พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2025 - Autumn Foliage Forecast in Japan 2025

พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2025 ล่าสุด! [ครั้งที่ 2 : 2 ตุลาคม 2025]

ฤดูกาลของการชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น สำหรับปี 2025 ใกล้มาถึงแล้ว JMC (Japan Meteorological Corporation) ได้เผยแพร่ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2025 ฉบับล่าสุด (ครั้งที่ 2) ของปี 2025 ออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 เพื่อน ๆ คนไหนที่วางแผนจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้ข้อมูลจากการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 จาก JMC เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางได้นะคะ เพื่อให้เพื่อน ๆ ไม่พลาดที่จะได้ไปชมความสวยงามในสถานที่ต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้หลากสีสันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงกันค่ะ ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้ค่ะ : )

หมายเหตุ: ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ปี 2025 อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีและอัพเดทข่าวสารเป็นระยะๆ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ ในการกำหนดช่วงเวลาของการเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น

ไปชม ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ช่วงเวลาไหนดี ?

Japan Meteorological Corporation ได้ทำการพยากรณ์ช่วงเวลาในการเริ่มชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นตามเมืองและภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคมจากเหนือจรดใต้ของประเทศญี่ปุ่น แต่ละสถานที่ จะมีช่วงเวลาที่ใบไม้มีสีสันสดใสประมาณ 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในช่วงเวลานั้นๆ ในแต่ละปี ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่จะได้สัมผัสกับสีสันความสวยงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น จะมี 2 ช่วงด้วยกัน ได้แก่ ใบไม้สีเหลือง (ต้นแปะก๊วย) ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตามมาด้วยใบไม้สีแดง (เมเปิ้ลญี่ปุ่น) ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สีของใบไม้บนยอดเขาจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากระดับความสูงและสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ และในบางปีใบไม้เปลี่ยนสีอาจเกิดช้าไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคมเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี

หากเพื่อนๆ ท่านไหนยังไม่รู้ว่าจะแพลนไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในญี่ปุ่น ที่ไหนดี Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสีของคุณโดยประมาณ ได้จากบทความด้านล่างนี้เลยค่ะ

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น วิวอันน่าทึ่งของใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใสในสถานที่ต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ร่วง ออกไปสัมผัสกับความงดงามของสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น ต้นไม้น้อยใหญ่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดใส สีส้ม และสีเหลืองทอง

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด!

ที่เที่ยวญึ่ปุ่น ที่ต้องปักหมุด เพื่อไปชมใบไม้เปลี่ยนสี สำหรับคนที่วางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตอนสิ้นปี

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสี ในญี่ปุ่นปี 2025

ตารางพยากรณ์ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นในปี 2025 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 2) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2025 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2025 (พยากรณ์ครั้งที่ 2 : 2 ตุลาคม 2025)

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี "สีแดง"

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี "สีเหลือง"

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”
ซัปโปโร – Sapporo9 พฤศจิกายน7 พฤศจิกายน
อาโอโมริ – Aomori15 พฤศจิกายน7 พฤศจิกายน
เซนได – Sendai27 พฤศจิกายน30 พฤศจิกายน
โตเกียว – Tokyo1 ธันวาคม27 พฤศจิกายน
คานาซาว่า – Kanazawa1 ธันวาคม12 พฤศจิกายน
นากาโน่ – Nagano24 พฤศจิกายน17 พฤศจิกายน
นาโงย่า – Nagoya3 ธันวาคม19 พฤศจิกายน
เกียวโต – Kyoto12 ธันวาคม28 พฤศจิกายน
โอซาก้า – Osaka5 ธันวาคม24 พฤศจิกายน
วากายามะ – Wakayama13 ธันวาคม27 พฤศจิกายน
ฮิโรชิม่า – Hiroshima29 พฤศจิกายน21 พฤศจิกายน
โคชิ – Kochi10 ธันวาคม17 พฤศจิกายน
ฟุกุโอกะ – Fukuoka9 ธันวาคม28 พฤศจิกายน
คาโกชิมะ – Kagoshima13 ธันวาคม29 พฤศจิกายน

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2025 Autumn Foliage Forecast (2nd forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

การวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

การเดินทางเพื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ร่วงล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเดินทางเพื่อไปสัมผัสความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบวางแผนการเดินทางและจองที่พักตามสถานที่ ที่เราต้องการเดินทางไปให้พร้อม และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูที่สวยงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ใบไม้ใน จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น จะทยอยเปลี่ยนสี โดยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม เป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนไปสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นลงและใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี ทำให้เกิดทัศนียภาพอันน่าทึ่งของใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใส ในสถานที่ต่างๆ ของประเทศ เพื่อนๆ คนไหนที่วางแผนจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 ไปใช้เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางกันได้เลย สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ที่ไหนดี วันนี้ Allianz Travel รวบรวม 25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ในแต่ละภูมิภาค มาฝากเพื่อนๆ มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 🙂

หมายเหตุ: ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 และอัพเดทข่าวสารเป็นระยะ ๆ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการเดินทางค่ะ

1. ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

ภูเขาอะซาฮิดาเกะ (Mount Asahidake) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในฮอกไกโด (สูง 2,290 เมตร) และอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsuzan National Park) อีกด้วย อาซาอิตาเกะ เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่แรกที่จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่มีพืชพันธุ์หลายชนิดมากยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสียิ่งสวย สีสันตระการตาสุด นอกจากเดินป่าแล้วก็ยังมีนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ใครสายเที่ยวธรรมชาติจัดเลย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนกันยายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสประจำทางจากสถานีรถไฟ Asahikawa 1,800 เยน (เที่ยวเดียว) หรือจากสนามบินอาซาฮิกาวะ (Asahikawa Airport) 1,270 เยน (เที่ยวเดียว) หรือเช่ารถจากสนามบินอาซาฮิกาวะ หรือเมืองบิเอะ (Biei) ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Daisetsuzan, Higashikawa, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/VbzHZGvVrRwqSbRo9

2. น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls) ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขาห่างไกลของเมืองไดโกะ (Daigo) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดอิบารากิ เป็นน้ำตกสูง 120 เมตรที่ไหลผ่านหน้าผาหินยักษ์ลงมา 4 ชั้น และเป็นหนึ่งในสามน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และแต่ละฤดูกาล น้ำตกแห่งนี้ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่ซ้ำใคร จากทางเข้า นักท่องเที่ยวจะต้องเดินผ่านอุโมงค์ทางเดินยาว 276 เมตรที่นำไปสู่จุดชมวิวหลายชั้น ชั้นล่างจะเห็นน้ำตกได้อย่างใกล้ชิดจากฐานน้ำตก ในขณะที่ชั้นบนที่ต้องขึ้นลิฟต์ไปจะเห็นน้ำตกทั้ง 4 ชั้นแบบพาโนรามาจากความสูงประมาณ 50 เมตรเหนือพื้นดิน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

เวลาทำการ:

8.00-18.00 น. (พ.ย. – เม.ย. เวลา 9.00-17.00)

ค่าเข้าชม:

ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากโตเกียว (สถานีอุเอโนะ โตเกียว หรือชินากาวะ) ให้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษไปยังสถานีมิโตะ (70 นาที ขบวนละ 2 ขบวนต่อชั่วโมง) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Suigun ไปยังสถานีฟุคุโรดะ (70 นาที ขบวนละ 1-2 ชั่วโมง) หลังจากนั้นนั่งรถบัสอิบารากิโคจึไปลงป้ายทากิโมโตะ (Takimoto) (7 นาที) จากนั้นเดินต่ออีก 5-10 นาทีไปยังทางเข้าอุโมงค์ไปยังน้ำตก หรือเช่ารถจากสถานีมิโตะ ใช้เวลาประมาณ 75 นาที และมีที่จอดรถใกล้ทางเข้าน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Kuji District, Ibaraki, Japan
https://maps.app.goo.gl/RU8kSJv2KCLtjAkb7

3. กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนเล็กๆ ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูเขาของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในอดีต หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเหมืองเงินขนาดใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาเป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีเรียวกังเก่าแก่เรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ เมื่อมองไปรอบๆ เราก็จะเห็นทิวทัศน์ของภูเขาที่โอบล้อมอย่างใกล้ชิด เข้ากับความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมภายในหมู่บ้านอย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง

รถไฟ: นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย JR Yamagata จากโตเกียวไปยังสถานี Oishida (200 นาที) จากนั้นรถบัสจะออกทุกๆ สองชั่วโมงไปยังกินซันออนเซ็น (35 นาที) 

รถยนต์: เช่ารถจากสถานีรถไฟอย่างเช่น สถานีมูรายามะ (Murayama) ชินโจ (Shinjo) และยามากาตะ (Yamagata) รวมถึงที่สนามบินนามากาตะ มีที่จอดรถในลานจอดรถซึ่งเดินจากใจกลางเมืองออกไป 5-10 นาที เรียวกังหลายแห่งจะไปรับแขกที่ลานจอดรถ

เครื่องบิน: มีรถบัสรับส่งระหว่างสนามบินยามากาตะ และกินซันออนเซ็น 2 เที่ยวต่อวัน (75 นาที) โดยไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า

ที่อยู่/แผนที่:

Obanazawa, Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/wqzhDAccjmv6ocDL8

4. ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (Hokkaido Government Office) หรือที่นิยมเรียกว่า ทำเนียบอิฐแดง (Red Brick Office) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองซัปโปโร (Sapporo) และยังเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์และงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะเต็มไปด้วยสีสันสดใสของใบเมเปิ้ลและใบแปะก๊วย เป็นอีก จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพสวย ๆ ของใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมกับแลนด์มาร์คสำคัญ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: 

ปลายเดือนกันยายน – ต้นเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

เดินเพียง 8 นาทีจากทางออกทิศตะวันตกของสถานีเจอาร์ซัปโปโร หรือจากทางออก 10 ของสถานีซัปโปโร บนสายรถไฟใต้ดินนัมโบกุ

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/AyhnBq63nMuej8929

5. สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge) เป็นสะพานแขวนแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ทอดยาวข้ามหุบเขาลึกของแม่น้ำโจกาคุระ ในจังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีขนาดกว้าง 11.5 เมตร ยาว 360 เมตร สูง 122 เมตร และมีส่วนโค้ง 255 เมตร ซึ่งถือได้ว่ายาวที่สุดในญี่ปุ่น และสะพานแห่งนี้ยังเป็นจุดเชื่อมโยงภูมิภาคสึการุ (Tsugaru) และนันบุ (Nanbu) เข้าไว้ด้วยกัน สะพานโจกาคุระขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่งดงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้หลากสีสันจะแต่งแต้มสีสันทอดยาวสุดสายตา บนสะพานมีจุดชมวิวหลายจุดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและเก็บความประทับใจ และจากสะพานนี้ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของลำธารโจกากุระ-เคริว (Jyogakura-Keiryu) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะสถานที่สวยงามในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park) ได้อีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

สะพานโจกาคุระอยู่ห่างจากสถานีรถไฟอาโอโมริ (Aomori) 56 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Aomori, Japan
https://maps.app.goo.gl/LJviW3byDWfvkCBQ6

6. โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โจซังเคอนเซ็น (Jozankei Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด ณ อุทยานแห่งชาติชิโคสึ-โทยะ ที่มีโรงแรมเรียวกังกว่า 20 แห่ง และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของฮอกไกโด นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อต้นไม้ริมหุบเขาและหุบเขาข้างเคียงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีแดงสดใส

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากสถานีขนส่งซัปโปโร ให้ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 7 หรือ 8 ไปยังโจซังเคออนเซ็น รถบัสจะออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 75 นาที 

2. ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 12 จากสถานี Makomanai ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟใต้ดินสาย Namboku ของซัปโปโร จากสถานี Makomanai การเดินทางไปโจซังเคออนเซ็นใช้เวลา 50 นาที รถบัสจะออกทุกๆ 30-60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/9ag2crrshr2MkXop7

7. หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไร Kakunodate เป็นแหล่งเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัด Akita ด้วยบรรยากาศย้อนยุคในหมู่บ้านที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือน ถนนหนทางและอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ในหมู่บ้านที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เหมือนในอดีต รวมทั้งยังมีคฤหาสน์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยของเหล่าซามูไรหลงเหลืออยู่ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีเสน่ห์สวยแบบมีมนต์ขลังจนถูกเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครและภาพยนต์อยู่เนืองๆ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากโตเกียวนั่ง Akita Shinkansen มาลงที่สถานี JR Kakunodate แล้วเดินไปหมู่บ้านซามูไรประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Semboku, Akita, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZkDPPNW4qzWqAGtC6

8. คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi) สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่ในเขตจังหวัดนากาโน่ (Nagano) เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่เป็นจุดหมายในฝันของหลายคนที่ต้องหาโอกาสไปเยือนซักครั้ง คามิโคจิเปิดให้เข้าชมแค่เฉพาะวันที่ 17 เม.ย.-15 พ.ย. ของทุกปี ดังนั้นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจึงเป็นช่วงเวลาไฮไลท์ที่ห้ามพลาด กับบรรยากาศยอดภูเขาที่มีหิมะคลุมสลับกับต้นไม้สีส้มแดงและแม่น้ำสีฟ้า

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

หากนั่งรถบัสตรงมาจากโตเกียว (สถานีชินจูกุ สถานีโตเกียว และสถานีชิบูย่า) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง หรือนั่งรถไฟด่วนพิเศษอาซึสะ (Azusa) จากสถานีชินจูกุ มาลงที่สถานีมัตสึโมโตะ ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นก็ต่อรถบัสเพื่อไปยังคามิโคจิโดยใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Matsumoto, Nagano, Japan
https://maps.app.goo.gl/WoUvcJ9D9SkvgaYD8

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO World Heritage Sites)  นอกจากการขอพรกับเทพศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด ที่สามารถดื่มและขอพรได้ สำหรับจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีจะอยู่ที่บริเวณอาคารไม้หลังใหญ่ของวัด เป็นจุดยอดนิยมที่ใครๆ ก็ต้องขอมาถ่ายภาพ และสามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วย ช่วงค่ำจะมีการเปิดไฟ Light up ตั้งแต่เวลา 18.00-21.00 น. ที่ให้บรรยากาศอีกแบหนึ่งด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station เดินต่อประมาณ 20 นาที หรือนั่งรถบัสเมืองเกียวโตหมายเลข 100 หรือ 206 มาลงที่ป้าย Gojozaka หรือ Kiyomizu-michi จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Higashiyama Ward, Kyoto, Japan
https://maps.app.goo.gl/bXjhEAs6dDHbK6Uz8

10. ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ (Lake Ashinoko) ตั้งอยู่ในพื้นที่ฮาโกเน่ (Hakone) จังหวัดคานางาวะ (kanagawa) เกิดจากหลุมปล่องภูเขาไฟที่ปะทุเมื่อง 3,000 ปีที่แล้ว ทะเลสาบนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยภูเขาและป่าไม้ มีความสวยงามที่ไม่เหมือนใครและมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากมุมมองต่างๆ ทะเลสาบและพื้นที่รอบๆ มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเดินป่าและสัมผัสธรรมชาติ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

1. รถบัสจาก Odawara ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
2. รถบัสจาก Hakone-Yumoto ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 35 นาที
3. รถบัสจากสถานี Mishima ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
4. รถบัสจาก Gotemba ไป Togendai ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
5. รถบัสจาก Atami ไป Hokone-machi ใช้เวลาประมาณ 60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hakone, Kanagawa, Japan
https://maps.app.goo.gl/G7P8tZ391zvtHDFb9

11. ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

จากทะเลสาบทั้ง 5 แห่งใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi) เป็นทะเลสาบที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดจากโตเกียว ในวันที่อากาศแจ่มใสและเงียบสงบ คุณจะมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิในทะเลสาบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทะเลสาบแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะมีเทศกาล Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival ซึ่งเป็นเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยกันในทุกปี ทีมีการจัดประดับไฟแสงสีสุดอลังการในช่วงกลางคืนอีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

นั่งรถไฟจากสถานี JR Shinjuku ไปยังสถานี JR Otsuki สาย JR Chuo (ประมาณ 1 ชั่วโมง) จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นสาย Fuji Kyuko ไปยังสถานี Kawaguchiko (ไม่สามารถใช้ JR Rail Pass ได้) หรือนั่งรถบัส  Shinjuku Expressway ไปยังสถานี Kawaguchiko (ประมาณ 2 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

FuliKewaguchiko, Yamanashi, Japan
https://maps.app.goo.gl/WFQMdJMNQLeiHrGK7

12. สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่เลื่องลือในโตเกียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า กิงโกะ) เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร เป็นจุดที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ผู้คนจะมาเดินเล่นกันเพื่อชื่นชมความงามของทิวแถวต้นแปะก๊วยสีเหลืองอร่าม ดูงดงามราวกับภาพวาด และตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคมก็จะมีการจัดงานเทศกาลชมต้นแปะก๊วยที่จิงกูไกเอ็น ซึ่งมีการออกร้านขายของที่ระลึกประเภทงานฝีมือและอาหารต่างๆมากมาย และมีผู้คนมาเที่ยวชมงานกันเนืองแน่นครึกครื้น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

1. นั่ง Tokyo Metro Ginza ให้ลงสถานี Gaienmae และเดินต่อประมาณ 4 นาที
2. นั่งรถไฟใต้ดินโตเกียว สาย Hanzomon หรือ สาย Toei Oedo ให้ลงสถานี Aoyama Itchome ใช้เวลาเดินประมาณ 6 นาที
3. หากนั่งรถไฟ JR สาย Chuo/Sobu ลงสถานี Shinanomachi แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Shiniuku City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/AgzR1zj5sPpiA3xr5

13. ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) เหมาะกันการไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี แต่ใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมจะทำให้การเดินทางครั้งนี้ของคุณคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง คุณสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามได้ตลอดทาง ตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงยอดเขา ขอแนะนำให้ขึ้นกระเช้าจากสถานี Kiyotaki ที่เชิงเขาไปยังสถานี Takaosan บนเชิงเขา ระหว่างทางขึ้นภูเขา มีจุดชมธรรมชาติที่สวยงามมากมายและอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับการเดินป่าได้โดยไม่ต้องออกแรงมากเกินไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

สถานีที่ใกล้ที่สุดกับภูเขาทาคาโอะคือสถานี Takaosanguchi ของสาย Keio (จากสถานีชินจูกุใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

Hachio, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/MxHmphgLJ2ogju2A6

14. สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park) ตั้งอยู่ในเมืองนารา ซึ่งเมืองนาราเป็นสถานที่ที่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เนื่องจากเมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เช่น ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ วัดโคฟุกุจิ วัดโทไดจิ พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา สวนสาธารณะนารา และโชโซอิน เป็นต้น เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง สวนสาธารณะแห่งนี้จะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีสันสดใสที่ผสมผสานกับสถานที่สำคัญได้อย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

ที่สะดวกที่สุดคือการนั่งรถไฟจากเมือง Osaka สถานี Osaka-Namba สาย Kintetsu Line ลงสถานีปลายทาง Kintetsu Nara ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที แล้วเดินด้วยเท้าต่ออีก 1.2 กิโลเมตร ก็จะถึงสวนสาสาธารณะ Nara

ที่อยู่/แผนที่:

Nara, Japan
https://maps.app.goo.gl/NdcXWb7AyHygURdj6

15. หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารูโกะ(Naruko Gorge) เป็นหนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ ทุกปีในช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนทั่วทั้งบริเวณหุบเขาจะงดงามด้วยสีสันของใบไม้ นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว หุบเขาแห่งนี้กินพื้นที่ยาว 2 กิโลเมตรจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก จุดชมธรรมชาติที่ดีที่สุดคือบริเวณศาลา Narukokyo Resthouse เรื่อยไปทางทิศตะวันตกของหุบเขา ทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งคือสะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge) ที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวข้างศาลา

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

สถานีรถไฟที่ใกล้กับหุบเขานารุโกะที่สุดคือสถานี Nakayamadaira Onsen ซึ่งสามารถเดินไปยังหุบเขาได้ในเวลา 30 นาที หรืออีกวิธีหนึ่งคือนั่งแท็กซี่จากสถานี Naruko Onsen ไปยังหุบเขาได้ในเวลา 10 นาที และมีรถบัสให้บริการทุกชั่วโมงระหว่างสถานี Nakayamadaira Onsen และสถานี Naruko Onsen เฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยระหว่างทางมีจอดที่ Narukokyo Resthouse และ Japan Kokeshi Museum (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Naruko Gorge, Osaki, Miyagi, Japan
https://maps.app.goo.gl/81fERSxbwaBicMVu7

16. ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort) เป็นสกีรีสอร์ทที่ขนาดไม่ใหญ่นัก อยู่นอกเมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงที่หิมะยังไม่ตกจะมีกระเช้าลอยฟ้า Koyo Gondola วิ่งให้บริการเฉพาะช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้น ซึ่งจะค่อยๆ แล่นไต่ระดับจากพื้นดินขึ้นไปถึงสถานีบนยอดเขา ที่คุณสามารถชื่อชมภูเขาที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีที่อยู่เบื้องล่างและมองเห็นทะเลที่อย่ไกลออกไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

ขึ้นรถบัสจากสถานี Sapporo (Jotetsu Bus) ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Jozankei (60 นาที) และต่อรถ Kouyou Gondola Liner ไปที่รีสอร์ท (30 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/5en2eFLfZaufsoFe7

17. น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) หนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาทางทิศตะวันตกของ ภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka Prefecture) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากหิมะที่ละลายลงมาจากภูเขาไฟฟูจิ กลายเป็นม่านน้ำตกขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 150 เมตร และสูงประมาณ 20 เมตร สายที่ไหลลงมาดูพลิ้วไหวราวกับผ้าไหมสีขาว เมื่อกระทบสู่แอ่งน้ำด้านล่างก็เกิดเป็นละอองน้ำกระจายไปทั่วบริเวณ บรรยากาศสดชื่น ในช่วงฤดูใบไม่เปลี่ยนสี ต้นไม้ที่รายล้อมจะเปลี่ยนเป็นสีสันแดง เหลือง ส้ม ที่ดูงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสจากสถานีต่างๆ เช่น สถานีชินฟูจิ (Shin-Fuji Station) สถานีฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya Station) และป้ายรถบัสทะเลสาบฟูจิทั้ง (5 Fuji Five Lakes) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะแวะจอดที่ป้ายบริเวณน้ำตกชิราอิโตะ จากนั้นให้เดินจากถนนไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Fujinomiya, Shizuoka, Japan
https://maps.app.goo.gl/ateeBNFrnvTGRuyq6

18. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) หมู่บ้านชาวนาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงฮิดะ (Hida) ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) หมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่เกิดจากการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้าง และบ้านโบราณต่างๆ ภายในพื้นที่ให้คงอยู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ที่นี่เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยและโรแมนติกแห่งหนึ่ง ต้นไม้ ใบไม้ต่างๆ จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีน้ำตาลทั้งหมู่บ้าน และจุดที่ไม่ควรพลาดคือจุดชมวิวเท็นชุคาคุ (Tenshukaku Observatory) ที่อยู่มุมสูงมองเห็นหมู่บ้านได้ทั้งหมด

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟจากเมืองโอซาก้า (Osaka) หรือเมืองนาโกย่า (Nagoya) มาลงที่เมืองคานาซาวา (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน หรือนั่งรถไฟจากเมืองนาโกย่า (Nagoya) เข้าเมืองทาคายาม่า (Takayama) แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center อีกประมาณ 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Gifu, Japan
https://maps.app.goo.gl/GzAUKZH5SEbAH3uL7

19. จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

วิวใบไม้เปลี่ยนสีอันเลื่องชื่อเหนือแม่น้ำทาดามิจะอยู่บริเวณสะพานแม่น้ำทาดามิแห่งแรกเมื่อรถไฟออกจากอุโมงค์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามในเมืองฟุกุชิมะ รถไฟ Tadami Line เป็นรถไฟท้องถิ่นของจังหวัด Fukushima วิ่งระหว่างสถานี Aizu-Wakamatsu กับสถานี Aizu-Kawaguchi (เลยไปจนถึงสถานีปลายทาง Koide ในจังหวัด Niigata) ในหนึ่งวันวิ่งเพียงหกขบวนสำหรับขาไปและอีกหกขบวนสำหรับขากลับ การเดินทางมาชมรถไฟ Tadami line แนะนำให้พักโรงแรมแถวสถานีต้นทาง Aizu-Wakamatsu

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟ JR Tadami line จากสถานี Aizu-Wakamatsu (6.00 น.) ไปลงที่สถานี Aizu Miyashita (7.29 น.) จากนั้นนั่ง Micro-bus ต่ออีกประมาณ 5 นาทีไปลงที่จุดพักรถ (Michi no Eki Mishima Juku) ก่อนเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนเนินเขาใกล้ๆ จุดพักรถ

ที่อยู่/แผนที่:

Mishima, Fukushima, Japan
https://maps.app.goo.gl/LF7LrRHDNUSqkikT8

20. หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge) เป็นหุบเขารูปตัววีที่เกิดจากแม่น้ำโกคาเสะ (Gakase River) กัดกร่อนลาวาที่ไหลออกมาจากการปะทุของภูเขาไฟอะโซ (Mount Aso) เป็นเวลานับหมื่นปี ภาพของหน้าผาซึ่งมีความสูงถึง 100 เมตรและสูงเฉลี่ย 80 เมตร ทอดยาวเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตรนั้นงดงามตระการตาจนประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและเป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพที่งดงาม จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดคือน้ำตกมานาอิ (Manai Falls) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในน้ำตก 100 แห่งที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง พื้นที่รอบ ๆ น้ำตกก็จะเปลี่ยนสีไปด้วย ทำให้สามารถชมทิวทัศน์น้ำตกและใบไม้เปลี่ยนสีอันน่าทึ่งได้จากบนเรือ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

ให้เริ่มต้นจากเมืองคุมาโมโตะ หรือเมืองมิยาซากิ แล้วนั่งรถบัสจากเมืองคุมาโมโตะไปที่ทาคาจิโฮ หรือขับรถจากเมืองมิยาซากิใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ที่อยู่/แผนที่:

Takachiho, Miyazaki, Japan
https://maps.app.goo.gl/EWM3m7k3jpMCX1sM8

21. สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธาณะชิบะ (Shiba Park) เป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โด่งดังอยู่ใกล้กับโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) สวนนี้อยู่ล้อมรอบวัดโซโจ ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลโทกูงาวะ โชกุนที่มีตำแหน่งสูงสุดในนักรบซามุไรของญี่ปุ่นในสมัยก่อน เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดให้ได้เพลิดเพลินกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม ทั้งต้นเมเปิ้ล (โมมิจิ) หรือต้นแปะก๊วย เป็นต้น คุณสามารถชมโตเกียวทาวเวอร์พร้อมกับชมใบไม้เปลี่ยนสีไปด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากสถานีชิบะโคเอ็น (Shibakoen) รถไฟโทะเอสายมิตะ ก็จะออกมาที่หน้าสวนเลย  หากมาจากสถานีไดมน (Daimon) รถไฟโทะเอสายอาซากุสะ จะต้องเดินไปสวนอีก 7 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Minato City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/fqa6DeuzihFQLij88

22. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) แปลตามตัวได้ว่า วัดภูเขา มีชื่ออย่างเป็นทางการคือวัดริชชะคุจิ (Risshakuji Temple) ตั้งอยู่บนเขาในเมืองยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) และเป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยอาคารใหญ่ด้านหน้านั้นถูกกำหนดให้เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีส่วนต่างๆ ที่สร้างเอาไว้ในพื้นที่บนเขา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่าวัดภูเขา ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

ด้านล่างของวัดยามาเดระอยู่ห่างจากสถานี JR Yamadera โดยการเดิน 7 นาที หากขึ้นรถไฟชินคันเซ็น Hayabusa จากโตเกียวแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamagata ที่เมืองเซนได คุณจะไปถึงสถานี Yamadera ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษ

ที่อยู่/แผนที่:

Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/Q9cJmbHdsTP5MAM9A

23. สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge) คือสะพานสีแดงสด หากเดินทางโดยรถไฟโทะรกโกะ (Torokko Train) จากสถานีอุนะซุกิไม่ไกลนัก ก็จะผ่านสะพานที่ยาวที่สุดของบริเวณแม่น้ำคุโรเบะ โดยมีความยาวถึง 166 เมตร โดยเราสามารถมองเห็นสะพานชินยะมะบิโกะได้จากสถานีรถไฟ อุนะซุกิ (Unazuki Station), จุดชมวิวยามาบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) และจากสะพานจุดอื่นๆ จุดที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพของสะพานนี้คือจุดชมวิวยะมะบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) ใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีจากสถานีรถไฟอุนะซุกิ (Unazuki Station) คุณก็จะพบกับจุดถ่ายภาพนี้ ซึ่งต้นไม้เปลี่ยนสีบริเวณนี้มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดจึงทำให้เป็นจุดที่สวยงาม ด้วยสีสันที่หลากหลายของใบไม้ มีทั้งสีแดง สีส้ม สีเหลือง ตัดกับสีน้ำเงินของแม่น้ำคุโรเบะและสีแดงสดของสะพาน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากสถานี Toyama โดยสารรถไฟ JR Shinkansen ไปลงที่สถานี Kurobe Unazuki Onsen ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นคุณสามารถเดินไปยังจุดหมายได้ทันที

ที่อยู่/แผนที่:

Kurobe Gorge, Toyama, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZFCQq651nkT18r5c7

24. กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

Nikko-Shirane Ropeway เป็นกระเช้าลอยฟ้าประเภทกอนโดล่า อยู่ใน Marunuma Kogen Ski Resort กระเช้าจะเดินทางครอบคลุมระยะทาง 2,500 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างทางกระเช้าจะเคลื่อนตัวผ่านระหว่างภูเขา คุณจะได้พบกับวิวภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane) ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตจังหวัดกุนมะและโทจิงิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคคันโต (2,578 เมตร) และธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ ใบไม้ จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันหลากสีสัน สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล เป็นภาพของธรรมชาติที่สวยงามมากๆ ด้านบนมีร้านอาหาร จุดชมวิว มีเส้นทางเดินป่า 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปสักการะพระพุทธรูปหิน และแช่เท้าในน้ำพุร้อน ส่วนในฤดูหนาว Marunuma Kogen จะเปิดเป็นสกีรีสอร์ท กระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะเปิดให้บริการตลอดทั้งปี คุณสามารถเดินทางมาด้วยรถไฟและรถประจำทาง หรือรถประจำทางแบบด่วนจากโตเกียวในช่วงฤดูหนาวได้

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

  • นั่งรถไฟ Joetsu Shinkansen จากสถานี Tokyo ไปถึงสถานี Jomo-Kogen โดยใช้เวลาประมาณ 70 นาที 
  • ที่สถานี Jomo-Kogen ซึ่งเป็นประตูสู่พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของกุนมะ รถประจำทางจะจอดที่หน้าทางออกทิศตะวันออกของสถานี มีศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวใกล้ทางออกทิศตะวันออก รถประจำทางไปสถานี Numata และ Oze Tokura จะออกจากป้ายรถประจำทางหมายเลข 2 ที่หน้าสถานี 
  • แม้รถประจำทางที่ไป Oze Tokura บางส่วนจะเริ่มต้นจากสถานี Jomo-Kogen แต่ส่วนใหญ่จะออกจากสถานี Numata ขึ้นรถประจำทางสาย Sarugakyo (Kan-etsu Transportation) ไปยังสถานี Numata ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที 
  • จากสถานี “Numata” บนสาย JR Joetsu Line นั่งรถบัสท้องถิ่น Kan-etsu Kotsu และลงที่ป้าย “Kamata” การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เวลาบนตารางเวลาบริการรถประจำทางอาจแตกต่างกันในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว 
  • จากนั้นขึ้นรถบัสที่มุ่งหน้าไปยัง Marunuma Kogen Ski Resort โดยขึ้นรถประจำทางKan-etsu Transportationที่มุ่งหน้าไปยังยุโมโตะ ออนเซ็นและลงที่ป้าย Mt. Nikko-Shirane Ropeway ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ปกติแล้วในวันที่กระเช้าลอยฟ้าเปิดให้บริการจะมีบริการรถรับส่งฟรีจากป้ายรถบัส Kamata รถรับส่งจะจอดรับผู้โดยสารบริเวณใกล้จุดจำหน่ายตั๋วกระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะ

    คุณสามารถคลิกดูวิธีการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่อยู่/แผนที่:

Gunma, Japan
https://maps.app.goo.gl/ibsEopnhMV6sUfw38

25. สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi) เส้นทางขับรถเส้นนี้เป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีวิวที่สวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้โดยรอบพื้นที่จะถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของใบไม้ที่มีหลากหลายสีสัน มีทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล สลับกันไป ทำให้ทัศนียภาพของพื้นที่โดยรอบสวยงามดุจดั่งภาพวาดอันน่าทึ่ง “สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge)” เป็นสะพานสะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่าที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หากมองจาก “สะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge)” คุณจะได้เห็นเห็นทิวทัศน์ของ สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) ที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติทั้งภูเขา ป่าไม้ ท้องฟ้า และก้อนเมฆ เป็นภาพที่งดงามและโรแมนติก

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ช่วงปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากโซอุนเคียว อนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง Mikuni Pass 
2. จากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZQ5VLWxsmgvzKNyr9

การเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราควรวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า เนื่องจากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อชมความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบวางแผนการเดินทางและจองที่พักตามสถานที่ ที่เราต้องการเดินทางไปให้พร้อม และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : facebook: ibaraki.thai, conomi.co, aomori-tourism.com, japan-guide.com, alpico.co.jp, japan.travel, en.japantravel.com, jnto.or.th, sapporo-kokusai.jp, visit.gunma.jp, whc.unesco.org

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวซินเจียง สัมผัสเสน่ห์แห่งเอเชียกลาง

เที่ยวซินเจียง (Xinjiang) – สัมผัสเสน่ห์แห่งเอเชียกลาง

ซินเจียงเป็นเขตปกครองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1 ใน 6 ของแผ่นดินจีนทั้งหมด ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มีขนาดอาณาเขตที่กว้างใหญ่ จึงทำให้ซินเจียงมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งภูเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง ป่าไม้ ทุ่งหญ้า และทะเลทรายโกบี อีกทั้งยังเต็มไปด้วยโบราณสถานจากเส้นทางสายไหมในอดีต ซินเจียงยังเป็นบ้านของชนเผ่าอุยกูร์ ที่มีวัฒนธรรมพื้นถิ่นน่าสนใจ และอาหารท้องถิ่นที่ห้ามพลาด หากต้องการ เที่ยวซินเจียง (Xinjiang) ให้ครบทุกสถานที่อาจต้องใช้เวลาหลายวัน หากมีเวลาไม่มาก เราแนะนำให้เริ่มจากสถานที่เที่ยวแนะนำและสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อได้ไป เที่ยวซินเจียง ในบทความนี้กันค่ะ : )

สถานที่ท่องเที่ยวในซินเจียง

1. เที่ยวซินเจียง เขตอนุรักษ์ธรรมชาติคานาส (Kanas Nature Reserve) – สัมผัสธรรมชาติเหนือจินตนาการแห่งซินเจียง

เขตอนุรักษ์ธรรมชาติคานาส (Kanas Nature Reserve) ตั้งอยู่ในอำเภอ Burqin เขต Altay ทางตอนเหนือของซินเจียง ได้รับฉายาว่า “ไข่มุกแห่งซินเจียงตอนเหนือ” (Pearl of Northern Xinjiang) ด้วยทัศนียภาพธรรมชาติอันงดงามราวภาพวาด ไม่ว่าจะเป็น ทะเลสาบคานาส (Kanas Lake), ธารน้ำแข็ง, แม่น้ำ, ป่าสน, และทุ่งหญ้าสีเขียวขจี

เที่ยวซินเจียง : เขตอนุรักษ์ธรรมชาติคานาส (Kanas Nature Reserve)

จุดเด่น:

  • ทะเลสาบคานาส มีน้ำใสสะอาดเปลี่ยนสีตามฤดูกาล ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนเฟอร์และต้นลาร์ช
  • เหมาะกับกิจกรรมเดินป่า ถ่ายภาพ และสัมผัสธรรมชาติบริสุทธิ์
  • บรรยากาศคล้ายสวิตเซอร์แลนด์ในเอเชียกลาง

เส้นทางแนะนำ:

  • คานาส > หมู่บ้าน Hemu (หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในจีน)
  • Bahaba > อุทยาน Keketuohai

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

 มิถุนายน – ตุลาคม (ฤดูร้อน–ฤดูใบไม้ร่วง)

คำแนะนำเพิ่มเติม:

หากคุณชอบการเดินป่าท่ามกลางธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ คานาสคือตัวเลือกที่คุณจะไม่มีวันลืม บางมุมของที่นี่ได้รับการขนานนามว่า “อัลไต สวรรค์แห่งป่าเหนือ” ที่เที่ยวซินเจียงที่ห้ามพลาดอย่างแท้จริง

2. เที่ยวซินเจียง ทะเลสาบไซ่ราม (Sayram Lake) – ทะเลสาบภูเขาสุดโรแมนติกแห่งซินเจียง

ทะเลสาบไซ่ราม (Sayram Lake หรือ Sailimu Lake) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขตปกครองตนเองซินเจียง ใกล้พรมแดนประเทศคาซัคสถาน และเป็น ทะเลสาบภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในซินเจียง โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 2,070 เมตร ทำให้มีอากาศเย็นสบายแม้ในฤดูร้อน

เที่ยวซินเจียง : ทะเลสาบไซ่ราม (Sayram Lake)

จุดเด่น:

  • ได้ชื่อว่าเป็น “ทะเลน้ำตาของเทพธิดา” ตามตำนานที่เล่าขาน
  • ในฤดูร้อน รอบทะเลสาบเต็มไปด้วย ดอกไม้ป่าหลากสี บานสะพรั่ง
  • สามารถชมวิว ภูเขาหิมะ ป่าสน และทุ่งหญ้า ได้ในที่เดียว
  • มีกิจกรรม ขี่ม้ารอบทะเลสาบ และตั้งแคมป์ชมพระอาทิตย์ตก

กิจกรรมแนะนำ:

  • เดินเล่นหรือขี่ม้ารอบทะเลสาบ
  • ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามา
  • แวะชมโบราณสถานใกล้ทะเลสาบ เช่น ซากเส้นทางสายไหม

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

  • เดือนมิถุนายน – สิงหาคม (หน้าร้อน) ซึ่งอากาศดี และวิวรอบทะเลสาบสวยที่สุด
  • ช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.–ต้นต.ค.) ก็จะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสี

การเดินทาง:

  • จากเมือง อุรุมชี (Urumqi) ขับรถประมาณ 600 กิโลเมตร (ประมาณ 8 ชม.)
  • หรือบินไปลงที่ เมือง Yining แล้วต่อรถประมาณ 2 ชั่วโมง

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะกับนักเดินทางที่ชอบธรรมชาติอันเงียบสงบ ถ่ายภาพวิวสวย ๆ และอยากสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบชนเผ่าในบรรยากาศที่โรแมนติกและแปลกใหม่

3. เที่ยวซินเจียง ทะเลสาบไป๋ซาหู (Baisha Lake) – ม่านน้ำใสกลางทิวเขาแห่งซินเจียง

ทะเลสาบไป๋ซาหู (Baisha Lake) ตั้งอยู่ในเขต Ili Kazakh Autonomous Prefecture ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซินเจียง เป็นทะเลสาบน้ำจืดบนที่ราบสูงที่มีทัศนียภาพงดงามและอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี

เที่ยวซินเจียง : ทะเลสาบไป๋ซาหู (Baisha Lake)

จุดเด่น:

  • น้ำทะเลสาบใสสะท้อนสีฟ้าคราม สลับกับภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ
  • รอบทะเลสาบมีป่าไม้เขียวชอุ่มและทุ่งหญ้า เหมาะกับการพักผ่อนและถ่ายภาพ
  • บรรยากาศเงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชอบธรรมชาติและความสงบ

กิจกรรมแนะนำ:

  • เดินเล่นรอบทะเลสาบ ชมธรรมชาติและสัตว์ป่าท้องถิ่น
  • ถ่ายภาพวิวภูเขาสะท้อนในน้ำ
  • พักผ่อนริมทะเลสาบหรือปิกนิกแบบส่วนตัว

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

เดือนพฤษภาคม – กันยายน (ฤดูร้อน–ต้นใบไม้ร่วง) ซึ่งอากาศเย็นสบายและวิวธรรมชาติสวยที่สุด

การเดินทาง:

  • จากเมืองอุรุมชี (Urumqi) ขับรถประมาณ 400–500 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 6–8 ชั่วโมง
  • แนะนำให้เช่ารถหรือเข้าร่วมทัวร์ท้องถิ่นเพื่อสะดวกในการเดินทางและเที่ยวรอบทะเลสาบ

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะกับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ นักถ่ายภาพ และผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ มาสัมผัสความสงบและความงามของทะเลสาบกลางทิวเขา

4. เที่ยวซินเจียง ทะเลสาบเทียนฉือ (Heavenly Lake) ใกล้อุรุมชี – สวรรค์บนเทือกเขาเทียนซานแห่งซินเจียง

ทะเลสาบเทียนฉือ (Tianchi Lake) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติยอดนิยมของซินเจียง ตั้งอยู่บน เทือกเขาเทียนซาน (Tianshan Mountains) ทางตะวันออกของเมือง อุรุมชี (Urumqi) ด้วยความสูงกว่า 1,900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี

เที่ยวซินเจียง : ทะเลสาบเทียนฉือ (Tianchi Lake)

จุดเด่น:

  • ตำนานจีนกล่าวว่า ทะเลสาบเทียนฉือ (Tianchi Lake) เป็นสถานที่อาบน้ำของเทพธิดา จึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
  • ทะเลสาบสีฟ้าใสสะท้อนยอดเขา Bogda ที่ปกคลุมด้วยหิมะ พร้อมป่าสนโดยรอบ
  • บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อน ถ่ายรูป เดินเล่น หรือ ล่องเรือเพื่อชมวิว

กิจกรรมแนะนำ:

  • เดินรอบทะเลสาบชมธรรมชาติป่าสนสีเขียวขจี
  • ล่องเรือในทะเลสาบ (แนะนำให้เตรียมเสื้อกันลมไปด้วยนะคะ)
  • ถ่ายภาพวิวเทือกเขาและเงาสะท้อนในน้ำ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

เดือนพฤษภาคม – กันยายน (ฤดูร้อน–ต้นใบไม้ร่วง)

การเดินทาง:

  • นั่งรถบัสหรือแท็กซี่จากตัวเมือง ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง
  • มีบริการรถท่องเที่ยวตรงไปยังทางเข้าอุทยาน

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบ ธรรมชาติ ภูเขา และทะเลสาบ ไม่ควรพลาดที่นี่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสัมผัสอากาศเย็นสบายและวิวที่งดงาม

5. เที่ยวซินเจียง ทุ่งหญ้าน่าหลาตี (Nalati Grassland) – สวรรค์บนภูเขาแห่งซินเจียง

ทุ่งหญ้าน่าหลาตี (Nalati Grassland) ตั้งอยู่ในเขต Xinyuan ทางตอนใต้ของเทือกเขา เทียนซาน และเป็นหนึ่งใน ทุ่งหญ้าบนภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยวิวทิวทัศน์ที่อลังการของหุบเขา ป่าไม้ แม่น้ำ และยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี ทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่า “สวรรค์ของนักเดินทาง

ทุ่งหญ้าน่าหลาตี (Nalati Grassland)

จุดเด่น:

  • พื้นที่กว้างใหญ่ของทุ่งหญ้าสีเขียวที่ทอดยาวสุดสายตา
  • วิวทิวเขาซ้อนกันแบบพาโนรามา เหมาะสำหรับถ่ายภาพวิวและ Drone
  • โอกาสได้ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตชนเผ่า คาซัค (Kazak) แบบดั้งเดิม
  • มีบริการนั่งม้าชมทุ่งหญ้า, พักในกระโจม (Yurt), และชมการแสดงพื้นเมือง

กิจกรรมแนะนำ:

  • ขี่ม้า หรือขึ้นกระเช้าชมวิวทุ่งหญ้าจากมุมสูง
  • ชิมอาหารพื้นเมืองคาซัค เช่น เนื้อแกะย่าง
  • ถ่ายภาพกับฝูงม้า และวิวพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก
  • เข้าร่วมเทศกาลพื้นเมืองหากไปในช่วงฤดูร้อน

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

  • มิถุนายน – กันยายน (หน้าร้อน) เป็นช่วงที่ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม และอากาศเย็นสบาย
  • ควรหลีกเลี่ยงฤดูหนาวเพราะอากาศหนาวจัดและทุ่งหญ้าถูกปกคลุมด้วยหิมะ

การเดินทาง:

  • จาก เมือง Yining หรือ Urumqi สามารถนั่งรถทัวร์/รถไฟไปยัง Xinyuan County
  • จากนั้นต่อรถเข้าสู่เขตทุ่งหญ้า ใช้เวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะกับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ช่างภาพ หรือผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย มาสัมผัสความเงียบสงบของธรรมชาติแบบดั้งเดิม พร้อมกลิ่นอายชนเผ่าเร่ร่อนที่ยังคงมีอยู่จริงในซินเจียง

6. เที่ยวซินเจียง ทุ่งหญ้าบายันบุลัค (Bayanbulak Grassland) – ดินแดนหงส์ขาวกลางขุนเขาแห่งซินเจียง

ทุ่งหญ้าบายันบุลัค (Bayanbulak Grassland) คือทุ่งหญ้าแบบมีน้ำหล่อเลี้ยงขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน ตั้งอยู่ในเขต Bayingolin ทางตอนกลางของซินเจียง ท่ามกลางวงล้อมของเทือกเขาเทียนซาน ด้วยระดับความสูงเฉลี่ยราว 2,400 เมตร ทำให้ที่นี่เป็นโอเอซิสกลางภูเขาที่เขียวชอุ่ม สดชื่น และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ทุ่งหญ้าบายันบุลัค (Bayanbulak Grassland)

จุดเด่น:

  • เป็นบ้านของ หงส์ขาว หลายพันตัวที่อพยพมาทุกปี โดยเฉพาะที่ ทะเลสาบหงส์ (Swan Lake)
  • วิวเปิดโล่งของทุ่งหญ้าสีเขียวและแม่น้ำสายเล็ก ๆ คดเคี้ยวราวริบบิ้น
  • มีจุดชมวิวแม่น้ำไคดู (Kaidu River) ที่งดงามมากในช่วงพระอาทิตย์ตก

กิจกรรมแนะนำ:

  • ถ่ายภาพหงส์นับพันตัวในช่วงเดือนมิถุนายน–กันยายน
  • ขี่ม้าหรือเดินเล่นบนทุ่งหญ้าแบบชนเผ่า
  • เข้าพักในกระโจมแบบคาซัค (Kazak Yurt) เพื่อสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น
  • ชมท้องฟ้ากว้างและดวงดาวยามค่ำคืนแบบไม่มีแสงรบกวน

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

  • มิถุนายน – กันยายน (ฤดูร้อน) เป็นฤดูของดอกไม้ป่าและการอพยพของหงส์
  • หลีกเลี่ยงช่วงฤดูหนาว เนื่องจากหิมะตกหนัก

การเดินทาง:

  • จากเมือง Korla หรือ Urumqi สามารถนั่งรถทัวร์ หรือเช่ารถขับเองไปยัง Bayanbulak (ใช้เวลาประมาณ 6–8 ชั่วโมง)
  • ควรวางแผนพักค้างคืน 1–2 คืน เพื่อเก็บบรรยากาศธรรมชาติเต็มที่

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ช่างภาพ และผู้ที่ต้องการ สัมผัสวิถีชีวิตแบบคาซัคแท้ ๆ ในดินแดนที่ยังไม่ถูกรบกวนด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

7. เที่ยวทะเลทรายทากลามากัน (Taklamakan Desert) – ท้าทายแดนทรายแห่งซินเจียง

ทะเลทรายทากลามากัน (Taklamakan Desert) เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในทะเลทรายเคลื่อนตัวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 330,000 ตารางกิโลเมตร ได้รับฉายาว่า “ทะเลแห่งความตาย (Sea of Death)” ด้วยภูมิประเทศที่โหดร้าย ทว่าเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งความลึกลับและน่าหลงใหล

ทะเลทรายทากลามากัน (Taklamakan Desert)

จุดเด่น:

  • ถนนทะลุทะเลทราย Taklamakan Desert Highway เป็นหนึ่งในถนนที่ยาวที่สุดในโลกที่ตัดผ่านทะเลทราย มีความยาวกว่า 500 กิโลเมตร
  • สองข้างทางเรียงรายไปด้วยต้นป๊อปลาร์สีทองในฤดูใบไม้ร่วง สวยงามสะกดตา
  • ทะเลทรายแห่งนี้ยังเป็นเส้นทางผ่านหลักของ เส้นทางสายไหม (Silk Road) ในอดีต

กิจกรรมแนะนำ:

  • ขับรถข้ามทะเลทราย หรือเข้าร่วมทัวร์ทะเลทรายที่มีไกด์ท้องถิ่น
  • ขี่อูฐ ท่องเนินทรายและชมพระอาทิตย์ตก
  • ตั้งแคมป์กลางทะเลทราย และดูดาวในท้องฟ้าที่ไร้แสงรบกวน
  • แวะเยี่ยมชม โอเอซิสโบราณ เช่น Hotan, Kuqa, หรือเมือง Miran

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

ปลายตุลาคม – กลางพฤศจิกายน เพราะอากาศเย็นลง ไร้พายุทราย และต้นไม้รอบ ๆ ทะเลทรายเปลี่ยนสีเป็นทองงดงาม

การเดินทาง:

  • บินจากเมือง อุรุมชี (Urumqi) ไปยัง Hotan หรือ Kuqa
  • ใช้บริการรถทัวร์ท้องถิ่น หรือเช่ารถขับเข้าสู่เส้นทาง ทะเลทราย Taklamakan Highway
  • ควรเตรียมตัวล่วงหน้า และเดินทางกับไกด์หรือทัวร์ที่เชี่ยวชาญ เพราะบางพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะสำหรับนักผจญภัย ช่างภาพ และผู้ที่อยากสัมผัสประสบการณ์ ทะเลทรายจริงแบบไม่ต้องไปถึงตะวันออกกลาง พร้อมธรรมชาติสุดขั้วและเสน่ห์แห่งอารยธรรมเก่าแก่ที่ซ่อนอยู่กลางความเวิ้งว้าง

8. เที่ยวซินเจียง เมืองเก่าคาชการ์ (Kashgar Old Town) – หัวใจวัฒนธรรมอุยกูร์แห่งซินเจียง

เมืองเก่าคาชการ์ (Kashgar Old Town) เป็นหนึ่งในเมืองโบราณที่สำคัญที่สุดของซินเจียง และเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี

มัสยิด Id Kah ในเมืองเก่าคาชการ์ (Kashgar Old Town)

จุดเด่น:

  • สถาปัตยกรรมอิสลามและอุยกูร์แบบดั้งเดิมที่ยังคงความสมบูรณ์และมีเสน่ห์
  • ตลาดท้องถิ่นที่คึกคัก เป็นสถานที่ซื้อของพื้นเมือง เช่น เครื่องเทศ ผ้าไหม งานฝีมือ และอาหารสด
  • มัสยิด Id Kah ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในพื้นที่
  • สุสาน Abakh Khoja สถาปัตยกรรมงดงามและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ลาดท้องถิ่นในเมืองเก่าคาชการ์ (Kashgar Old Town) ซินเจียง

กิจกรรมแนะนำ:

  • เดินชมตรอกซอยเก่าแก่และบ้านเรือนไม้แบบดั้งเดิม
  • ชิมอาหารท้องถิ่น เช่น เคบับ อาหารอุยกูร์ และขนมหวานพื้นเมือง
  • เยี่ยมชมตลาดวันอาทิตย์ที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่น

การเดินทาง:

  • บินตรงจากเมือง อุรุมชี (Urumqi) ไปยัง คาชการ์ (Kashgar) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
  • ใช้บริการรถไฟความเร็วสูงสายใหม่ อุรุมชี–คาชการ์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10–11 ชั่วโมง

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมโบราณ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวอุยกูร์ในซินเจียง

9. เที่ยวซินเจียง เมืองโบราณเจียวเหอ (Jiaohe Ancient City) – มรดกโลกซินเจียงอายุกว่า 2,300 ปี

เมืองโบราณเจียวเหอ (Jiaohe Ancient City) ตั้งอยู่ใกล้เมืองทูหลู่ฟาน (Turpan) ในซินเจียง เป็นหนึ่งในเมืองโบราณที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดของจีน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,300 ปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก

เมืองโบราณเจียวเหอ (Jiaohe Ancient City)

จุดเด่น:

  • เป็นเมืองโบราณที่ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาโดยไม่ใช้ไม้ มีลักษณะเป็นเมืองหน้าผา
  • ซากอาราม บ้านเรือน และเวิร์กช็อปโบราณยังคงสภาพดี ให้บรรยากาศย้อนยุคเหมือนกับการเดินทางข้ามเวลา
  • ทิวทัศน์ของเมืองโบราณท่ามกลางทะเลทรายและภูเขา มีความสวยงามโดยเฉพาะช่วงแสงเย็น

กิจกรรมแนะนำ:

  • เดินชมซากเมืองและถ่ายภาพสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงสมบูรณ์
  • ฟังเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองผ่านไกด์ท้องถิ่น
  • ชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวเพื่อภาพถ่ายที่งดงาม

การเดินทาง:

  • จากเมืองทูหลู่ฟาน (Turpan) นั่งรถยนต์ประมาณ 10-15 นาทีถึงเมืองเจียวเหอ
  • สามารถเดินทางจากอุรุมชีโดยรถไฟหรือรถบัสมายังทูหลู่ฟานก่อน

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่รักประวัติศาสตร์ โบราณคดี และต้องการชมมรดกโลกอันงดงามของซินเจียงในบรรยากาศทะเลทรายที่มีความลึกลับ

10. เที่ยวซินเจียง ตลาด International Grand Bazaar เมืองอุรุมชี – สีสันแห่งวัฒนธรรมอุยกูร์ที่คุณต้องสัมผัส

ตลาด International Grand Bazaar ในเมือง อุรุมชี (Urumqi) คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัส วัฒนธรรมพื้นเมืองของชาวอุยกูร์ อย่างแท้จริง ตลาดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น “ตลาดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในจีน” และยังเป็นศูนย์รวมอาหาร เสื้อผ้า งานฝีมือ และของที่ระลึกที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเส้นทางสายไหมในอดีต

ตลาด International Grand Bazaar เมืองอุรุมชี

จุดเด่น:

  • สถาปัตยกรรมสไตล์อิสลามผสมผสานจีนอย่างงดงาม โดยเฉพาะ หอคอยชมวิว ที่สามารถมองเห็นวิวเมืองอุรุมชีแบบพาโนรามา
  • ร้านค้าและแผงขายสินค้ากว่า 3,000 ร้าน จำหน่ายสินค้าท้องถิ่น เช่น:
    • ผลไม้อบแห้ง, ถั่ว, เครื่องเทศ
    • ผ้าปักมือ, พรม, เสื้อผ้าท้องถิ่น
    • ของที่ระลึกจากวัฒนธรรมอุยกูร์
  • มีเวทีจัดแสดงการแสดงพื้นบ้านในบางช่วงเวลา เช่น การรำอุยกูร์และการแสดงดนตรี

กิจกรรมแนะนำ:

  • ลองชิม เคบับเนื้อแกะ ย่างสด ๆ
  • เดินชมแผงขายเครื่องเทศกลิ่นหอมแรง
  • ซื้อขนมปัง Naan อบเตาถ่านแบบดั้งเดิม
  • ถ่ายรูปหน้าหอคอยที่เป็นสัญลักษณ์ของตลาด
ขนมปัง Naan อบเตาถ่านแบบดั้งเดิม

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทาง:

ช่วงฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบาย เหมาะแก่การเดินเล่น เย็นถึงค่ำ (ประมาณ 16.00–20.00 น.) จะมีสีสันคึกคักที่สุด และบางวันอาจมีตลาดกลางคืน

การเดินทาง:

  • ตลาดตั้งอยู่ใจกลางเมืองอุรุมชี สามารถเดินทางได้ง่ายด้วยรถแท็กซี่ หรือรถบัสสาธารณะ
  • ใกล้สถานีรถไฟและแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์เขตปกครองซินเจียง

คำแนะนำเพิ่มเติม:

เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่สนใจ วัฒนธรรมท้องถิ่น, ชอบเดินตลาด, หรือกำลังมองหาของฝากและของที่ระลึกแบบไม่ซ้ำใครในจีน

ลิ้มลองรสชาติแท้ ๆ ของอาหารซินเจียง

อาหารซินเจียง เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เมนูส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอุยกูร์ มีรสชาติกลมกล่อมและเน้นใช้เนื้อวัว เนื้อแกะ และแป้งเป็นหลัก โดยเฉพาะเนื้อแกะที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เมนูแนะนำ:

  • เคบับเนื้อแกะ (Yang Rou Chuan): เนื้อแกะเสียบไม้ย่างหอมกรุ่น รสชาติเผ็ดนิดๆ กลมกล่อม
  • แกะย่างทั้งตัว (Grilled Whole Lamb): เมนูพิเศษสำหรับงานเลี้ยงหรือเทศกาล รสชาติเนื้อนุ่มฉ่ำ
  • ขนมปัง Naan: ขนมปังแป้งอบกรอบนอกนุ่มใน มักเสิร์ฟคู่กับอาหารจานหลัก
  • ข้าวหมกเนื้อ (Polo / Shou Zhua Fan): ข้าวผัดคลุกกับเนื้อแกะ แครอท หอมใหญ่ ลูกเกด รสชาติหอมหวานกลมกล่อม
  • บะหมี่อุยกูร์ (Lagman): บะหมี่เส้นเหนียวนุ่มเสิร์ฟกับซุปเนื้อและผักสด
เคบับเนื้อแกะ (Yang Rou Chuan)

สถานที่แนะนำสำหรับชิมอาหาร:

  • ตลาดกลางคืนและร้านอาหารท้องถิ่นในเมืองอุรุมชี, คาชการ์ และเมืองอื่น ๆ ในซินเจียง
  • ร้านอาหารที่มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมอุยกูร์ควบคู่ไปด้วย

วิธีการเดินทางไป เที่ยวซินเจียง

การเดินทางจากประเทศไทยไปยัง ซินเจียง สามารถทำได้สะดวกสบายโดยบินตรงจาก กรุงเทพฯ (Bangkok) ไปยังเมืองหลักอย่าง อุรุมชี (Urumqi) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางของเขตปกครองตนเองซินเจียง

  • หากไม่มีเที่ยวบินตรง สามารถเลือกบินแวะเปลี่ยนเครื่องที่ ปักกิ่ง (Beijing) หรือ คุนหมิง (Kunming) ได้เช่นกัน
  • เมื่อถึงอุรุมชีแล้ว คุณสามารถเดินทางไปยังเมืองอื่น ๆ ในซินเจียงด้วยทางเลือกหลากหลาย เช่น
    • รถไฟความเร็วสูง
    • เที่ยวบินภายในประเทศ
    • รถบัสสาธารณะ
    • หรือเช่ารถขับเองสำหรับความยืดหยุ่นสูงสุด

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการ เที่ยวซินเจียง

  • ฤดูใบไม้ผลิ (พฤษภาคม – มิถุนายน)
  • ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – ตุลาคม)

ในช่วงนี้อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนจัด และวิวธรรมชาติทั้งภูเขา ทุ่งหญ้า และทะเลทรายจะสวยงามเป็นพิเศษ เหมาะแก่การเดินทางและกิจกรรมกลางแจ้ง

กิจกรรมห้ามพลาดเมื่อมา เที่ยวซินเจียง

  • ขี่อูฐกลางทะเลทรายทากลามากัน (Taklamakan Desert) สัมผัสประสบการณ์สุดท้าทายในทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในจีน
  • เดินป่าในภูเขาเทียนซาน (Tian Shan Mountains) ชมวิวธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์
  • นอนดูดาวกลางคืน ในพื้นที่ทุ่งหญ้าหรือทะเลทราย ที่ไม่มีมลภาวะทางแสง
  • ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง เช่น บะหมี่อุยกูร์ (Lagman), ข้าวหมกเนื้อแกะ (Polo), และซุปเนื้อแบบอุยกูร์
  • ชมการแสดงพื้นบ้าน และเดินเล่นในตลาดกลางคืนเพื่อสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด
ขี่อูฐกลางทะเลทรายทากลามากัน (Taklamakan Desert)

ซินเจียงเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงามหลากหลายรูปแบบ พร้อมด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลายและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา สายธรรมชาติและนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่ควรพลาดสถานที่แห่งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวไทย การเดินทางไปซินเจียงในประเทศจีนก็สะดวกสบายยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ทำให้การวางแผนทริปง่ายและรวดเร็วขึ้นมาก

หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์เที่ยวชมธรรมชาติสวย ๆ ในดินแดนที่ไม่ไกลจากบ้าน ซินเจียงคืออีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ต้องใส่ไว้ในลิสต์ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วออกเดินทางไปสัมผัสกับความงดงามและวัฒนธรรมอันล้ำค่าของดินแดนแห่งนี้กันค่ะ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวซินเจียงได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: asiaodysseytravel.com, chinadiscovery.com, chinahighlights.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวโดโลไมท์ (dolomites) สัมผัสธรรมชาติงดงามดุจเทพนิยาย

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) อิตาลี สัมผัสธรรมชาติงดงามดุจเทพนิยาย

ถ้าพูดถึง ที่เที่ยวอิตาลี คุณอาจนึกถึงเหล่าเมืองสุดฮิตอย่างเวนิส ฟลอเรนซ์ หรือชายฝั่งอมาลฟี (คุณสามารถอ่านบทความเกี่ยวกับที่เที่ยวอิตาลีได้ที่นี่: เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม ดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก) แต่จริง ๆ แล้วอิตาลียังมีอีกหนึ่งมุมเงียบ ๆ ที่สวยสะกดใจไม่แพ้ที่ไหนในยุโรปเลย — นั่นก็คือ โดโลไมท์ (Dolomites) เทือกเขาสูงใหญ่ทางตอนเหนือ ที่ใครถ้าได้ไป เที่ยวโดโลไมท์ แล้วต่างตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น

เทือกเขาโดโลไมท์เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยธรรมชาติอลังการ หมู่บ้านน่ารักวิวภูเขา และวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างอิตาลีและออสเตรีย เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีมาก่อน จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษาเยอรมันที่ยังใช้กันทั่วไป ไปจนถึงอาหารและสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปเหนือ พื้นที่ทั้งหมดแบ่งออกเป็นหลายภูมิภาคและหมู่บ้านหลายแห่งในแต่ละภูมิภาค โดยแต่ละภูมิภาคมีเส้นทางเดินป่ามากมายที่เชื่อมต่อเทือกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกัน บางส่วนสามารถเข้าถึงได้ด้วยรถยนต์ บางส่วนเข้าถึงได้ด้วยกระเช้าลอยฟ้าและสกีลิฟต์ และบางส่วนเข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาวที่เหมาะกับการเล่นสกี หรือฤดูร้อนที่เหมาะกับการเดินป่าชมวิว การมาเที่ยวโดโลไมท์คือทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเที่ยวอิตาลีในบรรยากาศที่มีความเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากเมืองใหญ่ แต่ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์และความโรแมนติกแบบยุโรปแท้ ๆ

ทำความรู้จักเทือกเขาโดโลไมท์

โดโลไมท์ (The Dolomites) คือเทือกเขาที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี ที่มีลักษณะโดดเด่นจากองค์ประกอบทางธรณีวิทยา เนื่องจากภูเขาเหล่านี้เกิดจากหินโดโลไมท์เกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นหินที่มีแร่โดโลไมท์  เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ภูเขามีสีเฉดเข้มและอ่อนในแบบเฉพาะตัวที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ เทือกเขาโดโลไมท์ครอบคลุมพื้นที่ถึง 7 จังหวัด ได้แก่ เซาท์ไทโรล (South Tyrol), เทรนติโน (Trentino), เวโรนา (Verona), วิเชนซา (Vicenza), เบลลูโน (Belluno), อูดิเน (Udine) และ พอร์เดโนเน (Pordenone)

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ประเทศอิตาลี

เทือกเขาโดโลไมท์ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) เมื่อปี 2009 ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามน่าทึ่งและความหลากหลายทางธรรมชาติ  โดโลไมท์จึงเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมระดับโลกสำหรับทั้งการเดินป่าในฤดูร้อนและการเล่นสกีในฤดูหนาว

เที่ยวโดโลไมท์ ช่วงเวลาไหนดี

โดโลไมท์ เป็นจุดหมายที่สามารถเที่ยวได้ทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว หากคุณต้องการชมโดโลไมท์ในบรรยากาศที่ดีที่สุด คุณต้องเลือกเวลาให้เหมาะสม โดยแต่ละฤดูก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบกิจกรรมประเภทไหน และอีกสิ่งที่ควรพิจารณาก็คือเรื่องราคา ไม่ว่าคุณจะอยากสัมผัสประสบการณ์การเล่นสกีสุดตื่นตาในฤดูหนาว หรือเดินป่าท่ามกลางวิวสวยอลังการในฤดูร้อน การทำความเข้าใจเรื่องช่วงราคาตามฤดูกาลจะช่วยให้คุณวางแผนการเดินทางได้คุ้มค่าที่สุด รายละเอียดสรุปแบบย่อ ๆ มีดังนี้:

  • ฤดูร้อนคือช่วงพีคของการเดินป่า เส้นทางธรรมชาติเปิดกว้าง รอให้นักผจญภัยออกไปสำรวจ
  • ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงเวลาของต้นสนสีทองและเส้นทางเงียบสงบ เหมาะกับคนที่อยากสัมผัสธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
  • ฤดูหนาวเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นโลกแห่งหิมะ ราวกับหลุดเข้าไปในนิทาน
  • ฤดูใบไม้ผลิ สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน ค่อนข้างเฉอะแฉะ เส้นทางหลายเส้นทางปิด ทำให้ยากต่อการจัดเตรียมเสื้อผ้าและสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้

นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้เพื่อเลือกช่วงเวลาในการเดินทางที่เหมาะสมสำหรับคุณ

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูร้อน (มิถุนายน–กันยายน)

นี่คือช่วงเวลาไฮซีซั่นที่โดโลไมท์งดงามที่สุดสำหรับการเดินป่า ปั่นจักรยาน หรือปิกนิกริมทะเลสาบ คุณจะได้เห็นความงามของธรรมชาติอย่างเต็มพิกัด ถ้าสิ่งที่คุณต้องการคือการเดินป่า ฤดูร้อนคือช่วงเวลาที่ใช่สำหรับคุณ แต่คุณต้องวางแผนให้ดี และถ้าคุณไม่อยากเจอกับความวุ่นวาย และคนมากมาย พยายามหลีกเลี่ยงช่วงสัปดาห์ที่ 2 และที่ 3 ของเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดของโรงเรียนทั่วทั้งยุโรป

The Tre Cime di Lavaredo

The Tre Cime di Lavaredo (Three Peaks of Lavaredo) มองจาก the Cave Viewpoint

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • กลางวันยาวนาน กระเช้าลิฟต์เปิดให้บริการ ที่พักเปิดต้อนรับอย่างเต็มรูปแบบ
  • นักท่องเที่ยวหนาแน่นตามจุดยอดฮิต เช่น Tre Cime และ Lago di Braies เป็นต้น
  • ราคาที่พักสูงขึ้น และห้องพักจำกัด ถ้าไม่รีบจองล่วงหน้า

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ร่วง (ปลายกันยายน–ตุลาคม)

ถ้าคุณอยากสัมผัสโดโลไมท์ในช่วงที่สวยที่สุด แบบที่ไม่ต้องเบียดกับผู้คน ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงเวลาแห่งเวทมนตร์ที่คุณสัมผัสได้ แต่บางปีฤดูใบไม้ร่วงมาไว บางปีก็แทบไม่มาเลย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสภาพอากาศบนภูเขา โดยทั่วไป ช่วงกลางเดือนตุลาคม คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสี และสภาพอากาศก็มักจะเย็นสบาย แต่คุณก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ แต่ถ้าคุณอยากสัมผัสประสบการณ์เดินป่าแบบเต็มรูปแบบ คุณควรไปช่วงปลายกันยายนถึงกลางตุลาคมจะดีที่สุด

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ร่วง

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • นักท่องเที่ยวน้อยลง 
  • ต้นสนสีทองสว่างไสวทั่วหุบเขา 
  • อากาศยามเช้าสดชื่น และพระอาทิตย์ตกงดงาม
  • ที่พักบางแห่งจะเริ่มปิดในช่วงต้นตุลาคม หากคุณวางแผนจะเดินป่าแบบนอนค้างหลายคืน อย่าลืมตรวจสอบล่วงหน้าว่ามีที่พักที่ไหนยังเปิดอยู่บ้าง
  • หิมะสามารถมาได้ทุกเมื่อในฤดูนี้ และพอเข้าสู่ปลายตุลาคม กระเช้าลิฟต์ เส้นทางเดินป่า และที่พักหลายแห่งก็จะเริ่มปิดแล้ว

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูหนาว (ธันวาคม–มีนาคม)

ฤดูหนาวในโดโลไมท์ช่างงดงามเกินจริงราวกับเทพนิยาย ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน หมู่บ้านเล็กๆ ดูราวกับหลุดออกมาจากนิทาน

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูหนาว

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นสกี สโนว์บอร์ด สโนว์ชู หรือจิบไวน์ร้อนใต้ต้นคริสต์มาสยักษ์
  • เส้นทางเดินป่าจะถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ และไม่สามารถเข้าถึงได้ หากไม่มีอุปกรณ์ครบครันหรือไกด์นำทาง

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน–พฤษภาคม)

ส่วนใหญ่แล้วฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะโรแมนติก นึกถึงดอกไม้ป่าบานเต็มทุ่ง นักท่องเที่ยวน้อย แต่ความจริงคือหิมะที่โดโลไมท์ยังละลายไม่หมด ที่นี่จะเริ่มเป็นฤดูใบไม้ผลิจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายน

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ผลิ

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • เส้นทางส่วนใหญ่ยังถูกปกคลุมด้วยหิมะหรือปิดเพื่อความปลอดภัย
  • ที่พักบนภูเขาหลายแห่งยังไม่เปิดให้บริการจนกว่าจะถึงช่วงกลางปี
  • ถ้าคุณไม่ได้ขับรถเที่ยวหรือตั้งใจมาเมืองตามเชิงเขาเพื่อเข้าสปาหรู ๆ เราแนะนำให้ข้ามฤดูนี้ไปก่อนจะดีกว่า

วิธีเดินทางไป เที่ยวโดโลไมท์

โดโลไมท์ไม่มีสนามบิน คุณจะต้องนั่งเครื่องบินไปลงสนามบินหลักที่เดินทางไปยังเทือกเขาโดโลไมท์ได้สะดวกจากทางฝั่งอิตาลี หลังจากนั้น ใช้เวลาขับรถประมาณ 2.5-3 ชั่วโมงไปยังเมืองหลักที่ใกล้ที่สุดในเทือกเขาโดโลไมท์ อย่างเมืองกอร์ตีนาดัมเปซโซ (Cortina d’Ampezzo) ทางฝั่งตะวันออกหากคุณมาจากเวนิส และเมืองโบลซาโน (Bolzano) ทางฝั่งตะวันตกหากคุณมาจากมิลานหรือเวโรนา

สนามบินที่ใกล้ที่สุดสำหรับการไปเที่ยวเทือกเขาโดโลไมท์:

  • สนามบินนานาชาติมาร์โคโปโลเวนิส (อิตาลี) 2 ชั่วโมง
  • สนามบินเวโรนา (อิตาลี) 2 ชั่วโมง
  • สนามบินอินส์บรุค (ออสเตรีย) 1 ชั่วโมงครึ่ง
  • สนามบินมิลานมัลเปนซา (อิตาลี) 4 ชั่วโมง
  • สนามบินมิวนิก (เยอรมนี) 4 ชั่วโมง

หากคุณเดินทางด้วยรถไฟในอิตาลี คุณต้องไปลงที่สถานีโบลซาโน (Bolzano) หรือดอบบีอาโก (Dobbiaco) แล้วนั่งรถบัสต่อเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ หรือวิธีที่ดีและง่ายที่สุดคือการเช่ารถแล้วขับรถเที่ยวในโดโลไมท์ ซึ่งจะช่วยให้คุณเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ตามตารางเวลาของคุณเอง คุณสามารถเช่ารถได้ที่เวนิส เวโรนา มิลาน โบลซาโน หรือโบโลญญา แล้วขับไปโดโลไมท์ จากนั้นคืนรถที่เมืองเดิมหรือเมืองถัดไปตามแผนการเดินทางของคุณ

*ฟลอเรนซ์ โรม หรือเนเปิลส์อยู่ไกลเกินไป เว้นแต่คุณจะวางแผนเดินทางไปเที่ยวอิตาลีนานกว่านี้โดยแวะเทือกเขาโดโลไมท์ด้วย

สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อไป เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites)

ในช่วงฤดูร้อน การเดินป่าถือเป็นกิจกรรมที่ดีที่สุดในโดโลไมท์ แต่ถ้าคุณอยากสัมผัสความงามของที่นี่แบบไม่ต้องออกแรงมาก มีกิจกรรมอีกมากมายให้เลือกที่ไม่ต้องพึ่งรองเท้าเดินป่าเลย!

นั่งกระเช้าขึ้นสู่ Cima Tofana

จากสถานีกระเช้าบนยอดเขา คุณจะได้เห็นวิวพาโนรามา 360° ของเทือกเขาโดโลไมท์ และหากเดินต่ออีกเพียงเล็กน้อย จะไปถึงยอด Tofana di Mezzo หนึ่งในจุดสูงสุดของภูเขาในภูมิภาคนี้

Marmolada

นั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ยอด Marmolada เพื่อชมวิวอลังการจากยอดเขาสูงสุดของโดโลไมท์

Lagazuoi

เที่ยวโดโลไมท์ Lagazuoi

Lagazuoi

ขึ้นกระเช้าจาก Falzarego Pass ไปยังยอด Lagazuoi แล้วชมวิวแบบไม่มีอะไรมาบดบัง และถ้าใครอยากผจญภัยเพิ่มขึ้น ก็สามารถเลือกเดินเท้าลงกลับมายังจุดเริ่มต้นได้

ขับรถชมเส้นทางภูเขาสุดอลังการ

Passo Giau

Passo Giau

Sella Pass

Sella Pass

โดโลไมท์ขึ้นชื่อเรื่องถนนภูเขาสวยระดับโลก ที่ห้ามพลาดคือเส้นทาง Passo Pordoi เส้นทาง Sella Pass และเส้นทาง Passo Giau

ชมทะเลสาบสีฟ้าใสราวกับฝัน

เที่ยวโดโลไมท์ Lago di Braies

Lago di Braies

เที่ยวโดโลไมท์ Lago Federa

Lago Federa

เที่ยวโดโลไมท์ Lago di Misurina

Lago di Misurina

เที่ยวโดโลไมท์ Lago di Carezza

Lago di Carezza

แวะถ่ายรูปและเดินเล่นริมทะเลสาบสวยๆ ที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกันอย่าง Lago di Braies, Lago Federa, Lago di Misurina และ Lago di Carezza

Seceda

Seceda

Seceda

ขึ้นกระเช้าไปที่ Seceda เพื่อชมภาพวิวที่สวยจนเหมือนภาพวาดจากหนึ่งในแลนด์มาร์กที่ต้องมีในกล้องของคุณ

Val di Funes

Val di Funes

พื้นที่เขียวขจีแห่งนี้เป็นหนึ่งในจุดที่สวยที่สุดในโดโลไมท์ คุณจะได้เห็นวิวของ Odle/Geisler Group พร้อมโบสถ์ Santa Maddalena Church เป็นภาพที่งดงามจนแทบหยุดหายใจ

Alpe di Siusi (Seiser Alm)

Alpe di Siusi (Seiser Alm)

Alpe di Siusi (Seiser Alm)

ทุ่งหญ้าอัลไพน์ที่สูงที่สุดในยุโรป เหมาะสำหรับเดินป่าและปั่นจักรยานในฤดูร้อน และเป็นลานสกีสุดฮิตในฤดูหนาว

ตะลุยกินให้ทั่วโดโลไมท์

อาหารที่นี่ผสมผสานรสชาติแบบอิตาเลียน ออสเตรีย และเยอรมันอย่างลงตัว คุณสามารถเลือกรับประทานได้จากทั้งร้านอาหารท้องถิ่นกระท่อมบนเขาไปจนถึงร้านอาหารระดับมิชลิน มีให้เลือกอยู่มากมาย

เล่นสกี

เมื่อหิมะเริ่มโปรยปราย โดโลไมท์ก็กลายเป็นหนึ่งในจุดเล่นสกีที่ดีที่สุดในยุโรปที่เป็นสวรรค์ของนักสกี

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่

เทือกเขาโดโลไมท์ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ราคาค่อนข้างสูงหากเทียบกับเมืองอื่น ๆ ในอิตาลี โดยเฉพาะค่าที่พัก ไม่ว่าจะเป็นในเมืองอย่าง Bolzano หรือ Merano ไปจนถึงที่พักบนภูเขาและสกีรีสอร์ต จะมีราคาสูงกว่ามาตรฐานอิตาลีอย่างชัดเจน หากคุณต้องการพักในที่พักดี ๆ ทานอาหารร้านกลาง ๆ และมีกิจกรรมวันละ 1–2 อย่าง ควรเตรียมงบประมาณขั้นต่ำไว้ที่ประมาณ 9,500 บาท ต่อวัน แต่ถ้าไปเล่นสกีด้วย ตัวเลขนี้จะสูงขึ้นอีกพอสมควร

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณในการ เที่ยวโดโลไมท์:

  • ห้องพักแบบคู่ (Double Room) ประมาณ 6,800–11,700 บาท
  • บัตร Dolomiti Superski Pass (ต่อวัน) ผู้ใหญ่ 75 ยูโร เด็ก 38 ยูโร 
  • ตั๋วโดยสารรถสาธารณะ – ที่พักมักจะให้คุณฟรี
  • กาแฟ 1 ถ้วย ราคาประมาณ 55-75 บาท
  • ดินเนอร์สำหรับ 2 คน ในร้านอาหารแบบพื้นถิ่น ราคาประมาณ 2,200-3,700 บาท
  • เบียร์ที่โรงเบียร์ (1 ไพน์) ราคาประมาณ 200 บาท

เคล็ดลับประหยัดงบ:

  • หากเดินทางช่วง นอกฤดูกาล (เช่น ปลายกันยายน หรือพฤษภาคม) ราคาที่พักจะลดลงพอสมควร
  • ใช้ประโยชน์จากบัตรที่พัก เช่น Guest Card หรือ Dolomiti Card ซึ่งมักรวมบริการขนส่งฟรีและส่วนลดกิจกรรม
  • เลือกพักในเมืองเล็ก ๆ รอบนอก แทนรีสอร์ตชื่อดัง

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินป่าตัวยง คนรักภูเขา ตากล้องสายธรรมชาติ หรือแค่นักเดินทางที่อยากหลีกหนีความวุ่นวาย การไป เที่ยวโดโลไมท์ ประเทศอิตาลี จะมอบประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ภาพถ่ายสวย ๆ หรือจุดหมายบนแผนที่ ที่นี่คือสถานที่ที่ทำให้คุณ ได้อยู่ใกล้กับธรรมชาติ ที่ทุกฤดูกาลมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือมันจะกลายเป็นความทรงจำที่คุณไม่มีวันลืม ซึ่งการเดินทางไปประเทศอิตาลีนั้น เราจำเป็นต้องขอวีซ่าเชงเก้นก่อนออกเดินทาง โดยคุณสามารถดูวิธีการขอวีซ่าเชงเก้นได้ที่นี่ค่ะ: วิธีขอ วีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป และการขอวีซ่าเชงเก้นทุกประเทศนั้น จะต้องมีการทำประกันการเดินทาง ที่มีวงเงินประกันไม่น้อยกว่า 30,000 ยูโรหรือประมาณ 1,500,000 บาท และต้องทำกับบริษัทประกันภัยที่สถานทูตให้การรับรองด้วย นอกจากนี้ประกันเดินทางเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวอิตาลีได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

และหากคุณซื้อประกันการเดินทาง Allianz Travel กรณีที่ยื่นวีซ่าไม่ผ่าน ก็สามารถทำเรื่องขอคืนเงินได้ ด้วยเหตุผลว่ายื่นวีซ่าไม่ผ่านค่ะ*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: lonelyplanet.com, catsninelives.com, earthtrekkers.com, whereandwander.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Common tourist scams and how to avoid them

รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว

การได้ไปเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศน่าจะเป็นอีกหนึ่งความฝันของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นแถบยุโรป อเมริกา หรือแม้แต่ในเอเชียก็ตาม บางคนอุตส่าห์เตรียมตัวหาข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวไปอย่างดี เพื่อให้การเดินทางครั้งนั้นเป็นสิ่งที่น่าจดจำ แต่บางครั้งระหว่างที่เรากำลังประทับใจกับสถานที่นั้น ๆ ก็มี มิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว เข้ามาร่วมซีน จนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทริปนั้นกลายเป็นฝันร้ายได้ 

วันนี้ Allianz Travel นำกลโกงของ มิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว มาบอกเล่าให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน เพื่อให้ระวังตัว และเที่ยวได้อย่างปลอดภัย ซึ่งมิจฉาชีพจะเข้ามาหาเราในรูปแบบใดบ้างมาดูกันเลย

1. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบแก๊งบังคับซื้อ

ในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม จะมีกลุ่มคนที่คอยมองคนที่ไม่ทันระวังตัว และเดินตรงปรี่เข้ามาแบบไม่ให้เราตั้งตัว พร้อมกับยื่นของหรือยัดเยียดใส่มือเรา อย่างเช่น อาหารนกพิราบ ผ้า สิ่งของต่าง ๆ ถ้าเราเผลอรับไป ก็จะโดนเรียกให้จ่ายเงินทันที หากเราไม่จ่าย พวกเขาก็จะเริ่มโวยวาย และพยายามกันไม่ให้เราเดินหนี และอาจจะล้วงกระเป๋าเอาสิ่งของมีค่าไป ในจังหวะที่เรามัวแต่สนใจคนที่โวยวายอยู่ข้างหน้า ฉะนั้น หากเข้าไปในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนเยอะ เราควรมองซ้ายมองขวา ถ้าเห็นใครเดินเข้ามายื่นของให้เรา เราควรรีบเดินหนีทันทีจะดีที่สุด

2. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบตำรวจปลอม

มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบตำรวจปลอม

จะทำเป็นเข้ามาขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวของเรา เช่น พาสปอร์ต ซึ่งหากเราเป็นนักท่องเที่ยวที่อยู่ต่างถิ่น ก็อาจรู้สึกตกใจกลัว จนไม่ทันระวัง ตำรวจปลอมเหล่านี้ก็จะชิงกระเป๋าเราหนีไปทันที หรืออาจเข้ามาบอกว่ามีการแพร่ระบาดของธนบัตรปลอม และขอตรวจเงินที่เราพกอยู่ ถ้าเราหยิบกระเป๋าขึ้นมาก็อาจจะโดนฉกชิงไปเลย ดังนั้นหากเราเจอตำรวจเดินเข้ามาหา ก็ให้ระวังไว้สักหน่อย ขอตรวจสอบบัตรประจำตัว หรือสอบถามความผิดของเราให้ชัดเจนเสียก่อน

3. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบการแกล้งทำของหล่น

หากเราเดินเที่ยวอยู่ แล้วเจอคนทำของตก กระจัดกระจาย เราขอแนะนำให้เดินผ่านไปเลย เพราะหากเราเข้าไปช่วยเหลือเก็บของเหล่านั้น จะเป็นจังหวะที่เราไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะทองของมิจฉาชีพที่สามารถเอาของมีค่าไปจากเราได้ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

4. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบโจรในคราบนักบุญ

หากเราถือของเยอะ ถือกระเป๋าใบใหญ่ หรือแวะซื้อตั๋วรถไฟตามตู้กดอัตโนมัติ ก็อาจมีมิจฉาชีพเข้ามาแสดงตัวให้ความช่วยเหลือ หากเรายอมให้ช่วยยกของ หรือให้ช่วยซื้อตั๋วให้ ก็อาจเจอการขอค่าตอบแทนทันที ซึ่งหากเราไม่ให้ พวกเขาก็จะส่งเสียงโวยวายใหญ่โตใส่เรา ดังนั้นควรปฎิเสธความช่วยเหลือจากคนที่เราไม่รู้จักตั้งแต่แรกเลยจะดีที่สุด

5. มิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว ที่มาในรูปแบบการสอบถามทาง “ฉันจะไปที่นี่ได้ยังไง?”

มิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว ที่มาในรูปแบบการสอบถามทาง

มิจฉาชีพบางคนมาในรูปแบบถือแผนที่แผ่นใหญ่ๆ ทำตัวเหมือนเป็นนักท่องเที่ยว และเข้ามาถามทางกับเรา หากเราพยายามช่วย และใช้สมาธิไปกับการดูแผนที่ ทำให้มีจังหวะที่เราไม่ทันได้ระวังตัว ก็จะมีมิจฉาชีพอีกคนเข้ามาล้วงกระเป๋า หรือหยิบของของเราไปดื้อๆ ซึ่งหากพบเจอก็ให้เดินหนีไปเลยดีที่สุด

6. มิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว ที่มาในรูปแบบการขอให้ช่วยถ่ายรูปให้หน่อย

มิจฉาชีพในคราบนักท่องเที่ยวอีกประเภทหนึ่งจะเดินเข้ามายื่นกล้องให้คุณช่วยถ่ายรูปให้ หากคุณใจดีรับกล้องมาเพื่อที่จะถ่ายรูปให้ และในขณะที่ถ่ายอยู่ ก็จะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่ว่าในจังหวะที่เราส่งกล้องคืนเท่านั้นแหละ มิจฉาชีพจะแกล้งทำกล้องตก แล้วโวยวายเสียงดัง เพื่อเรียกร้องให้เราจ่ายค่าเสียหาย

7. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบอาสาสมัครถ่ายรูปให้ไหม

มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบอาสาสมัครถ่ายรูปให้

มิจฉาชีพบางคนจะแกล้งทำเป็นคนมีน้ำใจ เมื่อเห็นว่าเรากำลังถ่ายรูป ก็อาจเดินเข้ามาอาสาเป็นคนถ่ายรูปให้ และเมื่อถ่ายรูปให้เราเสร็จแล้ว มิจฉาชีพก็จะขอเงินค่าถ่ายรูปกับเราทันที หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือเอากล้องสุดรักของเราวิ่งหนีหายไปเลย

8. มิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว ที่มาในรูปแบบของขอทานปลอม

มิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยว ที่มาในรูปแบบของขอทานปลอม

บางคนใช้ความขี้สงสารของคนเป็นเครื่องมือ แต่งตัวเหมือนขอทานมาขอเงินนักท่องเที่ยว หากเราหยิบกระเป๋าเงินออกมา ก็อาจจะถูกชิงไปจากมือแล้ววิ่งหนี หรือมีอีกกรณีคือหากเราส่งเงินไปให้ 1 คน ก็จะมีขอทานคนอื่นมารุมล้อม จนเราไม่สามารถเดินไปไหนได้จนกว่าจะให้เงิน และท้ายที่สุดก็อาศัยจังหวะชุลมุนล้วงกระเป๋าเราไปอีกด้วย

9. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบการขายตั๋วปลอม

สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งจะต้องมีการซื้อตั๋วเข้าชม ซึ่งจะมีมิจฉาชีพบางกลุ่มนำตั๋วปลอมมาขายในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ ซึ่งหากเราหลงกลซื้อเพราะคิดว่าสามารถประหยัดเงินได้ แต่กลับกลายเป็นว่าตั๋วที่ได้มาเป็นของปลอมที่ไม่สามารถใช้งานได้ และจะต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่อีกครั้ง

10. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบองค์กรช่วยเหลือสังคม

แก๊งมิจฉาชีพบางแก๊งจะทำตัวเหมือนเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสังคม เข้ามาโน้มน้าวพูดข้อมูลยาวเหยียด พร้อมให้ช่วยลงชื่อสนับสนุน ถ้าเรามัวแต่ให้ความสนใจไปกับเรื่องราวที่พวกนี้เล่าให้ฟัง ก็จะเป็นเป้าหมายให้มิจฉาชีพที่รออยู่เข้ามาล้วงกระเป๋า โดยที่เราไม่ทันรู้ตัวก็เป็นได้

11. มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบการขอเงินทอนจากการซื้อตั๋วจากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ

มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบการขอเงินทอนจากการซื้อตั๋วจากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ

มิจฉาชีพกลุ่มสุดท้ายจะรอจังหวะที่คุณซื้อตั๋วจากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติตามที่ต่างๆ แล้วก็จะเข้ามาขอเงินคุณแบบไม่อายฟ้าอายดินกันเลยทีเดียว หากคุณไม่ยอมให้ ก็จะโวยวายเสียงดัง ทางทีดีหากพบเจอก็ให้เดินหนี หรือเปลี่ยนที่ซื้อตั๋วเลยจะเป็นการดีที่สุด

12. มิจฉาชีพในรูปแบบทำงานกันเป็นแก๊ง

มิจฉาชีพเหล่านี้มักจะวางแผนร่วมกันเป็นระบบ ทำงานกันเป็นทีม คนหนึ่งทำทีเดินชน/เบี่ยงเบนความสนใจ อีกคนแอบล้วงกระเป๋า หรือขโมยของ อีกคนทำหน้าที่คอยดูต้นทาง เป้าหมายหลักของมิจฉาชีพรูปแบบนี้คือ นักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวมักจะไม่รู้เส้นทาง ไม่ระวังตัว พกเงินสดและของมีค่า รูปแบบที่พบบ่อยมีดังนี้:

มิจฉาชีพล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยว

1. ล้วงกระเป๋า: ใช้ความแออัด เช่น บนรถไฟใต้ดิน สถานีรถไฟ จุดแลนด์มาร์กตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นต้น
2. ปลอมตัวเป็นนักสำรวจหรือผู้ขอเงิน: เดินเข้ามายื่น clipboard ให้เซ็นชื่อ แล้วขโมยของ
3. ทำทีว่าเจอของตก: ทำแหวนตก แล้วหลอกเอาเงิน
4. ทำให้สกปรกแล้วเสนอช่วยเช็ด: ใช้ของสกปรก ใช้ซอสหรือกาแฟพ่นใส่เสื้อ แล้วทำทีเข้ามาช่วย
5. กระชากกระเป๋า หรือของมีค่า: โดยเฉพาะในจุดเปลี่ยว หรือระหว่างนั่งรับประทานอาหารกลางแจ้ง
6. ขโมยในที่พัก หรือ โฮสเทล: บางคนแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกันแล้วเข้าไปขโมยของในที่พัก
7. ใช้เด็กหรือผู้หญิงเป็นเหยื่อล่อ: สร้างความน่าสงสาร เช่น อุ้มเด็กมาขอเงิน หรือมาขอความช่วยเหลือ

วิธีป้องกันตัวจากมิจฉาชีพ

1. อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า แม้จะดูเป็นมิตร
2. สะพายกระเป๋าไว้ข้างหน้า ไม่วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ/เก้าอี้
3. ระวังตัวเป็นพิเศษบนรถไฟใต้ดินและสถานีรถไฟ
4. ของมีค่า เช่น มือถือ พาสปอร์ต เงินสด ควรเก็บในกระเป๋าซ่อนไว้ข้างใน
5. ถ่ายรูปพาสปอร์ตเก็บไว้ และเก็บสำเนาแยกไว้ด้วย
6. หมั่นสังเกตคนรอบข้าง และอย่าหลงกลความวุ่นวายที่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นมาเฉย ๆ

จะเห็นได้ว่ากลโกงที่เหล่ามิจฉาชีพใช้มักมาจากความเมตตาใจดีของนักท่องเที่ยว ฉะนั้น หากเราเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าจะไปคนเดียวหรือไปเป็นกลุ่ม เราก็ควรระมัดระวังตัวเองให้ดี ปิดกระเป๋าให้แน่นสนิทและเก็บไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา และถึงแม้จะดูใจร้ายใจดำแต่การที่เราทำตัวไม่สนใจคนอื่น หรือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์รอบข้างก็เป็นวิธีที่ทำให้เราปลอดภัยห่างไกลจากมิจฉาชีพได้ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวต่างประเทศได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่ 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันการเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ แผนประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม สัมผัสดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม ดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก

อิตาลีเป็นประเทศที่กว้างใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย ตั้งแต่ยอดเขาแอลป์ทางตอนเหนือที่ปกคลุมด้วยหิมะ ไปจนถึงแสงแดดอบอุ่นของทางใต้ที่มีชีวิตชีวา ทุกภูมิภาคล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมที่ฝังรากลึก และอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย หากคุณมีเวลาจำกัดและไม่สามารถตระเวน เที่ยวอิตาลี ได้ทั่วประเทศได้ในทริปเดียว การเลือกว่าจะไปที่ไหนก่อนอาจกลายเป็นเรื่องหนักใจ เพราะอิตาลีเต็มไปด้วยจุดหมายที่น่าไปเยือนไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างโรม เวนิส หรือฟลอเรนซ์ ไปจนถึงเกาะเล็ก ๆ ริมชายฝั่งที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่างอิสเกีย หรือแหล่งท่องเที่ยวสุดตระการตาอย่างเกาะคาปรีและทะเลสาบโคโม

Allianz Travel รวบรวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลีที่เราคิดว่าดีที่สุดมาแบ่งปันกัน คุณสามารถเลือกวางแผนตามความสนใจ ไม่ว่าจะอยากสัมผัสบรรยากาศเมืองเก่า เดินเล่นริมทะเลสาบ หรือหลงใหลในศิลปะและอาหารท้องถิ่น มาดูกันว่าอิตาลีมีอะไรให้คุณหลงรักบ้าง!

1. โรม (Rome)

เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ เสน่ห์ไม่สิ้นสุดในอิตาลี

เที่ยวอิตาลี วิหารแพนธีออน (Pantheon)

วิหารแพนธีออน (Pantheon)

เที่ยวอิตาลี โรมันฟอรัม (Roman Forum)

โรมันฟอรัม (Roman Forum)

โรม เมืองหลวงของอิตาลีได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งเนินเขาทั้งเจ็ด” เป็นจุดหมายในฝันของใครหลายคนในการมา เที่ยวอิตาลี เมืองนี้ไม่ได้มีแค่ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีบรรยากาศสุดโรแมนติกและเสน่ห์ที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณมาถึง

การเดินเที่ยวในโรมเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ออกตาเวียน หรือ จูเลียส ซีซาร์ หรือ ฮาเดรียน เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างในยุคนั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิหารแพนธีออน (Pantheon) โรมันฟอรัม (Roman Forum) หรือโบสถ์เก่าแก่หลายแห่งที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง คนรักศิลปะต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งเต็มไปด้วยผลงานชิ้นเอกระดับโลก ส่วนสายกินก็บอกได้เลยว่า โรมคือสวรรค์ของนักชิม ไม่ว่าจะเป็นพาสต้ารสชาติแบบอิตาเลียนแท้ ๆ พิซซ่าหน้ากรอบ หรือไอศกรีมเจลาโตเนื้อเนียนละมุนลิ้นที่หาทานที่ไหนก็ไม่เหมือน

แม้โรมจะเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต แต่เมืองนี้ก็ยังมีความทันสมัยไม่แพ้ใคร ด้วยร้านแบรนด์หรูระดับโลก โรงแรมดีไซน์เท่ และร้านอาหารสุดชิคที่แฝงกลิ่นอายความคลาสสิกได้อย่างลงตัว โรมจึงเป็นเมืองที่รวมทั้งความเก่าและความใหม่ไว้อย่างกลมกลืน ถ้าคุณกำลังมองหาจุดหมายที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า วิวสวย อาหารอร่อย และแรงบันดาลใจ โรมคือเมืองที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

2. ฟลอเรนซ์ (Florence)

เมืองแห่งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และมนต์เสน่ห์ไม่รู้ลืม

ฟลอเรนซ์ (Florence)
เที่ยวอิตาลี ฟลอเรนซ์ (Florence)

ฟลอเรนซ์ มีชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนว่า Firenze เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเนินเขา พื้นที่อาจมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เต็มไปด้วยร่องรอยอันยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ ฟลอเรนซ์ คือแหล่งกำเนิดของยุคเรอเนซองซ์ เคยเป็นหนึ่งในนครที่ร่ำรวยที่สุดในยุคกลาง เป็นบ้านของตระกูลเมดิชีผู้ทรงอิทธิพล และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินชื่อก้องโลกอย่างมิเคลันเจโล (ไมเคิลแองเจโล) ผู้สร้างสรรค์รูปปั้น David และบรูเนลเลสกี (ผู้ออกแบบโดมของมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์) นอกจากนี้ แบรนด์แฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลีอย่าง Gucci, Salvatore Ferragamo, Emilio Pucci, stefano Ricci และ Roberto Cavalli ก็ถือกำเนิดที่นี่ด้วย

เสน่ห์ของฟลอเรนซ์ไม่ได้มีแค่ศิลปะเรอเนซองซ์เท่านั้น ยังมีพระอาทิตย์ตกแสนโรแมนติก อาหารอิตาเลียนแสนอร่อย และบรรยากาศละมุนที่ทำให้คุณตกหลุมรักได้ง่าย ๆ หากอยากสัมผัสเมืองนี้อย่างลึกซึ้ง แนะนำให้ลองเที่ยวกับไกด์ท้องถิ่น ที่จะพาคุณเปิดมุมมองใหม่ ๆ ของฟลอเรนซ์ และทำให้เวลาของคุณที่นี่คุ้มค่าอย่างที่สุด

3. เวนิส (Venice)

เมืองแห่งสายน้ำและมนต์เสน่ห์ที่ไม่มีที่ใดเหมือน

เที่ยวอิตาลี เวนิส (Venice)

เวนิส (Venice)

มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St. Mark’s Basilica)

เวนิส หรือเวเนเซีย (Venezia) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี เป็นเมืองที่มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย เมืองเวนิสสร้างขึ้นด้วยการเชื่อมต่อเกาะเล็ก ๆ กว่า 100 แห่งในทะเลสาบเวนิส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียติด ด้วยสะพานกว่า 400 แห่งและคลองกว่า 170 สาย ทำให้การเดินทางภายในเมืองนี้ต้องใช้เรือหรือเดินเท้าเป็นหลัก และที่นี่เป็นเมืองปลอดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

การเดินชมเมืองเวนิสคือการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น คุณต้องเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยแคบ ๆ เพื่อชมอาคารบ้านเรือนสไตล์โบราณ ร้านค้า ที่เที่ยวสำคัญต่าง ๆ โดยการข้ามสะพานเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกัน ถึงแม้ว่าคุณจะมีแผนที่ในมือ แต่ก็อาจไม่ได้ช่วยมากนัก ซึ่งการหลงทางเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเวนิส

พระราชวังดอจ (Doge's Palace)

พระราชวังดอจ (Doge’s Palace)

หอศิลป์ Gallerie dell'Accademia

หอศิลป์ Gallerie dell’Accademia

เวนิสมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St. Mark’s Basilica) พระราชวังดอจ (Doge’s Palace) หอศิลป์ Gallerie dell’Accademia ที่จัดแสดงผลงานของศิลปินชื่อดังอย่าง Titian และ Veronese และโรงละคร La Fenice ที่มีการแสดงโอเปราระดับโลก

หากคุณมีเวลา คุณควรเดินทางไปเที่ยวเกาะใกล้เคียงอย่างเกาะ Murano ที่มีชื่อเสียงด้านการเป่าแก้ว บ้านเรือนสีสันสดใสและงานลูกไม้ และเกาะ Lido ที่มีชายหาดสวยงาม ซึ่งการเดินทางไปยังเกาะเหล่านี้สามารถเดินทางได้โดยเรือ Vaporetto ซึ่งเป็นเรือโดยสารสาธารณะของเวนิส

เวนิสเป็นเมืองที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตหากเราได้มา เที่ยวอิตาลี ไม่ว่าคุณจะมาเพื่อสัมผัสบรรยากาศโรแมนติก ชื่นชมศิลปะและสถาปัตยกรรม หรือเพียงแค่เดินเล่นตามตรอกซอกซอยที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เวนิสจะมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับคุณเสมอ

4. ชิงเคว แตร์เร (Cinque Terre)

ดินแดนห้าหมู่บ้านริมผาชายฝั่งที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

ชิงเคว แตร์เร มีความหมายว่า “ดินแดนทั้งห้า” เป็นกลุ่มหมู่บ้านเล็ก ๆ สีพาสเทลหลากสีสันโดดเด่นสะดุดตา 5 แห่งที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งแคว้นลิกูเรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ประกอบด้วยหมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore) หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola) หมู่บ้านคอร์นีเลีย (Corniglia) หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza) และหมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare) นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต่างตกหลุมรักกับสถาปัตยกรรมของหมู่บ้านที่ออกแบบได้อย่างมีเอกลักษณ์ งดงาม เรียงตัวลดหลั่นไปตามไหล่เขาที่ทอดยาว ดูราวกับกำลังเดินอยู่ในดินแดนแห่งจินตนาการ  วิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านก็เรียบง่าย เนิบช้า คุณสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติ อาหารทะเลอร่อย ไร่องุ่น ไวน์และสวนมะกอก รวมถึงเส้นทางเดินเขาสุดตื่นตา ที่พาดผ่านหน้าผาและชายฝั่งทะเลที่สวยเกินจะบรรยาย

หมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore)

หมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore)

หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola)

หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola)

หมู่บ้านคอร์นีเลีย (Corniglia)

หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza)

หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza)

หมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare)

หมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare)

ปัจจุบันหมู่บ้านทั้งห้าเชื่อมถึงกันด้วยเส้นทางรถไฟ และกลายเป็นอุทยานแห่งชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะทิวทัศน์ที่นี่สวยราวกับภาพวาด

แม้คุณจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการเที่ยวชิวเคว แตร์เร จนทั่ว แต่หลายคนก็มักแวะมาที่นี่เพื่อพักผ่อน หลังจากตะลุยเที่ยวเมืองใหญ่ ๆ อย่างโรมหรือฟลอเรนซ์ ที่เต็มไปด้วยผู้คนและชมงานศิลปะแบบเข้มข้น

ถ้าไม่อยากยุ่งยากเรื่องการเดินทาง ที่นี่ก็มีทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับจากเมืองใกล้เคียงให้เลือกมากมาย ถือเป็นตัวเลือกที่สะดวกมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด แต่ก็ไม่อยากพลาดประสบการณ์สุดพิเศษของชายฝั่งอิตาลีแห่งนี้

5. ชายฝั่งอมาลฟี่ (Amalfi Coast)

สวรรค์ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยเกินห้ามใจ

ชายฝั่งอมาลฟี เป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาวไปตามอ่าว Salerno บนทะเล Tyrrhenian ตั้งอยู่ในแคว้นกัมปาเนีย อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ครอบคลุมระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยเมืองต่าง ๆ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง มีสีสันสดใสและเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ บริเวณนี้ยังมีธรรมชาติที่หลากหลาย และเต็มไปด้วยภูเขาริมทะเลสูงชัน หมู่บ้านสีสันสดใสที่เกาะอยู่ตามหน้าผา และท้องทะเลสีเทอร์ควอยซ์ที่งดงามราวภาพวาด เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทาง เที่ยวอิตาลี ที่ตราตรึงใจมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ชายฝั่งอมาลฟี ได้รับการขึ้นทะเบียนขาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก

ชายฝั่งอมาลฟี่ (Amalfi Coast)

แค่ได้เห็นภาพแรกของชายฝั่งอมาลฟี Amalfi Coast ก็อาจทำให้คุณรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่บนสวรรค์ และนี่แหละคือมนต์เสน่ห์ของชายฝั่งอิตาลีแห่งนี้ ที่ทำให้ผู้คนกว่า 5 ล้านคนต่อปีหลั่งไหลกันมาสัมผัสความงดงามไม่รู้ลืม

หมู่บ้านริมชายฝั่งทั้งหมด 13 แห่งถูกเชื่อมต่อด้วยทางหลวงหมายเลข SS163 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในโลก แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป:

  • โพสิตาโน (Positano): หมู่บ้านสีพาสเทลสุดโรแมนติกที่ดึงดูดเหล่าเซเลบและนักเดินทางผู้รักความหรูหรา ด้วยรีสอร์ทริมผาสุดอลังการและร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียม
  • อมาลฟี (Amalfi): เมืองท่าเก่าแก่ที่สุดของอิตาลี ที่เคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางทะเลในอดีต
  • ราวิลโล (Ravello): เมืองเล็กบนไหล่เขาที่เหมาะสำหรับคนชอบวิวตระการตา วิลล่าโบราณ และบรรยากาศเงียบสงบที่แสนพิเศษ
  • ปราอาโน (Praiano): สวรรค์ของคนรักทะเล ที่ชายหาดยังคงสงบเงียบและเป็นส่วนตัว
  • มิโนริ (Minori): จุดหมายของสายกิน เพราะที่นี่คือบ้านของพาสต้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
  • เชตารา (Cetara): เมืองชาวประมงเล็ก ๆ ที่คุณสามารถแวะชมป้อมปราการยุคโบราณ ซึ่งตามตำนานว่าก่อตั้งโดยเฮอร์คิวลิสเอง!
โพสิตาโน (Positano)

โพสิตาโน (Positano)

ราวิลโล (Ravello)

ปราอาโน (Praiano)

ปราอาโน (Praiano)

เชตารา (Cetara)

เชตารา (Cetara)

ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินทางผ่านชายฝั่งอมาลฟีด้วยวิธีใด จะขับรถ วิ่งเส้นทางเลียบเขา หรือแวะพักตามหมู่บ้านต่าง ๆ รับรองได้ว่าความงามของที่นี่จะติดตรึงอยู่ในใจคุณไปอีกนานแสนนาน

6. ซิซิลี (Sicily)

มรดกแห่งเกาะทางใต้ ตำนานมาเฟียแห่งอิตาลี

ซิซิลี ดินแดนที่อบอวลไปด้วยตำนานเทพเจ้ากรีกโบราณ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี ล้อมรอบด้วยทะเลไทร์เรเนียน เมดิเตอร์เรเนียน และไอโอเนียน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี และเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม เนื่องจากเคยถูกปกครองโดยมหาอำนาจสมัยโบราณหลายชนชาติ ทั้งกรีก โรมัน อาหรับ นอร์แมน เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน ซึ่งสะท้อนผ่านโบสถ์ วิหาร และแหล่งโบราณคดีที่กระจายอยู่ทั่วเกาะ นอกจากนั้น ซิซิลียังมีความสวยงามทางธรรมชาติ และยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและสูงที่สุดในยุโรป ล้วนเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก

ซิซิลี (Sicily)

ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna)

ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna)

เที่ยวอิตาลี ซิซิลี (Sicily)

ฤดูร้อนที่นี่เหมาะสำหรับการปีนเขาเพื่อชมวิวจากยอดเอตนา ส่วนฤดูหนาวก็สามารถเล่นสกีบนลานหิมะที่ปกคลุมภูเขาไฟได้อย่างน่าตื่นเต้น ลองจินตนาการถึงเกาะเขตร้อนที่มีคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งทรายอย่างอ่อนโยน แสงแดดส่องประกายบนผิวน้ำทะเลที่ระยิบระยับ และภูเขาไฟที่พ่นไอน้ำอยู่ไกล ๆ เพิ่มความงดงามด้วยเนินเขาเขียวขจีที่มีซากปรักหักพังจากยุคโบราณ และอย่าลืมลิ้มรสอาหารทะเลสดใหม่ พาสต้าแสนอร่อย และของหวานที่หรูหรา ทั้งหมดนี้คือซิซิลีสวรรค์ที่อบอุ่นและผ่อนคลาย พร้อมด้วยวิถีชีวิตแบบอิตาเลียนที่เน้นอาหารและความรักในชีวิต เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารอิตาเลียนแท้ ๆ ในบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่วุ่นวาย

7. ทัสคานี (Tuscany)

ดินแดนที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณ เพชรเม็ดงามแห่งอิตาลี

ทัสคานี แคว้นขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในอิตาลี เป็นถิ่นกำเนิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา อารยธรรมโบราณของชาวอิทรูเรีย เมืองเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ทุ่งหญ้าที่กว้างไกล สุดลูกหู ลูกตา ต้นไซเปรสที่เรียงรายอย่างสง่างาม เนินเขาที่ทอดยาว และไร่องุ่นที่กว้างใหญ่ ที่นี่คือสวรรค์สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง เวลาที่นี่ดูเหมือนจะเดินช้าลง และไม่มีวิธีใดจะผ่อนคลายไปกว่าการจิบไวน์หรือรับประทานญ็อกกีโฮมเมดใต้แสงแดดของทัสคานี

ซานจิมิญาโน (San Gimignano)

ซานจิมิญาโน (San Gimignano)

ปิซา (Pisa)

ชนบทของทัสคานีมอบทิวทัศน์ที่งดงามให้กับนักเดินทาง พร้อมด้วยวิลล่าและปราสาทที่โรแมนติก ซึ่งมักจะมีโรงบ่มไวน์และร้านอาหารชั้นเลิศอยู่ภายใน อย่าพลาดการเยือนเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบอย่างซานจิมิญาโน (San Gimignano) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เมืองนี้มีชื่อเสียงจากหอคอยยุคกลางที่ยังคงรักษาไว้ได้อย่างดี นอกจากนี้ เมืองต่างๆ ในทัสคานี เช่น ปิซา (Pisa) ซึ่งมีมากกว่าเพียงแค่หอเอน และเซียนา (Siena) ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างโบโลญญา (Bologna) และชิงเกวแตร์เร (Cinque Terre) เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป

ทัสคานีคือดินแดนที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารอิตาเลียนอย่างลงตัว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักชิม นักประวัติศาสตร์ หรือเพียงแค่มองหาสถานที่พักผ่อน ทัสคานีก็พร้อมต้อนรับคุณด้วยอ้อมแขนที่อบอุ่นและทิวทัศน์ที่งดงามเกินบรรยาย

8. ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

สัมผัสกับความหรูหราหรือเรียบง่ายที่คุณเลือกได้

เกาะซาร์ดิเนียเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลี ตั้งอยู่ทางตะวันตกของแผ่นดินอิตาลี ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยพื้นที่กว่า 24,000 ตารางกิโลเมตร คุณจะได้พบกับชายหาดขาวละเอียดที่งดงาม น้ำทะเลสีมรกต และอ่าวเล็กอ่าวน้อยที่โอบล้อมด้วยเรือยอร์ชสุดหรู ไปจนถึงชีวิตเรียบง่ายในหมู่บ้านยุคกลาง ที่ชาวซาร์ดิเนียยังคงเลี้ยงแกะตามประเพณี สวมชุดพื้นเมือง และรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้

นอกจากชายฝั่งสุดเพอร์เฟ็กต์แล้ว คุณยังจะได้พบซากปรักหักพังยุคโบราณอย่าง Su Nuraxi di Barumini ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก สะท้อนภาพอดีตอันลึกลับของชาวนูราชิที่สร้างโครงสร้างหินล้อมรอบตัวเมือง

ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

Su Nuraxi di Barumini

Su Nuraxi di Barumini

คุณจะได้เพลิดเพลินกับอาหารและไวน์อิตาลีที่ดีที่สุด สำรวจวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย ตั้งแต่พาสต้าโฮมเมดสไตล์ซาร์ดิเนีย อาหารทะเลสด จับคู่กับไวน์พื้นเมือง จากนั้นออกผจญภัยดำน้ำตื้นดูฝูงปลาสีสันสดใส หรือขับรถลัดเลาะเข้าไปในใจกลางเกาะ สัมผัสหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีฟาร์มแกะ บ้านเรือนสีขาว และภูเขาสีเขียวทอดตัวสุดลูกหูลูกตา

ไม่ว่าคุณจะมองหาความหรูหราแบบราชวงศ์ หรือความเรียบง่ายแบบชนบท ซาร์ดิเนียพร้อมมอบประสบการณ์ที่คุณจะจำไม่ลืมแน่นอนค่ะ!

9. คาปรี (Capri)

เกาะในฝัน…สวรรค์ริมอ่าวเนเปิลส์

เกาะคาปรี ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของอิตาลี เปรียบเสมือนเกาะสวรรค์ของอิตาลี ที่มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม อาหารอร่อย และความน่าสนใจของเมือง ตลอดหลายศตวรรษ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดหรู และที่พักตากอากาศ ที่ทั้งมหาเศรษฐี ดารา นักการเมือง และเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังมักจะแวะมาพักผ่อน ด้วยทิวทัศน์สุดประทับใจและความโรแมนติกที่ไม่เหมือนใคร คุณจะได้เห็นแสงอาทิตย์สาดกระทบผืนน้ำจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มดุจอัญมณี ทุกช่วงเวลาบนผืนน้ำรอบเกาะคาปรีล้วนช่างอัศจรรย์

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีแสงแดดอุ่น ๆ เกือบทั้งปี และที่สำคัญ เกาะคาปรียังมีชื่อมานานว่าเป็นบ้านของไวน์รสเลิศและอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนรสหรู เหล่านี้คือส่วนผสมที่ทำให้เกาะสวรรค์แห่งนี้มีผู้มาเยือนมากมาย

หากคุณมาเยือนคาปรีในฤดูกาลแห่งปาร์ตี้ คุณจะได้เห็นบรรดาคนดังสวมใส่ชุดหรู ๆ ของดีไซเนอร์เบอร์ต้น ๆ ของโลกมาประชันกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรแปลกใจที่ย่านดาวน์ทาวน์ของเกาะแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของร้านสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูอยู่มากมาย และความหรูของคาปรีอีกอย่างหนึ่งก็คือโรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในที่สุดของยุโรปตั้งอยู่ที่นี่ นั่นก็คือ โรงแรมลา สกาลินาเตลลา (Hotel La Scalinatella) ที่ขึ้นชื่อทั้งความหรูหราและบรรยากาศแสนโรแมนติก 

ดั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะมาแค่วันเดียวหรือค้างคืนหลายคืน คาปรีก็พร้อมมอบเสน่ห์ที่คุณจะหลงรัก ตั้งแต่ความเงียบสงบไปจนถึงความหรูหราระดับห้าดาว ที่ทำให้คุณต้องอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง

10. มิลาน (Milan)

เดินชิล ช้อปปิ้ง จิบกาแฟ ในเมืองแฟชั่นระดับโลก

มิลาน หรือ Milano ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอิตาลี เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า นิทรรศการใหญ่ ๆ ประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และได้ชื่อว่าเป็นเมืองผู้นำแฟชั่นระดับแนวหน้าของโลก ที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางธุรกิจแฟชั่นที่มีความทันสมัยไม่แพ้เมืองปารีส และนิวยอร์ก ถ้าพูดถึง ‘มิลาน’ คุณจะนึกถึงรันเวย์แฟชั่น โชว์สุดหรู และแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Giorgio Armani, Prada, Versace ซึ่งมีบทบาทสำคัญใน Milan Fashion Week ที่จัดขึ้นทุกปี แต่เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องแฟชั่นเท่านั้น มิลานยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม ตั้งแต่ มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano) สไตล์โกธิกที่อลังการ ไปจนถึง Teatro alla Scala โรงโอเปราระดับโลก และ Castello Sforzesco ปราสาทยุคเรเนอซองส์ที่ภายในมีพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการอีกกว่า 10 แห่ง

มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano)

มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano)

โรงโอเปราระดับโลก Teatro alla Scala

ปราสาทยุคเรเนอซองส์ Castello Sforzesco

มิลานเป็นเมืองที่เดินเที่ยวได้ง่าย คุณจะเพลิดเพลินกับแหล่งช้อปปิ้งสุดหรูที่ตกแต่งอย่างสวยงาม จิบกาแฟอิตาเลียนแท้  หรือแวะกินขนม biscotti และ cappuccino ริมทาง

ไม่ว่าคุณจะมามิลานเพื่อแฟชั่น ศิลปะ กีฬา หรือแค่เดินเล่นชิล ๆ เมืองนี้ก็พร้อมมอบประสบการณ์หลากอารมณ์ที่คุณจะประทับใจไม่รู้ลืมค่ะ!

หากคุณหลงใหลในประวัติศาสตร์ ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนแท้ อยากพักผ่อนริมทะเล หรือใฝ่ฝันจะเดินเล่นในเมืองเก่า อิตาลีก็มีสถานที่ที่ตอบโจทย์คุณเสมอ วางแผนการเดินทางให้ดี แล้วออกไปสัมผัสเสน่ห์ของอิตาลีในแบบที่คุณชอบกันเลยค่ะ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวอิตาลีได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: travel.usnews.com, audleytravel.com, guidester.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel