ที่เที่ยวสิงคโปร์

10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ สุดฮิต ที่ไม่ควรพลาด!

สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทย เหล่าช่างภาพ และอินสตาแกรมเมอร์ที่ต้องไปเยือนเพื่อเก็บภาพมาโพสต์ให้เหล่าแฟนคลับได้ดู การเดินทางไปพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน สามารถจัดเป็นทริประยะสั้นเพียงแค่ 1-2 วันหรือไปกลับภายในวันเดียวก็ได้ ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่น่าสนใจมีเป็นจำนวนมาก มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีประวัติความเป็นมา ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศูนย์การค้าสุดหรู แหล่งช้อปปิ้ง และอาหารอร่อยขึ้นชื่อที่ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก วันนี้ Allianz Travel ได้รวม 10 สถานที่ยอดนิยมที่ไม่ควรพลาดหากได้ไปเยือนสิงคโปร์มาให้ผู้ที่มีแผนกำลังจะเดินทางได้เก็บไว้ในเช็คลิสต์กันด้วยค่ะ

1. Jewel Changi Airport

จีเวล ชางงี แอร์พอร์ต (Jewel Changi Airport) ที่เที่ยวสิงคโปร์ ยอดนิยม เป็นอาคารศูนย์การค้าของสนามบินชางงีประเทศสิงคโปร์ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกัน 7 ปี ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลกคือ Moshe Safdie ผู้ออกแบบมารีน่า เบย์ แซนด์สร่วมกับสถาปนิกฝีมือดีอีกมากมาย เป็นอาคารที่เชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสาร 1, 2 และ 3 ส่วนอาคารผู้โดยสารที่ 4 จะมีรถรับส่งมายังอาคาร ลักษณะของอาคารเป็นรูปโดม ประกอบไปด้วยสวนป่า Forest Valley ที่มีน้ำตกในร่มที่สูงถึง 40 เมตรอย่าง The HSBC Rain Vortex และรายล้อมไปด้วยต้นไม้กว่า 2,000 ต้น

Jewel Changi Airport

ภายในสนามบิน Jewel Changi ยังมีโรงภาพยนตร์ 2 แห่ง และส่วนที่ให้ความบันเทิงต่างๆ มีสวนในร่มที่มีเขาวงกตในสวนและจุดชมวิวที่สวยงาม และสไลเดอร์สูง 12 เมตร (ความสูงตึก 4 ชั้น) สามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เว็บไซต์ : https://www.jewelchangiairport.com/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/YHXQH3teGoBwqLij8

2. Merlion Park

สวนสาธารณะขนาดเล็กริมอ่าวมารีน่าเบย์ (Marina Bay) เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเมอร์ไลอ้อน (Merlion) ที่มีหัวเหมือนสิงโต และลำตัวของปลา มีน้ำหนัก 70 ตันและสูง 8.6 เมตร โดยตรงส่วนปากของมันจะมีน้ำพุพ่นออกมา โดยเจ้า Merlion ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำชาติ ของประเทศสิงคโปร์ และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่มีผู้เข้าชมมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี

Merlion Park

สวนสาธารณะ Merlion เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ไม่ว่าคุณจะกำลังถ่ายเซลฟี่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัญลักษณ์หรือถ่ายภาพทิวทัศน์อันงดงามจากสวนสาธารณะเมื่อมองออกไปนอกอ่าว

แผนที่ : https://g.page/merlion-park-singapore?share

3. Marina Bay Sands

Marina Bay Sands คือรีสอร์ทสุดหรูซึ่งเปิดให้เป็นศูนย์กลางการให้บริการอย่างครบวงจร ประกอบไปด้วย โรงแรม ศูนย์การค้า
แบรนด์เนม พิพิธภัณฑ์ ArtScience Museum ร้านอาหารชื่อดัง จุดชมวิวสูงของเมือง รวมไปถึงคาสิโนหรูด้วยค่ะ

Marina Bay Sands

อาคาร Marina Bay Sands มีเป็นลักษณะเหมือนไพ่สามใบเรียงกันโดยมีเรือวางอยู่ด้านบน ซึ่งเรือข้างบนชั้นที่ 57 มีชื่อว่า Sky Park ที่มีสระน้ำสุดหรูแบบ Infinity Pool ไว้คอยให้บริการลูกค้าของโรงแรม นอกจากนี้สระน้ำของ Marina Bay Sands ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสระน้ำลอยฟ้าที่สูงที่สุดในโลกด้วยค่ะ นอกจากนี้ถ้ายืนอยู่ที่จุดชมวิว Sky Park เราสามารถมองเห็นวิวได้ทั่วทั้งเมือง ทั้งสะพานเกลียวคู่ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ท่าเรือ สวน Gardens by the Bay และเส้นขอบฟ้าที่สวยงาม

ความหรูหราสง่างามของ Marina Bay Sands แสดงให้เห็นถึงรูปแบบและสถานะของสิงคโปร์ในฐานะเมืองนานาชาติที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เว็บไซต์ : http://www.marinabaysands.com/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/PA31wnCD3FKgfeZA9

4. Raffles Hotel Singapore

Raffles Hotel Singapore สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2430 ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งสิงคโปร์ ท่านเซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles) และสร้างโดยพี่น้องตระกูลซาร์กีส์ที่รับดูแลผิดชอบโรงแรมหรูหราอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ในยุคอาณานิคม

Raffles Hotel Singapore
ขอบคุณรูปภาพจาก : RAFFLES SINGAPORE

โรงแรมเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้เป็นหนึ่งในโรงแรมของศตวรรษที่ 19 ที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของโลก และเป็นสถานที่สำคัญของเมืองมาเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ และยังคงรักษาชื่อเสียงอันโด่งดังด้วยอาหารและบริการที่เป็นเลิศ สถาปัตยกรรมคลาสสิกและสวนเขตร้อน และเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ที่หลากหลายและยาวนานของสิงคโปร์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงเคยมาพักผ่อน และสร้างสีสันให้กับโรงแรม อย่างเช่น ชาลี แชปลิน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และรัดยาร์ด คิปลิง

เว็บไซต์ : www.raffles.com/singapore

แผนที่ : https://g.page/raffleshotelsingapore?share

5. Gardens by the Bay

Gardens by the Bay เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาที่ดินริมน้ำบริเวณรอบอ่าวมารีนา ใช้เป็นทั้งพื้นที่จัดแสดงงานและพื้นที่สาธารณะสำหรับกิจกรรมต่างๆ กินบริเวณถึง 250 เอเคอร์ (ราว 630 ไร่ ) นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากอ่าวมาที่สวนนี้โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น สวนแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ สวนริมอ่าวทางใต้ สวนริมอ่าวทางตะวันออก และอ่าวกลาง แต่ละส่วนยังแบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่างๆอีก 7 โซน ได้แก่ Flower Dome, Cloud Forest, Supertree Grove, Heritage Gardens, Dragonfly & Kingfisher Lakes, Bay East Garden และ World of Plants

Gardens by the Bay

โซน Supertree Grove เป็นโซนที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด จุดเด่นจะเป็นกลุ่มโครงเหล็กขนาดยักษ์สีชมพูที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มีต้นไม้จำพวกสับปะรดสี เฟินชนิดต่างๆ กล้วยไม้ และไม้เลื้อยหลากชนิด รวมทั้งสิ้น 162,900 ต้น ปลูกเป็นสวนแนวตั้งบนลำต้นสูงขึ้นไปถึง 25-50 เมตร เทียบเท่ากับตึก 9-16 ชั้น เป็นอีกหนึ่งสวนพฤกษศาสตร์ริมอ่าวมารีน่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

บริเวณด้านบนของ Supertree Grove มีการติดตั้งแผ่น Solar Cell เพื่อเก็บพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าในสวน ตอนกลางคืนจะเห็นไฟประดับต้นไม้ยักษ์สวยงาม มีการแสดงแสง สี เสียง นอกจากนี้ยังมี Cloud Forest Dome น้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกซึ่งเราสามารถเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพจากที่นี่ได้

เว็บไซต์ : http://www.gardensbythebay.com.sg/en.html

แผนที่ : https://goo.gl/maps/gJDLK84yzJquRsDH6

6. Singapore Botanic Gardens

สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Botanic Gardens) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1859 โดยสมาคมเกษตรพืชสวน บนพื้นที่ 60 เอเคอร์และได้รับการแปลงโฉมจากพื้นที่เพาะปลูกที่ทิ้งร้างมาเป็นสวนเพื่อการสันทนาการ ส่วนแห่งนี้เป็นสวนแห่งแรกในประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก

Singapore Botanic Gardens

ไฮไลต์ของที่นี่คือ National Orchid Garden (สวนกล้วยไม้แห่งชาติของสิงคโปร์) ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพืชพรรณและกล้วยไม้กว่า 60,000 ต้น กิจกรรมยอดนิยมอื่นๆ ที่นิยมทำเมื่อได้ไปเที่ยวสวนแห่งนี้ คือ การเยี่ยมชมสวนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทะเลสาบเชิงนิเวศ สวนบอนไซ ประติมากรรม และสวนที่เป็นทางการอื่นๆ อีกหลายแห่ง

Singapore Botanic Gardens

เว็บไซต์ : www.nparks.gov.sg/sbg

แผนที่ : https://goo.gl/maps/k7ucskwZYwxJ21WA7

7. Fort Canning Park

สวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิงเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่บนเนินเขาใจกลางตัวเมืองสิงคโปร์ ที่ภายในแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆที่น่าสนใจทั้งทางด้านประวัติศาสตร์, ลานแสดงดนตรี และธรรมชาติอันร่มรื่น อยู่ติดกับ Clark Quay, พิพิธภัณท์แห่งชาติสิงคโปร์(Singapore National Museum) และใกล้กับย่านช้อปปิ้งถนนออชาร์ด(Orchard Road)

Fort Canning Park

แต่เดิมบริเวณภูเขาแคนนิง(Mount Canning)เป็นเขตที่อยู่ของสุลต่านที่ปกครองเกาะสิงคโปร์ ต่อมา Sir Raffles ได้เข้ามายึดครองเกาะและได้ยึดเอาภูเขานี้เอาไว้เป็นเขตแดนของรัฐบาล ต่อมาที่นี่ได้กลายเป็นป้อมปราการและหอสั่งการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่เรียกว่า Battle Box  ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้เป็นพิพิธภัณท์ที่เกี่ยวกับสงครามด้วย ทำให้ที่สวนแห่งนี้มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางประวัติรวมกันอยู่มากมาย นอกจากนี้ก็จะมีสวนที่สร้างขึ้นเพื่อวิจัยพรรณพืชที่เกี่ยวกับเครื่องเทศต่างๆด้วย

Fort Canning Park

จุดที่เป็นแลนด์มาร์คของผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ และเหล่าอินสตาแกรมเมอร์ทั้งหลาย ก็คืออุโมงบันไดวนที่มีพื้นหลังเป็นต้นไม้สีเขียว ซึ่งสถานที่แห่งนี้ยังได้รับความนิยมสำหรับคนที่ต้องการมาถ่ายพรีเว็ดดิ้งเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังสามารถชมแบบจำลองของตลาดเครื่องเทศ Raffles ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1822 ตลอดจนประติมากรรมของอาเซียนที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1980

แผนที่ : https://goo.gl/maps/8bwejVX7E5bb6e2f8

8. Universal Studios Singapore

Universal Studios Singapore ตั้งอยู่บนพื้นที่ 49 เอเคอร์ของ Resorts World Sentosa เป็นสวนสนุกในธีมภาพยนตร์ฮอลลีวูดแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยว อุปกรณ์เครื่องเล่น และความบันเทิงสำหรับครอบครัวและผู้ชื่นชอบในความตื่นเต้นเร้าใจ

Universal Studios Singapore

โซนเครื่องเล่นแบ่งตามธีมภาพยนตร์ โดยมีทั้งหมด 7 โซนซึ่งถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ โซน Hollywood, New York, Sci fi City, Ancient Egypt, The Lost World, Far Far Away และ  Madagascar ซึ่งแต่ละโซนจะมีเครื่องเล่นและธีมของโซนนั้นๆ โดยบรรยากาศของแต่ละโซนจะถูกอ้างอิงมาจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องต่างๆในเครือยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์ เช่น Shrek, Madagascar, Jurassic Park และ Transformer โดยในเทศกาลต่างๆ จะมีการจัดธีมพิเศษแตกต่างกันออกไปตามเทศกาลนั้นๆ

เว็บไซต์ : https://www.rwsentosa.com/en/attractions/universal-studios-singapore/explore

แผนที่ : https://goo.gl/maps/bCa5As35SZQWAtXE7

9. Singapore Zoo

สวนสัตว์สิงคโปร์ เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ.1973 และเป็นสวนสัตว์แห่งป่าฝนที่ดีที่สุดในโลก ได้รับรางวัลระดับประเทศและระดับสากลมากมาย สวนสัตว์แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์กว่า 2,800 ตัวจาก 300 สายพันธุ์ (อาทิ จระเข้ สมเสร็จมลายู และเสือขาว) เป็นสวรรค์ของสัตว์ป่าพันธุ์ต่างๆ ในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ความสะอาด และความน่าอยู่ โดยสัตว์ต่างๆ ได้รับการดูแลอย่างดี มีพืชพันธุ์เขียวชอุ่มและพื้นที่จำนวนมาก และเป็นที่ที่คนรักสัตว์ต้องแวะไปเยือน

9. Singapore Zoo
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash |
Gillian Putri@gillsgillian

ที่นี่แบ่งเป็นโซนต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 11 โซน คุณจะได้พบกับสัตว์แปลกๆ ที่น่าสนใจมากมายในสวนสัตว์แห่งนี้ ที่อยู่ในถิ่นที่อยู่แบบเปิด ซึ่งออกแบบให้ใกล้เคียงถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้นให้มากที่สุด ที่นี่ลิงอุรังอุตังจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวสามารถชมมันแกว่งไปมาบนแท่นและกินผลไม้ สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสัตว์อื่นๆ  เช่น ชิมแปนซีขนาดใหญ่ ม้าลาย เมียร์แคต มังกรโคโมโด หนูตุ่น เสือขาว จิงโจ้ และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย

เว็บไซต์ : www.wrs.com.sg/en/singapore-zoo

แผนที่ : https://g.page/sg-zoo?share

10. Orchard Road

ถนนออร์ชาร์ดนับเป็นสวรรค์ของนักช้อปทุกคน ตั้งแต่ห้างค้าปลีกหรูหราไปจนถึงภัตตาคารอาหารนานาชาติชั้นนำระดับโลก ย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดของสิงคโปร์แห่งนี้คือแหล่งรวมประสบการณ์อันหลากหลาย

Orchard Road
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash | K8@k8_iv

หากแวะเยี่ยมชมถนนออร์ชาร์ด คุณจะได้ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ตื่นตาตื่นใจ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ ที่ขายสินค้าแบรนด์ดัง ของสะสมของเอเชีย และของที่ระลึกที่ไม่ซ้ำใคร ห้างสรรพสินค้าที่ออกแบบทันสมัย เป็นช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ที่ชวนตื่นตา มีตั้งแต่สินค้าแบรนด์หรูไปจนถึงแฟชั่นไฮสตรีท และร้านที่ขายของไลฟ์สไตล์ต่างๆ ชมผลงานศิลปะจากพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินชาวสิงคโปร์และศิลปินต่างชาติ ที่จะกระตุ้นแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของคุณ ไปจนถึงเดินดูเสื้อผ้าแฟชั่นราคาไม่แพง ตามสมัยนิยม และสถานเสริมความงามที่ราคาจับต้องได้ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มากมาย

นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์สี่แห่ง โรงภาพยนตร์ IMAX ร้านคาราโอเกะ KTV และร้านอาหารมากมายในบริเวณใกล้เคียงที่ให้บริการอาหารนานาชาติ

เว็บไซต์ : http://www.orchardroad.org/

แผนที่ : https://goo.gl/maps/A23x97WL1JfxPm2t7

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในสิงคโปร์ที่ Allianz Travel นำมาฝาก คงทำให้หลายๆ คนเพิ่มสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่อยู่ในลิสต์ของประเทศที่อยากไปกัน และตอนนี้สิงคโปร์ก็เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้แล้ว เริ่มกดวันลาหรือมองหาวันหยุด เตรียมตัวแพ็คกระเป๋า แล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปเที่ยวกันได้เลย แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้วแต่ยังไงเราก็ควรอัพเดทข่าวสารและมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์กันด้วยนะคะ วางแผนการเดินทางและเตรียมความพร้อมให้ดี สิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ คือ ประกันการเดินทาง ที่จะช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : 20 Top-Rated Tourist Attractions in Singapore | Visitsingapore.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

8 ประเทศยอดนิยม เรียนต่อคอร์สภาษาอังกฤษ

8 ประเทศยอดนิยม เรียนภาษาอังกฤษ

การไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือไป เรียนภาษาอังกฤษ ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษกันในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้เราได้ฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ และได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ จะทำให้เราได้ฝึกสำเนียงที่ถูกต้องและมีความกล้าพูดกับผู้ที่ใช้ภาษานั้นๆ และอาจช่วยให้เราพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่เราต้องตัดสินใจอีกอย่างคือการเลือกประเทศที่เราจะไปเรียนให้เหมาะกับทุนทรัพย์ ระยะเวลา และความคุ่มค่ากับสิ่งที่เราจะได้รับ โดยเราสามารถเลือกคอร์สที่เราสนใจได้ ตัวอย่างเช่น

· General English เรียนพูด อ่าน เขียน เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
· Academic English เรียนเพื่อนำไปใช้ในการเรียนระดับปริญญา
· Business English เรียนเพื่อนำไปใช้ในการทำธุรกิจ

Allianz Travel ขอรวบรวมประเทศที่คนนิยมไปเรียนต่อภาษาอังกฤษกัน มาให้เพื่อนๆ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจกันค่ะ

1. สหราชอาณาจักร (United Kingdom)

ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ จะมีที่ไหนที่ดีไปกว่าการไปเรียนต่อที่ประเทศต้นฉบับเจ้าของภาษาอย่างสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วย 4 ประเทศ คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ และไม่เพียงแต่มีมหาวิทยาลัยที่ผลัดกันรั้งตำแหน่งอันดับ 1 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก อย่างเช่น Oxford หรือ Cambridge แล้ว ก็ยังมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่ติด Top 100 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกด้วย

สหราชอาณาจักร (United Kingdom)

เพื่อนๆ สามารถเลือกเมืองที่จะไปเรียนภาษาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันได้เลย เพราะเราอาจจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่หลายเดือน จนถึงอาจเป็นปีเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นถ้าชอบเมืองการศึกษา ก็ต้องเลีอกมหาวิทยาลัยใน Oxford หรือ Cambridge ถ้าชอบกีฬา ก็มีให้เลือกทั้ง Liverpool, Manchester หรือ Leicester หรือถ้าชอบอยู่ในเมืองที่มีกิจกรรมมากมายที่สามารถ่ออกไปใช้ชีวิตในยากว่างก็อาจจะต้องเลือกเรียนใน  London เป็นต้น

จุดเด่น

· เรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาในสำเนียงภาษาอังกฤษแบบบริติช

· มีหลักสูตรภาษาอังกฤษให้เลือกเรียนมากมาย

· มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม มีโรงเรียนสอนภาษามากมายที่มีคุณภาพระดับโลก

· เป็นประเทศที่สามารถผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี

· สามารถเดินทางท่องเที่ยวประเทศในยุโรปได้สะดวก

· มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ และเทศกาลประจำปีชื่อดังมากมาย

· มีชื่อเสียงด้านกีฬาโดยเฉพาะสโมสรฟุตบอลดังๆ เช่น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี อาร์เซลนอล เป็นต้น

· มีระบบคมนาคมยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถไฟ

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับคอร์สเรียนประมาณ 6 เดือน จะมีค่าเรียนตั้งแต่ 120,000 – 260,000 บาทขึ้นอยู่กับสถาบัน

2. ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA)

หลายคนคงมีชื่อประเทศอเมริกาติดอันดับสถานที่ที่อยากไปเรียนต่อเพื่อฝึกภาษากันอยู่แล้ว เพราะมีชื่อเสียงด้านคุณภาพการศึกษาที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้นำการศึกษาโลก มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่คุณภาพอเมริกา และเป็นจุดหมายของนักศึกษาต่างชาติทั่วโลก

ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA)

อเมริกาเป็นประเทศใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง แต่ละรัฐแต่ละเมืองก็จะมีความหลากหลาย วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม หรือกิจกรรมการท่องเที่ยวก็มีให้เลือกมากมาย หากจะเลือกเมืองที่สนใจจะไปเรียนภาษาก็อาจจะต้องคำนึงถึงค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปตามขนาดของเมือง ซึ่งเราขอยกตัวอย่างค่าที่พักของแต่ละเมืองดังนี้

· เมืองขนาดใหญ่ เช่น New York, San Francisco, Chicago, Miami ค่าที่พักประมาณเดือนละ 1,360 – 1,680 USD หรือประมาณ 44,880 – 55,440 บาท)

· เมืองขนาดกลาง เช่น San Diego, Seattle, Portland ค่าที่พักประมาณเดือนละ 1,180 – 1360 USD หรือประมาณ 38,940 – 44,880 บาท

· เมืองขนาดเล็ก เช่น St Louis, Oklahoma, Thousand Oak, Orlando, Richmond ค่าที่พักประมาณเดือนละ 900 – 1200 USD หรือประมาณ 29,700 – 39,600 บาท

จุดเด่น

· ได้เรียนภาษาสำเนียง American ซึ่งเป็นสำเนียงที่คนไทยคุ้นเคยกัน

· เป็นประเทศทันสมัย และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

· มีจำนวนมหาวิทยาลัยให้เลือกมากมายหลังคุณจบคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

· ผู้คนมีความหลากหลาย พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

· มีโอกาสเที่ยวและเก็บประสบการณ์ชีวิตได้อย่างมากมาย

· ได้เรียนรู้และสัมผัสวัฒนธรรมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับการเรียนภาษา 24 สัปดาห์ หรือประมาณ 6 เดือน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

· กลุ่มที่ 1 โรงเรียนแบบประหยัด (กลุ่ม Budget): ประมาณ 3800 – 4800 USD (120,000 – 150,000 บาท)

· กลุ่มที่ 2 โรงเรียนแบบจริงจัง (กลุ่ม Specialist): ประมาณ 5,300 – 6,300 USD (170,000 – 200,000 บาท)

· กลุ่มที่ 3 ศูนย์สอนภาษาของมหาวิทยาลัย (University): ประมาณ 7,200  -8,400 USD (230,000 – 270,000 บาท)

3. ประเทศออสเตรเลีย (Australia)

ประเทศออสเตรเลียเป็นตัวเลือกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประเทศไทย ค่าใช้จ่ายไม่แพง สภาพภูมิอากาศดีไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมชายหาดที่ล้อมรอบประเทศ ไม่ว่าจะเลือกเรียนที่เมืองอะไรก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองอื่น ๆ ได้สะดวก เป็นประเทศที่ต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ ผู้คนเป็นกันเอง มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีถึง 5 เมืองติด 10 อันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2021 (โดย Economist Intelligence Unit) ได้แก่ Adelaide, Perth, Melbourne, และ Brisbane

เรียนภาษา ประเทศออสเตรเลีย

ออสเตรเลียถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการไป เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะทางด้านภาษา เพราะนอกเหนือจากค่าเงินที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษแล้ว ออสเตรเลียยังเปิดโอกาสให้นักเรียนต่างชาติสามารถทำงานควบคู่ไประหว่างเรียนอีกด้วย โดยผู้ถือวีซ่านักเรียนจะสามารถทำงานได้ถึง 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ตามกฎหมาย ออสเตรเลียมีโรงเรียนสอนภาษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับโลก เมืองที่มีโรงเรียนภาษาเยอะๆ และติดอันดับยอดนิยมที่เด็กไทยมักเลือกไปเรียนกัน ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น บริสเบน และโกลด์โคสต์ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเลื่อกได้ตามความชอบและ Lifestyle ของแต่ละคน

· ซิดนีย์ (Sydney) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย คนเยอะ มีแหล่งชอปปิ้งและของกินมากมาย ค่าที่พักแพง แต่มีให้เลือกหลายรูปแบบ

· เมลเบิร์น (Melbourne) เมืองสวยออกแนวอาร์ทๆ เมืองใหญ่ คนเยอะ แต่อากาศเปลี่ยนไปมา โดยที่เราอาจจะเจอทั้งร้อน หนาว และฝนในวันเดียวกัน ค่าที่พักราคาพอๆ กับซิดนีย์

· บริสเบน (Brisbane) เป็นเมืองกิจกรรมสำหรับคนที่ชอบกิจกรรม Outdoor และกีฬา อากาศคล้ายเมืองไทย มีแดดตลอดทั้งปี ค่าครองชีพถูก ค่าที่พักไม่แพง

· โกลด์โคสต์ (Gold Coast) อีกหนึ่งเมืองใหญ่ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษในบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยลมทะเลและชายหาดอันสวยงาม มีร้านอาหารและร้านค้าต่างๆมากมาย มีสวนสนุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีกิจกรรมกีฬาทางน้ำอย่าง การโต้คลื่น หรือ Surfing

จุดเด่น

· เป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร

· อยู่ใกล้กับประเทศไทย ไป-กลับ สะดวก

· มีสถาบันสอนภาษามีคุณภาพระดับสากลมากมาย

· เปิดโอกาสให้นักเรียนที่มาเรียนภาษาทำงาน Part time ได้

· ภูมิประเทศสวยงาม อาหารการกินสมบูรณ์ และสภาพอากาศเหมาะสมกับคนไทย

· กิจกรรมเยอะ ได้ท่องเที่ยวกับธรรมชาติอย่างเต็มที่

· คนไทยเยอะ ไม่เหงา มีเพื่อนแน่นอน

· มีระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถท่องเที่ยวเมืองอื่น ๆ ได้ง่าย

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับการเรียนภาษา 24 สัปดาห์ จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 140,000 – 300,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรียนและประเภทของคอร์สที่จะเรียน

4. ประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand)

นิวซีแลนด์ถูกจัดอันดับให้เป็นเป็นประเทศที่ปลอดภัยอันดับต้น ๆ ของโลกจากหลายองค์กรเชื่อถือได้ และเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ อาทิเช่น World Population Review, U.S. News, Condé Nast Traveler, Worldpackers, Vision of Humanity เป็นต้น นอกจากนี้นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศที่น่าจับตามองมาก ๆ ในช่วงโควิด-19 เพราะที่นิวซีแลนด์สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ยอดเยี่ยมจนทำให้เมือง Auckland ขึ้นอันดับหนึ่งเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2021 (โดย Economist Intelligence Unit) ที่นิวซีแลนด์ยังมุ่งมั่นพัฒนาด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี การศึกษาของที่นิวซีแลนด์มุ่งเน้นทักษะเพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต แถมที่นี่ดูแลนักเรียนต่างชาติดีมากๆ

ประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand)

จุดเด่น

· นิวซีแลนด์ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ

· ระบบการศึกษาของนิวชีแลนด์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในระดับการศึกษาที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก

· สำหรับนักเรียนต่างชาติที่สมัครเรียนตั้งแต่ 14 สัปดาห์ขึ้นไป และอายุ 18 ปีขั้นไปสามารถทำงาน Part-time ได้ถึง 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

· ผู้คนเป็นมิตร ยินดีต้อนรับและช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติ

· สามารถท่องเที่ยวในประเทศได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะไปเดินป่า เที่ยวภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ หรือชายหาด

· ค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพ ที่ไม่สูงจนเกินไป สมเหตุ สมผล

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

ค่าเรียนภาษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องการเรียน ส่วนมากสถาบันสอนภาษาอังกฤษจะคิดค่าเรียนเป็นรายสัปดาห์ เริ่มต้นที่ NZD 250 หรือประมาณ 5,000 บาทต่อสัปดาห์ แต่ถ้าเรียนศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัย ค่าเรียนอาจจะสูงถึง NZD 450 หรือประมาณ 9,000 บาทต่อสัปดาห์

นอกจากค่าเรียนภาษาอังกฤษแล้ว เราจะต้องเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่มให้กับสถาบันอย่างเช่น ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่า resource fee เป็นต้น โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน ซึ่งจะเรียกเก็บไม่เท่ากัน อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 15,000 บาท

5. ประเทศแคนาดา (Canada)

แคนาดาคืออีกหนึ่งประเทศของโลกในทวีปอเมริกา ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของการศึกษาที่มีศักยภาพดีเยี่ยม มาตรฐานการศึกษายอดเยี่ยม หลักสูตรและการสอนมีความทันสมัย ภาษาอังกฤษมีสำเนียงคล้ายอเมริกัน แต่ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า นอกจากนี้  แคนาดายังเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัย อัตราการก่ออาชญากรรมต่ำมาก และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในปี 2021 (โดย U.S. News and World Report) มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่หลากหลายและสวยงาม เช่น Rocky Mountains, Banff National Park, Niagara Falls เป็นต้น นอกจากนี้ 3 เมืองใหญ่ของแคนาดายังมีมหาวิทยาลัยติดอันดับ Top 50 QS World University Rankings 2021 ซึ่งได้แก่ Toronto, Montreal และ Vancouver

ประเทศแคนาดา (Canada)

จุดเด่น

· มีมาตราฐานการศึกษาดี เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

· เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในปี 2021 และมีความปลอดภัยสูง

· คุณภาพชีวิตดีอันดับ 1 ของโลก (2019 US News’ world report)

· สัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แบบวิวหลักล้าน

· มีภาษาราชการ 2 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ไปเรียนภาษาอังกฤษอาจจะได้ภาษาฝรั่งเศสกลับมาด้วย

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

· สำหรับการเรียนภาษา 20 สัปดาห์ (ประมาณ 5 เดือน) ค่าเรียนประมาณ 130,000-160,000 บาท

· สำหรับการเรียนภาษา 36 สัปดาห์ (ประมาณ 9 เดือน) ค่าเรียนประมาณ 210,000-260,000 บาท

· สำหรับการเรียนภาษา 48 สัปดาห์ (ประมาณ 1 ปี) ค่าเรียนประมาณ 280,000-340,000 บาท

6. ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)

สิงคโปร์ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีหลักสูตรการศึกษาที่ดี เศรษฐกิจดี และเป็นประเทศในเอเชียที่มีการศึกษาติดอันดับต้นๆ ของโลก สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าไทย บ้านเมืองสะอาด ผู้คนตรงต่อเวลาและมีระเบียบวินัยสูง เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีผู้คนสนใจเดินทางเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี การไปเรียนต่อที่สิงคโปร์จึงได้พบกับเพื่อนๆจากหลากหลายประเทศ แถมไม่ต้องเดินทางไปไกลจากไทย ที่พักดี เมืองปลอดภัย  นักเรียนไทยปรับตัวเข้ากับ อาหาร เพื่อนต่างชาติ และวัฒนธรรรมได้ไม่ยากนัก

เรียนภาษา ประเทศสิงคโปร์

จุดเด่น

· อยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดเดินทางสะดวก เวลาต่างจากที่ไทยไม่กี่ชั่วโมง

· เป็นประเทศในเอเชียที่มีความอินเตอร์สูง มากกว่า 40% เป็นชาวต่างชาติ

· มีระบบการเรียนการสอนตามมาตราฐานสากล

· มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและกิจกรรมให้ทำมากมาย

· อาหารมีให้เลือกหลากหลายทั้ง มาเลย์ จีน อินเดีย ตะวันตก และยุโรป

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

· หลักสูตร 2 เดือน ประมาณ 1,145-1,980 SGD

· หลักสูตร 4 เดือน ประมาณ 3,585-4,024 SGD

· หลักสูตร 6 เดือน ประมาณ 5,190-6,592 SGD

7. ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)

ไอร์แลนด์เป็นประเทศเล็ก อยู่ติดกับประเทศอังกฤษ ภาษาราชการของชาวไอริชคือ ภาษาไอริช และภาษาอังกฤษ ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีอันดับต้นๆของโลก รัฐบาลไอร์แลนด์มุ่งมั่นสร้างประเทศให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และทันสมัย ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านการศึกษาและเทคโนโลยีสูงไม่แพ้ประเทศอื่นในแถบยุโรป เป็นประเทศที่สวยงาม และที่สำคัญอุปนิสัยอันเป็นมิตรของชาวไอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ให้ความสำคัญในการศึกษาจึงทำให้คุณภาพการศึกษามีคุณภาพสูง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักเรียนและนักศึกษาเลือกประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทางในการศึกษาต่อ

ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)

จุดเด่น

· ระบบการศึกษาในประเทศไอร์แลนด์ได้รับการยกย่องให้เป็นระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา

· ประเทศไอร์แลนด์ลงทุนให้กับการศึกษาทั้งในระดับงานวิจัย และการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

· มีหลักสูตรต่างๆ มากมาย ได้รับการยอมรับจากองค์กรนานาชาติ

· การเข้าถึงโอกาสที่จะได้ศึกษาระบบงานวิจัยที่ดีที่สุดในโลก

· วีซ่านักเรียนสามารรถทำงานพาร์ทไทม์ได้ 20 ช.ม./สัปดาห์ หรือทำงานเต็มเวลา 40 ชม /สัปดาห์ ช่วงปิดเทอม

· มีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาในประเทศไอร์แลนด์มากกว่า 161 ประเทศทั่วโลก

· เป็นประเทศที่ถือได้ว่ามีมิตรสัมพันธ์ดี และปลอดภัยที่สุดในโลก

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

เริ่มต้นที่ 200,000 บาทต่อการเรียน 25 สัปดาห์

8. ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีประชาการพูดภาษาอังกฤษมากเป็นอันดับ 3 รองจากอเมริกาและอังกฤษ และมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ 2 ประเทศนี้ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ที่ฟิลิปปินส์จึงมีนักเรียนชาวต่างชาติมาเรียนต่อเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ หรือเรียนในมหาวิทยาลัยที่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมาก เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเรียนภาษาอังกฤษนอกประเทศแบบเข้มข้น แต่มีงบประมาณไม่มาก

ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)

เมืองเซบูเป็นเมืองยอดนิยมที่มีนักเรียนชาวต่างชาติอย่าง เกาหลี, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีน รวมทั้งอิหร่าน ลิเบีย บราซิล และรัสเซีย มาเรียนภาษาอังกฤษอยู่เสมอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร มีความปลอดภัย มีรถสาธารณะที่สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดาย และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวดังๆอยู่หลายแห่ง

จุดเด่น

· ค่าใช้จ่ายไม่แพง ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ

· โรงเรียนมีมาตรฐานในการคัดเลือกครูที่จบระดับปริญญาตรีด้านการสอนหรือด้านภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ และจะผ่านการอบรม TESOL ซึ่งเป็นการรับรองด้านการสอนภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

· มีนักเรียนจากหลากหลายประเทศ ทำให้มีโอกาสเจอเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย

· ง่ายต่อการปรับตัว เพราะสภาพแวดล้อมและอุปนิสัยของชาวฟิลิปปินส์ใกล้เคียงกับคนไทยมาก

· คนฟิลิปปินส์เกือบทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้เราใช้ชีวิตได้ไม่ยากและได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษตลอดเวลา

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

บางสถาบันเริ่มต้นที่ราคาประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน (ค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าคอร์สเรียน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และส่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น Wifi เป็นต้น)

ทั้ง 8 ประเทศข้างต้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าเราจะเลือกประเทศไหน เราก็จะได้ความรู้และประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ ค่าเรียนและค่าใช้จ่ายของแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับเมือง ที่พัก และระยะเวลาของหลักสูตรการเรียนที่เราเลือก

นอกจากเลือกประเทศที่เหมาะกับเราแล้ว การเลือกซื้อประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศที่มีความคุ้มครองครอบคลุมก็เป็นสิ่งสำคัญ ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณ ระยะเวลาและความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้สามารถเรียนได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ

การเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งในทางเลือกของนักเรียนที่อยากเพิ่มพูนความรู้ พัฒนาเรื่องภาษา และเพิ่มประสบการณ์ชีวิตให้กับตัวเอง และการเรียนต่อต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นชั้นมัธยม ปริญญาตรี โท หรือเอก ก็จะต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยเป็นระยะเวลานาน อาจหลายเดือนหรือหลายปี จึงต้องมีการเตรียมตัวให้รอบคอบ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถมุ่งเน้นไปที่การเรียนได้อย่างมั่นใจ และครอบครัวที่อยู่ทางเมืองไทยก็หายห่วงไปด้วยเช่นกัน ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ ทำให้ผู้เรียนและครอบครัวสบายใจไร้กังวล

ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel คุ้มครองอะไรบ้าง

1. ค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ

ค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ

เมื่อคุณต้องเจ็บป่วยโดยไม่คาดฝัน Allianz Travel พร้อมดูแลคุณอย่างเต็มที่ คุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง และให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศสูงสุดถึง 5,500,000 บาท รวมถึงค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยเมื่อคุณต้องเจ็บป่วยขณะมาเยี่ยมบ้านสำหรับกรมธรรม์ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไปอีกด้วย

2. การชดเชยค่าเล่าเรียน

การชดเชยค่าเล่าเรียน

หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อได้ คุณก็ไม่ต้องเสียค่าเทอมไปฟรีๆ เพราะ ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มอบความคุ้มครองการชดเชยค่าเล่าเรียนจากกรณี:

  • เจ็บป่วยจนต้องรับการรักษาในฐานะผู้ป่วยใน ติดต่อกันเกิน 1 เดือน
  • ป่วยหนักจนต้องถูกส่งตัวกลับประเทศเพื่อรับการรักษาต่อ
  • คู่สมรส คุณพ่อ คุณแม่ หรือบุตรตามกฎหมายของผู้ทำประกันภัย เสียชีวิต

3. ค่าเดินทางของญาติเพื่อมาเยี่ยมตอนเราป่วย

ช่วงเวลาที่เราต้องนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล และไม่มีผู้ดูแล เรามอบค่าตั๋วเดินทางสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ คู่สมรส พี่น้อง 1 ท่าน* สำหรับการเดินทางมาเยี่ยมผู้เรียน พร้อมค่าที่พักและค่าอาหารวันละ 5,000 บาท เมื่อเราต้องได้รับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน ติดต่อกันตั้งแต่ 5 วันขึ้นไป

4. การชดเชยกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ

การเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุจนต้องเสียชีวิตหรือพิการเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เหตุการที่ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นหากมีเหตุสุดวิสัยจนต้องเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เรามีความคุ้มครองเป็นเงินเยียวยาให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุไว้บนกรมธรรม์ สูงสุดถึง 3,000,000 บาท

5. การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน

ให้ความคุ้มครองการช่วยเหลือในการประสานงานสำหรับการเคลื่อนย้ายจากจุดเกิดเหตุไปยังสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และคุ้มครองค่าย้ายออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้าน หรือแม้แต่ต้องกลับมารักษาตัวต่อที่ประเทศไทย

6. กระเป๋า ทรัพย์สิน สูญหายหรือเสียหายระหว่างการใช้ขนส่งสาธารณะ

กระเป๋า ทรัพย์สิน สูญหายหรือเสียหายระหว่างการใช้ขนส่งสาธารณะ

คุ้มครองกระเป๋า และทรัพย์สิน เสียหายหรือสูญหายจากการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถบัส หรือขนส่งสาธารณะอื่นๆ

7. ความรับผิดชอบตามกฏหมายต่อบุคคลภายนอก

ไม่ต้องกังวล หากเราพลาดทำสิ่งของของผู้อื่นเสียหาย หรือทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บโดยไม่มีเจตนา เพราะประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มอบความคุ้มครองช่วยชดใช้ค่าเสียหายกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เราทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือทำข้าวของเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ และได้รับการตัดสินทางกฎหมายแล้ว

การไปเรียนต่อต่างประเทศ เป็นก้าวหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต ดังนั้นการเลือกซื้อประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศที่มีความคุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปเรียนมีความสำคัญมาก ซึ่ง ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

Singapore open border and exempt quarantine for vaccinated tourist

สิงคโปร์เปิดประเทศแล้ว นักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนครบโดส ไม่ต้องกักตัว

สิงคโปร์เปิดประเทศ แล้ว! ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 รัฐบาลสิงคโปร์จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการคุมระบาดของโรคโควิด-19 โดยอนุญาตให้นักเดินทางจากทุกชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว รายละเอียดของมาตรการแตกต่างกันไปสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและยังฉีดไม่ครบโดส เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเที่ยวเกาะสิงคโปร์ได้อย่างมั่นใจ 

Jewel Changi Airport - Singapore

1. สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดส

ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสสามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องมีการขออนุมัติเข้าประเทศหรือการกักตัว แต่ต้องแสดงเอกสารยืนยันผลตรวจโควิด-19 ชนิด RT-PCR หรือ Antigen Rapid Test (ART) เป็นลบ ที่ออกโดยสถานพยาบาลในระยะเวลาไม่เกิน 2 วันก่อนการเดินทาง

*ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและเด็กอายุ 12 ปีและต่ำกว่าที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดสสามารถเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ได้

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนออกเดินทาง:

2. สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบโดส

ผู้เดินทางระยะสั้นที่ได้รับวัคซีนไม่ครบโดส ทางสิงคโปร์ยังไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ ยกเว้นในกรณีที่ได้รับการอนุมัติอื่น ๆ หรือมีเหตุจำเป็นต้องเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนออกเดินทาง:

  • ต้องดำเนินเรื่องการขออนุมัติเพื่อเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์:
  • ระยะเวลา 2 วันก่อนออกเดินทาง:
    • ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) หรือ Antigen Rapid Test (ART) ที่ได้รับการรับรองโดยสถานพยาบาล
  • เมื่อเดินทางมาถึงสิงคโปร์:
    • ต้องเข้ารับการกักตัว 7 วัน (Stay-Home Notice: SHN) ณ ที่พักที่ท่านจองล่วงหน้าไว้
  • หลังครบกำหนดกักตัว:
    • ทำการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR

แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันโควิด-19 เมื่อเดินทางมาสิงคโปร์

สวมหน้ากากอนามัย

นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะสวมหรือไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่กลางแจ้ง แต่เมื่ออยู่ภายในอาคารจะต้องสวมหน้ากากอนามัยเสมอ ยกเว้นขณะรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม

การรวมกลุ่ม

อนุญาตให้รวมกลุ่มได้สูงสุด 10 คน

– การรับประทานอาหารในร้าน

ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถรวมกลุ่มกันรับประทานอาหารในร้านได้สูงสุด 10 คน ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ศูนย์อาหาร และร้านกาแฟ โดยทางร้านจะมีการตรวจสอบสถานะการฉีดวัคซีนที่บริเวณทางเข้า

นักท่องเที่ยวสามารถอัพเดทข่าวสาร มาตรการการเดินทาง และติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในสิงคโปร์ได้ทางเว็บไซต์ กระทรวงสาธารณสุข และ Gov.sg

ถึงแม้สิงคโปร์ หรือหลายๆ ประเทศ จะเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสสามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวแล้ว แต่เราก็ควรติดตามและอัพเดทข่าวสาร มาตรการการเดินทางเข้าประเทศของแต่ละประเทศ พร้อมทั้งวางแผนการเดินทางเพื่อเตรียมความพร้อมให้ดี และสิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ คือ ประกันการเดินทาง ที่จะช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: มาตรการการเดินทางเข้าสิงคโปร์สำหรับผู้เดินทางระยะสั้น : visitsingapore.com

เลือกแผนประกันการเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวเกาหลี ไม่ควรพลาด

10 ที่เที่ยวเกาหลี ไม่ควรพลาด

ใครคิดถึงเกาหลียกมือขึ้น! สำหรับคนที่คิดถึง ที่เที่ยวเกาหลี สถานที่ท่องเที่ยวในที่ต่างๆ บรรยากาศ วัฒนธรรม ศิลปะ อาหาร ธรรมชาติ และความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางท่องที่ยวในประเทศเกาหลีใต้ เตรียมเก็บกระเป๋าแล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปสัมผัสบรรยากาศเหล่านั้นในเกาหลีกันเลย


วันนี้​ Allianz Travel ขอนำเสนอลิสต์ 10 ที่เที่ยวเกาหลี ยอดนิยมในเกาหลีใต้ที่หลายๆ คนคิดถึง มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ เพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการทำเช็คลิสต์ที่เที่ยวเมื่อเดินทางไปเกาหลีใต้ ไปดูกันเลยว่ามีที่ไหนกันบ้าง

1. พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

ใครที่ไปเที่ยวกรุงโซลจะต้องไม่พลาดพระราชวังคยองบกกุง ซึ่งเป็นพระราชวังที่เก่าแก่และขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงโซล มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสวยงาม และนักท่องเที่ยวมักสวมใส่ชุดประจำชาติเกาหลีหรือชุดฮันบกเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ภายในบริเวณพระราชวัง มีพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ ที่จัดแสดงวัตถุโบราณของราชวงศ์โชซอน และพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ แสดงวิถีชีวิตดั้งเดิมของเกาหลี

2. โซลทาวเวอร์ (N Seoul Tower)

โซลทาวเวอร์ (N Seoul Tower)

หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองโซล เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1980 ตั้งอยู่บนยอดเขานัมซัง สูง 236 เมตร สามารถชมวิวเมืองโซลและบริเวณโดยรอบแบบพาโนราม่า นับว่าเป็นหนึ่งในทาวเวอร์ที่ให้วิวสวยที่สุดในเอเชีย

โซลทาวเวอร์ มีการปรับปรุงใหม่ในปี 2005 และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น N Seoul Tower โดย N ที่เพิ่มขึ้นมานั้นย่อมาจาก new look หรือ รูปแบบใหม่ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาการต่างๆ ทั้งการให้แสงไฟที่หลากหลายและสวยงามขึ้น รวมถึงภายในที่ตกแต่งใหม่ โดยมีร้านอาหารบนหอคอยที่จะหมุนครบรอบทุกๆ 48 นาที ชื่อว่า N Grill และห้องน้ำตกแต่งสไตล์อวกาศ โซล ทาวเวอร์ ยังเป็นที่เที่ยวสุดโรแมนติกที่คู่รักมักเดินทางมาคล้องกุญแจ Love Key Ceremony ไว้ที่ราวเหล็ก เพราะมีความเชื่อว่าคู่รักที่คล้องกุญแจจะมีความรักที่ยืนยาว

3. หมู่บ้านบุกชอนฮันอก (Bukchon Hanok Village)

หมู่บ้านบุกชอนฮันอก (Bukchon Hanok Village)

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาหลีที่อยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องทันสมัยของกรุงโซล เป็นหมู่บ้านที่ยังคงกลิ่นอายของเกาหลีในยุคเก่าแก่ เหมาะสำหรับคนที่ชอบสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ภายในหมู่บ้านมีอาคารแบบดั้งเดิมของเกาหลีที่เรียกว่าฮันอก (hanok) กว่า 100 หลัง มีอายุเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโชซอน ส่วนชื่อบุคชอน (Bukchon) แปลว่าหมู่บ้านทางตอนเหนือ ซึ่งตั้งตามตำแหน่งที่อยู่ทางทิศเหนือของสถานที่สำคัญ 2 แห่งของกรุงโซล คือ คลองชองกเยชอน (Cheonggyecheon Stream) กับ จงโร (Jongno)

4. เกาะเชจู (Jeju)

เกาะเชจู (Jeju)

ที่เที่ยวเกาหลี ยอดฮิตอีกแห่งก็คือ เกาะเชจู เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นเขตมรดกโลก และมีอากาศดีทั้งปี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามจนได้รับฉายานามว่าเป็นฮาวายเกาหลี ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศยอดฮิตของคนเกาหลี และยังเป็นโลเคชั่นที่ถ่ายทำซีรีย์ดังๆ หลายเรื่อง ด้วยทิวทัศน์สวยงามทั้งทะเล หาดทราย ถ้ำ น้ำตก และหน้าผา ให้ได้เที่ยวชมและพักผ่อนหย่อนใจ

5. ย่านช้อปปิ้งเมียงดง (Myeongdong)

หนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านรวงขายสินค้านานาชนิด รวมถึงร้านอาหารหลากหลายประเภท และเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของกรุงโซล นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารรถเข็นแนว Street Food และมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีกหลายแห่งตั้งอยู่บนถนนและตรอกซอกซอย  จึงเป็นสถานที่ซึ่งคุณสามารถเลือกซื้อเลือกหาสินค้านานาประเภทได้ตามใจชอบ ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น, รองเท้า, เครื่องสำอาง และอื่นๆ อีกมากมาย

6. อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (Seoraksan National Park)

อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (Seoraksan National Park)

ตั้งอยู่ในเมืองซกโช จังหวัดคังวอนโด เป็นอุทยานที่มีพื้นที่ถึง 354 ตารางกิโลเมตร และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลี โดยใบไม้ที่นี่จะเป็นที่แรกๆ ในเกาหลีที่เริ่มเปลี่ยนสี โดยปกติใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีช่วงประมาณปลายเดือนกันยายน แต่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี จะมีสัญลักษณ์ของอุทยานป็นรูปปั้นหมีตั้งอยู่ภายในบริเวณพื้นที่ของอุทยาน นอกจากนี้เรายังสามารถขึ้นไปชมวิวทิวเขาได้โดยการนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขา Gwongeumseong Fortress เพื่อขึ้นไปพิชิตจุดสูงสุดของยอดเขา และชมวิวรอบๆ ในมุมสูง นอกจากนี้เรายังสามารถเดินไปตามเส้นทางเดินป่าของทางอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติและความสวยของอุทยาน โดยเส้นทางจะผ่านวัดและสะพานข้ามลำธารที่อยู่ภายในอุทยาน

7. ปูซาน (Busan)

ปูซานเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลี มีชายหาดและรีสอร์ทที่สวยงามเรียงราย มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มากมาย นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านบนเนินเขาของ Gamcheon เป็นหมู่บ้านสไตล์ยุโรปบนหน้าผาที่อยู่เหนือทะเลที่หลายคนบอกว่าเป็นซานโตรินีในเวอร์ชั่นเกาหลีบ้านและอาคารภายในหมู่บ้านถูกทาเป็นสีพาสเทลมีการประดับตกแต่งด้วยรูปปั้น และงานศิลปะแบบต่างๆ โดยรูปปั้นที่โด่งดังที่สุดคือรูปปั้นของเจ้าชายน้อย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่หลายๆ คนจะต้องแวะมาถ่ายรูปด้วยเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวที่ปูซาน

8. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี (National Museum of Korea)

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี (National Museum of Korea)
ขอบคุณรูปภาพจาก : MUSEUMS OF THE WORLD

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี ตั้งอยู่ในกรุงโซล เป็นสถานที่เก็บรวบรวมผสมผสานศิลปะ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี เพื่อแสดงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และบอกเล่าวเรื่องราวของชาวเกาหลี ตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน โดยวัตถุหรือสิ่งของที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์มีอายุนับล้านปี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รวบรวมสิ่งของทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีมากมาย ตั้งแต่ยุคหินไปจนถึงงานศิลปะสมัยใหม่โดยศิลปินเกาหลี

9. ทางรถไฟดอกซากุระคยองฮวา (Gyeonghwa Station)

ทางรถไฟดอกซากุระคยองฮวา (Gyeonghwa Station)

ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายน สถานีรถไฟคยองฮวา เป็นจุดชมซากุระที่สวยอันดับต้นๆ ของเกาหลี เราสามารถนั่งมองรถไฟที่วิ่งผ่านอุโมงค์ดอกซากุระที่ออกดอกเรียงกันอยู่เต็มสองข้างทาง  สถานีรถไฟคยองฮวาได้ยกเลิกการใช้งานไปแล้วตั้งแต่ปี 2015 แต่จะเปิดให้รถไฟวิ่งเฉพาะในช่วงเทศกาล Jinhae Gunhangje Festival ซึ่งเป็นเทศกาลชมดอกซากุระของเมืองจินแฮ โดยรถไฟจะไม่ได้มาจอดที่สถานี เพียงแต่ใช้เป็นทางผ่านไปยังสถานีอื่นๆ

10. อิแทวอน (Itaewon)

อิแทวอน (Itaewon)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ตั้งอยู่ในกรุงโซล ในเขตยงซานกู ใกล้กับแม่น้ำฮัน เป็นแหล่งช้อปปิ้งสำหรับชาวต่างชาติ ย่านอิแทวอนจะมีชาวต่างชาติอยู่มากมาย เป็นย่านที่เหมาะกับการเดินเล่น และช้อปปิ้ง ตลอดสองข้างทางของถนนเส้นหลักจะมีร้านค้ามากมาย ตั้งแต่ร้านค้าแบรนด์ชั้นนำ ร้านค้าแผงลอย ร้านอาหารนานาชาติ รวมไปถึงแหล่งเที่ยวกลางคืน เช่น สถานบันเทิง คลับ บาร์ นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นโซลทาวเวอร์ และชมวิวของเมืองบนเนินเขาได้จากที่นั่งบนชั้นดาดฟ้าของร้านอาหารหรือคาเฟ่ในอิแทวอนได้อีกด้วย

10 สถานที่เที่ยวในเกาหลีที่เรานำมาฝากคงทำให้หลายๆ คนหายคิดถึงเกาหลีกันได้บ้างนะคะ หรืออาจจะทำให้คิดถึงมากขึ้นกว่าเดิมจนต้องกดลางาน แล้วเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเกาหลีใต้กันเลย แต่ถึงแม้เกาหลีจะเปิดประเทศให้นักเดินทางเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว และฟรีวีซ่าแล้ว แต่เราก็ควรอัพเดทข่าวสารการเดินทางเข้าประเทศ และวางแผนการเดินทางพร้อมกับเตรียมความพร้อมให้ดี และสิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ คือ ประกันการเดินทาง ที่จะช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันการเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 ประเทศกับกฎข้อห้ามสุดแปลก

7 ประเทศกับ กฎข้อห้ามสุดแปลก

การเดินทางไปต่างประเทศ ในบางประเทศนั้นอาจมีกฏหมายห้ามทำสิ่งต่างๆ ที่เราอาจมองว่าแปลกและคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว ดังนั้นก่อนเดินทางเราควรจะรู้ กฎข้อห้ามสุดแปลก เหล่านี้กันก่อน วันนี้ Allianz Travel จึงนำกฏข้อห้ามแปลกๆ บางส่วนของต่างประเทศมาให้ดูกันค่ะ

1. อิตาลี (Italy)

ห้ามคู่รักจูบกันในรถยนต์

แหล่งรวมข้อห้ามแปลกๆ ที่มีเยอะมาก โดยเราจะยกตัวอย่างมาให้ 5 ข้อห้ามใน 5 สถานที่ ดังนี้

  • เกาะคาปรี (Capri) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนนิยมเดินทางไปมากจึงมีกฏห้ามใส่รองเท้าที่มีเสียงดังเวลาเดิน
  • เมืองอีโบลิ (Eboli) มีกฏห้ามคู่รักจูบกันในรถยนต์
  • เมืองเอราเคลีย (Eraclea) ห้ามก่อประสาททรายบนชายหาดเพราะเป็นการรบกวนการเดินเล่นบนชายหาดของคนอื่น
  • เมืองเวนิส (Venice) ห้ามให้อาหารนกพิราบที่จัตุรัสเซนต์มาร์ก
  • เมืองมิลาน (Milan) ห้ามทำหน้ามุ่ย หน้านิ่ว คิ้วขมวด หงุดหงิด

2. สิงคโปร์ (Singapore)

ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง

สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มี กฎข้อห้ามสุดแปลก เยอะมาก เราไปดูกันเลยว่ามีข้อห้ามอะไรบ้าง

  • ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 1992 เนื่องจากคนที่เคี้ยวหมากฝรั่งมักคายทิ้งตามพื้นและเอาไปแปะตามพื้นที่สาธารณะ ทำให้สกปรก และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนทีเผลอเหยียบ หรือเอามือพลาดไปโดน แต่ในปี 2004 มีการผ่อนผันให้ใช้หมากฝรั่งเพื่อการบำบัด หรือหมากฝรั่งนิโคตินสำหรับผู้ที่อยากเลิกบุหรี่ และปัจจุบันการเคี้ยวหมากฝรั่งไม่ผิดกฎหมายแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถนำหมากฝรั่งเข้าสิงคโปร์ได้คนละ 2 แพ็ค แต่ก็ยังมีข้อห้ามทิ้งหมากฝรั่งเรี่ยราดหรือพ่นลงพื้น
  • ห้ามเดินเปลือยในบ้านตัวเอง ที่สิงคโปร์ถือว่าการเดินเปลือยในพื้นที่ส่วนตัวของเราเองโดยไม่ปิดประตู หรือผ้าม่านจนอาจมีคนอื่นเห็นนั้น เป็นการสร้างความเดือดร้อนรำคาญต่อสาธารณชน หากมีคนแจ้งเจ้าหน้าที่หรือถูกจับได้ต้องถูกปรับ 2,000 เหรียญสิงคโปร์ หรือราว 46,945 บาท หรือจำคุกอย่างน้อย 3 เดือน
  • ห้ามขโมยใช้ไวไฟคนอื่น กฎหมายสิงคโปร์ถือว่าการใช้ไวไฟของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตคือการแฮกข้อมูล มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
  • ห้ามลืมกดชักโครกสาธารณะ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 150 เหรียญสิงคโปร์ หรือราว 3,519 บาท
  • ห้ามให้อาหารนกพิราบ อาจถูกปรับถึง 500 เหรียญสิงคโปร์ หรือราว 11,731 บาทเลยทีเดียว
  • ห้ามเลี้ยงสัตว์แปลก สิงคโปร์ออกกฎหมายห้ามทั้งการเลี้ยง ผสมพันธุ์ หรือจำหน่ายสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลานที่มาจากต่างถิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายของประเทศ
  • ห้ามใช้เครื่องดนตรีสร้างความรำคาญให้กับคนที่ใช้ถนนหรือสถานที่สาธารณะอย่างถูกกฎหมาย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับถึง 1,000 เหรียญสิงคโปร์

3. แคนาดา (Canada)

ห้ามในการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ในที่สาธารณะ

มีกฏหมายให้ร้านค้าสามารถปฎิเสธการรับเงินจากลูกค้าที่ใช้เหรียญจ่ายหากสินค้ามีมูลค่ามากกว่า 25 เหรียญ และยังมีกฏข้อห้ามในการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ในที่สาธารณะด้วย

4. ญี่ปุ่น (Japan)

ห้ามอ้วน

เมื่อเราเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เราควรศึกษาข้อห้ามต่างๆ ให้ดี โดยข้อห้ามบางส่วนที่เรานำมายกตัวอย่างมีดังนี้

  • ห้ามอ้วนโดยกำหนดจากขนาดเอวสำหรับบุคลในช่วงอายุ 40-47 ปี คือ ไม่เกิน 86 ซม. สำหรับผู้ชายและ 90 ซม. สำหรับสตรี ซึ่งกฏข้อห้ามนี้ถูกออกมาเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพและโรคอ้วนในประเทศ ซึ่งหากใครเกินก็จะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม
  • ห้ามวางตะเกียบพาดบนชามข้าว เพราะนั่นเป็นการกระทำในพิธีศพ หากเลิกใช้ตะเกียบแล้ว ให้วางตะเกียบลงบนจานสำหรับวางตะเกียบที่มักจะให้มาด้วยกันแทน
  • ห้ามเดินไปทานไป ควรหาสถานที่ที่สามารถรับประทานอย่างรวดเร็วแล้วค่อยไปทำธุระต่อ การทานอาหารในระบบขนส่งสาธารณะก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีมารยาท ยกเว้นสำหรับรถไฟระยะไกลเท่านั้น
  • ห้ามสั่งน้ำมูกในที่สาธารณะ เราจะเห็นคนญี่ปุ่นสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ห้ามให้ทิปในร้านอาหาร การให้ทิปในญี่ปุ่นอาจถือเป็นการดูถูกได้ ค่าบริการต่างๆ จะถูกรวมอยู่ในใบเสร็จที่ร้านอาหารแล้ว แม้กระทั่งคนขับรถแท็กซี่เองก็จะปฏิเสธค่าโดยสารที่ปัดเศษขึ้น ค่าบริการเท่าไหน ก็จ่ายเท่านั้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ในระบบขนส่งสาธารณะ คนญี่ปุ่นเคร่งครัดเรื่องมารยาทมาก คุณอาจได้ยินประกาศเตือนให้ปิดโทรศัพท์หลังจากเข้าไปในรถไฟ หรือบางครั้งก็เพียงเตือนให้ปิดเสียงและใช้ระบบสั่นเพื่อไม่ให้รบกวนผู้โดยสารคนอื่น ๆ แน่นอนว่ากฎเช่นนี้ทำให้ไม่มีการคุยโทรศัพท์ในรถไฟ

5. สหรัฐอเมริกา (United States)

ห้ามทำนายอนาคต

รัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา มีข้อห้ามที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ โดยมีตัวอย่างข้อห้ามของรัฐต่างๆ ดังนี้

  • รัฐแมรีแลนด์ เมืองบัลติมอร์ (Maryland, Baltimore) เราจะไม่มีทางเห็นหมอดูตามสวนสาธารณะเด็ดขาด เพราะในเมืองบัลติมอร์จะมีกฏข้อห้ามในการทำนายอนาคตซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดกฏหมาย หากฝ่าฝืนก็จะถูกปรับหรือจำคุก
  • รัฐอิลลินอยส์ (Illinois) ห้ามใส่กางเกงเอวต่ำมาตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งมีข้อกำหนดชัดเจนเลยว่ากางเกงที่ใส่ห้ามต่ำกว่าสะโพกเกิน 3 นิ้ว คนที่ฝ่าฝืนก็จะถูกปรับ และทำงานบริการชุมชน
  • รัฐคอนเนตทิคัต (Connecticut) คุณสามารถมีอาหารในรถได้ แต่ห้ามกินเด็ดขาด ถ้าแอบกินเพียงนิดเดียว และกล้องจับภาพคุณได้ คุณจะได้รับโทษตามกฎหมาย
  • รัฐฮาวาย (Hawaii) ห้ามเดินไปพร้อมกับการใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากระหว่างที่เดินไม่ดูทางอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ค่าปรับสำหรับผู้ทำผิดจะอยู่ที่ $15 แต่ไม่เกิน $99

6. คาซัคสถาน (Kazakhstan)

ห้ามถ่ายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทหาร และอาคารราชการ หากไม่ได้รับการอนุญาต

เวลาถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ในประเทศนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีกฏข้อห้ามในการถ่ายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทหาร สนามบิน และอาคารราชการ หากไม่ได้รับการอนุญาตให้ถ่ายก็อาจถูกจับดำเนินคดีได้

7. เม็กซิโก (Mexico)

มีกฏข้อหมายเพื่อความปลอดภัยออกมาโดยเฉพาะสำหรับนักปั่น คือห้ามไม่ให้ยกเท้าออกจากที่ปั่นจักรยานเพื่อลดโอกาสที่จะสูญเสียการควบคุมและเกิดอุบัติเหตุ

จากกฎหรือข้อห้ามด้านบน เป็นแค่ตัวอย่างกฏหรือข้อห้ามบางส่วนที่มีอยู่ในแต่ละประเทศนะคะ เพราะฉะนั้นหากเราจะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เราควรมีการวางแผนการเดินทาง และศึกษากฏหรือข้อห้ามของสถานที่นั้นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เราสามารถเดินทางได้อย่างราบลื่น และไม่ทำผิดกฏหรือข้อห้ามของแต่ละสถานที่ที่เราเดินทางไป

และสิ่งสำคัญที่เราควรเตรียมไว้ก่อนเดินทาง คือ ประกันภัยการเดินทาง “Dance Moves” จาก Allianz Travel ที่มีความคุ้มครองกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ช่วยให้คุณทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทริปได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันการเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel