ทำความรู้จักกับซูชิ อาหารญี่ปุ่น ยอดนิยม

ทำความรู้จักกับซูชิ อาหารญี่ปุ่น ยอดนิยม

เมื่อพูดถึงอาหารญี่ปุ่น เกือบจะทุกคนต้องนึกถึงซูชิมาก่อนเป็นอันดับแรกๆ นอกจากเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษแล้ว ซูชิยังเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมสำหรับคนไทยและอีกหลาย ๆ ชาติทั่วโลก 

ซูชิเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และกรดโอเมก้าสูง การทำซูชิเกือบจะเหมือนกับงานศิลปะที่ผ่านการฝึกฝนมาหลายทศวรรษ วันนี้ Allianz Travel จะพาไปรู้จักกับซูชิกันให้มากขึ้น ทั้งประเภทของซูชิ รวมถึงเคล็ดลับและมารยาทในการรับประทานซูชิที่ถูกต้องด้วย เพื่อให้คุณได้ทั้งความอร่อยและอิ่มเอมกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปพร้อม ๆ กัน

ประวัติของซูชิ

ต้นกำเนิดของ “ซูชิ” มาจากความต้องการที่จะถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น เริ่มจากรูปแบบของการเก็บรักษาปลาที่นำเข้ามาในญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 8 จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการห่อปลาที่ควักไส้ออกหมดในข้าวหมัก ทำให้สามารถเก็บปลาไว้ได้นานหลายเดือน และภายหลังก็ได้มีการพัฒนารูปแบบมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นซูชิที่มีลักษณะและรูปแบบที่หลากหลายตามวัฒนธรรมและรูปแบบการทำอาหารของแต่ละภูมิภาคในประเทศญี่ปุ่น

อาหารญี่ปุ่น ซูชิ แซลมอน

ประเภทของซูชิ

ซูชิในญี่ปุ่นมีหลากหลายประเภทจนยากที่จะบอกจำนวนที่แน่ชัดได้ เพราะมีวิธีการปรุงซูชิที่แตกต่างกันมากมาย และยังมีซูชิระดับภูมิภาคทั่วประเทศที่ใช้อาหารพื้นเมืองมาใส่ประกอบกันด้วย เช่น อาหารทะเลบางชนิดที่มีอยู่แค่ในบางพื้นที่

1. นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi)

นิงิริซูชิ เป็นซูชิหน้าตามาตรฐานที่คนส่วนใหญ่รู้จัก มีความหมายว่า “ซูชิแบบใช้มือปั้น” นิงิริซูชิทําจากข้าวปั้นก้อนเล็กๆ โปะหน้าด้วยปลาดิบที่โชว์สีสันสดใสน่าทาน นอกจากใช้ปลาหลากหลายชนิดแล้ว ยังใช้วัตถุดิบอื่นๆ อย่างเช่น กุ้ง ปลาหมึก ไข่หวานญี่ปุ่น (ทามาโกะยากิ) เนื้อดิบหรือเนื้อที่จี่พอสุก และอาจป้ายวาซาบิไว้ระหว่างข้าวและหน้าที่โปะอยู่ด้านบนเพื่อเพิ่มรสชาติเข้าไปด้วยก็ได้ นิงิริซูชิทีดีนั้นจะมีสมดุลย์ของปริมาณข้าว รสชาติของข้าว วาซาบิ และปริมาณเนื้อปลา เป็นศาสตร์อาหารที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างเข้มงวด นิงิริซูชิที่เป็นที่นิยมได้แก่

• แซลมอนนิงิริ ประกอบด้วยปลาแซลมอนดิบชิ้นหนาโปะบนข้าวที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู หรือคนที่ไม่ชอบกินเนื้อปลาดิบ ก็อาจรับประทานในรูปแบบ “อาบูริ” ที่เอาปลาแซลมอนไปย่างไฟเร็วๆ ก่อนเสิร์ฟ 

• มากุโระนิงิริ หรือ ปลาทูน่านิงิริ เป็นหนึ่งในปลาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีหลายประเภทตามสายพันธุ์และเนื้อปลาส่วนต่างๆ ทําให้ปลาทูน่านิงิริมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย เช่น ปลาทูน่านิกิริที่ผอมที่สุดเรียกว่า “อาคามิ” ซึ่งโดยทั่วไปจะมีสีแดงและเนื้อสัมผัสเหนียว “Chutoro” เป็นปลาทูน่าที่อ้วนกว่าและมีสีอ่อนกว่าเล็กน้อย การตัดไขมันที่สุดเรียกว่า “otoro” ซึ่งมักจะเป็นสีชมพูอ่อนและนุ่มพอที่จะละลายในปาก

อาหารญี่ปุ่น : นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi)

2. มากิซูชิ (Maki Sushi)

มากิซูชิหมายถึง “ซูชิม้วน” หรือ “Sushi Roll” ซึ่งเรียกจากวิธีที่ทำซูชิชนิดนี้ โดยเริ่มจากการวางส่วนผสมต่างๆ จัดเรียงบนข้าวปั้นซูชิและชั้นล่างสุดเป็นสาหร่ายแผ่นที่เรียกว่า “โนริ” วางบนเสื่อไม้ไผ่ จากนั้นก็ม้วนให้เป็นแท่งยาวๆ แล้วหั่นเป็นชิ้นเท่าๆ กัน ปัจจุบันมากิซูชิมีหลากหลายประเภท เราจะยกตัวอย่างแบบที่เป็นที่นิยมค่ะ

ฟุโตมากิ (Futomaki) มีความหมายว่า “ซูชิที่ม้วนหนา” และ.ใส่ไส้รวมหลากหลายชนิด โดยปกติจะใส่แตงกวา หัวไชเท้าดอง ไข่ม้วน และเห็ดหอม ฟุโตมากิเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น ที่มักจะนำไปรับประทานในงานเทศกาล หรือเป็นส่วนหนึ่งของอาหารในกล่องเบนโตะ

อาหารญี่ปุ่น : Futomaki

โฮโซมากิ (Hosomaki) มีความหมายว่า “ซูชิที่ม้วนบาง” มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของฟุโตมากิ ถือเป็นมากิซูชิแบบพื้นฐานที่สุดที่ใส่ไส้เพียงแค่ 1-2 อย่าง อย่างเช่น แตงกวา ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือปูอัด เป็นมากิซูชิที่ขนาดเล็กที่สุดและเรียบง่ายที่สุด

อาหารญี่ปุ่น : มากิซูชิ (Maki Sushi) - โฮโซมากิ (Hosomaki)

3. อุรามากิซูชิ (Uramaki Sushi)

อุรามากิซูชิมีความคล้ายมากิซูชิหลายอย่าง แต่ความแตกต่างที่สำคัญคืออุรามากิจะม้วนด้านในออกด้านนอก โดยมีข้าวอยู่ด้านนอก ตามด้วยแผ่นโนริและซูชิไส้ตรงกลาง อุรามากิมีให้เลือกหลากหลายไส้ ตั้งแต่อาหารทะเลปรุงสุกและดิบ ผัก และบางครั้งก็อาจมีอะไรพิเศษวางประดับอยู่ด้านบนด้วย

อาหารญี่ปุ่น : อุรามากิซูชิ (Uramaki Sushi)

4. เทมากิซูชิ (Temaki Sushi)

เทมากิ มีความหมายว่า “ม้วนด้วมือ” ในภาษาญี่ปุ่น สามารถทำได้ง่ายมาก ด้วยการใส่ข้าวบนแผ่นโนริ แล้วใส่อาหารทะเล 1-2 ประเภท เช่น ปลาแซลมอนหรือทูน่า รวมทั้งผักอย่างอะโวคาโด แตงกวา และใบผักกาดหอม จากนั้นนำแผ่นโนริมาม้วนด้วยมือโดยไม่ต้องใช้เสื่อมากิสุให้เป็นรูปทรงกรวยและรับประทานได้เลย โดยทั่วไปแล้วหลังจากทำเทมากิเสร็จ ควรจะรับประทานในทันที

อาหารญี่ปุ่น : เทมากิซูชิ (Temaki Sushi)

5. กุงกังมากิซูชิ (Gunkanmaki Sushi)

กุงกัง แปลว่า ‘เรือ’ ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเปรียบเหมือนลักษณะของซูชิประเภทนี้ที่คล้ายกับเรือรบ กุงกังมากิเป็นซูชิที่ใช้สาหร่ายห่อข้าวที่วางเป็นฐานไว้ แล้วโรยหน้าด้านบนด้วยหน้าที่ไม่สามารถวางบนนิงิริซูชิได้ อย่างเช่น ไข่หอยเม่น (อุนิ) ไข่ปลาแซลมอน (อิคุระ) ปลาทูน่าปรุงรส หรือสลัดต่าง ๆ

อาหารญี่ปุ่น : กุงกังมากิซูชิ (Gunkanmaki Sushi)

6. ชิราชิซูชิ (Chirashi-zushi)

ชิราชิซูชิ แปลตรงตัวว่า ‘ซูชิที่กระจัดกระจาย’ ประกอบด้วยชามซูชิที่มีข้าวคลุกน้ำส้มสายชู ปลาดิบและส่วนผสมอื่นๆ ด้านบน ชนิดของปลาดิบที่ใช้แตกต่างกันไปและที่นิยมมากที่สุดคือปลาแซลมอนและปลาทูน่า นอกจากนี้มักจะโรยหน้าด้วยไข่ฝอย โนริ และไข่ปลาแซลมอนด้านบน เพื่อรสชาติที่ชวนน้ำลายสอและมีสีสัน อาหารจานนี้ง่ายต่อการเตรียมและเป็นที่นิยมในฐานะอาหารสำหรับงานปาร์ตี้ เนื่องจากสามารถทำจานใหญ่และแชร์ได้ง่าย เราแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลองปลาหลากหลายชนิดหรือหลายชนิดในราคาถูก

อาหารญี่ปุ่น : ชิราชิซูชิ (Chirashi-zushi)

7. อินาริซูชิ (Inari Sushi)

แทนที่จะห่อซูชิด้วยแผ่นสาหร่ายหรือโนริ อินาริซูชิทำจากเต้าหู้ทอดแผ่นบางหรือที่เรียกว่าอาบูเระอาเกะ ปรุงรสด้วยมิริน เกลือ น้ำตาล และดาชิ แล้วยัดไส้ซูชิเข้าไป ซึ่งมีทั้งข้าว ปลาดิบและผัก บางที่ก็นำไข่บางๆ มาทำเป็นตัวห่อแทนแผ่นเต้าหู้ แต่รสชาติจะหวานกว่า ในร้านอาหารญี่ปุ่นบางแห่ง อินาริซูชิจะทำจากอาบุระอาเกะยัดไส้ด้วยชิราชิซูชิเป็นอาหารสั่งกลับบ้าน ที่น่าสนใจคืออินาริซูชิเป็นที่รู้จักกันในชื่อต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ ของญี่ปุ่น ขึ้นอยู่กับรูปร่างและประเภทของส่วนผสมที่ใช้

อาหารญี่ปุ่น : อินาริซูชิ (Inari Sushi)

8. นาเระซูชิ (Nare Sushi)

นาเระซูชิ เป็นซูชิแบบโบราณที่เกิดจากการถนอมอาหารเพื่อให้เก็บไว้ได้เป็นเวลานาน เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 ถือเป็นต้นกำเนิดของซูชิ โดยการหมักปลากับข้าวและเกลือเป็นเวลาหลายเดือนถึงหลายปีจนมีรสเปรี้ยว (คล้ายกับการทำปลาส้ม) ก่อนที่จะนำออกมารับประทาน สมัยก่อนเมื่อดองเสร็จจะทิ้งข้าวไป และบริโภคแต่ปลาเท่านั้น ปัจจุบัน นาเระซูชิมักไม่ค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากมีรสชาติที่พิเศษมาก อย่างไรก็ตามฟูนะซูชิ (Funazushi) ของจังหวัดชิงะยังคงได้รับความนิยม ซึ่งทำจากปลานิโกโรบุนะจากทะเลสาบบิวะที่อยู่ใกล้เคียง หมักด้วยเทคนิคการแปรรูปอาหารที่ซับซ้อนมาช้านาน และใช้เวลาถึง 5 ปี แม้จะมีกลิ่นเหม็นมาก แต่ถือเป็นอาหารหรู ราคาต่อจานมีราคาแพง

อาหารญี่ปุ่น : นาเระซูชิ (Nare Sushi)
ขอบคุณรูปภาพจาก : thefirstultimate.com

9. โอชิซูชิ (Oshi-zushi)

คำว่าโอชิ (押し) แปลว่า กดหรืออัด ซึ่งเรียกตามกรรมวิธีที่ใช้ทำซูชิชนิดนี้ โดยการนำเอาข้าวผสมน้ำส้มสายชูอัดลงในกล่องทรงสี่เหลี่ยม วางด้านบนด้วยเนื้อปลาแล้วกดให้แน่นติดกัน มีลักษณะตามทรงของกล่องที่อัดข้าวลงไป ก่อนรับประทานจะตัดเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำตามรูปทรงที่ต้องการ เช่น ตัดเป็นสี่เหลี่ยม หรือสามเหลี่ยม โอชิซูชิมีหลายประเภท เช่น โคเคระซูชิ (Kokera sushi) ของแถบจังหวัดโคจิ จะใส่ปลา แครอทและเห็ดหอมซ้อนกันหลายชั้นแล้วตัดเป็นชิ้นเล็กทีละชั้น หรือฮาโกะซูชิ (Hako sushi) ของแถบโอซาก้าที่นำมาซ้อนกัน 2-4 ชั้น เป็นต้น

อาหารญี่ปุ่น : โอชิซูชิ (Oshi-zushi)

วิธีรับประทานซูชิที่ถูกต้อง

เราสามารถรับประทานซูชิได้ 2 แบบ คือการใช้ตะเกียบหรือรับประทางด้วยมือ

• วิธีรับประทานซูชิด้วยตะเกียบ

จับตะเกียบสบายๆ เหมือนจับดินสอ แล้วพลิกด้านบนที่เป็นเนื้อปลาลงไปจิ้มโชยุ โดยใช้ตะเกียบคีบซูชิจากตรงกลาง แล้วพลิกด้านข้างก่อนจะนำลงไปจิ้มบนโชยุประมาณหนึ่งในสามหรือครึ่งหนึ่งของชิ้นปลา

• วิธีรับประทานซูชิด้วยมือ

การพลิกซูชิด้วยตะเกียบจะค่อนข้างยากสำหรับผู้เริ่มต้น สำหรับผู้ที่ยังไม่เชี่ยวชาญการใช้ตะเกียบ คุณสามารถใช้มือได้หยิบซูชิได้ ด้วยการพลิกซูชิด้วยนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางเพื่อให้ส่วนของปลาสัมผัสกับลิ้นของคุณ

สิ่งที่มาคู่กับซูชิ

ซูชิมักจะมากับเครื่องเคียง 3 อย่างดังนี้

โชยุ – ซูชิเกือบทุกประเภทรับประทานกับโชยุ หรือซอสถั่วเหลือง เราควรเทโชบุลงในจานกลมเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยคีบซูชิมาจิ้มก่อนรับประทาน
วาซาบิ – นิกิริซูชิส่วนใหญ่มาพร้อมกับวาซาบิ เพื่อช่วยเพิ่มความอร่อยของซูชิโดยใส่ลงไปเล็กน้อย และเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาหารเป็นพิษด้วย บางครั้งคนที่ไม่คุ้นชินเมื่อรับประทานวาซาบิเข้าไปก็อาจทำให้ฉุนขึ้นจมูกเลยก็ได้ค่ะ
ขิงดอง – ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าโชกะหรือวาการิ ทำจากขิงหั่นบาง ๆ ดองในน้ำส้มสายชูหวาน มีรสเปรี้ยวอมหวาน มันจะช่วยล้างรสชาติของสิ่งที่คุณรับประทานไปล่าสุด เพื่อให้ต่อมรับรสในปากของคุณพร้อมรับรับรสชาติใหม่จากซูชิชิ้นต่อไป คุณสามารถรับประทางซูชิกับขิงดองจิ้มโชยุให้คำเดียวกันก็ได้ นอกจากนี้ขิงดองยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและช่วยป้องกันอาหารเป็นพิษ โดยปกติแล้วจะเสิร์ฟมาพร้อมกับซูชิด้วย

เคล็ดลับและมารยาทในการรับประทานซูชิ

• อย่าใส่น้ำหอมมากเกินไป เพราะจะทำให้รสชาติของซูชิเพี้ยนไป
• เราสามารถรับประทานซูชิโดยใช้มือหรือตะเกียบก็ได้ ยกเว้นซาซิมิที่ใช้เฉพาะตะเกียบคีบเท่านั้น
• เพื่อให้การรับประทานซูชิมีอรรถรสขึ้น จะต้องเรียงลำดับจากปลารสอ่อนไปยังรสจัด โดยสามารถเรียงจากสีปลาที่อ่อนสุดไปจนเข้มสุด จากนั้นจึงตามด้วยซูชิหน้าไข่ปลา หรือไข่หอยต่าง ๆ ต่อด้วยของย่าง และจบที่ไข่หวาน
• การรับประทานซูชิหน้าปลาหมึกหรือทาโกะซูชิให้ไม่เสียรสชาติ เราจะไม่นำไปจิ้มกับโชยุ แต่จะบีบมะนาว แล้วจิ้มเกลือแทน เพื่อรสชาติที่กลมกล่อม
• หลายคนมักเจอปัญหาการจิ้มซูชิหน้าไข่ปลา (Gunkan sushi) บนโชยุ เพราะไข่ปลามักจะตกลงในโชยุ เราควรใช้ขิงดองจิ้มโชยุ แล้วนำมาทาบนซูชิไข่ปลาก่อนรับประทาน
• ดื่มชาหรือโชกะเพื่อทำความสะอาดเพดานปากและทำให้ปากสดชื่น ซึ่งชายังทำหน้าที่เป็นสารต้านแบคทีเรียด้วย
• ควรรับประทานซูชิให้หมดในคำเดียว เพื่อรับรสชาติที่กลมกล่อมของข้าวและส่วนผสมไปพร้อมกัน ถ้าคิดว่าไม่สามารถทานในคำเดียวได้ ให้แจ้งพนักงานเพื่อขอข้าวน้อยลงได้ ไม่ควรรับประทานปลาและข้าวแยกกัน
• ควรรับประทานซูชิทันทีที่เสิร์ฟ เพื่อรักษารสชาติใหม่สดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูชิที่มีสาหร่าย
• ถ้าคุณไม่ชอบวาซาบิ ควรแจ้งเชฟไว้ล่วงหน้า เพราะซูชิเกือบทุกชิ้นจะแต้มวาซาบิไว้ระหว่างข้าวกับปลา และในทางกลับกัน หากคุณชอบวาซาบิจริงๆ คุณสามารถขอเพิ่มได้
• อย่าลืมพูดว่า “อิตาดากิมัส (ขอรับประทานแล้วนะ)” ก่อนรับประทานอาหาร และพูดว่า “โกะจิโซซามะ (ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร) หลังรับประทานอาหารด้วย

หากเดินทางไปญี่ปุ่น ซูชิเป็นเมนูที่ต้องลองเป็นอย่างยิ่ง เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรมีอยู่ในลิสต์สิ่งที่ควรทำเมื่อไปถึงญี่ปุ่น คุณไม่จำเป็นต้องกังวลกับกฎและพิธีการมากเกินไป แค่สนุกกับการลองเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่แตกต่างไปจากประเทศไทย สัมผัสกับบรรยากาศและให้รางวัลตัวเองด้วยซูชิที่น่าตื่นตาตื่นใจและสนุกไปกับมัน

ใครที่วางแผน เที่ยวญี่ปุ่น ก็ควรเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com, byfood.com, masterclass.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

ทำความรู้จัก JR Pass ตัวช่วยการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น

ทำความรู้จัก JR Pass ตัวช่วย การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น

ใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่น คงวุ่นวายกับการวางแผนการเดินทางเพื่อเก็บให้ได้ทุกเมืองที่อยากไปและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด แต่ค่าเดินทางในประเทศญี่ปุ่นมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นใครที่อยากไปครั้งเดียวเที่ยวให้ครบจบทุกไฮไลท์ ก็อาจจะต้องเสียค่าตั๋วรถไฟจนกระเป๋าฉีกแน่ สิ่งที่จะมาช่วยเราเรื่อง การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ได้ก็คือเจ้าตั๋ว JR Pass หรือชื่อเต็มคือ Japan Rail Pass ซึ่งเป็นตั๋วรถไฟแบบเหมาจ่ายสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ JR ซึ่งไปได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น (Shinkansen) ด้วย

Allianz Travel รวบรวมเรื่องควรรู้ก่อนซื้อตั๋ว JR Pass เพื่อให้ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด และหากคุณไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มตรงไหนดี ลองอ่านดูเลยค่ะ!

Shinkansen

JR Pass คืออะไร

JR Pass หรือชื่อเต็มคือ Japan Rail Pass เป็นบัตรโดยสารรถไฟที่คุ้มค่ามากสำหรับการเดินทางโดยรถไฟทางไกลในญี่ปุ่น และใช้ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้อง การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น ผู้ถือ JR Pass สามารถใช้บริการบริษัทรถไฟในเครือ JR ได้ถึง 6 แห่ง (JR ฮอกไกโด, JR ตะวันออก, JR ส่วนกลาง, JR ตะวันตก, JR ชิโคคุ และ JR คิวชู) สามารถใช้โดยสารรถไฟ JR รวมถึงรถไฟชินคันเซ็น และที่นั่งแบบจองล่วงหน้า (Reserved Seat) ในรถไฟด่วนพิเศษ รถบัสประจำทาง และเรือเฟอร์รี่ได้เกือบทั้งหมดทั่วญี่ปุ่นโดยไม่จำกัดเที่ยว ยิ่งเราเดินทางด้วยรถไฟของ JR เยอะ เราก็จะยิ่งประหยัดค่าเดินทางได้มากในราคาที่คนญี่ปุ่นเองต้องอิจฉา

JR Pass ใช้กับการเดินทางประเภทไหนบ้าง

คุณสามารถใช้ JR Pass ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้งบนเครือข่ายต่อไปนี้:

รถไฟในเครือ JRรถไฟในเครือข่าย JR (การรถไฟญี่ปุ่น) ทั่วประเทศรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) เกือบทุกขบวน (ไม่รวมขบวน Nozomi และ Mizuho) รถด่วนพิเศษ (Limited Express) รถด่วน (Express) รถเร็ว (Rapid) และรถไฟธรรมดา (Local)
โตเกียวโมโนเรล (Tokyo Monorail)เดินทางไปกลับระหว่างสนามบินฮาเนดะกับโตเกียว
เรือเฟอร์รี่ JR Miyajimaนั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะมิยาจิมะ
รถไฟบางขบวนที่ไม่ใช่ของ JR(เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR)ผู้ถือบัตร JR Pass สามารถขึ้นรถไฟที่ไม่ใช่ของ JR บางสายเพื่อไปเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟ JR เท่านั้น ได้แก่
– รถไฟสาย Aoimori เมื่อขึ้นที่ Aomori, Noheji และ Hachinohe เท่านั้น เพื่อไปต่อ JR Ominato ไปยังคาบสมุทร Shimokita
– รถไฟสาย IR Ishikawa ที่วิ่งระหว่าง Kanazawa และ Tsubata เพื่อไปต่อสาย JR Nanao ไปยังคาบสมุทร Noto
– รถไฟสาย Ainokaze Toyama ที่วิ่งระหว่าง Toyama และ Takaoka เพื่อไปต่อสาย JR Himi Line และ JR Johana Line
รถบัสประจำทาง JRรถบัสประจำทางที่ดำเนินการโดยบริษัท JRดังต่อไปนี้:
– ยามากุจิ – ฮางิ
– สถานีเกียวโต – เรียวอันจิ – ทาคาโอะ
– สถานีคานาซาว่า – เค็นโรคุเอ็น
– สถานีโตเกียว – ศูนย์นิทรรศการนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Exhibition Center)
– รถบัส JR ไปทะเลสาบโทวาดะ
– รถบัสท่องเที่ยว JR ในฮิโรชิมา
– รถบัส JR ที่วิ่งรอบซัปโปโร
– รถบัสประจำทาง JR ไปคุซัตสึ ออนเซ็น (Kusatsu Onsen) ในจังหวัดกุนมะ

JR Pass มีแบบไหนบ้าง

JR Pass มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่เดินทางเดินทางไม่จำกัดได้ทั่วประเทศ ในบางพื้นที่ หรือในภูมิภาคที่กำหนด นอกจากนี้ยังแยกประเภทออกตามจำนวนวันและคลาสที่นั่งอีกด้วย ตารางด้านล่างเป็นราคาสำหรับ JR Pass ที่เดินทางได้ทั่วประเทศ

จำนวนวันเดินทางOrdinaryGreen Car
ผู้ใหญ่เด็กผู้ใหญ่เด็ก
7 วัน29,650 เยน14,820 เยน39,600 เยน19,800 เยน
14 วัน47,250 เยน23,620 เยน64,120 เยน32,060 เยน
21 วัน60,450 เยน30,220 เยน83,390 เยน41,690 เยน

ตามตารางจะเห็นได้ว่า JR Pass แบบ All Area จะแบ่งตัวออกเป็น 2 ประเภท คือแบบ Green และ Ordinary โดยแบบ Green จะเปรียบเสมือนที่นั่ง First Class ที่อำนวยความสะดวกให้มากกว่า รวมถึงขนาดที่นั่งใหญ่กว่า ระยะห่างระหว่างขาเพิ่มขึ้น ความแออัดบนขบวนน้อยลง และมีที่ชาร์จ USB ในแต่ละที่นั่ง และมี 3 ช่วงเวลาเดินทางให้เลือก (7 วัน, 14 วัน, 21 วัน)

ซื้อ JR Pass ยังไง

1. ซื้อผ่านเว็บไซต์ของ JR

  • เวลาทำการของเว็บไซต์คือตั้งแต่ 04:00 น. ถึง 23:30 น. (เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น UTC+9:00)
  • ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น โดยชื่อบนบัตรเครดิตจะต้องตรงกับชื่อผู้ซื้อ สำหรับผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิต สามารถซื้อ JR Pass ได้หากกำหนดการเดินทางเหมือนกับของผู้ชำระเงิน
  • คุณสามารถซื้อ JR Pass สำหรับผู้เดินทางพร้อมกับผู้ซื้อได้สูงสุด 6 คน โดยกรอกชื่อ อีเมล และหมายเลขหนังสือเดินทางของแต่ละคน
  • หลังจากซื้อ JR Pass แล้ว คุณสามารถจองที่นั่งสำหรับชินคันเซ็นและรถไฟด่วนพิเศษในเว็บ JR ได้เลย
  • ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อ JR Pass  ได้

2. ซื้อกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย

การซื้อ JR Pass กับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยจะมีราคาถูกกว่าการซื้อผ่านเว็บไซต์ของ JR หรือซื้อที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วในประเทศญี่ปุ่น คลิกที่นี่ เพื่อเช็คที่อยู่และเบอร์ติดต่อตัวแทนจำหน่าย JR Pass ในประเทศไทย ตัวแทนจำหน่ายบางเจ้าสามารถซื้อออนไลน์ได้ หรือบางครั้งก็มีส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกด้วย

3. ซื้อที่สำนักงานขายตั๋ว JR ในประเทศญี่ปุ่น

JR Pass มีจำหน่ายที่สำนักงานขายบางแห่งในญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566 อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ซื้อตั๋ว JR Pass จะต้องเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเท่านั้น (ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถใช้ได้) และราคาของ JR Pass ที่ซื้อในประเทศญี่ปุ่นจะแพงกว่าซือจากตัวแทนในต่างประเทศ

วิธีรับ JR Pass เมื่อไปถึงญี่ปุ่น

คนที่ซื้อ JR Pass ล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือซื้อกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย คุณจะได้รับ Exchange Order (เวาเชอร์) ซึ่งคุณจะต้องนำไปแลกเป็น JR Rail Pass ตัวจริงเมื่อไปถึงญี่ปุ่น ที่สำนักงานขายตั๋ว JR ที่สถานี JR เท่านั้น และต้องแสดงหนังสือเดินทางด้วย

  • คุณไม่สามารถรับ JR Pass ได้ หากชื่อในหนังสือเดินทางไม่ตรงกับ Exchange Order
  • คุณไม่สามารถรับ JR Pass ได้ หากคุณไม่มีหนังสือเดินทางมายืนยันตัวตน (ใช้สำเนาไม่ได้) หรือมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด
  • คุณไม่สามารถใช้ Exchange Order แทนบัตร JR Pass เมื่อคุณเดินทางด้วยรถไฟ JR 
  • เวลาทำการของสำนักงานตั๋ว JR (รับตั๋ว/เปลี่ยนตั๋ว/ซื้อตั๋ว) ในญี่ปุ่นตั้งแต่ 4.30 น. – 23.30 น. (เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น UTC+9:00)
  • ตรวจสอบเวลาทำการและวันหยุดของสำนักงานตั๋ว JR ได้ที่นี่
  • ประเภทของตั๋วที่ระบุใน Exchange Order ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
  • หาก Exchange Order สูญหาย จะไม่สามารถออก JR Pass ได้
  • คุณจะต้องเปลี่ยน Exchange Order เป็น JR Pass ภายในสามเดือนนับจากวันที่ออกใบสั่งซื้อ
  • ควรเผื่อเวลาไว้เมื่อต้องไปเปลี่ยน Exchange Order เป็น JR Pass เพราะบางครั้งเคาน์เตอร์ที่ให้บริการอาจมีคนหนาแน่น
japanese subway system passenger information display screen

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ JR Pass

  • วันที่รับและวันที่เริ่มต้นใช้ JR Pass ไม่จำเป็นต้องเป็นวันเดียวกัน คุณสามารถเริ่มต้นใช้ JR Pass ได้นานถึง 30 วันหลังจากการแลกเวาเชอร์
  • บัตร JR Pass สามารถใช้เป็นตั๋วขึ้นได้ทุกขบวนตามที่กำหนดไว้ข้างต้น ยกเว้นเมื่อคุณสำรองที่นั่ง คุณจะต้องไปรับตั๋วแบบระบุหมายเลขที่นั่งที่เครื่องจำหน่ายตั๋ว หรือที่เคาน์เตอร์ให้บริการก่อนโดยสารขบวนรถไฟ (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการสำรองที่นั่ง) 
  • รถไฟ JR ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องจองที่นั่ง แต่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนและช่วงการเดินทางที่คับคั่ง ขอแนะนำให้จองที่นั่งเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางเป็นกลุ่มและต้องการนั่งด้วยกัน
  • รถไฟ JR บางขบวนมีเฉพาะที่นั่งแบบที่ต้องจอง ได้แก่ขบวนด้งต่อไปนี้:
  • Narita Express (โตเกียว – สนามบินนาริตะ)
  • รถไฟ Hayabusa และ Hayate สาย Tohoku/Hokkaido Shinkansen
  • รถไฟ Komachi สาย Akita Shinkansen
  • รถไฟ Tsubasa สาย Yamagata Shinkansen
  • รถไฟ Kagayaki สาย Hokuriku Shinkansen
  • รถไฟกลางคืน Sunrise Seto และ Sunrise Izumo
  • หากไม่สามารถขึ้นรถไฟที่จองที่นั่งไว้แล้ว ควรรีบแจ้งยกเลิกการจองที่สำนักงานขายตั๋ว เพื่อให้สิทธิ์กับผู้โดยสารคนอื่น จากนั้นคุณสามารถขึ้นรถไฟขบวนอื่นได้แบบที่ไม่ต้องจองล่วงหน้า หรือเพื่อความอุ่นใจ คุณสามารถจองที่นั่งขบวนใหม่ได้
  • คุณควรเลือกซื้อจำนวนวันเดินทางของ JR Pass ให้ครอบคลุมเฉพาะระยะเวลาที่คุณกำลังเดินทางบนรถไฟจริงๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เวลา 17 วันในญี่ปุ่นแต่ต้องพักในโตเกียวเป็นเวลาสามวัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ JR Pass สำหรับการเดินทางในโตเกียว ดังนั้น การซื้อบัตร 14 วันจะดีกว่าตัวเลือก 21 วันที่แพงกว่า

คำแนะนำสำหรับ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยถไฟ JR

  • สถานี JR หลายแห่งใช้ประตูทางเข้าอัตโนมัติ เมื่อจะเข้าสถานี ให้ใส่ JR Pass เข้าไปในช่องใส่ตั๋ว และพอผ่านประตูเข้าไปแล้ว สังเกตให้ดีถ้าประตูทางเข้าระบุว่า “IC เท่านั้น” แสดงว่าคุณไม่สามารถใช้ JR Pass ผ่านประตูนี้ได้

วิธีใส่ตั๋วในประตูทางเข้าอัตโนมัติ

ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • เมื่อนำสัมภาระที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดที่กำหนดขึ้นรถไฟชินคันเซ็นสาย Tokaido, Sanyo และ Kyushu (เส้นทาง: โตเกียว – นาโกย่า – เกียวโต – ชิน – โอซาก้า – ฮิโรชิมา – ฮากาตะ – คาโกชิม่า – ชูโอะ) ผู้โดยสารจะต้องจองที่นั่งและพื้นที่วางสัมภาระล่วงหน้า อ่านละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • สถานี JR จะมีชื่อสถานีทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษบนชานชาลา ชื่อสถานีที่จะอยู่ด้านบนตรงกลางป้ายด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ และชื่อสถานีก่อนหน้าและสถานีถัดไปจะอยู่ที่ด้านล่างของป้ายด้วยตัวอักษรขนาดเล็ก
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • ตู้ล็อคเกอร์สำหรับฝากกระเป๋าแบบหยอดเหรียญมีอยู่ทั่วไป หากไม่ต้องการถือของไปเยอะเกินไป ก็ควรเตรียมเหรียญร้อยเยนไว้สำหรับหยอดตู้ฝากกระเป๋าด้วย
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • มีบริการ WiFi ฟรีในบริเวณสถานี JR
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • บนรถไฟชินคันเซ็น รถด่วนพิเศษ และรถไฟสายอื่นๆ ของ JR มีขายอาหารกลางวันแบบกล่องหรือ “เอกิเบ็น” (มักเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อในท้องถิ่น) รวมทั้งของว่างและเครื่องดื่มด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถหาซื้อได้ที่ซุ้มจำหน่ายอาหารและร้านค้าที่สถานี ซึ่งบางสถานีอาจมีทั้งร้านอาหารและเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • หากเดินทางในเมืองใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วนในช่วงเช้าและเย็น (ระหว่าง 7:30-9:30 น. และ 17:00-20:00 น.) เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่คนหนาแน่นและเร่งรีบ
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net

ซื้อ JR Pass สำหรับ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น คุ้มไหม

หากถามว่าซื้อ JR Pass คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ คำตอบคือความคุ้มหรือไม่คุ้มขึ้นอยู่กับแผน การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ของคุณ! ถ้าคุณเที่ยวแค่ในเมืองไม่คุ้มแน่นอนค่ะ แต่ถ้าวางแผนเดินทางไกลไปหลายเมืองแบบข้ามภูมิภาค อย่างเช่น วางแผนเที่ยวทั้งโตเกียวและโอซาก้าในทริปเดียวกัน บอกเลยว่าคุ้มมาก เพราะต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงและขึ้นรถไฟหลายสาย 

การใช้ JR Pass นอกจากประหยัดเงินค่าเดินทางได้เยอะแล้ว ยังสะดวกและสามารถยืดหยุ่นได้ตามแผนเดินทางค่ะ ตัวอย่างเช่น คนที่มี JR Pass ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วรถไฟทุกครั้งที่เดินทาง และสามารถแวะเที่ยวระหว่างทางได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มอีกด้วย นอกจากนี้ ทั้ง 2 เมืองยังมีบริการรถไฟ JR ครอบคลุมไปทั่วเมืองด้วย อย่างเช่น เมืองโตเกียวมี JR สาย Yamanote หรือเมืองโอซาก้ามี JR สาย Loop ตั๋ว JR Pass ก็ยิ่งดับเบิลมูลค่าขึ้นไปอีก และในทางกลับกัน ถ้าไปเมืองอื่น อย่างเช่น เกียวโต ซึ่งใช้รถไฟของบริษัทอื่นที่ไม่ใช่ของ JR หรือรถไฟใต้ดิน หรือรถประจำทางสะดวกกว่า ทำให้ไม่สามารถใช้บัตร JR Pass ได้

loop line train morinomiya station osaka japan

คุณสามารถลองคำนวณค่าตั๋วรายเที่ยวโดยประมาณ เพื่อนำมาเปรียบเที่ยบกับราคาของ JR Pass ว่าคุ้มไหมได้จาก Ekispert หรือ Jorudan

ตัวอย่างเปรียบเทียบการซื้อตั๋วแบบรายเที่ยวกับการเดินทางด้วยบัตร JR Pass แบบ 7 วัน และเดินทางเที่ยวข้ามเมือง 3 ทริป

ทริป 1 โตเกียว – เกียวโต – ฮิโรชิมา/มิยาจิมะ – ฮิเมจิ – เกียวโต – ชินโอซาก้า

ทริป 2 ฮาชิโมโตะ – นารา – ทาคายามะ

ทริป 3 ทานาซาว่า – โตเกียว

เส้นทางOrdinary CarGreen Car
สนามบินนาริตะ – เกียวโต15,660 เยน23,010 เยน
เกียวโต – ฮิโรชิมา – เกียวโต21,140 เยน30,000 เยน
เกียวโต – ชินโอซาก้า1,420 เยน3,780 เยน
ฮาชิโมโตะ – นารา1,140 เยน1,140 เยน
นารา – ทาคายามา9,820 เยน15,530 เยน
ทานาซาว่า – โตเกียว13,600 เยน26,970 เยน
รวมค่าตั๋วรถไฟรายเที่ยว52,960 เยน84,900 เยน
ราคา JR Pass 7 วัน29,110 เยน38,880 เยน
ค่าตั๋วที่ประหยัดได้23,850 เยน46,020 เยน

การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นให้สนุก และประหยัดค่าใช้จ่าย ต้องเริ่มจากการวางแผนล่วงหน้าให้ดี ถ้าเรารู้ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ไปยังไง เราก็สามารถคำนวณวัน เวลา จัดเตรียมแผนการใช้บัตร JR Pass ให้คุ้มที่สุดได้ แต่ความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ อย่างเช่น กระเป๋าหาย หรือเที่ยวบินดีเลย์ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : japan-guide.com, japanrailpass.net

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

วิธีเดินทางเที่ยวเวียดนาม กับตัวเลือกการเดินทางที่เหมาะกับคุณ

วิธีการเดินทาง เที่ยวเวียดนาม ตัวเลือกการเดินทางที่เหมาะกับคุณ

เวียดนามอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ง่ายที่สุดในการวางแผนการเดินทาง เพราะลักษณะประเทศผอมยาวและประเทศที่เป็นจุดหมายไปทางอยู่คนละด้านกันของประเทศ นักท่องเที่ยวมักวางแผน เที่ยวเวียดนาม ด้วยการเดินทางเข้าประเทศที่ฮานอยทางตอนเหนือและเดินทางลงใต้มายังโฮจิมินห์ซิตี้ หรือทำตรงกันข้ามด้วยการเข้าประเทศที่โฮจิมินห์ซิตี้ และเดินทางขึ้นเหนือไปฮานอย ทั้งนี้วิธีที่สะดวกที่สุดในการเดินทางเที่ยวเวียดนามคือนั่งรถโดยสารประจำทางหรือเดินทางด้วยรถไฟที่วิ่งเลียบชายฝั่งทะเลพร้อมชมทิวทัศน์ที่สวยงาม

การขี่มอเตอร์ไซค์แนวผจญภัยก็อาจมีบ้าง หากอยากไปในพื้นที่ที่ไม่ใด้อยู่ในลิสต์ของนักท่องเที่ยวทั่วไป หรือขึ้นเรือข้ามฟากไปยังเกาะที่ห่างไกล ไม่ว่าคุณจะวางแผน เที่ยวเวียดนาม ในเส้นทางใด Allianz Travel ได้รวบรวมวิธีการเดินทางในเวียดนามมาให้แล้ว ไปดูกันเลยค่ะ

1. การเดินทางโดยรถไฟที่ให้บริการทุกวันระหว่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย

ผู้ที่เดินทางไป เที่ยวเวียดนาม เป็นครั้งแรกและอยากไปเที่ยวเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเวียดนาม วิธีที่ดีที่สุดคือการเดินทางด้วยรถไฟ รถไฟสายหลักของเวียดนามจะวิ่งเลียบตามแนวชายฝั่งทะเลจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปฮานอย และหยุดเกือบทุกเมืองที่อาจอยู่ในลิสต์ของคุณ

รถไฟขบวนที่มีรหัส SE จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุดและเร็วที่สุด ในขณะที่รถไฟที่มีรหัส TN นั้นช้ากว่าและเก่ากว่า รถไฟจะมีระดับชั้นโดยสารให้เลือก 4 ระดับตามรูปแบบของที่นั่ง เรียงลำดับตามราคาที่เพิ่มขึ้น (และความสะดวกสบาย) ได้แก่ ที่นั่งแบบแข็ง ที่นั่งแบบนุ่ม ที่นอนเตียงแข็ง และที่นอนเตียงนุ่ม และระดับชั้นที่นั่งเหล่านี้ก็มักมีตัวเลือกแบบตู้มีเครื่องปรับอากาศและแบบตู้ไม่มีเครื่องปรับอากาศอีกด้วย

รถนอนแบบเตียงแข็งจะจัดเป็นเตียง 3 ชั้น (หกเตียงต่อห้อง) ที่นอนที่อยู่บนสุดจะถูกที่สุดและเตียงล่างจะแพงที่สุด รถนอนแบบเตียงนุ่มส่วนใหญ่จะจัดเป็นเตียง 2 ชั้น (4 เตียงต่อห้อง) และทุกเตียงมีราคาเท่ากัน ที่นั่งแบบเบาะนุ่มเป็นเก้าอี้นั่งสบายที่ปรับเอนได้ โดยปกติแล้วจะจัดเรียงเป็นแถวละสี่ตัว แบ่งเป็นข้างละ 2 ตัวมีทางเดินอยู่ตรงกลาง ที่นั่งแบบแข็งมักเป็นม้านั่งไม้ คนค่อนข้างพลุกพล่าน และอาจมีคนสูบบุหรี่อยู่ด้วย ปัจจุบัน รถไฟบางขบวนมี Wi-Fi บริการด้วย (แม้ว่าความเร็วในการเชื่อมต่ออาจไม่เร็วนัก)

การเดินทางเที่ยวเวียดนามโดยรถไฟ

ค่าโดยสารรถไฟมีราคาไม่แพงและขึ้นอยู่กับเส้นทาง ชั้นโดยสารที่เราเลือก และประเภทรถไฟ รถไฟที่วิ่งจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปยังฮานอย หรือจากฮานอยไปโฮจิมินห์ซิตี้ มีหลายขบวนในแต่ละวัน การจองตั๋วรถไฟในเวียดนามทำได้ง่ายๆ ค่ะ จองที่สถานีรถไฟได้ล่วงหน้า 2-3 วันก่อนเดินทาง หรือจองออนไลน์ล่วงหน้าได้ถึง 60-90 วัน คุณสามารถซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ทางการของการรถไฟเวียดนาม หรือถ้าจะให้ง่ายก็จองผ่านเว็บ Bao Lau ที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้ ค่าตั๋วอาจแพงกว่านิดหน่อย แต่ก็ง่ายต่อการใช้งานกว่ามาก

นอกจากเส้นทางหลักที่เชื่อมระหว่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยแล้ว ยังมีเส้นทางรถไฟอีก 3 สายที่เชื่อมระหว่างฮานอยกับเมืองอื่นๆ ของเวียดนามตอนเหนือ สายที่หนึ่งวิ่งไปทางตะวันออกไปยังเมืองท่าของเมืองไฮฟอง (Haiphong) เป็นการท่องเที่ยวระยะสั้นรอบอ่าวฮาลอง สายที่สองวิ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่เมืองลางซอน (Lang Son) และข้ามพรมแดนไปยังเมืองหนานหนิง (Nanning) ประเทศจีน สายที่สามวิ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่เมืองหล่าวกาย (Lao Cai) และนั่งรถต่อไปอีกประมาณ1 ชั่วโมงก็จะถึงเมืองซาปา ซึ่งเป็นเมืองปีนเขายอดนิยม

2. การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยรถโดยสารประจำทาง

รถโดยสารประจำทางเป็นวิธีเดินทางที่ถูกที่สุดวิธีหนึ่งในการ เที่ยวเวียดนาม จึงทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางสะดวกมาก เพราะเชื่อมโยงทั้งเมืองหลักและเมืองรองทั่วเวียดนาม

ทุกเมืองจะมีสถานีขนส่งอย่างน้อยหนึ่งแห่ง หลายแห่งมีสำนักงานขายตั๋วพร้อมราคา และเวลาออกเดินทางแสดงไว้อย่างชัดเจน คุณควรซื้อตั๋วล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อให้แน่ใจว่าได้ที่นั่งแน่นอน อีกทางเลือกหนึ่งคือการซื้อตั๋วออนไลน์โดยตรงผ่านบริษัทรถโดยสารประจำทาง เช่น Sinh Tourist หรือซื้อที่โฮสเทลหรือโรงแรมที่พัก

รถโดยสารประจำทางที่เดินทางระหว่างเมืองใหญ่มักจะเป็นรถที่ทันสมัย มีที่นั่งแบบปรับเอนนั่งสบายหรืออาจปรับนอนราบเป็นเตียงบุนวมสำหรับการเดินทางระยะไกลข้ามคืน แต่ข้อเสีย (สำหรับบางคน) คือมีทีวีที่เปิดมิวสิกวิดีโอเป็นเวลาหลายชั่วโมง) และบางคันก็เปิดเพลงคาราโอเกะเสียงดังมาก แนะนำให้เตรียมที่อุดหูและที่ปิดตาไปด้วย และอาจมีการแวะรับส่งผู้โดยสารให้ได้มากที่สุดตลอดเส้นทาง

การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยรถโดยสารประจำทาง

นอกจากนี้ยังมีบริการรถโดยสารที่ให้บริการโดยเอกชน ที่เรียกกันว่าการซื้อตั๋วแบบ “Open Tour” ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องไปขึ้นรถที่บริษัทที่จัดจำหน่ายตั๋ว มักจะเป็นเส้นทางที่เดินทางระหว่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย คนที่ซื้อตั๋วแบบนี้สามารถขึ้นลงระหว่างทางที่เมืองไหนก็ได้ อย่างเช่น ดาลัด มุยเน่ ญาจาง ฮอยอัน ดานัง เว้ และนิญห์บิญห์ เป็นต้น รถโดยสารแบบ Open Tour มีเครื่องปรับอากาศ ที่นั่งจำกัด และตารางเวลาที่แน่นอน ไม่แวะรับผู้โดยสารเพิ่มระหว่างทางทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น และราคาก็ไม่ได้แพงกว่าไปกว่าตั๋วธรรมดามากนัก เหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบเหนือรถโดยสารประจำทางเป็นอย่างมาก

แต่ไม่ว่าคุณจะโดยสารรถโดยสารประจำทางประเภทใด คุณควรวางแผนการเดินทางด้วยรถบัสในอัตราความเร็วเพียง 50 กม./ชม. ในเส้นทางหลัก หรือ 70 กม./ชม. บนทางหลวง เนื่องจากบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถจักรยานยนต์ รถบรรทุก คนเดินถนน และสัตว์เลี้ยง ที่ใช้ถนนร่วมทางกัน

3. การเดินทางโดยการเช่ารถมอเตอร์ไซด์เพื่อเดินทางระหว่างเมือง

คุณสามารถหาเช่ามอเตอร์ไซค์ได้ในเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเป็นประจำ และการชี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวชมรอบเมืองก็เป็นวิธีที่สนุก ราคาไม่แพง และประหยัดเวลาในการเที่ยวชม แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์ในการขี่มอเตอร์ไซค์ควรคิดให้ดีก่อนที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ทางไกล เนื่องจากการใช้ท้องถนนของผู้ขับขี่ในเวียดนามอาจเป็นอันตรายอย่างมาก มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสำหรับผู้ไม่ชินทาง และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงหากเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกล โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบครันอยู่ห่างไกล และอาจไม่มีบริการรถพยาบาล

ในทางกลับกัน ก็มีผู้คนจำนวนมากที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปมาโดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่เราแนะนำให้เป็นทริปแบบไปเช้าเย็นกลับและท่องเที่ยวระยะสั้น พื้นที่ที่เหมาะกับการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวคือแถบภูเขาทางตอนเหนือ ที่ราบสูงตอนกลาง และบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ในขณะที่ทางหลวงโฮจิมินห์ก็มีทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นกัน บางคนเดินทางระยะไกลจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปยังฮานอย (หรือกลับกัน) โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณสองสัปดาห์ หรือเฉลี่ย 150 กม. ต่อวัน

การเดินทางเที่ยวเวียดนามโดยการเช่ารถมอเตอร์ไซด์เพื่อเดินทางระหว่างเมือง

อัตราค่าเช่ามอเตอร์ไซค์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน แต่ถ้าเช่าระยะเวลานานก็จะได้ส่วนลดเพิ่มขึ้น บางครั้งคุณอาจต้องชำระเงินล่วงหน้า ลงนามในสัญญาเช่า และ/หรือทิ้งบัตรประจำตัวหรือสำเนาหนังสือเดินทางของคุณไว้ หากคุณเช่าตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ขึ้นไป คุณอาจต้องวางเงินมัดจำที่คำนวณจากมูลค่าของมอเตอร์ไซค์ และอาจรวมถึงตั๋วเครื่องบินหรือบัตรขาออกของคุณด้วย 

ไม่ว่าคุณจะเช่าหรือซื้อ อย่าลืมตรวจสอบทุกอย่างอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเบรก ไฟ และแตร การสวมหมวกนิรภัยเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายในขณะนี้ และร้านเช่าส่วนใหญ่มีหมวกกันน็อคที่คุณสามารถยืมได้ในบางครั้งโดยมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่ได้คุณภาพสูงสุดก็ตาม

โปรดทราบว่าใบขับขี่สากลใช้ไม่ได้ในเวียดนาม แต่คุณจะต้องมีใบขับขี่จากเมืองไทยและเอกสารการจดทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ คุณต้องมีประกันบุคคลที่สามเป็นอย่างน้อย 

แม้ว่าสภาพถนนในเวียดนามจะดีขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่นอกทางหลวงสายหลักก็ยังคงเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ บางครั้งอาจเต็มไปด้วยหลุมบ่อหรือเศษหินมากมายที่ด้านข้างถนน ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์มีอยู่มากมาย หากต้องการซ้อมรถให้พูดว่า sua chua xe may (ซ่อมมอเตอร์ไซค์) แต่คุณควรพกชุดปะยาง ปั๊ม และหัวเทียนสำรองติดรถไว้ น้ำมัน (xang) มีราคาถูกและหาได้ตามริมถนน มักขายเป็นขวด คุณควรเดินทางไปกับรถคันอื่นอย่างน้อยหนึ่งคัน เผื่อในกรณีที่คุณมีปัญหา

4. การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการเช่ารถพร้อมคนขับที่ทำหน้าทีมัคคุเทศก์ด้วย

คุณไม่ควรขับรถเองในการ เที่ยวเวียดนาม การหาเช่ารถพร้อมคนขับที่ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ด้วยนั้นเป็นที่นิยมและมีที่ให้เช่าอยู่มากมาย และการเช่ารถก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีและเป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัดหากคุณเดินทางเป็นกลุ่มและมีตัวหารมากพอที่จะแบ่งค่าใช้จ่ายกัน นอกจากนี้คุณยังสามารถวางแผนการเดินทางได้ตามใจชอบอีกด้วย

การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการเช่ารถ

ราคาค่าเช่าของแต่ละที่อาจแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นจึงควรถามราคาจากหลายๆ แห่งก่อน แต่ค่าเช่าโดยประมาณอยู่ที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันสำหรับรถยนต์ และ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันสำหรับรถจี๊ปหรือรถ 4WD ขึ้นอยู่กับขนาด อายุของรถ และระดับความสะดวกสบายของรถ เมื่อต่อรองราคา ควรคุยให้ชัดเจนว่าราคาที่ต้องจ่ายรวมอะไรบ้าง อย่างเช่น ค่าที่พักและอาหารของคนขับ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วนและเรือข้ามฟาก ค่าจอดรถและค่าซ่อมแซมหากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือรถเสีย ควรมีสัญญาที่จะลงนามแสดงรายละเอียดทั้งหมด รวมทั้งกำหนดการเดินทางที่ตกลงกันไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเช่ามากกว่าหนึ่งวัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนขับได้รับสำเนาเป็นภาษาเวียดนาม ในบางกรณี คุณจะต้องชำระเงินล่วงหน้า แต่หากเป็นไปได้ ควรต่อรองให้คุณชำระเงินแค่ครึ่งหนึ่งก่อนและจ่ายยอดคงเหลือในตอนท้ายทริป

หากคุณเลือกใช้บริการรถท่องเที่ยวพร้อมคนขับ บริษัทรถเช่าจะจัดการเรื่องประกันภัยให้ แต่ถ้าคุณเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ให้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยการเดินทางก่อน เพราะส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครองคุณในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากคุณไม่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ นักเดินทางหลายคนไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ หากมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอาจมากจนแทบหมดตัวได้ และที่สำคัญคุณต้องสวมหมวกกันน็อคขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ตลอดเวลา

5. การเดินทางโดยเที่ยวบินภายในประเทศ

การบินช่วยให้คุณเดินทางได้ไกลขึ้นและสามารถประหยัดเวลาอันมีค่าในการเดินทางได้ ตัวอย่างเช่น การบินระหว่างฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับการนั่งรถไฟที่อาจใช้เวลาถึง 30-40 ชั่วโมง ตั๋วของสายการบิน Jetstar มีราคาที่เหมาะสม และเพิ่มเงินอีกเล็กน้อยหากเดินทางกับ Vietnam Airlines หรืออาจใช้บริการการบินจากฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ไปยังเว้ (Hué) ดานัง (Da Nang) ญาจาง (Nha Trang) และเกาะฟูโกว๊ก (Phu Quoc Island) ได้อีกด้วย คุณต้องมีหนังสือเดินทางติดตัวไว้ด้วยเมื่อโดยสารเที่ยวบินภายใน

การเดินทางเที่ยวเวียดยนาม โดยเที่ยวบินภายในประเทศ

สายการบินแห่งชาติของเวียดนามคือ Vietnam Airlines มีเครือข่ายเที่ยวบินภายในประเทศที่มีราคาถูก มีประสิทธิภาพ และครอบคลุม บริษัทมีสำนักงานให้จองตั๋วทุกเมือง สายการบินมักมีเส้นทางบินเปิดใหม่ภายในประเทศตลอดเวลาและราคาที่ไม่แพงมาก (หากคุณจองล่วงหน้า) คุณสามารถซื้อตั๋วสายการบินได้ด้วยบัตรเครดิตและเดบิตระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม การยกเลิกเที่ยวบินก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน คุณไม่ควรวางแผนที่จะบินจากสนามบินภูมิภาคขนาดเล็กเพื่อไปต่อเครื่องระหว่างประเทศในวันเดียวกัน  พยายามเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวันถ้าเป็นไปได้

6. การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการปั่นจักรยานเที่ยวชมเมือง

การปั่นจักรยานเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเที่ยวชมรอบในราคาถูก ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณจะหาซื้อจักรยานที่ผลิตในญี่ปุ่นคุณภาพดีในเวียดนามได้ แต่หากคุณวางแผนปั่นจักรยานทางไกลในวันหยุด คุณควรนำจักรยานของตัวเองติดตัวไปด้วย อย่าลืมอะไหล่และเครื่องมือที่จำเป็นทั้งหมด จักรยานเสือภูเขารับมือได้ดีที่สุดกับพื้นผิวถนนหลากหลายรูปแบบของเวียดนาม ที่สำคัญต้องพกหมวกกันน็อคและกระดิ่งที่เสียงดัง กระจกมองหลังก็มีประโยชน์มากด้วย

การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการปั่นจักรยานเที่ยวชมเมือง

ถ้าคุณคิดว่าเหนื่อยพอแล้ว หรือกำลังจะเดินทางข้ามเมือง คุณสามารถนำจักรยานขึ้นรถไฟ (สอบถามก่อนว่าขบวนไหนที่สามารถนำจักรยานไปด้วยได้) โดยมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย คุณต้องนำจักรยานไปที่สถานีก่อนเวลาเพื่อนำไปเก็บไว้ในตู้บรรทุกสัมภาระ รถโดยสารประจำทางบางคันก็ยอมให้นำจักรยานไปด้วยได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากนำไปไว้ในช่องเก็บสัมภาระ (ต้องใส่หีบห่อมา) ไม่เช่นนั้นคุณจะต้องจ่ายค่าที่นั่งเพิ่ม

หากคุณอยากขี่จักรยานชมเวียดนามกับผู้เชี่ยวชาญหรือมีไกด์นำทาง มีหลายบริษัทที่เชี่ยวชาญการให้บริการทัวร์ปั่นจักรยานที่หาได้ไม่ยากในเมืองท่องเที่ยว

7. การเดินทางโดยเรือ แบบไปเช้าเย็นกลับ

เวียดนามมีแม่น้ำหลายแห่งที่สามารถเดินเรือได้ แม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา คุณสามารถล่องเรือชมทัศนียภาพในแม่น้ำได้ในเมืองฮอยอัน (Hoi An) ญาจาง (Nha Trang) ดานัง (Danang) เว้ (Hue) นินห์ บินห์ (Ninh Binh) และแม้แต่โฮจิมินต์ซิตี้

การเดินทางเที่ยวเวียดนามโดยเรือ

ทริปล่องเรือในทะเลก็เป็นที่นิยม อย่างเช่น การล่องเรือไปตามเกาะต่างๆ ของอ่าวฮาลองเบย์ ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนเวียดนามตอนเหนือทุกคน การเที่ยวชมหมู่เกาะจาม ทางตอนกลางของเวียดนาม (ไปจากฮอยอัน) และทางตอนใต้ก็มีทริปไปยังเกาะต่างๆ นอกญาจางและรอบ ๆ เกาะฟู้โกว๊ก (Phu Quoc)

การเดินทางไป เที่ยวเวียดนาม สามารถไปได้ง่ายมาก และปัจจุบันก็สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องตรวจโควิด-19 ไม่ต้องแสดงเอกสารการรับวัคซีน และไม่ต้องกักตัว เวียดนามมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เราแวะไปเยี่ยมชมด้วยวิธีการเดินทางที่เหมาะกับแผนการเดินทางของคุณ 

และเพื่อให้คุณเดินทางแบบไร้กังวล หมดห่วงกับการที่ต้องมาแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : roughguides.com, lonelyplanet.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 tips for travel in singapore on budget

7 เคล็ดลับ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของเอเชีย เป็นจุดหมายปลายทางที่ไปได้ง่าย แต่ค่าครองชีพค่อนข้างมีราคาแพงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกัน จนบางครั้งนักเดินทางที่มีงบจำกัดก็ต้องจำใจที่เอาลิสต์เที่ยวสิงคโปร์ออกไปจากรายการประเทศที่อยากไปเที่ยว เพราะไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายที่มากเกินจำเป็น แต่หากเราพิจารณาดีๆ ก็มีหลายเหตุผลที่ควรไปเที่ยวสิงคโปร์กันสักครั้ง ด้วยเอกลักษณ์ของสิงคโปร์ที่มีความทันสมัย การผสมผสานวัฒนธรรมของหลายชาติที่น่าสนใจ อาหารอร่อย มีสถานที่ธรรมชาติที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย (ที่เที่ยวในสิงคโปร์มีที่ไหนบ้างที่น่าสนใจ อ่านได้จากบทความนี้เลยค่ะ : 10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ สุดฮิต ที่ไม่ควรพลาด!) ก็ทำให้การเดินทางไปยังเกาะแห่งนี้จึงคุ้มค่าอย่างยิ่ง! แต่คุณไม่ต้องกังวล เพราะ Allianz Travel ได้รวมเคล็ดลับ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด ด้วยงบประมาณจำกัด เพื่อให้คุณได้วางแผนการเดินทางเที่ยวสิงคโปร์ในราคาที่ช่วยให้คุณไม่ต้องจ่ายจนกระเป๋าฉีกได้ มาเริ่มกันเลย

1. เลือกที่พักราคาไม่แพง

อันดับแรกเรื่องที่จะต้องใส่เข้าไปในลิสต์ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด ก็คือเรื่องของที่พัก ที่พักในสิงคโปร์มีราคาแพง แต่นักเดินทางแบบประหยัดก็มี 3 ทางเลือกที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ก็คือ โฮสเทลสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ จองที่พักจาก AirBnB หรือหาโรงแรมราคาประหยัด แต่เนื่องจากพื้นที่ในสิงคโปร์มีน้อย ห้องพักจึงมักเป็นเตียงนอนที่มีพื้นที่น้อย และห้องน้ำขนาดกะทัดรัด โรงแรมแคปซูลก็เริ่มเป็นที่นิยมเช่นกัน 

Hostel in Singapore
ขอบคุณรูปภาพจาก : Danist Soh on Unsplash

เมื่อเลือกที่พัก ให้ดูที่ตั้งของที่พักในแผนที่ ปกติถ้าอยู่ใกล้สถานี MRT ก็น่าจะโอเค สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในสิงคโปร์สามารถเข้าถึงได้โดยรถไฟใต้ดิน และหลายพื้นที่ในสิงคโปร์ที่มีที่พักราคาถูก แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยความพลุกพล่าน หรือบางแห่งอย่างเช่น ย่านเกลัง (Geylang) ก็เป็นย่านเที่ยวกลางคืนเหมือนพัฒน์พงษ์ที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ จะมีผู้หญิงกลางคืนและโสเภณีแบบถูกกฏหมายยืนอยู่เรียงราย และยังมีร้านอาหารที่เปิดดึกๆ อยุ่เต็มสองข้างถนน มีโรงแรมราคาถูกที่เปิดให้บริการรายชั่วโมง หรือค้างคืนอยู่ในย่านนั้น แต่ในแง่ความปลอดภัย ย่านนั้นถือว่าปลอดภัย เพราะมีการติดกล้อง CCTV อยู่เต็มไปหมด แต่นักเดินทางหญิงก็ควรเลือกพื้นที่อื่น

คุณสามารถหาโฮสเทลสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ได้ในละแวกย่านไชน่าทาวน์ ลิตเติลอินเดีย คลาร์กคีย์ บูกิส และเกลัง ส่วนใหญ่มีเตียงรวมและห้องคู่ โรงแรมราคาประหยัดส่วนใหญ่อยู่ในเกลัง ลิตเติลอินเดีย และบาเลสเทียร์

(1) ย่านเกลัง (Geylang)

ย่าน Geylang ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Handy Wicaksono on Unsplash

มีสถานีรถไฟหลักๆ คือสถานี Aljunied และสถานี Kallang เป็นย่านที่มีโรงแรมราคาประหยัดสไตล์ Business Hotel ค่อนข้างใหม่ สภาพห้องดี สะอาด ตกแต่งแบบเรียบง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน แต่ราคาประหยัดพอๆกับ Hostel คือราคาเริ่มต้นประมาณ 60-70 เหรียญต่อคืนต่อห้อง แต่ข้อเสียคือย่านนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 500 เมตรขึ้นไป อยู่ไกลจากตัวเมืองมากกว่าย่านอื่นๆ และยังเป็นย่านที่ค่อนข้างเสื่อมโทรมของประเทศสิงคโปร์ แต่ก็ปลอดภัยมากอยู่ดี แต่ถ้างบค่อนข้างจำกัดและไม่ชอบที่พักสไตล์โฮสเทล หรือคิดว่าการเสียเวลาในการเดินทางนิดหน่อยไม่มีผลอะไร การเลือกพักย่านเกลังจะตอบโจทย์ได้ดีมาก

(2) ย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown)

Chinatown in Singapore

เดินทางมาง่ายมากๆ โดยลงที่สถานีรถไฟใต้ดิน Chinatown ซึ่งจะมีอยู่ 2 สายที่ผ่านสถานีนี้คือ Downtown Line สีน้ำเงิน และ North East Line สีม่วงย่านไชน่าทาวน์ถือเป็นย่านท่องเที่ยวชื่อดัง ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องแหล่งอาหารการกินหลากหลายรูปแบบ แหล่งซื้อของฝาก และเป็นแหล่งรวมที่พักราคาประหยัดสำหรับนักเดินทาง ย่านแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่สไตล์โคโลเนียลที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี และทาสีสันสดใสดูมีชีวิตชีวา ทั้งยังมีการแขวนโคมสีแดงประดับตามท้องถนน ซึ่งช่วยเสริมบรรยากาศสไตล์จีนได้เป็นอย่างดี

(3) ย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India)

ย่าน Little India ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Christian Chen on Unsplash

การเดินค่อนข้างสะดวก สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Little India ทางออก C จากนั้นก็เดินต่อไปอีก 15-20 นาทีก็จะเข้าเขตของย่าน Little India สังเกตง่าย ๆ คือรูปแบบของตึกข้าง ๆ ถนนเริ่มเปลี่ยนสีสันสไตล์ไม่เหมือนที่อื่น ได้กลิ่อายแบบอินเดียแสดงว่าเราเดินมาไม่ผิดที่ย่างแน่นอน ที่นี่เป็นย่านราคาประหยัดที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง อยู่ห่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอ่าวมารีน่าประมาณ 2 กม. ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งในด้านราคาและวัฒนธรรม นอกจากนี้คุณยังหาอาหารอินเดียที่ดีที่สุดในสิงคโปร์ได้ที่นี่ อย่างเช่น แกงหัวปลา เป็นต้น

(4) ย่านบูกิส ( Bugis)

ย่าน Bugis ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Singapore Stock Photos on Unsplash

เดินทางสะดวกสบาย ไปสนามบินได้โดยง่ายอีกด้วย แค่ขึ้น MRT สายสีเขียวลงที่สถานที Bugis ตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสิงคโปร์  เป็นย่านที่มีที่พักราคาไม่แพง รวมถึงมีร้านอาหารราคาถูกมากมายที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม อย่างเช่น Haji Lane พร้อมทั้งยังเป็นที่ตั้งของวัดกวนอิมตงฮุดโช ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในประเทศสิงคโปร์ที่มักมีนักท่องเที่ยวไปสักการะและขอพรจากเจ้าแม่กวนอิมอย่างไม่ขาดสายอีกด้วย

(5) ย่านคลาร์กคีย์ (Clarke Quay)

ย่าน Clarke Quay ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Paras Kapoor on Unsplash

สถานีรถไฟ Clarke Quay เป็นท่าเทียบเรือเก่าแก่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ ที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแหล่งไนท์ไลฟ์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งแฮงก์เอาท์ยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องราตรีในมาเยือน ที่พักจะเป็นแนวชิคๆ สุดเก๋ ราคาถูกและ ประหยัด

การเดินทางภายในเมืองในสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายสูงหากต้องจ่ายค่าเดินทางเมื่อขึ้นรถบัสหรือรถไฟเป็นรายเที่ยว แต่คุณจะสามารถ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด ได้ ถ้าซื้อบัตร EZ-Link เมื่อมาถึงสิงคโปร์ตั้งแต่แรก บัตร EZ Link เป็นบัตรสารพัดประโยชน์ สามารถใช้ขึ้นรถไฟฟ้า MRT, รถเมล์, Taxi มีส่วนลดสำหรับค่าโดยสารในการเดินทาง และใช้ซื้อสินค้าต่างๆ ได้ ใช้งานเหมือนเป็นบัตรเงินสดที่สามารถซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ หรือร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ เรียกได้ว่าใบเดียวใช้ซื้อของได้เกือบทุกอย่าง แทบไม่ต้องพกเงินสดกันเลยทีเดียว แถมยังมีส่วนลดต่างๆ ตามร้านค้าเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรอีกด้วย เราซื้อบัตร EZ-Link ได้ที่จุดขายในสถานีรถไฟ MRT ทุกสถานี ราคา 12 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 300 บาท) ซึ่งแบ่งเป็นค่าบัตร 5 เหรียญ และเงินที่ใช้ได้อีก 7 เหรียญ และสามารถเติมเงินได้ครั้งละ 10-100 เหรียญ

EZ-Link Card for travel in Singapore
ขอบคุณรูปภาพจาก : EZ-Link

คำแนะนำ: 

  • อย่าลืมแตะบัตรบนเครื่องอ่านเมื่อคุณออกจากรถบัส มิฉะนั้น คุณจะต้องจ่ายมากกว่าที่ควรเป็น!
  • เมื่อซื้อบัตรครั้งแรก เราจะเหลือเงินที่ใช้ได้อยู่ในบัตร 7 เหรียญ ดังนั้นเราควรเติมเงินเพิ่มอีกสัก 10 เหรียญ ไว้เลย อาจจะเพียงพอสำหรับการเดินทางทริปสั้นๆ 3 วัน จะได้ไม่ต้องเติมเงินบ่อยๆ หรือถ้าเงินเหลือก็เอาไว้ใช้ซื้อของได้
  • บัตร EZ Link นอกจากจะช่วยให้เราเที่ยวได้สะดวกสบายแล้ว ลายบนบัตรยังน่ารักด้วยนะ ใครมาจังหวะดีๆ อาจจะได้บัตรเป็นลวดลายสุดพิเศษต่างๆ ที่จะมีโปรโมชั่นเป็นช่วงๆ ใช้เสร็จก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วย
  • บัตรมีอายุการใช้งาน 5 ปี สามารถเก็บไว้ใช้ทริปสิงคโปร์รอบหน้าได้เลย

3. ดื่มน้ำก๊อกแทนที่จะซื้อน้ำขวด

Free drinking water

ประเทศสิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ซึ่งของที่มีราคาแพงอย่างเหลือเชื่อ ก็คือ “น้ำขวด” ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ราคาเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 1-2 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 25-50 บาท แต่น้ำประปาในสิงคโปร์นั้นบริสุทธิ์ ปลอดภัย และที่แน่นอนคือฟรี ดังนั้น แทนที่จะซื้อขวดน้ำแบบใช้ครั้งเดียว ให้นำขวดน้ำแบบเติมและพกติดตัวไปด้วยในขณะที่คุณสำรวจสิงคโปร์ นอกจากว่าจะดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นหนึ่งในเคล็ดลับที่ดีที่สุดสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด เนื่องจากสามารถช่วยประหยัดเงินได้มากในช่วงวันหยุดของคุณ และถึงแม้จะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ช่วยให้คุณสำรวจและเยี่ยมชมสิงคโปร์ในราคาประหยัดได้จริงๆ

4. ทานอาหารที่ศูนย์อาหาร

สิงคโปร์เป็นสวรรค์ของคนรักอาหาร อิทธิพลของวัฒนธรรมอันหลากหลายที่มีสิงคโปร์ทำให้คุณมีตัวเลือกมากมายในการลองชิมอาหารที่แตกต่างกัน ที่นี่มีทุกอย่างตั้งแต่อาหารนานาชาติหรูหราราคาแพง อาหารฟิวชั่นสิงคโปร์ มาเลย์และจีน ไปจนถึงอาหารท้องถิ่นแท้ๆ หากคุณมาเที่ยวสิงคโปร์แบบประหยัดและอยากลิ้มลองอาหารรสเลิศ คุณสามารถหาได้จากศูนย์อาหารที่มีอยู่ทั่วไปหรือแผงลอยขายอาหารริมถนน ตั้งแต่อาหารว่าง อาหารคาว ไปจนถึงของหวาน การได้ลองลิ้มรสอาหารข้างทางเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ในสิงคโปร์ คุณสามารถหาอาหารอร่อยๆ ได้ในราคาประมาณ 4-6 เหรียญ หรือหากอยากทานก๋วยเตี๋ยวในราคาต่ำกว่า 3 เหรียญสิงคโปร์ก็อยังมีอยู่

ศูนย์อาหารในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Ethan Hu on Unsplash

ศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าหรูและตามตึกระฟ้าเกือบทุกแห่งจะราคาสูงกว่าศูนย์อาหารทั่วไปเล็กน้อย คุณสามารถหาศูนย์อาหารที่มีอาหารอร่อยมากมายได้ที่ย่านไชน่าทาวน์ ลิตเติ้ลอินเดีย หรือกัมปงกลาม (Kampong Glam) หรือศูนย์อาหาร Lau Pa Sat ที่อยู่บนถนน Cross ใกล้กับสถานี MRT Raffles ศูนย์อาหาร Newton หรือศูนย์อาหารย่านสนามบินเก่า (Old Airport Hawker) ซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่น สิงคโปร์มีศูนย์อาหารกว่า 100 แห่งทั่วเกาะ และคุณอาจได้ไปทานอาหารราคาถูกในที่ที่คนในท้องถิ่นไปกัน อาหารที่ห้ามพลาดอย่างเช่น ข้าวมันไก่ ปูผัดพริก สะเต๊ะ ติ่มซำ ซุปลักซา หรือนาซิเลอมัก (ไก่ทอดมะพร้าว)

5. หาที่เที่ยวฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

สิงคโปร์มีอะไรให้ทำแบบไม่ต้องเสียเงินอยู่มากมาย คุณสามารถเพลิดเพลินกับงานศิลปะ การชมภาพยนตร์กลางแจ้ง นักแสดงข้างถนนริมแม่น้ำ เอสพลานาด และใจกลางเมือง มีตัวเลือกสำหรับความบันเทิงฟรีเกือบทุกครั้งโดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือจะไปเที่ยวสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามจากระดับสูงเหนือยอดไม้ที่เส้นทางเดินป่าและอุทยานอ่างเก็บน้ำแม็คริตชี่ (MacRitchie Nature Trail & Reservoir Park) การเดินป่าบนแนวสันเขาทางตอนใต้ และการเล่นว่าวรอบๆ Marina Barrage เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในสิงคโปร์ อย่าพลาดที่จะไปตลาด Free Market แม้ว่าจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่คุณสามารถได้ของจากที่นี่แบบที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย

สถานที่ท่องเที่ยวฟรีในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Aparna Johri on Unsplash

ถึงแม้ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในสิงคโปร์จะมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม ก็จะมีวันที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับนิทรรศการพิเศษเป็นเวลาหลายวันหรือช่วงเย็นในแต่ละเดือน ตรวจสอบวันที่มีโปรโมชั่นได้จากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของพิพิธภัณฑ์ และตามนิตยสารแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและนิทรรศการฟรีที่มีแจกอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีบัตรสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งที่มีส่วนลดค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย บัตรเหล่านี้จะช่วยให้คุณประหยัดค่าเข้าชมได้อย่างมากหากคุณมีแผนที่จะเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องซื้อบัตรหลายต่อหลายแห่ง

ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์:

กิจกรรมสนุกระหว่างวัน

  • เดินชมย่านยอดฮิต – เดินเล่นรอบๆ ไชน่าทาวน์, กัมปงกลาม (Kampong Glam), ลิตเติลอินเดีย, เตียง บาห์รู (Tiong Bahru), หมู่บ้านฮอลแลนด์, เดมป์ซีย์ฮิลล์ (Dempsey Hill) และกาตง (Katong) ค้นพบวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น เมอไลออน (The Merlion) 
  • อุทยานและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ – สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์, สวน Fort Canning, Southern Ridges, Treetop Walk ที่อ่างเก็บน้ำ MacRitchie และการ์เดนส์ บาย เดอะ เบย์

กิจกรรมท่องราตรีในตอนกลางคืน

  • เดินเล่นรอบอ่าวมารีน่าและชมสถาปัตยกรรมที่เปิดไฟสว่างไสวสวยงาม
  • ชมภายนอกของวัดและมัสยิดที่เปิดไฟส่องสว่างเป็นภาพที่สวยงามแตกต่างจากตอนกลางวัน เช่น มัสยิดสุลต่าน วัดพระเขี้ยวแก้ว เป็นต้น
  • ชมการแสดงแสงสีฟรีที่ Gardens the Bay, Marina Bay Sands และเกาะ Sentosa
  • ชมพระอาทิตย์ตกเหนือเขื่อนมาริน่า
  • เพลิดเพลินกับการแสดงหรือคอนเสิร์ตฟรีที่โรงละครเอสพลานาดออนเดอะเบย์

6. ชอปปิ้งตามตลาดริมถนนในท้องถิ่น

หากคุณเป็นนักชอป และไม่อยากพลาดการชอปปิ้งในสิงคโปร์ ถึงแม้ว่างบประมาณการเดินทางจะมีข้อจำกัดก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือการสำรวจตลาดริมถนนในท้องถิ่นเพื่อหาของที่ดีในราคาถูก การซื้อของแบบประหยัดในสิงคโปร์เป็นก็ทางออกที่ดีที่สุดในการประหยัดเงินไปพร้อมกับการช้อปปิ้ง แม้ว่าสินค้าในสิงคโปร์จะไม่ได้มีราคาถูกเท่าการช้อปปิ้งในเมืองอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สิงคโปร์ก็มีย่านที่นำเสนอสินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้

สถานที่ชอปปิ้งตามตลาดริมถนนในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Izz Danial on Unsplash

ย่านถนนบูกิส ย่านไชน่าทาวน์ ตลาดโซกาเล็ม (So Galem) และย่านลิตเติ้ลอินเดีย คุณสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่ชุดเก๋ๆ กระเป๋าถือ เครื่องประดับ รองเท้า และของที่ระลึกที่ไม่เหมือนใคร ในราคาที่ไม่แพง คุณหาของได้เกือบทุกอย่างในตลาดท้องถิ่นเหล่านี้ แถมยังต่อรองราคาได้อีกด้วย 

นอกจากนี้ ถ้าคุณอยากเดินดูของแค่พอให้เพลินสายตา สิงคโปร์มีห้างสรรพสินค้ามากมาย ที่แม้แต่สนามบินชางงีอันล้ำสมัยก็ยังเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งด้วย

หากคุณต้องการซื้อขนม เครื่องดื่ม และของใช้ทั่วไป คุณควรไปซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง แทนที่จะซื้อจากในมินิมาร์ทที่มีราคาแพงกว่า อย่างเช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต VivoMart ที่อยู่ใต้ห้างสรรพสินค้า VivoCity มักจะมีอาหารและเครื่องดื่มในราคาพิเศษอยู่เสมอ

7. อย่าทำผิดกฎหมายจนต้องโดนจับหรือถูกปรับ

ป้ายสัญลักษณ์ห้ามทำสิ่งต่างๆ ตามที่ป้ายกำหนด

ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และยังเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับกฎหมายมากด้วยเช่นกัน แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินตามถนนหนทาง แต่คนจำนวนมากก็โดนปรับจากกิจกรรมที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย การกระทำบางอย่างในบ้านเราอาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าไปสิ่งคโปร์คุณอาจถูกจับและโดนปรับได้ ตู้ชำระเงินค่าปรับที่เรียงรายอยู่รอบ ๆ เพื่อความสะดวกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน ดังนั้นหากคุณอยากเที่ยวสิงคโปร์ด้วยความสบายใจ และไม่อยากเสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น แถมยังต้องเผชิญความยุ่งยากอีกด้วย เราก็ควรทราบกฎพื้นฐานของประเทศสิงคโปร์ว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลย

  • การไม่ข้ามถนนตรงทางม้าลายเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งที่จะถูกปรับในสิงคโปร์
  • ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเมื่ออยู่ในรถ และคนขับไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ
  • ห้ามขี่จักรยานบนทางเดินเท้าโดยเฉพาะบริเวณใกล้แม่น้ำ
  • ไม่อนุญาตให้เคี้ยวหมากฝรั่ง ของว่าง และเครื่องดื่มบนรถไฟ MRT หรือระบบขนส่งสาธารณะ
  • การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ รวมถึงการบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
  • การไม่กดน้ำหลังใช้ห้องน้ำสาธารณะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
  • การถ่มน้ำลายลงพื้นก็ทำให้คุณโดนปรับราคาแพง
  • การทิ้งขยะบนท้องถนน ถ้าเป็นชิ้นเล็กๆ จะโดนค่าปรับ 300 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 6,900 บาท) แต่ถ้าเป็นขยะชิ้นใหญ่อย่างกระป๋องหรือขวดน้ำ อาจจะทำให้ต้องขึ้นศาลได้ 
  • การให้อาหารนกพิราบในสวนสาธารณะ ถูกปรับ 500 ดอลลาร์สิงคโปร์!
  • สิงคโปร์เข้มงวดเรื่องยาเสพติดมาก รวมถึงกัญชาด้วย หากคุณถูกจับได้ คุณต้องถูกจำคุกแน่นอน!

ถึงแม้ว่านักเดินทางหลายคนจะให้คำจำกัดความของสิงคโปร์ว่าราคาแพง แต่ไม่ได้หมายความว่าการเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์แบบประหยัดจะเป็นไปไม่ได้ มีหลายวิธีในการลดค่าใช้จ่ายหากคุณรู้ว่าจะไปที่ไหน และเคล็ดลับที่เราบอกก็จะช่วยเป็นแนวทางให้คุณวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้

นอกจากในสิงคโปร์จะมีค่าครองชีพสูงแล้ว หากคุณเกิดเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันอย่างเช่น การเจ็บป่วยกระทันหัน หรือเกิดอุบัติเหตุ คุณอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่ไม่ได้เตรียมมาเพื่อการนี้อีกด้วย สิ่งสำคัญที่จะช่วยใหคุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมีประกันภัยการเดินทางติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : tripsavvy.com, traveltriangle.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Tips to buy cheap broadway tickets

8 เทคนิคการหาตั๋วชม บรอดเวย์ ราคาถูก

หากคุณได้ไปเที่ยวอเมริกา และมีโอกาสได้ไปนิวยอร์ก การไปชมการแสดง บรอดเวย์ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เรียกได้ว่าต้องมีอยู่ในลิสต์ ที่เที่ยวอเมริกา ห้ามพลาดกันอย่างแน่นอน บรอดเวย์เป็นย่านโรงละคร (Theater District) ของนิวยอร์กซิตี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เต็มไปด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมและการแสดงที่น่าทึ่ง แต่ราคาตั๋วสำหรับการแสดงที่เป็นที่นิยมที่แพงเป็นหลักหลายพันอาจทำให้คุณต้องหยุดคิด หรือถึงกับต้องเอารายการชมการแสดงบรอดเวย์ออกจากลิสต์เที่ยวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายกันเลยทีเดียว Allianz Travel ไม่อยากให้คุณพลาด! เราจึงได้รวบรวมเทคนิคการหาที่นั่งดีๆ สำหรับการแสดงที่ดีที่สุดบนบรอดเวย์ในราคาถูกตามงบประมาณของคุณ ช่วยให้คุณไม่ต้องจ่ายเกินความจำเป็น!

1. ต่อแถวซื้อตั๋ว บรอดเวย์ ที่หน้าโรงละครในวันแสดง (Rush Ticket)

หากเรื่องที่คุณอยากดูเป็นเรื่องที่กำลังฮอตฮิตเป็นอย่างมาก ตั๋วลดราคาก็อาจไม่มีหลุดออกมา แต่ก็ยังมีวิธีที่ช่วยให้คุณจ่ายเงินให้น้อยที่สุดได้ นั่นคือการซื้อตั๋วจากช่องขายตั๋วหน้าโรงในวันแสดง การแสดงบรอดเวย์ส่วนใหญ่จะเก็บตั๋วจำนวนหนึ่งไว้ขายในวันแสดงวันต่อวันในราคาถูก ซึ่งต้องไปต่อคิวซื้อที่หน้าโรงละครล่วงหน้าก่อนโรงละครเปิดประมาณ 2-4 ชั่วโมง (เช็คเวลาเปิดของแต่ละที่ที่อาจไม่เหมือนกัน) และถ้าเรื่องที่เป็นที่นิยม จะมีคนไปรอต่อคิวก่อนเวลาเปิดหลายชั่วโมงกันเลย

บรอดเวย์ Broadway NYC
ขอบคุณรูปภาพจาก : Florian Wehde on Unsplash 

บางครั้งการซื้อตั๋วแบบนี้อาจช่วยให้คุณได้ที่นั่งที่ดีมาก ซึ่งเป็นที่ที่เคยเก็บไว้สำหรับแขกพิเศษหรือเคยขายราคาแพงและเพิ่งเอากลับมาขายในระบบ (คุยหรือตีซี้กับพนักงานขายที่บ็อกซ์ออฟฟิศ พวกเขาอาจให้คำแนะนำคุณได้) หรือถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ที่นั่งที่มีมุมมองที่ดีที่สุดเสมอไป แต่วิธีนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าคุณจะได้ที่นั่งราคาประหยัดในนาทีสุดท้ายและราคาไม่แพง

คำแนะนำ

  • คนรอซื้อตั๋วช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มากกว่าวันธรรมดา วางแผนดูการแสดง บรอดเวย์ ในวันธรรมดาเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อคิวยาว วันอังคารมักจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อตั๋ว Rush 
  • อย่าลืมพกบัตรประจำตัวที่มีรูปถ่ายเมื่อไปรอซื้อตั๋ว Rush และพกเงินสดติดตัวเสมอเพื่อรับตั๋วเร็วขึ้น เพราะบางบูธอาจไม่รับบัตรเครดิต 
  • คุณมีโอกาสได้ตั๋ว Rush จากละครเวทีทั่วไปมากกว่าละครเพลง เพราะคนนิยมดูละครเพลงมากกว่า
  • หากตั๋ว Rush สำหรับการแสดงที่คุณต้องการขายหมด ให้ลองหาตัวเลือกอื่น เช่น ซื้อตั๋วยืน (Standing Room Only)

2. ซื้อตั๋วยืน (Standing Room Only หรือ SRO)

อีกทางเลือกหนึ่งที่คุณจะหาตั๋วถูกในการชมการแสดง บรอดเวย์ คือการซื้อตั๋วยืน (Standing Room Only หรือ SRO) คุณต้องยืนเข้าแถวรอที่หน้าโรงละครในวันที่มีการแสดง ตั๋วจะจำหน่ายแบบใครมาก่อนได้ก่อน และขายสำหรับการแสดงที่ขายตั๋วนั่งหมดแล้วเท่านั้น คุณจะต้องไปสอบถามที่หน้าโรงว่าสามารถซื้อได้กี่ใบ บางเรื่องสามารถซื้อได้คนละ 2 ใบ แต่บางเรื่องอาจจำกัดแค่คนละ 1 ใบ บางครั้งอาจต้องไปต่อแถวรอซื้อตั๋วยืนกันตั้งแต่ตีห้าหรือ 6 โมงเช้าของวันแสดง!

เนื่องจากตำแหน่งของตั๋วยืนโดยทั่วไปจะอยู่ด้านหลังแถวสุดท้ายของวงออเคสตรา หรือด้านข้างของโรงละคร มุมมองอาจถูกบดบังบางส่วน พื้นที่ยืนแคบ ไม่สะดวกสบายเพราะต้องยืนตลอดการแสดง ผนังกั้นอาจสูง เสียงอาจไม่ดี และอาจได้รับประสบการณ์ที่แย่ไปจนถึงปานกลาง – แต่คุณได้ชมการแสดงบรอดเวย์ที่ฮอตฮิตในราคาถูก ก็ยังถือว่าคุ้มทีได้เข้าไปดู คุณอาจเลือกซื้อตั๋วยืนสำหรับการแสดงบรอดเวย์ที่มีระยะเวลาน้อยกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อให้ไม่ต้องยืนอยู่นานเกินไปก็ได้

คำแนะนำ

  • ตั๋วยืน SRO จะจำหน่ายแบบมาก่อนได้ก่อน ดังนั้นคุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อคิวยาว
  • สวมรองเท้าที่ใส่สบายและอย่าเพิ่งหวังว่าจะมีที่นั่งว่าง
  • ผนังกั้นระหว่างผู้ชมที่ยืนกับที่นั่งมักจะสูง คุณต้องแน่ใจว่าตัวสูงพอที่จะมองเห็นเวที และที่สำคัญคือไม่ควรพาเด็กมาด้วย
  • พกเงินสดติดตัวเสมอ คุณจะต้องชำระค่าตั๋วด้วยเงินสด
  • ตรวจสอบเว็บไซต์สำหรับการแสดงที่ขายตั๋วยืน SRO
  • โดยปกติ ตั๋วยืนจะขายก่อนการแสดงประมาณ 2 ชั่วโมง แต่คุณควรโทรถามห้องขายตั๋วก่อนล่วงหน้าว่ามีตั๋วยืน SRO หรือไม่และขายกี่โมง โรงละครแต่ละแห่งอาจมีนโยบายการขายตั๋วยืนที่แตกต่างกัน

3. ไปที่บูธ TKTS

วิธีคลาสสิกในการหาตั๋วลดราคาสำหรับละครบรอดเวย์คือไปต่อแถวซื้อตั๋วในวันแสดงที่บูธส่วนลด TKTS สาขาไทม์สแควร์ที่อยู่ใต้บันไดสีแดงบนถนน 47th ตัดกับถนน Broadway หรือที่สาขาลินคอล์นเซนเตอร์บนถนนบรอดเวย์ตัดกับถนน 62nd ซึ่งมีตั๋วจำหน่ายเกือบทุกเรื่องในราคาลดประมาณ 50% บูธ TKTS ที่ไทม์สแควร์เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 15.00 น. สำหรับรอบเย็น และ 11.00 น. สำหรับรอบบ่าย (มีวันพุธและวันหยุดสุดสัปดาห์) คุณสามารถซื้อตั๋วเข้าชมในวันที่มีการแสดงหรือรอบบ่ายของวันถัดไป

บรอดเวย์ Broadway NYC - TKTS

โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งไปถึงบูธ TKTS เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี แต่บางครั้งบล็อคที่นั่งดีๆ ก็จะถูกนำมาขายตอนช่วงเวลาใกล้แสดง คุณสามารถซื้อตั๋วได้สูงสุดคนละ 6 ใบในแต่ละครั้ง มีค่าธรรมเนียมประมาณ 6 เหรียญต่อใบ ซึ่งเงินส่วนนี้นำไปสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาโรงละคร (TDF) แต่ก็ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมในเว็บไซต์จำหน่ายตั๋วส่วนใหญ่อย่างมาก

คำแนะนำ

  • อย่าไปตอนที่บูธเปิด เพราะเป็นช่วงที่คนต่อแถวยาวที่สุด ให้ไปถึงช้ากว่าเวลาเปิดประมาณครึ่งชั่วโมง 
  • ถ้าคุณจะซื้อตั๋วละครเวทีที่ไม่ใช่ละครเพลง ให้ไปที่หน้าต่าง 1 ของบูธที่ไทม์สแควร์ ซึ่งขายตั๋วสำหรับละครเวทีเท่านั้น และแทบจะไม่ต้องรอแถวเลย
  • ถ้าบูธที่ Lincoln Center (61 W. 62nd St.) เปิด (เช็คจากเว็บไซต์ TKTS) ให้ไปที่นั่นจะดีกว่า เพราะแถวสั้นกว่ามาก
  • บูธ TKTS รับทั้งบัตรเครดิตและเงินสด
  • ดาวน์โหลดแอปหรือเช็คเว็บ TKTS เพื่อเช็คล่วงหน้าว่ามีตั๋วการแสดงใดขายบ้าง และราคาเท่าไร
  • สมัครสมาชิก TDF โดยมีค่าธรรมเนียมรายปี 40 เหรียญ เพื่อรับสิทธิ์ในการซื้อตั๋วราคาพิเศษ โดยคุณสามารถจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าได้หลายวัน และบางครั้งเป็นสัปดาห์ และที่นั่งมักจะดีเยี่ยม
  • หากคุณดูหลายเรื่องในหนึ่งสัปดาห์ คุณสามารถต่อแถว “7-Day Fast Pass” ที่ไทม์สแควร์ ซึ่งมักจะสั้นกว่าแถวอื่นเสมอ และโชว์หางตั๋วของการแสดงที่คุณเพิ่งดูมาภายใน 7 วันที่ผ่านมา

4. เสี่ยงโชคกับตั๋วลอตเตอรี่ (Lottery Ticket)

ตั๋วลอตเตอรี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมและตื่นเต้นที่ได้ลุ้น ตั๋วนี้เป็นการชิงโชคเพื่อลุ้นรับตั๋วที่นั่งระดับพรีเมียมในราคาที่มีส่วนลดเยอะมากจากราคาปกติ อย่างเช่น คุณอาจได้ตั๋วชมละครเพลง Hamilton ในราคาเพียงแค่ 10 เหรียญเท่านั้น

บรอดเวย์ Broadway NYC - Hamilton
ขอบคุณรูปภาพจาก : Sudan Ouyang on Unsplash

การแสดงบางเรื่องใช้วิธีจับฉลากแบบเก่า ถ้าเราอยากดูรอบวันไหน ก็ไปเขียนชื่อใส่กล่องชิงโชคที่หน้าโรงละคร ที่บอกเวลาจับฉลากไว้ ซึ่งอาจจะเป็นช่วง 2 หรือ 2.5 ชั่วโมงก่อนการแสดง พอถึงเวลาคนก็จะมายืนลุ้นกัน ถ้าได้ก็ไปจ่ายตังค์และรับตั๋วเข้าไปดูการแสดง ตั๋วเหล่านี้มักอยู่ครึ่งหน้าของวงออร์เคสตรา และมีราคาระหว่าง 25-35 เหรียญ

บางเรื่องให้ชิงโชคผ่านระบบลอตเตอรีออนไลน์ที่คุณสามารถเข้าได้ทุกวันผ่านเว็บไซต์หรือแอพมือถือ ได้แก่ Broadway Direct, Lucky Seat, Telecharge และ TodayTix แต่ละเว็บโดยปกติจะเปิดให้ลงชื่อก่อนการแสดง 24 ชั่วโมง คุณสามารถลงชื่อลุ้นตั๋วกี่การแสดงก็ได้ แต่ลงชื่อได้แค่คนละครั้งเพื่อชิงตั๋ว 2 ใบสำหรับการแสดงและเวลาฉายเฉพาะนั้นๆ คุณจะได้ตั๋วเพียงการแสดงเดียวในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณเข้าลงชื่อลุ้นตั๋วเรื่องแฮมิลตันและวิคเค็ดในเวลา 20.00 น. ที่แสดงในคืนเดียวกัน คุณจะได้เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น แต่คุณมีสิทธิ์ได้รับตั๋วสำหรับรอบการแสดงที่แตกต่างกัน เช่น รอบก่อนเที่ยงและรอบ 20:00 น. ตั๋วมักมีราคาระหว่าง 30-49 เหรียญ และแตกต่างกันไปตามการแสดง

คำแนะนำ

  • ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการลงชื่อลุ้นตั๋วลอตเตอรี่ คุณจะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อคุณได้รับเลื่อกเท่านั้น
  • ถ้าได้รับเลือก คุณจะได้รับแจ้งทางอีเมล และคุณจะมีเวลา 60 นาทีนับจากเวลาที่แจ้งเตือนทางอีเมลเพื่อซื้อตั๋ว
  • ที่นั่งถูกกำหนดตามดุลยพินิจของแต่ละโรงละคร คุณไม่สามารถโอนไปให้บุคคลอื่นหรือการแสดงอื่นได้
  • หลังจากที่คุณชำระเงินและได้รับการยืนยันการชำระเงินแล้ว คุณสามารถรับตั๋วได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของโรงละครอย่างน้อย 30 นาทีก่อนเวลาแสดง
  • อย่าลืมนำบัตรประจำตัวที่มีรูปถ่ายที่ถูกต้องมาด้วย

5. ให้ บรอดเวย์ รูเล็ต (Broadway Roulette) เลือกให้คุณ

บรอดเวย์รูเล็ต (Broadway Roulette) เป็นวิธีที่สนุก ง่าย และได้ส่วนลดมากมาย นอกจากนี้คุณยังมีโอกาสได้ตั๋วอย่างแน่นอน โดยที่ไม่ต้องไปเสี่ยงกับตั๋วลอตเตอรี่หรือเสียเวลาไปต่อแถว เพียงแค่เลือกวันที่คุณต้องการ (ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจนถึง 3 เดือนล่วงหน้า) เลือกจำนวนตั๋วได้ถึง 6 ใบ เลือกเรื่องที่อยากดูและไม่อยากดูได้มากถึง 6 รายการ หรือเลือกเฉพาะเรื่องที่เหมาะสำหรับครอบครัวก็ได้ แล้วรออีเมลตอบกลับว่าคุณจะได้ตั๋วเรื่องไหน ที่นั่งตรงไหน ข้อมูลการแสดงและวิธีการรับตั๋วของคุณ! ราคาค่าตั๋วจะอยู่ที่ประมาณ 49-59 เหรียญ ซึ่งคุณจะได้ที่นั่งที่ดีในราคาที่ถูกกว่าซื้อตั๋วจากโรงละครโดยตรง และหากคุณเข้ามาร่วมสนุกมากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องที่คุณเคยดูแล้วจะถูกแยกออกมาโดยอัตโนมัติ ช่วยให้คุณได้เรื่องที่ไม่ซ้ำเดิมอย่างแน่นอน

คุณสามารถรับตั๋วที่โรงละครก่อนการแสดง หรือในบางกรณีถ้าเป็นเรื่องที่เล่นในโรงละครที่มีคนเยอะ เช่น เรื่องอะลาดิน หรือเดอะไลอ้อนคิงก็อาจมีคนจากบรอดเวย์รูเล็ตนำตั๋วมาให้คุณ

คำแนะนำ

บรอดเวย์รูเล็ตให้โอกาสคุณค้นพบการแสดงที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยวิธีการร่วมสนุกที่ไม่ยุ่งยากและทำให้คุณได้เซอร์ไพรส์กับผลลัพธ์ที่ออกมา

6. หาตั๋ว บรอดเวย์ นาทีสุดท้ายที่มีคนเอามาขายต่อ

ในช่วงก่อนการแสดง จะมีนักเก็งกำไรเอาตั๋วที่ขายไม่ออกมาระบาย บางครั้งคุณก็อาจได้ตั๋วตามราคาหน้าบัตร แต่ในบางกรณีคุณก็อาจโชคดีได้ตัวที่ราคาต่ำกว่าหน้าบัตรในช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนการแสดงจะเริ่ม 

อีกวิธีหนึ่งก็คือเข้าไปที่เว็บไซต์ที่มีพื้นที่ให้คนเอาตั๋วมาขายต่ออย่างเช่น StubHub, SeatGeek, Broadway.com, VividSeats หรือแม้แต่ Ticketmaster คุณสามารถหาตั๋วการแสดงที่คุณต้องการได้จากเว็บเหล่านี้ บางครั้งตั๋วอาจราคาสูงกว่าหน้าตั๋วมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการแสดงและผู้ขาย ถ้าคุณต้องการความตื่นเต้นและมีเวลาที่จะรอ ให้รอจนใกล้เวลาแสดง เพราะราคาตั๋วจะค่อยๆ ลดลง คุณอาจรอไปจนกว่าจะถึงราคาที่คุณตั้งงบประมาณไว้ ก็ให้กดซื้อในทันที แล้วก็รีบวิ่งไปที่โรงละครเลย วิธีนี้อาจไม่ได้ช่วยให้คุณได้ตั๋วราคาถูกได้ทุกครั้งแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ให้ได้ลุ้น และถ้าได้ตั๋วมาก็คุ้มค่ามาก

คำแนะนำ

  • ถ้าซื้อตั๋วจากบุคคลทั่วไปที่เอามาขายต่อ ให้ตรวจเช็คการแสดง วันเวลาที่ถูกต้องบนหน้าบัตรก่อนจ่ายเงิน
  • หากคุณต้องการลุ้นเพื่อให้ได้ราคาถูกสุดๆ คุณอาจรอจนถึง 10-15 นาทีก่อนเริ่มการแสดงเลยก็ได้ แต่ก็ต้องวิ่งไปที่โรงละครกันเลยล่ะ! 
  • คุณอาจไปหาที่นั่งดื่มหรือทานอาหารเย็นใกล้ๆ กับโรงละครที่อยากดู แล้วในช่วงประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนการแสดง ให้เฝ้าเว็บที่จำหน่ายตั๋วต่อไว้ตลอด 
  • ก่อนกดซื้อตั๋ว คุณค้องเช็คก่อนว่าตั๋วสามารถใช้วิธีดาวน์โหลดเอาได้ไหม หรือต้องไปรับที่ไหน
  • คุณจะหาตั๋วแบบนี้ได้ง่ายถ้าหากซื้อเพียงแค่ใบเดียว แต่ถ้ามากับเพื่อนหรือมาเป็นกลุ่ม อาจจะต้องนั่งแยกกันเพื่อให้มีโอกาสหาตั๋วได้ง่ายขึ้น

7. ซื้อตั๋ว บรอดเวย์ ล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์หรือแอพส่วนลด

คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในนิวยอร์คเพื่อหาตั๋วบรอดเวย์ราคาถูก ถ้าคุณวางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้าและมีแผนที่จะไปดูบรอดเวย์ คุณสามารถซือตั๋วลดราคาด้วยรหัสส่วนลดตามเว็บไซต์สำหรับคนที่จะซื้อตั๋วล่วงหน้า บางครั้งคุณอาจเจอข้อเสนอที่ให้ส่วนลดถึง 50% เลยก็ได้ 

เว็บ Ticketmaster มีตั๋วการแสดงยอดนิยมแทบทุกรายการ แต่อาจมีส่วนลดไม่มากนัก คุณอาจหาตั๋วลดราคาได้จาก BroadwayBox, TheaterMania และ GoldStar และสำหรับการจองออนไลน์ในนาทีสุดท้าย ให้ไปที่ TodayTix หรือ StubHub คุณมักจะพบตั๋วลดราคามากมายบน StubHub ใกล้เวลาของการแสดง นอกจากนี้คุณยังสามารถค้นหาข้อเสนอใน Groupon หรือ Living Social ซึ่งบางครั้งก็ลดสูงสุดถึง 50%

คำแนะนำ

  • หากคุณมีเวลาอยู่นิวยอร์กไม่นาน และมีการแสดงที่ตั้งใจจะไปดูอยู่แล้ว การจองตั๋วล่วงหน้าจะช่วยคุณประหยัดเวลาในการรอคิวซื้อตั๋วราคาถูกวิธีอื่นๆ
  • การซื้อตั๋วชมบรอดเวย์ล่วงหน้าจะช่วยให้มีโอกาสได้ที่นั่งที่ดีในราคาที่มีสวนลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการแสดงที่เป็นที่นิยมจะมีราคาตั๋วสูงขึ้นเมื่อใกล้ถึงวันแสดง
  • ถ้าคุณไม่จำกัดวันเข้าชมหรือที่นั่งที่คุณต้องการ คุณก็น่าจะได้ราคาที่ดี
  • เปรียบเทียบราคาผ่านแอปก่อนเพื่อหาราคาและข้อเสนอที่ดีที่สุด
  • สมัครรับข้อมูลอัปเดตและส่วนลดจากเว็บไซต์ขายตั๋ว ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับข้อเสนอที่ดี!

8. ซื้อตั๋ว บรอดเวย์ ในช่วงสัปดาห์บรอดเวย์ (Broadway Week)

เทศกาลสัปดาห์บรอดเวย์หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า NYC Broadway Week℠ จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในช่วงประมาณกลางเดือนมกราคม และต้นเดือนกันยายน เป็นช่วงเวลาที่นักชมละครบรอดเวย์เฝ้ารอที่จะได้ซื้อตั๋วเรื่องที่เป็นที่นิยมที่สุดได้ในราคาซื้อ 1 แถม 1 (หมายความว่าคุณจะต้องซื้อตั๋วอย่างน้อยสองใบ) ตั๋วที่ขายในช่วง Broadway Week มักจะเป็นตั๋วที่ผู้จัดต้องการขายมากที่สุด เช่น ระเบียง ชั้นลอย และพื้นที่ด้านข้าง คุณสามารถเลือกตัวเลือก “อัปเกรด” มูลค่า 20 ดอลลาร์เพื่อเลือกสำหรับที่นั่งที่ดีกว่าได้ 

หากต้องการซื้อตั๋วในช่วงเวลานี้ต้องรีบซื้อตั้งแต่ต้นๆ การแสดงยอดนิยมจะขายหมดอย่างรวดเร็ว ควรตั้งเป้าไปที่เวลา 10.00 น. ของวันแรก และอัพเดทบัญชีสมาชิกในเว็บ Telecharge และ Ticketmaster เพื่อให้กระบวนการซื้อตั๋วผ่านไปอย่างราบรื่น หรือซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ทางการของ Broadway Week เพื่อซื้อตั๋วและตรวจเช็ครายการการแสดงที่เข้าร่วม

คำแนะนำ

  • ยิ่งคุณซื้อที่นั่งเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะได้ตัวเลือกแรกของคุณก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
  • คุณหาซื้อตั๋วชมบรอดเวย์ได้เกือบทุกรายการช่วงสัปดาห์บรอดเวย์—แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เช่น Hamilton
  • รายการการแสดงที่ร่วมรายการจะประกาศในวันแรกของการขายบัตรเท่านั้น
บรอดเวย์ Broadway NYC
ขอบคุณรูปภาพจาก : Martin Sanchez on Unsplash 

ตั๋วบรอดเวย์ลดราคามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และเทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยให้เราหาที่นั่งราคาถูกได้ง่ายกว่าที่เคย แม้จะซื้อในนาทีสุดท้าย หากคุณโชคดีหาตั๋วได้ถูกที่และถูกเวลา คุณก็อาจได้ที่นั่งสำหรับการแสดงยอดนิยมที่หาตั๋วได้อยากมากอย่างเรื่องแฮมิลตัน 

บรอดเวย์เป็น ที่เที่ยวอเมริกา ที่ได้รับความสนใจ และอยู่ในลิสต์ของใครหลายๆ คน หากได้มาเที่ยวอเมริกาแล้ว หลายๆ คนก็คงไม่อยากพลาดที่จะได้ไปสัมผัสสักครั้ง แต่สิ่งสำคัญที่ห้ามพลาดอีกอย่างหนึ่งคือประกันภัยการเดินทางที่จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการเดินทาง เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟท์ดีเลย์ เป็นต้น* อย่าให้เงินที่เราตั้งใจจะประหยัดในการเดินทางท่องเที่ยว ต้องมาจ่ายให้กับเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิด

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : timeout.com, nytix.com, playbill.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา

10 วิธีเที่ยวแบบประหยัด อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา

หลายคนกำลังวางแผนเที่ยวอเมริกา โดยมีจุดหมายปลายทาง ที่เที่ยวอเมริกา เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามและน่าทึ่ง (สามารถดูรายละเอียดอุทยานแห่งชาติที่สวยจนต้องไปสัมผัส ได้จากบทความนี้ค่ะ : 5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส) แต่ก็อาจต้องมานั่งกังวลกับอุปสรรคที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าเดินทางไปยังอุทยาน ที่พัก อาหาร อุปกรณ์ ค่าเข้าอุทยาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งหมดอาจเป็นปัญหาที่แท้จริงสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด  Allianz Travel ขอแบ่งปัน 10 เคล็ดลับในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในอเมริกาในราคาประหยัด เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ประหยัดเงินในการเดินทางท่องเที่ยวและสนุกกับทริปเที่ยวอเมริกากันได้อย่างเต็มที่

1. เดินทางในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือช่วงต้นของฤดูท่องเที่ยว

ฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับอุทยานแห่งชาติอเมริกาคือช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเดินทางไปเที่ยวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมธรรมชาติอันสวยงาม แต่นั่นหมายถึงห้องพักและที่ตั้งแคมป์จะเต็มอย่างรวดเร็ว และมีราคาแพง หากเพื่อนๆ ที่ต้องการประหยัดเงินและหลีกเลี่ยงฝูงชน การเดินทางช่วงนอกฤดกาลจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลงและห้องว่างที่มากขึ้น ทำให้เราเพลิดเพลินไปกับความสงบของธรรมชาติ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน เช่น สภาพอากาศที่เย็น หรือมีการปิดเส้นทางและน้ำตกบางแห่งเนื่องจากมีหิมะตก

ที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติในอเมริกา

ดังนั้นจึงควรศึกษาสภาพตามฤดูกาลเพื่อป้องกันเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เสียเวลาและเสียเงินมากยิ่งขึ้น และพึงระลึกไว้ว่าอุทยานบางแห่งมีฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากที่อื่น อุทยานที่อยู่ในเขตที่มีอากาศอบอุ่น อย่างเช่น Death Valley และ Everglades จะคึกคักที่สุดในฤดูหนาว

2. ซื้อบัตรเข้าชมอุทยานแห่งชาติรายปี หรือบัตร America the Beautiful

บัตร America the Beautiful เป็นบัตรผ่านสำหรับเที่ยวพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่อนุรักษ์ และสถานพักผ่อนหย่อนใจของรัฐบาลกลางกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในระยะเวลา 1 ปี

America The Beautiful Card - Annual Pass

บัตรผ่านใบนี้มีราคา 80 เหรียญสหรัฐ ใช้ได้กับผู้ถือบัตรและแขกที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน และสามารถลงลายมือชื่อเป็นเจ้าของบัตรได้ 2 คน ซึ่งแปลว่ายืมกันใช้ได้! เราสามารถซื้อบัตรผ่านได้ที่ด่านทางเข้าอุทยานทุกแห่ง โดยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าต้องการซื้อบัตร America the Beautiful และสามารถจ่ายเงินได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต เจ้าหน้าที่จะเจาะหลังบัตรเพื่อระบุวันที่ซื้อบัตร และให้เราเซ็นหลังบัตรเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของบัตร

ตามปกติค่าเข้าอุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30 เหรียญต่อรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นหากวางแผนที่จะเยี่ยมชมอุทยานมากกว่า 4 ครั้ง บัตรผ่านนี้จะคุ้มค่าและประหยัดเงินเป็นอย่างมาก!

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรรายปีและบัตรประเภทอื่นๆ ที่นี่

3. ลองกางเต็นท์แทนที่จะอยู่โรงแรมในอุทยานแห่งชาติ

หากวางแผนที่จะพักค้างคืนในอุทยานแห่งชาติ การกางเต๊นท์เป็นตัวเลือกที่ดีและถูกที่สุด เพราะพื้นที่ตั้งแคมป์ในอุทยานแห่งชาตินั้นมีราคาไม่แพงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับที่พักภายในอุทยาน ส่วนใหญ่ค่าเช่าพื้นที่จะมีตั้งแต่ 18 ถึง 35 เหรียญ ขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ และเมื่อเทียบราคากับโรงแรมในอุทยานแห่งชาติซึ่งอาจมีราคาหลายร้อยดอลลาร์

camping in national park

แต่พื้นที่ตั้งแคมป์มักเต็มในช่วงฤดูท่องเที่ยว คุณควรจองสถานที่ทางออนไลน์ล่วงหน้า โดยเฉพาะถ้าจะไปอุทยานแห่งชาติที่เป็นที่นิยม และถ้าอยากให้ประหยัดมากยิ่งขึ้น อุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีพื้นที่สาธารณะที่สามารถกางเต็นท์ได้ฟรี (แต่อาจไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ หรือห้องอาบน้ำ) หากคุณเลือกที่จะตั้งแคมป์ในที่สาธารณะ คุณต้องปฏิบัติตามกฎ Leave No Trace หรือการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และเรียนรู้วิธีขุดหลุมเข้าส้วมกลางป่าไว้ด้วย

campsites

หากคุณต้องการพักในโรงแรม หรือตัวเลือกอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับงบประมาณ อยากเช่น เลือกจองที่ตั้งแคมป์ของเอกชนในบริเวณใกล้เคียง โมเต็ลราคาไม่แพงที่อยู่นอกอุทยานแห่งชาติหลายแห่งรองรับนักท่องเที่ยว เป็นต้น

4. หาเช่าหรือซื้ออุปกรณ์ตั้งแคมป์มือสอง

หากคุณยังไม่เคยเดินป่าหรือตั้งแคมป์ ก็ยังไม่ควรที่จะใช้เงินจำนวนมากไปกับอุปกรณ์ใหม่ๆ อย่างเช่น กระเป๋าเป้ ไฟ เต็นท์ เตา และอื่นๆ สำหรับการเดินทางไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเป็นครั้งแรก ทางที่ดีและประหยัดก็คือหาซื้ออุปกรณ์มือสองหรือจะเป็นการเช่าก็ได้ ตรวจสอบร้านค้าและเว็บไซต์มือสอง เช่น Craigslist, Amazon และ eBay หรือโพสต์คำขอบน Freecycle เพื่อค้นหาผู้คนที่นำอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมเดินป่าที่ไม่ต้องการใช้แล้วมาแจกให้ฟรี มีหลายคนที่ลองมาตั้งแคมป์ และพบว่าพวกเขาไม่คุ้นชินกับความไม่สะดวกสบายในการนอนเต็นท์ และการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้อย่างไม่ระมัดระวังเป็นวิธีง่ายๆ ในการประหยัดเงิน

Camping Equipment - Second Hand

บางครั้งการตั้งแคมป์จะต้องลงทุนในอุปกรณ์การตั้งแคมป์ เช่น เต็นท์และถุงนอน เคล็ดลับที่ดีคือการหยิบยืมอุปกรณ์สำหรับการเดินทางจากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว หรือมองหาอุปกรณ์ตั้งแคมป์ลดราคาตามเว็บไซต์หรืองานแฟร์ต่างๆ

5. เตรียมอาหารไปทำทานเอง

การทำอาหารเองเพื่อนำไปรับประทานระหว่างวันในอุทยานแห่งชาติช่วยประหยัดเงินได้มาก โดยเฉพาะหากเดินทางกันเป็นครอบครัว สถานที่ตั้งแคมป์ส่วนใหญ่จะมีเตาปิ้งย่างที่สามารถปรุงอาหารได้

Cooking when camping

และหากวันนั้นมีแผนที่จะไปเดินเขาหรือปีนเขา การเตรียมแซนวิชไว้ล่วงหน้านั้นเหมาะสำหรับการรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทิวทัศน์ที่สวยงาม เพราะราคาอาหารในร้านค้าที่ตั้งอยู่ในอุทยานมักจะมีราคาแพงกว่าร้านอาหารในเมืองใกล้เคียง นอกจากจะประหยัดเงินค่าอาหารแล้ว ยังสร้างความทรงจำที่ดีรอบกองไฟในช่วงมื้อเย็นอีกด้วย

Camping Cooking

6. เตรียมของใช้ให้พร้อมก่อนเดินทาง

อุทยานแห่งชาติหลายแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ของแทบทุกอย่างมีราคาสูงกว่าละแวกในเมือง ดังนั้นควรเตรียมซื้อของใช้จำเป็นให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปยังอุทยาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองเพื่อซื้อครีมกันแดด แบตเตอรี่ สเปรย์กันแมลง อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และสิ่งจำเป็นอื่นๆ

Camping Equipment

นอกจากนี้อาหารในบริเวณอุทยานยังมีราคาแพงกว่าและบางครั้งก็หาซื้อได้ยาก ดังนั้นควรเตรียมของว่าง เครื่องดื่ม และแม้แต่อาหารมาด้วย เพียงต้องแน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของอุทยานสำหรับการจัดเก็บอาหารและการกำจัดของเสีย ไม่มีใครอยากให้หมีเปิดตะกร้าปิกนิกของคุณอย่างแน่นอน

7. เลือกเดินทางในวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรี

คุณรู้หรือไม่ว่าอุทยานแห่งชาติอเมริกาจะมีวันที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าในแต่ละปี ซึ่งรวมถึงการเข้าอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ โบราณสถาน และวนอุทยานแห่งชาติอื่นๆ รวมกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ วันเข้าฟรีเป็นโอกาสที่ดีในไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป หรือไปที่ที่เราชื่นชอบและอยากไปอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทยานแห่งชาติที่มีการเก็บค่าเข้า การยกเว้นค่าเข้าไม่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกหรือค่าธรรมเนียมสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น การตั้งแคมป์ การปล่อยเรือ ค่าล่องเรือ ค่าเดินทาง หรือทัวร์พิเศษของแต่ละสถานที่

Choose date for planning to travel

ทั้งนี้ การเข้าฟรีก็จะหมายถึงผู้คนจำนวนมาก การจราจรที่คับคั่ง และพื้นที่ส่วนกลางก็อาจเต็มไปด้วยผู้คนอีกด้วย

ตัวอย่างวันเข้าอุทยานแห่งชาติฟรีสำหรับปี พ.ศ. 2565:

17 มกราคม วันเกิดมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

16 เมษายน: วันแรกของสัปดาห์อุทยานแห่งชาติ

4 สิงหาคม: วันครบรอบการออกกฎหมาย Great American Outdoors Act

24 กันยายน วันพื้นที่สาธารณะแห่งชาติ (National Public Lands Day)

11 พฤศจิกายน: วันทหารผ่านศึก

เช็ควันเข้าฟรีอุทยานแห่งชาติก่อนวางแผนการเดินทางได้ที่นี่

8. อย่าพลาดโอกาสในการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน

สิ่งแรกที่คุณควรทำหลังจากเข้าไปในอุทยานคือไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากบางครั้งเส้นทางต่างๆ ในอุทยานมักถูกปิดด้วยเหตุผลด้านการบำรุงรักษาหรือความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาได้ด้วยการบอกคุณว่าพื้นที่ใดหรือเส้นทางใดที่ปิดในวันนั้น

เจ้าหน้าที่อุทยาน

คุณไม่จำเป็นต้องขับรถหนึ่งชั่วโมงไปยังจุดหมายปลายทางเพียงเพื่อที่จะเห็นว่ามันปิด เจ้าหน้าที่ยังช่วยให้คำปรึกษาในสิ่งที่คุณสนใจได้ อย่างเช่น แนะนำเส้นทางเดินเขาไปยังจุดชมวิวที่ดีที่สุด เป็นต้น นี่คือคำแนะนำที่คุณจะได้รับโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

9. มองหาที่เที่ยวในอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (National Monument)

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียง เช่น เยลโลว์สโตน โยเซมิตี แกรนด์แคนยอน และเกลเชอร์ แต่ไม่คุ้นเคยกับอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่อาจจะเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับงบประมาณของคุณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติหลายแห่งมีภูมิประเทศที่สวยงามน่าประทับใจ รวมถึงมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ที่อยู่อาศัยบนหน้าผาของชนพื้นเมือง และลักษณะที่น่าสนใจอื่นๆ

Lincoln Memorial

อกจากนี้คุณจะเห็นผู้คนจำนวนครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าที่คุณพบในอุทยานแห่งชาติ มีค่าเข้าที่ถูกกว่า (หรือไม่มีเลย) และที่ตั้งแคมป์ฟรีหรือไม่แพง อย่างเช่น อนุสรณ์สถานวอชิงตันและลินคอล์นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (ฟรี) หรือ Natural Bridges ในรัฐยูทาห์ ที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน (ค่าเข้า 20 เหรียญต่อคัน) Castillo de San Marcos ในเมืองเซนต์ออกัสติน รัฐฟลอริด้า (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไป) หรือ Fort McHenry ในบัลติมอร์ (ค่าเข้า 15 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่) สถานที่เหล่านี้ก็มีจุดน่าสนใจให้สำรวจหลายร้อยแห่ง ดังนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องไปหาจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สุด (ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้คนแออัดและราคาแพงที่สุด)

ค้นหาอุทยานแห่งชาติ อนุสรณ์สถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ตามรัฐต่างๆ ได้ที่นี่

10. เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติที่ไม่เก็บค่าเข้า

อุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาทำให้เราได้เข้าถึงความงามทางธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุดที่เราจะพบได้ทุกที่ อุทยานแห่งชาติหลายแห่งเรียกเก็บค่าเข้าชมเพื่อช่วยจ่ายค่าบำรุงรักษาพื้นฐานและเงินเดือนพนักงาน (ยกเว้นบางวันที่เปิดให้เข้าฟรีเป็นพิเศษ เช็คที่นี่)

แต่ถ้าคุณเดินทางแบบประหยัด ยังมีบางแห่งที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าแม้แต่บาทเดียว นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติในราคาประหยัด! ลองดูลิสต์ที่ Allianz Travel เอามาให้ดูดังต่อไปนี้

(1) Redwood National Park รัฐแคลิฟอร์เนีย

Redwood National Park

(2) New River Gorge National Park รัฐเวสต์เวอจิเนีย

(3) Biscayne National Park รัฐฟลอริดา

(4) Great Basin National Park รัฐเนวาดา

Great Basin National Park
ขอบคุณรูปภาพจาก : Visit The USA

(5) Congaree National Park รัฐเซาธ์แคโรไลนา

(6) Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

Kenai Fjords National Park
Kenai Fjords National Park รัฐอะแลสกา

(7) Great Smoky Mountains National Park รัฐนอร์ธแคโรไลนา และรัฐเทนเนสซี่

(8) Cuyahoga Valley National Park รัฐโอไฮโอ

(9) North Cascades National Park รัฐวอชิงตัน

วัตถุประสงค์ของการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติคือการออกไปสัมผัสธรรมชาติกลางแจ้งและเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางไปยัง ที่เที่ยวอเมริกา ในสถานที่ต่างๆ เราควรต้องค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว/ที่ตั้งแคมป์/เส้นทางยอดนิยมที่สุด รู้ล่วงหน้าดีกว่าผิดหวังเมื่อไปถึง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางของคุณเมื่อคุณไปถึงที่นั่น เพื่อให้การผจญภัยในอุทยานแห่งชาติของเราสนุก คุ้มค่า และราคาไม่แพง

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวลอีกอย่างหนึ่งก็คือประกันการเดินทาง เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น อย่าให้เงินที่เราตั้งใจจะประหยัดในการเดินทาง ต้องมาจ่ายให้กับเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดดังกล่าว

Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของเพื่อนๆ ราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้* ประกันการเดินทาง Dance Moves มีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดหลักล้าน เพื่อนๆ สามารถเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและผู้ช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในต่างประเทศไปได้เลยค่ะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : nps.gov, bearfoottheory.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel