พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2025 - Autumn Foliage Forecast in Japan 2025

พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2025 ล่าสุด! [ครั้งที่ 3 : 4 พฤศจิกายน 2025]

ฤดูกาลของการชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น สำหรับปี 2025 มาถึงแล้ว JMC (Japan Meteorological Corporation) ได้เผยแพร่ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2025 ฉบับล่าสุด (ครั้งที่ 3) ของปี 2025 ออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 เพื่อน ๆ คนไหนที่วางแผนจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้ข้อมูลจากการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 จาก JMC เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางได้นะคะ เพื่อให้เพื่อน ๆ ไม่พลาดที่จะได้ไปชมความสวยงามในสถานที่ต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้หลากสีสันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงกันค่ะ ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้ค่ะ : )

หมายเหตุ: ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ปี 2025 อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีและอัพเดทข่าวสารเป็นระยะๆ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ ในการกำหนดช่วงเวลาของการเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น

ไปชม ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ช่วงเวลาไหนดี ?

Japan Meteorological Corporation ได้ทำการพยากรณ์ช่วงเวลาในการเริ่มชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นตามเมืองและภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคมจากเหนือจรดใต้ของประเทศญี่ปุ่น แต่ละสถานที่ จะมีช่วงเวลาที่ใบไม้มีสีสันสดใสประมาณ 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในช่วงเวลานั้นๆ ในแต่ละปี ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่จะได้สัมผัสกับสีสันความสวยงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น จะมี 2 ช่วงด้วยกัน ได้แก่ ใบไม้สีเหลือง (ต้นแปะก๊วย) ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตามมาด้วยใบไม้สีแดง (เมเปิ้ลญี่ปุ่น) ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สีของใบไม้บนยอดเขาจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากระดับความสูงและสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ และในบางปีใบไม้เปลี่ยนสีอาจเกิดช้าไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคมเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี

หากเพื่อนๆ ท่านไหนยังไม่รู้ว่าจะแพลนไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ในญี่ปุ่น ที่ไหนดี Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสีของคุณโดยประมาณ ได้จากบทความด้านล่างนี้เลยค่ะ

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น วิวอันน่าทึ่งของใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใสในสถานที่ต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ร่วง ออกไปสัมผัสกับความงดงามของสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น ต้นไม้น้อยใหญ่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดใส สีส้ม และสีเหลืองทอง

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด!

ที่เที่ยวญึ่ปุ่น ที่ต้องปักหมุด เพื่อไปชมใบไม้เปลี่ยนสี สำหรับคนที่วางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตอนสิ้นปี

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสี ในญี่ปุ่นปี 2025

ตารางพยากรณ์ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นในปี 2025 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 3) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2025 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ปี 2025 (พยากรณ์ครั้งที่ 3 : 4 พฤศจิกายน 2025)

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี "สีแดง" ล่าสุด ครั้งที่ 3 - 4 พฤศจิกายน 2025

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”

แผนที่พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี "สีเหลือง" ล่าสุด ครั้งที่ 3 - 4 พฤศจิกายน 2025

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสี “สีแดง”ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสี “สีเหลือง”
ซัปโปโร – Sapporo6 พฤศจิกายน7 พฤศจิกายน
อาโอโมริ – Aomori10 พฤศจิกายน5 พฤศจิกายน
เซนได – Sendai20 พฤศจิกายน21 พฤศจิกายน
โตเกียว – Tokyo23 พฤศจิกายน22 พฤศจิกายน
คานาซาว่า – Kanazawa25 พฤศจิกายน4 พฤศจิกายน
นากาโน่ – Nagano19 พฤศจิกายน12 พฤศจิกายน
นาโงย่า – Nagoya25 พฤศจิกายน10 พฤศจิกายน
เกียวโต – Kyoto15 ธันวาคม25 พฤศจิกายน
โอซาก้า – Osaka7 ธันวาคม20 พฤศจิกายน
วากายามะ – Wakayama15 ธันวาคม20 พฤศจิกายน
ฮิโรชิม่า – Hiroshima30 พฤศจิกายน21 พฤศจิกายน
โคชิ – Kochi13 ธันวาคม25 พฤศจิกายน
ฟุกุโอกะ – Fukuoka12 ธันวาคม1 ธันวาคม
คาโกชิมะ – Kagoshima16 ธันวาคม2 ธันวาคม
สถานะจริง ของจุดชมใบไม้สีแดงได้รับการประกาศโดย Japan Meteorological Agency
สถานะจริง ของจุดชมใบไม้สีเหลืองได้รับการประกาศโดย Japan Meteorological Agency

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2025 Autumn Foliage Forecast (3rd forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

การวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

การเดินทางเพื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ร่วงล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเดินทางเพื่อไปสัมผัสความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบวางแผนการเดินทางและจองที่พักตามสถานที่ ที่เราต้องการเดินทางไปให้พร้อม และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวอียิปต์ ดินแดนฟาโรห์สุดลึกลับที่ควรไปสักครั้งในชีวิต

เที่ยวอียิปต์ ดินแดนฟาโรห์สุดลึกลับที่ควรไปสักครั้งในชีวิต

ถ้าพูดถึงประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เก่าแก่และมนต์ขลังแห่งอารยธรรมโบราณ การเดินทาง เที่ยวอียิปต์ คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางทั่วโลก ที่นี่คือดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณที่สั่งสมมานานกว่า 5,000 ปี ทั้งพีระมิด มัมมี่ สุสานฟาโรห์ แม่น้ำไนล์และเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของเหล่าฟาโรห์ที่รอให้คุณไปสัมผัสด้วยตาตัวเอง วันนี้ Allianz ได้รวม 5 พิกัดเมืองในอียิปต์และสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณห้ามพลาด มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ

1. ไคโร (Cairo)

เริ่มจากเมืองหลวงของอียิปต์ เมืองไคโรเป็นเมืองที่พลุกพล่าน เสียงดัง มีเสน่ห์ในแบบที่น่าจดจำ และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในอียิปต์ คุณสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรม ศาสนา สถาปัตยกรรม อาหาร และดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์นับศตวรรษของอียิปต์ได้เพียงแค่เดินไปตามถนนในเมือง

กลุ่มพีระมิดกีซา (Giza pyramid complex)

มหาพีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramid of Giza) และมหาสฟิงซ์แห่งกีซา (Great Sphinx of Giza)

หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) อีกด้วย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 4,500 ปีก่อน ในสมัยฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ประกอบด้วยพีระมิดสามหลัง ได้แก่ มหาพีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramid of Giza) พีระมิดคาเฟร (Pyramid of Khafre) และพีระมิดเมนคาวเร (Pyramid of Menkaure) รวมถึงมหาสฟิงซ์แห่งกีซา (Great Sphinx of Giza) และพีระมิดขนาดเล็กอื่นๆ

เวลาเปิด-ปิด: 06.00 – 16.00 น.
เว็บไซต์: https://www.pyramid-of-giza.com

พิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ (Grand Egyptian Museum)

พิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ (Grand Egyptian Museum)

พิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ห่างจากพีระมิดแห่งกิซ่าเพียง 2 กิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่จัดนิทรรศการถาวรขนาด 24,000 ตร.ม. และจัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่าทางประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 100,000 ชิ้น โดยหลายชิ้นถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรก บอกเล่าเรื่องราวอารยธรรมอียิปต์โบราณยุคต่างๆ ที่ผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่และสื่อมัลติมีเดียในการนำเสนออย่างน่าสนใจ

บริเวณพิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ (Grand Egyptian Museum)

เวลาเปิด-ปิด: 

ทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์และวันพุธ

  • GEM Complex: 8:30 – 19:00 น.
  • แกลเลอรี: 9:00 – 18:00 น.
    ซื้อตั๋วรอบสุดท้าย: 17:00 น.

วันเสาร์และวันพุธ

  • GEM Complex: 8:30 – 22:00 น.
  • แกลเลอรี: 9:00 – 21:00 น.
  • ซื้อตั๋วรอบสุดท้าย: 20:00 น.

เว็บไซต์: https://gem.eg

ตลาดข่านเอลคาลิลี (Khan el-Khalili)

ตลาดข่านเอลคาลิลี (Khan el-Khalili)

ตลาดขนาดใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายศตวรรษ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1382 เป็นสถานที่ที่ต้องไปเยือนสำหรับใครก็ตามที่มาเมืองหลวงของอียิปต์ ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง มีร้านค้ามากกว่า 4,000 ร้านกระจายอยู่ทั่วตรอกซอกซอยอันคดเคี้ยว ทีขายตั้งแต่ของที่ระลึกแบบดั้งเดิม ผ้าทอ เครื่องประดับ ไปจนถึงเครื่องเทศและงานฝีมือท้องถิ่น นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีอะไรให้สัมผัสอีกมากมาย ทั้งการชมผู้คน ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และลิ้มลองอาหารรสเลิศ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของอียิปต์อีกด้วย

เวลาเปิด-ปิด: วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ 9:30 – 23:00 น. (หากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันพิเศษ เช่น วันอีด (Eid) และวันรอมฎอน (Ramadan) อาจมีการปรับเปลี่ยนเวลาทำการ)

เว็บไซต์: https://khanelkhalilicairo.com

2. ลักซอร์ (Luxor)

เมืองท่องเที่ยวสำคัญของอียิปต์ตอนบน (Upper Egypt) ซึ่งหมายถึงบริเวณทางตอนใต้ของประเทศ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในอดีตนั้นลักซอร์เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวกรีกในชื่อว่า ‘ธีบส์’ (Thebes) และเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอียิปต์ในยุคใหม่ (New Kingdom) หรือในช่วงระหว่างปี 1570 และ 1544 ก่อนคริสตกาลซึ่งเป็นยุคของราชวงศ์ที่ 18-20 ส่วนหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่จึงอยู่ที่บรรดาวิหารที่เหล่าฟาโรห์สร้างขึ้นบูชาเทพเจ้าที่ตนเองนับถือ รวมถึงสุสานของของเหล่าฟาโรห์และราชินีในหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) และหุบเขาราชินี (Valley of the Queens)

หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings)

หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings)

ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์​ มีชื่อเสียงขึ้นมาหลังจากการค้นพบสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน (Tomb of Tutankhamun) และยังถือเป็นหนึ่งในสถานที่โบราณคดีที่โด่งดังที่สุดในโลก ปัจจุบัน นักโบราณคดีขุดพบสุสานฟาโรห์และขุนนางในหุบเขากษัตริย์นี้ได้มากมายถึง 63 สุสาน และยังคงขุดหากันต่อไป ไฮไลท์ของหุบเขาแห่งกษัตริย์ คือสุสานที่ตกแต่งอย่างประณีตและสวยงามซึ่งสร้างขึ้นสำหรับฟาโรห์ และได้รับการออกแบบมาให้เป็นที่ซ่อนและได้รับการปกป้องอย่างดี โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องพระศพและสมบัติของฟาโรห์สำหรับชีวิตหลังความตาย ในขณะที่หุบเขาแห่งนี้เคยมีการปล้นสะดมบ้างในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่สุสานหลายแห่งยังคงมีโบราณวัตถุที่น่าสนใจและภาพวาดฝาผนังอันงดงาม ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม และชีวิตประจำวันของชาวอียิปต์โบราณ

หุบผาราชินี (Valley of the Queens)

หุบผาราชินี (Valley of the Queens)

เป็นสถานที่ฝังพระศพของพระราชินีและพระราชวงศ์ผู้หญิง ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองลักซอร์ สุสานส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กและไม่อลังการเท่าสุสานกษัตริย์ และสุสานที่เป็นรู้จักกันดีคือหลุมฝังศพของพระนางเนเฟอร์ทารี (Nefetari) พระราชินีผู้เป็นที่รักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกด้านศิลปะ มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีสีสันสดใสและงดงาม ได้รับการขนานนามว่าเป็น “โบสถ์น้อยซิสทีนแห่งอียิปต์โบราณ”

วิหารพระนางฮัตเชปซุต (Temple of Hatshepsut)

วิหารพระนางฮัตเชปซุต (Temple of Hatshepsut)

อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมสุดอลังการของยุคอียิปต์โบราณอายุเกกว่า 3,500 ปี ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหุบเขา เป็นที่ประดิษฐานพระศพของฟาโรห์หญิง “ฮัตเชฟซุต” ฟาโรห์หญิงองค์เดียวในประวัติศาสตร์อียิปต์ที่รุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต เป็นสตรีที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกยุคนั้น และทรงความสามารถด้านการปกครองยิ่งกว่าฟาโรห์บุรุษส่วนมาก ทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองและแสดงความเป็นผู้นำจนข้าราชสำนักต่างประจักษ์ในความสามารถ

วิหารคาร์นัค (Karnak)

วิหารคาร์นัค (Karnak)
บริเวณวิหารคาร์นัค (Karnak)

ที่ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความโดดเด่นของวิหารคาร์นัคนั้นอยู่ที่รูปปั้นสฟิงซ์หัวแกะ ที่หมอบเรียงรายอยู่หน้าวิหารจนเข้าไปถึงด้านใน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของเทพเจ้า วิหารแห่งนี้มีฟาโรห์ถึง 30 พระองค์ร่วมกันก่อสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า เป็นศูนย์รวมความเชื่อ ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวอียิปต์โบราณ และเป็นร่องรอยความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติที่ควรไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

3. เมืองอัสวาน (Aswan)

เมืองอัสวาน (Aswan) ประเทศอียิปต์

เมืองอัสวานเป็นเมืองทางตอนใต้สุดของประเทศอียิปต์ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ ซึ่งมีทัศนียภาพโดยรอบสวยงาม เนื่องจากเป็นแม่น้ำไนล์ช่วงที่ผ่านเมืองอัสวานนี้เป็นหมู่เกาะแก่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ทำให้เมืองอัสวานนั้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญมากเมืองหนึ่งของประเทศอียิปต์ และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นอีกเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย นอกจากสภาพแวดล้อมของเมืองที่น่าอยู่แล้ว เมืองนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอารยธรรมนูเบีย แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังมีแหล่งอารยธรรมแอฟริกาโบราณที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และยังเป็นรากฐานสำคัญของอาณาจักรต่างๆ ในแอฟริกา อีกหลายอาณาจักร อย่างเช่น อาณาจักรนูเบีย (Ancient Nubia) มหาอาณาจักรแห่งอาฟริกาเหนือ ตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันคือดินแดนตอนใต้ของอียิปต์ไปจนถึงตอนเหนือของประเทศซูดาน

วิหารฟิเล (Philae Temple หรือ Temple of Isis)

วิหารฟิเล (Philae Temple หรือ Temple of Isis)
บริเวณวิหารฟิเล (Philae Temple หรือ Temple of Isis)

เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพีไอซิส มีความสําคัญและงดงามมาก ในอดีตวิหารนี้เคยถูกสร้างขึ้นบนเกาะฟิเลกลางแม่น้ำไนล์ แต่เมื่อเขื่อนอัสวานสร้างเสร็จ วิหารทั้งวิหารก็จมอยู่ใต้ระดับน้ำ หลังจากนั้นได้มีการแยกส่วนวิหารฟิเลย์ แล้วทำการเคลื่อนย้ายมาประกอบใหม่ที่เกาะอากิลเกียโดยอยู่สูงกว่าระดับน้ำ 20 เมตร หมู่วิหารฟิเล่ยังโดดเด่นในเรื่องปรากฎการณ์ของแสงและเงาอันเป็นผลมาจากตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับทรอปิกออฟแคนเซอร์ (จุดเหนือสุดที่มีโอกาสดวงอาทิตย์โคจรมาทำแนววดิ่งกับพื้นโลก) เมื่อดวงอาทิตย์เข้าใกล้จุดทำแนวดิ่งกับพื้นโลกด้านเหนือ เงาจากชายคาวิหารที่ยื่นออกมาจะสั้นลงทอดเงาตามพื้นผิวเรียบของผนัง จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุด ผนังแนวตั้งก็มีเงาดำแผ่ขยายกว้างขึ้น ทำให้ตัดกันอย่างโดดเด่นกับแสงซึ่งส่องสว่างวัตถุรอบข้างทั้งหมดอย่างเด่นชัด

พิพิธภัณฑ์นูเบีย (Nubia Museum)

เปิดทำการในปี พ.ศ. 2540 จัดแสดงโบราณวัตถุที่พบในภูมิภาคนูเบีย และบอกเล่าเรื่องราวพัฒนาการของอารยธรรมในหุบเขาไนล์ตอนใต้ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคฟาโรห์ การกำเนิดของศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม และท้ายที่สุดคือการสร้างเขื่อนในช่วงทศวรรษ 1960 พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ใกล้กับสุสานฟาฏิมียะห์ (Fatimid) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานขนาดเล็กจำนวนมากที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 9 สุสานบางแห่งเป็นของนักบุญท้องถิ่น และตกแต่งตามลวดลายธงประจำชาติ และมักมีชาวบ้านท้องถิ่นมาเยี่ยมชม

หมู่บ้านนูเบียน (Nubian Village)

หมู่บ้านนูเบียน (Nubian Village)

คำว่าNubia หรือ Nubians หมายถึงทองคำ เป็นคำที่ชาวโรมันเรียกพื้นที่ทางใต้ของอียิปต์ซึ่งเป็นทางเหนือของซูดาน ชาวนูเบียนเป็นกลุ่มชาติพันธ์กลุ่มน้อยที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศซูดานและทางใต้ของอียิปต์ แต่เดิมมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคกลางของลุ่มแม่น้ำไนล์ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานก่อนกำเนิดราชวงศ์อียิปต์ หมู่บ้านนูเบียนในเมืองอัสวานมีความมั่งคั่งและอุดมไปด้วยประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ วัฒนธรรม และความสนุกสนาน เป็นเมืองที่โดดเด่นมีความผสมผสานระหว่างความทันสมัยและอารยธรรมโบราณ ที่สามารถสำรวจและเยี่ยมชมความแตกต่างที่น่าสนใจอย่างหลากหลายทีเดียว บ้านในหมู่บ้านนูเบียนสร้างจากดินเหนียวแล้วแต่งแต้มสีสัน เป็นเหมือนศูนย์วัฒนธรรมสำหรับนูเบียน ผู้คนที่นี่มีความภาคภูมิใจในมรดกของพวกเขา มีการจัดแสดงของที่ระลึกและงานฝีมือที่ไม่เหมือนใคร

วิหารคอมออมโบ (Kom Ombo)

วิหารคอมออมโบ (Kom Ombo)

ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์บนเนินเขาเล็กๆ เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศให้กับเทพเจ้าสององค์คือ เทพโซเบค (Sobek) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่เศียรเป็นจระเข้ และเทพเจ้าฮาโรเอริส (Haroeris) เทพแห่งการแพทย์อียิปต์โบราณ ที่มีเศียรเป็นเหยี่ยว สร้างขึ้นภายใต้พระเจ้าปโตเลมีที่ 6 แห่งราชวงศ์ทอเลมีในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช วิหารคอมออมโบมีความน่าประทับใจและมีสิ่งให้ชมมากมาย รวมถึงงานแกะสลักทางศาสนาต่างๆ ตลอดจนภาพเล่าเหตุการณ์ประจำวัน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ งานฝีมือและอักษรอียิปต์โบราณบนเสา และชมมัมมี่จระเข้ในพิพิธภัณฑ์จระเข้ขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กัน

วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temples)

วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temples)
บริเวณวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temples)

สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ไม่แพ้พีระมิด มหาวิหารอาบูซิมเบล ถูกสร้างขึ้นในสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของอียิปต์จากการสู้รบกับนูเบีย ใช้เวลาในการสร้างถึง 20 ปี ต่อมามหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกปล่อยให้รกร้าง และทรายปกคลุมจนกระทั่งในปี 1813 มีการค้นพบส่วนบนของมหาวิหารแห่งนี้ และใช้เวลาขุดถึง 3 ปีจึงสามารถเข้าไปภายในได้และพบสิ่งของมีค่ามากมายอยู่ภายใน จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือ รูปแกะสลักองค์ฟาโรห์รามเลส ที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์หน้าวิหารถึงสี่องค์ แต่ละองค์มีความสูง 20 เมตร ต่อมาในปี 1964 ได้มีการเคลื่อนย้ายมหาวิหารเนื่องจากเป็นผลมาจากการสร้างเขื่อนอัสวาน ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบนัสเซอร์สูงขึ้น จึงมีการเคลื่อนย้ายเพื่อหนีน้ำ ถูกยกสูงขึ้นถึง 65 เมตร และห่างจากแม่น้ำ 200 เมตร โดยมีองค์กรยูเนสโก้ให้ความช่วยเหลือใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

4. เมืองอเล็กซานเตรีย (Alexandria)

เมืองอเล็กซานเตรีย (Alexandria) ประเทศอียิปต์

อเล็กซานเดรียเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอียิปต์ เป็นจุดที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์มาบรรจบกับทะเลทรายและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อเล็กซานเดรียก่อตั้งในปี 331 ก่อนคริสตกาล และเคยเป็นเมืองหลวงของอียิปต์ในยุคเฮลเลนิสติก เมืองนี้พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิโรมัน เป็นที่ตั้งของห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และประภาคารที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อเล็กซานเดรียเชื่อมโยงอารยธรรมอียิปต์โบราณของฟาโรห์เข้ากับอารยธรรมของชาวโรมันและกรีก บุคคลสำคัญที่สุดที่อาศัยอยู่ในอเล็กซานเดรียคือพระราชินีคลีโอพัตรา ผู้ทรงมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับผู้ปกครองจักรวรรดิโรมัน ปัจจุบันอเล็กซานเดรียเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอียิปต์ และด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและเคยเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ทำให้อเล็กซานเดรียมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลายแห่ง

ป้อมไกต์เบย์ (Fort Qaitbey)

ป้อมไกต์เบย์ (Fort Qaitbey)

สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 บนพื้นที่ของประภาคารอเล็กซานเดรียโบราณ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่เสียหายจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 14 ป้อมปราการแห่งนี้ได้ช่วยปกป้องอเล็กซานเดรียและชายฝั่งทะเลของอียิปต์จากกองทัพศัตรูมากว่า 500 ปี ในศตวรรษที่ 20 ป้อมไกต์เบย์ได้รับการบูรณะและกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจป้อมปราการและนิทรรศการต่างๆ ซึ่งจัดแสดงประวัติศาสตร์ของอเล็กซานเดรียและบทบาทของป้อมปราการในการป้องกันเมือง และหากคุณขึ้นไปด้านบนสุดของป้อมปราการ คุณจะได้ชมทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลและตัวเมืองได้อย่างชัดเจน

ตลาดปลาอันฟูชิ (Anfushi fish market)

ตลาดปลาในอเล็กซานเดรียมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ย้อนกลับไปถึงการก่อตั้งเมืองโบราณโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นแหล่งอาหารสำคัญของเมืองมานานหลายศตวรรษ และเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของอเล็กซานเดรีย ตลาดอันฟูชิตั้งอยู่ติดกับป้อมเควตเบย์ เป็นตลาดเปิดที่คึกคักที่สุดในช่วงเช้าตรู่ของวัน เป็นช่วงเวลาที่ชาวประมงนำปลาที่จับได้ออกมาขาย ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นของอเล็กซานเดรีย คุณสามารถสังเกตชีวิตประจำวันของชาวประมงและพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่น การจะถ่ายทอดบรรยากาศที่แท้จริงและวุ่นวายออกมาเป็นคำพูดนั้นเป็นเรื่องยาก ตั้งแต่เสียงอึกทึกของฝูงชน ไปจนถึงกองปลาหลากหลายชนิดที่สดสะอาด และเสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ค้าที่คอยดึงดูดลูกค้า

ห้องสมุดอเล็กซานเดรีย (Bibliotheca Alexandrina)

ห้องสมุดอเล็กซานเดรีย (Bibliotheca Alexandrina)

เมื่อสองพันปีก่อน อียิปต์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้อันดับต้นๆ ของโลก และเมืองอเล็กซานเดรียเคยเป็นที่ตั้งของห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีหนังสือมีค่าจำนวนมหาศาล แต่น่าเสียดายที่ห้องสมุดดังกล่าวถูกทำลายลงในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่ 3 ปัจจุบัน รัฐบาลอียิปต์พยายามฟื้นคืนห้องสมุดอเล็กซานเดรียระดับตำนานให้ปรากฎต่อสายตาคนทั้งโลกอีกครั้ง โดยอาคารขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง ท้องฟ้าจำลอง และหนังสือมากมายนับล้านเล่มจากทั่วทุกมุมโลก ห้องอ่านหนังสือหลักของห้องสมุดสามารถรองรับผู้อ่านได้มากกว่า 2,000 คน ห้องนี้ออกแบบในรูปทรงนาฬิกาแดดและมีหลังคากระจกที่ช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่

เสาปอมเปย์ (Pompeys Pillar)

เสาปอมเปย์ (Pompeys Pillar)

เสาหินเกาแก่อายุกว่า 1,800 ปีที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 3 เพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดิไดโอคลีเชียนแห่งโรมัน (Roman emperor Diocletian) ด้วยความสูง 20.46 เมตร และกว่าง 2.71 เมตร ถือว่าเป็นเสาหินแบบโรมันที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ในอดีตเสาหินนี้เคยเป็นส่วนประกอบของมหาวิหารเซราพิอุมแห่งอเล็กซานเดรีย (Serapeum of Alexandria) เป็นวิหารกรีกที่ใหญ่ที่สุดในอเล็กซานเดรีย สร้างขึ้นราว 220 ปีก่อนคริสตกาล และอุทิศให้กับเทพีเซราพิสผู้ปกป้องอเล็กซานเดรีย เป็นเรื่องแปลกที่เสาหินต้นนี้ยังเหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ ในขณะที่ส่วนอื่นถูกทำลายไปจนหมดแล้ว

สุสานใต้ดินแห่งคอมอัลชูกัฟฟา (Catacombs of Kom El Shoqafa)

สุสานใต้ดินแห่งคอมอัลชูกัฟฟา (Catacombs of Kom El Shoqafa)

5. เมืองโอเอซิสซีวา (Siwa Oasis)

เมืองโอเอซิสซีวา (Siwa Oasis) ประเทศอียิปต์

ตั้งอยู่ในทะเลทรายตะวันตก (Western Desert) ของอียิปต์ อยู่ห่างจากพรมแดนลิเบีย (Libya) ไปทางตะวันออกประมาณ 50 กิโลเมตร นับเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความโดดเดี่ยวที่สุดในประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายลิเบีย (Libyan Desert) ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นแหล่งโอเอซิสที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกเทศบนเส้นทางการค้าในทะเลทรายมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวเมืองล้อมรอบด้วยต้นไม้โดยเฉพาะต้นปาล์มและต้นมะกอกที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่และแหล่งน้ำพุธรรมชาติอยู่ในเมืองอีกด้วย เมืองซีวาเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างจากอิฐโคลนตั้งอยู่เรียงราย ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่น่าสนใจของชุมชนโอเอซิสแห่งนี้ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมมาชื่นชมความงดงามของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์กลางทะเลทรายและศึกษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวเบอร์เบอร์ ชนพื้นเมืองของที่นี่รวมถึงมีกิจกรรมภายในโอเอซิสให้ทำอีกมากมาย เช่น ปั่นจักรยาน ล่องเรือชมวิว เล่นแซนด์บอร์ดในทะเลทราย ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกลับขอบทะเลทราย และลงว่ายน้ำในแหล่งน้ำพุธรรมชาติภายในโอเอซิส

ป้อมปราการชาลี (Fortress of Shali)

ป้อมปราการชาลี (Fortress of Shali)

ศูนย์กลางเมืองซีวาโดดเด่นด้วยรูปทรงอันวิจิตรงดงามของซากป้อมปราการอิฐโคลนสมัยศตวรรษที่ 13 แห่งนี้ ป้อมปราการชาลีสร้างขึ้นจากเคอร์เชฟ (Kershef – ก้อนเกลือจากทะเลสาบที่อยู่นอกเมือง ผสมกับหินและฉาบปูนด้วยดินเหนียวในท้องถิ่น) เดิมทีอาคารที่เรียงรายเป็นเขาวงกตนี้สูงสี่หรือห้าชั้น และเป็นที่พักอาศัยของผู้คนหลายร้อยคน มีทางเดินทอดผ่านซากปรักหักพัง ผ่านมัสยิดเก่าที่มีหออะซานรูปปล่องไฟ ขึ้นไปยังยอดเพื่อชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามา ในปี 1926 มีฝนตกหนักติดต่อกัน ก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวเมืองเป็นอย่างมาก ทำให้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผู้อยู่อาศัยได้ย้ายไปยังบ้านใหม่ที่สะดวกสบายกว่า ปัจจุบันมีอาคารเพียงไม่กี่หลังที่อยู่รอบนอกถูกใช้เป็นที่เก็บของ คุณสามารถเดินจากจัตุรัสกลางเมืองขึ้นไปสู่ด้านบนเพื่อชมวิวอันงดงามของโอเอซิสได้

ทะเลสาบเกลือ (Salt Lakes)

ทะเลสาบเกลือ (Salt Lakes)
การลอยตัวในทะเลสาบเกลือ (Salt Lakes)

การลอยตัวในทะเลสาบเกลือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่น่าจดจำที่สุดในการมาเยือนเมืองโอเอซิสซีวา สระน้ำสีฟ้าอมเขียวที่ใสราวคริสตัลเหล่านี้เค็มมากจนคุณลอยตัวได้อย่างสบายๆ และมอบประสบการณ์การบำบัดรักษาที่คล้ายกับทะเลเดดซี ทะเลสาบเกลือเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางธรรมชาติอันงดงาม เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทะเลทรายพิเศษที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน และได้รับน้ำจากชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ความแตกต่างอยู่ที่น้ำใสดุจคริสตัลและสีฟ้าคราม ล้อมรอบด้วยเนินทรายสีทองและต้นปาล์ม ก่อให้เกิดธรรมชาติอันเงียบสงบและเหนือจริง ทะเลสาบเกลือไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบของระบบนิเวศและวัฒนธรรมของซีวาอีกด้วย ชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวเกลือจากทะเลสาบเหล่านี้มาใช้ในการค้า การก่อสร้าง และการดูแลสุขภาพ

ภูเขาแห่งความตาย หรือ เกเบล อัล มาวตา (Mountain of the death / Gebel al Mawta)

ภูเขาแห่งความตาย หรือ เกเบล อัล มาวตา (Mountain of the death / Gebel al Mawta)

ประกอบด้วยหลุมศพนับพันที่ขุดลงไปในชั้นหินเบื้องล่าง ซึ่งมีจารึกต่างๆ ที่ช่วยระบุอายุของหลุมศพ และการฝังศพยังคงดำเนินต่อไปในสุสานแห่งนี้จนถึงปลายยุคโรมัน สุสานที่มีชื่อเสียง 4 แห่งบนภูเขา ได้แก่ 1) ซีอามุน (Siamun) ประดับด้วยภาพสีสันสดใสของเจ้าของที่ดินหรือพ่อค้าชาวกรีกที่กำลังสวดมนต์ต่อเทพเจ้าอียิปต์ 2) เมซูไอซิส (Mesu Isis) ผนังมีภาพวาดที่สวยงามของไอซิสและโอซิริส และงูเห่า 21 ตัวที่เฝ้าทางเข้า 3) ไนเปอร์บาธอต (Niperbathot) ผนังประดับด้วยภาพวาดหมึกสีแดงแสดงถึงชีวิตประจำวัน เช่นภาพคนลี้ยงวัว และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเครื่องปั้นดินเผาสีซีวานในยุคปัจจุบัน และ 4) จระเข้ (Crocodile) สุสานขนาดเล็กที่มีภาพวาดของเทพโซเบค เทพเจ้าจระเข้ ผนังสุสานนี้ถูกทาสีแดงอมน้ำตาลและน้ำเงินโคบอลต์ ซึ่งเป็นสีที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดของเทพเจ้าและเทพธิดาอียิปต์โบราณ

ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับไปเที่ยวอียิปต์

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ตุลาคม – เมษายน

สภาพอากาศ: อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนจัดเหมือนช่วงฤดูร้อน
อุณหภูมิ: ช่วงกลางวันอุณหภูมิประมาณ 20–25°C ส่วนช่วงกลางคืนอุณหภูมิประมาณ 10–15°C
ข้อดี: เดินทางเที่ยวสถานที่สำคัญได้สะดวก เช่น พีระมิด, ล่องแม่น้ำไนล์, ตลาดเก่า
กิจกรรมแนะนำ:

  • ล่องเรือแม่น้ำไนล์
  • เที่ยวเมืองโบราณลักซอร์และอัสวาน
  • เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโร

ช่วงเวลาที่ควรระวัง: พฤษภาคม – กันยายน

สภาพอากาศ: อากาศร้อนจัด โดยเฉพาะในพื้นที่ทะเลทรายและภาคใต้
อุณหภูมิ: ช่วงกลางวันอุณหภูมิอาจสูงถึง 35–45°C
ข้อควรระวัง: หากเดินทางไปอียิปต์ช่วงนี้ ควรเดินทางในช่วงเช้า-เย็น, ดื่มน้ำเยอะ และเตรียมเสื้อผ้าเบาสบาย

ช่วงเวลาที่น่าสนใจเป็นพิเศษ:

ธันวาคม – มกราคม: อากาศเย็นสบาย เหมาะกับการเดินเที่ยวกลางแจ้ง แต่บางครั้งมีลมทะเลทรายทำให้รู้สึกหนาวเย็น
มีนาคม – เมษายน: ช่วงดอกไม้เริ่มบานในบางพื้นที่ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ

เคล็ดลับการเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองยอดนิยมในอียิปต์

อียิปต์เป็นประเทศที่น่าไปเยือนอย่างยิ่ง แต่คุณควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการเดินทาง เพื่อช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเครียด ประหยัดเงิน และเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในอียิปต์โดยไม่เกิดความยุ่งยาก

  • เริ่มต้นวันแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชนและอากาศร้อน: สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในอียิปต์ ไม่ว่าจะเป็นวัด ตลาด และซากปรักหักพังเปิดตั้งแต่เช้า และแดดก็แรงมากในช่วงเที่ยงวันแม้แต่ในฤดูหนาว
  • เตรียมรับมือกับพ่อค้าแม่ค้าที่ตื๊อลูกค้าในแหล่งท่องเที่ยว: เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการขายแบบจัดหนัก โดยเฉพาะในตลาดสด หากคุณกำลังหาซื้อของที่ระลึกอียิปต์ คุณควรรู้จักต่อรองราคาและอย่าลังเลใจที่จะเดินจากไป
  • หลีกเลี่ยงน้ำประปา: หากเป็นไปได้ ให้พกขวดกรองน้ำขนาดเล็กไปด้วย นอกจากประหยัดเงินแล้ว ยังช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องท้องเสีย
  • วัฒนธรรมการให้ทิป (บัคชีช – Baksheesh): การให้ทิปเป็นเรื่องปกติในอียิปต์สำหรับแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ เส้นทาง หรือการขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้น คุณควรเตรียมแบงก์ย่อยเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดและช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่นขึ้น
  • แต่งกายสุภาพเรียบร้อย: อียิปต์เป็นประเทศที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม คุณควรเตรียมกางเกงหลวม ๆ กระโปรงยาว และเสื้อปิดไหล่ไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญหรือมัสยิดในอียิปต์

และทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมพกติดตัวไว้เสมอนั่นก็คือ ประกันเดินทาง ที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณท่องเที่ยวในอียิปต์ได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: lonelyplanet.com, travelandleisureasia.com, herasianadventures.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

8 สิ่งสำคัญที่ควรเตรียมให้พร้อม ก่อนเดินทางไปจีน

8 สิ่งสำคัญที่ควรเตรียมให้พร้อม ก่อนเดินทางไปจีน

การเดินทางไปจีนเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น ทั้งวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมที่สวยงาม และอาหารท้องถิ่นที่อร่อย แต่การ เตรียมตัวไปจีน อย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ทริปของคุณ สนุก ปลอดภัย และราบรื่น ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ 8 สิ่งสำคัญที่คุณควรเตรียมก่อนเดินทางไปจีนกันค่ะ

1. ตรวจสอบเอกสารการเดินทาง

เตรียมตัวไปจีน: ตรวจสอบเอกสารการเดินทาง

การเตรียมตัวไปจีน สิ่งแรกที่คุณต้องเตรียมคือ เอกสารสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการเข้าประเทศจีน

  • พาสปอร์ต: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพาสปอร์ตของคุณมีอายุมากกว่า 6 เดือน นับจากวันที่เดินทาง
  • วีซ่าจีน: สำหรับคนไทยสามารถเดินทางเข้าประเทศจีนได้สะดวกมากขึ้น เมื่อรัฐบาลจีนอนุมัติให้คนไทยเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  30 วัน มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา นอกจากประเทศจีนแล้วคุณสามารถดูรายชื่อประเทศที่คนไทยเดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ได้ที่บทความนี้ค่ะ อัปเดต! 36 ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับคนไทย ปี 2568
  • ตั๋วเครื่องบินและที่พัก: เตรียมเอกสารการเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน หลักฐานการจองที่พัก และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางสำหรับทริปนี้ ไว้สำหรับใช้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ ที่สนามบิน

2. วางแผนการเงิน

เตรียมตัวไปจีน: วางแผนการเงิน

เงินเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องวางแผนล่วงหน้าสำหรับการ เตรียมตัวไปจีน เพื่อความสะดวกในการใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง

  • แลกเงินหยวนจีน (CNY): เงินหยวนยังคงจำเป็น แลกเงินบางส่วนก่อนเดินทางเพื่อใช้สำหรับการชำระเงินให้กับทางร้านค้า ร้านค้าส่วนมากสามารถรับชำระเงินผ่านมือถือได้ แต่ร้านค้าท้องถิ่นยังคงรับเฉพาะเงินสด และบางร้านค้าไม่สามารถรับชำระเงินผ่านแอปที่ผูกกับบัตรต่างประเทศได้
  • ดาวน์โหลดแอป WeChat หรือ Alipay แอปพลิเคชันสำหรับชำระเงินออนไลน์ผ่านมือถือ: ทำการผูกบัตรเครดิต หรือบัตร Travel Card ไว้ที่แอป โดยเราสามารถใช้แอป WeChat หรือ Alipay ชำระเงินได้เกือบทุกร้านค้าในประเทศจีน แต่บางร้านค้าจะรับชำระได้เพียงแอปใดแอปหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราดาวน์โหลดและเตรียมไว้ทั้ง 2 แอปพลิเคชันเลย อุ่นใจกว่าค่ะ
  • บัตรเครดิต/เดบิต: ตรวจสอบด้วยว่าบัตรของคุณสามารถใช้ในต่างประเทศได้
  • ค่าธรรมเนียมถอนเงิน: ตรวจสอบค่าธรรมเนียมถอนเงินต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่อาจต้องเสียเพิ่มเติม

3. ศึกษาสภาพอากาศและเตรียมเสื้อผ้า

เตรียมตัวไปจีน: ศึกษาสภาพอากาศและเตรียมเสื้อผ้า

จีนมีภูมิอากาศและฤดูกาลที่หลากหลาย การเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมจะช่วยให้ทริปสะดวกสบาย ไม่สะดุดระหว่างการเดินทางค่ะ

  • ตรวจสอบฤดูกาล: คุณต้องวางแผนการเดินทางว่าทริปของคุณจะเดินทางไปเมืองไหนและในฤดูอะไร เช่น ฤดูหนาวในปักกิ่งจะหนาวมาก โดยเพื่อน ๆ สามารถตรวจสอบสภาพอากาศได้จากแอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศ หรือสามารถตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์พยากรณ์อากาศ เช่น weather.com เพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางได้เลยค่ะ
  • จัดเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสม: เตรียมทั้งเสื้อกันหนาว เสื้อผ้าเบาสำหรับอากาศร้อน หรือร่มกันฝน ควรเตรียมเสื้อผ้าไปให้เหมาะสมกับฤดูที่เราเดินทางไป
  • เตรียมรองเท้าที่ใส่สบาย: ควรเตรียมรองเท้าที่เราสวมใส่สบาย สามารถใส่เดินได้ในระยะทางที่ไกล และนาน เพื่อให้เราสามารถเดินทางท่องเที่ยวและสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้อย่างสบายไม่ต้องทนเจ็บระหว่างทาง

4. วางแผนเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยว

เตรียมตัวไปจีน: วางแผนเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยว

การวางแผนเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยว เป็นการ เตรียมตัวไปจีน ที่สำคัญมาก เพราะการวางแผนเส้นทางล่วงหน้าจะช่วยให้คุณ ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า

  • เลือกเมืองและสถานที่ท่องเที่ยว: เลือกเมืองที่เราต้องการเดินทางไปท่องเที่ยว เพราะเมืองแต่ละเมืองในประเทศจีนมีขนาดใหญ่มาก เพราะฉะนั้นควรวางแผนการเดินทางให้ดี ว่าทริปที่เราวางแผนที่จะเดินทางไป จะไปที่เมืองไหนบ้าง อาจเริ่มต้นจากการเที่ยวทริปละ 1 เมืองก็ได้ค่ะ เพราะแต่ละเมืองมีที่เที่ยวที่แตกต่างกัน และมีเสน่ห์เฉพาะตัวค่ะ เช่น ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, เฉิงตู, ซีอาน หรือกุ้ยหลิน
  • ทำแผนที่ท่องเที่ยว: จัดทำแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวัน โดยในประเทศจีนเราจะใช้แอปแผนที่ ที่ชื่อว่า AMap ใช้เป็นตัวช่วยในการดูแผนที่ระหว่างที่เราเดินทางอยู่ในประเทศจีน โดยเราสามารถวางแผนการเดินทางโดยใช้แอป AMap เป็นตัวช่วยในการวางแผน โดยอาจเริ่มจากการเดินทางจากนอกเมือง ไล่มาที่ตัวเมือง หรือกลับกันเราอาจวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวจากตัวเมือง ไล่ไปที่นอกเมืองที่ไกลออกไปก็ได้ แล้วแต่แผนการเดินทางของเรา เพื่อให้ง่ายต่อการวางแผนการเดินทางของเราในแต่ละวัน และควรจองตั๋วล่วงหน้า สำหรับสถานที่บางแห่งที่สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ เช่น ตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ ศูนย์อนุรักษ์ หรือทัวร์เมือง เพื่อช่วยให้เราสามารถเดินทางได้สะดวก และประหยัดเวลามากขึ้นค่ะ
  • ศึกษาวิธีการเดินทาง: ควรศึกษาวิธีการเดินทางในแต่สถานที่ ที่เราวางแผนที่จะเดินทางไป ควรใช้วิธีการเดินทางแบบใดที่จะทำให้เราสะดวกที่สุด เช่น รถไฟความเร็วสูง, รถเมล์, แท็กซี่ หรือแอปเรียกรถ เช่น DiDi

5. เตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นต้องใช้ให้พร้อม

เตรียมตัวไปจีน: เตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นต้องใช้ให้พร้อม

การเดินทางในจีน หรือการเดินทางไปต่างประเทศ การเตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะระหว่างการเดินทางคุณจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เพื่อช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างราบรื่น และสะดวก โดยมีอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางเบื้องต้นดังนี้ค่ะ

  • ปลั๊กไฟและอะแดปเตอร์ (Travel Adapter): ปลั๊กไฟในจีนเป็นแบบ Type A, C หรือ I ส่วนใหญ่ใช้ลักษณะเดียวกับปลั๊กในประเทศไทย และประเทศจีนใช้กระแสไฟฟ้า 220 V เช่นเดียวกัน แต่สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าบางตัวของเราเช่น labtop หรือโน๊ตบุ๊ค จะมีใช้ปลั๊กที่มี 3 ขา มีสายดินเพิ่มเข้ามา จะไม่สามารถใช้ได้ที่ประเทศจีน เพราะฉะนั้นเพื่อความอุ่นใจเราควรพก Travel Adapter ไปด้วย เพื่อให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เรานำไปด้วยได้ทุกอุปกรณ์
  • โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต: สามารถใช้บริการ Roaming, eSim, ซิมจีน หรือ Pocket Wi-Fi ได้ Travel Sim จากไทยสามารถใช้งานในจีนได้โดยไม่ถูกจำกัด หากใช้ Wi-Fi สาธารณะหรือของที่พัก อาจจะยังมีข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ อยู่ แนะนำให้เตรียม VPN ที่ถูกกฎหมายเพื่อให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างต่อเนื่อง
  • พาวเวอร์แบงก์ (Power Bank): อุปกรณ์สำคัญสำหรับชาร์จมือถือระหว่างวัน โดยเฉพาะเวลาท่องเที่ยว โดย Power Bank ที่สามารถนำเข้าไปในประเทศจีนได้นั้นจะต้องเป็น Power Bank ที่มีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์รับรองความปลอดภัย CCC (China Compulsory Certification) หรือ 3C เป็นหลัก หากไม่มี จะถูกยึดทันที และต้องพกใส่เฉพาะสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่องเท่านั้น หากแบตเตอรี่ความจุต่ำกว่า 100 Wh (ประมาณ 20,000 mAh) สามารถนำขึ้นเครื่องได้เลย แต่หากมีความจุ 100 – 160 Wh (ประมาณ 20,000 – 32,000 mAh) จะต้องขออนุญาตกับสายการบินก่อนนำขึ้นเครื่อง

6. ศึกษาวัฒนธรรม คำศัพท์ภาษาจีนพื้นฐาน และกฎระเบียบ

เตรียมตัวไปจีน: ศึกษาวัฒนธรรม คำศัพท์ภาษาจีนพื้นฐาน และกฎระเบียบ

อีกหนึ่งข้อที่จำเป็นสำหรับ เตรียมตัวไปจีน นั่นก็คือการเข้าใจวัฒนธรรม ภาษา และกฎระเบียบของจีน เป็นการเตรียมตัวที่จะช่วยให้คุณไม่เกิดปัญหาระหว่างการเดินทางและได้รับความช่วยเหลือ และที่สำคัญได้ใจชาวท้องถิ่นค่ะ สิ่งที่คุณควรศึกษาก่อนเดินทางไปประเทศจีน มีดังนี้ค่ะ

  • วัฒนธรรมจีน: เรียนรู้มารยาท เช่น การทักทาย ยื่นและรับของด้วยสองมือ หลีกเลี่ยงการส่งเสียงดังในที่สาธารณะ ต่อคิวเสมอ โดยเฉพาะเวลาเดินทางโดยรถไฟใต้ดิน
  • คำศัพท์ภาษาจีนพื้นฐาน: เรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนพื้นฐาน ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เช่นคำดังต่อไปนี้
    • 你好 (Nǐ hǎo / หนี ห่าว): สวัสดี
    • 谢谢 (Xièxiè / เซี่ยะ เซี่ยะ): ขอบคุณ
    • 不要 (bú yào / ปู๋เย่า): ไม่เอา/ไม่ต้อง
    • 多少钱?(Duōshao qián? / ตัวฉ่าว เฉียน?): ราคาเท่าไหร่?
    • 对不起 (Duìbuqǐ / ตุ้ยปู้ฉี่): ขอโทษ
    • 不客气 (Bù kèqi / ปู๋เค่อฉี่): ไม่เป็นไร
    • 再见 (Zàijiàn / จ้ายเจี้ยน): ลาก่อน
    • 我听不懂 (Wǒ tīng bù dǒng / หว่อ ทิง ปู้ ต่ง): ฉันฟังไม่เข้าใจ
    • 厕所 (Cèsuǒ / เช่อสั่ว): ห้องน้ำ
    • 火车站 (Huǒchē zhàn / ฮั่วเช่อ จ้าน): สถานีรถไฟ
    • 出租车 (Chūzūchē / ชูจูเช่อ): รถแท็กซี่
    • 酒店 (Jiǔdiàn / จิ่วเตี้ยน): โรงแรม
    • 我不要辣的 (Wǒ bú yào là de / หว่อ ปู๋ เย่า ล่า เตอะ): ฉันไม่กินเผ็ด
    • (Shuǐ / สุ่ย): น้ำดื่ม
    • 我需要医生 (Wǒ xūyào yīshēng / หว่อ ซวีเย่า อีเชิง): ฉันต้องการหมอ
    • 我迷路了 (Wǒ mílù le / หว่อ หมีลู่ เลอ): ฉันหลงทาง
    • 你会说英语吗?(Nǐ huì shuō Yīngyǔ ma? / หนี่ หุ้ย ซัว อิง หวี่ มา?): คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม?
    • 米饭 (mǐfàn / หมี่ฟ่าน): ข้าวสวย (คำที่ใช้บ่อยที่สุดสำหรับข้าวสุก)
    • (duì / ตุ้ย): ถูก, ใช่, ตกลง
  • กฎหมายและข้อห้าม: หลีกเลี่ยงสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือผิดระเบียบ เช่น การถ่ายรูปในบางสถานที่

7. แอปพลิเคชัน ที่ควรมีติดตัวไว้ระหว่างเดินทางที่จีน

เตรียมตัวไปจีน: แอปพลิเคชัน ที่ควรมีติดตัวไว้ระหว่างเดินทางที่จีน

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเที่ยวจีน อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากและต้องเตรียมพร้อม นั่นก็คือ การดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในระหว่างการเดินทาง ได้แก่ แอปแปลภาษา, แอปแผนที่, แอปเรียกรถเพื่อความสะดวก, แอปสำหรับการชำระเงินที่จีน, และแอปอื่น ๆ ที่จำเป็นในการเดินทาง เพื่อช่วยให้การเดินทางของเราไม่สะดุด โดยแอปพลิเคชันที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในประเทศจีนหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้

  • แอป WeChat หรือ Alipay: แอปพลิเคชันสำหรับชำระเงินออนไลน์ ผ่านมือถือ เราสามารถใช้ชำระเงินได้เกือบทุกร้านค้าในประเทศจีน แต่บางร้านค้าจะรับชำระได้เพียงแอปใดแอปหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราดาวน์โหลดและเตรียมไว้ทั้ง 2 แอปพลิเคชันเลย อุ่นใจกว่าค่ะ
  • แอปพลิเคชัน DiDi: แอปพลิเคชันสำหรับไว้ใช้บริการเรียกรถในประเทศจีน ที่สะดวกและปลอดภัย และราคาถูกค่ะ วิธีการใช้งานคล้ายกับแอปพลิเคชันเรียกรถบ้านเรา แต่ DiDi เพื่อความแม่นยำของจุดหมายแนะนำให้ใช้ภาษาจีนค่ะ เพราะบางสถานที่หาชื่อสถานที่เป็นภาษาอังกฤษไม่เจอนะคะ แนะนำให้ไปหาชื่อสถานที่ภาษาจีนมาใช้ในแอปค่ะ ใช้แอปพลิเคชัน Goolge Translate ช่วยค่ะ
  • แอปพลิเคชันแปลภาษา เช่น แอปพลิเคชัน Google Translate: ตัวช่วยในการการแปลข้อความจากภาษาไทยเป็นภาษาจีน หรือภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน ทั้งจากการพิมพ์ข้อความหรือการพูดคุย และยังสามารถใช้กล้องส่องป้ายหรือเมนูอาหารเพื่อแปลได้ทันทีอีกด้วย ซึ่งคนจีนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ จะพูดภาษาจีนเป็นหลัก เพราะฉะนั้นแอปพลิเคชันแปลภาษามีความสำคัญมากในการเดินทางในประเทศจีน เพราะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้คุณสามารถสื่อสารกับคนในพื้นที่ได้
  • แอปพลิเคชัน AMap หรือ Baidu Map: แอปพลิเคชันแผนที่ ตัวช่วยในการแนะนำเส้นทางการเดินทางในประเทศจีน มีความแม่นยำกว่าการใช้ Google Map
  • แอปพลิเคชัน MetroMan: แอปพลิเคชันแสดงเส้นทางรถไฟใต้ดิน ตัวช่วยการเดินทางในจีน แนะนำเส้นทางที่ช่วยให้เราไปถึงจุดหมายได้อย่างง่ายดาย ใช้ง่าย ช่วยการเดินทางของเราสะดวกมากยิ่งขึ้น

8. ประกันการเดินทาง

เตรียมตัวไปจีน: ประกันการเดินทาง

สิ่งสำคัญที่ควรพกติดตัวไปด้วยทุกทริปการเดินทางไปต่างประเทศ นั่นก็คือ ประกันการเดินทาง ตัวช่วยที่จะทำให้การเดินทางของเราไม่สะดุด หมดกังวลกับค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น จากเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทาง ด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ อาทิ:

  • ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
  • บริการเคลื่อนย้ายฉุกเฉินทางการแพทย์
  • คุ้มครองเที่ยวบินล่าช้า
  • คุ้มครองกระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม.

คำถามที่พบบ่อย

คำถามที่ 1: คนไทยต้องขอวีซ่า ก่อนเดินทางไปจีนใช่หรือไม่?

คำตอบ: ผู้ถือพาสปอร์ตไทยไม่ต้องขอวีซ่าหากเดินทางเข้าประเทศจีน เมื่อรัฐบาลจีนอนุมัติให้คนไทยเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  30 วัน มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา

คำถามที่ 2: ควรแลกเงินจีน (เงินหยวนจีน) กี่บาทก่อนเดินทาง?

คำตอบ: แนะนำประมาณ 2,000–5,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ควรเตรียมลงแอปพลิเคชัน WeChat และ Alipay ไว้บนมือถือ พร้อมกับสมัครและผูกบัตรเครดิตกับแอปพลิเคชันไว้ด้วย เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ และคนจีนส่วนใหญ่ใช้จ่ายผ่านแอป WeChat และ Alipay และเพื่อเสริมความั่นใจเราอาจพกบัตรเครดิตไปด้วยเพื่อความอุ่นใจและความสะดวกสบายในการใช้จ่าย

Q3: แอปพลิเคชันอะไรช่วยในการเดินทางในจีน?

คำตอบ: แอปพลิเคชัน Baidu Maps และ AMap สำหรับดูแผนที่และเส้นทางการเดินทาง, แอปพลิเคชัน DiDi สำหรับเรียกรถ ช่วยให้การเดินทางของเราสะดวกสบาย และราคาไม่แพง, และแอปพลิเคชัน Google Translate ตัวช่วยที่จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับทุกคนในประเทศจีนได้ ไม่ว่าจะเป็นการถามเส้นทาง ทานข้าว ซื้อของ เรียกว่าทุกกิจกรรมในแต่ละวัน แอปแปลภาษาช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับคนในพื้นที่ได้อย่างเข้าใจ

การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปจีนอย่างรอบคอบ จะช่วยให้ทริปของคุณ สนุก ปลอดภัย และไร้ความกังวล อย่าลืมเตรียม 8 สิ่งสำคัญนี้ก่อนเดินทางไปจีนนะคะ:

  1. ตรวจสอบเอกสารการเดินทาง
  2. วางแผนการเงิน
  3. ศึกษาสภาพอากาศและเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสถานที่และฤดูกาลที่คุณจะเดินทางไป
  4. วางแผนเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยว
  5. เตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นต้องใช้ไปให้ครบ
  6. ศึกษาวัฒนธรรม คำศัพท์ภาษาจีนพื้นฐาน และกฎระเบียบ
  7. แอปพลิเคชัน ที่ควรมีติดตัดไว้ระหว่างเดินทางที่จีน
  8. ประกันการเดินทาง ตัวช่วยที่จะทำให้เราเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล

หากเพื่อน ๆ เตรียมความพร้อมตามข้อแนะนำครบทั้ง 8 ข้อแล้ว การเดินทางไปประเทศจีนก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป เตรียมจัดกระเป๋า ซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม ทำแผนการเดินทาง แล้วออกเดินทางไปพบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ในประเทศจีน ได้เลย! และทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมพกติดตัวไว้เสมอนั่นก็คือ ประกันเดินทาง ที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวจีนได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: travelchinaguide.com, china-tour.cn, cathaypacific.com, chinaodysseytours.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวเฉิงตู ช่วงไหนดี? รวมที่เที่ยวทุกฤดูห้ามพลาด!

เที่ยวเฉิงตู ช่วงไหนดี? รวมที่เที่ยวทุกฤดูห้ามพลาด!

การ เที่ยวเฉิงตู (Chengdu) เมืองเอกของมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ไม่ได้มีดีแค่หมีแพนด้า แต่ยังเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และแหล่งช้อปปิ้งที่หลากหลาย จุดเด่นคือ สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู ไม่ว่าจะใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หรือหนาว ต่างก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว บทความนี้ Allianz Travel จะพาไปดูสถานที่เที่ยวเฉิงตูที่น่าสนใจ และช่วงเวลาไหนที่ควรไป เที่ยวเฉิงตู ในแต่ละฤดู เพื่อให้คุณวางแผนการเดินทางได้ง่ายขึ้นค่ะ : )

ช่วงเวลาไหนเหมาะที่สุดในการ เที่ยวเฉิงตู?

เฉิงตูเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมของจีน มีนักท่องเที่ยวทั้งจากจีนและต่างประเทศมาเยือนทุกปี ช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดคือระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม–มิถุนายน (ฤดูใบไม้ผลิ) และกันยายน–พฤศจิกายน (ฤดูใบไม้ร่วง) ถือเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการ เที่ยวเฉิงตู เพราะอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิกำลังพอดี เหมาะกับกิจกรรมท่องเที่ยวและการชมสถานที่ต่าง ๆ หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์เป็นช่วงเวลานอกฤดูท่องเที่ยวที่เหมาะกับการเดินทางของคุณ เพราะช่วงเวลานี้จำนวนนักท่องเที่ยวมีจำนวนไม่มาก

ฤดูกาลในเฉิงตูและมณฑลเสฉวน

ฤดูใบไม้ผลิ (Spring): มีนาคม – พฤษภาคม (March – May)

ฤดูใบไม้ผลิของเฉิงตูมาถึงเร็ว เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15–20°C พร้อมปริมาณฝนปานกลาง ช่วงเวลานี้ถือว่าเหมาะที่สุดในการชมแพนด้ายักษ์ที่สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ฐานอนุรักษ์แพนด้าเฉิงตู, ฐานแพนด้าตูเจียงเยี่ยน และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติโหวหลง ซึ่งเป็นช่วงที่แพนด้าขาวดำมีความกระฉับกระเฉงที่สุด

ในฤดูใบไม้ผลิ เฉิงตูเต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา กลิ่นหอมหวานของดอกไม้และเสียงนกร้องขับกล่อมไปทั่วเมือง นักท่องเที่ยวสามารถชมดอกท้อบานที่หลงเฉวียน เดินเล่นที่สวนพฤกษศาสตร์เฉิงตูและสวนประชาชน และเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันสดใสของพื้นที่สีเขียวในเมือง

พื้นที่โดยรอบก็มีเสน่ห์ฤดูใบไม้ผลิไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นภูเขาเหมิงติ้งซานที่ปกคลุมด้วยไร่ชาขาวสุดลูกหูลูกตา ทะเลดอกแพร์บานที่ตานปา หรือพิธีชุนซาน (Chunshan Assembly) อันยิ่งใหญ่ที่ภูเขาเอ๋อเหมยในช่วงเดือนมีนาคม–เมษายน ท่ามกลางทิวแถวดอกกุหลาบพันปีที่ผลิบานตลอดเส้นทาง

ฤดูร้อน (Summer): มิถุนายน – สิงหาคม (June – August)

ฤดูร้อนในเฉิงตูยาวนานและร้อน ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกันยายน โดยมีความชื้นสูงและอุณหภูมิเฉลี่ยราว 30°C เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อน สามารถไปเยือนภูเขาชิงเฉิง (Qingcheng Mountain) ซึ่งอากาศเย็นกว่าประมาณ 5–10°C ที่นี่คุณจะได้เรียนรู้ต้นกำเนิดของลัทธิเต๋า และฝึกไทชิแบบโบราณท่ามกลางบรรยากาศเขาสดชื่น

จุดพักร้อนที่ดีในฤดูร้อนอื่น ๆ ได้แก่ ตูเจียงเยี่ยน (Dujiangyan) และภูเขาเอ๋อเหมย (Mount Emei) อีกทางเลือกคือพักผ่อนในร่ม เช่น จิบชาและเล่นไพ่นกกระจอกในสวนสาธารณะประชาชน (People’s Park) หรือเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อย่างพิพิธภัณฑ์จินซา (Jinsha Site Museum) พิพิธภัณฑ์เฉิงตู (Chengdu Museum) และพิพิธภัณฑ์ซานซิงตู้ยี่ (Sanxingdui Museum) เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมือง

ช่วงฤดูร้อนยังมีโอกาสได้เห็นลูกแพนด้าแรกเกิดที่ศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์แพนด้าเฉิงตู (Chengdu Research Base of Giant Panda Breeding) อย่าลืมพกร่มเพราะอาจเจอกับฝนฟ้าคะนองแบบกะทันหัน และเตรียมแว่นกันแดดกับครีมกันแดดเพื่อป้องกันแสงแดดจ้าในฤดูนี้

ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn): กันยายน – พฤศจิกายน (September – November)

ฤดูใบไม้ร่วงในเฉิงตู ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน สวยงามเป็นพิเศษ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 15–25°C ฝนตกน้อย และมีวันแดดออกมาก เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยวชมเมืองและทำกิจกรรมกลางแจ้ง

คุณสามารถชมเสน่ห์ของแพนด้ายักษ์ที่ศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์แพนด้าเฉิงตู (Chengdu Research Base of Giant Panda Breeding) ในระหว่างวันที่อากาศเย็นสบายช่วยให้เดินเที่ยวได้นานหลายชั่วโมง สวนสาธารณะ วัด บ้านชงชา และพิพิธภัณฑ์ในเฉิงตูถูกตกแต่งด้วยใบแปะก๊วยสีทองที่สวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยว

แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น หุบเขาจิ่วไจ้โกว (Jiuzhaigou Valley) อุทยานแห่งชาติเหลืองหลง (Huanglong Scenic Area) และภูเขาเอ๋อเหมย (Mount Emei) โชว์ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอันงดงาม ทะเลสาบสีฟ้าใสในจิ่วไจ้โกวตัดกับใบไม้สีแดงสดริมฝั่งหินปูนของเหลืองหลงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสว่าง

ฤดูหนาว (Winter): ธันวาคม – กุมภาพันธ์ (December – February)

ฤดูหนาว ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์เป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวของเฉิงตู อากาศเย็นกว่าและค่อนข้างแห้ง ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ชมแพนด้าน่ารักเล่นกันที่ศูนย์อนุรักษ์ หรือเดินเล่นชิล ๆ ตามถนนของเฉิงตู เพลิดเพลินกับบรรยากาศผ่อนคลาย อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 0–15°C มกราคมบางวันอาจติดลบ แต่หิมะในเมืองหายาก โรงแรมและตั๋วเครื่องบินมักลดราคาลงอย่างมากในช่วงนี้ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ศูนย์อนุรักษ์แพนด้า วัด และพิพิธภัณฑ์ ยังคงเปิดให้เยี่ยมชม ในวันที่แดดออก ชาวเมืองมักออกมาอาบแดดอุ่น ๆ ที่สวนสาธารณะประชาชน (People’s Park) พร้อมกินหม้อไฟร้อน ๆ คลายความหนาว

บริเวณรอบนอกเฉิงตู ภูเขาเอ๋อเหมย (Mount Emei) ถูกปกคลุมด้วยหิมะ สวยงามในวันที่อากาศแจ่มใส สำหรับผู้ที่ชอบเล่นสกี สามารถเล่นสกีได้ที่ภูเขาหิมะซีหลิง (Xiling Snow Mountain)

สภาพอากาศและเคล็ดลับการจัดกระเป๋าในการไป เที่ยวเฉิงตู

เฉิงตูมีภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 16–27°C มีวันฝนตกประมาณ 170 วันต่อปี ทำให้สภาพอากาศเย็นสบายและชื้น แม้เดือนกรกฎาคม–สิงหาคมจะร้อนและชื้นที่สุด แต่ความร้อนจัด หนาวจัด หรือพายุรุนแรงพบได้น้อย สภาพอากาศที่น่าอยู่ทำให้สามารถเที่ยวชมธรรมชาติ ศูนย์วิจัยแพนด้า และสถานที่ประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมของเฉิงตูได้ตลอดทั้งปี

ฤดูกาล เดือน อุณหภูมิเฉลี่ย (°C) เคล็ดลับการจัดกระเป๋า
ฤดูหนาว มกราคม 3–9°C เตรียมเสื้อผ้าอุ่น ๆ
กุมภาพันธ์ 5–11°C แนะนำแจ็กเก็ตหนา
ฤดูใบไม้ผลิ มีนาคม 8–16°C แนะนำแจ็กเก็ตอุ่น
เมษายน 13–22°C เสื้อกันฝน เสื้อแจ็กเก็ตบาง
พฤษภาคม 17–26°C เสื้อผ้าบาง, ยาแก้แพ้
ฤดูร้อน มิถุนายน 21–28°C เสื้อผ้าระบายอากาศได้ดี, หมวก
กรกฎาคม 22–30°C เสื้อผ้าบาง, อุปกรณ์กันฝน
สิงหาคม 22–30°C เสื้อกันฝน, ครีมกันแดด
ฤดูใบไม้ร่วง กันยายน 19–26°C เสื้อแจ็กเก็ตบาง
ตุลาคม 15–21°C เสื้อสเวตเตอร์บาง, แขนยาว
พฤศจิกายน 10–16°C เสื้อโค้ท, เสื้อผ้าอุ่น ๆ
ฤดูหนาว ธันวาคม 5–11°C เสื้อโค้ทหนา, ถุงมือ

ข้อมูลควรรู้ก่อนออกเดินทาง เที่ยวเฉิงตู

 สนามบินหลัก:

  • Chengdu Shuangliu (CTU) — ใกล้ตัวเมืองกว่า
  • Chengdu Tianfu (TFU) — สนามบินใหม่ที่รองรับไฟลท์ต่างประเทศเยอะขึ้น

การเดินทางในเมือง:

Metro ครอบคลุมพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก, แท็กซี่ / เรียกรถ Didi สะดวก, รถบัสราคาประหยัดแต่ช้ากว่า

การเดินทางออกนอกเมือง:

ขึ้นรถไฟความเร็วสูง (ไป Leshan, Dujiangyan), บัส (ไปภูเขา / สกีรีสอร์ท), หรือบินต่อในประเทศ (ไป Jiuzhaigou, Huanglong)

รวมที่เที่ยวเฉิงตูพร้อมวิธีการเดินทาง

1. ศูนย์วิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้า (Chengdu Panda Base)

เที่ยวเฉิงตู : ศูนย์วิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้า (Chengdu Panda Base)

ศูนย์วิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้า เฉิงตู (Chengdu Research Base of Giant Panda Breeding) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเฉิงตู นักท่องเที่ยวจะได้ใกล้ชิดกับหมีแพนด้ายักษ์ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด พร้อมทั้งเรียนรู้เกี่ยวกับการวิจัย การเพาะเลี้ยง และการอนุรักษ์แพนด้า จุดไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบคือการได้ชมความน่ารักสดใสของลูกแพนด้า ซึ่งจะทำให้ทุกคนตกหลุมรักไปกับเสน่ห์ของสัตว์ประจำถิ่นสุดหายากแห่งนี้

จุดเด่น:

  • เป็น ศูนย์เพาะพันธุ์และวิจัยแพนด้า เพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์หมีแพนด้ายักษ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
  • นักท่องเที่ยวสามารถ ชมแพนด้าในสภาพแวดล้อมจำลอง ใกล้เคียงธรรมชาติ
  • มี ลูกแพนด้า (Panda Cubs) ให้ชมช่วงเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่แพนด้ากำลังเล่นและกินไผ่
  • มี ศูนย์นิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรม การอนุรักษ์ และการเพาะพันธุ์แพนด้า

วิธีการเดินทาง:

  • ขึ้น Metro ลงที่ Panda Avenue Station หรือ Chengdu Zoo Station
  • ต่อ Shuttle Bus / รถบัสสาย 87, 198A ไปยัง Panda Base
  • ระยะเวลาโดยรวมประมาณ 30–50 นาที จากตัวเมืองเฉิงตู

ระยะเวลาที่แนะนำ:

ครึ่งวัน โดยเฉพาะ เช้า (07:30–10:30) เพราะแพนด้าออกมากินไผ่และขยับตัวมากที่สุด

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • ลูกแพนด้าในห้อง nursery
  • ทางเดินที่มีต้นไผ่ ให้มุมถ่ายรูปสวย
  • แสงเช้าเหมาะที่สุดสำหรับถ่ายรูป เพราะนุ่มและแพนด้ากำลังเคลื่อนไหว

2. ถนนชุนซี (Chunxi Road), ตึกหมีแพนด้า IFS, Taikoo Li, และ Daci Temple

เที่ยวเฉิงตู : ตึกหมีแพนด้า IFS

ถนนชุนซี (Chunxi Road), ตึกหมีแพนด้า IFS, Taikoo Li, และ Daci Temple คือ ย่านไลฟ์สไตล์และช้อปปิ้งใจกลางเมืองเฉิงตู ที่รวมแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร คาเฟ่ และแลนด์มาร์กสำคัญไว้ครบในพื้นที่เดียว

ถนนชุนซี (Chunxi Road)
ย่านช้อปปิ้งชื่อดังใจกลางเมืองเฉิงตู เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมระดับโลก สินค้าแฟชั่นท้องถิ่น ร้านอาหาร และสตรีทฟู้ดหลากหลาย เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสวิถีชีวิตคนเมืองเฉิงตูในบรรยากาศที่คึกคักตลอดวัน

ตึกหมีแพนด้า IFS (Chengdu IFS Panda Climbing the Building)
แลนด์มาร์กสุดชิคของเฉิงตูที่ห้ามพลาด! ที่นี่มีรูปปั้นหมีแพนด้ายักษ์กำลังปีนตึก IFS สุดอลังการ กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว นอกจากนั้นภายในยังเป็นห้างสรรพสินค้าหรูที่รวมแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ระดับโลกไว้ครบครัน

ไท่กู่หลี่ (Taikoo Li Chengdu)
แหล่งช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์สุดทันสมัยที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมจีนดั้งเดิมเข้ากับความโมเดิร์นอย่างลงตัว เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่เก๋ ๆ เป็นจุดเช็กอินที่เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากสัมผัสความหรูหราทันสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายวัฒนธรรมจีน

วัดต้าซื่อ (Daci Temple)
วัดเก่าแก่ใจกลางเมืองที่สงบและเงียบสงบท่ามกลางความคึกคักของย่านการค้า นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณ ทำบุญ สักการะ หรือแวะจิบชาชิล ๆ ในบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนย้อนเวลาไปสู่เฉิงตูในยุคเก่า

จุดเด่น:

  • Chunxi Road – ถนนช้อปปิ้งหลักของเฉิงตู เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าแบรนด์ดัง ร้านอาหาร และร้านของฝาก
  • IFS (International Finance Square) – ตึกสูงกลางเมือง มี หมีแพนด้ายักษ์ปีนตึก เป็นแลนด์มาร์กถ่ายรูปสุดฮิต
  • Taikoo Li – ย่านไลฟ์สไตล์ทันสมัย ตกแต่งสวย มีร้านคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเก๋ ๆ
  • Daci Temple (วัดต้าเจี๋ย) – วัดพุทธโบราณใจกลางเมือง สงบและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน

วิธีการเดินทาง:

  • Metro Line 2/3 Chunxi Road Station
  • เดินเชื่อมไปยัง Taikoo Li และ Daci Temple ได้สะดวก

ระยะเวลาที่แนะนำ:

2–4 ชั่วโมง (รวมช้อปปิ้ง กินข้าว และเดินชมคาเฟ่)

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • หมีแพนด้าปีนตึก IFS – มุมถ่ายรูปกลางเมืองสุดอินเทรนด์
  • ไฟย่าน Taikoo Li ยามค่ำ – แสงสีและบรรยากาศเหมาะถ่าย Instagram
  • วัด Daci Temple – เดินถ่ายรูปศาลาไม้, จิบชาในบรรยากาศสงบ

3. ถนนแพนด้า (Panda Avenue) และ เฉิงตู ทวินทาวเวอร์ (Chengdu Twin Towers)

ถนนแพนด้า (Panda Avenue) และ เฉิงตู ทวินทาวเวอร์ (Chengdu Twin Towers)

ถนนแพนด้า (Panda Avenue) และ เฉิงตู ทวินทาวเวอร์ (Chengdu Twin Towers) คือ ย่านธีมหมีแพนด้าและแลนด์มาร์กตึกสูงใจกลางเฉิงตู ที่เหมาะทั้งการเดินเล่น ช้อปปิ้ง และถ่ายรูป

ถนนแพนด้า (Panda Avenue)
เส้นทางหลักที่มุ่งหน้าไปยังศูนย์วิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้า เฉิงตู ถนนสายนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศสดใสจากงานศิลป์และรูปปั้นแพนด้าในหลากหลายท่าทางน่ารัก ๆ ตลอดสองข้างทาง กลายเป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักแพนด้า อีกทั้งยังสะท้อนเอกลักษณ์ของเฉิงตู เมืองหลวงของหมีแพนด้าอย่างแท้จริง

เฉิงตู ทวินทาวเวอร์ (Chengdu Twin Towers)
แลนด์มาร์กสมัยใหม่ที่สูงตระหง่านและกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของเมืองเฉิงตู ตึกแฝดคู่นี้ตั้งอยู่ในเขตไฮเทค (High-Tech Zone) โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมล้ำสมัย โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่มีการประดับไฟสุดอลังการ กลายเป็นจุดชมวิวและถ่ายภาพที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด

จุดเด่น:

  • Panda Avenue – ถนนธีมหมีแพนด้าเต็มไปด้วยงานประติมากรรม, รูปปั้น, และการตกแต่งธีมแพนด้า เหมาะสำหรับถ่ายรูปสนุก ๆ
  • Chengdu Twin Towers – ตึกคู่สูงเด่นเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเฉิงตู สามารถถ่ายรูปตอนกลางวันหรือไฟตอนกลางคืน
  • Landmark แบบ 3D – มีจอ 3D แสดงภาพหมีแพนด้า ทำให้ได้มุมถ่ายรูปเก๋ ๆ

วิธีการเดินทาง:

  • Metro Line 1 → Century City Station
  • เดินต่อเล็กน้อย หรือเรียกรถ Didi / แท็กซี่ไปยัง Twin Towers

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • 2–3 ชั่วโมง
  • เหมาะสำหรับ บ่าย–เย็น เพื่อถ่ายรูปไฟเมืองตอนกลางคืน

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • หมีแพนด้า 3D บนจอ – มุมถ่ายรูปทันสมัย
  • Twin Towers – ถ่ายทั้งกลางวันและกลางคืน
  • ถนน Panda Avenue – มุมถ่ายรูปกับประติมากรรมแพนด้าและของตกแต่งธีมต่าง ๆ

4. กว่านไจ๋ (Kuanzhai Xiangzi / Kuanzhai Alley) และถนนจิ้นหลี่ (Jinli Street)

เที่ยวเฉิงตู : ถนนจิ้นหลี่ (Jinli Street)

กว่านไจ๋ (Kuanzhai Xiangzi / Kuanzhai Alley) และถนนจิ้นหลี่ (Jinli Street) คือ ย่านโบราณและถนนท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมของเฉิงตู ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์จีนโบราณ, ของกินพื้นเมือง, ร้านค้า และกิจกรรมวัฒนธรรม

กว่านไจ๋ (Kuanzhai Xiangzi / Kuanzhai Alley)
ย่านถนนเก่าแก่ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเฉิงตู ผ่านตรอกซอกซอยที่ยังคงสถาปัตยกรรมโบราณผสมผสานกับร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นถ่ายรูปเพลิน ๆ ชิมของกินพื้นเมือง และสัมผัสบรรยากาศเฉิงตูในยุคเก่าได้อย่างเต็มอิ่ม

ถนนจิ้นหลี่ (Jinli Street)
อีกหนึ่งถนนโบราณชื่อดังที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยแสงไฟสีสันยามค่ำคืน ร้านค้าและแผงขายของที่ระลึก งานฝีมือ รวมถึงอาหารพื้นเมืองรสเด็ด เช่น หมาล่า ก๋วยเตี๋ยวเสฉวน และขนมท้องถิ่นต่าง ๆ ถนนจิ้นหลี่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ผสมผสานความเก่าแก่กับความคึกคักของยุคใหม่ได้อย่างลงตัว

จุดเด่น:

  • Kuanzhai Xiangzi (Wide & Narrow Alley / ตรอกกว้าง–แคบ)
    • เป็นชุดตรอกเก่า 3 สาย: ตรอกกว้าง, ตรอกแคบ, ตรอกกลาง
    • สถาปัตยกรรมโบราณแบบจีนดั้งเดิม
    • ร้านกาแฟ, ร้านชา, ร้านอาหาร, ร้านของที่ระลึก
    • บรรยากาศย้อนยุคและสงบ เหมาะเดินเล่นถ่ายรูป
  • Jinli Street (ถนนจินหลี่)
    • ถนนเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์กว่า 1,800 ปี
    • มีร้านขายของพื้นเมือง, ขนมท้องถิ่น, ของที่ระลึก
    • แสงไฟโคมแดงยามค่ำคืนให้บรรยากาศโรแมนติก

วิธีการเดินทาง:

  • Metro Line 4 Kuanzhai Alley Station
  • จากนั้นเดินถึง Jinli Street หรือเรียกรถสั้น ๆ

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • ครึ่งวัน บ่าย–ค่ำ
  • เหมาะสำหรับเดินเล่น ชมสถาปัตยกรรม ชิม Street food และถ่ายรูปโคมแดง

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • โคมแดงตามตรอก – มุมถ่ายรูปคลาสสิก
  • ร้านชาและของเก่า – ถ่ายบรรยากาศย้อนยุค
  • Street food – ของกินพื้นเมือง เช่น มันปิ้ง, เกี๊ยว, เต้าหู้ย่าง

5. วัดเหวินซู (Wenshu Monastery)

วัดเหวินซู (Wenshu Monastery)

วัดเหวินซู (Wenshu Monastery) วัดพุทธที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองเฉิงตู สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันงดงาม ศาลา เจดีย์ และพระพุทธรูปมากมายให้กราบสักการะ วัดแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาที่สำคัญของเสฉวน บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนใจจากความวุ่นวายของเมือง

อีกหนึ่งไฮไลท์คือ “โรงน้ำชา” ภายในวัด ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้นั่งดื่มชาเสฉวนแท้ ๆ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของสวนวัด ถือเป็นประสบการณ์ที่ช่วยเติมเต็มการมาเยือนเฉิงตูให้สมบูรณ์แบบ

จุดเด่น:

  • สถาปัตยกรรมโบราณ – อาคารไม้, ศาลา, เจดีย์ และวิหารแบบจีนดั้งเดิม
  • สวนและโรงน้ำชา – เหมาะสำหรับจิบชา, เดินชมสวน และสัมผัสวัฒนธรรมจีน
  • ความสงบท่ามกลางเมืองวุ่นวาย – เป็นพื้นที่พักใจและถ่ายรูปสวย

วิธีการเดินทาง:

  • Metro Line 1 Wenshu Monastery Station
  • หรือรถบัสสายที่ผ่านตัววัด

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • 1–2 ชั่วโมง
  • เหมาะสำหรับเดินชมวัดและจิบชา

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • ศาลาไม้และประตูวัด – มุมถ่ายรูปแบบดั้งเดิม
  • โรงน้ำชา – ถ่ายบรรยากาศสงบ, ลองชุดชาจีน
  • มาเช้า – เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวมาก

6. เขื่อนตูเจียงเยี่ยนและภูเขาชิงเฉิง (Dujiangyan and Mount Qingcheng)

เขื่อนตูเจียงเยี่ยนและภูเขาชิงเฉิง (Dujiangyan and Mount Qingcheng)

เขื่อนตูเจียงเยี่ยน (Dujiangyan Irrigation System) และ ภูเขาชิงเฉิง (Mount Qingcheng) คือ แหล่งมรดกโลกใกล้เฉิงตู ที่เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบธรรมชาติและประวัติศาสตร์จีน

เขื่อนตูเจียงเยี่ยน (Dujiangyan Irrigation System)
สิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมชลประทานโบราณที่สร้างขึ้นมากว่า 2,000 ปี และยังคงใช้งานได้จริงจนถึงปัจจุบัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ความพิเศษของที่นี่คือการบริหารจัดการน้ำด้วยภูมิปัญญาโบราณที่ช่วยป้องกันน้ำท่วมและหล่อเลี้ยงพื้นที่เพาะปลูกในเสฉวนมาตลอดหลายศตวรรษ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมทัศนียภาพเขื่อน แม่น้ำ และสะพานแขวน พร้อมเรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง

ภูเขาชิงเฉิง (Mount Qingcheng)
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของลัทธิเต๋า โดดเด่นด้วยป่าเขียวขจีตลอดปี และบรรยากาศสงบเงียบเหมาะแก่การปลีกวิเวก ที่นี่มีเส้นทางเดินป่าขึ้นสู่ยอดเขา ผ่านวัดและศาลาโบราณหลายแห่ง นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและวัฒนธรรมสามารถสัมผัสทั้งความงดงามของภูเขาและกลิ่นอายปรัชญาเต๋าไปพร้อมกัน

จุดเด่น:

  • เขื่อนตูเจียงเยี่ยน (Dujiangyan)
    • ระบบชลประทานโบราณอายุเกือบ 2,200 ปี
    • เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมและวิศวกรรม
    • วิวแม่น้ำและภูมิทัศน์สวย เหมาะสำหรับถ่ายภาพ
  • ภูเขาชิงเฉิง (Mount Qingcheng)
    • ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเต๋า
    • มีวัดและศาลาที่เก่าแก่
    • เส้นทางเดินป่าไม่ยากจนเกินไป เหมาะกับวันทริปใกล้เมือง

วิธีการเดินทาง:

  • รถไฟความเร็วสูง / รถไฟท้องถิ่น จากเฉิงตูไป Dujiangyan ประมาณ 20–50 นาที
  • ต่อ รถบัสหรือแท็กซี่ ขึ้นไป Mount Qingcheng
  • เส้นทางนี้สะดวกและนิยมเป็น ทริปวันเดียวจากเฉิงตู

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • 1 วัน
    • เช้า: เขื่อน Dujiangyan
    • บ่าย: Mount Qingcheng
  • สามารถแบ่งเป็น 2 วัน หากต้องการเดินหลายเส้นทาง

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • วิวเขื่อน และ สะพาน Anlan
  • วัดบนภูเขา Qingcheng
  • สวมรองเท้าสบายสำหรับเดิน เพราะบางจุดเป็นบันไดขึ้นเขา

7. Selfie Panda, Yangtianwo Square (Dujiangyan)

Selfie Panda, Yangtianwo Square (Dujiangyan)

Selfie Panda คือแลนด์มาร์กห้ามพลาดในเมืองตูเจียงเอี้ยน (Dujiangyan) ตั้งอยู่ที่ Yangtianwo Square จุดนี้มีหมีแพนด้ายักษ์ในท่านอนตะแคงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (สูงกว่า 26 เมตร) ออกแบบมาให้เป็นมุมถ่ายรูปสุดเก๋ที่ทั้งนักท่องเที่ยวจีนและต่างชาติแวะมาเช็กอิน

จุดเด่น:

  • แพนด้ายักษ์ขนาดมหึมา – รูปปั้นสูงกว่า 26 เมตร นอนเอียงบนภูเขาจำลอง
  • แลนด์มาร์กใหม่ของ Dujiangyan – เหมาะสำหรับสายโซเชียล ถ่ายเซลฟี่ มุมไหนก็โดดเด่น
  • บรรยากาศรอบ ๆ จัตุรัส – มีพื้นที่กว้างสำหรับเดินเล่น พักผ่อน และถ่ายรูป

วิธีการเดินทาง:

  • อยู่ใจกลางเมืองตูเจียงเอี้ยน (ห่างจากเฉิงตูประมาณ 55 กม.)
  • รถไฟจากเฉิงตูไป Dujiangyan ใช้เวลาเพียง 30–40 นาที
  • จากสถานีรถไฟต่อแท็กซี่ประมาณ 10–15 นาที ถึง Yangtianwo Square

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • ครึ่งวัน – แวะชม Selfie Panda + เที่ยวเมืองตูเจียงเอี้ยน
  • ตอนเย็น – มีการเปิดไฟสวย ๆ รอบตัวแพนด้า เหมาะสำหรับถ่ายรูปยามค่ำ

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • มุมตรงด้านหน้าแพนด้า – เห็นตัวใหญ่เต็มเฟรม
  • ถ่ายมุมกว้างจากด้านล่าง – ได้สัดส่วนยักษ์อลังการ
  • ช่วงเย็น – ไฟประดับเปิด ทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา
  • เตรียม เลนส์มุมกว้าง หรือไม้เซลฟี่ เพื่อเก็บวิวเต็มตัวแพนด้า

8. พระใหญ่เล่อซาน (Leshan Giant Buddha)

เที่ยวเฉิงตู : พระใหญ่เล่อซาน (Leshan Giant Buddha)

พระใหญ่เล่อซาน (Leshan Giant Buddha) พระพุทธรูปหินแกะสลักขนาดมหึมา สูงถึง 71 เมตร ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำมินเจียง เป็นหนึ่งในมรดกโลกของยูเนสโก และถือเป็นพระพุทธรูปหินแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวสามารถชมพระใหญ่จากระเบียงด้านบน หรือเลือกล่องเรือชมวิวเต็มองค์จากแม่น้ำเพื่อซึมซับความยิ่งใหญ่และความสงบของสถานที่ นอกจากความยิ่งใหญ่แล้ว บริเวณรอบ ๆ ยังเต็มไปด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติสวยงาม เหมาะสำหรับทั้งคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และธรรมชาติในทริปเดียว

จุดเด่น:

  • ขนาดมหึมา – สูง 71 เมตร กว้าง 28 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูปแกะสลักหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • มรดกโลก UNESCO – เป็นตัวอย่างของศิลปกรรมและวิศวกรรมจีนโบราณ
  • วิวรอบ ๆ – สามารถชมจาก ยอดเขา หรือ ล่องเรือในแม่น้ำ ให้มุมมองที่แตกต่าง

วิธีการเดินทาง:

  • รถไฟความเร็วสูง (HSR) จากเฉิงตูไป Leshan ประมาณ น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
  • จากสถานี Leshan ต่อ แท็กซี่ หรือเดินไปจุดชมพระพุทธรูป
  • สามารถเลือก ล่องเรือชมพระจากน้ำ เพื่อมุมกว้าง

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • ครึ่งวัน – 1 วัน
  • เหมาะสำหรับทั้งการชมพระและล่องเรือ

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • จุดล่องเรือ – ให้ภาพมุมกว้างของพระใหญ่
  • จุดชมจากยอดเขาด้านหน้า – ถ่ายองค์พระเต็มตัว
  • ถ้ามีเวลา ให้ขึ้นเรือเพื่อได้มุมภาพที่ดีที่สุด

9. จิ่วไจ้โกว (Jiuzhaigou) และอุทยานหวงหลง (Huanglong)

เที่ยวเฉิงตู : จิ่วไจ้โกว (Jiuzhaigou)

จิ่วไจ้โกว (Jiuzhaigou) & อุทยานหวงหลง (Huanglong) คือ อุทยานธรรมชาติระดับโลกในมณฑลเสฉวน ที่มีชื่อเสียงเรื่อง ทะเลสาบสีสวย น้ำตก และป่าไม้ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสธรรมชาติอลังการ

หุบเขาจิ่วไจ้โกว (Jiuzhaigou Valley)
หรือที่แปลตรงตัวว่า “หุบเขาหมู่บ้านทั้งเก้า” ได้ชื่อนี้มาจากเก้าหมู่บ้านแบบทิเบตที่ตั้งอยู่ในหุบเขา ที่นี่เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนไว้ มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านทิวทัศน์น้ำที่น่าพิศวง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกที่พลิ้วไหว ทะเลสาบสีฟ้าและสีเขียวใสสะอาดระยิบระยับ น้ำพุที่ไหลริน และภูเขาที่ปกคลุมด้วยป่าเขียวขจี ทิวทัศน์ตามธรรมชาติทำให้นักเดินทาง ช่างภาพ และผู้หลงรักธรรมชาติต่างแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ป่าไม้ในหุบเขาจิ่วไจ้โกวจะเปลี่ยนสีสันสุดตระการตา ไล่เฉดตั้งแต่แดง ทอง ส้ม ไปจนถึงชาดสดใส พืชน้ำที่ก้นทะเลสาบก็เผยสีสันเข้มข้น เมื่อลองมองจากมุมสูง จะเหมือนกับว่าสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงถูกเทลงไปในผืนน้ำ ทำให้หุบเขาจิ่วไจ้โกวกลายเป็นดินแดนเทพนิยายที่มีอยู่จริง หากคุณอยากชมวิวฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามที่สุดของจีน ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เที่ยวเฉิงตู : อุทยานแห่งชาติเหลืองหลง (Huanglong National Park)

อุทยานแห่งชาติหวงหลง (Huanglong National Park)
โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของชั้นหินปูนและแอ่งน้ำขั้นบันไดที่งดงาม มักถูกจัดให้อยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวคู่กับจิ่วไจ้โกว ระยะทางระหว่างกันราว 110 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ประตูสู่จิ่วไจ้โกวที่ดีที่สุดคือเมืองเฉิงตู โดยคุณสามารถเดินทางจากเฉิงตูได้ทั้งรถยนต์หรือเครื่องบิน นักท่องเที่ยวบางส่วนก็เลือกบินจากฉงชิ่งหรือซีอานไปยังจิ่วไจ้โกวเช่นกัน

จุดเด่น:

  • จิ่วไจ้โกว (Jiuzhaigou Valley)
    • หุบเขา, ทะเลสาบสีฟ้าใส, น้ำตก, ป่าไม้และภูเขา
    • ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก UNESCO
    • เหมาะสำหรับถ่ายภาพ landscape, hiking ระดับง่าย–กลาง
  • อุทยานหวงหลง (Huanglong National Park)
    • มี บ่อน้ำสีรุ้งและธารน้ำแร่ขั้นบันได
    • ธรรมชาติสวยงามเหมาะสำหรับ ถ่ายรูป panorama
    • อยู่ใกล้ Jiuzhaigou สามารถเที่ยวต่อเนื่องได้

วิธีการเดินทาง:

  • บินจากเฉิงตู (CTU) → Jiuzhai Huanglong Airport
  • จากสนามบินต่อ รถบัส / รถเช่า ไป Jiuzhaigou (~1 ชั่วโมง) และ Huanglong (~1 ชั่วโมง)
  • หากไม่มีไฟลท์ สามารถใช้ รถบัสหรือรถเช่าจากเฉิงตู แต่ใช้เวลาหลายชั่วโมง

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • 2 – 3 วัน
    • Jiuzhaigou 1 – 2 วัน
    • Huanglong ครึ่งวัน – 1 วัน

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • Mirror Lake (Jiuzhaigou) – เงาสะท้อนน้ำสวยที่สุด
  • Nuorilang Waterfall (Jiuzhaigou) – น้ำตกใหญ่และถ่ายรูปได้หลายมุม
  • Five-Color Pond (Huanglong) – น้ำสีรุ้งขั้นบันได
  • เคล็ดลับ: จองตั๋วเข้าอุทยานและที่พักล่วงหน้า โดยเฉพาะช่วง ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือ ฤดูร้อน

10. ภูเขาหิมะกลาเซียร์ ต๋ากู่ปิงชวน (Dagu Glacier National Park)

ภูเขาหิมะกลาเซียร์ ต๋ากู่ปิงชวน (Dagu Glacier National Park)

ภูเขาหิมะกลาเซียร์ ต๋ากู่ปิงชวน (Dagu Glacier National Park)
อุทยานธารน้ำแข็งที่ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์หิมะขาวโพลน ยอดเขาสูง และธารน้ำแข็งที่สวยงามตระการตา นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมธรรมชาติแบบใกล้ชิด ถ่ายรูปวิวหิมะสุดอลังการ หรือสัมผัสความหนาวเย็นและความสงบของภูเขาสูง ที่นี่เป็นจุดหมายที่เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติและการผจญภัย

จุดเด่น:

  • ธารน้ำแข็ง Dagu – ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่และสวยงาม สามารถชมวิวได้จากหลายจุด
  • ภูเขาและธรรมชาติสูง – เหมาะสำหรับการเดินป่า, ถ่ายภาพ landscape และชมวิวธรรมชาติ
  • กระเช้าชมวิว – มีบริการขึ้นกระเช้าเพื่อชมยอดเขาและธารน้ำแข็งจากมุมสูง

วิธีการเดินทาง:

  • รถบัส / รถเช่า จากเฉิงตู ประมาณ 7–8 ชั่วโมง
  • นักท่องเที่ยวส่วนมาก เช่ารถหรือจองทัวร์ เพราะพื้นที่อยู่ไกลและการเดินทางค่อนข้างซับซ้อน

เวลาที่แนะนำ:

  • 2 วัน
  • ใช้เวลาเดินชมธารน้ำแข็งและภูมิประเทศรอบ ๆ

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • จุดชมวิว 4,800 เมตร – ได้ภาพ panorama ของธารน้ำแข็ง
  • กระเช้าไฟฟ้า – มุมสูงสำหรับถ่ายวิวภูเขาและธารน้ำแข็ง
  • เตรียมตัวให้พร้อม – รองเท้าสำหรับเดินป่า, เสื้อกันหนาว, และตรวจสภาพอากาศ

11. ภูเขาสี่ดรุณี (Mount Siguniang)

เที่ยวเฉิงตู : ภูเขาสี่ดรุณี (Mount Siguniang)

ภูเขาสี่ดรุณี (Mount Siguniang) ภูเขาสูงตระหง่านในมณฑลเสฉวนที่ได้รับฉายาว่า “อัลไพน์แห่งจีน” โดดเด่นด้วยยอดเขาสูงและหุบเขาที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม ทั้งป่าเขียว ทุ่งดอกไม้ และลำธารใส นักท่องเที่ยวสามารถเดินป่า ปีนเขา หรือชมวิวทิวทัศน์จากจุดชมวิวต่าง ๆ ได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่จะเห็นภูเขาแต่งแต้มด้วยสีสันสุดอลังการ ที่นี่เหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติและนักผจญภัยที่อยากสัมผัสความสงบและความยิ่งใหญ่ของภูเขาสูงในเสฉวน ใครที่มีโอกาสไป เที่ยวเฉิงตู ไม่ควรพลาด สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจเดินทางไปภูเขาสี่ดรุณี (Mount Siguniang) สามารถดูข้อมูลแบบละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางได้ที่บทความ ภูเขาสี่ดรุณี สัมผัสความงามเทือกเขาแอลป์แห่งจีน เพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการวางแผนทริปการเดินทางของคุณได้เลยค่ะ

จุดเด่น:

  • ยอดเขา 4 ยอด (Four Sisters Peaks) – ยอดสูงสุดคือ Yaomei Peak สูงกว่า 6,250 เมตร
  • หุบเขาและทะเลสาบสวยงาม – เช่น Shuangqiao Valley และ Haizi Valley
  • ธรรมชาติอลังการ – เหมาะสำหรับ trekking ระดับกลาง–สูง, ถ่ายภาพภูเขาหิมะ, ป่าไม้, และทะเลสาบ

วิธีการเดินทาง:

  • ระยะทางจากเฉิงตู ~200 กม. ใช้เวลาประมาณ 4–5 ชั่วโมง โดย รถยนต์ / รถเช่า / รถบัส
  • ไม่มีรถไฟตรงไปยังฐานเขา (Rilong หรือ Xiaojin)
  • นักท่องเที่ยวส่วนมาก เช่ารถหรือจองทัวร์จากเฉิงตู

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • 2–3 วัน
  • เหมาะสำหรับ trekking หลายเส้นทางหรือพักโฮมสเตย์ในหุบเขา

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • Yaomei Peak (ยอดสูงสุด) – มุมถ่ายภาพภูเขาหิมะอลังการ
  • Shuangqiao Valley และ Haizi Valley – ทะเลสาบและวิวภูเขา
  • ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี / ฤดูหนาว – วิวสวยมาก
  • เตรียมรองเท้า trekking และเช็กสภาพอากาศ / การอนุญาตเส้นทางก่อนออกเดินทาง

12. ภูเขาหิมะซีหลิง (Xiling Snow Mountain)

ภูเขาหิมะซีหลิง (Xiling Snow Mountain)

ภูเขาหิมะซีหลิง (Xiling Snow Mountain / Xiling Xue Shan) ภูเขาหิมะชื่อดังของมณฑลเสฉวนที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติสุดอลังการ ตลอดปีจะเห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและป่าไม้เขียวขจี นักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งหลากหลาย เช่น การเดินป่า, ปีนเขา, เล่นสกี หรือชมวิวทะเลหมอกยามเช้า จุดชมวิวบนยอดเขาเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่สามารถมองเห็นธรรมชาติรอบด้านได้อย่างกว้างไกล ภูเขาซีหลิงเหมาะสำหรับสายธรรมชาติและนักผจญภัยทุกวัย ที่ต้องการสัมผัสความสงบและความยิ่งใหญ่ของภูเขาหิมะใกล้เฉิงตู

จุดเด่น:

  • รีสอร์ทสกีและกิจกรรมหิมะ – มีลานสกีสำหรับผู้เริ่มต้นและระดับกลาง
  • กระเช้าชมวิว – ขึ้นชมวิวภูเขาหิมะจากมุมสูง
  • วิวธรรมชาติสวยงามใกล้เฉิงตู – เหมาะสำหรับ Day trip หรือครึ่งวัน

วิธีการเดินทาง:

  • ประมาณ 110–117 กม. จากเฉิงตู
  • รถยนต์ / รถเช่า ใช้เวลาประมาณ 2–2.5 ชั่วโมง
  • หรือมี รถบัสตรงจากสถานี Chadianzi ประมาณ 3 ชั่วโมง
  • กลุ่มเล็กมัก เช่ารถส่วนตัว เพื่อความยืดหยุ่น

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • 1 วัน
  • เล่นสกีครึ่งวัน–เต็มวัน หรือชมวิวธรรมชาติ

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • ลานสกีและจุดกระเช้าชมวิว – มุม panorama ของภูเขาหิมะ
  • เตรียมอุปกรณ์สกีล่วงหน้า – ถ้าต้องการเช่าหรือจองครูสอน
  • ช่วงฤดูหนาว – วิวและกิจกรรมเต็มรูปแบบ

13. อุทยานแห่งชาติปีเผิงโกว (Bipenggou National Park)

เที่ยวเฉิงตู : อุทยานแห่งชาติปีเผิงโกว (Bipenggou National Park)

อุทยานแห่งชาติปีเผิงโกว (Bipenggou National Park) อุทยานธรรมชาติที่เต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี ทะเลสาบใส และน้ำตกงดงาม ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน เป็นจุดหมายที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและกิจกรรมกลางแจ้ง นักท่องเที่ยวสามารถเดินป่าชมวิว ปั่นจักรยาน หรือถ่ายภาพมุมสวย ๆ ของน้ำตกและภูเขาที่สะท้อนในผืนน้ำใส

อุทยานแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามตลอดทั้งสี่ฤดู โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วงที่จะได้ชมภูมิทัศน์แต่งแต้มด้วยสีสันสดใส เป็นอีกหนึ่งจุดหมายใกล้เฉิงตูที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความสงบและความอลังการของธรรมชาติ

จุดเด่น:

  • วิวภูเขาหิมะและธารน้ำแข็ง – สามารถมองเห็นภูเขาหิมะซื่อหนี่เหนียง (Four Girls Mountain) และธารน้ำแข็งในหุบเขา
  • ทะเลสาบใสและน้ำตก – ไฮไลท์คือทะเลสาบเจียหยาง (Jiaoyang Lake) และน้ำตกที่ใสสะอาด
  • ใบไม้เปลี่ยนสี – ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.–ต.ค.) จะได้วิวป่าสีสันสดใสตัดกับภูเขาหิมะ

วิธีการเดินทาง:

  • อยู่ห่างจากเฉิงตู ประมาณ 200 กม.
  • เดินทางโดยรถยนต์ / รถเช่า ใช้เวลาประมาณ 4–5 ชั่วโมง
  • นิยมเช่ารถส่วนตัวพร้อมคนขับ เพื่อความสะดวกในการแวะเที่ยวระหว่างทาง

ระยะเวลาที่แนะนำ:

  • 1–2 วัน
    • วันเดียว: เที่ยวรอบๆ หุบเขาและจุดไฮไลท์
    • 2 วัน: พักค้างเพื่อสัมผัสบรรยากาศเช้าท่ามกลางภูเขา

จุดเช็คอินและเคล็ดลับถ่ายรูป:

  • Jiaoyang Lake – มุมถ่ายสะท้อนน้ำกับภูเขาหิมะ
  • น้ำตก – ถ่ายชอต Long exposure จะได้ภาพละมุน
  • ฤดูใบไม้ร่วง – สีสันสดใสที่สุด เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ landscape
  • ควรเตรียม เสื้อกันหนาวและรองเท้าเดินป่า เพราะอากาศเย็นและเส้นทางเดินมีความชันเล็กน้อย

เฉิงตู เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการไปเยือนถิ่นกำเนิดหมีแพนด้ายักษ์ ชมความงามของภูเขาและหุบเขาในอุทยานธรรมชาติต่าง ๆ หรือเดินเล่นเพลิน ๆ ท่ามกลางบรรยากาศเมืองเก่าที่มีทั้งอาหารเสฉวนรสจัดจ้านและวิถีชีวิตท้องถิ่นที่น่าหลงใหล นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติและสายวัฒนธรรมต่างก็สามารถหาประสบการณ์ที่ใช่ได้ในเมืองแห่งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวไทย การเดินทางไป เที่ยวเฉิงตู สะดวกสบายขึ้นมาก เพราะสามารถเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ทำให้การวางแผนทริปง่ายและรวดเร็วขึ้น หากคุณกำลังมองหาจุดหมายที่ผสมผสานทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารอร่อย ๆ เฉิงตูก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ควรค่าแก่การไปเยือน

เตรียมตัวให้พร้อม แล้วออกเดินทางไปสัมผัสความงดงามและเสน่ห์ของเฉิงตูกันค่ะ และทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมพกติดตัวไว้เสมอนั่นก็คือ ประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวเฉิงตูได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: asiaodysseytravel.com, chinadiscovery.com, chinahighlights.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูที่สวยงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ใบไม้ใน จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น จะทยอยเปลี่ยนสี โดยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม เป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนไปสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นลงและใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี ทำให้เกิดทัศนียภาพอันน่าทึ่งของใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใส ในสถานที่ต่างๆ ของประเทศ เพื่อนๆ คนไหนที่วางแผนจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 ไปใช้เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางกันได้เลย สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ที่ไหนดี วันนี้ Allianz Travel รวบรวม 25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ในแต่ละภูมิภาค มาฝากเพื่อนๆ มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 🙂

หมายเหตุ: ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 และอัพเดทข่าวสารเป็นระยะ ๆ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการเดินทางค่ะ

1. ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

ภูเขาอะซาฮิดาเกะ (Mount Asahidake) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในฮอกไกโด (สูง 2,290 เมตร) และอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsuzan National Park) อีกด้วย อาซาอิตาเกะ เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่แรกที่จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่มีพืชพันธุ์หลายชนิดมากยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสียิ่งสวย สีสันตระการตาสุด นอกจากเดินป่าแล้วก็ยังมีนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ใครสายเที่ยวธรรมชาติจัดเลย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนกันยายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสประจำทางจากสถานีรถไฟ Asahikawa 1,800 เยน (เที่ยวเดียว) หรือจากสนามบินอาซาฮิกาวะ (Asahikawa Airport) 1,270 เยน (เที่ยวเดียว) หรือเช่ารถจากสนามบินอาซาฮิกาวะ หรือเมืองบิเอะ (Biei) ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Daisetsuzan, Higashikawa, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/VbzHZGvVrRwqSbRo9

2. น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls) ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขาห่างไกลของเมืองไดโกะ (Daigo) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดอิบารากิ เป็นน้ำตกสูง 120 เมตรที่ไหลผ่านหน้าผาหินยักษ์ลงมา 4 ชั้น และเป็นหนึ่งในสามน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และแต่ละฤดูกาล น้ำตกแห่งนี้ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่ซ้ำใคร จากทางเข้า นักท่องเที่ยวจะต้องเดินผ่านอุโมงค์ทางเดินยาว 276 เมตรที่นำไปสู่จุดชมวิวหลายชั้น ชั้นล่างจะเห็นน้ำตกได้อย่างใกล้ชิดจากฐานน้ำตก ในขณะที่ชั้นบนที่ต้องขึ้นลิฟต์ไปจะเห็นน้ำตกทั้ง 4 ชั้นแบบพาโนรามาจากความสูงประมาณ 50 เมตรเหนือพื้นดิน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

เวลาทำการ:

8.00-18.00 น. (พ.ย. – เม.ย. เวลา 9.00-17.00)

ค่าเข้าชม:

ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากโตเกียว (สถานีอุเอโนะ โตเกียว หรือชินากาวะ) ให้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษไปยังสถานีมิโตะ (70 นาที ขบวนละ 2 ขบวนต่อชั่วโมง) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Suigun ไปยังสถานีฟุคุโรดะ (70 นาที ขบวนละ 1-2 ชั่วโมง) หลังจากนั้นนั่งรถบัสอิบารากิโคจึไปลงป้ายทากิโมโตะ (Takimoto) (7 นาที) จากนั้นเดินต่ออีก 5-10 นาทีไปยังทางเข้าอุโมงค์ไปยังน้ำตก หรือเช่ารถจากสถานีมิโตะ ใช้เวลาประมาณ 75 นาที และมีที่จอดรถใกล้ทางเข้าน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Kuji District, Ibaraki, Japan
https://maps.app.goo.gl/RU8kSJv2KCLtjAkb7

3. กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนเล็กๆ ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูเขาของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในอดีต หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเหมืองเงินขนาดใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาเป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีเรียวกังเก่าแก่เรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ เมื่อมองไปรอบๆ เราก็จะเห็นทิวทัศน์ของภูเขาที่โอบล้อมอย่างใกล้ชิด เข้ากับความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมภายในหมู่บ้านอย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง

รถไฟ: นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย JR Yamagata จากโตเกียวไปยังสถานี Oishida (200 นาที) จากนั้นรถบัสจะออกทุกๆ สองชั่วโมงไปยังกินซันออนเซ็น (35 นาที) 

รถยนต์: เช่ารถจากสถานีรถไฟอย่างเช่น สถานีมูรายามะ (Murayama) ชินโจ (Shinjo) และยามากาตะ (Yamagata) รวมถึงที่สนามบินนามากาตะ มีที่จอดรถในลานจอดรถซึ่งเดินจากใจกลางเมืองออกไป 5-10 นาที เรียวกังหลายแห่งจะไปรับแขกที่ลานจอดรถ

เครื่องบิน: มีรถบัสรับส่งระหว่างสนามบินยามากาตะ และกินซันออนเซ็น 2 เที่ยวต่อวัน (75 นาที) โดยไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า

ที่อยู่/แผนที่:

Obanazawa, Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/wqzhDAccjmv6ocDL8

4. ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (Hokkaido Government Office) หรือที่นิยมเรียกว่า ทำเนียบอิฐแดง (Red Brick Office) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองซัปโปโร (Sapporo) และยังเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์และงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะเต็มไปด้วยสีสันสดใสของใบเมเปิ้ลและใบแปะก๊วย เป็นอีก จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพสวย ๆ ของใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมกับแลนด์มาร์คสำคัญ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: 

ปลายเดือนกันยายน – ต้นเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

เดินเพียง 8 นาทีจากทางออกทิศตะวันตกของสถานีเจอาร์ซัปโปโร หรือจากทางออก 10 ของสถานีซัปโปโร บนสายรถไฟใต้ดินนัมโบกุ

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/AyhnBq63nMuej8929

5. สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge) เป็นสะพานแขวนแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ทอดยาวข้ามหุบเขาลึกของแม่น้ำโจกาคุระ ในจังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีขนาดกว้าง 11.5 เมตร ยาว 360 เมตร สูง 122 เมตร และมีส่วนโค้ง 255 เมตร ซึ่งถือได้ว่ายาวที่สุดในญี่ปุ่น และสะพานแห่งนี้ยังเป็นจุดเชื่อมโยงภูมิภาคสึการุ (Tsugaru) และนันบุ (Nanbu) เข้าไว้ด้วยกัน สะพานโจกาคุระขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่งดงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้หลากสีสันจะแต่งแต้มสีสันทอดยาวสุดสายตา บนสะพานมีจุดชมวิวหลายจุดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและเก็บความประทับใจ และจากสะพานนี้ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของลำธารโจกากุระ-เคริว (Jyogakura-Keiryu) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะสถานที่สวยงามในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park) ได้อีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

สะพานโจกาคุระอยู่ห่างจากสถานีรถไฟอาโอโมริ (Aomori) 56 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Aomori, Japan
https://maps.app.goo.gl/LJviW3byDWfvkCBQ6

6. โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โจซังเคอนเซ็น (Jozankei Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด ณ อุทยานแห่งชาติชิโคสึ-โทยะ ที่มีโรงแรมเรียวกังกว่า 20 แห่ง และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของฮอกไกโด นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อต้นไม้ริมหุบเขาและหุบเขาข้างเคียงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีแดงสดใส

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากสถานีขนส่งซัปโปโร ให้ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 7 หรือ 8 ไปยังโจซังเคออนเซ็น รถบัสจะออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 75 นาที 

2. ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 12 จากสถานี Makomanai ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟใต้ดินสาย Namboku ของซัปโปโร จากสถานี Makomanai การเดินทางไปโจซังเคออนเซ็นใช้เวลา 50 นาที รถบัสจะออกทุกๆ 30-60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/9ag2crrshr2MkXop7

7. หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไร Kakunodate เป็นแหล่งเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัด Akita ด้วยบรรยากาศย้อนยุคในหมู่บ้านที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือน ถนนหนทางและอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ในหมู่บ้านที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เหมือนในอดีต รวมทั้งยังมีคฤหาสน์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยของเหล่าซามูไรหลงเหลืออยู่ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีเสน่ห์สวยแบบมีมนต์ขลังจนถูกเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครและภาพยนต์อยู่เนืองๆ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากโตเกียวนั่ง Akita Shinkansen มาลงที่สถานี JR Kakunodate แล้วเดินไปหมู่บ้านซามูไรประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Semboku, Akita, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZkDPPNW4qzWqAGtC6

8. คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi) สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่ในเขตจังหวัดนากาโน่ (Nagano) เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่เป็นจุดหมายในฝันของหลายคนที่ต้องหาโอกาสไปเยือนซักครั้ง คามิโคจิเปิดให้เข้าชมแค่เฉพาะวันที่ 17 เม.ย.-15 พ.ย. ของทุกปี ดังนั้นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจึงเป็นช่วงเวลาไฮไลท์ที่ห้ามพลาด กับบรรยากาศยอดภูเขาที่มีหิมะคลุมสลับกับต้นไม้สีส้มแดงและแม่น้ำสีฟ้า

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

หากนั่งรถบัสตรงมาจากโตเกียว (สถานีชินจูกุ สถานีโตเกียว และสถานีชิบูย่า) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง หรือนั่งรถไฟด่วนพิเศษอาซึสะ (Azusa) จากสถานีชินจูกุ มาลงที่สถานีมัตสึโมโตะ ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นก็ต่อรถบัสเพื่อไปยังคามิโคจิโดยใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Matsumoto, Nagano, Japan
https://maps.app.goo.gl/WoUvcJ9D9SkvgaYD8

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO World Heritage Sites)  นอกจากการขอพรกับเทพศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด ที่สามารถดื่มและขอพรได้ สำหรับจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีจะอยู่ที่บริเวณอาคารไม้หลังใหญ่ของวัด เป็นจุดยอดนิยมที่ใครๆ ก็ต้องขอมาถ่ายภาพ และสามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วย ช่วงค่ำจะมีการเปิดไฟ Light up ตั้งแต่เวลา 18.00-21.00 น. ที่ให้บรรยากาศอีกแบหนึ่งด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station เดินต่อประมาณ 20 นาที หรือนั่งรถบัสเมืองเกียวโตหมายเลข 100 หรือ 206 มาลงที่ป้าย Gojozaka หรือ Kiyomizu-michi จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Higashiyama Ward, Kyoto, Japan
https://maps.app.goo.gl/bXjhEAs6dDHbK6Uz8

10. ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ (Lake Ashinoko) ตั้งอยู่ในพื้นที่ฮาโกเน่ (Hakone) จังหวัดคานางาวะ (kanagawa) เกิดจากหลุมปล่องภูเขาไฟที่ปะทุเมื่อง 3,000 ปีที่แล้ว ทะเลสาบนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยภูเขาและป่าไม้ มีความสวยงามที่ไม่เหมือนใครและมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากมุมมองต่างๆ ทะเลสาบและพื้นที่รอบๆ มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเดินป่าและสัมผัสธรรมชาติ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

1. รถบัสจาก Odawara ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
2. รถบัสจาก Hakone-Yumoto ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 35 นาที
3. รถบัสจากสถานี Mishima ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
4. รถบัสจาก Gotemba ไป Togendai ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
5. รถบัสจาก Atami ไป Hokone-machi ใช้เวลาประมาณ 60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hakone, Kanagawa, Japan
https://maps.app.goo.gl/G7P8tZ391zvtHDFb9

11. ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

จากทะเลสาบทั้ง 5 แห่งใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi) เป็นทะเลสาบที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดจากโตเกียว ในวันที่อากาศแจ่มใสและเงียบสงบ คุณจะมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิในทะเลสาบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทะเลสาบแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะมีเทศกาล Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival ซึ่งเป็นเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยกันในทุกปี ทีมีการจัดประดับไฟแสงสีสุดอลังการในช่วงกลางคืนอีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

นั่งรถไฟจากสถานี JR Shinjuku ไปยังสถานี JR Otsuki สาย JR Chuo (ประมาณ 1 ชั่วโมง) จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นสาย Fuji Kyuko ไปยังสถานี Kawaguchiko (ไม่สามารถใช้ JR Rail Pass ได้) หรือนั่งรถบัส  Shinjuku Expressway ไปยังสถานี Kawaguchiko (ประมาณ 2 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

FuliKewaguchiko, Yamanashi, Japan
https://maps.app.goo.gl/WFQMdJMNQLeiHrGK7

12. สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่เลื่องลือในโตเกียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า กิงโกะ) เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร เป็นจุดที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ผู้คนจะมาเดินเล่นกันเพื่อชื่นชมความงามของทิวแถวต้นแปะก๊วยสีเหลืองอร่าม ดูงดงามราวกับภาพวาด และตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคมก็จะมีการจัดงานเทศกาลชมต้นแปะก๊วยที่จิงกูไกเอ็น ซึ่งมีการออกร้านขายของที่ระลึกประเภทงานฝีมือและอาหารต่างๆมากมาย และมีผู้คนมาเที่ยวชมงานกันเนืองแน่นครึกครื้น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

1. นั่ง Tokyo Metro Ginza ให้ลงสถานี Gaienmae และเดินต่อประมาณ 4 นาที
2. นั่งรถไฟใต้ดินโตเกียว สาย Hanzomon หรือ สาย Toei Oedo ให้ลงสถานี Aoyama Itchome ใช้เวลาเดินประมาณ 6 นาที
3. หากนั่งรถไฟ JR สาย Chuo/Sobu ลงสถานี Shinanomachi แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Shiniuku City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/AgzR1zj5sPpiA3xr5

13. ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) เหมาะกันการไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี แต่ใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมจะทำให้การเดินทางครั้งนี้ของคุณคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง คุณสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามได้ตลอดทาง ตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงยอดเขา ขอแนะนำให้ขึ้นกระเช้าจากสถานี Kiyotaki ที่เชิงเขาไปยังสถานี Takaosan บนเชิงเขา ระหว่างทางขึ้นภูเขา มีจุดชมธรรมชาติที่สวยงามมากมายและอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับการเดินป่าได้โดยไม่ต้องออกแรงมากเกินไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

สถานีที่ใกล้ที่สุดกับภูเขาทาคาโอะคือสถานี Takaosanguchi ของสาย Keio (จากสถานีชินจูกุใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

Hachio, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/MxHmphgLJ2ogju2A6

14. สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park) ตั้งอยู่ในเมืองนารา ซึ่งเมืองนาราเป็นสถานที่ที่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เนื่องจากเมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เช่น ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ วัดโคฟุกุจิ วัดโทไดจิ พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา สวนสาธารณะนารา และโชโซอิน เป็นต้น เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง สวนสาธารณะแห่งนี้จะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีสันสดใสที่ผสมผสานกับสถานที่สำคัญได้อย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

ที่สะดวกที่สุดคือการนั่งรถไฟจากเมือง Osaka สถานี Osaka-Namba สาย Kintetsu Line ลงสถานีปลายทาง Kintetsu Nara ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที แล้วเดินด้วยเท้าต่ออีก 1.2 กิโลเมตร ก็จะถึงสวนสาสาธารณะ Nara

ที่อยู่/แผนที่:

Nara, Japan
https://maps.app.goo.gl/NdcXWb7AyHygURdj6

15. หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารูโกะ(Naruko Gorge) เป็นหนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ ทุกปีในช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนทั่วทั้งบริเวณหุบเขาจะงดงามด้วยสีสันของใบไม้ นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว หุบเขาแห่งนี้กินพื้นที่ยาว 2 กิโลเมตรจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก จุดชมธรรมชาติที่ดีที่สุดคือบริเวณศาลา Narukokyo Resthouse เรื่อยไปทางทิศตะวันตกของหุบเขา ทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งคือสะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge) ที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวข้างศาลา

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

สถานีรถไฟที่ใกล้กับหุบเขานารุโกะที่สุดคือสถานี Nakayamadaira Onsen ซึ่งสามารถเดินไปยังหุบเขาได้ในเวลา 30 นาที หรืออีกวิธีหนึ่งคือนั่งแท็กซี่จากสถานี Naruko Onsen ไปยังหุบเขาได้ในเวลา 10 นาที และมีรถบัสให้บริการทุกชั่วโมงระหว่างสถานี Nakayamadaira Onsen และสถานี Naruko Onsen เฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยระหว่างทางมีจอดที่ Narukokyo Resthouse และ Japan Kokeshi Museum (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Naruko Gorge, Osaki, Miyagi, Japan
https://maps.app.goo.gl/81fERSxbwaBicMVu7

16. ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort) เป็นสกีรีสอร์ทที่ขนาดไม่ใหญ่นัก อยู่นอกเมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงที่หิมะยังไม่ตกจะมีกระเช้าลอยฟ้า Koyo Gondola วิ่งให้บริการเฉพาะช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้น ซึ่งจะค่อยๆ แล่นไต่ระดับจากพื้นดินขึ้นไปถึงสถานีบนยอดเขา ที่คุณสามารถชื่อชมภูเขาที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีที่อยู่เบื้องล่างและมองเห็นทะเลที่อย่ไกลออกไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

ขึ้นรถบัสจากสถานี Sapporo (Jotetsu Bus) ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Jozankei (60 นาที) และต่อรถ Kouyou Gondola Liner ไปที่รีสอร์ท (30 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/5en2eFLfZaufsoFe7

17. น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) หนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาทางทิศตะวันตกของ ภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka Prefecture) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากหิมะที่ละลายลงมาจากภูเขาไฟฟูจิ กลายเป็นม่านน้ำตกขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 150 เมตร และสูงประมาณ 20 เมตร สายที่ไหลลงมาดูพลิ้วไหวราวกับผ้าไหมสีขาว เมื่อกระทบสู่แอ่งน้ำด้านล่างก็เกิดเป็นละอองน้ำกระจายไปทั่วบริเวณ บรรยากาศสดชื่น ในช่วงฤดูใบไม่เปลี่ยนสี ต้นไม้ที่รายล้อมจะเปลี่ยนเป็นสีสันแดง เหลือง ส้ม ที่ดูงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสจากสถานีต่างๆ เช่น สถานีชินฟูจิ (Shin-Fuji Station) สถานีฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya Station) และป้ายรถบัสทะเลสาบฟูจิทั้ง (5 Fuji Five Lakes) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะแวะจอดที่ป้ายบริเวณน้ำตกชิราอิโตะ จากนั้นให้เดินจากถนนไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Fujinomiya, Shizuoka, Japan
https://maps.app.goo.gl/ateeBNFrnvTGRuyq6

18. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) หมู่บ้านชาวนาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงฮิดะ (Hida) ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) หมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่เกิดจากการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้าง และบ้านโบราณต่างๆ ภายในพื้นที่ให้คงอยู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ที่นี่เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยและโรแมนติกแห่งหนึ่ง ต้นไม้ ใบไม้ต่างๆ จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีน้ำตาลทั้งหมู่บ้าน และจุดที่ไม่ควรพลาดคือจุดชมวิวเท็นชุคาคุ (Tenshukaku Observatory) ที่อยู่มุมสูงมองเห็นหมู่บ้านได้ทั้งหมด

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟจากเมืองโอซาก้า (Osaka) หรือเมืองนาโกย่า (Nagoya) มาลงที่เมืองคานาซาวา (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน หรือนั่งรถไฟจากเมืองนาโกย่า (Nagoya) เข้าเมืองทาคายาม่า (Takayama) แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center อีกประมาณ 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Gifu, Japan
https://maps.app.goo.gl/GzAUKZH5SEbAH3uL7

19. จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

วิวใบไม้เปลี่ยนสีอันเลื่องชื่อเหนือแม่น้ำทาดามิจะอยู่บริเวณสะพานแม่น้ำทาดามิแห่งแรกเมื่อรถไฟออกจากอุโมงค์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามในเมืองฟุกุชิมะ รถไฟ Tadami Line เป็นรถไฟท้องถิ่นของจังหวัด Fukushima วิ่งระหว่างสถานี Aizu-Wakamatsu กับสถานี Aizu-Kawaguchi (เลยไปจนถึงสถานีปลายทาง Koide ในจังหวัด Niigata) ในหนึ่งวันวิ่งเพียงหกขบวนสำหรับขาไปและอีกหกขบวนสำหรับขากลับ การเดินทางมาชมรถไฟ Tadami line แนะนำให้พักโรงแรมแถวสถานีต้นทาง Aizu-Wakamatsu

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟ JR Tadami line จากสถานี Aizu-Wakamatsu (6.00 น.) ไปลงที่สถานี Aizu Miyashita (7.29 น.) จากนั้นนั่ง Micro-bus ต่ออีกประมาณ 5 นาทีไปลงที่จุดพักรถ (Michi no Eki Mishima Juku) ก่อนเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนเนินเขาใกล้ๆ จุดพักรถ

ที่อยู่/แผนที่:

Mishima, Fukushima, Japan
https://maps.app.goo.gl/LF7LrRHDNUSqkikT8

20. หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge) เป็นหุบเขารูปตัววีที่เกิดจากแม่น้ำโกคาเสะ (Gakase River) กัดกร่อนลาวาที่ไหลออกมาจากการปะทุของภูเขาไฟอะโซ (Mount Aso) เป็นเวลานับหมื่นปี ภาพของหน้าผาซึ่งมีความสูงถึง 100 เมตรและสูงเฉลี่ย 80 เมตร ทอดยาวเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตรนั้นงดงามตระการตาจนประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและเป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพที่งดงาม จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดคือน้ำตกมานาอิ (Manai Falls) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในน้ำตก 100 แห่งที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง พื้นที่รอบ ๆ น้ำตกก็จะเปลี่ยนสีไปด้วย ทำให้สามารถชมทิวทัศน์น้ำตกและใบไม้เปลี่ยนสีอันน่าทึ่งได้จากบนเรือ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

ให้เริ่มต้นจากเมืองคุมาโมโตะ หรือเมืองมิยาซากิ แล้วนั่งรถบัสจากเมืองคุมาโมโตะไปที่ทาคาจิโฮ หรือขับรถจากเมืองมิยาซากิใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ที่อยู่/แผนที่:

Takachiho, Miyazaki, Japan
https://maps.app.goo.gl/EWM3m7k3jpMCX1sM8

21. สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธาณะชิบะ (Shiba Park) เป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โด่งดังอยู่ใกล้กับโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) สวนนี้อยู่ล้อมรอบวัดโซโจ ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลโทกูงาวะ โชกุนที่มีตำแหน่งสูงสุดในนักรบซามุไรของญี่ปุ่นในสมัยก่อน เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดให้ได้เพลิดเพลินกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม ทั้งต้นเมเปิ้ล (โมมิจิ) หรือต้นแปะก๊วย เป็นต้น คุณสามารถชมโตเกียวทาวเวอร์พร้อมกับชมใบไม้เปลี่ยนสีไปด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากสถานีชิบะโคเอ็น (Shibakoen) รถไฟโทะเอสายมิตะ ก็จะออกมาที่หน้าสวนเลย  หากมาจากสถานีไดมน (Daimon) รถไฟโทะเอสายอาซากุสะ จะต้องเดินไปสวนอีก 7 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Minato City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/fqa6DeuzihFQLij88

22. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) แปลตามตัวได้ว่า วัดภูเขา มีชื่ออย่างเป็นทางการคือวัดริชชะคุจิ (Risshakuji Temple) ตั้งอยู่บนเขาในเมืองยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) และเป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยอาคารใหญ่ด้านหน้านั้นถูกกำหนดให้เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีส่วนต่างๆ ที่สร้างเอาไว้ในพื้นที่บนเขา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่าวัดภูเขา ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

ด้านล่างของวัดยามาเดระอยู่ห่างจากสถานี JR Yamadera โดยการเดิน 7 นาที หากขึ้นรถไฟชินคันเซ็น Hayabusa จากโตเกียวแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamagata ที่เมืองเซนได คุณจะไปถึงสถานี Yamadera ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษ

ที่อยู่/แผนที่:

Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/Q9cJmbHdsTP5MAM9A

23. สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge) คือสะพานสีแดงสด หากเดินทางโดยรถไฟโทะรกโกะ (Torokko Train) จากสถานีอุนะซุกิไม่ไกลนัก ก็จะผ่านสะพานที่ยาวที่สุดของบริเวณแม่น้ำคุโรเบะ โดยมีความยาวถึง 166 เมตร โดยเราสามารถมองเห็นสะพานชินยะมะบิโกะได้จากสถานีรถไฟ อุนะซุกิ (Unazuki Station), จุดชมวิวยามาบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) และจากสะพานจุดอื่นๆ จุดที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพของสะพานนี้คือจุดชมวิวยะมะบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) ใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีจากสถานีรถไฟอุนะซุกิ (Unazuki Station) คุณก็จะพบกับจุดถ่ายภาพนี้ ซึ่งต้นไม้เปลี่ยนสีบริเวณนี้มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดจึงทำให้เป็นจุดที่สวยงาม ด้วยสีสันที่หลากหลายของใบไม้ มีทั้งสีแดง สีส้ม สีเหลือง ตัดกับสีน้ำเงินของแม่น้ำคุโรเบะและสีแดงสดของสะพาน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากสถานี Toyama โดยสารรถไฟ JR Shinkansen ไปลงที่สถานี Kurobe Unazuki Onsen ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นคุณสามารถเดินไปยังจุดหมายได้ทันที

ที่อยู่/แผนที่:

Kurobe Gorge, Toyama, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZFCQq651nkT18r5c7

24. กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

Nikko-Shirane Ropeway เป็นกระเช้าลอยฟ้าประเภทกอนโดล่า อยู่ใน Marunuma Kogen Ski Resort กระเช้าจะเดินทางครอบคลุมระยะทาง 2,500 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างทางกระเช้าจะเคลื่อนตัวผ่านระหว่างภูเขา คุณจะได้พบกับวิวภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane) ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตจังหวัดกุนมะและโทจิงิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคคันโต (2,578 เมตร) และธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ ใบไม้ จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันหลากสีสัน สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล เป็นภาพของธรรมชาติที่สวยงามมากๆ ด้านบนมีร้านอาหาร จุดชมวิว มีเส้นทางเดินป่า 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปสักการะพระพุทธรูปหิน และแช่เท้าในน้ำพุร้อน ส่วนในฤดูหนาว Marunuma Kogen จะเปิดเป็นสกีรีสอร์ท กระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะเปิดให้บริการตลอดทั้งปี คุณสามารถเดินทางมาด้วยรถไฟและรถประจำทาง หรือรถประจำทางแบบด่วนจากโตเกียวในช่วงฤดูหนาวได้

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

  • นั่งรถไฟ Joetsu Shinkansen จากสถานี Tokyo ไปถึงสถานี Jomo-Kogen โดยใช้เวลาประมาณ 70 นาที 
  • ที่สถานี Jomo-Kogen ซึ่งเป็นประตูสู่พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของกุนมะ รถประจำทางจะจอดที่หน้าทางออกทิศตะวันออกของสถานี มีศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวใกล้ทางออกทิศตะวันออก รถประจำทางไปสถานี Numata และ Oze Tokura จะออกจากป้ายรถประจำทางหมายเลข 2 ที่หน้าสถานี 
  • แม้รถประจำทางที่ไป Oze Tokura บางส่วนจะเริ่มต้นจากสถานี Jomo-Kogen แต่ส่วนใหญ่จะออกจากสถานี Numata ขึ้นรถประจำทางสาย Sarugakyo (Kan-etsu Transportation) ไปยังสถานี Numata ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที 
  • จากสถานี “Numata” บนสาย JR Joetsu Line นั่งรถบัสท้องถิ่น Kan-etsu Kotsu และลงที่ป้าย “Kamata” การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เวลาบนตารางเวลาบริการรถประจำทางอาจแตกต่างกันในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว 
  • จากนั้นขึ้นรถบัสที่มุ่งหน้าไปยัง Marunuma Kogen Ski Resort โดยขึ้นรถประจำทางKan-etsu Transportationที่มุ่งหน้าไปยังยุโมโตะ ออนเซ็นและลงที่ป้าย Mt. Nikko-Shirane Ropeway ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ปกติแล้วในวันที่กระเช้าลอยฟ้าเปิดให้บริการจะมีบริการรถรับส่งฟรีจากป้ายรถบัส Kamata รถรับส่งจะจอดรับผู้โดยสารบริเวณใกล้จุดจำหน่ายตั๋วกระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะ

    คุณสามารถคลิกดูวิธีการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่อยู่/แผนที่:

Gunma, Japan
https://maps.app.goo.gl/ibsEopnhMV6sUfw38

25. สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi) เส้นทางขับรถเส้นนี้เป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีวิวที่สวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้โดยรอบพื้นที่จะถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของใบไม้ที่มีหลากหลายสีสัน มีทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล สลับกันไป ทำให้ทัศนียภาพของพื้นที่โดยรอบสวยงามดุจดั่งภาพวาดอันน่าทึ่ง “สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge)” เป็นสะพานสะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่าที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หากมองจาก “สะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge)” คุณจะได้เห็นเห็นทิวทัศน์ของ สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) ที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติทั้งภูเขา ป่าไม้ ท้องฟ้า และก้อนเมฆ เป็นภาพที่งดงามและโรแมนติก

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ช่วงปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากโซอุนเคียว อนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง Mikuni Pass 
2. จากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZQ5VLWxsmgvzKNyr9

การเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราควรวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า เนื่องจากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อชมความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบวางแผนการเดินทางและจองที่พักตามสถานที่ ที่เราต้องการเดินทางไปให้พร้อม และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : facebook: ibaraki.thai, conomi.co, aomori-tourism.com, japan-guide.com, alpico.co.jp, japan.travel, en.japantravel.com, jnto.or.th, sapporo-kokusai.jp, visit.gunma.jp, whc.unesco.org

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

อัปเดต! 36 ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับคนไทย ปี 2568

(อัปเดต 15 สิงหาคม 2568) การเดินทางไปต่างประเทศไม่จำเป็นต้องยุ่งยากกับขั้นตอนการขอวีซ่าเสมอไป เพราะปัจจุบันผู้ถือพาสปอร์ตไทยสามารถท่องเที่ยวได้มากถึง 36 ประเทศแบบ ไม่ต้องขอวีซ่า เพียงแค่เตรียมกระเป๋าและซื้อตั๋วเครื่องบินก็พร้อมออกเดินทางได้ทันที Allianz Travel ได้รวบรวม ลิสต์อัปเดตล่าสุด มาให้ เพื่อช่วยให้การวางแผนทริปของเพื่อน ๆ ง่ายขึ้น และเลือกจุดหมายที่ตรงใจกว่าเดิม จะมีประเทศไหนบ้าง มาดูกันเลย

ข้อควรรู้ก่อนการเดินทาง

ถึงแม้ว่าเราไม่ต้องขอวีซ่าในการเดินทางเข้าประเทศเหล่านั่น แต่เราก็ควรเตรียมเอกสารติดตัวไปให้พร้อม กรณีที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศปลายทางเรียกตรวจสอบ เราก็ต้องแสดงหลักฐานให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเราเดินทางมาท่องเที่ยว โดยไม่มีเจตนาอื่นที่ผิดกฎหมาย Allianz Travel ขอแนะนำให้เตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ติดตัวไปด้วย

  • หลักฐานการทำงาน เช่น หนังสือรับรองการทำงาน บัตรพนักงาน หรือถ้าเป็น Freelance ก็แสดงผลงานของเรา หรือถ้ายังเป็นนักเรียน นักศึกษาก็แสดง สถานะการเรียน หรือใบรับรองการศึกษา
  • สมุดบัญชีที่มีการเคลื่อนไหว
  • ตั๋วโดยสารเครื่องบินทั้งขาไป และขากลับ
  • หลักฐานการจองที่พัก
  • แผนการเดินทางอย่างละเอียด

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้ 14 วัน

• โอมาน

• เมียนมา (พม่า) (*เฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ)

• ไต้หวัน (สิ้นสุด 31 ก.ค. 2569) (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไต้หวันได้ที่บทความ: 10 กิจกรรมที่ควรทำเมื่อไป เที่ยวไต้หวัน)

• บรูไน

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้ 15 วัน

• ญี่ปุ่น (สิ้นสุด 1 ส.ค. 2569) (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้ที่บทความ: เที่ยวญี่ปุ่น ไปได้ทั้งปี สัมผัสความงามได้ทุกฤดู)

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  30 วัน

• จีน (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจีนได้ที่บทความ:เที่ยวจีน ต้อนรับฟรีวีซ่า กับ 8 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม)

• ฮ่องกง

• อินโดนีเซีย

• ลาว

• มาเก๊า

• มองโกเลีย

• ทาจิกิสถาน

• มาเลเซีย

• มัลดีฟส์

• ฟิลิปปินส์

• ติมอร์-เลสเต

• รัสเซีย

• หมู่เกาะเซเชลส์

• สิงคโปร์ (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวสิงคโปร์ได้ที่บทความ: 10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ สุดฮิต 2022 ที่ไม่ควรพลาด!)

• แอฟริกาใต้

• ตุรกี

• เวียดนาม (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเวียดนามได้ที่บทความ: 12 ที่เที่ยวเวียดนาม 2022 ที่ควรเก็บไว้ในลิสต์)

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  60 วัน

• กัมพูชา

• คีร์กีซ หรือ คีร์กีซสถาน (สิ้นสุด 31 ธ.ค. 2568)

• ซามัว

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  90 วัน

• อาร์เจนตินา

• บราซิล

• ชิลี

• ปานามา

• เอกวาดอร์

• เปรู

• แอลเบเนีย (สิ้นสุด 31 ธ.ค. 2568)

• เกาหลีใต้ (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ได้ที่บทความ: 10 ที่เที่ยวเกาหลี 2022 ไม่ควรพลาด)

• เฮติ

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  365 วัน

• จอร์เจีย (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจอร์เจียได้ที่บทความ: 13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส)

หมายเหตุ: เนื่องจากเป็นการอนุญาตของประเทศปลายทางซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรุณาตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งก่อนเดินทางที่สถานทูตของประเทศปลายทางที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือที่กระทรวงการต่างประเทศดังนี้

  • กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ 02 643 5128
  • กรมยุโรป 02 643 5138
  • กรมเอเชียตะวันออก 02 643 5194
  • กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 02 203 5000 ต่อ 12015

ประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าล่วงหน้า แต่สามารถขอ Visa on Arrival (VOA) ได้

นอกจากประเทศที่เราสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว ยังมีอีก 30 ประเทศที่อนุญาตให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติไทยสามารถขอ Visa on Arrival หรือ VOA ได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้นๆ ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

ประเทศ/ดินแดนพำนักได้ไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียม
บาร์เรน14 วัน5 ดีนาร์บาร์เรน (สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดา ที่ด่านท่าอากาศยานนานาชาติและสะพานข้ามแดนซาอุฯ – บาร์เรน)
โบลิเวีย30 วัน135 เหรียญสหรัฐ (เฉพาะวีซ่าประเภทท่องเที่ยว)
ฟิจิ4 เดือนไม่มีค่าธรรมเนียม
จอร์แดน30 วัน40 ดีนาร์จอร์แดน
คีร์กีซสถาน15 วัน/1 เดือน50 เหรียญสหรัฐ/60 เหรียญสหรัฐ (สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดา)
เนปาล15 วัน25 เหรียญสหรัฐ
30 วัน40 เหรียญสหรัฐ
90 วัน100 เหรียญสหรัฐ
นิการากัว30 วัน10 เหรียญสหรัฐ
นีวเว (นีอูเอ)30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
โอมาน30 วัน20 เรียลโอมาน
หมู่เกาะโซโลมอน3 เดือนไม่มีค่าธรรมเนียม
ติมอร์-เลสเต30 วัน30 เหรียญสหรัฐ
เบนิน30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
บุรุนดี30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
กาบูเวร์ดี30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
คอโมโรส45 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
หมู่เกาะคุก31 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
เอธิโอเปีย90 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
กินี-บิสเซา90 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
มาลาวี30 / 90 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
มอริเชียส60 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
นามิเบีย90 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
ปาเลา30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
กาตาร์30 วัน/1 เดือนไม่มีค่าธรรมเนียม
รวันดา30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
ซาอุดีอาระเบีย90 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
เซเนกัล30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
เซเชลส์90 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
เซียร์ราลีโอน30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
ตูวาลู40 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
วานูวาตู30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม

หมายเหตุ: การขอ Visa on Arrival อาจมีค่าธรรมเนียมตามแต่ละประเทศ และข้อมูลต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรุณาตรวจสอบกับประเทศปลายทางให้แน่ชัดอีกครั้งก่อนเดินทาง ***

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องวีซ่าแล้ว แต่เราก็ยังต้องเตรียมตัวและข้าวของจำเป็นให้พร้อมก่อนเดินทางเพื่อให้การเดินทางของเราราบรื่น เที่ยวสนุก ปลอดภัย และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติมจากที่วางแผนไว้ และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ การซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ ที่จะช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ข้อมูลปรับปรุง: 15 สิงหาคม 2568

ขอบคุณข้อมูลจาก : mfa.go.th

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel