วิธีขอวีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป

วิธีขอ วีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป

หลายคนกำลังเตรียมตัวออกไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งการเดินทางไปประเทศแถบยุโรปก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยว เพราะมีทั้งธรรมขาติ และสถาปัตยกรรมที่งดงามที่ต้องมีใครที่เคยฝันอยากจะไปเที่ยวดูสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และอีกมากมาย และ “ วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ” ก็คือใบเบิกทางสู่หลากประเทศที่ขอแค่รอบเดียวก็เที่ยวได้หลายประเทศในวีซ่าเดียว วันนี้ Allianz Travel มีรายละเอียด วิธีขอ วีซ่าเชงเก้น มาฝากทุกคนค่ะ

วีซ่าเชงเก้น ถือกำเนิดมาจากข้อตกลงระหว่างประเทศในทวีปยุโรปที่อนุญาตให้พลเมืองของประเทศสมาชิกสามารถเดินทางระหว่างกันได้โดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง ซึ่งรวมไปถึงการอนุญาตให้เดินทางเป็นการชั่วคราวให้กับผู้ที่ถือวีซ่าเชงเก้นด้วย โดยปัจจุบันประเทศที่อยู่ในข้อตกลงเชงเก้นนั้นมี 29 ประเทศ ซึ่งมีทั้งประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก กลุ่มประเทศเชงเก้นประกอบไปด้วยประเทศดังต่อไปนี้ค่ะ:

Austria

Austria (ออสเตรีย)

Belgium

Belgium (เบลเยี่ยม)

Croatia

Croatia (โครเอเชีย)

Czech Republic

Czech Republic (สาธารณรัฐเช็ก)

Denmark

Denmark (เดนมาร์ก)

Estonia

Estonia (เอสโตเนีย)

Finland

Finland (ฟินแลนด์)

France

France (ฝรั่งเศส)

Germany

Germany (เยอรมัน)

Greece

Greece (กรีซ)

Hungary

Hungary (ฮังการี)

Iceland

Iceland (ไอซ์แลนด์)

Italy

Italy (อิตาลี)

Latvia

Latvia (ลัตเวีย)

Liechtenstein

Liechtenstein (ลิกเตนสไตน์)

Lithuania

Lithuania (ลิทัวเนีย)

Luxembourg

Luxembourg (ลักเซมเบอร์ก)

Malta

Malta (มอลตา)

Netherlands

Netherlands (เนเธอร์แลนด์)

Norway

Norway (นอร์เวย์)

Poland

Poland (โปแลนด์)

Portugal

Portugal (โปรตุเกส)

Slovakia

Slovakia (สโลวาเกีย)

Slovenia

Slovenia (สโลวีเนีย)

Spain

Spain (สเปน)

Sweden

Sweden (สวีเดน)

Switzerland

Switzerland (สวิตเซอร์แลนด์)

Bulgaria

Bulgaria (บัลแกเรีย)

Romania

Romania (โรมาเนีย)

สิ่งสำคัญที่ควรทราบอย่างหนึ่งคือ วีซ่าเชงเก้นไม่สามารถใช้เข้าประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร ซึ่งได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ได้

ขั้นตอนการขอวีซ่าเชงเก้น

ก่อนดำเนินการยื่นคำร้อง

  1. ก่อนทำการยื่นคำร้องขอวีซ่า คุณต้องมั่นใจแล้วว่า คุณเลือกประเทศที่ถูกต้องในการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีวิธีและช่องทางการยื่นขอวีซ่าที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย และการยื่นขอวีซ่าเชงเก้นผิดประเทศตามที่เราอธิบายไว้ข้างต้น สถานทูตก็มีสิทธิ์ปฏิเสธการออกวีซ่าให้คุณได้ โดยกฏของการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen rules) มีดังต่อไปนี้

1.1. หากเดินทางท่องเที่ยวเพียงประเทศเดียว ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นนั้น

1.2 หากเดินทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเชงเก้นมากกว่าสองประเทศ ให้ยื่นใบคำขอวีซ่าเชงเก้นดังนี้ :
– กรณีจำนวนวันที่จะพำนักในแต่ละประเทศ – ไม่เท่ากัน ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นที่จะเข้าไปพำนักนานที่สุด
– กรณีจำนวนวันที่จะพำนักในแต่ละประเทศ – นานเท่ากัน ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นที่จะเดินทางเข้าไปเป็นประเทศแรก

2. เมื่อได้ประเทศที่ต้องยื่นขอวีซ่าเชงเก้นแล้ว ก็ได้เวลาหาข้อมูลว่าประเทศที่คุณต้องขอวีซ่าเชงเก้นนั้น เขาใช้วิธีการใดในการยื่นขอวีซ่า ซึ่งโดยทั่วไปแต่ละประเทศจะมีช่องทางใดช่องทางหนึ่งในการให้บริการดังนี้

  • ยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเก้นผ่านสถานทูตโดยตรง ได้แก่ ประเทศกรีซ, ฮังการี, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, ลักเซ็มเบิร์ก, โปแลนด์, สโลวาเนีย
  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า VFS Global

ที่อยู่ : จามจุรีสแควร์ ชั้น 4 ห้อง 404-405 ถ.พญาไท ปทุมวัน กทม. 10330

เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.00

โทร : 02-118-7015

ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, เยอรมัน, ไอซ์แลนด์, อิตาลี, ลิคเทนสไตน์, มอลต้า, เนเธอร์แลนด์, สโลวีเนีย, สวีเดน และ สวิตเซอร์แลนด์

  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า TLS Contact

ที่อยู่ : สาทรซิตี้ทาวเวอร์ 175 ชั้นที่ 12 ถ.สาทรใต้ ทุ่งมหาเมฆ สาทร กทม. 10120

เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.30

โทร : 02-838-6688

ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ ฝรั่งเศส และ โปรตุเกส

  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า BLS International

ที่อยู่ : 399 อาคารอินเตอร์เชนจ์ชั้น B2 ห้อง A/1 ถ.สุขุมวิท คลองเตยเหนือ วัฒนา กทม. 10110
เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.00
โทร : 02-258-3524
ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ สเปน

3. การขอวีซ่าเชงเก้นทุกประเทศจะต้องมีการทำประกันการเดินทาง ที่มีวงเงินประกันไม่น้อยกว่า 30,000 ยูโรหรือ 1,500,000 บาท และแต่ละประเทศยังมีการกำหนดบริษัทประกันภัยที่ได้รับการยอมรับด้วย ซึ่งคุณจำเป็นต้องตรวจสอบรายชื่อและใช้บริการกับบริษัทประกันภัยที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น

4. วีซ่าเชงเก้นสามารถยื่นคำร้องขอล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน แต่ต้องไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนการเดินทาง

5. แต่ละช่องทางการยื่นคำร้องขอวีซ่าจะมีขั้นตอนอธิบายบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแต่ละประเทศ คุณสามารถศึกษารายละเอียดทั้งหมดได้ด้วยตนเอง และโดยส่วนใหญ่จะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันคือ จองคิว > กรอกเอกสารและจัดเตรียมหลักฐาน > ยื่นเอกสารและเก็บข้อมูลชีวภาพ > เรียกสัมภาษณ์ (ถ้ามี) > รอฟังผลการพิจารณา > รับหนังสือเดินทางคืนพร้อมผลการขอวีซ่า

เมื่อดำเนินการยื่นคำร้อง

1. ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม Schengen Visa Application หรือกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ) โดยคุณจำเป็นต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน

แบบฟอร์มจะมีรูปแบบเหมือนกันทุกประเทศ โดยให้กรอกให้ครบถ้วน อย่าเว้นว่างช่องคำถามใด หากคำถามไม่ตรงกับเคสของเราให้กรอกว่า NA (No Answer) แทน หลังจากที่กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้พิมพ์แบบฟอร์มออกมา 2 ชุด และอย่าลืมเซ็นชื่อให้เรียบร้อยทั้ง 2 ชุด

2. จองคิวนัดหมายกับสถานทูต (ถ้ามี) หรือศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ซึ่งตัวแทนทั้งหมดจะใช้วิธีการจองคิวนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ตามเวลาที่กำหนดอยู่แล้ว โดยศูนย์รับคำร้องข้อวีซ่าจะมีบริการอื่น ๆ เพิ่มเติมที่คุณสามารถเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอาทิเช่น บริการจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์, บริการแจ้งผลการขอวีซ่าผ่าน SMS, บริการถ่ายรูป / ถ่ายเอกสาร เป็นต้น

3. เตรียมตัวเดินทางไปศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตด้วยตนเอง และไม่สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปแทนได้ โดยคุณต้องถึงก่อนเวลานัดหมายอย่างน้อย 15 นาทีพร้อมเอกสารทั้งหมดที่จำเป็นทั้งฉบับจริงและสำเนา และหนังสือเดินทางที่ต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า และมีอายุคงเหลือมากกว่า 3 เดือนนับจากวันที่เดินทางออกจากเขตประเทศเชงเก้น

4. ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตจะเก็บข้อมูลทางชีวภาพของคุณได้แก่ลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว และถ่ายภาพเต็มหน้าของคุณตามข้อกำหนดของวีซ่าเชงเก้น โดยต้องเป็นภาพหน้าตรง พื้นหลังขาว ไม่มีแสงเงา ไม่สวมอุปกรณ์คลุมศีรษะแต่เหตุผลทางศาสนาหรือทางการแพทย์ (สวมใส่แว่นสายตาได้)

5. สำหรับการยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเก้นนั้นอาจมีการเรียกสัมภาษณ์คุณด้วย แต่โดยส่วนใหญ่การยื่นคำร้องกับศูนย์รับคำร้องขอวีซ่านั้นจะไม่มีการสัมภาษณ์ ทั้งนี้สถานทูตอาจจะเรียกสัมภาษณ์คุณในระหว่างการพิจารณา ดังนั้นเตรียมตัวไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

6. ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตรับเอกสารและเก็บข้อมูลชีวภาพเสร็จสิ้น (รวมทั้งการเรียกสัมภาษณ์) การยื่นขอวีซ่าเชงเก้นก็เป็นอันเรียบร้อย โดยปกติแล้วคุณจะทราบผลภายใน 15 วันทำการนับตั้งแต่วันยื่นเอกสาร และคุณสามารถรับเอกสารและหนังสือเดินทางคืนหลังรับทราบผลแล้วได้ที่ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า หรือบริการจัดส่งทางไปรษณีย์ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

เอกสารการขอ วีซ่าเชงเก้น

หลักฐานสำคัญ

  1. เอกสารคำร้องขอ – เอกสารที่คุณต้องพิมพ์หรือกรอกเรียบร้อยแล้ว
  2. หนังสือเดินทาง – ต้องเป็นหนังสือเดินทางฉบับล่าสุด มีอายุคงเหลือมากกว่า 3 เดือนนับจากวันที่เดินทางออกจากเขตประเทศเชงเก้น และมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า กรณีที่มีหนังสือเดินทางเล่มก่อนหน้าให้นำไปด้วยทั้งหมด และถ่ายสำเนาหน้าแรกพร้อมกับหน้าที่เคยได้วีซ่า/เดินทางไปประเทศอื่นด้วย
  3. สำเนาเอกสารแสดงตัว – ได้แก่สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาอื่น ๆ ถ้ามี อาทิเช่น สำเนาทะเบียนสมรส สำเนาทะเบียนหย่า สำเนาใบเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล เป็นต้น (พร้อมเอกสารฉบับจริง)
  4. รูปถ่ายหน้าตรง – ต้องใช้รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ โดยไม่ยิ้ม และไม่มีเส้นผมหรืออุปกรณ์ใด ๆ บดบังใบหน้าและดวงตา (ยกเว้นแว่นสายตา) โดยต้องเป็นรูปที่ถ่ายมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน ทั้งนี้เราขอแนะนำให้คุณตรวจสอบเงื่อนไขการถ่ายภาพโดยละเอียด เนื่องจากบางประเทศมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าปกติ
  5. ประกันการเดินทาง – เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันการประกันภัยระหว่างเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยต้องมีวงเงินประกันขั้นต่ำ 1,500,000 บาท (30,000 ยูโร) และต้องทำกับบริษัทประกันภัยที่สถานทูตให้การรับรองด้วย
  1. ใบยืนยันการจองตั๋วเครื่องบิน – ต้องเป็นตั๋วเครื่องบินที่เดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศสมาชิกเชงเก้น และเดินทางกลับถึงประเทศไทยภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น ค้นหาและจองตั๋วเครื่องบินไปยุโรป
  2. ใบยืนยันการจองโรงแรมที่พัก – ต้องเป็นโรงแรมภายในประเทศสมาชิกเชงเก้น และมีการเข้าพักในช่วงเวลาท่องเที่ยวที่ระบุไว้เท่านั้น ค้นหาและจองโรงแรมที่พักในยุโรป
  3. ใบยืนยันการจองตั๋วรถไฟ/รถเช่า (ถ้ามี) – เนื่องจากต้องใช้เป็นหลักฐานยืนยันการเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปที่ใช้ระบบรถไฟเป็นหลัก หากไม่มีต้องอธิบายแผนการเดินทางเป็นลายลักษณ์อักษรได้ว่าคุณวางแผนการเดินทางอย่างไร ค้นหาและจองรถเช่าในยุโรป

หลักฐานสำคัญ กรณีมีรายได้เป็นของตนเอง

1. เอกสารรับรองการทำงาน

กรณีเป็นพนักงาน: ต้องใช้หนังสือรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ โดยต้องมีข้อมูลชื่อองค์กรที่ทำงาน ตำแหน่งงาน เงินเดือน วันเริ่มงาน และควรมีการระบุจุดหมายปลายทาง ช่วงวันเดินทาง และวันที่จะกลับถึงประเทศไทยอย่างชัดเจน พร้อมลงนามและประทับตรา

กรณีเป็นเจ้าของกิจการ: ต้องใช้สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่มีอายุไม่เกิน 3 เดือน พร้อมทะเบียนการค้า หรือใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ และเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีชื่อของคุณเป็นเจ้าของกิจการ

2. รายการเดินบัญชีเงินฝาก – สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากที่ปรับรายการเดินบัญชีถึงปัจจุบันถึงย้อนหลังไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และควรมีเงินฝากที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นว่าสามารถพำนักอยู่ในยุโรปได้อย่างไม่มีปัญหา (แนะนำว่าควรแสดงเงินฝากเกิน 50,000 บาทขึ้นไป) หรือขอรายการเดินบัญชีที่ได้รับตราประทับจากธนาคาร หรือขอเอกสารแสดงข้อมูลทางบัญชีที่การันตีเงินฝากของคุณเป็นภาษาอังกฤษก็ได้

3. สลิปเงินเดือน – กรณีมีรายได้ประจำ ให้แนบสลิปย้อนหลัง 6 เดือน โดยยอดเงินสุทธิในสลิปจะต้องสอดคล้องกับรายการเดินบัญชีเงินฝากด้วย

หลักฐานสำคัญ กรณีไม่มีรายได้เป็นของตนเอง

  1. หลักฐานแสดงรายได้ของคู่สมรส – กรณีเป็นคู่สมรสที่มีการจดทะเบียนกันอย่างถูกต้อง และต้องมีสำเนาเอกสารยืนยัน และถ้าคู่สมรสไม่ได้เดินทางไปด้วย ต้องมีสำเนาเอกสารแสดงตัวของคู่สมรสทั้งหมดแนบมาด้วย หรือถ้าไม่ได้จดทะเบียน ต้องมีหนังสือยืนยันการสมรสโดยไม่ได้จดทะเบียนและลงชื่อรับรองทั้ง 2 ฝ่าย
  2. หลักฐานแสดงรายได้ของญาติ – กรณีเดินทางกับญาติพี่น้องสามารถใช้ข้อมูลของญาติที่ร่วมเดินทางไปด้วยพร้อมหนังสือรับรองความเป็นญาติ หรือถ้าญาติเป็นเจ้าของกิจการหรือบุคคลที่รายได้แต่ไม่ได้เดินทางไปด้วย ก็สามารถใช้อ้างอิงแทนกันได้ ทั้งนี้ยอมรับเฉพาะญาติที่เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี หรือภรรยาเท่านั้น
  3. สูติบัตรและทะเบียนบ้าน – กรณีผู้เดินทางเป็นเด็กที่มีอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ ต้องมีหลักฐานแสดงถึงความสัมพันธ์ของพ่อและแม่ที่ร่วมเดินทางไปด้วย โดยใช้สูติบัตรร่วมกับทะเบียนบ้านที่อ้างอิงถึงชื่อบิดามารดา
  4. จดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง – กรณีผู้เดินทางเป็นเด็กอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ และไม่ได้เดินทางพร้อมบิดามารดาร่วมกัน ผู้ปกครองที่เป็นบิดาหรือมารดาที่ไม่ได้ร่วมไปด้วยทั้งหมดต้องลงชื่อในจดหมายยินยอมที่ออกโดยที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขต
  5. เอกสารรับรองการศึกษา – กรณีเป็นนักเรียน/นักศึกษา ต้องใช้หนังสือรับรองจากสถานศึกษาที่สังกัดอยู่เป็นภาษาอังกฤษ

หลักฐานอื่น ๆ

  1. แผนการเดินทาง – แสดงแผนการเดินทางในช่วงที่อยู่ในประเทศอังกฤษเพื่อให้ทราบว่าในแต่ละวันจะเดินทางไปเที่ยวเมืองอะไร สถานที่ท่องเที่ยวไหน พักที่ใดบ้าง โดยแผนทั้งหมดต้องเป็นภาษาอังกฤษ
  2. ใบปะหน้า – เขียนใบปะหน้าเอกสารโดยสรุปของการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น อาทิเช่นวันเวลาเดินทาง สถานที่ที่ต้องการเที่ยว และรายการหรืออธิบายสั้น ๆ ถึงเอกสารที่รวบรวมมาเพื่อประกอบการพิจารณา
  3. สัญญาเช่า/สัญญากู้บ้าน/ผ่อนรถ – เป็นเอกสารประกอบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ที่มีภาระผูกพันกับฐานที่อยู่ในประเทศไทย ให้ทางสถานทูตมั่นใจได้ว่าคุณจะกลับมาอย่างแน่นอน

หลังจากที่เราเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ในการขอวีซ่าเชงเก้นตามวันนัดหมาย การสัมภาษณ์จะเป็นการถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว ที่อยู่ ที่ทำงาน วัตถุประสงค์ในการเดินทาง ข้อมูลการเดินทางอื่นๆ ซึ่งเราจะต้องตอบให้สอดคล้องกับรายละเอียดที่กรอกลงในแบบฟอร์มคำขอ และเอกสารที่ได้ยื่นไป โดยปกติขั้นตอนการสัมภาษณ์นี้จะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 10-15 นาที

หลังจากนั้นก็รอผลในการขอวีซ่า ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 15 วันทำการ แต่ในบางกรณีอาจจะนานถึง 45 วันทำการเลยทีเดียว หากผลของวีซ่าออกมาผ่านก็เตรียมตัวไปเที่ยวยุโรปตามแผนที่วางเอาไว้ได้เลย แต่ถ้าใครที่ถูกปฎิเสธก็ไม่ต้องเสียใจไป เราสามารถนำเหตุผลในการปฎิเสธครั้งนี้ไปปรับปรุงเพื่อใช้ในการยื่นวีซ่ารอบถัดไปได้ และหากใครซื้อประกันการเดินทางของ Allianz Travel ก็สามารถทำเรื่องขอคืนเงินด้วยเหตุผลว่ายื่นวีซ่าไม่ผ่านได้ค่ะ*

ทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลและวิธีการขอ วีซ่าเชงเก้น สำหรับเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ ในยุโรปที่อยู่ในลิสต์ประเทศที่สามารถเดินทางไปเยือนได้ด้วยวีซ่าเชงเก้น ซึ่งหากเราทำตามขั้นตอน และเตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อให้สถานทูตมั่นใจว่าเราต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวจริง ๆ  โอกาสที่เราจะได้วีซ่าก็จะสูง สามารถเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ได้ตามแผนที่วางไว้ ส่วนใครที่อยากเดินทางไปแต่ยังเกรง ๆ กับขั้นตอนการขอวีซ่าเชงเก้นอยู่ Allianz Travel ขอส่งกำลังใจให้คุณยื่นขอวีซ่าเชงเก้นได้สำเร็จนะคะ

และการขอวีซ่าเชงเก้นทุกประเทศจะต้องมีการทำประกันการเดินทาง ที่มีวงเงินประกันไม่น้อยกว่า 30,000 ยูโรหรือประมาณ 1,500,000 บาท และต้องทำกับบริษัทประกันภัยที่สถานทูตให้การรับรองด้วย นอกจากนี้ประกันเดินทางเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวยุโรปได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม สัมผัสดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม ดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก

อิตาลีเป็นประเทศที่กว้างใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย ตั้งแต่ยอดเขาแอลป์ทางตอนเหนือที่ปกคลุมด้วยหิมะ ไปจนถึงแสงแดดอบอุ่นของทางใต้ที่มีชีวิตชีวา ทุกภูมิภาคล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมที่ฝังรากลึก และอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย หากคุณมีเวลาจำกัดและไม่สามารถตระเวน เที่ยวอิตาลี ได้ทั่วประเทศได้ในทริปเดียว การเลือกว่าจะไปที่ไหนก่อนอาจกลายเป็นเรื่องหนักใจ เพราะอิตาลีเต็มไปด้วยจุดหมายที่น่าไปเยือนไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างโรม เวนิส หรือฟลอเรนซ์ ไปจนถึงเกาะเล็ก ๆ ริมชายฝั่งที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่างอิสเกีย หรือแหล่งท่องเที่ยวสุดตระการตาอย่างเกาะคาปรีและทะเลสาบโคโม

Allianz Travel รวบรวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลีที่เราคิดว่าดีที่สุดมาแบ่งปันกัน คุณสามารถเลือกวางแผนตามความสนใจ ไม่ว่าจะอยากสัมผัสบรรยากาศเมืองเก่า เดินเล่นริมทะเลสาบ หรือหลงใหลในศิลปะและอาหารท้องถิ่น มาดูกันว่าอิตาลีมีอะไรให้คุณหลงรักบ้าง!

1. โรม (Rome)

เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ เสน่ห์ไม่สิ้นสุดในอิตาลี

เที่ยวอิตาลี วิหารแพนธีออน (Pantheon)

วิหารแพนธีออน (Pantheon)

เที่ยวอิตาลี โรมันฟอรัม (Roman Forum)

โรมันฟอรัม (Roman Forum)

โรม เมืองหลวงของอิตาลีได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งเนินเขาทั้งเจ็ด” เป็นจุดหมายในฝันของใครหลายคนในการมา เที่ยวอิตาลี เมืองนี้ไม่ได้มีแค่ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีบรรยากาศสุดโรแมนติกและเสน่ห์ที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณมาถึง

การเดินเที่ยวในโรมเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ออกตาเวียน หรือ จูเลียส ซีซาร์ หรือ ฮาเดรียน เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างในยุคนั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิหารแพนธีออน (Pantheon) โรมันฟอรัม (Roman Forum) หรือโบสถ์เก่าแก่หลายแห่งที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง คนรักศิลปะต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งเต็มไปด้วยผลงานชิ้นเอกระดับโลก ส่วนสายกินก็บอกได้เลยว่า โรมคือสวรรค์ของนักชิม ไม่ว่าจะเป็นพาสต้ารสชาติแบบอิตาเลียนแท้ ๆ พิซซ่าหน้ากรอบ หรือไอศกรีมเจลาโตเนื้อเนียนละมุนลิ้นที่หาทานที่ไหนก็ไม่เหมือน

แม้โรมจะเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต แต่เมืองนี้ก็ยังมีความทันสมัยไม่แพ้ใคร ด้วยร้านแบรนด์หรูระดับโลก โรงแรมดีไซน์เท่ และร้านอาหารสุดชิคที่แฝงกลิ่นอายความคลาสสิกได้อย่างลงตัว โรมจึงเป็นเมืองที่รวมทั้งความเก่าและความใหม่ไว้อย่างกลมกลืน ถ้าคุณกำลังมองหาจุดหมายที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า วิวสวย อาหารอร่อย และแรงบันดาลใจ โรมคือเมืองที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

2. ฟลอเรนซ์ (Florence)

เมืองแห่งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และมนต์เสน่ห์ไม่รู้ลืม

ฟลอเรนซ์ (Florence)
เที่ยวอิตาลี ฟลอเรนซ์ (Florence)

ฟลอเรนซ์ มีชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนว่า Firenze เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเนินเขา พื้นที่อาจมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เต็มไปด้วยร่องรอยอันยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ ฟลอเรนซ์ คือแหล่งกำเนิดของยุคเรอเนซองซ์ เคยเป็นหนึ่งในนครที่ร่ำรวยที่สุดในยุคกลาง เป็นบ้านของตระกูลเมดิชีผู้ทรงอิทธิพล และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินชื่อก้องโลกอย่างมิเคลันเจโล (ไมเคิลแองเจโล) ผู้สร้างสรรค์รูปปั้น David และบรูเนลเลสกี (ผู้ออกแบบโดมของมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์) นอกจากนี้ แบรนด์แฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลีอย่าง Gucci, Salvatore Ferragamo, Emilio Pucci, stefano Ricci และ Roberto Cavalli ก็ถือกำเนิดที่นี่ด้วย

เสน่ห์ของฟลอเรนซ์ไม่ได้มีแค่ศิลปะเรอเนซองซ์เท่านั้น ยังมีพระอาทิตย์ตกแสนโรแมนติก อาหารอิตาเลียนแสนอร่อย และบรรยากาศละมุนที่ทำให้คุณตกหลุมรักได้ง่าย ๆ หากอยากสัมผัสเมืองนี้อย่างลึกซึ้ง แนะนำให้ลองเที่ยวกับไกด์ท้องถิ่น ที่จะพาคุณเปิดมุมมองใหม่ ๆ ของฟลอเรนซ์ และทำให้เวลาของคุณที่นี่คุ้มค่าอย่างที่สุด

3. เวนิส (Venice)

เมืองแห่งสายน้ำและมนต์เสน่ห์ที่ไม่มีที่ใดเหมือน

เที่ยวอิตาลี เวนิส (Venice)

เวนิส (Venice)

มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St. Mark’s Basilica)

เวนิส หรือเวเนเซีย (Venezia) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี เป็นเมืองที่มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย เมืองเวนิสสร้างขึ้นด้วยการเชื่อมต่อเกาะเล็ก ๆ กว่า 100 แห่งในทะเลสาบเวนิส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียติด ด้วยสะพานกว่า 400 แห่งและคลองกว่า 170 สาย ทำให้การเดินทางภายในเมืองนี้ต้องใช้เรือหรือเดินเท้าเป็นหลัก และที่นี่เป็นเมืองปลอดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

การเดินชมเมืองเวนิสคือการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น คุณต้องเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยแคบ ๆ เพื่อชมอาคารบ้านเรือนสไตล์โบราณ ร้านค้า ที่เที่ยวสำคัญต่าง ๆ โดยการข้ามสะพานเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกัน ถึงแม้ว่าคุณจะมีแผนที่ในมือ แต่ก็อาจไม่ได้ช่วยมากนัก ซึ่งการหลงทางเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเวนิส

พระราชวังดอจ (Doge's Palace)

พระราชวังดอจ (Doge’s Palace)

หอศิลป์ Gallerie dell'Accademia

หอศิลป์ Gallerie dell’Accademia

เวนิสมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St. Mark’s Basilica) พระราชวังดอจ (Doge’s Palace) หอศิลป์ Gallerie dell’Accademia ที่จัดแสดงผลงานของศิลปินชื่อดังอย่าง Titian และ Veronese และโรงละคร La Fenice ที่มีการแสดงโอเปราระดับโลก

หากคุณมีเวลา คุณควรเดินทางไปเที่ยวเกาะใกล้เคียงอย่างเกาะ Murano ที่มีชื่อเสียงด้านการเป่าแก้ว บ้านเรือนสีสันสดใสและงานลูกไม้ และเกาะ Lido ที่มีชายหาดสวยงาม ซึ่งการเดินทางไปยังเกาะเหล่านี้สามารถเดินทางได้โดยเรือ Vaporetto ซึ่งเป็นเรือโดยสารสาธารณะของเวนิส

เวนิสเป็นเมืองที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตหากเราได้มา เที่ยวอิตาลี ไม่ว่าคุณจะมาเพื่อสัมผัสบรรยากาศโรแมนติก ชื่นชมศิลปะและสถาปัตยกรรม หรือเพียงแค่เดินเล่นตามตรอกซอกซอยที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เวนิสจะมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับคุณเสมอ

4. ชิงเคว แตร์เร (Cinque Terre)

ดินแดนห้าหมู่บ้านริมผาชายฝั่งที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

ชิงเคว แตร์เร มีความหมายว่า “ดินแดนทั้งห้า” เป็นกลุ่มหมู่บ้านเล็ก ๆ สีพาสเทลหลากสีสันโดดเด่นสะดุดตา 5 แห่งที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งแคว้นลิกูเรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ประกอบด้วยหมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore) หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola) หมู่บ้านคอร์นีเลีย (Corniglia) หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza) และหมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare) นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต่างตกหลุมรักกับสถาปัตยกรรมของหมู่บ้านที่ออกแบบได้อย่างมีเอกลักษณ์ งดงาม เรียงตัวลดหลั่นไปตามไหล่เขาที่ทอดยาว ดูราวกับกำลังเดินอยู่ในดินแดนแห่งจินตนาการ  วิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านก็เรียบง่าย เนิบช้า คุณสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติ อาหารทะเลอร่อย ไร่องุ่น ไวน์และสวนมะกอก รวมถึงเส้นทางเดินเขาสุดตื่นตา ที่พาดผ่านหน้าผาและชายฝั่งทะเลที่สวยเกินจะบรรยาย

หมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore)

หมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore)

หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola)

หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola)

หมู่บ้านคอร์นีเลีย (Corniglia)

หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza)

หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza)

หมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare)

หมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare)

ปัจจุบันหมู่บ้านทั้งห้าเชื่อมถึงกันด้วยเส้นทางรถไฟ และกลายเป็นอุทยานแห่งชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะทิวทัศน์ที่นี่สวยราวกับภาพวาด

แม้คุณจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการเที่ยวชิวเคว แตร์เร จนทั่ว แต่หลายคนก็มักแวะมาที่นี่เพื่อพักผ่อน หลังจากตะลุยเที่ยวเมืองใหญ่ ๆ อย่างโรมหรือฟลอเรนซ์ ที่เต็มไปด้วยผู้คนและชมงานศิลปะแบบเข้มข้น

ถ้าไม่อยากยุ่งยากเรื่องการเดินทาง ที่นี่ก็มีทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับจากเมืองใกล้เคียงให้เลือกมากมาย ถือเป็นตัวเลือกที่สะดวกมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด แต่ก็ไม่อยากพลาดประสบการณ์สุดพิเศษของชายฝั่งอิตาลีแห่งนี้

5. ชายฝั่งอมาลฟี่ (Amalfi Coast)

สวรรค์ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยเกินห้ามใจ

ชายฝั่งอมาลฟี เป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาวไปตามอ่าว Salerno บนทะเล Tyrrhenian ตั้งอยู่ในแคว้นกัมปาเนีย อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ครอบคลุมระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยเมืองต่าง ๆ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง มีสีสันสดใสและเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ บริเวณนี้ยังมีธรรมชาติที่หลากหลาย และเต็มไปด้วยภูเขาริมทะเลสูงชัน หมู่บ้านสีสันสดใสที่เกาะอยู่ตามหน้าผา และท้องทะเลสีเทอร์ควอยซ์ที่งดงามราวภาพวาด เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทาง เที่ยวอิตาลี ที่ตราตรึงใจมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ชายฝั่งอมาลฟี ได้รับการขึ้นทะเบียนขาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก

ชายฝั่งอมาลฟี่ (Amalfi Coast)

แค่ได้เห็นภาพแรกของชายฝั่งอมาลฟี Amalfi Coast ก็อาจทำให้คุณรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่บนสวรรค์ และนี่แหละคือมนต์เสน่ห์ของชายฝั่งอิตาลีแห่งนี้ ที่ทำให้ผู้คนกว่า 5 ล้านคนต่อปีหลั่งไหลกันมาสัมผัสความงดงามไม่รู้ลืม

หมู่บ้านริมชายฝั่งทั้งหมด 13 แห่งถูกเชื่อมต่อด้วยทางหลวงหมายเลข SS163 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในโลก แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป:

  • โพสิตาโน (Positano): หมู่บ้านสีพาสเทลสุดโรแมนติกที่ดึงดูดเหล่าเซเลบและนักเดินทางผู้รักความหรูหรา ด้วยรีสอร์ทริมผาสุดอลังการและร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียม
  • อมาลฟี (Amalfi): เมืองท่าเก่าแก่ที่สุดของอิตาลี ที่เคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางทะเลในอดีต
  • ราวิลโล (Ravello): เมืองเล็กบนไหล่เขาที่เหมาะสำหรับคนชอบวิวตระการตา วิลล่าโบราณ และบรรยากาศเงียบสงบที่แสนพิเศษ
  • ปราอาโน (Praiano): สวรรค์ของคนรักทะเล ที่ชายหาดยังคงสงบเงียบและเป็นส่วนตัว
  • มิโนริ (Minori): จุดหมายของสายกิน เพราะที่นี่คือบ้านของพาสต้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
  • เชตารา (Cetara): เมืองชาวประมงเล็ก ๆ ที่คุณสามารถแวะชมป้อมปราการยุคโบราณ ซึ่งตามตำนานว่าก่อตั้งโดยเฮอร์คิวลิสเอง!
โพสิตาโน (Positano)

โพสิตาโน (Positano)

ราวิลโล (Ravello)

ปราอาโน (Praiano)

ปราอาโน (Praiano)

เชตารา (Cetara)

เชตารา (Cetara)

ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินทางผ่านชายฝั่งอมาลฟีด้วยวิธีใด จะขับรถ วิ่งเส้นทางเลียบเขา หรือแวะพักตามหมู่บ้านต่าง ๆ รับรองได้ว่าความงามของที่นี่จะติดตรึงอยู่ในใจคุณไปอีกนานแสนนาน

6. ซิซิลี (Sicily)

มรดกแห่งเกาะทางใต้ ตำนานมาเฟียแห่งอิตาลี

ซิซิลี ดินแดนที่อบอวลไปด้วยตำนานเทพเจ้ากรีกโบราณ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี ล้อมรอบด้วยทะเลไทร์เรเนียน เมดิเตอร์เรเนียน และไอโอเนียน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี และเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม เนื่องจากเคยถูกปกครองโดยมหาอำนาจสมัยโบราณหลายชนชาติ ทั้งกรีก โรมัน อาหรับ นอร์แมน เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน ซึ่งสะท้อนผ่านโบสถ์ วิหาร และแหล่งโบราณคดีที่กระจายอยู่ทั่วเกาะ นอกจากนั้น ซิซิลียังมีความสวยงามทางธรรมชาติ และยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและสูงที่สุดในยุโรป ล้วนเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก

ซิซิลี (Sicily)

ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna)

ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna)

เที่ยวอิตาลี ซิซิลี (Sicily)

ฤดูร้อนที่นี่เหมาะสำหรับการปีนเขาเพื่อชมวิวจากยอดเอตนา ส่วนฤดูหนาวก็สามารถเล่นสกีบนลานหิมะที่ปกคลุมภูเขาไฟได้อย่างน่าตื่นเต้น ลองจินตนาการถึงเกาะเขตร้อนที่มีคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งทรายอย่างอ่อนโยน แสงแดดส่องประกายบนผิวน้ำทะเลที่ระยิบระยับ และภูเขาไฟที่พ่นไอน้ำอยู่ไกล ๆ เพิ่มความงดงามด้วยเนินเขาเขียวขจีที่มีซากปรักหักพังจากยุคโบราณ และอย่าลืมลิ้มรสอาหารทะเลสดใหม่ พาสต้าแสนอร่อย และของหวานที่หรูหรา ทั้งหมดนี้คือซิซิลีสวรรค์ที่อบอุ่นและผ่อนคลาย พร้อมด้วยวิถีชีวิตแบบอิตาเลียนที่เน้นอาหารและความรักในชีวิต เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารอิตาเลียนแท้ ๆ ในบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่วุ่นวาย

7. ทัสคานี (Tuscany)

ดินแดนที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณ เพชรเม็ดงามแห่งอิตาลี

ทัสคานี แคว้นขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในอิตาลี เป็นถิ่นกำเนิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา อารยธรรมโบราณของชาวอิทรูเรีย เมืองเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ทุ่งหญ้าที่กว้างไกล สุดลูกหู ลูกตา ต้นไซเปรสที่เรียงรายอย่างสง่างาม เนินเขาที่ทอดยาว และไร่องุ่นที่กว้างใหญ่ ที่นี่คือสวรรค์สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง เวลาที่นี่ดูเหมือนจะเดินช้าลง และไม่มีวิธีใดจะผ่อนคลายไปกว่าการจิบไวน์หรือรับประทานญ็อกกีโฮมเมดใต้แสงแดดของทัสคานี

ซานจิมิญาโน (San Gimignano)

ซานจิมิญาโน (San Gimignano)

ปิซา (Pisa)

ชนบทของทัสคานีมอบทิวทัศน์ที่งดงามให้กับนักเดินทาง พร้อมด้วยวิลล่าและปราสาทที่โรแมนติก ซึ่งมักจะมีโรงบ่มไวน์และร้านอาหารชั้นเลิศอยู่ภายใน อย่าพลาดการเยือนเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบอย่างซานจิมิญาโน (San Gimignano) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เมืองนี้มีชื่อเสียงจากหอคอยยุคกลางที่ยังคงรักษาไว้ได้อย่างดี นอกจากนี้ เมืองต่างๆ ในทัสคานี เช่น ปิซา (Pisa) ซึ่งมีมากกว่าเพียงแค่หอเอน และเซียนา (Siena) ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างโบโลญญา (Bologna) และชิงเกวแตร์เร (Cinque Terre) เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป

ทัสคานีคือดินแดนที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารอิตาเลียนอย่างลงตัว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักชิม นักประวัติศาสตร์ หรือเพียงแค่มองหาสถานที่พักผ่อน ทัสคานีก็พร้อมต้อนรับคุณด้วยอ้อมแขนที่อบอุ่นและทิวทัศน์ที่งดงามเกินบรรยาย

8. ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

สัมผัสกับความหรูหราหรือเรียบง่ายที่คุณเลือกได้

เกาะซาร์ดิเนียเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลี ตั้งอยู่ทางตะวันตกของแผ่นดินอิตาลี ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยพื้นที่กว่า 24,000 ตารางกิโลเมตร คุณจะได้พบกับชายหาดขาวละเอียดที่งดงาม น้ำทะเลสีมรกต และอ่าวเล็กอ่าวน้อยที่โอบล้อมด้วยเรือยอร์ชสุดหรู ไปจนถึงชีวิตเรียบง่ายในหมู่บ้านยุคกลาง ที่ชาวซาร์ดิเนียยังคงเลี้ยงแกะตามประเพณี สวมชุดพื้นเมือง และรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้

นอกจากชายฝั่งสุดเพอร์เฟ็กต์แล้ว คุณยังจะได้พบซากปรักหักพังยุคโบราณอย่าง Su Nuraxi di Barumini ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก สะท้อนภาพอดีตอันลึกลับของชาวนูราชิที่สร้างโครงสร้างหินล้อมรอบตัวเมือง

ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

Su Nuraxi di Barumini

Su Nuraxi di Barumini

คุณจะได้เพลิดเพลินกับอาหารและไวน์อิตาลีที่ดีที่สุด สำรวจวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย ตั้งแต่พาสต้าโฮมเมดสไตล์ซาร์ดิเนีย อาหารทะเลสด จับคู่กับไวน์พื้นเมือง จากนั้นออกผจญภัยดำน้ำตื้นดูฝูงปลาสีสันสดใส หรือขับรถลัดเลาะเข้าไปในใจกลางเกาะ สัมผัสหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีฟาร์มแกะ บ้านเรือนสีขาว และภูเขาสีเขียวทอดตัวสุดลูกหูลูกตา

ไม่ว่าคุณจะมองหาความหรูหราแบบราชวงศ์ หรือความเรียบง่ายแบบชนบท ซาร์ดิเนียพร้อมมอบประสบการณ์ที่คุณจะจำไม่ลืมแน่นอนค่ะ!

9. คาปรี (Capri)

เกาะในฝัน…สวรรค์ริมอ่าวเนเปิลส์

เกาะคาปรี ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของอิตาลี เปรียบเสมือนเกาะสวรรค์ของอิตาลี ที่มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม อาหารอร่อย และความน่าสนใจของเมือง ตลอดหลายศตวรรษ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดหรู และที่พักตากอากาศ ที่ทั้งมหาเศรษฐี ดารา นักการเมือง และเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังมักจะแวะมาพักผ่อน ด้วยทิวทัศน์สุดประทับใจและความโรแมนติกที่ไม่เหมือนใคร คุณจะได้เห็นแสงอาทิตย์สาดกระทบผืนน้ำจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มดุจอัญมณี ทุกช่วงเวลาบนผืนน้ำรอบเกาะคาปรีล้วนช่างอัศจรรย์

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีแสงแดดอุ่น ๆ เกือบทั้งปี และที่สำคัญ เกาะคาปรียังมีชื่อมานานว่าเป็นบ้านของไวน์รสเลิศและอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนรสหรู เหล่านี้คือส่วนผสมที่ทำให้เกาะสวรรค์แห่งนี้มีผู้มาเยือนมากมาย

หากคุณมาเยือนคาปรีในฤดูกาลแห่งปาร์ตี้ คุณจะได้เห็นบรรดาคนดังสวมใส่ชุดหรู ๆ ของดีไซเนอร์เบอร์ต้น ๆ ของโลกมาประชันกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรแปลกใจที่ย่านดาวน์ทาวน์ของเกาะแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของร้านสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูอยู่มากมาย และความหรูของคาปรีอีกอย่างหนึ่งก็คือโรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในที่สุดของยุโรปตั้งอยู่ที่นี่ นั่นก็คือ โรงแรมลา สกาลินาเตลลา (Hotel La Scalinatella) ที่ขึ้นชื่อทั้งความหรูหราและบรรยากาศแสนโรแมนติก 

ดั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะมาแค่วันเดียวหรือค้างคืนหลายคืน คาปรีก็พร้อมมอบเสน่ห์ที่คุณจะหลงรัก ตั้งแต่ความเงียบสงบไปจนถึงความหรูหราระดับห้าดาว ที่ทำให้คุณต้องอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง

10. มิลาน (Milan)

เดินชิล ช้อปปิ้ง จิบกาแฟ ในเมืองแฟชั่นระดับโลก

มิลาน หรือ Milano ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอิตาลี เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า นิทรรศการใหญ่ ๆ ประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และได้ชื่อว่าเป็นเมืองผู้นำแฟชั่นระดับแนวหน้าของโลก ที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางธุรกิจแฟชั่นที่มีความทันสมัยไม่แพ้เมืองปารีส และนิวยอร์ก ถ้าพูดถึง ‘มิลาน’ คุณจะนึกถึงรันเวย์แฟชั่น โชว์สุดหรู และแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Giorgio Armani, Prada, Versace ซึ่งมีบทบาทสำคัญใน Milan Fashion Week ที่จัดขึ้นทุกปี แต่เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องแฟชั่นเท่านั้น มิลานยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม ตั้งแต่ มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano) สไตล์โกธิกที่อลังการ ไปจนถึง Teatro alla Scala โรงโอเปราระดับโลก และ Castello Sforzesco ปราสาทยุคเรเนอซองส์ที่ภายในมีพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการอีกกว่า 10 แห่ง

มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano)

มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano)

โรงโอเปราระดับโลก Teatro alla Scala

ปราสาทยุคเรเนอซองส์ Castello Sforzesco

มิลานเป็นเมืองที่เดินเที่ยวได้ง่าย คุณจะเพลิดเพลินกับแหล่งช้อปปิ้งสุดหรูที่ตกแต่งอย่างสวยงาม จิบกาแฟอิตาเลียนแท้  หรือแวะกินขนม biscotti และ cappuccino ริมทาง

ไม่ว่าคุณจะมามิลานเพื่อแฟชั่น ศิลปะ กีฬา หรือแค่เดินเล่นชิล ๆ เมืองนี้ก็พร้อมมอบประสบการณ์หลากอารมณ์ที่คุณจะประทับใจไม่รู้ลืมค่ะ!

หากคุณหลงใหลในประวัติศาสตร์ ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนแท้ อยากพักผ่อนริมทะเล หรือใฝ่ฝันจะเดินเล่นในเมืองเก่า อิตาลีก็มีสถานที่ที่ตอบโจทย์คุณเสมอ วางแผนการเดินทางให้ดี แล้วออกไปสัมผัสเสน่ห์ของอิตาลีในแบบที่คุณชอบกันเลยค่ะ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวอิตาลีได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: travel.usnews.com, audleytravel.com, guidester.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025 ล่าสุด! [ครั้งที่ 12: 10 เมษายน 2025]

ช่วงเวลาของการชมดอกซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2025 ใกล้มาถึงแล้ว เป็นช่วงเวลาที่หลาย ๆ คน รอคอยที่จะได้ไปสัมผัสบรรยากาศที่สวยงาม ละมุนไปด้วยสีของดอกซากุระที่บานสะพรั่ง 🌸 ไปทั่วทุกสถานที่ ที่เป็นจุดชมดอกซากุระบานในญี่ปุ่น โดยเฉพาะเดือนมีนาคมและเมษายน ปีนี้ข้อมูล พยากรณ์ซากุระบาน ญี่ปุ่น ปี 2025 ถูกประกาศออกมาแล้ว โดยทาง JMC (Japan Meteorological Corporation) ได้เผยแพร่ข้อมูล พยากรณ์ ซากุระบาน ญี่ปุ่น 2025 ฉบับล่าสุด (ครั้งที่ 12) ของปี 2025 ออกมา เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2025 สำหรับเพื่อน ๆ คนไหน กำลังวางแผนเดินทางไปชมความสวยงามของดอกซากุระ เราขอแนะนำให้เพื่อน ๆ เช็คช่วงเวลาที่ดอกซากุระบาน จากตารางพยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2025 กันด้วยนะคะ เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมดอกซากุระจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศในแต่ละปี ทาง Allianz Travel จะอัพเดตข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาซากุระบานมาให้เพื่อน ๆ ได้คอยอัพเดตเพื่อใช้สำหรับวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้นะคะ : )

ไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงเวลาไหนดี ?

ดอกซากุระในญี่ปุ่นมีช่วงเวลาที่บานเต็มที่ในแต่ละสถานที่คือประมาณหนึ่งสัปดาห์ และช่วงที่บานเต็มที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ ดอกซากุระจะเริ่มบานจากเขตอบอุ่นและจุดสุดท้ายคือในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น ตัวอย่างเช่น คุณจะเริ่มชมซากุระในภูมิภาคคิวชูตอนใต้ได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และบานเต็มที่ในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แต่ดอกซากุระในจังหวัดฮอกไกโดทางตอนเหนือสุดจะบานเต็มที่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

ในแต่ละปี ซากุระจะเริ่มบานในโตเกียวตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และสามารถบานสะพรั่งได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างโอซาก้า เกียวโต และฮิโรชิม่า ก็เริ่มบานสะพรั่งในเวลาเดียวกัน ในภาคกลางของญี่ปุ่น ดอกซากุระเริ่มบานตั้งแต่ต้นถึงกลางเดือนเมษายน ภายในปลายเดือนเมษายน คุณจะเห็นดอกซากุระในโทโฮคุ และตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คุณจะเห็นดอกซากุระที่ฮอกไกโดเช่นกัน

ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงต้นฤดูกาล (เดือนกุมภาพันธ์)

ซากุระมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดคือพันธุ์โซเมอิโยชิโนะ (Somei-yoshino) ที่บานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนเมษายน และเวลาที่มีการพยากรณ์ซากุระบานในแต่ละปี ก็ยึดเอาพันธุ์โซเมอิโยชิโนะนี่แหละเป็นตัววัด ทำให้หลายคนอาจคิดว่าการชมซากุระในญี่ปุ่นมีเ)พาะช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่ความจริงแล้วซากุระบางสายพันธุ์ก็บานเร็วกว่าพันธุ์ทั่วไปเล็กน้อย เราจะมาแนะนำสถานที่ที่สามารถไปชมซากุระได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์เลยค่ะ

เมืองคาวาซุ (Kawazu) ของจังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

ห่างจากโตเกียวประมาณ 2.5 ชั่วโมง มีชื่อเสียงเรื่องดอกซากุระพันธุ์คาวาซุ ดอกใหญ่สีชมพูเข้ม ซึ่งบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ และบานนานเกือบหนึ่งเดือนทำให้เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่เร็วที่สุดในละแวกโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ ช่วงที่มีซากุระบานของทุกปียังมีการจัด เทศกาลคาวาซุซากุระ (Kawazu Cherry Blossom Festival) ที่สวยงามไปด้วยซากุระสีชมพูทั้งในเมืองและริมแม่น้ำ การประดับไฟยามค่ำคืน และร้านค้าริมทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองคาวาซุ (Kawazu) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

เมืองอาตามิ (Atami) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอิซุ (Izu)

ห่างจากโตเกียวไปทางตะวันตกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงโดยรถไฟชินคันเซ็น บรรยากาศเหมือนเมืองตากอากาศ มีบ่อน้ำพุร้อนและเรียวกังมากมาย ที่นี่เป็นแหล่งชมซากุระพันธุ์อาตามิ เป็นพันธุ์สีชมพู ดอกพุ่มสวย ปกติจะบานช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เมื่อเริ่มบานแล้วจะอยู่ประมาณ 10 วันก็จะเริ่มร่วงโรยรา จุดชมซากุระอยู่ตรงทางเดินเลียบแม่น้ำ Itogawa ใช้เวลาเดินลงจากสถานี Atami ประมาณ 10 นาที ที่นี่คุณจะเห็นต้นซากุระประมาณ 58 ต้นที่ปลูกอยู่สองข้างทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองอาตามิ (Atami)

เมืองมิอุระ (Miura) จังหวัดคานางาวะ (Kanagawa)

มีดอกซากุระคาวาซุที่ผลิดอกช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณจะได้เห็นต้นซากุระสายพันธุ์นี้ราว 1,000 ต้นเรียงรายตามเส้นทางรถไฟระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรจากสถานีมิอูระไคกัง (Miurakaigan) ไปยังสวนสาธารณะโคมัตสึไคเกะ (Komatsugaike) นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศจากทุ่งดอกมัสตาร์ดสีเหลืองนวลที่ออกดอกตามสองข้างทาง ตลอดฤดูกาล ตลาดแผงลอยหลายแห่งจะเปิดให้บริการที่หน้าสถานีมิอูระไคกัง ซึ่งท่านสามารถที่จะซื้อหาผักสดจากท้องถิ่นรวมทั้งสินค้าพิเศษของเมืองมิอุระได้

หากเพื่อนๆ ท่านไหนยังไม่รู้ว่าจะแพลนไปชมซากุระ ในญี่ปุ่น ที่ไหนดี Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมดอกซากุระบาน ได้จากบทความด้านล่างนี้เลยค่ะ

สถานที่ชม ซากุระ ญี่ปุ่น

สถานที่ชม ซากุระ ญี่ปุ่น

รวมข้อมูลพิกัดสำหรับชม ซากุระ ญี่ปุ่น พร้อมรายชื่อสถานที่ที่ควรไปชมซากุระในแต่ละภูมิภาค ที่มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป

10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

จุดชมซากุระ ที่ดีที่สุดของโตเกียว เตรียมเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อม รับรองว่าทริปนี้ต้องได้รูปสวยคู่กับซากุระอย่างแน่นอน

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2025

ตารางพยากรณ์ช่วงดอกซากุระบานของญี่ปุ่นในปี 2025 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ซากุระครั้งที่ 12) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2025 ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางเพื่อไปชมดอกซากุระปี 2025 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ดอกซากุระบานปี 2025 (พยากรณ์ครั้งที่ 12: 10 เมษายน 2025)

พยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2025

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาที่ซากุระเริ่มบานช่วงเวลาที่ซากุระบานเต็มที่
โตเกียว – Tokyo24 มีนาคม30 มีนาคม
นาโงย่า – Nagoya26 มีนาคม4 เมษายน
เกียวโต – Kyoto27 มีนาคม5 เมษายน
โคจิ – Kochi23 มีนาคม28 มีนาคม
ฟุกุโอกะ – Fukuoka25 มีนาคม28 มีนาคม
โอซาก้า – Osaka27 มีนาคม4 เมษายน
ฮิโรชิมะ – Hiroshima26 มีนาคม2 เมษายน
วากายามะ – Wakayama26 มีนาคม30 มีนาคม
คานาซาว่า – Kanazawa29 มีนาคม6 เมษายน
นากาโน่ – Nagano8 เมษายน13 เมษายน
คาโกชิมะ – Kagoshima24 มีนาคม7 เมษายน
เซนได – Sendai4 เมษายน10 เมษายน
อาโอโมริ – Aomori19 เมษายน23 เมษายน
ซัปโปโร – Sapporo24 เมษายน28 เมษายน
ดอกซากุระบานหรือดอกซากุระบานเต็มที่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2025 Cherry Blossom Forecast (12th forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

การวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูซากุระบาน

การเดินทางเพื่อไปชมดอกซากุระบานในญี่ปุ่นควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากญี่ปุ่นในช่วงฤดูดอกซากุระบานเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิต ของนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศจำนวนมาก โรงแรมในโตเกียวและเกียวโตจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบจองที่พักทันทีที่มีกำหนดวันเดินทาง และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com, jw-webmagazine.com, n-kishou.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

11 ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้ ห้ามพลาด!

11 ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้ ห้ามพลาด!

เซี่ยงไฮ้ เมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมจีนโบราณเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ของ เดอะบันด์ (The Bund) ตึกระฟ้าใน Lujiazui หรือย่านเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ที่นี่คือสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในสถาปัตยกรรม อาหาร และวัฒนธรรม โดยทริปนี้ Allianz Travel ได้รวบรวมจุดเช็คอินยอดฮิตในเซี่ยงไฮ้ เมื่อเพื่อน ๆ ได้มาเยือนต้องมาเช็คอินกัน ใครที่กำลังมีแพลนเดินทางมาที่นี่ก็สามารถเข้ามาเซฟเก็บกันเอาไว้ได้เลยนะคะ

1. 1933 Old Millfun

ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้ 1933 Old Millfun

อาคารคอนกรีตสมัยเก่าสถาปัตยกรรมยุค Art Deco ซึ่งเคยเป็นโรงเชือดสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้มาก่อน ปัจจุบันได้กลายเป็นอาคารเท่ๆ ที่มีมุมถ่ายภาพแปลกๆ และยังเเป็นสำนักงาน Art Gallery คาเฟ่ โดยเราสามารถเข้ามาเดินถ่ายรูปเก๋ๆ กันได้แบบฟรีๆ เลย

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 4 สถานี Hailun Road ลงทางออก 3 เดินต่อประมาณ 10 นาที

2. The Bund Viewpoint

ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้ The Bund Viewpoint

The Bund Viewpoint จะอยู่ตรงย่านหนานจิงตลอดเส้นถนนไป จนถึงเดอะบันต์คือตึกงามสุด ๆ แนะนำให้มาช่วงค่ำ เพราะทุกตึกจะเปิดไฟบอกเลยว่าอลังการมาก

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 2 หรือ 10 ลงสถานี East Nanjing

3. Pop Mart สาขา East Nanjing

Pop Mart สาขา East Nanjing

ร้าน Art toy ยอดฮิตของชาวไทย โดยสาขานี้จะมาในธีมอวกาศแบบล้ำยุค ใครสายกล่องจุ่มแนะนำเลยค่ะ : )

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 2 หรือ 10 สถานี East Nanjing

4. Tian An 1,000 Trees

ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้ Tian An 1,000 Trees

เป็นตึกที่ออกแบบให้มีต้นไม้อยู่บนตัวตึกมากมาย จนกลายเป็นอีกหนึ่งพิกัดเช็คอินใหม่ยอดฮิตอีกหนึ่งที่ในเซี่ยงไฮ้ ภายในตึกจะเป็นห้างที่มีทั้งร้านแบรนด์ต่าง ๆ และมีโซนร้านอาหารคล้ายฟู้ดคอร์ทชั้นใต้ดิน ที่สำคัญห้องน้ำสะอาดค่ะ

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 13 สถานี Jiangning Road ทางออก 1 เดินต่ออีกประมาณ 8 นาที

5. Wukang Mansion

เป็นตึกแมนชั่นเก่าร่วม 100 ปี สุดคลาสสิคตั้งตรงหัวมุมถนนใจกลางห้าแยก พร้อมเดินเล่นเพลิน ๆ กันที่ย่าน Wukang Road ที่ตลอดถนนเส้นนี้จะมีคาเฟ่ ร้านอาหาร น่ารักๆ เพียบเลย

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 10 และ 11 สถานี Jiao Tong University ทางออก 1

6. Disney Shanghai

ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้ Disney Shanghai

สวนสนุกดิสนีย์แลนด์อันดับ 6 ของโลก และเป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย พลาดไม่ได้กับพาเหรด จะมีการแสดงเป็นรอบ ๆ โดยจะมาในธีมรถไฟแฟนตาซีที่ขนเอาตัวละครดิสนีย์มากมาย ที่นำโดย มิกกี้ เมาส์

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 11 สถานี Disney Resort (สถานีสุดท้าย) ทางออก 3 หรือ 4 เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

7. Lujiazui Circular Bridge

Lujiazui Circular Bridge

เป็นสะพานลอยที่สร้างเป็นรูปวงแหวนตัดพาดไปกับ 4 แยกถนนเห็นหอไข่มุกขนาดใหญ่ดูล้ำยุคสุด ๆ และยังเชื่อมกับออฟฟิศ และแหล่งช็อปปิ้งเข้าไว้ด้วยกัน แถมตรงนี้ยังมี Disney Store สำหรับเก็บตกหรือใครที่ไม่ได้ไปดิสนีย์เซี่ยงไฮ้ ก็สามารถมาช็อปปิ้งกันได้เลย

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 2 / 14 สถานี Lujiazui ทางออก 1,2 หรือ 3

8. Yuyuan Garden Market

Yuyuan Garden Market

เป็นตลาดที่อลังการงานสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์จีน โดยอาคารร้านค้าของที่นี่จะมีความเป็นตึกจีนโบราณมีของขายมากมายทั้งของกินของทานเล่น นอกจากนั้นยังมีทั้งของฝากของที่ระลึก ถ้าใครมาเซี่ยงไฮ้ก็สามารถเเวะมาเช็คอินถ่ายรูปและซื้อของฝากกันได้ที่นี่เลย

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 10 สถานี Yuyuan Garden ทางออก 1

9. โซนฝั่ง North Bund

โซนฝั่ง North Bund

เป็นอีกโซนที่เป็นอ่าวท่าเรือ และเป็นมุมถ่ายรูปสวย ๆ อีกมุมนึงของเซี่ยงไฮ้ เราแนะนำให้เดินไปที่ North Bund Greenland สวนสาธารณะริมน้ำที่มีมุมถ่ายรูปสุดปัง ทั้งบันไดที่มีม้านั่งรูปทรงก้อนเมฆ และที่เป็นไฮไลต์คือมุมโดมไข่สีเงินที่ถ่ายไปทางวิวฝั่งตรงข้ามกับ The Bund และยังมีตึก Music Gate ที่ดีไซน์สุดล้ำ และคลอง Hongkou Gang เป็นคลองที่มีตึกอิฐสีแดงอยู่ และมีวิวหอไข่มุกอยู่ไกล ๆ บอกเลยว่ามาโซนนี้ ได้รูปกลับไปเพียบแน่นอนค่ะ

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 12 สถานี International Cruise Terminal ทางออก 3

10. โบสถ์ Ignatius Cathedral

โบสถ์ Ignatius Cathedral

เป็นสถาปัตยกรรมแบบกอทิก (Gothic) อยู่ติดกับสํานักงานอุตุนิยมวิทยาเซี่ยงไฮ้

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 1 , 9 และ 11  สถานี Xujiahui ทางออก 3

11. Starbucks Reserve Roastery

Starbucks Reserve Roastery

โดยสาขานี้ที่มีโรงคั่วกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโซนเอเชียและใหญ่เป็นอับดับ 2 ของโลก ภายในตกแต่งได้หรูหราสวยงาม แต่เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ต่าง ๆ ราคาจะค่อนข้างสูงหน่อย ใครอยากเข้าไปดูก็สามารถเดินเข้าไปเช็คอินถ่ายรูปกันได้เลย

วิธีการเดินทาง:

เดินทางโดย Metro Line 13 สถานี West Nanjing Road ทางออก 11 และ Metro Line 2 สถานี West Nanjing Road ทางออก 3

เซี่ยงไฮ้เป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักเดินทาง ด้วยแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียง เช่น เดอะบันด์ (The Bund) ที่ให้วิวเส้นขอบฟ้าสุดอลังการ, หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl Tower) ที่มอบประสบการณ์ชมเมืองจากมุมสูง และย่าน Wukang Road ที่ตลอดถนนเส้นนี้จะมีคาเฟ่ ร้านอาหาร น่ารักๆ เต็มไปหมด และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวเซี่ยงไฮ้ได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณที่มาบทความและรูปภาพ: ตะลุยเที่ยวเซี่ยงไฮ้ครั้งแรกแบบอุ่นใจไปกับประกันเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel | นายบ้าเที่ยว

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

9 สายพันธุ์ซากุระยอดนิยม ความงดงามที่แตกต่างในญี่ปุ่น

9 สายพันธุ์ซากุระ ยอดนิยม ความงดงามที่แตกต่างในญี่ปุ่น

ซากุระเป็นสัญลักษณ์ความงดงามของประเทศญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงเวลาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลกมาท่องเที่ยวชมความงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่งในทั่วทุกพื้นที่ของญี่ปุ่นในทุก ๆ ปี ช่วงเวลาที่ซากุระพันธุ์หลัก ๆ เริ่มบานจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ – ต้นเดือนพฤษภาคม โดยช่วงเวลาที่ดอกซากุระบานจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับ สายพันธุ์ซากุระ และสภาพภูมิประเทศ และสภาพภูมิอากาศของแต่ละปี บางปีถ้าอากาศหนาวเป็นระยะเวลานาน ก็จะทำให้ดอกซากุระบานช้ากว่าปกติ วันนี้ Allianz Travel จะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ 9 สายพันธุ์ซากุระ ที่เป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น โดยแต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างและมีความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มีสายพันธุ์อะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ : )

1. โซเมโยชิโนะ (Somei Yoshino) – ซากุระยอดนิยมที่สุด

สายพันธุ์ซากุระ: โซเมโยชิโนะ (Somei Yoshino)

ลักษณะ:

ดอกสีชมพูอ่อนเกือบขาว บานเป็นช่อใหญ่บนกิ่งที่เปลือยเปล่า มีกลีบดอก 5 กลีบ มักออกดอกก่อนที่ใบจะงอก

ช่วงบาน:

ปลายเดือนมีนาคม – ต้นเดือนเมษายน

แหล่งกำเนิด:

พัฒนาจากการผสมพันธุ์โดยนักพฤกษศาสตร์ในสมัยเอโดะ

ความหมายทางวัฒนธรรม:

เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น และมักใช้เป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิ

สถานที่แนะนำ:

  • สวนอุเอโนะ (Ueno Park), โตเกียว
  • แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River), โตเกียว
  • ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle), อาโอโมริ

2. ยามะซากุระ (Yamazakura Zakura) – ซากุระป่าธรรมชาติ

สายพันธุ์ซากุระ: ยามะซากุระ (Yamazakura Zakura)

ลักษณะ:

ดอกสีชมพูอ่อนถึงขาว ใบอ่อนออกสีแดง บานพร้อมกับการแตกใบ

ช่วงบาน:

ต้นเดือนเมษายน – กลางเดือนเมษายน

แหล่งกำเนิด:

พบมากในป่าภูเขาของญี่ปุ่น เป็นซากุระสายพันธุ์ดั้งเดิม

ความหมายทางวัฒนธรรม:

เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นธรรมชาติและความสงบ

สถานที่แนะนำ:

ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino), นารา – ซากุระป่า 30,000 ต้นที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ

3. ชิดาเระซากุระ (Shidarezakura) – ซากุระกิ่ง

สายพันธุ์ซากุระ: ชิดาเระซากุระ (Shidarezakura)

ลักษณะ:

เป็นกิ่งโน้มต่ำ ห้อยเป็นระย้า ดอกสีชมพูสดใส หรือสีขาว มีกลีบดอก 5-20 กลีบ

ช่วงบาน:

ปลายเดือนมีนาคม – กลางเดือนเมษายน

แหล่งกำเนิด:

พบในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในวัดและสวน

ความหมายทางวัฒนธรรม:

มักถูกใช้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้า

สถานที่แนะนำ:

  • มิฮารุ ทากิซากุระ (Miharu Takizakura), ฟุกุชิมะ – ซากุระอายุกว่า 1,000 ปี
  • สวนมารุยามะ (Maruyama Park), เกียวโต

4. คาวาซุซากุระ (Kawazu Zakura) – ซากุระบานเร็ว

สายพันธุ์ซากุระ: คาวาซุซากุระ (Kawazu Zakura)

ลักษณะ:

ดอกสีชมพูสด ดอกใหญ่กว่าซากุระทั่วไป และมีกลีบดอก 5 กลีบ

ช่วงบาน:

เดือนกุมภาพันธ์ – เดือนมีนาคม

แหล่งกำเนิด:

พบครั้งแรกที่เมืองคาวาซุ จังหวัดชิซุโอกะ

สถานที่แนะนำ:

เทศกาลซากุระคาวาซุ (Kawazu Sakura Festival), ชิซุโอกะ

5. อิโจวซากุระ (Ichiyou Zakura) – ซากุระดอกซ้อน

สายพันธุ์ซากุระ: อิโจวซากุระ (Ichiyou Zakura)

ลักษณะ:

ดอกสีชมพูอ่อน กลีบดอกซ้อน 20-40 กลีบ ลักษณะดอกแน่นฟูและมักมีขนาดใหญ่กว่าซากุระทั่วไป

ช่วงบาน:

กลางเดือนเมษายน – ปลายเดือนเมษายน

แหล่งกำเนิด:

พบมากในสวนสาธารณะของญี่ปุ่น

ความหมายทางวัฒนธรรม:

เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและความมั่นคง

สถานที่แนะนำ:

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen), โตเกียว

6. ฟุเก็นซากุระ (Fugenzo Zakura) – ซากุระสีชมพูอมม่วง

สายพันธุ์ซากุระ: ฟุเก็นซากุระ (Fugenzo Zakura)

ลักษณะ:

ดอกซ้อนสีชมพูอมม่วง มีกลีบดอก 30-40 กลีบ

ช่วงบาน:

กลางเดือนเมษายน – ปลายเดือนเมษายน

แหล่งกำเนิด:

พบมากในสวนพฤกษศาสตร์และวัด

สถานที่แนะนำ:

สวนอิมพีเรียล (Imperial Palace East Gardens), โตเกียว

7. คิคุซากุระ (Kikuzakura Zakura) – ซากุระดอกซ้อนคล้ายเบญจมาศ

คิคุซากุระ (Kikuzakura Zakura)

ลักษณะ:

ดอกซ้อนขนาดใหญ่สีขาว-ชมพู มีกลีบดอกมากถึง 100 กลีบ

ช่วงบาน:

ปลายเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม

สถานที่แนะนำ:

สวนซากุระโมะริโอกะ (Morioka Sakura Park), อิวาเตะ

8. อุคง (Ukon Zakura) – ซากุระสีเหลือง

อุคง (Ukon Zakura)

ลักษณะ:

กลีบดอกสีเหลืองอ่อนที่หาได้ยาก มีกลีบดอกซ้อนกันหนาแน่น

ช่วงบาน:

กลางเดือนเมษายน – ปลายเดือนเมษายน

สถานที่แนะนำ:

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen), โตเกียว

9. โชเง็ทสึซากุระ (Shōgetsu Zakura) – ซากุระสีขาวบริสุทธิ์

โชเกซากุระ (Shōgetsu Zakura)

ลักษณะ:

ดอกใหญ่สีขาวอมชมพูเล็กน้อย ซ้อนกัน 20-30 กลีบ

ช่วงบาน:

ปลายเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม

สถานที่แนะนำ:

สวนพฤกษศาสตร์เกียวโต (Kyoto Botanical Gardens), เกียวโต

หากคุณกำลังวางแผน เที่ยวชมซากุระในญี่ปุ่น ควรศึกษาช่วงเวลาบานของพันธุ์ที่ต้องการชม รวมถึงสถานที่ยอดนิยม เช่น โตเกียว, เกียวโต และโอซาก้า เป็นต้น เพื่อให้คุณสามารถสัมผัสประสบการณ์การชมซากุระที่ดีที่สุดได้! เพื่อน ๆ สามารถติดตามข้อมูลการพยากรณ์การบานของซากุระในปีนี้ได้ที่: พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025 ล่าสุด! และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: japan.travel: The Different Varieties of Cherry Blossoms in Japan From Light Pink to Radiant Yellow, japan-guide.com: Cherry Tree Varieties

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

9 สถานที่ ชมซากุระ ในโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น

9 สถานที่ ชมซากุระในโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น

ฤดูใบไม้ผลิของประเทศญี่ปุ่น (ช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฤดูที่สำคัญมาก ๆ ของคนญี่ปุ่น นั่นก็คือช่วงเวลาที่ดอกซากุระบาน โดยดอกซากุระสายพันธุ์ที่คนนิยมมากที่สุดคือสายพันธุ์ Somei Yoshina และในประเทศญี่ปุ่นจะมีการปลูกซากุระสายพันธุ์นี้ไว้เยอะมาก ทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ แต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาค ปลูกมากปลูกน้อย ขึ้นอยู่กับสถานที่นั้น ๆ บทความนี้ Allianz Travel จะมาแนะนำ สถานที่ชมซากุระในภูมิภาค ที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ชมดอกซากุระสวย ๆ นั่นก็คือ ภูมิภาคโทโฮคุ โดยในบทความนี้สถานที่ ชมซากุระในโทโฮคุ จะครอบคลุมทั้งหมด 4 จังหวัด ได้แก่ อิวาเตะ, อากิตะ, ฟุกุชิมะ, และอาโอโมริ

ในส่วนของการเดินทาง เพื่อน ๆ สามารถใช้ บัตร JR East Tohoku Area Pass สำหรับการเดินทาง โดยสามารถซื้อได้โดยตรงจากเว็บของ รถไฟ JR ของญี่ปุ่นได้เลยค่ะ

1. คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)

สถานที่ ชมซากุระในโทโฮคุ คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) หมู่บ้านซามูไร

คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)  จังหวัด Akita ภูมิภาค Tohoku พิกัดสถานที่เที่ยวสวย ๆ น่าเที่ยวในโซนโทโฮคุ ที่นี่คนนิยมมาเที่ยวชมดอกซากุระสวย ๆ ที่ หมู่บ้านซามูไร โดยตลอดสองข้างทางก็จะมีบ้านเก่าทรงสวย ๆ สไตล์ญี่ปุ่นเยอะมาก ตลอดเส้นทางก็จะมีร้านอาหาร ร้านขนมของกินต่าง ๆ ให้เราได้แวะชิมได้ เรียกได้ว่าอยู่เที่ยวทั้งวันได้สบาย ๆ เลยค่ะ

สถานที่ ชมซากุระในโทโฮคุ คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงที่ Kakunodate Station แล้วเดินมาจากสถานีรถไฟอีก 1.5 กม. จะไปถึงโซนหมู่บ้านซามูไรและ เดินต่ออีก 300-500 เมตรก็จะมาถึงริมแม่น้ำ Hinokinai

พิกัดหมู่บ้านซามูไร:

https://maps.app.goo.gl/rwkmy88JB7DcHEmBA

2. สวนฮิโนะคินาอิกาวะ สึสึมิ (Hinokinaigawa Tsutsumi Park)

สถานที่ ชมซากุระโทโฮคุ สวนฮิโนะคินาอิกาวะ สึสึมิ (Hinokinaigawa Tsutsumi Park)

เดินเลยจากบริเวณหมู่บ้านซามูไรเราก็จะมาถึงสวนริมแม่น้ำ Hinokinai ตรงบริเวณนี้ในช่วงที่ดอกซากุระบานฟู ๆ จะสวยมากค่ะ เพราะต้นซากุระ จะเรียงรายตลอดริมแม่น้ำ Hinokinai เป็นวิวที่สวยแบบ 10/10 กันเลย และในช่วงดอกซากุระบาน ก็จะมีการจัดงานเทศกาล มีการออกร้านขายของกินต่าง ๆ เรียกได้ว่า เที่ยวชมดอกซากุระไป ชิมของอร่อยไป ฟินสุด ๆ ไปเลยค่ะ

ชมซากุระ สวนฮิโนะคินาอิกาวะ สึสึมิ (Hinokinaigawa Tsutsumi Park)

พิกัดริมแม่น้ำ Hinokinai:

https://maps.app.goo.gl/FNHZYbfCx7RdVS2M8

3. ศาลเจ้าซากุระยามะ (Sakurayama Shrine)

ชมซากุระที่ ศาลเจ้าซากุระยามะ (Sakurayama Shrine)

ศาลเจ้าสวยอยู่ในใจกลางเมืองโมริโอกะ จุดเด่นของความสวยงามของที่นี่ก็คือบริเวณทางเข้าศาลเจ้าที่จะมีต้นซากุระสีชมพูสองต้นอยู่หน้าทางเข้าตรงจุดนี้ถือว่าสวยงามดูลงตัวมาก ๆ อีกทั้ง ศาลเจ้าซากุระยามะ ยังเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นที่มักจะแวะมากราบไหว้ขอพรกัน สำหรับใครที่ชอบเครื่องราง หากมีโอกาสมาที่ ศาลเจ้าซากุระยามะ ก็อย่าลืมซื้อกลับ เพราะที่นี่ เครื่องรางคือสวยมาก ๆ ค่ะ

สถานที่ชมซากุระ ศาลเจ้าซากุระยามะ (Sakurayama Shrine)

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัส หรือ แท็กซี่ สามารถเช็ควิธีการเดินทางได้จากกูเกิลแมพ (Google Maps)

พิกัดศาลเจ้าซากุระยามะ:

https://maps.app.goo.gl/TC67NKeUPBEuCF1u8

4. สวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle Park)

ชมดอกซากุระบานที่สวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle Park)

ตรงบริเวณนี้จะเป็นพื้นที่ของตัวปราสาทโมริโอกะ ที่พังไปแล้ว แต่บริเวณนี้เค้าก็พัฒนามาเป็นสวนสาธาณะ โดยมีการปลูกต้นซากุระไว้เยอะมาก ๆ บริเวณรอบ ๆ สวนก็จะมีร้านค้าของกินและขนมต่าง ๆ อีกด้วย จุดเด่นของที่นี่ก็คือต้นซากุระที่อยู่ตามกำแพงที่เรียงรายอยู่เยอะมาก ๆ หากวันที่ดอกซากุระร่วงบนพื้นก็แทบจะเป็นพรมกลีบดอกซากุระเลยค่ะ สวยมาก ๆ

ร้านค้าของกินและขนมที่สวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle Park)

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัส หรือ แท็กซี่ สามารถเช็ควิธีการเดินทางได้จากกูเกิลแมพ (Google Maps)

พิกัดสวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะ:

https://maps.app.goo.gl/iq6m7KoByDvqihWR6

5. คิตะคามิ (Kitakami)

สถานที่ชมซากุระ คิตะคามิ (Kitakami)

พิกัดชมซากุระที่สวยติดอันดับ 1ใน100 ของญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ ชมซากุระในโทโฮคุ ที่สวยงามมาก ๆ ซากุระ ที่ Kitakami Tenshochi Park มีหลายพันต้นเรียงรายเป็นอุโมงค์ซากุระเลียบแม่น้ำยาวกว่า 2 กิโลเมตร โดยที่ในช่วงซากุระบานสวย ๆ จะมีการจัดงาน Kitakami Tenshochi Sakura Festival ภายในงานก็จะมีการออกร้านค้า ร้านขายอาหารต่าง ๆ ฟู้ดทรัค ก็จะมีที่นั่งให้เรากินไปชมดอกซากุระไปด้วย บรรยากาศดีมาก ๆ และอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของที่นี่ก็จะเป็นการนั่งรถม้าพาชมความสวยงามของอุโมงค์ซากุระ โดยหากเราได้เห็นภาพรถม้านำเที่ยวกับต้นซากุระก็จะรู้เลยว่า สถานที่ในภาพคือ Kitakami อีกหนึ่งความพิเศษของซากุระที่ Kitakami นั่นก็คือ มีซากุระหลากหลายสายพันธุ์ให้เราได้ชม ทำให้ที่ Kitakami เป็นอีกหนึ่งพิกัดชมดอกซากุระ ที่ห้ามพลาด ใน ภูมิภาค Tohoku ค่ะ

ชมซากุระ คิตะคามิ (Kitakami) พร้อมรถม้านำเที่ยว

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงที่ Kitakami Station แล้วเดินต่ออีก 1.2-1.5 กม. ใช้เวลาเดิน 15-20 นาที หรือใครจะเรียกแท็กซี่ก็ได้ค่ะ สะดวกดีและเซฟแรงเดิน

พิกัด Kitakami Tenshochi Park:

https://maps.app.goo.gl/xE9jwpWYBq8zDBt48

6. สวนทาคามัตสึ (Takamatsu Park)

ชมซากุระที่สวนทาคามัตสึ (Takamatsu Park)

เป็นสถานที่ ชมซากุระในโทโฮคุ พิกัดชมซากุระสวย ๆ ในเมืองโมริโอกะ สวนสวยใจกลางเมือง ที่สวนจะมีการปลูกซากุระเรียงรายอยู่ริมน้ำสวยงามมาก ๆ มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก และบริเวณสวนจะมีร้านขายของกินด้วยค่ะ สวนนี้เงียบสงบคนไม่เยอะมาก เที่ยวชิล ๆ สบาย ๆ และหากวันไหนฟ้าเปิดดี ๆ เราจะได้เห็นภูเขาไฟ Iwate ที่สวยงามมาก ๆ อีกด้วยค่ะ ที่นี่นับว่าเป็นอีกหนึ่งพิกัดชมซากุระ ในโซน โทโฮคุ ที่ห้ามพลาดเลยค่ะ

ชมซากุระที่สวนทาคามัตสึ (Takamatsu Park) พร้อมภูเขาไฟ Iwate

เวลา เปิด-ปิด:

สวนเปิด 24 ชม.

วิธีการเดินทาง:

นั่งแท็กซี่ หรือ รถบัสมาก็ได้ค่ะ สามารถเช็คการเดินทางได้จากกูเกิลแมพ (Google Maps)

พิกัดสวนทาคามัตสึ:

https://maps.app.goo.gl/sNQtp4F3K5L675Hv5

7. ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)

สถานที่ชมซากุระที่ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)

พิกัดชมซากุระที่สวยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่น ซากุระหลายพันต้น รายล้อมทั้งภายนอกและภายในปราสาท ซากุระที่นี่จะมีทั้ง ซากุระที่เป็นสีขาว และซากุระดอกสีชมพูพันธุ์ย้อย ช่วงตอนกลางวันซากุระว่าสวยแล้ว ตอนกลางคืนมีเปิดไลท์อัพซากุระยิ่งสวยขึ้นไปอีก อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของที่นี่ ที่คนมักนิยมมาชมกันก็คือ พรมกลีบดอกซากุระที่ร่วงโรยลงบริเวณคูน้ำทั้งในและรอบ ๆ ปราสาท จนดูกลายเป็นพรมกลีบดอกซากุระที่สวยงามมาก ๆ หากใครชอบเที่ยวญี่ปุ่น ชอบดอกซากุระ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาเที่ยว ปราสาทฮิโรซากิให้ได้ เพราะสวยมากจริง ๆ ค่ะ

ชมซากุระ ญี่ปุ่น ที่ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงที่ Hirosaki Station แล้วนั่งรถบัสต่อ หรือ นั่งแท็กซี่ หรือ จะเดินก็ได้

พิกัดปราสาทฮิโรซากิ:

https://maps.app.goo.gl/xJs6BA2nc52zg7Py9

8. สะพานไคอุน (Kaiun Bridge)

สะพานไคอุน (Kaiun Bridge)

สะพานสวยกลางใจเมือง โดยจุดเด่นของพิกัดนี้ก็คือ ตรงบริเวณริมแม่น้ำ จะมีการปลูกดอกไม้ต่าง ๆ ไว้ และมีดอกทิวลิปด้วยค่ะ ที่จุดนี้หากวันไหนอากาศดี ๆ เราจะได้เห็นภูเขาอิวาเตะแบบชัด ๆ โดยที่ด้านหน้าเป็นแม่น้ำและดอกไม้ พอเห็นทุกอย่างพร้อม ๆ กัน ทำให้เราเห็นภาพวิวที่เป็นภาพวิวที่สวยและดีมาก ๆ เลยค่ะ

บรรยากาศความสวยงามที่สะพานไคอุน (Kaiun Bridge)

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัส หรือ แท็กซี่ได้ สามารถเช็ควิธีการเดินทางได้จากกูเกิลแมพ (Google Maps)

พิกัดสะพานไคอุน:

https://maps.app.goo.gl/RTZLdw28naxb7efP6

9. แม่น้ำคันนนจิ (Kannonji River)

ชมซากุระที่แม่น้ำคันนนจิ (Kannonji River)

แม่น้ำคันนนจิ (Kannonji River) อีกหนึ่งพิกัดชมซากุระที่สวยมาก ๆ ในจังหวัด Fukushima จุดไฮไลท์ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ก็คือ คูน้ำที่มีน้ำไหลผ่านแบบเป็นขั้นบันไดสวยงาม รอดผ่านอุโมงค์ต้นซากุระที่บานเต็มสองฝั่งของคูน้ำ สวยงามแบบ สิบเต็มสิบ ในช่วงซากุระบาน ที่นี่ก็จะมีการจัดเทศกาล มีร้านขายของ ร้านขายของกิน มาออกร้านกันมากมาย ทำให้จุดนี้เป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่น มาทำกิจกรรมปูเสื่อกินข้าว ชมวิวดอกซากุระกัน หากใครชอบชมดอกซากุระ เราขอแนะนำให้มาที่นี่ เดินทางมาไม่ยากและเดินไม่ไกลค่ะ

สถานที่สำหรับชมดอกซากุระบานที่แม่น้ำคันนนจิ (Kannonji River)

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงที่ Koriyama Station แล้วนั่งรถไฟ local มาลงยัง Kawageta Station ลงรถไฟแล้วเลี้ยวซ้าย เดินต่ออีก 200 เมตรก็จะถึง แม่น้ำคันนนจิ (Kannonji River)

พิกัดแม่น้ำคันนนจิ:

https://maps.app.goo.gl/77j3jnTURevunAgr6

และนี่ก็เป็นสถานที่เที่ยวชมซากุระ ที่ภูมิภาคโทโฮคุ แต่ภูมิภาคนี้ยังมีจุดชมซากุระสวย ๆ อีกเยอะมาก ๆ  แต่สถานที่หรือพิกัดที่เราเลือกมาแนะนำทุกคนถือว่าเป็นพิกัดที่สวยติดอันดับของญี่ปุ่นกันเลยทีเดียวค่ะ แต่การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงซากุระบาน ในแต่ละสถานที่จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เราควรเตรียมความพร้อมในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ให้ดี เพื่อไม่ให้ทริปที่เราวางแผนไว้ต้องสะดุดทำให้หมดสนุก และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณที่มาบทความและรูปภาพ: แจกแพลนทริปเที่ยว 8 พิกัดชมซากุระสวย ๆ ที่ ภูมิภาคโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน | Travel and Again

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel