ทำความรู้จัก JR Pass ตัวช่วย การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น

ทำความรู้จัก JR Pass ตัวช่วยการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น

ใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่น คงวุ่นวายกับการวางแผนการเดินทางเพื่อเก็บให้ได้ทุกเมืองที่อยากไปและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด แต่ค่าเดินทางในประเทศญี่ปุ่นมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นใครที่อยากไปครั้งเดียวเที่ยวให้ครบจบทุกไฮไลท์ ก็อาจจะต้องเสียค่าตั๋วรถไฟจนกระเป๋าฉีกแน่ สิ่งที่จะมาช่วยเราเรื่อง การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ได้ก็คือเจ้าตั๋ว JR Pass หรือชื่อเต็มคือ Japan Rail Pass ซึ่งเป็นตั๋วรถไฟแบบเหมาจ่ายสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ JR ซึ่งไปได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น (Shinkansen) ด้วย

Allianz Travel รวบรวมเรื่องควรรู้ก่อนซื้อตั๋ว JR Pass เพื่อให้ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด และหากคุณไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มตรงไหนดี ลองอ่านดูเลยค่ะ!

Shinkansen

JR Pass คืออะไร

JR Pass หรือชื่อเต็มคือ Japan Rail Pass เป็นบัตรโดยสารรถไฟที่คุ้มค่ามากสำหรับการเดินทางโดยรถไฟทางไกลในญี่ปุ่น และใช้ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้อง การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น ผู้ถือ JR Pass สามารถใช้บริการบริษัทรถไฟในเครือ JR ได้ถึง 6 แห่ง (JR ฮอกไกโด, JR ตะวันออก, JR ส่วนกลาง, JR ตะวันตก, JR ชิโคคุ และ JR คิวชู) สามารถใช้โดยสารรถไฟ JR รวมถึงรถไฟชินคันเซ็น และที่นั่งแบบจองล่วงหน้า (Reserved Seat) ในรถไฟด่วนพิเศษ รถบัสประจำทาง และเรือเฟอร์รี่ได้เกือบทั้งหมดทั่วญี่ปุ่นโดยไม่จำกัดเที่ยว ยิ่งเราเดินทางด้วยรถไฟของ JR เยอะ เราก็จะยิ่งประหยัดค่าเดินทางได้มากในราคาที่คนญี่ปุ่นเองต้องอิจฉา

JR Pass ใช้กับการเดินทางประเภทไหนบ้าง

คุณสามารถใช้ JR Pass ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้งบนเครือข่ายต่อไปนี้:

รถไฟในเครือ JRรถไฟในเครือข่าย JR (การรถไฟญี่ปุ่น) ทั่วประเทศรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) เกือบทุกขบวน (ไม่รวมขบวน Nozomi และ Mizuho) รถด่วนพิเศษ (Limited Express) รถด่วน (Express) รถเร็ว (Rapid) และรถไฟธรรมดา (Local)
โตเกียวโมโนเรล (Tokyo Monorail)เดินทางไปกลับระหว่างสนามบินฮาเนดะกับโตเกียว
เรือเฟอร์รี่ JR Miyajimaนั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะมิยาจิมะ
รถไฟบางขบวนที่ไม่ใช่ของ JR(เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR)ผู้ถือบัตร JR Pass สามารถขึ้นรถไฟที่ไม่ใช่ของ JR บางสายเพื่อไปเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟ JR เท่านั้น ได้แก่
– รถไฟสาย Aoimori เมื่อขึ้นที่ Aomori, Noheji และ Hachinohe เท่านั้น เพื่อไปต่อ JR Ominato ไปยังคาบสมุทร Shimokita
– รถไฟสาย IR Ishikawa ที่วิ่งระหว่าง Kanazawa และ Tsubata เพื่อไปต่อสาย JR Nanao ไปยังคาบสมุทร Noto
– รถไฟสาย Ainokaze Toyama ที่วิ่งระหว่าง Toyama และ Takaoka เพื่อไปต่อสาย JR Himi Line และ JR Johana Line
รถบัสประจำทาง JRรถบัสประจำทางที่ดำเนินการโดยบริษัท JRดังต่อไปนี้:
– ยามากุจิ – ฮางิ
– สถานีเกียวโต – เรียวอันจิ – ทาคาโอะ
– สถานีคานาซาว่า – เค็นโรคุเอ็น
– สถานีโตเกียว – ศูนย์นิทรรศการนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Exhibition Center)
– รถบัส JR ไปทะเลสาบโทวาดะ
– รถบัสท่องเที่ยว JR ในฮิโรชิมา
– รถบัส JR ที่วิ่งรอบซัปโปโร
– รถบัสประจำทาง JR ไปคุซัตสึ ออนเซ็น (Kusatsu Onsen) ในจังหวัดกุนมะ

JR Pass มีแบบไหนบ้าง

JR Pass มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่เดินทางเดินทางไม่จำกัดได้ทั่วประเทศ ในบางพื้นที่ หรือในภูมิภาคที่กำหนด นอกจากนี้ยังแยกประเภทออกตามจำนวนวันและคลาสที่นั่งอีกด้วย ตารางด้านล่างเป็นราคาสำหรับ JR Pass ที่เดินทางได้ทั่วประเทศ

จำนวนวันเดินทางOrdinaryGreen Car
ผู้ใหญ่เด็กผู้ใหญ่เด็ก
7 วัน29,650 เยน14,820 เยน39,600 เยน19,800 เยน
14 วัน47,250 เยน23,620 เยน64,120 เยน32,060 เยน
21 วัน60,450 เยน30,220 เยน83,390 เยน41,690 เยน

ตามตารางจะเห็นได้ว่า JR Pass แบบ All Area จะแบ่งตัวออกเป็น 2 ประเภท คือแบบ Green และ Ordinary โดยแบบ Green จะเปรียบเสมือนที่นั่ง First Class ที่อำนวยความสะดวกให้มากกว่า รวมถึงขนาดที่นั่งใหญ่กว่า ระยะห่างระหว่างขาเพิ่มขึ้น ความแออัดบนขบวนน้อยลง และมีที่ชาร์จ USB ในแต่ละที่นั่ง และมี 3 ช่วงเวลาเดินทางให้เลือก (7 วัน, 14 วัน, 21 วัน)

ซื้อ JR Pass ยังไง

1. ซื้อผ่านเว็บไซต์ของ JR

  • เวลาทำการของเว็บไซต์คือตั้งแต่ 04:00 น. ถึง 23:30 น. (เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น UTC+9:00)
  • ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น โดยชื่อบนบัตรเครดิตจะต้องตรงกับชื่อผู้ซื้อ สำหรับผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิต สามารถซื้อ JR Pass ได้หากกำหนดการเดินทางเหมือนกับของผู้ชำระเงิน
  • คุณสามารถซื้อ JR Pass สำหรับผู้เดินทางพร้อมกับผู้ซื้อได้สูงสุด 6 คน โดยกรอกชื่อ อีเมล และหมายเลขหนังสือเดินทางของแต่ละคน
  • หลังจากซื้อ JR Pass แล้ว คุณสามารถจองที่นั่งสำหรับชินคันเซ็นและรถไฟด่วนพิเศษในเว็บ JR ได้เลย
  • ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อ JR Pass  ได้

2. ซื้อกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย

การซื้อ JR Pass กับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยจะมีราคาถูกกว่าการซื้อผ่านเว็บไซต์ของ JR หรือซื้อที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วในประเทศญี่ปุ่น คลิกที่นี่ เพื่อเช็คที่อยู่และเบอร์ติดต่อตัวแทนจำหน่าย JR Pass ในประเทศไทย ตัวแทนจำหน่ายบางเจ้าสามารถซื้อออนไลน์ได้ หรือบางครั้งก็มีส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกด้วย

3. ซื้อที่สำนักงานขายตั๋ว JR ในประเทศญี่ปุ่น

JR Pass มีจำหน่ายที่สำนักงานขายบางแห่งในญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566 อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ซื้อตั๋ว JR Pass จะต้องเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเท่านั้น (ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถใช้ได้) และราคาของ JR Pass ที่ซื้อในประเทศญี่ปุ่นจะแพงกว่าซือจากตัวแทนในต่างประเทศ

วิธีรับ JR Pass เมื่อไปถึงญี่ปุ่น

คนที่ซื้อ JR Pass ล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือซื้อกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย คุณจะได้รับ Exchange Order (เวาเชอร์) ซึ่งคุณจะต้องนำไปแลกเป็น JR Rail Pass ตัวจริงเมื่อไปถึงญี่ปุ่น ที่สำนักงานขายตั๋ว JR ที่สถานี JR เท่านั้น และต้องแสดงหนังสือเดินทางด้วย

  • คุณไม่สามารถรับ JR Pass ได้ หากชื่อในหนังสือเดินทางไม่ตรงกับ Exchange Order
  • คุณไม่สามารถรับ JR Pass ได้ หากคุณไม่มีหนังสือเดินทางมายืนยันตัวตน (ใช้สำเนาไม่ได้) หรือมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด
  • คุณไม่สามารถใช้ Exchange Order แทนบัตร JR Pass เมื่อคุณเดินทางด้วยรถไฟ JR 
  • เวลาทำการของสำนักงานตั๋ว JR (รับตั๋ว/เปลี่ยนตั๋ว/ซื้อตั๋ว) ในญี่ปุ่นตั้งแต่ 4.30 น. – 23.30 น. (เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น UTC+9:00)
  • ตรวจสอบเวลาทำการและวันหยุดของสำนักงานตั๋ว JR ได้ที่นี่
  • ประเภทของตั๋วที่ระบุใน Exchange Order ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
  • หาก Exchange Order สูญหาย จะไม่สามารถออก JR Pass ได้
  • คุณจะต้องเปลี่ยน Exchange Order เป็น JR Pass ภายในสามเดือนนับจากวันที่ออกใบสั่งซื้อ
  • ควรเผื่อเวลาไว้เมื่อต้องไปเปลี่ยน Exchange Order เป็น JR Pass เพราะบางครั้งเคาน์เตอร์ที่ให้บริการอาจมีคนหนาแน่น
japanese subway system passenger information display screen

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ JR Pass

  • วันที่รับและวันที่เริ่มต้นใช้ JR Pass ไม่จำเป็นต้องเป็นวันเดียวกัน คุณสามารถเริ่มต้นใช้ JR Pass ได้นานถึง 30 วันหลังจากการแลกเวาเชอร์
  • บัตร JR Pass สามารถใช้เป็นตั๋วขึ้นได้ทุกขบวนตามที่กำหนดไว้ข้างต้น ยกเว้นเมื่อคุณสำรองที่นั่ง คุณจะต้องไปรับตั๋วแบบระบุหมายเลขที่นั่งที่เครื่องจำหน่ายตั๋ว หรือที่เคาน์เตอร์ให้บริการก่อนโดยสารขบวนรถไฟ (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการสำรองที่นั่ง) 
  • รถไฟ JR ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องจองที่นั่ง แต่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนและช่วงการเดินทางที่คับคั่ง ขอแนะนำให้จองที่นั่งเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางเป็นกลุ่มและต้องการนั่งด้วยกัน
  • รถไฟ JR บางขบวนมีเฉพาะที่นั่งแบบที่ต้องจอง ได้แก่ขบวนด้งต่อไปนี้:
  • Narita Express (โตเกียว – สนามบินนาริตะ)
  • รถไฟ Hayabusa และ Hayate สาย Tohoku/Hokkaido Shinkansen
  • รถไฟ Komachi สาย Akita Shinkansen
  • รถไฟ Tsubasa สาย Yamagata Shinkansen
  • รถไฟ Kagayaki สาย Hokuriku Shinkansen
  • รถไฟกลางคืน Sunrise Seto และ Sunrise Izumo
  • หากไม่สามารถขึ้นรถไฟที่จองที่นั่งไว้แล้ว ควรรีบแจ้งยกเลิกการจองที่สำนักงานขายตั๋ว เพื่อให้สิทธิ์กับผู้โดยสารคนอื่น จากนั้นคุณสามารถขึ้นรถไฟขบวนอื่นได้แบบที่ไม่ต้องจองล่วงหน้า หรือเพื่อความอุ่นใจ คุณสามารถจองที่นั่งขบวนใหม่ได้
  • คุณควรเลือกซื้อจำนวนวันเดินทางของ JR Pass ให้ครอบคลุมเฉพาะระยะเวลาที่คุณกำลังเดินทางบนรถไฟจริงๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เวลา 17 วันในญี่ปุ่นแต่ต้องพักในโตเกียวเป็นเวลาสามวัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ JR Pass สำหรับการเดินทางในโตเกียว ดังนั้น การซื้อบัตร 14 วันจะดีกว่าตัวเลือก 21 วันที่แพงกว่า

คำแนะนำสำหรับ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยถไฟ JR

  • สถานี JR หลายแห่งใช้ประตูทางเข้าอัตโนมัติ เมื่อจะเข้าสถานี ให้ใส่ JR Pass เข้าไปในช่องใส่ตั๋ว และพอผ่านประตูเข้าไปแล้ว สังเกตให้ดีถ้าประตูทางเข้าระบุว่า “IC เท่านั้น” แสดงว่าคุณไม่สามารถใช้ JR Pass ผ่านประตูนี้ได้

วิธีใส่ตั๋วในประตูทางเข้าอัตโนมัติ

ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • เมื่อนำสัมภาระที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดที่กำหนดขึ้นรถไฟชินคันเซ็นสาย Tokaido, Sanyo และ Kyushu (เส้นทาง: โตเกียว – นาโกย่า – เกียวโต – ชิน – โอซาก้า – ฮิโรชิมา – ฮากาตะ – คาโกชิม่า – ชูโอะ) ผู้โดยสารจะต้องจองที่นั่งและพื้นที่วางสัมภาระล่วงหน้า อ่านละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • สถานี JR จะมีชื่อสถานีทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษบนชานชาลา ชื่อสถานีที่จะอยู่ด้านบนตรงกลางป้ายด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ และชื่อสถานีก่อนหน้าและสถานีถัดไปจะอยู่ที่ด้านล่างของป้ายด้วยตัวอักษรขนาดเล็ก
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • ตู้ล็อคเกอร์สำหรับฝากกระเป๋าแบบหยอดเหรียญมีอยู่ทั่วไป หากไม่ต้องการถือของไปเยอะเกินไป ก็ควรเตรียมเหรียญร้อยเยนไว้สำหรับหยอดตู้ฝากกระเป๋าด้วย
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • มีบริการ WiFi ฟรีในบริเวณสถานี JR
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • บนรถไฟชินคันเซ็น รถด่วนพิเศษ และรถไฟสายอื่นๆ ของ JR มีขายอาหารกลางวันแบบกล่องหรือ “เอกิเบ็น” (มักเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อในท้องถิ่น) รวมทั้งของว่างและเครื่องดื่มด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถหาซื้อได้ที่ซุ้มจำหน่ายอาหารและร้านค้าที่สถานี ซึ่งบางสถานีอาจมีทั้งร้านอาหารและเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • หากเดินทางในเมืองใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วนในช่วงเช้าและเย็น (ระหว่าง 7:30-9:30 น. และ 17:00-20:00 น.) เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่คนหนาแน่นและเร่งรีบ
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net

ซื้อ JR Pass สำหรับ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น คุ้มไหม

หากถามว่าซื้อ JR Pass คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ คำตอบคือความคุ้มหรือไม่คุ้มขึ้นอยู่กับแผน การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ของคุณ! ถ้าคุณเที่ยวแค่ในเมืองไม่คุ้มแน่นอนค่ะ แต่ถ้าวางแผนเดินทางไกลไปหลายเมืองแบบข้ามภูมิภาค อย่างเช่น วางแผนเที่ยวทั้งโตเกียวและโอซาก้าในทริปเดียวกัน บอกเลยว่าคุ้มมาก เพราะต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงและขึ้นรถไฟหลายสาย 

การใช้ JR Pass นอกจากประหยัดเงินค่าเดินทางได้เยอะแล้ว ยังสะดวกและสามารถยืดหยุ่นได้ตามแผนเดินทางค่ะ ตัวอย่างเช่น คนที่มี JR Pass ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วรถไฟทุกครั้งที่เดินทาง และสามารถแวะเที่ยวระหว่างทางได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มอีกด้วย นอกจากนี้ ทั้ง 2 เมืองยังมีบริการรถไฟ JR ครอบคลุมไปทั่วเมืองด้วย อย่างเช่น เมืองโตเกียวมี JR สาย Yamanote หรือเมืองโอซาก้ามี JR สาย Loop ตั๋ว JR Pass ก็ยิ่งดับเบิลมูลค่าขึ้นไปอีก และในทางกลับกัน ถ้าไปเมืองอื่น อย่างเช่น เกียวโต ซึ่งใช้รถไฟของบริษัทอื่นที่ไม่ใช่ของ JR หรือรถไฟใต้ดิน หรือรถประจำทางสะดวกกว่า ทำให้ไม่สามารถใช้บัตร JR Pass ได้

loop line train morinomiya station osaka japan

คุณสามารถลองคำนวณค่าตั๋วรายเที่ยวโดยประมาณ เพื่อนำมาเปรียบเที่ยบกับราคาของ JR Pass ว่าคุ้มไหมได้จาก Ekispert หรือ Jorudan

ตัวอย่างเปรียบเทียบการซื้อตั๋วแบบรายเที่ยวกับการเดินทางด้วยบัตร JR Pass แบบ 7 วัน และเดินทางเที่ยวข้ามเมือง 3 ทริป

ทริป 1 โตเกียว – เกียวโต – ฮิโรชิมา/มิยาจิมะ – ฮิเมจิ – เกียวโต – ชินโอซาก้า

ทริป 2 ฮาชิโมโตะ – นารา – ทาคายามะ

ทริป 3 ทานาซาว่า – โตเกียว

เส้นทางOrdinary CarGreen Car
สนามบินนาริตะ – เกียวโต15,660 เยน23,010 เยน
เกียวโต – ฮิโรชิมา – เกียวโต21,140 เยน30,000 เยน
เกียวโต – ชินโอซาก้า1,420 เยน3,780 เยน
ฮาชิโมโตะ – นารา1,140 เยน1,140 เยน
นารา – ทาคายามา9,820 เยน15,530 เยน
ทานาซาว่า – โตเกียว13,600 เยน26,970 เยน
รวมค่าตั๋วรถไฟรายเที่ยว52,960 เยน84,900 เยน
ราคา JR Pass 7 วัน29,110 เยน38,880 เยน
ค่าตั๋วที่ประหยัดได้23,850 เยน46,020 เยน

การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นให้สนุก และประหยัดค่าใช้จ่าย ต้องเริ่มจากการวางแผนล่วงหน้าให้ดี ถ้าเรารู้ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ไปยังไง เราก็สามารถคำนวณวัน เวลา จัดเตรียมแผนการใช้บัตร JR Pass ให้คุ้มที่สุดได้ แต่ความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ อย่างเช่น กระเป๋าหาย หรือเที่ยวบินดีเลย์ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : japan-guide.com, japanrailpass.net

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Comments