พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2024 - Autumn Foliage Forecast in Japan 2024

พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! [ครั้งที่ 3 : 30 ตุลาคม 2024]

ฤดูกาลของการชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ใกล้มาถึงแล้ว JMC (Japan Meteorological Corporation) ได้เผยแพร่ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2024 ฉบับล่าสุด (ครั้งที่ 3) ของปี 2024 ออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2024 เพื่อนๆ คนไหนที่วางแผนจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้ข้อมูลจากการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2024 จาก JMC เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางได้นะคะ เพื่อให้เพื่อนๆ ไม่พลาดที่จะได้ไปชมความสวยงามในสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้หลากสีสันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงกันค่ะ ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้ค่ะ : )

หมายเหตุ: ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ปี 2024 อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีและอัพเดทข่าวสารเป็นระยะๆ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ ในการกำหนดช่วงเวลาของการเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น

ไปชม ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ช่วงเวลาไหนดี ?

Japan Meteorological Corporation ได้ทำการพยากรณ์ช่วงเวลาในการเริ่มชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นตามเมืองและภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคมจากเหนือจรดใต้ของประเทศญี่ปุ่น แต่ละสถานที่ จะมีช่วงเวลาที่ใบไม้มีสีสันสดใสประมาณ 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในช่วงเวลานั้นๆ ในแต่ละปี ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่จะได้สัมผัสกับสีสันความสวยงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น จะมี 2 ช่วงด้วยกัน ได้แก่ ใบไม้สีเหลือง (ต้นแปะก๊วย) ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตามมาด้วยใบไม้สีแดง (เมเปิ้ลญี่ปุ่น) ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สีของใบไม้บนยอดเขาจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากระดับความสูงและสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ และในบางปีใบไม้เปลี่ยนสีอาจเกิดช้าไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคมเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี

หากเพื่อนๆ ท่านไหนยังไม่รู้ว่าจะแพลนไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในญี่ปุ่น ที่ไหนดี Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสีของคุณโดยประมาณ ได้จากบทความด้านล่างนี้เลยค่ะ

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสี ในญี่ปุ่นปี 2024

ตารางพยากรณ์ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นในปี 2024 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 3) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2024 ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2024 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2024 (พยากรณ์ครั้งที่ 3 : 30 ตุลาคม 2024)

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี "สีแดง"

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี "สีเหลือง"

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”
ซัปโปโร – Sapporo8 พฤศจิกายน6 พฤศจิกายน
อาโอโมริ – Aomori18 พฤศจิกายน9 พฤศจิกายน
เซนได – Sendai1 ธันวาคม3 ธันวาคม
โตเกียว – Tokyo5 ธันวาคม29 พฤศจิกายน
คานาซาว่า – Kanazawa4 ธันวาคม15 พฤศจิกายน
นากาโน่ – Nagano28 พฤศจิกายน20 พฤศจิกายน
นาโงย่า – Nagoya8 ธันวาคม22 พฤศจิกายน
เกียวโต – Kyoto16 ธันวาคม2 ธันวาคม
โอซาก้า – Osaka8 ธันวาคม28 พฤศจิกายน
วากายามะ – Wakayama16 ธันวาคม30 พฤศจิกายน
ฮิโรชิม่า – Hiroshima3 ธันวาคม24 พฤศจิกายน
โคชิ – Kochi14 ธันวาคม20 พฤศจิกายน
ฟุกุโอกะ – Fukuoka13 ธันวาคม1 ธันวาคม
คาโกชิมะ – Kagoshima18 ธันวาคม2 ธันวาคม

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2024 Autumn Foliage Forecast (3rd forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

การวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

การเดินทางเพื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ร่วงล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเดินทางเพื่อไปสัมผัสความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบวางแผนการเดินทางและจองที่พักตามสถานที่ ที่เราต้องการเดินทางไปให้พร้อม และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

ภูเขาสี่ดรุณี สัมผัสความงดงามของเทือกเขาแอลป์แห่งจีน

ภูเขาสี่ดรุณี สัมผัสความงามเทือกเขาแอลป์แห่งจีน

ภูเขาสี่ดรุณี หรือซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan / 四姑娘山) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่สวยงามจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เทือกเขาแอลป์แห่งตะวันออก (东方的阿尔卑斯)’ ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองอาป้าของชาวเชียงและชาวทิเบตในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน บนเส้นทางระหว่างเมืองเสี่ยวจิน (Xiaojin) และเมืองเหวินฉวน (Wenchuan) อยู่ห่างจากเมืองเฉิงตูประมาณ 220 กิโลเมตร ปัจจุบันที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานแห่งชาติ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของจีน รวมถึงยังเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาและชีววิทยาที่สำคัญอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้ามีโอกาส เที่ยวจีน แล้วห้ามพลาด!

ภูเขาสี่ดรุณี สัมผัสความงามเทือกเขาแอลป์แห่งจีน - ภูเขาสี่ดรุณี หรือซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan / 四姑娘山)

ภูเขาสี่ดรุณี ขึ้นชื่อในเรื่องทัศนียภาพที่สวยงามตระการตา ความยิ่งใหญ่ของลักษณะเขาที่สูงชัน ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ธารน้ำใส สัตว์ป่าหลากหลายชนิด และเส้นทางเดินป่าที่ท้าทาย จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้รักธรรมชาติและผู้ที่แสวงหาการผจญภัย Allianz Travel เตรียมข้อมูลและไฮไลต์บนเส้นทางภูเขาสี่ดรุณี พร้อมเคล็ดลับการเดินทางที่ควรรู้มาให้เพื่อนๆ ที่กำลังสนใจไปเที่ยวกันค่ะ

ทำความรู้จักกับยอดเขาสี่ดรุณี

ภูเขาสี่ดรุณี ประกอบด้วยยอดเขาสี่ลูกที่เรียงรายติดต่อกัน ตั้งแต่ทิศเหนือถึงทิศใต้เป็นระยะประมาณ 3.5 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 6,250 เมตร 5,664 เมตร 5,454 เมตร และ 5,355 เมตร ตามลำดับ และเนื่องจากยอดเขาทั้งสี่นี้มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ทำให้ดูเหมือนหญิงสาว 4 คนที่คลุมศีรษะด้วยผ้าสีขาว ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างแม่น้ำฉางผิงโกว (长坪沟) กับ ไห่จื่อโกว (海子沟) และยอดเขาเหล่านี้มีชื่อเรียกและความสูงดังต่อไปนี้

  1. ต้ากูเหนียงเฟิง (Daguniang Feng หรือ 大姑娘峰) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,355 เมตร 
  2. เอ้อกูเหนียงเฟิง (Erguniang Feng หรือ 二姑娘峰) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,454 เมตร
  3. ซานกูเหนียงเฟิง (Sanguniang Feng หรือ 三姑娘峰) ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,664 เมตร
  4. เหยาเหม่ยเฟิง (Yaomei Feng หรือ 幺妹峰) หรือที่เรียกกันว่า ‘ยอดเขาเจ้าหญิง’ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 6,250 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงและท้าทายที่สุดที่ดึงดูดนักปีนเขาจากทั่วโลก
ภูเขาสี่ดรุณี สัมผัสความงามเทือกเขาแอลป์แห่งจีน - ยอดเขาสี่ดรุณี

ฤดูกาลที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม ภูเขาสี่ดรุณี

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเที่ยวภูเขาสี่ดรุณีได้ทุกฤดูกาล แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือฤดูใบไม้ผลิ (เมษายนถึงมิถุนายน) และฤดูใบไม้ร่วง (กันยายนถึงพฤศจิกายน) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศอบอุ่นและคงที่ ท้องฟ้าแจ่มใสและอุณหภูมิกำลังดี เหมาะสำหรับการเดินป่าและทำกิจกรรมกลางแจ้ง ฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้บานสะพรั่งและต้นไม้เขียวขจี ในขณะที่ฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี ที่ละลานตาไปด้วยสีเหลืองทองสลับกับสีแดง มองเห็นภาพทิวทัศน์ภูเขาหิมะสะท้อนอยู่ในธารน้ำ ทำให้เกิดฉากหลังที่งดงามสำหรับการผจญภัยของคุณ

เส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยม

1. หุบเขาซวงเฉียว (Shuangqiao Valley หรือ 双桥沟)

ภูเขาสี่ดรุณี สัมผัสความงามเทือกเขาแอลป์แห่งจีน - หุบเขาซวงเฉียวโกว (Shuangqiao Valley หรือ 双桥沟)

มีระยะทางประมาณ 34.8 กิโลเมตร ห่างจากเมืองซื่อกู่เหนียงซาน ประมาณ 7 กิโลเมตร มีสะพานไม้ 2 แห่งซึ่งหาชมได้ยากในป่าภูเขาหิมะแห่งนี้ จึงได้รับชื่อดังกล่าวว่าหุบเขาสองสะพาน ภายในหุบเขามีภูเขา 10 ลูกที่มีความสูงเกือบ 4,000 เมตร และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี หุบเขาและลำธาร 37 แห่งหล่อเลี้ยงต้นไม้ พืช และสัตว์ที่เขียวชอุ่มโดยรอบ นอกจากนี้ หุบเขาซวงเฉียวโกวยังมีจุดชมวิวอีก 54 แห่ง ให้คุณได้แวะชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงาม เช่น ที่ราบสูง Sapodilla ที่กว้างใหญ่ มีทุ่งหญ้าเขียวขจีและป่าไม้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์และล้อมรอบด้วยแม่น้ำใสคดเคี้ยว ทุ่งหญ้า Nianyuba ที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกลที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ทิวแถวของธงสวดมนต์และความเงียบสงบที่ไม่มีที่สิ้นสุด จุดชมวิว Penjingtan ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องต้นที่มีรูปร่างประหลาด เช่น บอนไซ และป่าเรดวูดที่ปลายหุบเขาซวงเฉียวโกวที่รายล้อมไปด้วยภูเขาหิมะบริสุทธิ์และเมฆ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจไปกับธรรมชาติอันน่าทึ่ง หุบเขาซวงเฉียวโถวเป็นเส้นทางที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นและถ่ายรูปพักผ่อน และมีรถบัสท่องเที่ยวให้บริการตลอดเส้นทาง ซึ่งโดยปกติจะมีจุดจอดแวะอยู่ 5 แห่ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมและถ่ายรูปไปทางเส้นทางเดินไม้ ใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็เที่ยวครบตามจุดต่างๆ แล้ว

หุบเขาซวงเฉียวโกว (Shuangqiao Valley หรือ 双桥沟) - Winter

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: เดือนมิถุนายน-เดือนกรกฎาคม และเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

ระดับความสูง: 3,200 เมตร – 3,850 เมตร

ระยะเวลาเยี่ยมชมที่แนะนำ: ครึ่งวัน ถึง 1 วัน

เวลาทำการ: เปิดตลอดทั้งปี เวลา 07:00-17:00 น. (1 เม.ย.-30 พ.ย.) และเวลา 08:00-17:00 น. (1 ธ.ค.-31 มี.ค. ปีถัดไป)

ค่าเข้าชม: ค่าเข้า 80 หยวนต่อคน ค่ารถบัสท่องเที่ยว 70 หยวนต่อคน

ที่อยู่: Shuangqiaogou Scenic Area, Mount Siguniang, Xiaojin County, Aba Tibetan and Qiang Autonomous Prefecture, Sichuan Province (四川省阿坝藏族羌族自治州小金县四姑娘山双桥沟)

2. หุบเขาฉางผิง (Changping Valley หรือ 长坪沟)

ภูเขาสี่ดรุณี - หุบเขาฉางผิงโกว (Changping Valley หรือ 长坪沟)

มีความยาวประมาณ 29 กิโลเมตร ตั้งอยู่ตรงกลางของหุบเขาทั้งสามแห่ง มีสถานที่ท่องเที่ยว 21 แห่งกระจายอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพอันสวยงามเขียวขจี หุบเขาฉางผิงโกวเป็นทางเดินป่าที่สวยงามเข้าไปตามป่าทึบที่มีแสงแดดส่องลงมาบนเส้นทางเงียบสงบและมีมอสปกคลุมอยู่มากมาย และเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณดั้งเดิมไว้ อย่าลืมชมสถาปัตยกรรมสไตล์ทิเบต Gyarong พิเศษที่หมู่บ้าน Zhangmu ซึ่งมีประเพณีพื้นบ้านทิเบตแท้ๆ และเยี่ยมชมวัดลามะเพื่อชมกลุ่มวัด Gelugpa ทิเบตที่มีอายุมากกว่า 1,200 ปีอย่างใกล้ชิด สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง และที่ Xiemaping คุณจะได้พบกับป่าที่เต็มไปด้วยต้นซีดาร์ ต้นไซเปรส ต้นเบิร์ช ต้นซีบัคธอร์น เป็นต้น และในฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ในป่าจะเปลี่ยนเป็นสีเป็นสีแดง เหลือง และเขียวสลับกันอย่างงดงามตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า จุดชมวิวมู่หลัวซีจะเป็นพื้นที่ไร่นาอุดมสมบูรณ์ ชมฝูงวัวและม้ากินหญ้าอยู่ตามริมแม่น้ำที่ข้ามทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ และเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการชมด้านหลังของภูเขาซิกูเนียง เส้นทางนี้เป็นที่ชื่นชอบของนักเดินป่า ที่ชอบเดินชมทิวทัศน์อันงดงามของยอดเขาและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เงียบสงบ ใช้เวลาประมาณ 1 วันสำหรับการเดินทางไปกลับ

วัด Lama หุบเขาฉางผิงโกว (Changping Valley หรือ 长坪沟)

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ปลายเดือนพฤษภาคม-เดือนกรกฎาคม และเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

ระดับความสูง: 3,200 เมตร – 5,484 เมตร

ระยะเวลาเยี่ยมชมที่แนะนำ: หนึ่งวัน

เวลาทำการ: เปิดให้บริการตลอดทั้งปี

  • 1 เม.ย.-30 พ.ย. เปิดให้บริการเวลา 07:00-17:00 น. โดยจำหน่ายตั๋วเวลา 07:00-15:30 น. (นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปในหุบเขาได้หลังจากเวลา 15:30 น.) รถบัสท่องเที่ยวให้บริการเวลา 07:20-17:30 น.
  • 1 ธ.ค.-31 มี.ค. เปิดให้บริการเวลา 07.30-17.00 น. โดยจำหน่ายตั๋วเวลา 07.30-15.00 น. (นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปในหุบเขาได้หลังเวลา 15.00 น.) รถบัสท่องเที่ยวให้บริการเวลา 07.30-17.00 น.

ค่าเข้าชม: ค่าเข้า 70 หยวนต่อคน (1 เมษายน-30 พฤศจิกายน) และ 50 หยวนต่อคน (1 ธันวาคม-31 มีนาคมปีหน้า) รถบัสชมเมืองราคา 20 หยวนต่อคน ซึ่งให้บริการนักท่องเที่ยวระหว่างทางเข้าและวัดลามะ ระยะทาง 7 กิโลเมตร (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที)

ที่อยู่: Changpinggou Scenic Area, Mount Siguniang, Xiaojin County, Aba Tibetan and Qiang Autonomous Prefecture, Sichuan Province (四川省阿坝藏族羌族自治州小金县四姑娘山长坪沟)

3. หุบเขาไห่ซื่อ (Haizi Valley หรือ 海子沟)

ภูเขาสี่ดรุณี - หุบเขาไห่ซื่อโกว (Haizi Valley หรือ 海子沟)

มีความหมายว่าหุบเขาแห่งทะเลสาบ มีความยาว 19.2 กิโลเมตร และมีทัศนียภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากหุบเขาซวงเฉียวและหุบเขาฉางผิง ลักษณะภูมิประเทศเป็นแบบภูเขาสูง และมีทะเลสาบมากกว่า 10 แห่ง ซึ่งล้วนแต่ใสราวกับคริสตัลจนสะท้อนให้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาวได้อย่างชัดเจน โดยมีทะเลสาบต้าไห่จื่อ (Dahaizi Lake) เปรียบเสมือนหยกที่ฝังอยู่ในผืนผ้าสีเขียวมรกตของภูเขาและทุ่งหญ้า ทิวทัศน์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะระหว่างภูเขานั้นน่าตื่นตาตื่นใจมาก และสวยงามยิ่งขึ้นในฤดูร้อนด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่ง นอกจากทะเลสาบแล้ว หุบเขาไห่จื่อยังเป็นดินแดนแห่งมหัศจรรย์สำหรับสัตว์อีกด้วย ที่ราบสูง Guozhuangping ห่างจากเมืองซื่อกูเหนียงซานไป 7 กิโลเมตร ยังมีทิวท้ศน์ของม้าจำนวนมากยืนกินหญ้าอยู่เต็มท้องทุ่งที่แต่งแต้มด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด ทั้งสีแดง สีขาว และอื่นๆ ในช่วงฤดูร้อน ชาวทิเบต Gyarong จะจัดงานประจำปีเพื่อบูชาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยการร้องเพลง เต้นรำ และแข่งขัน นอกจากนี้ ที่ราบสูง Guozhaungping และที่ราบสูง Chaoshanping ยังเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการชื่นชมภูเขาซื่อกูเหนียงในมุมมองที่เห็นกว้างไกล

เส้นทางเดินป่าในหุบเขาไห่จื่อ การขึ้นไปบนยอดเขาต้องมีไกด์ท้องถิ่นน้ำทางเท่านั้น แต่คุ้มค่า เพราะคุณจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติตลอดทาง เส้นทางนี้ไม่มีรถให้บริการ ต้องเดินเท้าเท่านั้น ใช้เวลาประมาณ 1 วัน หรืออาจต้องพักค้างคืน เหมาะสำหรับสายเดินป่าที่ชอบความท้าทายเป็นอย่างมาก

หุบเขาไห่ซื่อโกว (Haizi Valley หรือ 海子沟) - ทะเลสาบต้าไห่จื่อ (Dahaizi Lake)

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ปลายเดือนพฤษภาคม-เดือนกรกฎาคม และเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

ระดับความสูง: 3,200 เมตร – 4,200 เมตร

ระยะเวลาเยี่ยมชมที่แนะนำ: 1-2 วัน

เวลาทำการ: เปิดให้บริการตลอดทั้งปี

  • 1 เม.ย.-30 พ.ย. เปิดให้บริการเวลา 07:30-16:00 น. 
  • 1 ธ.ค.-31 มี.ค. เปิดให้บริการเวลา 8.00-15.30 น. 

ค่าเข้าชม: ค่าเข้า 60 หยวนต่อคน (1 เมษายน-30 พฤศจิกายน) และ 40 หยวนต่อคน (1 ธันวาคม-31 มีนาคมปีหน้า) 

ที่อยู่: Haizigou Scenic Area, Mount Siguniang, Xiaojin County, Aba Tibetan and Qiang Autonomous Prefecture, Sichuan Province (四川省阿坝藏族羌族自治州小金县四姑娘山海子沟)

เส้นทางที่แนะนำสำหรับการเดินป่าขึ้น ภูเขาสี่ดรุณี – ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan)

คนส่วนใหญ่มักจะไปเยี่ยมชมภูเขาซื่อกู่เหนียง (Siguniangshan) เพื่อเดินป่าที่หุบเขา 1 หรือ 2 แห่งจากทั้งหมด 3 แห่ง และชมภูเขาสี่ดรุณี – ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan) จากระยะไกล

  • หุบเขา Shuanqiao (ครึ่งวัน): ทางเข้า – Yinyanggu Valley – Yangliu Bridge – Sun & Moon Mirror – White Poplar Forest – Five Color Mountain Viewing Point – Sapodilla Plateau – Sea-buckthorn Forest – Bonsai Shoal – Nianyuba – Niupengzi – Budala Mountain Viewing Point – Large Meadow – White Sand Shoal – Maozhuwan Gully – Redwood Forest – ขากลับเหมือนเดิม (ปกติ 3 ชั่วโมงโดยรถบัส 4-5 ชั่วโมงโดยรถบัสและเดิน)

  • หุบเขา Haizi (1 วัน): ทางเข้า – Guozhaungping Plateau & Chaoshanping Plateau (admire Mount Siguniang) – Shiban Village – Dajianbao – Shishaotai – Old Cattle Garden – Large Lake – ขากลับเหมือนเดิม (8-9 ชั่วโมง)

  • หุบเขา Changping (1 วัน): ทางเข้า – Changping – Lama Monastery – Toudaoping Plateau – Erdaoping Plateau – Tang Cypress Ancient Path – Dragon Cave – Sea – Lower Dry Sea – Upper Dry Sea – Leogu Rock – Muluozi – ขากลับเหมือนเดิม (ประมาณ 7-8 ชม.)

*คลิกที่นี่เพื่อดูแผนที่เส้นทางการเดินป่า

เปรียบเทียบข้อมูลของแต่ละหุบเขา

หุบเขาที่ตั้งระยะทางรูปแบบการชมทิวทัศน์ทัศนียภาพระยะเวลาแนะนำ
หุบเขา Shuangqiaoด้านซ้าย34.8 กิโลเมตรนั่งรถบัสชมทิวทัศน์; สำรวจหุบเขาทั้งหมดได้ง่าย – ภูมิทัศน์มุมกว้างที่มีป่าล้อมรอบ
– อาจไม่เห็นยอดภูเขาซื้อกูเหนียงได้อย่างชัดเจน
ครึ่งวันหรือ 1 วัน
หุบเขา Changpingตรงกลาง29 กิโลเมตรเดินป่า, ขี่ม้า; สวรรค์สำหรับนักเดินป่าตัวยง; จบเส้นทาง 2 ใน 3 ของหุบเขา– เห็นภูเขาซื้อกูเหนียงได้อย่างชัดเจน
– ทิวทัศน์แบบที่ราบสูง
1 วัน
หุบเขา Haiziด้านขวา19.2 กิโลเมตรขี่ม้า; ระดับของการเดินป่าอยู่ในระดับยากมุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพทิวทัศน์ภูเขาซื่อกู่เหนียง (Siguniangshan)1 วัน

วิธีเดินทางไปยัง ภูเขาสี่ดรุณี – ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan)

ภูเขาสี่ดรุณีอยู่ห่างจากเมืองเฉิงตู เมืองหลวงของมณฑลเสฉวน ประมาณ 220 กิโลเมตร วิธีเดินทางมีดังนี้:

  1. เครื่องบิน: จากเมืองเฉิงตูไปยังสนามบินเหวินชวน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางต่อโดยรถบัสไปยังอุทยานแห่งชาติภูเขาสี่ดรุณี ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง
  2. รถยนต์: วิธีที่สะดวกที่สุดในการเดินทางไปยังภูเขาสี่ดรุณีคือการขับรถจากเฉิงตูไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง คุณสามารถเช่ารถหรือจ้างคนขับส่วนตัวเพื่อการเดินทางที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น
  3. รถประจำทางหรือรถตู้: ขึ้นรถประจำทางหรือรถตู้ได้ที่สถานีขนส่งฉาเตี้ยนจื่อเชอจ้าน (Chadianzi) เมืองเฉิงตู ที่ปลายทางเป็นเมืองเซียวจิน (Xiaojin) แล้วลงที่เมืองซื่อกูเหนียงซาน (Siguniangshan) ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและอากาศ
  4. รถไฟ: จากเมืองเฉิงตูไปยังสถานีรถไฟเหวินชวน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางต่อโดยรถบัสไปยังอุทยานแห่งชาติภูเขาสี่ดรุณี ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง

สภาพอากาศและช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม ภูเขาสี่ดรุณี – ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan)

ภูเขาสี่ดรุณี – ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan)อยู่ในเขตมรสุมกึ่งร้อนชื้น และมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากในแต่ละวันและแต่ละคืน นอกจากนี้ ชาวท้องถิ่นยังบอกอีกว่าภูเขาสี่ดรุณี – ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan)มีสี่ฤดูกาลในแต่ละยอดเขา และทุกๆ 10 ไมล์จะมีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน ภูเขาสี่ดรุณี – ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan)จะค่อนข้างร้อนในช่วงเที่ยง และจะเย็นในตอนเช้าและตอนกลางคืนในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนโดยทั่วไปอยู่ที่ 19°C ในขณะที่ฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยในพื้นที่หุบเขามักจะต่ำกว่า 2°C

ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan) - Shuangqiao Valley

ภูเขาซื่อกู่เหนียง (Siguniangshan)เหมาะแก่การเยี่ยมชมตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางไปภูเขาซื่อกู่เหนียง (Siguniangshan) ซึ่งคุณจะได้ชื่นชมดอกไม้หลากสีสันที่ประดับประดาทุ่งหญ้าและป่าไม้สีเขียวมรกต และสัมผัสความเย็นสบายของน้ำเย็นจากหิมะในหุบเขา นอกจากนี้ กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นอีกฤดูกาลท่องเที่ยวยอดนิยมที่จะได้ชมความงามของใบไม้สีแดงในฤดูใบไม้ร่วงและป่าไม้ที่สลับซับซ้อนเป็นสีส้ม เหลือง ทอง และเขียว คุณจะได้ภาพถ่ายที่สวยงามในช่วงนี้อย่างแน่นอน! ช่วงเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคมเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจะมองเห็น “ภูเขาสีทอง” เปล่งประกายแสงจากดวงอาทิตย์และทะเลหมอกได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ปกติวันที่ 1-7 ตุลาคม) และวันหยุดวันแรงงาน (ต้นเดือนพฤษภาคม) เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

ภูเขาสี่ดรุณี - ซื่อกู่เหนียงซาน (Siguniangshan) ในฤดูใบไม้ร่วง

การเตียมตัวสำหรับการเดินป่า

1. ค้นคว้าและวางแผน: ทำความเข้าใจเส้นทางการเดินป่าและระดับความยากของเส้นทาง วางแผนการเดินทางและพกแผนที่ไปด้วย

2. ความพร้อมของร่างกาย: ก่อนเดินทางควรตรวจสอบความพร้อมของร่างกายสำหรับการเดินป่า การออกกำลังกายเป็นประจำและการเดินป่าเพื่อฝึกซ้อมจะช่วยเตรียมร่างกายของคุณได้

3. เสื้อผ้าและอุปกรณ์: เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ควรสวมเสื้อผ้าหลายชั้น เนื่องจากอุณหภูมิอาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละช่วงเวลาของวัน นอกจากนี้ คุณควรสวมรองเท้าเดินป่าที่แข็งแรง พกไม้เท้าเดินป่า ใช้เป้สะพายหลังคุณภาพดี รวมถึงพกน้ำและของว่างที่มีพลังงานสูงติดตัวไปให้เพียงพอ

4. วัฒนธรรมท้องถิ่น: ให้ความเคารพวัฒนธรรม ประเพณีและขนบธรรมเนียมในแต่ละพื้นที่ และหากต้องการถ่ายรูปคนในท้องถิ่น ก็ควรขออนุญาตก่อนถ่ายภาพเสมอ

5. โรคแพ้ความสูง: ภูเขาสี่ดรุณีตั้งอยู่บนพื้นที่สูง และบางยอดเขาสูงเกิน 6,000 เมตร หากต้องการหลีกเลี่ยงหรือบรรเทาอาการแพ้ความสูง คุณควรนอนหลับพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รักษาอารมณ์ให้สงบเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย และควรเตรียมยาสำหรับโรคแพ้ความสูงติดตัวไปด้วย

6. ความปลอดภัย: หากคุณวางแผนที่จะเดินป่าหรือปีนยอดเขา คุณควรติดต่อรับบริการจากไกด์ท้องถิ่น ที่มีความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศและสามารถรับรองความปลอดภัยของคุณได้

7. สิ่งของจำเป็นสำหรับกรณีฉุกเฉิน: เตรียมชุดปฐมพยาบาล ไฟฉาย และนกหวีด เรียนรู้ขั้นตอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

8. หลีกเลี่ยงการทิ้งขยะ: เคารพธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการทิ้งขยะ ปฏิบัติตามหลักการ “ไม่ทิ้งร่องรอย” เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

ประเทศจีนมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ให้เราได้ไปสัมผัสอยู่มากมาย และทิวทัศน์ธรรมชาติก็สวยงามไม่แพ้ทวีปยุโรป แถมอยู่ใกล้กับประเทศไทยและไม่ต้องขอวีซ่าอีกด้วย แต่ไม่ว่าจะเดินทางไปในประเทศที่ใกล้หรือประเทศที่ไกล สิ่งที่เราควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้รับความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: Sichuan Travel Guide – Attractions, Things to Do, Map & Itineraries, Discover Siguniang Mountain Ultimate Travel Guide & Tips-Chinaadventure, Siguniangshan | Visit Siguniang National Park (Sichuan, China), Mount Siguniang Trekking: Top 4 Hiking Routes, Packing List & Tips

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

14 จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิในโตเกียวและบริเวณใกล้เคียง

14 จุดชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียวและบริเวณใกล้เคียง

ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์ของความงาม ความแข็งแกร่ง และความสงบมายาวนาน ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีความสูง 3,776 เมตร และได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปิน กวี และนักเดินทางมากมาย ภูเขาไฟฟูจิก็เป็นฉากหลังที่สวยงามตระการตาสำหรับช่างภาพและผู้ที่รักธรรมชาติเช่นเดียวกัน

หากคุณกำลังวางแผนเดินทางไปญี่ปุ่นและต้องการถ่ายภาพภูเขาฟูจิเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม การได้ไปที่จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่ดีที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณทะเลสาบที่เห็นเงาสะท้อนยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะของภูเขาไฟฟูจิ หรือด้านในหมู่บ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม Allianz Travel พาคุณไปชม 14 จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิในโตเกียวและบริเวณใกล้เคียง โดยแต่ละจุดก็มีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างภาพมืออาชีพ หรือแค่ชอบถ่ายภาพสวยๆ สถานที่เหล่านี้จะช่วยให้คุณถ่ายภาพภูเขาไฟฟูจิออกมาได้อย่างสวยงาม

ข้อควรรู้ก่อนวางแผนไปชม ภูเขาไฟฟูจิ

ภูเขาไฟฟูจิซ่อนตัวจากโตเกียวในฤดูร้อน

ถ้าคุณมีจุดหมายไปทางอยู่ที่โตเกียวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกันยายน คุณอาจจะไม่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ เนื่องจากในช่วงเวลานี้จะมีความชื้นสูง และมีหมอกเยอะ ทำให้การชมภูเขาไฟฟูจิจากโตเกียวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก คุณอาจแทบไม่เห็นเงาของภูเขาไฟฟูจิท่ามกลางหมอกเลย ยกเว้นในบางโอกาส อย่างเช่น หลังฝนตกหนักในฤดูร้อน เป็นต้น แต่อย่าทำให้เรื่องเหล่านี้ทำให้คุณผิดหวังจนล้มเลิกแผนการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เพราะคุณสามารถเดินทางไปยังสถานที่อื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง และที่สำคัญ คุณจะไม่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิไม่ว่าจะเป็นฤดูใดและไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่ออากาศมีฝนตกและมีเมฆมาก

หิมะที่ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิจะหายไปในฤดูร้อน

ถ้าคุณไปที่ยวญี่ปุ่นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน คุณอาจจะผิดหวังกับภาพภูเขาไฟฟูจิที่คุณได้เห็น เนื่องจากภูเขาไฟฟูจิจะไม่มีหิมะปกคลุม ภาพภูเขาไฟฟูจิที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสวยงามที่เคยเห็นตามภาพโปสเตอร์ จะเปลี่ยเป็นสีน้ำตาลและดูแห้งแล้ง เนื่องจากหิมะสีขาวระยิบระยับส่วนใหญ่จะละลายในฤดูร้อน ยกเว้นบริเวณยอดเขาที่ยีงมีหิมะหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็น้อยมาก จนคุณไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้จะอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว

1. อาคารรัฐบาลกรุงโตเกียว (ชินจูกุ)

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Tokyo Skyline

หนึ่งในจุดชมภูเขาไฟฟูจิที่ดีที่สุดคืออาคารรัฐบาลกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building) หรือเรียกย่อๆ ว่าโทโช (Tocho) อยู่ทางด้านตะวันตกของชินจูกุ เหตุผลที่หลายคนแนะนำว่าที่นี่เป็นสถานที่ชมภูเขาไฟฟูจิที่ดีที่สุดจากโตเกียวก็เพราะไม่เพียงแต่ได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงาม แต่ยังเป็นเพราะเข้าชมได้ฟรีอีกด้วย 

ด้านบนของอาคารหลักของโทโชแยกออกเป็น 2 ทาวเวอร์ (ทาวเวอร์เหนือและทาวเวอร์ใต้) ซึ่งแยกกันทั้งแต่ชั้นที่ 33 ทั้งสองทาวเวอร์มี 48 ชั้น และชั้นชมวิวอยู่ที่ชั้นที่ 45 ที่ความสูง 202 เมตร แต่ทาวเวอร์เหนือปิดให้ขึ้นไปชมวิวตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 ควรตรวจสอบวันทำการก่อนไป เพราะบางวันชั้นชมวิวปิดให้บริการเนื่องจากมีงานพิเศษ และทางอาคารโทโชขอให้ไม่ใช้ขาตั้งกล้องหรืออุปกรณ์ถ่ายภาพ

การขึ้นไปที่ชั้นชมวิว คุณต้องไปขึ้นลิฟต์สำหรับไปที่ชั้นชมวิวโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารหลัก หลังออกจากลิฟต์แล้ว ให้เดินไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นเป็นทิศที่คุณจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากระยะไกลได้ คุณควรไปช่วงเช้าในวันที่อากาศแจ่มใส เพราะจะทำให้คุณมีโอกาสได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิได้ดีที่สุด

นอกจากชมวิวภูเขาไฟฟูจิแล้ว คุณจะได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองโตเกียวจากที่กว้างใหญ่ไพศาลจากมุมสูง ตัวอย่างเช่น คุณจะมองเห็นโตเกียวสกายทรีทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และโตเกียวทาวเวอร์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

วิธีการเดินทาง:
อาคารรัฐบาลกรุงโตเกียวอยู่ห่างจากสถานีชินจูกุโดยการเดินเท้า 10 นาที หรือเดินจากสถานีนิชิชินจูกุ (Nishi Shinjuku) บนสายมารุโนะอุจิ (Marunouchi Line) โดยใช้เวลาประมาณ 12 นาที

ที่อยู่: 2 Chome-8-1 Nishishinjuku, Shinjuku City, Tokyo

โทร: 0353207890

เวลาทำการ:
9.30-22.00 น. (ปิดวันอังคารที่ 1 และ 3 ของเดือน และช่วงวันหยุดปีใหม่ 29 ธันวาคมถึง 3 มกราคม)

ค่าเข้าชม: ฟรี

2. อาคารแครอท (Carrot Tower) ย่านซังเก็นจายะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Carrot Tower

อาคารแครอท (Carrot Tower) ตั้งอยู่ในย่านซังเก็นจายะ (Sangenjaya) ที่อยู่ไม่ไกลจากย่านชิบูย่ามากนัก หากเดินทางด้วยรถไฟ แต่ก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามอาคารแครอทถือเป็นสถานที่แนะนำเนื่องจากสามารถขึ้นไปที่จุดชมวิว Sky Carrot Observation Deck ชั้น 26 ได้ฟรี แม้ว่าจะสูงแค่ 120 เมตร แต่ก็ไม่มีอาคารสูงอื่น ๆ ขวางทางชมวิว ซึ่งคุณจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์เส้นขอบฟ้าของโตเกียว โดยเฉพาะย่านชิบูย่า และรวมถึงภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นจุดดึงดูดหลักด้วย

วิธีการเดินทาง:
การเดินทางไปยังซังเก็นจายะนั้นค่อนข้างง่ายโดยขึ้นรถบัสหรือรถไฟจากชิบูย่าสายเดนเอ็นโตชิ (Denentoshi Line) รถบัสใช้เวลาประมาณ 8 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร และรถไฟใช้เวลาประมาณ 4 นาที อาคารแครอททาวเวอร์อยู่ห่างจากสถานีซังเก็นจายะโดยการเดินเท้า 3 นาที ทั้งนี้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าอาคารไม่ได้ปิดให้บริการ เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบหรือซ่อมบำรุง

ที่อยู่: 4-1-1 Chome, Taishido, Setagaya City, Tokyo

เวลาทำการ: 9.30-23.00 น. (ปิดวันพุธที่ 2 ของเดือน และช่วงวันหยุดปีใหม่)

ค่าเข้าชม: ฟรี

3. ชิบูย่าสกาย ย่านชิบูย่า

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Shibuya Sky

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดของย่านชิบูย่า กรุงโตเกียว คือชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) จุดชมวิวกลางแจ้งบนดาดฟ้าแบบเปิดโล่ง 360 องศา ที่มีความสูง 229 เมตร ตั้งอยู่บนชั้น 47 (ชั้นบนสุด) ของอาคารชิบุย่าสครัมเบิลสแควร์ (Shibuya Scramble Square) ที่นี่คือจุดชมวิวบนดาดฟ้ากลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นที่ทำให้คุณต้องร้องว้าว คุณจะได้ชมทิวทัศน์อันสวยงามตระการตาเหนือของกรุงโตเกียวแบบพาโนรามา นอกจากมองลงไปเห็นทางข้ามม้าลายยักษ์ห้าแยกชิบูย่า พระราชวังอิมพีเรียลที่ล้อมรอบด้วยป่าอันอุดมสมบูรณ์ โตเกียวสกายทรี และในวันที่อากาศแจ่มใส ที่นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการชมทิวทัศน์และจุดถ่ายรูปภูเขาไฟฟูจิที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวอีกด้วย

ชิบุยะสกายยามค่ำคืนจะมีการแสดงแสงไฟ “CROSSING LIGHT” ทุก 30 นาทีตั้งแต่เวลา 19:00 น. ของทุกวัน และการแสดงจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล จุดถ่ายรูปยอดนิยมคือบันไดเลื่อนกระจกที่ขึ้นไปยังดาดฟ้า และมุมที่เรียกว่าสกายเอดจ์ก็เป็นจุดที่เหมาะสำหรับถ่ายรูปลงอินสตาแกรมเช่นกัน นอกจากนี้ สถานที่แห่งนี้ยังมีบริการถ่ายรูปโดยมืออาชีพอีกด้วย

ช่วงเวลาที่เหมาะที่จะไปเยือนชิบูย่าสกายน่าจะเป็นช่วง 30 นาทีก่อนพระอาทิตย์ตก แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลายอดนิยม ดังนั้นอย่าลืมเผื่อเวลาในการต่อคิวไว้ด้วย แนะนำให้จองตั๋วไปล่วงหน้า พระอาทิตย์ตกดินเร็วที่สุดในโตเกียวในช่วงต้นเดือนธันวาคม เวลาประมาณ 16:30 น. และตกดินช้าที่สุดในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม เวลาประมาณ 19:00 น.

วิธีการเดินทาง:
นั่งรถไฟลงสถานีชิบูย่า เดินอีก 1 นาที ตั้งอยู่ในตึก Shibuya Scramble Square

ที่อยู่: 2-24-12 Shibuya, Shibuya , Tokyo 150-0002

เวลาทำการ: 10.00-22.30 น. ต้องเข้าก่อน 21.20 น. (ปิดวันปีใหม่ และอาจมีเปลี่ยนแปลงเวลาได้)

ค่าเข้าชม:
ผู้ใหญ่ 2,500 เยน เด็กมัธยม 2,000 เยน
เด็กประถม 1,200 เยน (ซื้อหน้าเคาน์เตอร์ในวันเข้าชม)
เด็กอายุ 3-5 ขวบ 700 เยน (ซื้อหน้าเคาน์เตอร์ในวันเข้าชม)
เด็กอายุต่ำว่า 3 ขวบ ฟรี

เว็บไซต์: https://www.shibuya-scramble-square.com

4. อาคารซันไชน์ 60 ย่านอิเคบุคุโระ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Sunshine 60 Observatory Tembo Park

จุดชมวิวซันไชน์ 60 (Sunshine 60 Observatory Tembo Park) อยู่บนชั้น 60 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของอาคารซั้นไชน์ 60 (Sunshine 60) อยู่สูง 251 เมตร เหนือตัวเมือง ถูกออกแบบให้เป็นสวนธารณะในร่มที่ล้อมรอบไปด้วยท้องฟ้า ที่คุณสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี และทิวทัศน์จะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา ฤดูกาล และสภาพอากาศ พื้นที่หลักคือส่วนที่เรียกว่า เท็นโบ-โนะ-โอกะ (Tembo no Oka) ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่าเนินชมวิว คุณสามารถปูเสื่อปิกนิกบนพื้นหญ้าเทียม หรือนั่งบนโซฟา เก้าอี้ หรือม้านั่ง และชมวิวที่อยู่ภายนอกหน้าต่างโดยรอบ ซึ่งคุณสามารถมองเห็นเมืองด้านล่างและภูเขาไฟฟูจิในระยะไกลได้ในวันที่อากาศแจ่มใส

อาคารซันไชน์ 60 อยู่ห่างจากสถานีอิเคะบุคุโระ (Ikebukuro) โดยระยะเดิน 8 นาที ที่ทางออกจากสถานีใต้ดินจะมีป้ายบอกทางไปยังอาคารซันไชน์ 60 ทางออก 35 เป็นทางออกที่ใกล้ที่สุด หากคุณขึ้นสายยูราคุโจ (Yurakucho Line) ให้ลงที่สถานีฮิกาชิ-อิเคะบุคุโระ (Higashi Ikebukuro) จากนั้นเดินต่อประมาณ 3 นาทีก็จะถึงซันไชน์ซิตี้

วิธีการเดินทาง:
สถานี Higashi-Ikebukuro (สาย Yurakucho) ทางออก 6 หรือ 7; สถานี Ikebukuro ทางออกทิศตะวันออก

ที่อยู่: Sunshine 60 Bldg 60F, 3-1 Higashi-Ikebukuro, Toshima-ku, Tokyo

เวลาทำการ: 11.00-21.00 น. (เข้าก่อน 20.00 น.)

ค่าเข้าชม:
วันจันทร์-ศุกร์ ผู้ใหญ่ 700 เยน นักเรียนมัธยมต้นและประถมศึกษา 500 เยน
วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด ผู้ใหญ่ 900 เยน นักเรียนมัธยมต้นและประถมศึกษา 600 เยน

เว็บไซต์: https://sunshinecity.jp/en/observatory/ticket/

5. อาคารโมริทาวเวอร์ ย่านรปปงหงิ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Mori Tower - Roppongi

อีกหนึ่งจุดชมวิวยอดนิยมของกรุงโตเกียว คือจุดชมวิวบนอาคารโมริทาวเวอร์ (Mori Tower) อาคารสำนักงานรูปทรงทันสมัยในศูนย์การค้ารปปงหงิฮิลล์ (Roppongi Hills) ที่นี่มีจุดชมวิว 2 จุดที่คุณสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ คือบริเวณ Tokyo City View ชั้น 52 เป็นพื้นที่ชมวิวในร่มสูง 250 เมตร แต่หากต้องการชมวิวที่สูงกว่านั้น คุณสามารถขึ้นไปบน Sky Deck ซึ่งเป็นจุดชมวิวกลางแจ้งบนชั้นดาดฟ้าที่สูง 270 เมตร เนื่องจากบริเวณนี้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ทำให้สามารถมองเห็นเมืองและภูเขาไฟฟูจิแบบเปิดกว้าง 360 องศาในวันที่อากาศแจ่มใส 

หลังจากชมวิวแล้ว คุณอาจจะแวะชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะโมริ (Mori Art Museum) ที่ชั้น 53 (ซื้อตั๋วเข้าชมเพิ่มเติม) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศิลปะร่วมสมัยของศิลปินต่างประเทศ รวมถึง ภาพวาด การออกแบบและสถาปัตยกรรม นิทรรศการภาพถ่าย เป็นต้น

วิธีการเดินทาง:

  • Tokyo Metro สาย Hibiya: สถานี Roppongi ทางออกที่ 1C (0 นาที)
  • Toei Oedo Line สถานี Roppongi: ทางออกที่ 3 (4 นาที)
  • Toei Oedo Line สถานี Azabu-juban: ทางออกที่ 7 (4 นาที)
  • Tokyo Metro Namboku Line สถานี Azabu-juban: ทางออกที่ 4 (7 นาที)
  • Tokyo Metro Chiyoda Line สถานี Nogizaka: ทางออกที่ 5 (8 นาที)

ที่อยู่: 6-10-1, Roppongi, Minato-ku, Tokyo

เวลาทำการ:
Tokyo City View ชั้น 52: 10.00-22.00 น. (เข้าก่อน 21.30 น.) 
Sky Deck: 11.00-20.00 น. (เข้าก่อน 19.30 น.) 
วันและเวลาทำการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

ค่าเข้าชม:
วันจันทร์-ศุกร์ ผู้ใหญ่ 1,800 เยน นักเรียน 1,300 เยน เด็ก 700 เยน ผู้สูงอายุ 1,500 เยน
วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด ผู้ใหญ่ 2,000 เยน นักเรียน 1,400 เยน เด็ก 800 เยน ผู้สูงอายุ 1,700 เยน

เว็บไซต์: https://tcv.roppongihills.com/en/

6. โตเกียวทาวเวอร์ ย่านมินาโตะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Tokyo Tower

โตเกียวทาวเวอร์มีความสูง 333 เมตร สร้างเสร็จในปี 1958 นั้น เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูโตเกียวหลังสงคราม ในยุคที่สร้างเสร็จใหม่ๆ ถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกโดยสูงกว่าหอไอเฟลถึง 13 เมตร ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าความสูงจะแพ้โตเกียวสกายทรี แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและจุดถ่ายรูปยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว โตเกียวทาวเวอร์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือ Foot Town ศูนย์การค้า 4 ชั้นที่ตั้งอยู่ด้านล่างของหอคอย เป็นที่รวมแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และความบันเทิงต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลิน ส่วนที่ 2 คือ Main Deck เป็นจุดชมวิวสูง 150 เมตร ที่คุณสามารถชมความงดงามของทิวทัศน์รอบเมืองโตเกียว และมองลงไปเบื้องล่างผ่านพื้นกระจก Skywalk Windows และส่วนบนสุด Top deck จุดชมวิวพิเศษที่ความสูง 250 เมตร เพื่อชมทิวทัศน์แบบพาโนรามา และหากสภาพอากาศแจ่มใส คุณจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากจุดชมวิวทั้ง 2 ชั้นเลยค่ะ

วิธีการเดินทาง:

  • สถานี Onarimon (สาย Mita) สถานี Akabanebashi (สาย Oedo) สถานี Kamiyacho (สาย Hibiya) และเดินต่อประมาณ 5-10 นาที 
  • สถานี Daimon (สาย Asakusa) เดินต่อประมาณ 10 นาที
  • สถานี JR Hamamatsucho เดินต่อประมาณ 15 นาที 

ที่อยู่: 4 Chome-2-8 Shibakoen, Minato City, Tokyo

เวลาทำการ:
Main Deck 9.00-23.00 น. (เข้าก่อน 22.30 น.)
Top Deck 9.00-22.45 น. (ทัวร์รอบสุดท้าย 22.00-22.15 น.) 

เว็บไซต์: https://en.tokyotower.co.jp/

ค่าเข้าชม:

ประเภทผู้ใหญ่เด็กมัธยมปลายเด็กประถมและมัธยมต้นเด็ก (อายุ 4 ขวบขึ้นไป)
Main Desk (150 ม.)1,500 เยน1,200 เยน900 เยน600 เยน
Top Deck Tour (150 ม. และ 250 ม.) 3,300 เยน (เว็บ) 3,500 เยน (เคาน์เตอร์)3,100 เยน (เว็บ) 3,300 เยน (เคาน์เตอร์)2,100 เยน (เว็บ) 2,300 เยน (เคาน์เตอร์)1,500 เยน (เว็บ) 1,700 เยน (เคาน์เตอร์)
Tokyo Diamond Tour (150 ม. และ 250 ม.) (ทัวร์พิเศษทุกชั่วโมงตั้งแต่  12.00-18.00 น. ปิด 22.45 น.)7,000 เยน6,500 เยน4,700 เยน3,000 เยน

7. โตเกียวสกายทรี ย่านสุมิดะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Tokyo Skytree

โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่มีความสูง 634 เมตร เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น เปิดให้บริการในปี 2012 จากบนชั้นชมวิว คุณไม่เพียงแต่จะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ในวันที่อากาศแจ่มใสเท่านั้น แต่ยังสามารถมองเห็นภูมิภาคคันโตได้ทั้งหมดในทุกทิศทางอีกด้วย โตเกียวสกายทรีเปิดให้ขึ้นไปชมวิวได้อยู่ 2 ชั้น คือ Tembo Deck ที่ความสูง 350 เมตร ที่มีทั้งหน้าต่างชมวิว ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร และ Tembo Galleria ที่ความสูง 450 เมตร ซึ่งมีทางเดินวนที่คุณค่อยๆ เดินไปจนถึงความสูง 451.2 เมตร ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในการชมวิว

วิธีการเดินทาง:

  • สถานี Tokyo Skytree (สาย Tobu Skytree)
  • สถานี Oshiage (สาย Keisei หรือ Tokyo Metro Hanzomon หรือ Toei Asakusa)
  • สถานี Asakusa (สาย Tokyo Metro Ginza)
  • นั่ง Skytree Shuttle จาก สถานี Tokyo ย่าน Ueno-Asakusa สนามบิน Haneda และ Tokyo Disney resort

ที่อยู่: 1-chōme-1-2 Oshiage, Sumida City, Tokyo

เวลาทำการ: 10.00-22.00 น. ต้องเข้าก่อน 21.00 น.

ค่าเข้าชม:
Tembo Deck: ซื้อล่วงหน้า 2,100 เยน / ซื้อหน้างาน 2,400 เยน
Tembo Deck + Tembo Galleria: ซื้อล่วงหน้า 3,100 เยน / ซื้อหน้างาน 3,500 เยน

เว็บไซต์: https://www.tokyo-skytree.jp/en/

สถานที่ชมภูเขาไฟฟูจินอกเมืองโตเกียว

8. ทะเลสาบคาวากูจิ จังหวัดยามานาชิ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Lake Kawaguchi

ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi) เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิ ที่สามารถชมความงดงามของภูเขาไฟฟูจิได้ตลอดทั้งปี ไฮไลท์ของการเที่ยวชมทะเลสาบคาวากูจิคือการชมภูเขาไฟฟูจิจากมุมต่างๆ ทั้งจากการนั่งกระเช้าลอยฟ้า หรือการนั่งเรือท่องเที่ยวในทะเลสาบ นอกจากชมทัศนียภาพอันตระการตาของภูเขาไฟฟูจิแล้ว คุณอาจเดินเล่นรอบทะเลสาบซึ่งมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารที่ให้บริการอาหารท้องถิ่น เช่น โฮโตะ (บะหมี่ถ้วยที่เสิร์ฟพร้อมเนื้อสัตว์และผัก เช่น สควอช ในน้ำซุปมิโซะ) นอกจากนี้ยังมีขนมหวานอีกหลายชนิด ชิงเงนโมจิเป็นเค้กข้าวชนิดหนึ่งที่นุ่มและเคี้ยวหนึบ โรยด้วยคินาโกะ (ผงถั่วเหลืองคั่ว) ที่ให้รสชาติเหมือนถั่ว และราดด้วยน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดง ขนมหวานอีกชนิดที่ควรลองหากไปที่ทะเลสาบคาวากูจิคือไอศกรีมรสองุ่นที่มีรสชาติเหมือนองุ่นเคียวโฮอันเลื่องชื่อซึ่งเป็นสินค้าพิเศษอันทรงคุณค่าของภูมิภาคนี้

วิธีการเดินทาง:
การเดินทางไปกลับจากโตเกียวไปทะเลสาบคาวากูจิสะดวกและง่ายมาก โดยการนั่งรถบัสจากชินจูกุและชิบูย่า ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที หรือนักท่องเที่ยวที่ถือบัตร Japan Rail Pass สามารถนั่งรถไฟไปที่นั่นได้โดยไม่ต้องเสียค่าเดินทางเพิ่มเติม และหากคุณต้องการพักค้างคืน ที่นี่มีที่พักหลายแห่งที่มีบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง ซึ่งคุณสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ขณะแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน และคุณสามารถตื่นนอนในช่วงเช้าเพื่อออกไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นสีชมพูของทั้งภูเขาและทะเลสาบได้

9. สวนสาธารณะอาราคุระยามะเซ็นเก็น จังหวัดยามานาชิ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Chureito Pagoda

คุณสามารถไปเที่ยวสวนสาธารณะอาราคุระยามะเซ็นเก็น (Arakurayama Sengen Park) ได้ตลอดทั้งปี คุณจะได้ชมภูเขาไฟฟูจิสีขาวโพลนพร้อมต้นไม้แผ่กิ่งก้านไร้ใบ โดยมีหิมะปกคลุมโดยรอบในช่วงฤดูหนาวในฤดูร้อน คุณสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีได้ในฤดูร้อน และชมภูเขาไฟฟูจิต้ดกับใบไม้สีแดงสด ในฤดูใบไม้ร่วง และเมื่อดอกซากุระจากต้นนับร้อยต้นบานสะพรั่ง ก็ไม่มีอะไรจะสื่อถึงความเป็นญี่ปุ่นได้ดีไปกว่าทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิที่รายล้อมไปด้วยซากุระสีชมพูในฤดูใบไม้ผลิอีกแล้ว

การเข้าชมสวนสาธารณะอาราคุระยามะเซ็นเก็นไม่เสียค่าธรรมเนียม คุณสามารถเดินขึ้นบันได 400 ขั้นไปชมศาลเจ้าและเจดีย์ชูเรโตะ (Chureito Pagoda) ซึ่งวิวที่เห็นด้านบนคุ้มค่ากับการออกแรงเป็นอย่างมาก หากเดินทางไปกลับจากจากโตเกียว ควรเผื่อเวลาไว้ทั้งวัน หรือเพื่อไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป คุณอาจพักค้างคืนที่โรงแรมแถมทะเลสาบคาวากูจิก็ได้

วิธีการเดินทาง:
จากสถานีทะเลสาบคาวากูจิ ให้ขึ้นรถไฟ Fujikyu Railway* ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีไปยังสถานี Shimoyoshida ซึ่งเป็นทางเข้าสวนสาธารณะ อีกวิธีหนึ่งคือขึ้นรถไฟ JR Chuo Line ซึ่งเริ่มต้นจากสถานีโตเกียวไปยังสถานี Otsuki (สาย Chuo จะจอดระหว่างทางที่สถานีอื่นๆ เช่น Ochanomizu, Yotsuya และ Shinjuku) หลังจากนั้น เปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ Fujikyu Railway* ไปยังสถานี Shimoyoshida จากสถานี คุณสามารถเดินไปยังศาลเจ้าและเจดีย์ชูเรโตะได้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที

*คุณไม่สามารถใช้ JR Rail Pass เพื่อโดยสารรถไฟสาย Fujikyu ได้

10. เกาะเอโนชิมะ จังหวัดคานากาวะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Enoshima, Kanagawa

เกาะเอโนชิมะเป็นเกาะเล็กๆ ในพื้นที่ประมาณ 0.39 ตารางกิโลเมตร ที่เชื่อมต่อกับชายฝั่งทางแผนดินใหญ่ด้วยสะพานยาว 400 เมตร จากเกาะ คุณสามารถชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งวิวทะเลและวิวภูเขาภูเขาไฟฟูจิอันงดงามจากชายหาด ฤดูกาลที่ดีที่สุดในการชมภูเขาไฟฟูจิจากเกาะเอโนะชิมะคือฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว เกาะเอโนชิมะมีลักษณะเป็นภูเขา หากจะไปชมวิวในมุมสูงต้องเดินขึ้นบันไดไปตามเส้นทาง ผ่านร้านค้า ผ่านศาลเจ้าเอโนชิมะ จนไปถึงหอชมวิว Enoshima Sea Candle สูง 100 เมตร ที่อยู่ใน Enoshima Samuel Cocking Garden (เปิดบริการ 09.00-20.00 น. ค่าเข้าสวน 200 เยน ค่าขึ้นหอชมวิว 300 เยน

วิธีการเดินทาง:
เกาะเอโนชิมะอยู่ใกล้กับโตเกียว เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ โดยนั่งรถไฟจากสถานีชินจูกุประมาณ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีรถไฟสายสั้นๆ (รถไฟฟ้าเอโนชิมะ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เอโนเด็น”) ที่เชื่อมต่อคามาคุระกับเอโนชิมะโดยตรงในเวลา 24 นาที ชายหาดอยู่ห่างจากสถานี Enoshima โดยใช้เวลาเดิน 15 นาที มีสถานีที่ใกล้กว่าคือสถานี Katase-Enoshima ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของสาย Odakyū Enoshima ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ตั้งแต่สถานีชินจูกุและเปลี่ยนรถไฟที่สถานี Fujisawa ใช้เวลาเดินจากสถานี Katase Enoshima ไปยังบริเวณชายหาดประมาณ 5 นาที

11. ฮาโกเน่ จังหวัดคานากาวะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Hokone, Kanagawa

ฮาโกเน่ (Hokone) มีชื่อเสียงในด้านการชมภูเขาไฟฟูจิ แต่ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวตลอดทั้งปีที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม บ่อน้ำพุร้อน พิพิธภัณฑ์ศิลปะ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ที่นี่มีการชนส่งหลายรูปแบบให้คุณได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิจากมุมมองที่แตกต่างกัน เช่น การขึ้นกระเช้าลอยฟ้าซึ่งถือเป็นวิวที่ดีที่สุดในบริเวณนี้ เพราะคุณสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ตั้งแต่เชิงเขาถึงยอดเขา การนั่งกระเช้าลอยฟ้าใช้เวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้น คุณต้องเตรียมกล้องหรือสมาร์ทโฟนให้พร้อมเพื่อไม่ให้พลาดการถ่ายภาพภูเขาอันสวยงาม การนั่งรถไฟ หรือทัวร์รถบัสก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก และการนั่งเรือโจรสลัดชมวิวในทะเลสาบอาชิ (Ashinoko) ก็ได้ภาพภูเขาไฟฟูจิที่สะท้อนอยูบนผืนน้ำที่งดงาม

วิธีการเดินทาง:
เริ่มจากสถานีชินจูกุ เดินทางด้วยรถไฟ Odakyu ที่ให้บริการรถด่วน Romance Car ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษและเป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทางเนื่องจากมีที่นั่งที่สะดวกสบายและหน้าต่างแบบพาโนรามาที่ให้ทัศนียภาพอันงดงามของภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ การซื้อบัตร Hakone Free Pass ยังเป็นวิธีที่คุ้มค่ามาก เพราะครอบคลุมการเดินทางไม่จํากัดบนรถไฟฮาโกเน่โทซัง และรวมถึงการเข้าถึงกระเช้าลอยฟ้าฮาโกเน่และเคเบิลคาร์โทซัง หรือนั่งรถบัสฮาโกเน่โทซังในการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

12. ฟูจิมิเทอเรซ จังหวัดชิซูโอกะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Fujimi Terrace

หนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นคือฟูจิมิเทอเรซ (Fujimi Terrace) ที่อยู่ในบริเวณ Iz Panorama Park บนยอดเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi) จังหวัดชิซูโอกะ ห่างจากภูเขาไฟฟูจิ 70 กฺโลเมตรโดยประมาณ คาบสมุทรอิซุ (Izu Peninsula) คำว่า “ฟูจิมิ” แปลว่า “วิวฟูจิ” หากต้องการขึ้นไปที่ฟูจิมิเทอเรซ คุณจะต้องขึ้นกระเช้าลอยฟ้าระยะทาง 1,800 เมตร เป็นเวลาประมาณ 7 นาที เพื่อขึ้นไปที่ระดับความสูง 452 เมตร เหนือน้ำทะเล จากจุดชมวิว คุณจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิและอ่าวซูการุ รวมถึงผืนป่าสีเขียว และเมืองที่อยู่ด้านล่างได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง บนนี้ยังมีพื้นที่นั่งเล่น ทั้งเลานจ์ระดับพรีเมียม พื้นที่โซฟา เคาน์เตอร์กลางแจ้ง เป็นต้น

วิธีการเดินทาง:
คุณสามารถเดินทางโดยรถไฟชินคันเซ็น Tokaido หรือรถไฟสาย JR Tokaido จากสถานี Tokyo ไปยังสถานี Mishima จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Izu Hakone Railway Sunzu Line และลงที่สถานี Izu-Nagaoka แล้วขึ้นรถบัส Izu Hakone Bus Nagaoka Onsen Loop หรือ Mito Sea Paradise ไปอีก 10 นาที เพื่อไปลงที่ศาลากลางเมืองอิซุโนะคุนิ (Izunokuni) แล้วเดินต่อไปอีก 1-2 นาที

13. สะพานแขวนมิชิมะสกายวอล์ค จังหวัดชิซูโอกะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Mishima Skywalk, Shizuoka

อีกหนึ่งสถานที่ที่คนตามหาภูเขาไฟฟูจิห้ามพลาดก็คือสะพานแขวนมิชิมะสกายวอล์ค (Mishima Skywalk) เป็นสะพานแขวนขนาดใหญ่ที่มีความยาวรวม 400 ม. มีระดับสูงจากพื้นดิน 70 เมตร ถือได้ว่าเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นเลยล่ะ ช่วยให้คุณมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างใกล้ชิดเลยล่ะ เวลาที่ดีที่สุดในการชมภูเขาไฟฟูจิจากที่นี่คือช่วงประมาณเก้าโมงเช้าหรือบ่ายแก่ๆ ในช่วงพระอาทิตย์ตก ภูเขาไฟฟูจิและทิวทัศน์ของอ่าวซูรูกะจะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์

วิธีการเดินทาง:
นั่งรถไฟชินคันเซ็นสายโทไกโดจากสถานีโตเกียวไปยังสถานีมิชิมะ (55 นาที) จากนั้นขึ้นรถบัสรับส่งสีส้มสายโทไก (เส้นทาง N) จากป้ายรถบัสหมายเลข 5 ซึ่งอยู่ที่ทางออกด้านใต้ของสถานีมิชิมะ จุดหมายปลายทางของรถบัสคือท่าเรือโมโตฮาโกเนะ แต่ให้ลงที่ป้ายรถบัส Mishima Skywalk ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ทางเข้าอยู่ตรงหน้าป้ายรถบัสเลย

14. โกเทมบะ จังหวัดชิซูโอกะ

สถานที่ชมวิว ภูเขาไฟฟูจิ ในโตเกียว: Gotemba, Shizuoka

โกเทมบะเป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดชิซูโอกะ ตั้งอยาบริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ และมีชื่อเสียงในหมู่นักชอปปิ้ง เพราะมีห้างสรรพสินค้าเอาท์เล็ตขนาดใหญ่ในเมืองอย่างโกเทมบะพรีเมียมเอาท์เลต (Gotemba Premium Outlet) ที่มีตั้งแต่ร้านอาหาร คาเฟ่ และสินค้าแบรนด์ต่างๆ ทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและต่างประเทศ ให้คุณได้ชอปปิ้งกันอย่างเต็มอิ่ม หากคุณไม่มีเวลามาก คุณสามารถรวมการซื้อของได้อย่างเพลินๆ และชมภูเขาไฟฟูจิอย่างใกล้ชิดไว้ในที่เดียวกันโดยการไปที่โกเทมบะ

วิธีการเดินทาง:
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขึ้นรถบัสทางด่วนสายใดสายหนึ่งที่ออกจากสถานีต่างๆ ทั่วโตเกียว เช่น โตเกียว ชิบูย่า ชินจูกุ อิเคบุคุโระ และชินากาวะ รวมถึงจากโยโกฮาม่าด้วย วิธีที่เร็วที่สุดคือการขึ้นรถไฟ Romance Car สาย Odakyu จากสถานีชินจูกุไปยังสถานีโกเทมบะ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 95 และจากสถานี Gotemba จะมีรถบัสรับส่งฟรีไปยังโกเทมบะพรีเมียมเอาท์เลต คุณสามารถนั่งรถบัสจากโกเทบะไปยังภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย

การไปเที่ยวญี่ปุ่นจะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ ไม่ว่าจะมองจากหน้าต่างรถไฟชินคันเซน ตึกระฟ้าในโตเกียว หรือสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่อยู่ใกล้เคียง แต่การที่จะให้แผนการเที่ยวของคุณเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องร้ายๆ กับค่าใช้จ่ายที่อาจงอกเพิ่มระหว่างการเดินทาง สิ่งที่เราควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้รับความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : japantravel.navitime.com, gotokyo.org

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูที่สวยงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ใบไม้ใน จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น จะทยอยเปลี่ยนสี โดยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม เป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนไปสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นลงและใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี ทำให้เกิดทัศนียภาพอันน่าทึ่งของใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใส ในสถานที่ต่างๆ ของประเทศ เพื่อนๆ คนไหนที่วางแผนจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2024 ไปใช้เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางกันได้เลย สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ที่ไหนดี วันนี้ Allianz Travel รวบรวม 25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ในแต่ละภูมิภาค มาฝากเพื่อนๆ มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 🙂

หมายเหตุ: ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2024 และอัพเดทข่าวสารเป็นระยะๆ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการเดินทางค่ะ

1. ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

ภูเขาอะซาฮิดาเกะ (Mount Asahidake) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในฮอกไกโด (สูง 2,290 เมตร) และอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsuzan National Park) อีกด้วย อาซาอิตาเกะ เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่แรกที่จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่มีพืชพันธุ์หลายชนิดมากยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสียิ่งสวย สีสันตระการตาสุด นอกจากเดินป่าแล้วก็ยังมีนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ใครสายเที่ยวธรรมชาติจัดเลย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนกันยายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสประจำทางจากสถานีรถไฟ Asahikawa 1,800 เยน (เที่ยวเดียว) หรือจากสนามบินอาซาฮิกาวะ (Asahikawa Airport) 1,270 เยน (เที่ยวเดียว) หรือเช่ารถจากสนามบินอาซาฮิกาวะ หรือเมืองบิเอะ (Biei) ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Daisetsuzan, Higashikawa, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/VbzHZGvVrRwqSbRo9

2. น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls) ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขาห่างไกลของเมืองไดโกะ (Daigo) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดอิบารากิ เป็นน้ำตกสูง 120 เมตรที่ไหลผ่านหน้าผาหินยักษ์ลงมา 4 ชั้น และเป็นหนึ่งในสามน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และแต่ละฤดูกาล น้ำตกแห่งนี้ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่ซ้ำใคร จากทางเข้า นักท่องเที่ยวจะต้องเดินผ่านอุโมงค์ทางเดินยาว 276 เมตรที่นำไปสู่จุดชมวิวหลายชั้น ชั้นล่างจะเห็นน้ำตกได้อย่างใกล้ชิดจากฐานน้ำตก ในขณะที่ชั้นบนที่ต้องขึ้นลิฟต์ไปจะเห็นน้ำตกทั้ง 4 ชั้นแบบพาโนรามาจากความสูงประมาณ 50 เมตรเหนือพื้นดิน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

เวลาทำการ:

8.00-18.00 น. (พ.ย. – เม.ย. เวลา 9.00-17.00)

ค่าเข้าชม:

ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากโตเกียว (สถานีอุเอโนะ โตเกียว หรือชินากาวะ) ให้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษไปยังสถานีมิโตะ (70 นาที ขบวนละ 2 ขบวนต่อชั่วโมง) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Suigun ไปยังสถานีฟุคุโรดะ (70 นาที ขบวนละ 1-2 ชั่วโมง) หลังจากนั้นนั่งรถบัสอิบารากิโคจึไปลงป้ายทากิโมโตะ (Takimoto) (7 นาที) จากนั้นเดินต่ออีก 5-10 นาทีไปยังทางเข้าอุโมงค์ไปยังน้ำตก หรือเช่ารถจากสถานีมิโตะ ใช้เวลาประมาณ 75 นาที และมีที่จอดรถใกล้ทางเข้าน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Kuji District, Ibaraki, Japan
https://maps.app.goo.gl/RU8kSJv2KCLtjAkb7

3. กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนเล็กๆ ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูเขาของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในอดีต หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเหมืองเงินขนาดใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาเป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีเรียวกังเก่าแก่เรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ เมื่อมองไปรอบๆ เราก็จะเห็นทิวทัศน์ของภูเขาที่โอบล้อมอย่างใกล้ชิด เข้ากับความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมภายในหมู่บ้านอย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง

รถไฟ: นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย JR Yamagata จากโตเกียวไปยังสถานี Oishida (200 นาที) จากนั้นรถบัสจะออกทุกๆ สองชั่วโมงไปยังกินซันออนเซ็น (35 นาที) 

รถยนต์: เช่ารถจากสถานีรถไฟอย่างเช่น สถานีมูรายามะ (Murayama) ชินโจ (Shinjo) และยามากาตะ (Yamagata) รวมถึงที่สนามบินนามากาตะ มีที่จอดรถในลานจอดรถซึ่งเดินจากใจกลางเมืองออกไป 5-10 นาที เรียวกังหลายแห่งจะไปรับแขกที่ลานจอดรถ

เครื่องบิน: มีรถบัสรับส่งระหว่างสนามบินยามากาตะ และกินซันออนเซ็น 2 เที่ยวต่อวัน (75 นาที) โดยไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า

ที่อยู่/แผนที่:

Obanazawa, Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/wqzhDAccjmv6ocDL8

4. ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (Hokkaido Government Office) หรือที่นิยมเรียกว่า ทำเนียบอิฐแดง (Red Brick Office) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองซัปโปโร (Sapporo) และยังเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์และงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะเต็มไปด้วยสีสันสดใสของใบเมเปิ้ลและใบแปะก๊วย เป็นอีก จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพสวย ๆ ของใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมกับแลนด์มาร์คสำคัญ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: 

ปลายเดือนกันยายน – ต้นเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

เดินเพียง 8 นาทีจากทางออกทิศตะวันตกของสถานีเจอาร์ซัปโปโร หรือจากทางออก 10 ของสถานีซัปโปโร บนสายรถไฟใต้ดินนัมโบกุ

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/AyhnBq63nMuej8929

5. สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge) เป็นสะพานแขวนแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ทอดยาวข้ามหุบเขาลึกของแม่น้ำโจกาคุระ ในจังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีขนาดกว้าง 11.5 เมตร ยาว 360 เมตร สูง 122 เมตร และมีส่วนโค้ง 255 เมตร ซึ่งถือได้ว่ายาวที่สุดในญี่ปุ่น และสะพานแห่งนี้ยังเป็นจุดเชื่อมโยงภูมิภาคสึการุ (Tsugaru) และนันบุ (Nanbu) เข้าไว้ด้วยกัน สะพานโจกาคุระขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่งดงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้หลากสีสันจะแต่งแต้มสีสันทอดยาวสุดสายตา บนสะพานมีจุดชมวิวหลายจุดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและเก็บความประทับใจ และจากสะพานนี้ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของลำธารโจกากุระ-เคริว (Jyogakura-Keiryu) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะสถานที่สวยงามในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park) ได้อีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

สะพานโจกาคุระอยู่ห่างจากสถานีรถไฟอาโอโมริ (Aomori) 56 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Aomori, Japan
https://maps.app.goo.gl/LJviW3byDWfvkCBQ6

6. โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โจซังเคอนเซ็น (Jozankei Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด ณ อุทยานแห่งชาติชิโคสึ-โทยะ ที่มีโรงแรมเรียวกังกว่า 20 แห่ง และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของฮอกไกโด นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อต้นไม้ริมหุบเขาและหุบเขาข้างเคียงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีแดงสดใส

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากสถานีขนส่งซัปโปโร ให้ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 7 หรือ 8 ไปยังโจซังเคออนเซ็น รถบัสจะออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 75 นาที 

2. ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 12 จากสถานี Makomanai ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟใต้ดินสาย Namboku ของซัปโปโร จากสถานี Makomanai การเดินทางไปโจซังเคออนเซ็นใช้เวลา 50 นาที รถบัสจะออกทุกๆ 30-60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/9ag2crrshr2MkXop7

7. หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไร Kakunodate เป็นแหล่งเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัด Akita ด้วยบรรยากาศย้อนยุคในหมู่บ้านที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือน ถนนหนทางและอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ในหมู่บ้านที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เหมือนในอดีต รวมทั้งยังมีคฤหาสน์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยของเหล่าซามูไรหลงเหลืออยู่ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีเสน่ห์สวยแบบมีมนต์ขลังจนถูกเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครและภาพยนต์อยู่เนืองๆ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากโตเกียวนั่ง Akita Shinkansen มาลงที่สถานี JR Kakunodate แล้วเดินไปหมู่บ้านซามูไรประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Semboku, Akita, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZkDPPNW4qzWqAGtC6

8. คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi) สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่ในเขตจังหวัดนากาโน่ (Nagano) เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่เป็นจุดหมายในฝันของหลายคนที่ต้องหาโอกาสไปเยือนซักครั้ง คามิโคจิเปิดให้เข้าชมแค่เฉพาะวันที่ 17 เม.ย.-15 พ.ย. ของทุกปี ดังนั้นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจึงเป็นช่วงเวลาไฮไลท์ที่ห้ามพลาด กับบรรยากาศยอดภูเขาที่มีหิมะคลุมสลับกับต้นไม้สีส้มแดงและแม่น้ำสีฟ้า

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

หากนั่งรถบัสตรงมาจากโตเกียว (สถานีชินจูกุ สถานีโตเกียว และสถานีชิบูย่า) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง หรือนั่งรถไฟด่วนพิเศษอาซึสะ (Azusa) จากสถานีชินจูกุ มาลงที่สถานีมัตสึโมโตะ ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นก็ต่อรถบัสเพื่อไปยังคามิโคจิโดยใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Matsumoto, Nagano, Japan
https://maps.app.goo.gl/WoUvcJ9D9SkvgaYD8

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO World Heritage Sites)  นอกจากการขอพรกับเทพศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด ที่สามารถดื่มและขอพรได้ สำหรับจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีจะอยู่ที่บริเวณอาคารไม้หลังใหญ่ของวัด เป็นจุดยอดนิยมที่ใครๆ ก็ต้องขอมาถ่ายภาพ และสามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วย ช่วงค่ำจะมีการเปิดไฟ Light up ตั้งแต่เวลา 18.00-21.00 น. ที่ให้บรรยากาศอีกแบหนึ่งด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station เดินต่อประมาณ 20 นาที หรือนั่งรถบัสเมืองเกียวโตหมายเลข 100 หรือ 206 มาลงที่ป้าย Gojozaka หรือ Kiyomizu-michi จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Higashiyama Ward, Kyoto, Japan
https://maps.app.goo.gl/bXjhEAs6dDHbK6Uz8

10. ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ (Lake Ashinoko) ตั้งอยู่ในพื้นที่ฮาโกเน่ (Hakone) จังหวัดคานางาวะ (kanagawa) เกิดจากหลุมปล่องภูเขาไฟที่ปะทุเมื่อง 3,000 ปีที่แล้ว ทะเลสาบนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยภูเขาและป่าไม้ มีความสวยงามที่ไม่เหมือนใครและมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากมุมมองต่างๆ ทะเลสาบและพื้นที่รอบๆ มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเดินป่าและสัมผัสธรรมชาติ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

1. รถบัสจาก Odawara ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
2. รถบัสจาก Hakone-Yumoto ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 35 นาที
3. รถบัสจากสถานี Mishima ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
4. รถบัสจาก Gotemba ไป Togendai ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
5. รถบัสจาก Atami ไป Hokone-machi ใช้เวลาประมาณ 60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hakone, Kanagawa, Japan
https://maps.app.goo.gl/G7P8tZ391zvtHDFb9

11. ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

จากทะเลสาบทั้ง 5 แห่งใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi) เป็นทะเลสาบที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดจากโตเกียว ในวันที่อากาศแจ่มใสและเงียบสงบ คุณจะมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิในทะเลสาบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทะเลสาบแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะมีเทศกาล Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival ซึ่งเป็นเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยกันในทุกปี ทีมีการจัดประดับไฟแสงสีสุดอลังการในช่วงกลางคืนอีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

นั่งรถไฟจากสถานี JR Shinjuku ไปยังสถานี JR Otsuki สาย JR Chuo (ประมาณ 1 ชั่วโมง) จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นสาย Fuji Kyuko ไปยังสถานี Kawaguchiko (ไม่สามารถใช้ JR Rail Pass ได้) หรือนั่งรถบัส  Shinjuku Expressway ไปยังสถานี Kawaguchiko (ประมาณ 2 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

FuliKewaguchiko, Yamanashi, Japan
https://maps.app.goo.gl/WFQMdJMNQLeiHrGK7

12. สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่เลื่องลือในโตเกียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า กิงโกะ) เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร เป็นจุดที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ผู้คนจะมาเดินเล่นกันเพื่อชื่นชมความงามของทิวแถวต้นแปะก๊วยสีเหลืองอร่าม ดูงดงามราวกับภาพวาด และตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคมก็จะมีการจัดงานเทศกาลชมต้นแปะก๊วยที่จิงกูไกเอ็น ซึ่งมีการออกร้านขายของที่ระลึกประเภทงานฝีมือและอาหารต่างๆมากมาย และมีผู้คนมาเที่ยวชมงานกันเนืองแน่นครึกครื้น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

1. นั่ง Tokyo Metro Ginza ให้ลงสถานี Gaienmae และเดินต่อประมาณ 4 นาที
2. นั่งรถไฟใต้ดินโตเกียว สาย Hanzomon หรือ สาย Toei Oedo ให้ลงสถานี Aoyama Itchome ใช้เวลาเดินประมาณ 6 นาที
3. หากนั่งรถไฟ JR สาย Chuo/Sobu ลงสถานี Shinanomachi แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Shiniuku City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/AgzR1zj5sPpiA3xr5

13. ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) เหมาะกันการไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี แต่ใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมจะทำให้การเดินทางครั้งนี้ของคุณคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง คุณสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามได้ตลอดทาง ตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงยอดเขา ขอแนะนำให้ขึ้นกระเช้าจากสถานี Kiyotaki ที่เชิงเขาไปยังสถานี Takaosan บนเชิงเขา ระหว่างทางขึ้นภูเขา มีจุดชมธรรมชาติที่สวยงามมากมายและอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับการเดินป่าได้โดยไม่ต้องออกแรงมากเกินไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

สถานีที่ใกล้ที่สุดกับภูเขาทาคาโอะคือสถานี Takaosanguchi ของสาย Keio (จากสถานีชินจูกุใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

Hachio, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/MxHmphgLJ2ogju2A6

14. สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park) ตั้งอยู่ในเมืองนารา ซึ่งเมืองนาราเป็นสถานที่ที่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เนื่องจากเมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เช่น ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ วัดโคฟุกุจิ วัดโทไดจิ พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา สวนสาธารณะนารา และโชโซอิน เป็นต้น เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง สวนสาธารณะแห่งนี้จะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีสันสดใสที่ผสมผสานกับสถานที่สำคัญได้อย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

ที่สะดวกที่สุดคือการนั่งรถไฟจากเมือง Osaka สถานี Osaka-Namba สาย Kintetsu Line ลงสถานีปลายทาง Kintetsu Nara ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที แล้วเดินด้วยเท้าต่ออีก 1.2 กิโลเมตร ก็จะถึงสวนสาสาธารณะ Nara

ที่อยู่/แผนที่:

Nara, Japan
https://maps.app.goo.gl/NdcXWb7AyHygURdj6

15. หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารูโกะ(Naruko Gorge) เป็นหนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ ทุกปีในช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนทั่วทั้งบริเวณหุบเขาจะงดงามด้วยสีสันของใบไม้ นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว หุบเขาแห่งนี้กินพื้นที่ยาว 2 กิโลเมตรจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก จุดชมธรรมชาติที่ดีที่สุดคือบริเวณศาลา Narukokyo Resthouse เรื่อยไปทางทิศตะวันตกของหุบเขา ทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งคือสะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge) ที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวข้างศาลา

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

สถานีรถไฟที่ใกล้กับหุบเขานารุโกะที่สุดคือสถานี Nakayamadaira Onsen ซึ่งสามารถเดินไปยังหุบเขาได้ในเวลา 30 นาที หรืออีกวิธีหนึ่งคือนั่งแท็กซี่จากสถานี Naruko Onsen ไปยังหุบเขาได้ในเวลา 10 นาที และมีรถบัสให้บริการทุกชั่วโมงระหว่างสถานี Nakayamadaira Onsen และสถานี Naruko Onsen เฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยระหว่างทางมีจอดที่ Narukokyo Resthouse และ Japan Kokeshi Museum (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Naruko Gorge, Osaki, Miyagi, Japan
https://maps.app.goo.gl/81fERSxbwaBicMVu7

16. ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort) เป็นสกีรีสอร์ทที่ขนาดไม่ใหญ่นัก อยู่นอกเมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงที่หิมะยังไม่ตกจะมีกระเช้าลอยฟ้า Koyo Gondola วิ่งให้บริการเฉพาะช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้น ซึ่งจะค่อยๆ แล่นไต่ระดับจากพื้นดินขึ้นไปถึงสถานีบนยอดเขา ที่คุณสามารถชื่อชมภูเขาที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีที่อยู่เบื้องล่างและมองเห็นทะเลที่อย่ไกลออกไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

ขึ้นรถบัสจากสถานี Sapporo (Jotetsu Bus) ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Jozankei (60 นาที) และต่อรถ Kouyou Gondola Liner ไปที่รีสอร์ท (30 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/5en2eFLfZaufsoFe7

17. น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) หนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาทางทิศตะวันตกของ ภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka Prefecture) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากหิมะที่ละลายลงมาจากภูเขาไฟฟูจิ กลายเป็นม่านน้ำตกขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 150 เมตร และสูงประมาณ 20 เมตร สายที่ไหลลงมาดูพลิ้วไหวราวกับผ้าไหมสีขาว เมื่อกระทบสู่แอ่งน้ำด้านล่างก็เกิดเป็นละอองน้ำกระจายไปทั่วบริเวณ บรรยากาศสดชื่น ในช่วงฤดูใบไม่เปลี่ยนสี ต้นไม้ที่รายล้อมจะเปลี่ยนเป็นสีสันแดง เหลือง ส้ม ที่ดูงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสจากสถานีต่างๆ เช่น สถานีชินฟูจิ (Shin-Fuji Station) สถานีฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya Station) และป้ายรถบัสทะเลสาบฟูจิทั้ง (5 Fuji Five Lakes) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะแวะจอดที่ป้ายบริเวณน้ำตกชิราอิโตะ จากนั้นให้เดินจากถนนไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Fujinomiya, Shizuoka, Japan
https://maps.app.goo.gl/ateeBNFrnvTGRuyq6

18. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) หมู่บ้านชาวนาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงฮิดะ (Hida) ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) หมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่เกิดจากการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้าง และบ้านโบราณต่างๆ ภายในพื้นที่ให้คงอยู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ที่นี่เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยและโรแมนติกแห่งหนึ่ง ต้นไม้ ใบไม้ต่างๆ จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีน้ำตาลทั้งหมู่บ้าน และจุดที่ไม่ควรพลาดคือจุดชมวิวเท็นชุคาคุ (Tenshukaku Observatory) ที่อยู่มุมสูงมองเห็นหมู่บ้านได้ทั้งหมด

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟจากเมืองโอซาก้า (Osaka) หรือเมืองนาโกย่า (Nagoya) มาลงที่เมืองคานาซาวา (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน หรือนั่งรถไฟจากเมืองนาโกย่า (Nagoya) เข้าเมืองทาคายาม่า (Takayama) แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center อีกประมาณ 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Gifu, Japan
https://maps.app.goo.gl/GzAUKZH5SEbAH3uL7

19. จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

วิวใบไม้เปลี่ยนสีอันเลื่องชื่อเหนือแม่น้ำทาดามิจะอยู่บริเวณสะพานแม่น้ำทาดามิแห่งแรกเมื่อรถไฟออกจากอุโมงค์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามในเมืองฟุกุชิมะ รถไฟ Tadami Line เป็นรถไฟท้องถิ่นของจังหวัด Fukushima วิ่งระหว่างสถานี Aizu-Wakamatsu กับสถานี Aizu-Kawaguchi (เลยไปจนถึงสถานีปลายทาง Koide ในจังหวัด Niigata) ในหนึ่งวันวิ่งเพียงหกขบวนสำหรับขาไปและอีกหกขบวนสำหรับขากลับ การเดินทางมาชมรถไฟ Tadami line แนะนำให้พักโรงแรมแถวสถานีต้นทาง Aizu-Wakamatsu

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟ JR Tadami line จากสถานี Aizu-Wakamatsu (6.00 น.) ไปลงที่สถานี Aizu Miyashita (7.29 น.) จากนั้นนั่ง Micro-bus ต่ออีกประมาณ 5 นาทีไปลงที่จุดพักรถ (Michi no Eki Mishima Juku) ก่อนเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนเนินเขาใกล้ๆ จุดพักรถ

ที่อยู่/แผนที่:

Mishima, Fukushima, Japan
https://maps.app.goo.gl/LF7LrRHDNUSqkikT8

20. หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge) เป็นหุบเขารูปตัววีที่เกิดจากแม่น้ำโกคาเสะ (Gakase River) กัดกร่อนลาวาที่ไหลออกมาจากการปะทุของภูเขาไฟอะโซ (Mount Aso) เป็นเวลานับหมื่นปี ภาพของหน้าผาซึ่งมีความสูงถึง 100 เมตรและสูงเฉลี่ย 80 เมตร ทอดยาวเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตรนั้นงดงามตระการตาจนประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและเป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพที่งดงาม จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดคือน้ำตกมานาอิ (Manai Falls) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในน้ำตก 100 แห่งที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง พื้นที่รอบ ๆ น้ำตกก็จะเปลี่ยนสีไปด้วย ทำให้สามารถชมทิวทัศน์น้ำตกและใบไม้เปลี่ยนสีอันน่าทึ่งได้จากบนเรือ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

ให้เริ่มต้นจากเมืองคุมาโมโตะ หรือเมืองมิยาซากิ แล้วนั่งรถบัสจากเมืองคุมาโมโตะไปที่ทาคาจิโฮ หรือขับรถจากเมืองมิยาซากิใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ที่อยู่/แผนที่:

Takachiho, Miyazaki, Japan
https://maps.app.goo.gl/EWM3m7k3jpMCX1sM8

21. สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธาณะชิบะ (Shiba Park) เป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โด่งดังอยู่ใกล้กับโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) สวนนี้อยู่ล้อมรอบวัดโซโจ ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลโทกูงาวะ โชกุนที่มีตำแหน่งสูงสุดในนักรบซามุไรของญี่ปุ่นในสมัยก่อน เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดให้ได้เพลิดเพลินกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม ทั้งต้นเมเปิ้ล (โมมิจิ) หรือต้นแปะก๊วย เป็นต้น คุณสามารถชมโตเกียวทาวเวอร์พร้อมกับชมใบไม้เปลี่ยนสีไปด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากสถานีชิบะโคเอ็น (Shibakoen) รถไฟโทะเอสายมิตะ ก็จะออกมาที่หน้าสวนเลย  หากมาจากสถานีไดมน (Daimon) รถไฟโทะเอสายอาซากุสะ จะต้องเดินไปสวนอีก 7 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Minato City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/fqa6DeuzihFQLij88

22. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) แปลตามตัวได้ว่า วัดภูเขา มีชื่ออย่างเป็นทางการคือวัดริชชะคุจิ (Risshakuji Temple) ตั้งอยู่บนเขาในเมืองยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) และเป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยอาคารใหญ่ด้านหน้านั้นถูกกำหนดให้เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีส่วนต่างๆ ที่สร้างเอาไว้ในพื้นที่บนเขา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่าวัดภูเขา ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

ด้านล่างของวัดยามาเดระอยู่ห่างจากสถานี JR Yamadera โดยการเดิน 7 นาที หากขึ้นรถไฟชินคันเซ็น Hayabusa จากโตเกียวแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamagata ที่เมืองเซนได คุณจะไปถึงสถานี Yamadera ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษ

ที่อยู่/แผนที่:

Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/Q9cJmbHdsTP5MAM9A

23. สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge) คือสะพานสีแดงสด หากเดินทางโดยรถไฟโทะรกโกะ (Torokko Train) จากสถานีอุนะซุกิไม่ไกลนัก ก็จะผ่านสะพานที่ยาวที่สุดของบริเวณแม่น้ำคุโรเบะ โดยมีความยาวถึง 166 เมตร โดยเราสามารถมองเห็นสะพานชินยะมะบิโกะได้จากสถานีรถไฟ อุนะซุกิ (Unazuki Station), จุดชมวิวยามาบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) และจากสะพานจุดอื่นๆ จุดที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพของสะพานนี้คือจุดชมวิวยะมะบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) ใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีจากสถานีรถไฟอุนะซุกิ (Unazuki Station) คุณก็จะพบกับจุดถ่ายภาพนี้ ซึ่งต้นไม้เปลี่ยนสีบริเวณนี้มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดจึงทำให้เป็นจุดที่สวยงาม ด้วยสีสันที่หลากหลายของใบไม้ มีทั้งสีแดง สีส้ม สีเหลือง ตัดกับสีน้ำเงินของแม่น้ำคุโรเบะและสีแดงสดของสะพาน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากสถานี Toyama โดยสารรถไฟ JR Shinkansen ไปลงที่สถานี Kurobe Unazuki Onsen ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นคุณสามารถเดินไปยังจุดหมายได้ทันที

ที่อยู่/แผนที่:

Kurobe Gorge, Toyama, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZFCQq651nkT18r5c7

24. กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

Nikko-Shirane Ropeway เป็นกระเช้าลอยฟ้าประเภทกอนโดล่า อยู่ใน Marunuma Kogen Ski Resort กระเช้าจะเดินทางครอบคลุมระยะทาง 2,500 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างทางกระเช้าจะเคลื่อนตัวผ่านระหว่างภูเขา คุณจะได้พบกับวิวภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane) ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตจังหวัดกุนมะและโทจิงิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคคันโต (2,578 เมตร) และธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ ใบไม้ จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันหลากสีสัน สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล เป็นภาพของธรรมชาติที่สวยงามมากๆ ด้านบนมีร้านอาหาร จุดชมวิว มีเส้นทางเดินป่า 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปสักการะพระพุทธรูปหิน และแช่เท้าในน้ำพุร้อน ส่วนในฤดูหนาว Marunuma Kogen จะเปิดเป็นสกีรีสอร์ท กระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะเปิดให้บริการตลอดทั้งปี คุณสามารถเดินทางมาด้วยรถไฟและรถประจำทาง หรือรถประจำทางแบบด่วนจากโตเกียวในช่วงฤดูหนาวได้

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

  • นั่งรถไฟ Joetsu Shinkansen จากสถานี Tokyo ไปถึงสถานี Jomo-Kogen โดยใช้เวลาประมาณ 70 นาที 
  • ที่สถานี Jomo-Kogen ซึ่งเป็นประตูสู่พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของกุนมะ รถประจำทางจะจอดที่หน้าทางออกทิศตะวันออกของสถานี มีศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวใกล้ทางออกทิศตะวันออก รถประจำทางไปสถานี Numata และ Oze Tokura จะออกจากป้ายรถประจำทางหมายเลข 2 ที่หน้าสถานี 
  • แม้รถประจำทางที่ไป Oze Tokura บางส่วนจะเริ่มต้นจากสถานี Jomo-Kogen แต่ส่วนใหญ่จะออกจากสถานี Numata ขึ้นรถประจำทางสาย Sarugakyo (Kan-etsu Transportation) ไปยังสถานี Numata ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที 
  • จากสถานี “Numata” บนสาย JR Joetsu Line นั่งรถบัสท้องถิ่น Kan-etsu Kotsu และลงที่ป้าย “Kamata” การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เวลาบนตารางเวลาบริการรถประจำทางอาจแตกต่างกันในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว 
  • จากนั้นขึ้นรถบัสที่มุ่งหน้าไปยัง Marunuma Kogen Ski Resort โดยขึ้นรถประจำทางKan-etsu Transportationที่มุ่งหน้าไปยังยุโมโตะ ออนเซ็นและลงที่ป้าย Mt. Nikko-Shirane Ropeway ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ปกติแล้วในวันที่กระเช้าลอยฟ้าเปิดให้บริการจะมีบริการรถรับส่งฟรีจากป้ายรถบัส Kamata รถรับส่งจะจอดรับผู้โดยสารบริเวณใกล้จุดจำหน่ายตั๋วกระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะ

    คุณสามารถคลิกดูวิธีการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่อยู่/แผนที่:

Gunma, Japan
https://maps.app.goo.gl/ibsEopnhMV6sUfw38

25. สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi) เส้นทางขับรถเส้นนี้เป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีวิวที่สวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้โดยรอบพื้นที่จะถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของใบไม้ที่มีหลากหลายสีสัน มีทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล สลับกันไป ทำให้ทัศนียภาพของพื้นที่โดยรอบสวยงามดุจดั่งภาพวาดอันน่าทึ่ง “สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge)” เป็นสะพานสะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่าที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หากมองจาก “สะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge)” คุณจะได้เห็นเห็นทิวทัศน์ของ สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) ที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติทั้งภูเขา ป่าไม้ ท้องฟ้า และก้อนเมฆ เป็นภาพที่งดงามและโรแมนติก

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ช่วงปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากโซอุนเคียว อนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง Mikuni Pass 
2. จากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZQ5VLWxsmgvzKNyr9

การเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราควรวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า เนื่องจากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อชมความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบวางแผนการเดินทางและจองที่พักตามสถานที่ ที่เราต้องการเดินทางไปให้พร้อม และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : facebook: ibaraki.thai, conomi.co, aomori-tourism.com, japan-guide.com, alpico.co.jp, japan.travel, en.japantravel.com, jnto.or.th, sapporo-kokusai.jp, visit.gunma.jp, whc.unesco.org

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ นิวอิงแลนด์ (New England), อเมริกา (USA)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี นิวอิงแลนด์ (New England), สหรัฐอเมริกา (USA) ในฤดูใบไม้ร่วง

หากคุณต้องการไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) เพื่อ เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี จุดหมายปลายทางยอดนิยมและเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามและโด่งดังที่สุดของอเมริกาก็คือ รัฐทั้งหกของนิวอิงแลนด์ (New England) ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา ประกอบด้วยรัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) รัฐโรดไอแลนด์ (Rhode Island) รัฐคอนเนคทิคัต (Connecticut) ,รัฐนิวแฮมเชอร์ (New Hampshire) รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) และรัฐเมน (Maine) 

ความยากในการไปเยือนนิวอิงแลนด์ก็คือการตัดสินใจเลือกว่าควรไป เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงเวลาไหน เพราะถ้าเราไปเร็วเกินไป ใบไม้อาจยังไม่เปลี่ยนสีเต็มที่ หรือหากไปช้าเกินไป ใบไม้ก็อาจจะร่วงลงมาหมดแล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม และนี่คือสถานที่ที่ Allianz Travel แนะนำให้คุณเก็บไว้ในลิสต์ชมใบไม้เปลี่ยนสีของคุณ

1. เมืองแคมเดน รัฐเมน (Camden – Maine)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี - เมืองแคมเดน รัฐเมน (Camden – Maine)

เมืองแคมเดน (Camden) เป้นเมืองโรงสีเก่าที่โอบล้อมอ่าวเพนอบสกอต (Penobscot Bay) เป็นจุด เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ในฤดูใบไม้ร่วงที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐเมน (Maine) คุณจะได้เห็นใบไม้ที่มีสีสันหลากหลายที่สุดบนภูเขาแบตตี้ (Mount Battie) ในอุทยานแห่งรัฐแคมเดนฮิลส์ (Camden Hills State Park) คุณจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามระหว่างการเดินป่า และจะยิ่งสวยงามยิ่งขึ้นเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 1 สูง 26 ฟุตเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้ภาพของคุณออกมาสมบูรณ์แบบมากขึ้น

2. เมืองสโตว์ รัฐเวอร์มอนต์ (Stowe – Vermont)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี - เมืองสโตว์ รัฐเวอร์มอนต์ (Stowe – Vermont)

เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) จะเปลี่ยนทิวทัศน์จากภูเขาสีเขียวชอุ่มเป็นสีสันสดใสหลากหลาย เมืองสโตว์ (Stowe) ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาแมนส์ฟิลด์ (Mount Mansfield) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในรัฐเวอร์มอนต์ จะกลายเป็น “เมืองหลวงแห่งสีสัน” ของรัฐ ผู้มาเยือนสามารถ เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ได้หลายวิธี เช่น เดินป่า ขี่จักรยานเสือภูเขา ขับรถ ล่องเรือ ซิปไลน์ หรือขี่ม้าผ่านป่าหลากสี ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการ เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี ในเมืองสโตว์มักจะเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนจนถึงสองสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน เมืองนี้จะกลายเป็นสวรรค์ของนักเล่นสกีและสโนว์บอร์ดค่ะ

3. เมืองพอร์ตสมัธ รัฐนิวแฮมเชอร์ (Portsmouth – New Hampshire)

เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี - เมืองพอร์ตสมัธ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ (Portsmouth – New Hampshire)

บริเวณดาวน์ทาวน์ของเมืองพอร์ตสมัธ เมืองชายฝั่งของรัฐนิวแฮมเชอร์(New Hampshire) ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามราวกับภาพวาดของนอร์แมน ร็อคเวลล์ (Norman Rockwell) หากคุณมาเที่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคม คุณสามารถชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีได้จากต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ริมถนนโดยรอบมาร์เก็ตสแควร์ (Market Square) หรือชมจากอ่าว Great Bay หรือแม่น้ำ Cocheco

4. ถนนโมฮอร์ค เทรล รัฐแมสซาชูเซตส์ (Mohawk Trail – Massachusetts)

ถนนโมฮอร์ค เทรล รัฐแมสซาชูเซตส์ (Mohawk Trail – Massachusetts)

พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐแมสซาชูเซตส์จะเต็มไปด้วยใบไม้ที่มีสีสันสวยงามทุกฤดูใบไม้ร่วง แต่เส้นทางบนถนนโมฮอร์ค เทรล อาจเป็นพื้นที่ที่สวยที่สุดในรัฐที่คุณสามารถขับรถชมวิวได้ตลอดเส้นทาง แต่ถ้าคุณอยากชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด ให้เดินไปตามเส้นทาง Mohican-Mohawk Trail ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้แวะตลอดทาง ตั้งแต่ซิปไลน์ น้ำตก สวนพฤกศาสตร์ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ และสะพานไม้ย้อนยุค

5. ภูมิภาคเบิร์กเชียร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ (Berkshires – Massachusetts)

ภูมิภาคเบิร์กเชียร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ (Berkshires – Massachusetts)

ความงามตามธรรมชาติภูมิภาคเบิร์กเชียร์ ที่อยู่ทางตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซตส์ ทำให้เราตะลึงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่มีท้องฟ้าสีฟ้าสดใส เป็นความงามแบบเดียวกับที่ดึงดูดให้ผู้ตั้งถิ่นฐานเข้ามาตั้งรกราก สร้างฟาร์ม และสร้างชุมชนในพื้นที่นี้ ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการเดินทางโดยรถยนต์เพื่อดื่มด่ำกับการชมใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงาม การใช้เวลาช่วงบ่ายขับรถไปตามเส้นทางที่สวยงามของเบิร์กเชียร์ ชื่นชมกับใบไม้สีสันสดใส นอกจากนี้คุณอาจแวะเก็บแอปเปิลหรือการจับจ่ายซื้อของในชุมชนที่มีชีวิตชีวาได้อีกด้วย

6. เทือกเขากรีนเมาเทนส์ รัฐเวอร์มอนต์ (Green Mountains – Vermont)

เทือกเขากรีนเมาเทนส์ รัฐเวอร์มอนต์ (Green Mountains – Vermont)

พอเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เทือกเขากรีนส์เมาเทนส์จะเปลี่ยนจากสีเขียวขจีไปเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีน้ำตาลแดง แดง ส้ม และเหลือง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินป่า หรือขับรถไปตามถนนในพื้นที่ชนบทเพื่อชมภาพต้นไม้ในหุบเขาที่สวยงามราวกับโปสการ์ดที่ทอดตัวอยู่ใต้แสงแดดอุ่นๆ ของเดือนตุลาคม ตามภูเขาเราจะเห็นบ้านชาวนาที่ทอดตัวยาวหรือคฤหาสน์แบบโคโลเนียล ต้นแอปเปิลที่แผ่กิ่งก้าน และฟักทองแกะสลักวางอยู่บนกำแพงหิน คุณอาจแวะที่เมืองวูดสต็อก (Woodstock) ชุมชนของคนร่ำรวยที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1700 ที่สวยงามราวกับเทพนิยาย และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี มีแม่น้ำออตโตเกชี (Ottauquechee River) ไหลผ่านเมือง

The Green Mountains, Vermont

7. เมืองนิวพอร์ต รัฐโรดไอแลนด์ (Newport – Rhode Island)

เมืองนิวพอร์ต รัฐโรดไอแลนด์ (Newport – Rhode Island)

คุณสามารถเที่ยวเมืองนิวพอร์ต (Newport) ได้ทุกช่วงเวลา แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดอาจเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี แวะชมคฤหาสน์นิวพอร์ตอันโด่งดังที่ปกคลุมไปด้วยสีสันในช่วงปลายเดือนตุลาคม หลังจากนั้นก็ขับรถไปตามถนน Ocean Drive ซึ่งเป็นแนวชายฝั่งอันงดงาม หากคุณเดินทางไปเที่ยวชมในช่วงเวลานี้ของปี คุณควรไปแต่เช้าหรือช่วงพลบค่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากที่มาชมใบไม้เปลี่ยนสี

8. อุทยานแห่งชาติไวท์เมาท์เทนส์ รัฐนิวแฮมเชอร์ (White Mountains – New Hampshire)

อุทยานแห่งชาติไวท์เมาท์เทนส์ รัฐนิวแฮมป์เชอร์ (White Mountains – New Hampshire)

หากต้องการขับรถท่ามกลางสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ให้ไปที่เมืองลินคอล์น รัฐนิวแฮมเชอร์ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ระยะทาง 35 ไมล์บนทางหลวง Kancamagus จะคดเคี้ยวผ่านอุทยานแห่งชาติไวท์เมาท์เทนส์ (White Mountain National Forest) ก่อนจะไปสิ้นสุดที่เมืองคอนเวย์ (Conway) ใกล้กับชายแดนรัฐเมน (Maine) ชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งที่จุดชมวิวแฮนด์ค็อค (Hancock Overlook) จากนั้นแวะที่น้ำตก Sabbaday เพื่อเดินขึ้นไปชมวิวอันสวยงามจากด้านบน

9. เมืองโอลด์ไลม์ รัฐคอนเน็คทิคัต (Old Lyme – Connecticut)

เมืองโอลด์ไลม์ รัฐคอนเน็คทิคัต (Old Lyme – Connecticut)

ในช่วงฤดูร้อน เมืองโอลด์ไลม์จะเป็นจุดพักผ่อนสุดเก๋ และเมื่อถึงปลายเดือนตุลาคม เมืองนี้จะกลายเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยม วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการชมใบไม้เปลี่ยนสีคือการเช่าเรือคายัคพายสำรวจพื้นที่ดูแลสัตว์ป่า Great Island หรือไปตามแม่น้ำคอนเน็คทิคัต ซึ่งคุณอาจได้เจอนกอินทรีหัวล้านบินอยู่ในบริเวณอีกด้วย

10. เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐเวอร์มอนต์ (Montgomery – Vermont)

เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐเวอร์มอนต์ (Montgomery – Vermont)

เมืองมอนต์โกเมอรี่ (Montgomery) ได้ชื่อว่า “เมืองหลวงของสะพานไม้โค้งแห่งเวอร์มอนต์” คุณจะได้ชมและถ่ายภาพสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุด 6 แห่งของเมือง โดยมีฉากหลังเป็นใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม และปลายเดือนกันยายนจะเป็นช่วงที่สวยที่สุด

11. อุทยานแห่งชาติอคาเดีย รัฐเมน (Acadia National Park – Maine)

เขาคาดิลแลค (Cadillac Mountain) อุทยานแห่งชาติอคาเดีย รัฐเมน (Acadia National Park – Maine)

อุทยานแห่งชาติอคาเดียมีชื่อเสียงในเรื่องทัศนียภาพบนหน้าผาริมมหาสมุทรแอตแลนติกและพระอาทิตย์ขึ้นแห่งแรกของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐเมนอีกด้วย ช่วงที่มักจะสวยที่สุดคือช่วงกลางเดือนตุลาคม คุณควรเดินป่าขึ้นไปบนเขาคาดิลแลค (Cadillac Mountain) เพื่อชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงที่กว้างใหญ่ หรือขึ้นไปกางเต็นท์ในอุทยานเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างน้อย 1 คืน

12. เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ (Boston – Massachusetts)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีไม่จำเป็นจะต้องออกนอกเมืองเสมอไป เมืองบอสตัน (Boston) เป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมากมาย ผู้ที่ชื่นชอบใบไม้เปลี่ยนสีสามารถไปที่สวนสาธารณะบอสตัส คอมมอน (Boston Common) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสวน Back Bay Fens และในพื้นที่ที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้ เช่น ย่าน South End และย่าน Beacon Hill ใบไม้ในเมืองจะมีสีสันมากขึ้นตลอดเดือนตุลาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการชมใบไม้ร่วงนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ พื้นที่ที่อยู่คนละด้านของภูเขาก็ อาจมีสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่แตกต่างกันมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในพื้นที่และปริมาณแสงแดดที่ได้รับ ดังนั้นคุณอาจจะต้องดูจากสถิติการคาดการณ์ว่าควรจองตั๋วไปเที่ยวในช่วงเวลาไหน และที่สำคัญ เราขอแนะนำให้คุณทำประกันการเดินทางติดตัวไว้ด้วยค่ะ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทาง ที่อาจทำให้คุณต้องเสียทั้งเงินและเวลา ประกันการเดินทาง จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์* ไม่ว่าจะเป็น การเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : travellandleisure.com, travel.usnews.com, visitnewengland.com, audleytravel.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands)

10 ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ดินแดนมหัศจรรย์แห่งมหาสมุทรแอตแลนติก

ถ้าหากคุณชอบสำรวจธรรมชาติ คุณจะต้องชอบหมู่เกาะแฟโรอย่างแน่นอน Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ที่คุณห้ามพลาดเมื่อไปเยือน สถานที่แต่ละแห่งบนเกาะล้วนมีความงดงามและความมหัศจรรย์ในแบบของตัวเอง เราแนะนำให้คุณได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับสถานที่และสถาปัตยกรรมอันงดงามในแต่ละแห่งให้เต็มที่ เพราะสิ่งต่างๆ บนเกาะจะทำให้คุณตกหลุมรัก หมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ได้อย่างแน่นอน!

หมู่เกาะแฟโรเป็นหมู่เกาะในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ เป็นเขตการปกตรองตนเองของประเทศเดนมาร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 มีอำนาจในการปกตรองตัวเองทุกด้าน ยกเว้นด้านการต่างประเทศและการทหาร ทางด้านภูมิศาสตร์ประกอบด้วยเกาะ 18 เกาะและเกาะเล็กเกาะน้อยมากกว่า 750 เกาะ

หมู่เกาะแฟโรมีประชากรเพียง 50,000 คน เป็นหนึ่งในที่ที่มีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุดในยุโรป ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่โดยรอบและในเมืองทอร์สเฮาน์ (Tórshavn) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของหมู่เกาะแฟโร ชาวเกาะเหล่านี้สืบเชื้อสายมาจากชาวไวกิ้ง และภาษาที่ใช้โดยทั่วไปบนหมู่เกาะจะเป็น ภาษาแฟโร แต่ภาษาราชการจะใช้ ภาษาเดนมาร์กค่ะ

ทัศนียภาพบนหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands

แม้ว่าหมู่เกาะแฟโรจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมบนผืนดินและท้องทะเลอย่างเต็มที่ พวกเขาจึงมีความรู้สึกผูกพันกับชุมชนและประเพณีอย่างแน่นแฟ้น และเป็นความเชื่อที่สะท้อนออกมาในชีวิตประจำวันของพวกเขา

ถึงแม้ว่าหมู่เกาะแฟโรจะมีประชากรน้อย แต่มีแกะอยู่ถึง 80,000 ตัว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชาวแฟโร ที่นำไปใช้เป็นเนื้อ นม และขนสัตว์ แกะเหล่านี้มักจะเดินเตร่ไปมาอย่างอิสระทั่วเกาะและสามารถปีนหน้าผาสูงชันและเดินบนพื้นที่แคบๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย

เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) ช่วงไหนดี

หมู่เกาะแฟโรมีสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก บางครั้งก็แดดออก บางครั้งก็ฝนตกหนัก บางครั้งที่ตอนเช้าเริ่มต้นด้วยหมอกหนาทึบ ก่อนจะกลายเป็นวันแดดจัดที่สวยงาม และตอนเย็นก็มีฝนตก สภาพอากาศโดยทั่วไปค่อนข้างอบอุ่น ฤดูร้อนจะเย็นสบายและฤดูหนาวที่ไม่หนาวรุนแรงนัก

ช่วงฤดูหนาว

ในช่วงฤดูหนาวจะมีลมแรงและฝนตกหนัก และอาจตามด้วยช่วงที่อากาศสงบ ช่วงเวลานี้อาจทำให้เดินทางไปหมู่เกาะแฟโรได้ยาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นแสงเหนือ

ช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีอุณหภูมิที่อบอุ่นและกลางวันยาวขึ้น ในเดือนมีนาคมยังคงมีหิมะตกอยู่ และหิมะจะลดลงเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นหิมะในเดือนเมษายนหรือแม้แต่ในเดือนพฤษภาคม

ช่วงฤดูร้อน

ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม เป็นช่วงเวลาที่นิยมมาเยี่ยมชมหมู่เกาะแฟโรมากที่สุด นี่คือช่วงที่สภาพอากาศดีที่สุดและเป็นช่วงที่อากาศแห้งแล้งที่สุดในหมู่เกาะแฟโรอีกด้วย อุณหภูมิสูงสุดอยู่ระหว่าง 15-21 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ในช่วงกลางฤดูร้อนหรือกลางเดือนมิถุนายน ดวงอาทิตย์จะไม่ตกดิน ทำให้คุณสามารถเที่ยวชมสถานที่และทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น

ช่วงฤดูใบไม้ร่วง

ช่วงฤดูใบไม้ร่วงโดยทั่วไปจะมีสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนัก มีอุณหภูมิที่อบอุ่นและฝนตกเป็นครั้งคราว และมีสีสันที่สดใสสวยงามของฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมทั่วเนินหญ้า

การเดินทางไปหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands)

การเดินทาง ทางอากาศ

มีสายการบิน 3 สายที่บินไปยังหมู่เกาะแฟโร ได้แก่ Atlantic Airways, Scandinavian Airlines และ Widerøe AS คุณสามารถบินตรงไปยังหมู่เกาะแฟโรได้จากหลายเมืองในหลายประเทศ เช่น โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก), ปารีส (ฝรั่งเศส), เรคยาวิก (ไอซ์แลนด์), เอดินบะระ (สกอตแลนด์), ออสโล (นอร์เวย์), และเบอร์เกน (นอร์เวย์) นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินตามฤดูกาลจากสถานที่ต่างๆ เช่น บาร์เซโลนา หมู่เกาะกรานคานารี และมายอร์กา เที่ยวบินใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ 1-3 ชั่วโมง เที่ยวบินของ Atlantic Airways เป็นเที่ยวบินที่บินบ่อยที่สุดและไปยังเมืองต่างๆ หลายแห่งทั่วทั้งยุโรป

การเดินทาง ทางเรือ

คุณสามารถโดยสารเรือเฟอร์รี่จากเดนมาร์กและไอซ์แลนด์กับบริษัท Smyril Line ไปยังหมู่เกาะแฟโร ใช้เวลาประมาณ 24-36 ชั่วโมง คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่สวยงามระหว่างทาง และบนเรื่อยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า โรงภาพยนตร์ และแม้แต่อ่างน้ำร้อนบนดาดฟ้า

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands)

1. น้ำตก Múlafossur

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) หนึ่งในแลนด์มาร์คชื่อดังบนเกาะ Vagar ของหมู่เกาะแฟโรที่คุณไม่ควรพลาด และต้องเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทางของคุณก็คือน้ำตก Múlafossur ที่คุณจะได้ชมวิวสุดอลังการของน้ำตกที่ไหลลงสู่มหาสมุทรจากหน้าผาสูง 60 เมตร และบริเวณริมหน้าผายังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า Gásadalur ที่คุณสามารถชมทิวทัศน์ของเทือกเขา Arnafjall ได้แบบพาโนรามา และคุณสามารถมองเห็นเกาะ Mykines ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นแหล่งทำรังของนกพัฟฟินได้ในระยะไกลในวันที่อากาศแจ่มใส

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - น้ำตก Múlafossur

ในอดีต วิธีเดียวที่จะไปยังหมู่บ้าน Gásadalur และน้ำตก Múlafossur ได้คือเดินตามเส้นทางเดินป่าที่ลาดชันผ่านภูเขาสูงที่เรียกได้ว่าแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ปัจจุบัน (ตื้งแต่ปี พ.ศ. 2547) มีอุโมงค์รถยนต์เชื่อมเส้นทางนี้กับถนนจากสนามบิน Vágar โดยใช้เวลาขับรถไม่ถึง 20 นาที ทำให้ที่นี่เป็นจุดแวะพักแรกหรือจุดสุดท้ายของการเดินทางของใครหลายๆ คน

2. เมือง Tórshavn

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เมือง Tórshavn

เมืองหลวงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแฟโร ภาพบ้านไม้สีดำ แดง เขียว เหลือ ที่มีการปลูกหญ้าไม่บนหลังคาเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ก็คือย่าน Tinganes ย่านเก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของ Tórshavn ที่ผสมผสานความเก่าแก่และความทันสมัยได้อย่างลงตัว คุณจะได้เห็นอาคารรัฐสภาดั้งเดิมสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 อยู่ใกล้กับตึกสูงทันสมัย เพลิดเพลินไปกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ท่าเรือสีสันสดใน ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารระดับ 5 ดาว คาเฟ่ สถานบันเทิงยามค่ำคืน บาร์ และแหล่งชอปปิ้ง สถานที่จัดคอนเสิร์ต และอื่นๆ อีกมากมาย เมืองนี้ยังเป็นจุดขึ้นเรือเฟอร์รี่และเรือที่จะข้ามไปยังเกาะอื่นๆ เช่น เกาะ Mykines เกาะ Skúvoy เกาะ Nólsoy และเกาะ Suduroy เป็นต้น

3. เมือง Tjørnuvík

เมือง Tjørnuvík เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ Streymoy ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาที่มีน้ำตกมากมายและหาดทรายสีดำที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้าที่คุณสามารถมองเห็นเสาหินตั้งอยู่ในทะเล มีเรื่องเล่ากันว่าเสาหินเหล่านี้เคยเป็นยักษ์ใหญ่ 2 ตนที่มีชื่อว่า Risin และ Kellingin (ยักษ์และแม่มด) ที่พยายามย้ายหมู่เกาะแฟโรกลับไปทางไอซ์แลนด์ และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาก็กลายเป็นหินให้ยามเช้า และคงอยู่บนหมู่เกาะแฟโรตลอดไป

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เมือง Tjørnuvík

หากคุณเดินเที่ยว คุณจะได้พบกับของเก่าแก่และกระดูกวาฬในร้านค้าท้องถิ่น ตรงปลายแหลมเป็นที่ที่เหมาะกับการนั่งจิบกาแฟกับเค้กแครอท หรือวาฟเฟิลตามคาเฟ่ และกาแฟในคาเฟ่ ในช่วงฤดูร้อน ผู้คนมักจะมานั่งเล่นบนชายหาดหรือเล่นจานร่อน แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นและมีลมแรงก็ตาม และในหน้าหนาว เมือง Tjørnuvík เป็นอีกสถานที่หนึ่งในไม่กี่แห่งบนเกาะที่จะได้สัมผัสกับความมืดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นฉากหลังของละครประวัติศาสตร์อันมืดมิดหรือหนังรักแบบหักมุม

4. หมู่บ้าน Saksun

หมู่บ้าน Saksun เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบนเกาะแฟโร ตั้งอยู่บริเวณปลายฟยอร์ดแคบๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Streymoy สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่นี่คือบ้านซึ่งมีหลังคาที่ปกคลุมด้วยหญ้าสวยงามซึ่งดูราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย การขับรถเพื่อไปเที่ยวแค่ตัวหมู่บ้านเพียงอย่างเดียวก็คุ้มแล้ว คุณสามารถเดินเล่นไปตามถนนแคบๆ ที่มีจุดจอดรถมากมาย เพื่อชมธารน้ำแข็งที่ไหลลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ นอกจากนี้ คุณจะได้เจอกับนกนางนวลได้ง่ายตามลำธาร โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ของพวกมันในฤดูร้อน

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - หมู่บ้าน Saksun

หากคุณมีเวลาพอ คุณควรไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชื่อ Dúvugarðar และชมทิวทัศน์ที่สวยงามโดยรอบได้ และจากที่นี่ คุณสามารถเดินป่าขึ้นไปยังยอดฟยอร์ดได้ ซึ่งมีน้ำตกขนาดใหญ่ตลอดทาง เพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามจากด้านบน คุณยังสามารถเดินป่าจากหมู่บ้าน Saksun ไปยังเมือง Tjornuvik ได้ในเวลา 2-3 ชั่วโมง แต่คุณควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่อาจเปลี่ยนไปกระทันหันขณะที่อยู่บนเนินเขาสูง และทำการจองรถบัสเพื่อกลับไปที่รถของคุณ

5. Trælanípa

Trælanípa หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Slave Cliff เป็นหน้าผาสูงชันบนเกาะ Vágar ในหมู่เกาะแฟโรที่ยังไม่มีใครสำรวจ หน้าผาแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของหมู่เกาะแฟโร คุณจะมองเห็นทัศนียภาพของทะเลสาบน้ำจืด Leitisvatn ที่ดูราวกับว่าลอยอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือที่มีน้ำเค็ม นับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - Trælanípa

หลังจากนั้น หากคุณ​เดินเลยไปอีกหน่อย คุณจะพบกับ Geituskorardrangur ซึ่งเป็นกลุ่มเสาหินทะเลสูงตระหง่านเหนือมหาสมุทรถึง 116 เมตร คุณจะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของท้องทะเลจากสถานที่ท่องเที่ยวริมชายฝั่งแห่งนี้ และคุณได้เห็นลำธารที่กลายเป็นน้ำตก Bøsdalafossur อีกด้วย หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์พิเศษ สามารถเช่าเรือคายัคที่ทะเลสาบ Sørvágsvatn แล้วพายไปจนถึงชายทะเล เมื่อขึ้นบก คุณจะอยู่ห่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าทึ่งเหล่านี้เพียงไม่กี่นาที

6. เกาะ Mykines

หากคุณเป็นคนที่สนใจอยากชมนกอย่างใกล้ชิด การเดินทางไปยังเกาะ Mykines (ออกเสียงว่า Me-chin-es) ควรอยู่ในรายการลำดับต้นๆ ของคุณ ในช่วงฤดูร้อน นกที่จะมาทำรังบนเกาะ Mykines อยู่เป็นหมื่นๆ ตัว

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เกาะ Mykines

คุณสามารถโดยสารเรือเฟอร์รี่ขนาดเล็กซึ่งมีวันละ 2 เที่ยวจากหมู่บ้าน Sørvágur บนเกาะ Vágar ไปยังเกาะ Mykines ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน โดยเรือเฟอร์รี่จะเปิดให้บริการเฉพาะวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 31 สิงหาคมเท่านั้น นอกจากนี้ผู้เยี่ยมชมจะต้องชำระค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นเกาะ และจะต้องมีไกด์พาชมใน ‘พื้นที่จำกัดการเข้าชม’ ซึ่งคุณควรจองไกด์ล่วงหน้า เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีและปลอดภัยในสภาพอากาศเลวร้าย

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - นกพัฟฟิน (Puffin)

การเข้าถึง ‘พื้นที่จำกัดการเข้าชม’ จะต้องปีนขึ้นไปบนเนินหญ้าสูงชัน จากนั้นลงบันไดหินชันหลายขั้น เพื่อไปยังทุ่งหญ้าริมหน้าผาที่ยื่นออกไปสู่ท้องทะเล เป็นจุดที่คุณจะได้เห็นนกกาเน็ตบนโขดหิน นกพัฟฟินที่บินเข้าและออกจากรัง นกนางนวลอาร์กติกที่ร่อนลงมาขโมยปลาจากนกพัฟฟิน และนกทะเลชนิดอื่นๆ หลายพันตัวทำรังอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

7. Drangarnir

Drangarnir แปลว่า ‘กองหินทะเล’ เป็นกลุ่มหินบะซอลต์รูปร่างแปลกตาอยู่บริเวณนอกเกาะ Vágar ใกล้กับเกาะ Tindholmur ซึ่งเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีทัศนียภาพสวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับการสำรวจในหมู่เกาะนี้ หินนี้สูงประมาณ 70 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หินก้อนที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า Stóri Drangur หรือ ‘หินทะเลขนาดใหญ่’ ส่วนก้อนที่เล็กกว่าเรียกว่า Lítli Drangur หรือ ‘หินทะเลขนาดเล็ก’ เป็นที่อยู่อาศัยของนกทะเลในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - Drangarnir

วิธีที่ดีที่สุดในการชมกลุ่มหิน Drangarnir คือการล่องเรือออกไปจนสุดฟยอร์ด Sørvágsfjørður หรือเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะพัฟฟินยอดนิยมอย่าง Mykines และขากลับจะผ่านกลุ่มหิน Drangarnir นี้ ทำให้คุณได้ไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสองแห่งในที่เดียว หากสภาพอากาศเอื้ออำนวย คุณอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่ล่องเรือผ่านซุ้มด้านล่างของหินนี้ 🙂

8. Hvíthamar

Hvíthamar เป็นจุดชมวิวเหนือหมู่บ้าน Funningur อันสวยงาม ตั้งอยู่บนเกาะ Eysturoy คุณจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเหลือเชื่อเมื่อเดินขึ้นเขาไปเพียงเล็กน้อยจากช่องเขา Gjáarskarð ดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงามของฟยอร์ด Funningsfjørður และภูเขาโดยรอบเมื่อยืนอยู่บนสันเขา นอกจากนี้ยังมีวิวอันน่าทึ่งทางทิศเหนือไปยังเกาะ Kalsoy อีกด้วย ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส คุณจะเห็นยอดเขา Slættaratindur ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดอีกด้วย จุดชมวิว Hvíthamar เข้าถึงได้ง่ายด้วยการเดินเท้า

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - Slættaratindur, Hvíthamar

ทิวทัศน์ในฤดูหนาวที่มองจากจุดชมวิวนี้เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ ถ้าคุณมาเที่ยวที่นี่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ Hvíthamar เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการมาเยี่ยมชมเมื่อคุณต้องการสัมผัสกับธรรมชาติโดยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คน

9. หมู่บ้าน Gjógv

หมู่บ้านชาวประมง Gjógv อยู่เหนือสุดบนเกาะ Eysturoy ชื่อ Gjógv มาจากหุบเขาที่โอบล้อมน้ำทะเลสวยงามยาว 200 เมตร ซึ่งชาวบ้านใช้เป็นท่าเรือธรรมชาติมานานหลายศตวรรษ มีบันไดลงไปยังหุบเขาตลอดทาง นักท่องเที่ยวสามารถยืนชมวิวและเพลิดเพลินไปกับเสียงธรรมชาติของท้องทะเล

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - หมู่บ้าน Gjógv

ปัจจุบันหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีบ้านสีขาวที่มีหลังคาหญ้าไม่เกิน 100 หลัง มีโบสถ์เล็กๆ และชาวบ้านเพียงไม่กี่คน หากคุณเดินลงไปในหุบเขา คุณจะได้เห็นหมู่เกาะสีเข้มอยู่บนขอบฟ้าและนกที่ทำรังบนหน้าผาในช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้ที่วางอยู่บนยอดผาที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการมาเยือนของมกุฏราชกุมารีแมรี ซึ่งปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีแมรีแห่งเดนมาร์กในปี 2548

10. Klaksvík

เมือง Klaksvík เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสองของหมู่เกาะแฟโร ตั้งอยู่บนเกาะ Borðoy ที่ประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพประมง ปัจจุบันคุณสามารถเดินทางไปยังเมือง Klaksvík ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมีอุโมงค์ใต้น้ำ Norðoyartunnilin ที่เชื่อมเกาะ Borðoy กับเกาะ Eysturoy และคุณสามารถเดินทางต่อไปยังเกาะ Kunoy และเกาะ Viðoy ได้อีกด้วย เนื่องจากเกาะทั้งสองนี้เชื่อมต่อกับเกาะ Borðoy ด้วยเขื่อนกั้นน้ำ

ที่เที่ยวหมู่เกาะแฟโร Faroe Islands - เมือง Klaksvík

คุณสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา Kunoyarnakki ที่มีรูปร่างเหมือนปิรามิดจากเมือง Klaksvík หรือไปที่ Klakkur จุดชมวิวแบบพาโนรามาที่อยู่เหนือตัวเมือง ที่ต้องเดินพอสมควรเพื่อไปยังจุดที่สวยงามแห่งนี้ นอกจากนี้ ระหว่างที่คุณท่องเที่ยวอยู่ในตัวเมือง Klaksvík คุณจะสนุกกับการซื้อของท้องถิ่นและของที่ระลึกอื่นๆ นั่งจิบกาแฟชมวิว และหากคุณต้องการเรียนรู้วิถีชีวิตของที่นี่ ให้เข้าร่วมทัวร์ชิมอาหาร เพื่อลิ้มรสอาหารท้องถิ่นอย่าง Skerpikjøt ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะทำจากแกะที่ขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติที่โดดเด่น

หมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) มีความปลอดภัยสูง แต่ก็อาจเกิดอุบัติเหตุที่เราไม่ได้คาดฝันขึ้นได้ หากคุณเกิดเหตุใดๆ ระหว่างการเดินทาง ให้โทรไปที่หมายเลขฉุกเฉินของเกาะที่เบอร์ 112 โรงพยาบาลในเมือง Tórshavn และอีก 2 แห่งในประเทศมีบริการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และที่สำคัญ เราขอแนะนำให้คุณทำประกันเดินทางติดตัวไว้ด้วยค่ะ เพราะหากคุณเกิดเรื่องราวที่คุณไม่คาดคิดระหว่างเดินทาง คุณอาจต้องเสียทั้งเงินและเวลา ประกันการเดินทาง จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก :
The 11 Best Attractions in the Faroe Islands
8 of the best places to visit in the Faroe Islands
Top 12 Places you Must Visit in the Faroe Islands
BEST THINGS TO DO IN THE FAROE ISLANDS

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel