด้วยความเป็นเมือง และนอกจากแกลเลอรีศิลปะสุดเก๋ ร้านอาหารระดับโลก และสถานที่ท่องเที่ยวสิงคโปร์สุดฮิต ที่โด่งดังระดับโลก หากคุณได้มาเที่ยวสิงคโปร์ เราแนะนำให้คุณลองออกไปสำรวจพื้นที่ต่างๆ ของสิงคโปร์ให้มากขึ้น คุณอาจจะได้พบ ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่เป็นร้านเก๋ๆ ตั้งอยู่ภายในสวนสวย สถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี รวมถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงาม Allianz Travel ได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในสิงคโปร์ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้จัก รอให้คุณได้ไปสำรวจความลับที่เก็บไว้อย่างดี และถ้าได้ไปเที่ยวสิงคโปร์ ก็ให้หาโอกาสไปเยี่ยมเยียนสถานที่เหล่านี้กัน

1. Johor Strait Lighthouse

หากคุณเดินทางไปยังด้านตะวันตกปลายสุดของเกาะสิงคโปร์ (Taus) ซึ่งเป็นบริเวณที่ทางหลวง Tuas Second Link เชื่อมระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซียที่เมืองยะโฮร์บาห์รูที่ปลายด้านใต้ของคาบสมุทรมาเลเซีย และบริเวณเชิงสะพานก็เป็นที่ตั้งของคลับราฟเฟิลส์
มารีน่า ซึ่งคุณจะได้เห็นประภาคารช่องแคบยะโฮร์ (Johor Strait Lighthouse) ซึ่งส่องสว่างให้กับเรือยอทช์เข้าและออกจากท่าจอดเรือ

Johor Strait Lighthouse

ประภาคารช่องแคบยะโฮร์ตั้งอยู่ที่ปลายเขื่อนกันคลื่นของคลับ สร้างขึ้นในปี 1994 สูง 12 เมตร และกระพริบทุกๆ 10 วินาทีด้วยลำแสงที่สูงถึง 15 เมตร ประภาคารแห่งนี้ดูแลโดยสโมสรและเป็นประภาคารแห่งเดียวที่ไม่ได้เป็นเจ้าของและดำเนินการโดยการท่าเรือทางทะเลของสิงคโปร์

บนทางเดินริมน้ำ คุณจะเพลิดเพลินกับวิวทะเล ทิวทัศน์ของสะพาน Tuas Second Link ยาวเกือบ 2 กม. ที่ทอดข้ามน้ำ ชื่นชมเรือยอทช์สุดหรูที่จอดอยู่ที่ท่าจอดเรือ และประภาคารตั้งตะหง่ายอยู่ปลายสุดทางเดิน  และหากคุณไปที่ประภาคารในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน
เป็นหนึ่งใน ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่คุณจะได้ชมทิวทัศน์ที่ชวนฝันและโรแมนติกมาก

ที่ตั้ง: 10 Tuas West Drive สิงคโปร์ 638404

เวลาทำการ: เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 8.00 น. – 22.00 น. (ในกรณีที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จะมีการจำกัดการเข้าถึงบริเวณเขื่อนกันคลื่น)

2. Yunnan Garden

สวนยูนนานตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของสิงคโปร์ เป็นอีกหนึ่งสถาน ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่น่าสนใจ โดยสวนยูนนานนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากสวนแบบจีนดั้งเดิมที่เขียวชอุ่มและมีภูมิทัศน์สวยงาม เริ่มต้นจากทางเดินริมทะเลที่ทะเลสาบนันยางซึ่งจะพาคุณข้ามทะเลสาบที่ใสสะอาด จุดเด่นคือน้ำตกสูง 5.6 เมตรที่อยู่ใจกลางสวนสาธารณะ มีจุดชมวิวบนที่สูงซึ่งคุณสามารถมองเห็นน้ำตกและบริเวณสวนสาธารณะได้อย่างชัดเจน แต่คุณยังสามารถเดินเข้าไปใกล้น้ำตกและพื้นที่ชุ่มน้ำได้อีกด้วย

Yunnan Garden

สวนสาธารณะยูนนานปัจจุบันมีต้นไม้ใหม่ 1,000 ต้นจาก 80 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่และเด็กในการสำรวจและเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ โดยสามารถเลือกเส้นทางเดินชมได้ถึง 19 เส้นทาง ตั้งแต่เส้นทางชมสวนสมุนไพร ไปจนถึงเส้นทางศิลปะและวรรณกรรม สำรวจพืช สมุนไพร และดอกไม้ต่างๆ ที่จัดแต่งตามประเภทของเส้นทาง แต่หากคุณต้องการเดินสบายๆ ไปรอบสวนสาธารณะอั คุณจะได้พบกับความเงียบสงบ และชมประติมากรรมหิน สระน้ำเล็กๆ และศาลาที่อยู่รอบสวน พร้อมกับแวะถ่ายรูปที่ซุ้มประตู Nantah ที่อยู่ตรงทางเข้าสวน

ที่ตั้ง: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง 12 Nanyang Drive,  Singapore 637721

การเดินทางโดยรถสาธารณะ: ขึ้น MRT สายสีเขียวไปที่สถานี Boon Lay หรือ Pioneer และต่อรถยบัสสาย 179 ไปลงตรงหน้าสวน
ยูนนานเลย

3. Jurong Eco Garden

จูล่ง อีโค่ การ์เดน ซ่อนตัวอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง เป็นสวนสาธารณะที่เป็นส่วนหนึ่งของ CleanTech Park ซึ่งเป็นพื้นที่กลางแจ้งสำหรับผู้ที่ทำงานในอาคารโดยรอบ

สวนสาธารณะแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 50 เฮกตาร์ โดยมีพื้นที่สีเขียวขนาด 5 เฮกตาร์อยู่ตรงกลาง ที่ออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนและระบบนิเวศวิทยาของพื้นที่ กลุ่มอาคารจัดให้ด้านหนึ่งหันเข้าหาเมือง และด้านหลังเป็นป่า ที่อนุรักษ์พื้นที่เชิงนิเวศที่มีอยู่เอาไว้ รวมทั้งทุ่งหญ้า ป่าไม้ และป่าพรุ มีการบันทึกชนิดของสัตว์ป่าที่มีอยู่และทางเดินของสัตว์ป่าตามธรรมชาติที่เชื่อมต่อพื้นที่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยสำหรับสัตว์เหล่านั้น 

Jurong Eco Garden

นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะวางอยู่รอบๆ สวนที่แสดงให้เห็นแนวคิดทางนิเวศวิทยา เช่น การนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ การทำปุ๋ยหมัก เป็นต้น เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองสีเขียว

สวนจูล่ง อีโค่ การ์เดน นำเสนอพื้นที่เปิดโล่งที่เขียวชอุ่ม มีเส้นทางที่สวยงามสำหรับเดินเล่นหรือวิ่งออกกำลังกาย จุดชมวิวบนยอดเขาสูง 23 เมตรเหนือพื้นดิน เพื่อชมทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของสวนสาธารณะทั้งหมด คุณสามารถออกกำลังกายด้วยการขึ้นบันได 58 ขั้นสู่จุดชมวิว ประติมากรรมที่สวยงามหลายแห่งตั้งกระจายอยู่ทั่วสวน ซึ่งช่วยเสริมความงามตามธรรมชาติของสวน

ที่ตั้ง: 1 Cleantech Loop, Western Water Catchment, Singapore

เวลาทำการ: จันทร์-อาทิตย์ 7.00 น. – 19.00 น.

4. The Mill

สิงคโปร์ขึ้นชื่อในด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงามน่าทึ่ง ตั้งแต่ Marina Bay Sand ที่มีชื่อเสียงระดับโลกไปจนถึงซูเปอร์ทรีล้ำยุคที่ Gardens by The Bay และ The Mil ก็เป็นอีกหนึ่งอาคารที่อยู่ในลิสต์ที่ไม่ควรพลาด

The Mill
ขอบคุณรูปภาพจาก : The Mill

The Mill เป็นอาคารสีดำที่ด้านหน้าอาคารดูเหมือนตึก LexCorp สำนักงานใหญ่ของศัตรูตัวฉกาจของซูเปอร์แมน ด้านในยังมีร้านกาแฟกว้างขวางสำหรับจิบกาแฟ และระเบียงสวนอันเงียบสงบบนชั้นที่ 6 ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินกับอากาศบริสุทธิ์และทิวทัศน์
ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการนอนหรืออ่านหนังสือบนม้านั่งไม้สำหรับนั่งเล่นพักผ่อน The Mill ทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองสไตล์วินเทจของยุโรป 

ไม่ว่าคุณจะกำลังมองสถานที่นั่งเล่นพักผ่อนในบรรยากาศแบบมินิยุโรปในสิงคโปร์ หรือหาจุดถ่ายภาพเก๋ๆ กับสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาคาร The Mill ที่เก๋ทั้งภายนอกและการตกแต่งภายในที่สวยงามช่วยให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม

ที่ตั้ง: No. 5 Jalan Kilang, Singapore 159405

5. Clementi Forest

Clementi Forest คือพื้นที่สีเขียวที่เป็น ที่เที่ยวสิงคโปร์ อีกแห่งที่มีเนื้อที่ประมาณ 85 เฮกตาร์ใจกลางย่านที่อยู่อาศัยทางทิศตะวันตก เส้นทางเดินป่าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และพงหญ้ารกสูงท่วมหัว พื้นดินเป็นโคลนที่จะทำให้รองเท้าเดินป่าของคุณสกปรก แม่น้ำ 2 สายไหลผ่านที่ริมตลิ่งเป็นพื้นดินโคลนและหญ้ารก ด้านบนมีนกหลากหลายสายพันธุ์ที่บินวนเวียนอยู่รอบตัวคุณ เกือบจะรู้สึกเหมือนอยู่ใน
จูราสสิคพาร์ค

Clementi Forest
ขอบคุณรูปภาพจาก : Steve Pham on Unsplash

หากคุณจะไปเดินป่าใน Clementi Forest ให้เผื่อเวลาไว้สักหนึ่งหรือสองชั่วโมงเพื่อสำรวจ ควรเตรียมรองเท้าเดินป่าดีๆ นำน้ำ ขนม ยากันแมลง ครีมกันแดด รองเท้าและเสื้อผ้าที่เหมาะสมมาด้วย ป่า Clementi Forest ไม่มีเส้นทางลาดยางหรือทางซีเมนต์ ไม่มีทางเข้าที่เป็นทางการ ต้องหาเส้นทางที่นำไปสู่ป่าเอง พื้นดินค่อนข้างเป็นโคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝนตกในคืนก่อนหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย นอกจากนี้ทางเดินก็ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้นคุณจะต้องหาทางของคุณเอง คุณอาจเจอรางรถไฟร้าง สัตว์ป่า ลำธารเขียวชอุ่มที่คดเคี้ยวผ่านป่า หรือแม้แต่น้ำตกที่ลดหลั่นกันโดยฝีมือมนุษย์ คุณควรไปกับเพื่อนร่วมทางอย่างน้อยหนึ่งคน
หลังพระอาทิตย์จะตกดิน ป่าจะมืดสนิท และไม่มีแสงไฟ ดังนั้นควรระมัดระวังและอย่าเข้าไปในป่าในตอนเย็น

ตามรายงานของ Nature Society Singapore (NSS) ป่านี้เป็นที่อยู่ของกลุ่มพืชที่มีท่อลำเลียงถึง 98 สายพันธุ์ รวมถึงกล้วยไม้ดินหายากที่ชื่อ Dienia Ophrydis อีกด้วย

ที่ตั้ง: Clementi Forest Singapore

การเดินทาง: นั่ง MRT ไปต่อสาย Downtown Line และเมื่อคุณอยู่บนสาย Downtown แล้ว ก็ให้ไปลงที่สถานี King Albert Park (DT6)

6. Bollywood Veggies

ฟาร์มบอลลีวูดเวจจีส์ (Bollywood Veggies) เป็นฟาร์มออร์แกนิกที่ใช้แนวปฏิบัติทางการเกษตรแบบยั่งยืนเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์สดใหม่ที่ปราศจากยาฆ่าแมลงและสารเคมี ครอบคลุมพื้นที่ 10 เอเคอร์ ตั้งอยู่ในเมือง Kranji บนเกาะสิงคโปร์ ที่นี่ปลูกพืชมากกว่า 100 สายพันธุ์ และเป็นผู้จัดจำหน่ายกล้วยรายใหญ่ที่สุดของประเทศ เหมาะสำหรับการพักผ่อนและผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สมบูรณ์แบบจากความพลุกพล่านของป่าในเมือง

Bollywood Veggies
ขอบคุณรูปภาพจาก : Facebook Bollywood Veggies

การเดินทางไปฟาร์มบอลลีวูดเวจจีส์ก็นับว่าเป็นการผจญภัยไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะเราต้องเดินทางผ่านชนบทของสิงคโปร์ที่คุณอาจรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ในประเทศสิงคโปร์ ทัวร์ฟาร์มบอลลีวูดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเที่ยวชมที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จะมีผู้นำชมพาเดินดูผัก เครื่องเทศ ผลไม้ พืชสมุนไพรต่างๆ ที่เติบโตอยู่ในฟาร์ม คุณจะได้รับประสบการณ์แบบองค์รวมในการได้สัมผัส
ดมกลิ่น และลิ้มรสพืชที่น่าสนใจเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ทั้งสนุกและให้ความรู้ ที่คุณสามารถมีส่วนร่วมได้ อย่างเช่น เรียนการปลูกสมุนไพร การทำงานศิลปะจากวัสดุรีไซเคิล เรียนรู้การปลูกข้าว เรียนการทำอาหารจากผักและผลไม้ในฟาร์ม

เมื่อคุณเดินเที่ยวจนทั่วแล้ว คุณอาจคลายร้อนด้วยชามะเดื่อหรือชาตะไคร้ที่ทำมาจากผลผลิตในฟาร์ม เราขอแนะนำให้ทานขนมที่ทำจากกล้วยในฟาร์ม เลือกซื้อของที่ร้านขายของที่มีกล้วย เห็ด และผักท้องถิ่นนานาชนิดจากฟาร์ม ก่อนที่คุณจะเดินทางกลับสู่เมืองสิงคโปร์อีกครั้ง

ที่ตั้ง: 100 Neo Tiew Road, Kranji, Singapore 

วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT จากสถานี Woodlands ไปสถานี Kranji และนั่งรถชัทเทิลบัสจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Kranji มาที่ฟาร์ม ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ค่ารถ 3 เหรียญสิงคโปร์ต่อเที่ยว และรถบัสจอดที่ฟาร์มอื่นสองสามแห่งระหว่างทาง

เวลาทำการ:

วันพุธ – วันศุกร์: 7:00-17:30 น.

วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์: 7:00-18:30 น.

วันจันทร์ – วันอังคาร: ปิดทำการยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์

ค่าเข้าสถานที่: ผู้ใหญ่ (12-60 ปี): 2 เหรียญสิงคโปร์

7. Hampstead Wetlands Park

สวน Hampstead Wetlands ขนาด 3 เฮกตาร์แห่งนี้เป็นโอเอซิสที่เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด เป็นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพืชและสัตว์นานาชนิด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนอย่างเงียบสงบด้วยการเดินเล่นรอบสวน และแม้จะอยู่ใกล้กับสนามบิน แต่ก็มีนกจำนวนมากแม้กระทั่งนกอพยพที่เห็นได้ในพื้นที่ จนเป็นจุดที่คนนิยมมาดูนกอีกแห่งหนึ่ง คุณสามารถเดินเล่นริมทะเลเพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามของสระน้ำ พกกล้องหรือกล้องส่องทางไกลมาดูนกหายาก

Hampstead Wetlands Park

สวนแห่งนี้มีทิวทัศน์อันเงียบสงบของสนามบิน Selator เป็นแบ็คกราวด์ ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นนักบินฝึกหัดนำเครื่องบินของพวกเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า หากคุณอยากมาสูดอากาศบริสุทธิ์และชื่นชมความงามที่เขียวชอุ่มรอบตัวเรา 

Hampstead Wetlands Park with Lotus and Bird

ที่ตั้ง: 1 Baker Street, Singapore 799977

การเดินทาง: นั่งรถประจำทางหมายเลข 102, 103 และ 117 และลงที่ Seletar Aerospace Dr ก่อนถึง Baker Street (ป้ายรถเมล์: 68099) หรือหลัง Baker Street (ป้ายรถเมล์: 68091) MRT ที่ใกล้ที่สุดคือสถานี MRT Punggol หรือสถานี Sengkang จากนั้นขึ้นรถบัสหมายเลข 117/102 และลงที่ถนน Bef Baker

8. Japanese Cemetery Park

สวนสุสานญี่ปุ่น (Japanese Cemetery Park) ตั้งอยู่ในย่านที่พักอาศัยอันเงียบสงบในเขตโหวกัง (Hougang) เป็นสุสานญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กินอาณาเขตกว้างขวางถึง 30,000 ตารางเมตรแห่งนี้ มีหลุมศพจำนวนกว่า 1,000 หลุมศพ
ซึ่งฝังร่างพลเรือนญี่ปุ่นและยังเป็นที่เก็บอัฐิของทหารบก นาวิกโยธิน และทหารอากาศญี่ปุ่นที่จบชีวิตลงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงอัฐิของอาชญากรสงครามชาวญี่ปุ่น ซึ่งถูกประหารชีวิตที่ Changi Prison (เรือนจำชางงี) นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงปี ค.ศ. 1947 และได้รับการประกาศเป็นอนุสรณ์สถานในปี ค.ศ. 1987 โดยมีสมาคมชาวญี่ปุ่นแห่งสิงคโปร์ (Japanese Association of Singapore) เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการและบำรุงรักษาสถานที่แห่งนี้

Japanese Cemetery Park

ถ้าคุณอยากได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่น ให้แวะมาที่นี่ในช่วงเทศกาลดอกไม้และตื่นตาตื่นใจไปกับซุ้มดอกไม้สีชมพูชวนให้นึกถึงฤดูซากุระในญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามหากคุณแวะมาเที่ยวและโพสต์ท่าเพื่อลง Instagram หรือโซเชียลมีเดียอื่น ก็อย่าลืมให้ความเคารพหลุมฝังศพและสถานที่ด้วยค่ะ

ที่อยู่: 825B Chuan Hoe Avenue, Singapore 549853

เวลาทำการ: ตลอดทั้งวัน

9. CapitaSpring Sky Garden & Green Oasis

หากคุณต้องการพักผ่อนและเพลิดเพลินกับการชมทัศนียภาพของเกาะสิงคโปร์ อาคาร CapitaSpring สูง 280 เมตรตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ที่ไม่เพียงแต่ให้คุณเข้าไปเยี่ยมชมเพื่อชมทิวทัศน์ที่งดงามของเมือง ยังเปิดให้คุณได้เข้าชมได้ฟรีอีกด้วย

จุดแรกที่คุณควรขึ้นไปคือสวนลอยฟ้า Sky Garden บนชั้น 51 ของอาคาร ประกอบด้วยสวนดาดฟ้าและหอชมวิวที่สูงที่สุดในสิงคโปร์ ดังนั้นคุณแน่ใจได้เลยว่าคุณจะได้ชมวิวที่สวยงามอย่างแน่นอน ช่วงเวลานาทีทองที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพคือช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน หรือช่วงเวลากลางคืนที่คุณจะได้เห็นวิวเส้นขอบฟ้าของสิงคโปร์อันงดงาม ที่นี่เป็นจุดแฮงเอาท์ที่เหมาะกับการร่วมกลุ่มกับเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งการออกเดท!

CapitaSpring Sky Garden
ขอบคุณรูปภาพจาก : avenuueone.sg

อีกจุดที่คุณสามารถไปในเยี่ยมชมได้นี้คือกรีนโอเอซิส (Green Oasis) ทางเดินชมสวนที่วนเป็นรูปวงกลมจากชั้น 17 ไปจนถึงชั้น 20 ตลอดทางตกแต่งด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มกว่า 38,000 ชนิดจากกว่า 70 สายพันธุ์ บริเวณนี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าสวนดาดฟ้า Sky Garden โดยมีพื้นที่พักผ่อนและพื้นที่ทำงานที่กว้างขวาง ถ้าคุณต้องการทำงานที่นี่แทนที่พื้นที่ขนาดเล็กในสำนักงานของคุณ

Green Oasis
ขอบคุณรูปภาพจาก : avenuueone.sg

นอกจากวิวที่สวยงามแล้ว CapitaSpring ยังมีร้านอาหารมากมายให้แวะเยี่ยมชม หรือจะทานอาหารที่ศูนย์อาหาร Market Street ซึ่งอยู่ภายในอาคารเช่นกัน และมีร้านอาหารให้เลือกถึง 56 ร้าน

ที่อยู่: 88 Market Street, Singapore 048948

เวลาทำการของกรีนโอเอซิส

วันจันทร์ – วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ชั้น 17: 7.30 – 22.30 น.

ชั้น 18 – 20: 7.30 – 18.00 น.

เวลาทำการของสวนลอยฟ้า

วันจันทร์ – วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ชั้น 51: 7.30 น. – 22.30 น.

วิธีเดินทาง: หากเดินทางมาด้วย MRT ให้ออกจากสถานี Raffles Place ทางออก A และเลี้ยวซ้ายเมื่อถึงชั้นพื้นดิน มุ่งหน้าไปตามถนนมะละกา เดินตรงไปที่อาคาร CapitaSpring คุณจะเห็นลิฟต์สองตัวที่มุ่งหน้าไปยัง Green Oasis และ Sky Garden

10. Marina East Breakwater

เมื่อพูดถึงแนวสันเขื่อนอาจฟังดูธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่แนวเขื่อนกันคลื่นที่ Marina East เป็นโครงสร้างที่ทำจากหินและคอนกรีตกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนมาอย่างมากมายเพื่อมานั่งชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

Marina East Breakwater
ขอบคุณรูปภาพจาก : Instagram @mamonn

เขื่อนกันคลื่นถูกสร้างให้ยื่นออกไปในทะเลเพื่อป้องกันแนวชายฝั่ถูกกัดเซาะจากคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง เลยกลายเป็นพื้นที่เปิดดล่งที่ผู้คนสามารถชื่นชมทัศนียภาพท้องน้ำของช่องแคบสิงคโปร์ที่เป็นประกายระยิบระยับ นอกจากนี้เมื่อมองกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมในการชมสถาปัตยกรรมที่เรียงรายไปตามแนวเส้นขอบฟ้าของอ่าวมารีน่า อย่างเช่น อาคาร Marina Bay Sands และอาคารอื่นๆ

คุณสามารถเดินหรือขี่จักรยานไปยังเขื่อนกันคลื่น Marina East โดยสถานี MRT ที่ใกล้ที่สุดคือ Bayfront ทางออก C จากนั้นให้เดินไปยัง Bay East Garden เดินข้ามเขื่อนเขื่อนมารีน่า และคุณจะเห็นจุดหมายปลายทางห่างออกไปทางขวาเพียงไม่กี่เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที

ที่นี่จะมีคนมากันเยอะจนค่อนข้างแออัดในช่วงเย็น เป็นจุดปิกนิกยอดนิยมสำหรับวัยรุ่น และคนที่มาออกเดทกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ดังนั้นเวลาที่ดีที่สุดที่จะแวะมาคือช่วงกลางวัน

ที่ตั้ง: Marina East Dr, Singapore

สิงคโปร์เต็มไปด้วยความลับที่อาจทำให้เราประหลาดใจรอให้เราได้ไปสำรวจ หากคุณไปเที่ยวสิงคโปร์ และได้แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ให้เจาะลึกและค้นหากิจกรรมทางเลือกอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งเราหวังว่าจะช่วยให้คุณเห็นเสน่ห์ของเกาะสิงคโปร์จากมุมมองที่ต่างออกไป

วางแผนเที่ยวสิงคโปร์ทั้งที อย่าลืมลิสต์สิ่งของและเอกสารที่จำเป็นจำหรับการเดินทาง และสิ่งสำคัญที่จะช่วยใหคุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมีประกันภัยการเดินทางติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้
ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : timeout.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา

หลายคนกำลังวางแผนเที่ยวอเมริกา โดยมีจุดหมายปลายทาง ที่เที่ยวอเมริกา เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามและน่าทึ่ง (สามารถดูรายละเอียดอุทยานแห่งชาติที่สวยจนต้องไปสัมผัส ได้จากบทความนี้ค่ะ : 5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส) แต่ก็อาจต้องมานั่งกังวลกับอุปสรรคที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าเดินทางไปยังอุทยาน ที่พัก อาหาร อุปกรณ์ ค่าเข้าอุทยาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งหมดอาจเป็นปัญหาที่แท้จริงสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด  Allianz Travel ขอแบ่งปัน 10 เคล็ดลับในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในอเมริกาในราคาประหยัด เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ประหยัดเงินในการเดินทางท่องเที่ยวและสนุกกับทริปเที่ยวอเมริกากันได้อย่างเต็มที่

1. เดินทางในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือช่วงต้นของฤดูท่องเที่ยว

ฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับอุทยานแห่งชาติอเมริกาคือช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเดินทางไปเที่ยวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมธรรมชาติอันสวยงาม แต่นั่นหมายถึงห้องพักและที่ตั้งแคมป์จะเต็มอย่างรวดเร็ว และมีราคาแพง หากเพื่อนๆ ที่ต้องการประหยัดเงินและหลีกเลี่ยงฝูงชน การเดินทางช่วงนอกฤดกาลจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลงและห้องว่างที่มากขึ้น ทำให้เราเพลิดเพลินไปกับความสงบของธรรมชาติ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน เช่น สภาพอากาศที่เย็น หรือมีการปิดเส้นทางและน้ำตกบางแห่งเนื่องจากมีหิมะตก

ที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติในอเมริกา

ดังนั้นจึงควรศึกษาสภาพตามฤดูกาลเพื่อป้องกันเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เสียเวลาและเสียเงินมากยิ่งขึ้น และพึงระลึกไว้ว่าอุทยานบางแห่งมีฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากที่อื่น อุทยานที่อยู่ในเขตที่มีอากาศอบอุ่น อย่างเช่น Death Valley และ Everglades จะคึกคักที่สุดในฤดูหนาว

2. ซื้อบัตรเข้าชมอุทยานแห่งชาติรายปี หรือบัตร America the Beautiful

บัตร America the Beautiful เป็นบัตรผ่านสำหรับเที่ยวพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่อนุรักษ์ และสถานพักผ่อนหย่อนใจของรัฐบาลกลางกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในระยะเวลา 1 ปี

America The Beautiful Card - Annual Pass

บัตรผ่านใบนี้มีราคา 80 เหรียญสหรัฐ ใช้ได้กับผู้ถือบัตรและแขกที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน และสามารถลงลายมือชื่อเป็นเจ้าของบัตรได้ 2 คน ซึ่งแปลว่ายืมกันใช้ได้! เราสามารถซื้อบัตรผ่านได้ที่ด่านทางเข้าอุทยานทุกแห่ง โดยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าต้องการซื้อบัตร America the Beautiful และสามารถจ่ายเงินได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต เจ้าหน้าที่จะเจาะหลังบัตรเพื่อระบุวันที่ซื้อบัตร และให้เราเซ็นหลังบัตรเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของบัตร

ตามปกติค่าเข้าอุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30 เหรียญต่อรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นหากวางแผนที่จะเยี่ยมชมอุทยานมากกว่า 4 ครั้ง บัตรผ่านนี้จะคุ้มค่าและประหยัดเงินเป็นอย่างมาก!

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรรายปีและบัตรประเภทอื่นๆ ที่นี่

3. ลองกางเต็นท์แทนที่จะอยู่โรงแรมในอุทยานแห่งชาติ

หากวางแผนที่จะพักค้างคืนในอุทยานแห่งชาติ การกางเต๊นท์เป็นตัวเลือกที่ดีและถูกที่สุด เพราะพื้นที่ตั้งแคมป์ในอุทยานแห่งชาตินั้นมีราคาไม่แพงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับที่พักภายในอุทยาน ส่วนใหญ่ค่าเช่าพื้นที่จะมีตั้งแต่ 18 ถึง 35 เหรียญ ขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ และเมื่อเทียบราคากับโรงแรมในอุทยานแห่งชาติซึ่งอาจมีราคาหลายร้อยดอลลาร์

camping in national park

แต่พื้นที่ตั้งแคมป์มักเต็มในช่วงฤดูท่องเที่ยว คุณควรจองสถานที่ทางออนไลน์ล่วงหน้า โดยเฉพาะถ้าจะไปอุทยานแห่งชาติที่เป็นที่นิยม และถ้าอยากให้ประหยัดมากยิ่งขึ้น อุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีพื้นที่สาธารณะที่สามารถกางเต็นท์ได้ฟรี (แต่อาจไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ หรือห้องอาบน้ำ) หากคุณเลือกที่จะตั้งแคมป์ในที่สาธารณะ คุณต้องปฏิบัติตามกฎ Leave No Trace หรือการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และเรียนรู้วิธีขุดหลุมเข้าส้วมกลางป่าไว้ด้วย

campsites

หากคุณต้องการพักในโรงแรม หรือตัวเลือกอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับงบประมาณ อยากเช่น เลือกจองที่ตั้งแคมป์ของเอกชนในบริเวณใกล้เคียง โมเต็ลราคาไม่แพงที่อยู่นอกอุทยานแห่งชาติหลายแห่งรองรับนักท่องเที่ยว เป็นต้น

4. หาเช่าหรือซื้ออุปกรณ์ตั้งแคมป์มือสอง

หากคุณยังไม่เคยเดินป่าหรือตั้งแคมป์ ก็ยังไม่ควรที่จะใช้เงินจำนวนมากไปกับอุปกรณ์ใหม่ๆ อย่างเช่น กระเป๋าเป้ ไฟ เต็นท์ เตา และอื่นๆ สำหรับการเดินทางไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเป็นครั้งแรก ทางที่ดีและประหยัดก็คือหาซื้ออุปกรณ์มือสองหรือจะเป็นการเช่าก็ได้ ตรวจสอบร้านค้าและเว็บไซต์มือสอง เช่น Craigslist, Amazon และ eBay หรือโพสต์คำขอบน Freecycle เพื่อค้นหาผู้คนที่นำอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมเดินป่าที่ไม่ต้องการใช้แล้วมาแจกให้ฟรี มีหลายคนที่ลองมาตั้งแคมป์ และพบว่าพวกเขาไม่คุ้นชินกับความไม่สะดวกสบายในการนอนเต็นท์ และการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้อย่างไม่ระมัดระวังเป็นวิธีง่ายๆ ในการประหยัดเงิน

Camping Equipment - Second Hand

บางครั้งการตั้งแคมป์จะต้องลงทุนในอุปกรณ์การตั้งแคมป์ เช่น เต็นท์และถุงนอน เคล็ดลับที่ดีคือการหยิบยืมอุปกรณ์สำหรับการเดินทางจากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว หรือมองหาอุปกรณ์ตั้งแคมป์ลดราคาตามเว็บไซต์หรืองานแฟร์ต่างๆ

5. เตรียมอาหารไปทำทานเอง

การทำอาหารเองเพื่อนำไปรับประทานระหว่างวันในอุทยานแห่งชาติช่วยประหยัดเงินได้มาก โดยเฉพาะหากเดินทางกันเป็นครอบครัว สถานที่ตั้งแคมป์ส่วนใหญ่จะมีเตาปิ้งย่างที่สามารถปรุงอาหารได้

Cooking when camping

และหากวันนั้นมีแผนที่จะไปเดินเขาหรือปีนเขา การเตรียมแซนวิชไว้ล่วงหน้านั้นเหมาะสำหรับการรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทิวทัศน์ที่สวยงาม เพราะราคาอาหารในร้านค้าที่ตั้งอยู่ในอุทยานมักจะมีราคาแพงกว่าร้านอาหารในเมืองใกล้เคียง นอกจากจะประหยัดเงินค่าอาหารแล้ว ยังสร้างความทรงจำที่ดีรอบกองไฟในช่วงมื้อเย็นอีกด้วย

Camping Cooking

6. เตรียมของใช้ให้พร้อมก่อนเดินทาง

อุทยานแห่งชาติหลายแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ของแทบทุกอย่างมีราคาสูงกว่าละแวกในเมือง ดังนั้นควรเตรียมซื้อของใช้จำเป็นให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปยังอุทยาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองเพื่อซื้อครีมกันแดด แบตเตอรี่ สเปรย์กันแมลง อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และสิ่งจำเป็นอื่นๆ

Camping Equipment

นอกจากนี้อาหารในบริเวณอุทยานยังมีราคาแพงกว่าและบางครั้งก็หาซื้อได้ยาก ดังนั้นควรเตรียมของว่าง เครื่องดื่ม และแม้แต่อาหารมาด้วย เพียงต้องแน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของอุทยานสำหรับการจัดเก็บอาหารและการกำจัดของเสีย ไม่มีใครอยากให้หมีเปิดตะกร้าปิกนิกของคุณอย่างแน่นอน

7. เลือกเดินทางในวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรี

คุณรู้หรือไม่ว่าอุทยานแห่งชาติอเมริกาจะมีวันที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าในแต่ละปี ซึ่งรวมถึงการเข้าอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ โบราณสถาน และวนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ รวมกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ วันเข้าฟรีเป็นโอกาสที่ดีในไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป หรือไปที่ที่เราชื่นชอบและอยากไปอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทยานแห่งชาติที่มีการเก็บค่าเข้า การยกเว้นค่าเข้าไม่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกหรือค่าธรรมเนียมสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น การตั้งแคมป์ การปล่อยเรือ ค่าล่องเรือ ค่าเดินทาง หรือทัวร์พิเศษของแต่ละสถานที่

Choose date for planning to travel

ทั้งนี้ การเข้าฟรีก็จะหมายถึงผู้คนจำนวนมาก การจราจรที่คับคั่ง และพื้นที่ส่วนกลางก็อาจเต็มไปด้วยผู้คนอีกด้วย

ตัวอย่างวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรีสำหรับปี พ.ศ. 2565:

17 มกราคม วันเกิดมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

16 เมษายน: วันแรกของสัปดาห์อุทยานแห่งชาติ

4 สิงหาคม: วันครบรอบการออกกฎหมาย Great American Outdoors Act

24 กันยายน วันพื้นที่สาธารณะแห่งชาติ (National Public Lands Day)

11 พฤศจิกายน: วันทหารผ่านศึก

เช็ควันเข้าฟรีอุทยานแห่งชาติก่อนวางแผนการเดินทางได้ที่นี่

8. อย่าพลาดโอกาสในการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน

สิ่งแรกที่คุณควรทำหลังจากเข้าไปในอุทยานคือไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากบางครั้งเส้นทางต่างๆ ในอุทยานมักถูกปิดด้วยเหตุผลด้านการบำรุงรักษาหรือความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาได้ด้วยการบอกคุณว่าพื้นที่ใดหรือเส้นทางใดที่ปิดในวันนั้น

เจ้าหน้าที่อุทยาน

คุณไม่จำเป็นต้องขับรถหนึ่งชั่วโมงไปยังจุดหมายปลายทางเพียงเพื่อที่จะเห็นว่ามันปิด เจ้าหน้าที่ยังช่วยให้คำปรึกษาในสิ่งที่คุณสนใจได้ อย่างเช่น แนะนำเส้นทางเดินเขาไปยังจุดชมวิวที่ดีที่สุด เป็นต้น นี่คือคำแนะนำที่คุณจะได้รับโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

9. มองหาที่เที่ยวในอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (National Monument)

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียง เช่น เยลโลว์สโตน โยเซมิตี แกรนด์แคนยอน และเกลเชอร์ แต่ไม่คุ้นเคยกับอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่อาจจะเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับงบประมาณของคุณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติหลายแห่งมีภูมิประเทศที่สวยงามน่าประทับใจ รวมถึงมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ที่อยู่อาศัยบนหน้าผาของชนพื้นเมือง และลักษณะที่น่าสนใจอื่นๆ

Lincoln Memorial

อกจากนี้คุณจะเห็นผู้คนจำนวนครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าที่คุณพบในอุทยานแห่งชาติ มีค่าเข้าที่ถูกกว่า (หรือไม่มีเลย) และที่ตั้งแคมป์ฟรีหรือไม่แพง อย่างเช่น อนุสรณ์สถานวอชิงตันและลินคอล์นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (ฟรี) หรือ Natural Bridges ในรัฐยูทาห์ ที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน (ค่าเข้า 20 เหรียญต่อคัน) Castillo de San Marcos ในเมืองเซนต์ออกัสติน รัฐฟลอริด้า (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไป) หรือ Fort McHenry ในบัลติมอร์ (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่) สถานที่เหล่านี้ก็มีจุดน่าสนใจให้สำรวจหลายร้อยแห่ง ดังนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องไปหาจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สุด (ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้คนแออัดและราคาแพงที่สุด)

ค้นหาอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ตามรัฐต่างๆ ได้ที่นี่

10. เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติที่ไม่เก็บค่าเข้า

อุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาทำให้เราได้เข้าถึงความงามทางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุดที่เราจะพบได้ทุกที่ อุทยานแห่งชาติหลายแห่งเรียกเก็บค่าเข้าชมเพื่อช่วยจ่ายค่าบำรุงรักษาพื้นฐานและเงินเดือนพนักงาน (ยกเว้นบางวันที่เปิดให้เข้าฟรีเป็นพิเศษ เช็คที่นี่)

แต่ถ้าคุณเดินทางแบบประหยัด ยังมีบางแห่งที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าแม้แต่บาทเดียว นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในราคาประหยัด! ลองดูลิสต์ที่ Allianz Travel เอามาให้ดูดังต่อไปนี้

(1) Redwood National Park รัฐแคลิฟอร์เนีย

Redwood National Park

(2) New River Gorge National Park รัฐเวสต์เวอจิเนีย

(3) Biscayne National Park รัฐฟลอริดา

(4) Great Basin National Park รัฐเนวาดา

Great Basin National Park
ขอบคุณรูปภาพจาก : Visit The USA

(5) Congaree National Park รัฐเซาธ์แคโรไลนา

(6) Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

Kenai Fjords National Park
Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

(7) Great Smoky Mountains National Park รัฐนอร์ธแคโรไลนา และรัฐเทนเนสซี่

(8) Cuyahoga Valley National Park รัฐโอไฮโอ

(9) North Cascades National Park รัฐวอชิงตัน

วัตถุประสงค์ของการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติคือการออกไปสัมผัสธรรมชาติกลางแจ้งและเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางไปยัง ที่เที่ยวอเมริกา ในสถานที่ต่างๆ เราควรต้องค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว/ที่ตั้งแคมป์/เส้นทางยอดนิยมที่สุด รู้ล่วงหน้าดีกว่าผิดหวังเมื่อไปถึง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางของคุณเมื่อคุณไปถึงที่นั่น เพื่อให้การผจญภัยในอุทยานแห่งชาติของเราสนุก คุ้มค่า และราคาไม่แพง

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวลอีกอย่างหนึ่งก็คือประกันการเดินทาง เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น อย่าให้เงินที่เราตั้งใจจะประหยัดในการเดินทาง ต้องมาจ่ายให้กับเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดดังกล่าว

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้* ประกันการเดินทาง Dance Moves มีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : nps.gov, bearfoottheory.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

อเมริกาเป็นประเทศขนาดใหญ่ ที่นอกจากเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวที่มีสถานที่สวยงามมากมาย ที่รอให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ไปสัมผัส ถึงแม้จะใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 20 ชั่วโมง (หรือมากกว่า) แต่ถ้าได้ไปถึงแล้วก็นับว่าคุ้มค่ากับการนั่งเครื่องบินมากๆ ค่ะ ทุก ที่เที่ยวอเมริกา เราจะได้พบกับความหลากหลายของสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ถนนสายชอปปิ้งในมหานครใหญ่ แลนด์มาร์คสุดปังที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และอื่นๆ อีกมากมาย วันนี้ Allianz Travel จะพาสายธรรมชาติไปเที่ยวอเมริกา ผ่าน 5 อุทยานแห่งชาติในอเมริกา ที่สวยจนครั้งหนึ่งต้องไม่พลาดที่จะไปสัมผัสสักครั้ง มาให้เพื่อนๆ ใส่ไว้ในลิสต์กันก่อนค่ะ

อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา Yosemite National Park

1. อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติต้องไม่พลาดไปชมอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี หนึ่งในสถานที่ ที่เที่ยวอเมริกา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และมีพื้นที่กว้างใหญ่เกือบ 1,200 ตารางไมล์ ที่รวมสถานที่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย เช่น น้ำตกสูงตระหง่าน ต้นเซควาญา (Sequoia) อายุนับพันปี หน้าผาที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา และหินรูปร่างแปลกตา เส้นทางเดินป่าแบบไปเช้าเย็นกลับในอุทยานที่นำทางโดยไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ เป็นต้น

อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Yosemite Valley – หุบเขาโยเซมิตีเหมาะสำหรับผู้ที่มาที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีเป็นครั้งแรก นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโยเซมิตีที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนศูนย์นักท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้า จุดชมวิว พื้นที่ปิกนิก และเส้นทางเดินป่าแบบไม่ยากนัก 
  • Tunnel View – จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด วิวบริเวณนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของโยเซมิตีที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดี คุณจะได้เห็นไฮไลท์ของหุบเขาโยเซมิตีได้เกือบทั้งหมด ทางด้านซ้ายเป็นภูเขาหินขนาดยักษ์ EL Capitan ด้านขวาเป็นน้ำตกที่สวยงาม Bridalveil Falls และที่เห็นไกลๆ คือเขารูปโดม Half Dome ที่อยู่ท่ามกลางป่าสีเขียวที่เปลี่ยนเป็นสีส้มเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
  • Glacier Point – อีกหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดและครอบคลุมที่สุดในโยเซมิตี คุณสามารถมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาโยเซมิตีแบบพาโนรามา ตลอดจนสถานที่สำคัญอย่างน้ำตกโยเซมิตีและฮาล์ฟโดม ที่นี่สามารถขับรถเข้าถึงได้ เหมาะกับคนที่ไม่อยากปีนป่ายมากนัก หรือผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับเด็ก
  • Half Dome – ภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงคล้ายโดม คุณสามารถมอง Half Dome แบบไกลๆ ได้จาก Tunnel View แต่ถ้าอยากเห็นชัดๆ ต้องไปที่ Glacier Point นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของนักปีนเขาเพราะความชันเกือบตั้งฉากเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณกลัวความสูงหรือสภาพร่างกายไม่แข็งแรง คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินแบบสั้นไปยังน้ำตกเนวาดาก็ได้
     
  • Bridalveil Falls – น้ำตก Bridalveil ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าทิศตะวันตกของโยเซมิตี มีความสูงถึง 188 เมตร (ประมาณตึก 60 ชั้น) คุณสามารถเดินไปที่น้ำตกได้โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที เป็นการเดินป่าแบบสบายๆ ที่เหมาะกับครอบครัวพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงาม ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อน ละอองน้ำจะแรงที่สุดเนื่องจากหิมะละลาย คุณจึงสามารถสัมผัสได้ถึงหมอกขณะชมน้ำตก 

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนพฤษภาคมและกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่คนไม่แออัดจนเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องรู้ไว้ก่อนคือถนนและเส้นทางต่างๆ ในโยเซมิตีปิดให้บริการเกือบทั้งปีเนื่องจากหิมะตก หิมะจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนตุลาคมและตกหนักในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งโดยทั่วไปจะยังคงอยู่จนถึงเดือนมีนาคม ถนนและเส้นทางที่ปิดตามฤดูกาลทั้งหมดจะเริ่มเปิดในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นผลให้เส้นทางเดินป่าเต็มไปด้วยผู้คน การจราจรบนถนนคับคั่ง และอัตราค่าโรงแรมมีราคาแพงมาก

2. อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนนับเป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอเมริกา มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้างครอบคลุมรอยต่อของ 3 รัฐ คือรัฐไวโอมิง รัฐมอนทานา และรัฐไอดาโฮ ภูมิประเทศจะมีทั้งที่ราบ ภูเขาสูงชัน หน้าผา ทะเลสาบ บ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อน ที่เที่ยวอเมริกา แห่งนี้นับว่าเป็นความน่ามหัศจรรย์ที่มาพร้อมกับความสวยงาม และความหลากหลายทางพันธุกรรมที่คุณต้องมาสัมผัสดูสักครั้งในชีวิต และด้วยความที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนมีขนาดที่ใหญ่มากคุณจึงควรจะวางแผนการเที่ยวประมาณ 3-7 วันไปเลย เพื่อให้เที่ยวได้ครบและครอบคลุมจริงๆ

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Old Faithful – น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ปะทุน้ำเดือดจากพื้นดินสู่อากาศได้สูงถึง 55 เมตร เกิดขึ้นบ่อยครั้งเฉลี่ยทุก 30-110 นาที ครั้งหนึ่งจะกินเวลาประมาณ 1-5 นาที บริเวณนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเดินเทรคกิ้งหลายแห่ง โดยเส้นทางที่แนะนำคือเส้นทาง 2.25 กิโลเมตร (1.4 ไมล์) ที่พาเดินไปยังสระน้ำร้อน Morning Glory Pool ที่มีสีสันสวยงามอีกแห่งหนึ่ง
  • Grand Canyon of the Yellowstone – เป็นหุบเหวที่มีมีความยิ่งใหญ่ ยาวประมาณ 32 กิโลเมตร ลึกปะรมาณ 240-360 เมตร ที่เกิดจากการแยกตัวของพื้นโลกอันมีสาเหตุมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และน้ำแข็งไหลเลื่อนในยุคที่น้ำแข็งละลาย ด้านล่างมีแม่น้ำเยลโลว์สโตนไหลผ่าน จากจุดนี้คุณจะได้เห็นความสวยงามจากมุมสูง ความสลับซับซ้อนของภูเขาสูงมากมายและรรมชาติที่อยู่รอบตัว
  • Grand Prismatic Spring – บ่อน้ำพุสีรุ้งเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก สีสันสวยงามโดดเด่นไล่ตั้งแต่สีเข้มไปจนถึงอ่อน เริ่มจากตรงกลางเป็นสีฟ้า ถัดมาเป็นสีเขียวมรกต เหลือง ส้ม และแดง เป็นสีที่เกิดจากการรวมตัวอย่างแน่นหนาของแบคทีเรีย สาหร่ายและพืชเซลล์เดียวที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงได้ ซึ่งในแต่ละฤดูจะมีสีที่แตกต่างกันค่ะ
  • Hayden Valley – หนึ่งในสถานที่ที่สายชมสัตว์ป่าชอบกันมาก เพราะทุ่งหญ้ากลางหุบเขาเฮย์เดน เป็นสถานที่อยู่อาศัยตามะรรมชาติของเหล่ากระทิง กวางเอลค์ ความไบซัน หมีกริซลี่ และนกมากมายหลายชนิด เพื่อให้มองเห็นสัตว์ได้ดีขึ้น คุณควรพกล้องส่องทางไกลมาด้วย และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากสัตว์
  • Mammoth Hot Springs – บ่อน้ำร้อนที่เกลือของกรดคาร์บอนตกตะกอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณโดยรอบของบ่อน้ำพุเต็มไปด้วยไอร้อนของน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาตามพื้นผิว จุดเด่นของบ่อน้ำพุร้อนแมมมอธคือมีลักษณะเป็นน้ำตกหินปูนขนาดมหึมา และมีบันไดลดหลั่นหลายชั้น ซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะน้ำพุร้อนเย็นลงในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่สภาพอากาศปานกลาง ผู้คนยังไม่มากนัก และมีการปิดถนนเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นเดือนที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่เด็กๆ ปิดเทอม และอากาศก็อบอุ่นพอที่จะกางเต็นท์นอนข้างนอกได้ อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในบริเวณที่สูงชันก็สามารถลดต่ำลงจนต่ำกว่า 0 องศาในช่วงฤดูร้อนได้

3. อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งล้านเอเคอร์ซึ่งเต็มไปด้วยยอดเขาหินขรุขระ ธารน้ำแข็งมโหฬาร ทุ่งหญ้าอัลไพน์ และทะเลสาบใสดั่งคริสตัล มีเส้นทางเดินป่ามากมายให้กับนักผจญภัยทุกระดับตั้งแต่ผู้เดินป่าเพื่อสันทนาการไปจนถึงนักเดินป่าที่มีประสบการณ์ อีกทั้งยังมีวิวตระการตาและคุณจะมีโอกาสได้เห็นดอกไม้ป่าและแพะภูเขาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีบริเวณตั้งแคมป์ซึ่งมีให้เลือกถึง 13 จุด หรือจะพักในกระท่อมหรือชาเลต์ของอุทยานแห่งชาติก็ได้

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • ถนน Going-to-the-Sun – ถนนที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา มีความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นถนนเส้นหลักของอุทยานเริ่มตั้งแต่ทางเข้าอุทยานที่เวสต์เกลเชอร์ ไปจนถึงทะเลสาบเซนต์แมรี่ ลัดเลาะไปตามไหล่เขาและหน้าผา ผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และผ่านภูมิประเทศเกือบทุกประเภทที่อุทยานมี ตั้งแต่ทะเลสาบน้ำแข็ง น้ำตก และป่าสนซีดาร์ไปจนถึงยอดเขาอัลไพน์ จุดสูงสุดของถนนคือ Logan Pass ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,036 เมตร ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากและเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าต่างๆ มีสัตว์ป่ามาเดินเยอะมาก ลานจอดรถจะเต็มราว 9 โมงเช้า ดังนั้นต้องตื่นแต่เช้ามากเพื่อมาเริ่มต้นที่นี่
     
  • Trail of the Cedars – เส้นทางเดินป่าระยะสั้นยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ถนน Going-to-the-Sun ทางเดินยกระดับตัดผ่านป่าซีดาร์แดงที่มีกลิ่นหอม แต่ไฮไลท์อยู่ที่จุดกึ่งกลางที่มีสะพานลอยเหนือ Avalanche Creek พร้อมทิวทัศน์อันสวยงามของช่องเขาและน้ำตกที่สวยงาม เราแนะนำให้มาในตอนเช้าหรือตอนบ่ายแก่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จอดรถที่แออัด
     
  • Red Bus Tour – ทัวร์รถบัสสีแดงอันเลื่องชื่อของอุทยานเกรเชีย เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากขับรถเองตามทางสูง แต่ก็อยากชมวิว รถบัสเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงช่วงทศวรรษที่ 1930 และมีหลังคาผ้าใบแบบม้วนกลับทำให้เราเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของภูมิทัศน์โดยรอบ นอกจากนี้ รถบัสแต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 17 คน

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นช่วงพีคของนักท่องเที่ยว มีอุณหภูมิเฉลี่ยในตอนกลางวันเฉลี่ยประมาณ 26 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะลดต่ำลงไปถึงประมาณ 0-5 องศาเซลเซียส (ควรเตรียมเสื้อไปหลายชั้น และเสื้อกันฝนที่มีคุณภาพดี) คุณอาจเห็นหิมะในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมบนที่สูง ด้านตะวันออกของอุทยานมีอากาศเย็นและมีลมแรงกว่าฝั่งตะวันตก ด้านตะวันออกก็แห้งแล้งเช่นกัน ในขณะที่หุบเขาทางทิศตะวันตกมีฝนตกมากที่สุด แม้ว่าราคาที่พักและค่าเข้าอุทยานจะสูงขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการและบริการรถรับส่งฟรี นอกจากนี้ คุณยังจะได้สัมผัสกับการปิดถนนและเส้นทางเดินน้อยกว่าในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์เปิด 365 วันต่อปี

4. แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

อีกหนึ่ง ที่เที่ยวอเมริกา ที่หลายคนอยากไปสัมผัสสักครั้ง นั่นก็คือ “แกรนด์แคนยอน” โดยแกรนด์แคนยอนนั้นถือกำเนิดมาจากการที่แม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านและกัดเซาะชั้นหินในบริเวณนี้เป็นเวลาหลายล้านปีซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทางธรณีวิทยาตามธรรมชาติ ความงามที่โดดเด่น สีสันน้ำตาลแดงและสีแบบทะเลทราย และภาพพระอาทิตย์ตกอันสวยงาม ล้วนแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจากทั่วโลก โตรกผาแกรนแคนยอนยาวถึง 446 กิโลเมตร กว้าง 29 กิโลเมตร และบางจุดลึกถึง 1.8 กิโลเลยทีเดียว และเนื่องจาก
แกรนด์แคนยอนมีขนาดใหญ่มาก ตัวอุทยานจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ North Rim และ South Rim

แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • South Rim – อยู่ด้านใต้ของแกรนด์แคนยอน และเป็นด้านที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของศูนย์นักท่องเที่ยว ที่มีทั้งข้อมูลที่มีประโยชน์ โบรชัวร์ การจัดแสดงที่นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ ธรณีวิทยา และชีวิตสัตว์ป่าที่น่าสนใจของพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยวที่ด้านนี้ของแกรนด์แคนยอน ได้แก่ หมู่บ้านแกรนด์แคนยอน เส้นทางเซาท์ไคบับ เส้นทางไบร์ทแองเจิล เส้นทาง
    มาเธอร์พอยต์ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยายาวาปาย และอีกมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจพื้นที่ที่สวยงามและเส้นทางเดินป่าทางด้านใต้ของหุบเขาลึกด้วยการเดินเท้า หรือใช้บริการทัวร์แบบมีไกด์
  • Mather Point – ตั้งอยู่ใน South Rim เป็นจุดแรกที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเมื่อมาถึงแกรนด์แคนยอน อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวโดยใช้เวลาเดินเพียง 5 นาที คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันโดดเด่นของหน้าผาและเส้นทางเดินเลียบเขาด้านล่าง หากสภาพอากาศเหมาะสมจะมองเห็นไกลถึง 50 กิโลเมตรทางทิศตะวันออก และ 95 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันตก เหมาะกับการไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกเหนือหุบเขา
  • North Rim – อยู่ด้านเหนือของแกรนด์แคนยอน เหมาะสำหรับคนชอบความแปลกใหม่ หรือชอบการเดินเขา ปีนเขา ไปยากกว่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่าฝั่งใต้ แต่หลายคนเชื่อว่ามีมุมมองที่น่าสนใจมากกว่า บริเวณนี้มีสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกจนไม่สามารถเข้าไปได้
     
  • Bright Angel Point – หนึ่งในจุดที่สวยที่สุดของ North Rim และไม่ไกลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ระยะทางประมาณกิโลเศษๆ) สามารถมองเห็น South Rim ที่อยู่ต่ำกว่าประมาณ 1,000 ฟุตได้
  • Point Imperial – จุดที่สูงที่สุดของแกรนด์แคนยอนฝั่งเหนือ ที่สามารถมองเห็นวิวแกรนด์แคนยอนฝั่งตะวันออก โตรกผา แม่น้ำโคโลราโด และบางส่วนของทะเลทราย Painted Desert ด้วย
  • Cape Royal – หนึ่งในจุดที่สามารถมองเห็นวิวพาโนรามาของแกรนด์แคนยอนได้ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 36.8 กิโลเมตร

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมแกรนด์แคนยอนคือมีนาคมถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศเย็นในตอนกลางวันและมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ถ้าคุณตัดสินใจไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ที่เป็นช่วงพีคของอุทยาน ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากและที่พักมีจำกัดด้วยค่ะ ช่วงฤดูหนาวยังพอเที่ยวได้ แต่พื้นที่บริเวณ North Rim จะปิดให้บริการหลังจากหิมะตกครั้งแรก ในขณะที่ South Rim เปิดให้บริการตลอดทั้งปี

5. อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

คำว่า Zion เป็นคำในภาษาฮิบรูโบราณ หมายถึง สถานที่หลบลี้ภัย เป็นอุทยานที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ มีพื้นที่ประมาณ 593 ตารางกิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตร์ของอุทยานแห่งชาติไซออนจะมีลักษณะเป็นผาและแคนยอนที่มีความลึกประมาณ 800 เมตรและยาว 24 กิโลเมตร แคนยอนจะมีหน้าผาเป็นสีแดงสลับกับสีออกน้ำตาลซึ่งเป็นสีของหินทรายนาวาโฮซึ่งเกิดการกัดกร่อนโดยแม่น้ำเวอร์จิ้น จุดต่ำสุดของอุทยานอยู่ที่ 3,666 ฟุตที่ Coalpits Wash และจุดสูงที่สุดคือ 8,726 ฟุต ซึ่งคือภูเขา Horse Ranch ตั้งอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของที่ราบสูง Colorado The Great Basin และทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert) อุทยานแห่งชาติที่นี่มีทัศนียภาพที่โดดเด่นและเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์ที่เติบโตและอาศัยอยู่บริเวณนี้

อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Zion Canyon หรือหุบเขาไซออน – มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร และลึกประมาณ 800 เมตร มีความงดงามของทัศนียภาพหน้าผาหินทรายที่ตั้งสูง 2,000 ถึง 3,000 ฟุตจากพื้นหุบเขาลึก และกิจกรรมเดินป่าไปตามเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยม
  • The Narrows – ช่องแคบที่แคบที่สุดของ Zion Canyon และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอุทยาน โดยการเดินลุยน้ำเข้าไปในช่องเขาเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร ได้ความรู้สึกว่าถูกโอบกอดด้วยเขาสูงทั้งสองข้าง ผู้ที่จะเดินเข้าไปต้องเตรียมอุปกรณ์ในการเดินลุยน้ำ เช่น รองเท้าแตะแบบรัดส้นเท้าที่ทนน้ำ และต้องมีวางแผนการเดินทางดี ๆ หากต้องการเดินลุยน้ำในช่องแคบนี้ และบางช่วงต้องระวังน้ำป่าหลากมากเป็นพิเศษ
  • Angels Landing – สันเขาสูง 460 เมตรเหนือพื้นหุบเขา เพื่อชมทิวทัศน์แบบ 360 องศาของหุบเขาไซออน ผ่านเส้นทางไต่เขาครึ่งวันสู่ทางคดเคี้ยว 27 โค้ง
  • Kolob Arch – ซุ้มประตูโค้งธรรมชาติที่ยาวที่สุดเป็นอันดับหกของโลก โดยเข้าถึงได้จากเส้นทางเดินป่าที่มีระยะทางประมาณ 11 กม. หรือเข้าจาก Ice Box Canyon ซึ่งเป็นเส้นทางล่องแก่ง
  • The Subway – เป็นที่รู้จักในชื่อ Left Fork of North Creek ตามชื่ออุโมงค์รถไฟใต้ดินที่คล้ายคลึงกัน ลักษณะเป็นเส้นทางเดินป่าในช่องหุบเขาระหว่างสองยอดเขาเหนือ-ใต้ของการ์เดียน แองเจิล คุณจะตื่นตาไปกับหุบเขาเว้าแหว่งแปลกตาและมีความสวยงาม เหมาะสำหรับนักปีนเขาที่มีประสบการณ์เท่านั้น

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน สภาพอากาศกำลังสบาย และเป็นช่วงที่มีรถรับส่งฟรีของอุทยาน ในขณะที่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ถือเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวของอุทยาน ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวน้อย แต่สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง เช่น Narrows และ Angels Landing อาจหนาวเกินกว่าจะสนุกกันได้อย่างเต็มที่

อยากเที่ยวต้องได้เที่ยว! เพื่อนๆ สายเที่ยวที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเริ่มคันไม้คันมืออยากแพคกระเป๋าเตรียมตัวเที่ยวอเมริกากันแล้ว ก่อนออกเดินทางไปไกล ต้องมีการวางแผนที่ดี ยิ่งไปยังประเทศที่ห่างไกลจากเมืองไทยมากๆ อย่างสหรัฐอเมริกาก็ยิ่งต้องเตรียมตัวมากขึ้น ทั้งกิจกรรมมากมายในแต่ละเมืองที่อาจทำให้เราสนุกจนลืมเวลา Time zone ที่ต่างกันเป็นวันไปได้เลย

และถ้าอยากให้ทริปเที่ยวอเมริกาสนุกแบบไร้กังวล ชีวิตไม่สะดุด สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมติดตัวไว้ก็คือประกันภัยการเดินทาง เพราะเหตุฉุกเฉินหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยอาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน* ยิ่งค่ารักษาพยาบาลในอเมริกาก็เป็นที่รู้กันว่าแพงมาก เราก็ต้องยิ่งต้องมีประกันภัยเดินทางติดตัวไว้นะคะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่ 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : U.S. News – Travel

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

รวมวัฒนธรรมการให้ทิปในต่างประเทศ

รวมวัฒนธรรม การให้ทิป ในต่างประเทศ

การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศย่อมต้องเจอวัฒนธรรมบางอย่างที่เราไม่คุ้นชิน อย่างเช่นเรื่อง การให้ทิป ตามร้านอาหาร โรงแรม สนามบิน หรือแท็กซี่ ก็อาจสร้างความปวดหัวหรือยุ่งยากใจให้กับเราได้เหมือนกัน เพราะเราไม่รู้ว่าวัฒนธรรม การให้ทิป ของคนในประเทศนั้นเป็นอย่างไร การให้ทิป เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่อาจเข้าใจยาก หากไม่ได้เป็นคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ บางครั้งการให้ทิปก็ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงความขอบคุณสำหรับการให้บริการ แต่ในบางประเทศก็อาจทำให้ขัดเคืองต่อความรู้สึกได้ Allianz Travel เลยรวบรวมวิธีการให้ทิปของประเทศต่างๆ มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ

1. ทวีปยุโรป

ที่เที่ยวอิตาลี ทวีปยุโรป

(1) การให้ทิป ร้านอาหาร

ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสหราชอาณาจักร จะใส่ค่าบริการลงไปในใบเสร็จเลย แต่ถ้าไม่ได้ใส่ไว้ เราก็ควรให้ทิปพนักงานประมาณ 5-10% (เป็นเงินสดในสกุลเงินท้องถิ่น) เว้นเสียแต่ว่าคุณจะรู้สึกว่าร้านนั่นให้บริการไม่ดี หรืออาหารแย่มากๆ แต่บางประเทศ เช่น อิตาลี ออสเตรีย และรัสเซีย จะไม่ใส่ค่าบริการหรือคาดหวังว่าเราจะต้องให้ทิปเสมอไป แต่ถ้าเราจะปัดเศษขึ้นจากราคาค่าอาหารก็ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณไปที่ร้านอาหารในอิตาลี คุณอาจเห็นคำว่า ‘corperto’ ในใบเสร็จของคุณ ซึ่งแปลว่า ‘ค่าบริการที่เก็บเพิ่มเติม’ ซึ่งบางครั้งเงินจำนวนนี้อาจเป็นการจ่ายให้กับร้านอาหาร  ซึ่งถ้าเราต้องการให้ทิปพนักงาน เราควรให้เป็นเงินสดและมอบให้กับพนักงานเสิร์ฟของคุณโดยตรง

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าอาหารแพงจนน้ำตาไหล แต่โชคดีที่ประเทศเหล่านี้ไม่ได้คาดหวังกับเรื่องทิป และราคาค่าบริการมักคิดรวมอยู่ในราคาอาหารโดยรวมไปแล้ว

สหราชอาณาจักร

การไปเที่ยวผับในลอนดอนหรือเมืองอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร เราอาจให้ปัดเศษขึ้นตอนจ่ายเงินรวมเพื่อเป็นสินน้ำใจก็ได้ แต่ก็ไม่นิยมทำกันนัก ถ้าคุณรู้สึกชื่นชอบการให้บริการในแบบฉบับผับอังกฤษแบบดั้งเดิมแล้ว คุณสามารถซื้อเครื่องดื่มให้บาร์เทนเดอร์ได้ โดยพูดว่า “และอีกแก้วสำหรับตัวคุณเอง”

(2) การให้ทิป พนักงานโรงแรม

พนักงานโรงแรม

การให้ทิปพนักงานโรงแรมสำหรับหลายประเทศในยุโรปนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน คุณอาจจะให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 1-2 ยูโรต่อกระเป๋า หรือให้พนักงานทำความสะอาดประมาณ 2-5 ยูโร

รัสเซีย

เราสามารถให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 200-250 รูเบิล และ 100-200 รูเบิลสำหรับพนักงานทำความสะอาด

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

พนักงานโรงแรมไม่ได้คาดหวังที่จะได้ทิป เนื่องจากค่าบริการรวมอยู่ในค่าจ้างแล้ว

สวิตเซอร์แลนด์

พนักงานไม่ได้คาดหวังกับเงินทิปเช่นกัน แต่การมอบเงินจำนวนเล็กน้อยให้กับพนักงานทำความสะอาด (ประมาณ 5-10 ฟรังก์) เมื่อเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

(3) การให้ทิป ไกด์และคนขับรถ

ประเทศยุโรปกลางและตะวันออกและอิตาลี

ไกด์และคนขับรถในเกือบทุกประเทศในยุโรปจะได้รับทิปแยกกัน คิดเป็นประมาณ 10-20% ต่อวัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณสนุกกับทัวร์มากน้อยแค่ไหน

ประเทศยุโรปตะวันตก (ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน และสหราชอาณาจักร)

ทิปประมาณ 25-40 ยูโร (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อวันสำหรับไกด์ และ 10-15 ยูโรสำหรับคนขับรถ

รัสเซีย

ไกด์และคนขับรถคาดหวังทิปประมาณ 3,000 รูเบิล และ 2,000 รูเบิลตามลำดับ

ตุรกี

ถ้าเราเช่ารถส่วนตัวก็ควรให้ทิปคนขับรถประมาณ 200-300 ลีราต่อวัน ถ้าเป็นไกด์นำเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ก็ให้ทิปประมาณ 60-100 ลีรา และประมาณ 450 ลีราสำหรับไกด์ทัวร์ส่วนตัว

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

ไม่จำเป็นต้องให้ทิปกับไกด์และคนขับรถ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณประทับใจกับการเดินทาง การให้ทิป 10% กับไกด์และคนขับรถถือว่าเป็นสินน้ำใจที่ดี หรือคุณสามารถเลี้ยงอาหารกลางวันพวกเขาก็ได้

(4) การให้ทิป คนขับแท็กซี่

ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป

คนขับแท็กซี่มักไม่คาดหวังทิป แต่การปัดเศษขึ้นจากราคาค่าโดยสารถือเป็นเรื่องปกติ

ฝรั่งเศส รัสเซีย และสวิตเซอร์แลนด์

คนขับแท็กซี่มักจะคาดหวังทิป 10-15%

สแกนดิเนเวียและไอซ์แลนด์

ไม่จำเป็นต้องให้ทิปคนขับแท็กซี่ แม้แต่จะปัดการปัดเศษค่าโดยสารขึ้นก็ตาม

2. ทวีปอเมริกา

ที่เที่ยวอเมริกา ทวีปอเมริกา

(1) การให้ทิป ร้านอาหาร

ร้านอาหาร

สหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ร้านอาหารไม่ได้รวมค่าบริการไว้ในบิลเสมอไป การให้ทิปประมาณ 15-20% ถือเป็นเรื่องปกติ เว้นแต่ว่าอาหารจะทานไม่ได้เลย หรือพนักงานเสิร์ฟให้บริการแย่มาก เราก็อาจจะให้ทิปประมาณ 5% และถ้าเราไปเที่ยวผับหรือบาร์ก็ควรให้ทิปประมาณ 1 ดอลลาร์ต่อเครื่องดื่ม 1 แก้ว หรือ 15- 20% ของยอดรวมในบิล

เม็กซิโก นิการากัว อาร์เจนตินา และเปรู

ค่าบริการจะคิดเพิ่มไปในบิลซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณต้องการให้ทิปพนักงานเสิร์ฟเพิ่มเป็นการส่วนตัวก็ควรให้ประมาณ 10-15% (ในสกุลเงินท้องถิ่นหรือดอลลาร์สหรัฐ)

บราซิล ชิลี และคอสตาริกา

ร้านอาหารมักคิด ‘ค่าบริการ’ 10% (เรียกว่า ‘cubierto’ ในชิลี) ซึ่งหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มก็ได้ แต่เราก็สามารถให้เพิ่มอีกประมาณ 5% ก็ได้ หากได้รับการบริการที่ดี คุณไม่จำเป็นต้องให้ทิปในบาร์ แต่คุณสามารถปัดเศษขึ้นในบิลโดยรวมได้

ประเทศในแคริบเบียน (นอกรีสอร์ทแฟนซี)

ให้ตรวจสอบบิลก่อนว่าใส่ค่าทิปไปหรือยัง หากยังไม่ได้ใส่ ก็ให้ทิปประมาณ 15-20% หรือปัดเศษขึ้นในบิลหากไปดื่มที่บาร์

(2) การให้ทิป พนักงานโรงแรม

สหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ควรทิปพนักงานทำความสะอาดประมาณ 3-5 ดอลล่าร์สหรัฐต่อวัน และให้พนักงานยกกระเป๋า 1 เหรียญต่อกระเป๋า

ประเทศอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ปกติแล้วพนักงานจะรับเงินดอลลาร์สหรัฐ สำหรับพนักงานขนกระเป๋าในประเทศต่างๆ เช่น คอสตาริกา เม็กซิโก นิการากัว บราซิล ชิลี เปรู และโคลอมเบีย ให้ใช้สกุลเงินท้องถิ่นที่เทียบเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกระเป๋า และ 1-2 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันสำหรับพนักงานทำความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาใต้ นักท่องเที่ยวมักนิยมไปพักตามไร่องุ่นในชนบท ซึ่งคนที่ดูแลคุณจะเป็นครอบครัวของพนักงาน รวมทั้งทำอาหาร ทำความสะอาด และดูแลสวน ดังนั้นคุณควรทิ้งทิปไว้ก่อนเช็คเอาท์ประมาณ 10-15 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อแขกหนึ่งท่าน

(3) การให้ทิป ไกด์และคนขับรถ

สหรัฐอเมริกา แคนาดา และโคลอมเบีย

เราควรให้ทิปไกด์และคนขับรถแยกกัน โดยทิปไกด์นำเที่ยวประมาณ 10-20 ดอลลาร์ในสกุลเงินท้องถิ่นต่อวัน และประมาณ 5-10 ดอลลาร์สำหรับคนขับรถ

ประเทศอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ส่วนใหญ่ไกด์จะได้รับเงินทิปประมาณ 5-10 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินท้องถิ่น) สำหรับงานในหนึ่งวัน และเราสามารถให้ทิปคนขับรถประมาณครึ่งหนึ่งของทิปที่ให้ไกด์

บราซิล

ถือเป็นข้อยกเว้นจากประเทศในอเมริกาใข้ เพราะคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่นี่ต้องอาศัยเงินจากค่าทิป เราควรให้ไกด์ประมาณ 100 ถึง 200 เรียลต่อวัน และอาจน้อยกว่าเล็กน้อยสำหรับคนขับรถ

ประเทศในแคริบเบียน

นักท่องเที่ยวนิยมเที่ยวไปทั่วเกาะกับทัวร์รถบัส การให้ทิปคนขับรถ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐถือเป็นเรื่องปกติ และถ้าเป็นทัวร์แบบส่วนตัว ก็ควรให้ทิปไกด์ประมาณ 20 ดอลลาร์ และคนขับรถประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อวัน

(4) การให้ทิป คนขับแท็กซี่

แท็กซี่ Taxi

สหรัฐอเมริกา แคนาดา และแคริบเบียน

เราควรให้ทิปคนขับรถแท็กซี่ประมาณ 10 ถึง 15% ของค่าโดยสาร หรือประมาณ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการเดินทางเป็นระยะทางใกล้ๆ

ประเทศอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ถ้าคุณต่อรองราคาค่าโดยสารก่อนขึ้นแท็กซี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการให้ทิป เว้นแต่ว่าคุณถูกชะตากับคนขับแท็กซี่ และถ้าค่าโดยสารเป็นไปตามมิเตอร์ คุณก็สามารถปัดเศษขึ้นเมื่อให้ค่าโดยสาร

3. ทวีปเอเชีย

ที่เที่ยวสิงคโปร์ ทวีปเอเชีย

(1) การให้ทิป ร้านอาหาร

จีน เมียนมาร์ สิงคโปร์ และไต้หวัน

ไม่มีวัฒนธรรมการให้ทิปที่ชัดเจน เราไม่จำเป็นต้องให้ทิปในร้านอาหารหรือในบาร์ แต่เนื่องจากปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในเอเชียมากมาย ร้านอาหารใหม่เก๋ๆ บางแห่งในจีนจึงเริ่มรับทิปเล็กๆ น้อยๆ กันแล้ว

ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กัมพูชา ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย)

เริ่มชินกับการรับทิปมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ให้ทิปก็ยังถือว่าไม่เป็นไร

อินเดีย

การให้ทิปยังไม่ได้เป็นวัฒนธรรมของอินเดีย แต่พนักงานในร้านอาหารก็คุ้นเคยกับการได้รับทิปจากนักท่องเที่ยว ถ้าเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่และค่อนข้างเป็นทางการที่ยังไม่ได้รวมค่าบริการในบิล เราอาจให้ทิปประมาณ 5-10% หากคุณชื่นชอบอาหารเป็นอย่างมาก สำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก เราอาจวางเศษเหรียญไว้ 2-3 เหรียญหรือปัดเศษค่าอาหารขึ้นจากในใบเสร็จ คุณอาจให้ทิปบาร์เทนเดอร์ได้ถึง 10% ถ้าพวกเขาให้บริการคุณอย่างดี

ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย รวมทั้งญี่ปุ่นและเนปาล

เชื่อว่าการให้ทิปต้องสำหรับการบริการที่ดีเยี่ยมเท่านั้น การให้บริการและต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีถือเป็นเรื่องปกติและไม่ควร “ให้รางวัล” และพนักงานในร้านอาหารบางแห่งในญี่ปุ่นอาจปฏิเสธการให้ทิปอย่างสุภาพหากคุณวางทิปไว้

(2) การให้ทิป พนักงานโรงแรม

จีน

ไม่จำเป็นต้องให้ทิปพนักงานโรงแรม แต่ถ้าคุณพักในโรงแรมที่หรูหราเป็นพิเศษ คุณสามารถให้ทิปพนักงานยกกระเป๋า 5 หยวนต่อกระเป๋า และโรงแรมระดับไฮเอนด์ก็จะบวกค่าบริการ 10% ไว้ในใบเรียกเก็บเงินโดยรวม

ญี่ปุ่น

พนักงานโรงแรมไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้ทิป โดยเฉพาะการเข้าพักในโรงแรมแบบเรียวกัง แต่ถ้าคุณรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากและอยากให้ทิปเป็นการตอบแทน ให้นำเงินใส่ซองไว้ประมาณ 5,000 เยน (สำหรับการพักระยะสั้น) แต่พนักงานก็อาจปฏิเสธอย่างสุภาพหากคุณส่งมอบด้วยตนเอง

อินเดีย

พนักงานโรงแรมในอินเดียได้รับเงินค่าจ้างต่ำมาก ดังนั้นการให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 50 รูปีต่อกระเป๋า และพนักงานทำความสะอาด 250 รูปีต่อวันจะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย)

ค่าบริการจะรวมอยู่ในบิลโดยรวมเมื่อเช็คเอาท์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ทิปก็ได้ แต่ก็ควรให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าในสกุลเงินท้องถิ่นที่เทียบเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกระเป๋า การให้ทิปพนักงานทำความสะอาดก็ถือว่าไม่จำเป็น แต่ถ้าคุณอยากให้ คุณก็อาจให้เป็นสกุลเงินท้องถิ่นที่เทียบเท่ากับ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืนก็ได้

(3) การให้ทิป ไกด์และคนขับรถ

จีน

ไม่คาดหวังทิป

เกาหลีใต้และไต้หวัน

คาดหวังว่าจะได้รับเงินเพิ่มเล็กน้อยหลังจากการเดินทาง เราสามารถให้ทิปรวมกันระหว่างไกด์กับคนขับรถประมาณ 10% ของค่าทัวร์

ญี่ปุ่น

ควรเอาเงินทิปใส่ซองให้กับไกด์ประมาณ 2,500-5,000 เยนสำหรับทัวร์เต็มวัน และถ้าคุณจ้างคนขับรถส่วนตัว คุณควรเลี้ยงอาหารกลางวันพวกเขาด้วย

อินเดีย

ให้ทิปไกด์ประมาณ 300-500 รูปีต่อวัน และ 100-200 รูปีสำหรับคนขับ

สิงคโปร์และฟิลิปปินส์

ให้ทิปไกด์และคนขับรถรวม 10% ของค่าทัวร์โดยรวมโดยให้พวกเขาไปแบ่งกันเอง

ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซีย)

ให้ทิปไกด์นำเที่ยวประมาณ 10-20 ดอลลาร์สหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อวัน และครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินนั้นสำหรับคนขับ เป็นเรื่องปกติที่จะให้ทิปทั้งหมดแก่ไกด์ ซึ่งจะเป็นผู้แบ่งเงินให้กับคนขับรถเอง

(4) การให้ทิป คนขับแท็กซี่

แท็กซี่ taxi

จีนและเกาหลีใต้

ไม่จำเป็นต้องให้ทิป

ญี่ปุ่น

ปัดเศษค่าโดยสารขึ้นถือว่าเป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานในญี่ปุ่น

อินเดีย

คนขับแท็กซี่และรถสามล้อในอินเดียไม่คุ้นเคยกับการรับทิป แต่การบอกให้พวกเขาเก็บเงินทอนไว้เป็นการให้ทิปแบบสุภาพ

กัมพูชาและไทย

การให้ทิปเป็นเงินท้องถิ่นมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐเป็นจำนวนที่กำลังดี

อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

ทิป 10% จากค่าโดยสารถือเป็นมาตรฐานทั่วไป

สิงคโปร์และเวียดนาม

เพียงปัดเศษค่าโดยสารขึ้นหรือบอกให้คนขับเก็บเงินทอนไว้

4. ทวีปตะวันออกกลาง

ที่เที่ยวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทวีปตะวันออกกลาง

(1) การให้ทิปร้านอาหาร

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ จอร์แดน และซาอุดิอาระเบีย

พนักงานในร้านอาหารคาดหวังว่าจะได้รับทิป 10-15% ส่วนในดูไบซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เพิ่ม 10% ลงในบิลร้านอาหาร โรงแรม และบาร์ แต่พนักงานเสิร์ฟก็ยังคาดหวังจะได้รับทิปสูงถึง 15-20%

อิสราเอล

ร้านอาหารจะใส่ค่าบริการ 10% ในบิลร้านอาหารและบาร์ ดังนั้นเราควรตรวจเช็คบิลก่อนจ่ายเงินเพื่อไม่ให้ต้องให้ทิปซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น

(2) การให้ทิปพนักงานโรงแรม

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

รัฐบาลดูไบบังคับให้ต้องจ่ายค่าบริการ 10% ให้กับโรงแรมอยู่แล้ว และในรัฐอื่นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พนักงานคอนเซียชคาดหวังว่าจะได้รับทิปประมาณ 100-120 เดอร์แฮม หากมีการขอให้ทำอะไรเป็นพิเศษ เช่น การจองโต๊ะที่ร้านอาหารยอดนิยม หรือการจัดทัวร์ พนักงานยกกระเป๋าให้ทิปประมาณ 7 เดอร์แฮมต่อกระเป๋า และพนักงานทำความสะอาดประมาณ 10-11 เดอร์แฮมต่อวัน

จอร์แดนและอิสราเอล

ให้ทิปพนักงานยกกระเป๋าในสกุลเงินท้องถิ่นเท่ากับ 1.50 เหรียญสหรัฐต่อกระเป๋า และ 1.50 เหรียญสหรัฐต่อวันสำหรับพนักงานทำความสะอาด และประมาณ 2 เหรียญสหรัฐสำหรับพนักงานคอนเซียชถ้าคุณขอให้ทำอะไรเล็กน้อย

(3) การให้ทิปไกด์และคนขับรถ

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์

ทิปไกด์นำเที่ยวในสกุลเงินท้องถิ่นมูลค่าประมาณ 10-15 เหรียญสหรัฐ และคนขับรถส่วนตัวประมาณครึ่งหนึ่งของไกด์

อิสราเอลและจอร์แดน

ทิปไกด์ประมาณ 25-35 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) และ 35-45 เหรียญสหรัฐ สำหรับไกด์ที่ขับรถให้ด้วย

(4) การให้ทิปคนขับแท็กซี่

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล จอร์แดน กาตาร์ และซาอุดีอาระเบีย

ให้ทิปคนขับแท็กซี่ประมาณ 10 ถึง 15% ของค่าโดยสาร แต่ขับแท็กซี่ในดูไบไม่คาดหวังทิป แต่คุณสามารถให้ปัดเศษค่าโดยสารขึ้นได้

5. ทวีปแอฟริกา

ที่เที่ยวแอฟริกา ทวีปแอฟริกา

(1) การให้ทิปร้านอาหาร

ร้านอาหาร

อียิปต์ โมร็อกโก และแอฟริกาใต้

ร้านอาหารและบาร์ยอดนิยมในสถานที่ท่องเที่ยวจะเพิ่มค่าบริการ 10% ในใบเสร็จ ถ้าไม่มีรวมในใบเสร็จ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะให้ทิปประมาณ 10-15% หากคุณคิดว่าอาหารอร่อย

ประเทศอื่นในแอฟริกา

ทิปปกติ 10-15% สำหรับการบริการที่ดีในร้านอาหาร เช่นเดียวกับการปัดเศษค่าอาหารและเครื่องดื่มขึ้นในบาร์ พนักงานเสิร์ฟและพนักงานบาร์ทั่วแอฟริกาส่วนใหญ่มักจะได้รับค่าครองชีพขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการให้ทิปจึงเป็นรายได้เสริมที่ดีสำหรับพวกเขา

(2) การให้ทิปพนักงานโรงแรม

อียิปต์และโมร็อกโก

พนักงานคอนเซียชเป็นผู้ช่วยที่ดีที่เราควรให้ทิปพวกเขาประมาณ 15-20 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) ในช่วงเริ่มต้นการเข้าพัก เพื่อให้ได้รับบริการที่ดีตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ ทิปพนักงานทำความสะอาดประมาณ 3-5 เหรียญสหรัฐต่อวัน และพนักงานยกกระเป๋า 1 เหรียญสหรัฐต่อกระเป๋า (ในสกุลเงินท้องถิ่น)

แอฟริกาใต้ เคนยา และแทนซาเนีย

พนักงานยกกระเป๋าคาดหวังทิปประมาณ 1 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) สำหรับกระเป๋าแต่ละใบ และ 1 เหรียญสหรัฐสำหรับพนักงานทำความสะอาดในแต่ละวัน ให้ทิปพนักงานคอนเซียชประมาณ 3-5 เหรียญสหรัฐ สำหรับงานที่คุณขอให้พวกเขาทำในแต่ละครั้ง แคมป์ซาฟารีหรูๆ มักจะมีกล่องทิปอยู่ที่แผนกต้อนรับ และซึ่งเงินทิปที่ได้จะนำไปแบ่งกันในกลุ่มเจ้าหน้าที่ของแคมป์ ถ้าคุณอยากให้ทิปพนักงานคนไหนเป็นพิเศษก็ให้ส่งให้กับตัวพวกเขาเลย

(3) การให้ทิปไกด์และคนขับรถ

ประเทศแอฟริกาเหนือ

หลังจากจบทัวร์ควรให้ทิปไกด์ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ในสกุลเงินท้องถิ่น) และให้ทิปคนขับรถน้อยกว่าเล็กน้อย

อิสราเอลและจอร์แดน

ทิปไกด์ประมาณ 25-35 เหรียญสหรัฐ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) และ 35-45 เหรียญสหรัฐ สำหรับไกด์ที่ขับรถให้ด้วย

(4) การให้ทิปคนขับแท็กซี่

ทั่วทั้งทวีปแอฟริกา ปัดเศษค่าโดยสารขึ้น หรือบอกให้คนขับเก็บเงินทอนไว้ แต่ในประเทศที่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว อย่างเช่น อียิปต์และแอฟริกาใต้ คนขับแท็กซี่ในมักคาดหวังทิป 10%

6. ทวีปโอเชียเนีย

ที่เที่ยวออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย

(1) การให้ทิปร้านอาหาร

ร้านกาแฟ ร้านอาหาร

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

พนักงานในร้านอาหารและบาร์ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องให้ทิป แต่เราอาจให้ 10-15% หากรู้สึกว่าประทับใจกับการบริการ

หมู่เกาะแปซิฟิกใต้

การให้ทิปในร้านอาหารและบาร์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสิ่งนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นเมือง แต่ถ้าไปทานอาหารในร้านที่หรูหราเป็นพิเศษและรู้สึกทึ่งกับอาหารและบริการที่ดีเยี่ยม คุณสามารถให้ทิปไปอีก 10% ของราคาในบิลทั้งหมด

(2) การให้ทิปพนักงานโรงแรม

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ทิปมาตรฐานสำหรับพนักงานยกกระเป๋าประมาณ 1 ดอลลาร์ (ออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์) ต่อกระเป๋า และ 3-5 ดอลลาร์ต่อวันสำหรับพนักงานทำความสะอาด

หมู่เกาะแปซิฟิกใต้

ตามวัฒนธรรมไม่จำเป็นต้องให้ แต่ถ้าคุณอยากให้ให้รางวัลเป็นเงินกับพนักงานคนใดคนหนึ่งก็ควรให้ต่อหน้า ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครหยิบไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพนักงานทำความสะอาด

(3) การให้ทิปไกด์และคนขับรถ

ไกด์ Guide Tour

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ควรให้ทิปไกด์และคนขับรถส่วนตัวประมาณ 20-50 เหรียญ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) ต่อวัน และ 5-10 เหรียญต่อวันทำงานสำหรับไกด์ทัวร์บนรถบัส

หมู่เกาะแปซิฟิกใต้

หากไกด์นำเที่ยวหรือคนขับรถส่วนตัวให้บริการดีมาก คุณสามารถให้ทิปตอบแทนได้ โดยจำนวนเงินที่จะให้ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ควรให้เป็นสกุลเงินท้องถิ่นเสมอ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐนั้นหาที่แลกยาก

(4) การให้ทิปคนขับแท็กซี่

คนขับแท็กซี่ในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะแปซิฟิกใต้จะไม่ได้คาดหวังเงินทิป แต่การปัดเศษค่าโดยสารขึ้นให้เป็นเลขเต็มจำนวน 1-5 เหรียญถือเป็นเรื่องปกติ

หากเราต้องเดินทางไปต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลและวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศนั้นๆ ไว้ด้วย เพื่อให้ท่องเที่ยวได้อย่างสนุก และทำตามในสิ่งที่คนท้องถิ่นทำในกิจวัตรประจำวันได้อย่างไม่เคอะเขิน นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ควรต้องมีติดตัวไว้ทุกครั้งขณะเดินทางออกนอกประเทศก็คือประกันภัยการเดินทาง ที่จะช่วยคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เช่น เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินล่าช้า เป็นต้น*

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ประกันการเดินทาง Dance Moves มีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Lonely Planet

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 อาหารเกาหลียอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

10 อาหารเกาหลี ยอดฮิต ที่สายกินห้ามพลาด

เกาหลีใต้ หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เหล่าสาวกเกาหลีคงเริ่มวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวเกาหลีกันแล้ว ยิ่งถ้าใครติดตามซีรีย์เกาหลี ก็คงต้องอินกับ อาหารเกาหลี เมนูต่างๆ ที่มีทั้งในฉากรับประทานอาหาร หรือฉากทำกับข้าว จนหลายคนต้องกับหัดทำหรือตามรอยไปหาที่ชิมกัน และยิ่งถ้ามีโอกาสได้เดินทางไปถึงเกาหลี แล้วยิ่งต้องจัดให้ได้! 

วันนี้ Allianz Travel จัด 10 อาหารเกาหลี เมนูเด็ดที่สายกินห้ามพลาด มาให้เพื่อนๆ ได้เก็บไว้ในลิสต์ตามชิม หากได้ไปเยือนเกาหลีกันค่ะ

1. กิมจิ

อาหารเกาหลี กิมจิ

อาหารหรือเครื่องเคียงที่อยู่คู่กับชาวเกาหลีมานานกว่า 2,000 ปี มีจุดเริ่มต้นจากสภาพอากาศของเกาหลีในฤดูหนาวที่หนาวจัดจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ จึงต้องใช้วิธีการดองเพื่อยืดอายุอาหาร ซึ่งก็คือกิมจินั่นเอง และในปัจจุบันกิมจิได้รับความนิยมในการกินมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเครื่องเคียงที่นิยมกินคู่กับอาหารต่างๆ โดยเฉพาะการกินอาหารประเภทปิ้งย่าง

2. บิบิมบับ

อาหารเกาหลี บิบิมบับ

เมนูข้าวยำจานเด็ดของเกาหลีที่ไม่ควรพลาด มีเสริฟอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหาร ฟู้ดคอร์ท หรือแม้แต่ตามสตรีทฟู้ด บิบิมบับจะสามารถเลือกรับประทานได้ว่าจะใส่เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเน้นผัก แต่ส่วนประกอบที่สำคัญของบิบัมบับจะมี ข้าวสวยร้อนๆ ผักต่างๆ และไข่ดิบ

3. ซัมกยอบซัล

อาหารเกาหลี ซัมกยอบซัล

หมูสามชั้นย่างที่หมักด้วยซอสสูตรพิเศษทำให้ซัมกยอบซัลมีรสชาติที่อร่อย นุ่ม กลอมกล่อม นิยมทานคู่กับผักหลากหลายชนิด พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ และมีน้ำจิ้มสำหรับทานคู่กันคือซัมจัง

4. บูลโกกิ

อาหารเกาหลี บูลโกกิ

เมนูเนื้อย่างหรือผัดสไตล์เกาหลี จุดเด่นคือตัวเนื้อจะถูกหมักด้วยซอส น้ำมันงา และเครื่องปรุงอื่นๆ ทำให้เนื้อมีความนุ่ม หวาน หอม อร่อย สามารถทานคู่กับข้าวร้อนๆ หรือห่อผักและทานคู่กับน้ำจิ้มก็ได้

5. ต๊อกบกกี

อาหารเกาหลี ต๊อกบกกี

อาหารที่อยู่คู่กับวงการสตรีทฟู้ดของเกาหลีมาอย่างเนิ่นนาน คือการนำคาแรต็อก (แป้งเค้กข้าว) หรือที่รู้เราทุกคนจะคุ้นหูว่า “แป้งต๊อก” ไปผัดกับซอสเกาหลีสีแดง มีรสชาติเผ็ด หวาน อร่อย มีเอกลักษณ์พร้อมใส่ปลาแผ่น และผักเล็กน้อย ซึ่งในบางร้านจะใส่ไข่ต้มหรือเส้นรามยอนลงไปอีกด้วย

6. ไก่ทอดเกาหลี

ไก่ทอดเกาหลี

เมนูที่กำเนิดจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามเกาหลี ถึงหน้าตาจะดูเหมือนไก่ทอดธรรมดา แต่จะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละร้านไม่ซ้ำกัน โดยทั่วไปจะคลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดหวาน บางร้านก็จะมีท๊อปปิ้งพิเศษเพิ่มเติมใส่ลงไปด้วย เช่น แป้งต๊อกทอด เฟรนฟราย หรือการราดชีส ซึ่งคนเกาหลีนิยมทานเป็นกับแกล้มกับเบียร์

7. ซัมกเยทัง

อาหารเกาหลี ซัมกเยทัง

หรือก็คือซุปไก่โสม เป็นเมนูที่คนเกาหลีนิยมทานกันช่วงฤดูร้อน (ช่วงเดือน มิถุนายน – ต้นเดือนกันยายน) เพื่อช่วยฟื้นฟูกำลังของร่างกาย ไก่ที่นำมาประกอบเมนูนี้จะเป็นไก่ที่อายุไม่เกิน 45 วัน ยัดใส้ด้วยข้าวเหนียว และสมุนไพรต่างๆ เช่น เกาลัด พุทรา โสม แปะก๊วย

8. บิบิม เนงเมียน

อาหารเกาหลี บิบิม เนงเมียน

บะหมี่เย็นสไตล์เกาหลี ตัวเส้นที่ใช้จะเป็นเส้นยาวบาง ทำจากแป้งผสมบัควีท หรือมันหวาน เสิร์ฟในชามสเตนเลสเย็นๆ คลุกเคล้าด้วยซอสเผ็ดร้อน เป็นเมนูที่ชาวเกาหลีนิยมทานในช่วงฤดูร้อน

9. จาจังมยอน

อาหารเกาหลี จาจังมยอน

บะหมี่ดำเกาหลี ใช้เส้นบะหมี่แบบหนาคล้ายเส้นอุด้ง คลุกเคล้าด้วยซอสที่ทำจากเต้าเจี้ยว ถั่วดำหมัก ผัดกับเนื้อหมูหั่นและผัก นอกจากนี้ จาจังมยอนถือเป็นอาหารที่บ่งบอกถึงความโสด เนื่องจากในวันแบล๊กเดย์หรือวันคนโสดของเกาหลีซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายน เหล่าคนโสดจะพร้อมใจกันรับประทานจาจังมยอนกัน ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีเฉพาะที่เกาหลีที่เดียว

10. จิเก

อาหารเกาหลี จิเก

หรือซุปเกาหลี มีหลากหลายแบบตามประเภทเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไป เช่น เต้าหู้ ไข่ปลา เนื้อปู กิมจิ หรือเนื้อหมู ปรุงรสด้วยโกชูจัง มิโซะหมัก เต้าเจี้ยวหรือกุ้งดองเค็ม นิยมทานเป็นของคั่นกลางระหวางอาหารจานหลัก

ในประเทศเกาหลียังมีอาหารอร่อยอีกมากมายรอให้เพื่อนๆ ได้ไปชิมกัน ใครที่ตามหาอาหารเพื่อตามรอยซีรีส์ที่ชอบ คงสนุกและอิ่มท้องกันนะคะ

และที่สำคัญสำหรับการเดินทางทุกครั้ง เหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ Allianz Travel ขอแนะนำประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า และอื่นๆ อีกมากมาย #DanceMoves จะช่วยให้คุณทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทริปได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://sg.hotels.com/go/south-korea/great-korean-dishes

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel