10 YouTube Channel สายเที่ยว ดูเพลิน หลากสไตล์

เปิดวาร์ป 10 ช่อง YOUTUBE สายเที่ยว ดูเพลิน หลากสไตล์

สวัสดีค่ะทุกคน ในช่วงที่หลายคนต้องหยุดอยู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการรับเชื้อหรือแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 กันนั้น สายเที่ยวทั้งหลายที่ไม่สามารถไปเที่ยวไหนได้ ไม่ว่าจะต่างประเทศหรือในประเทศ อาจจะรู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิดกับการอยู่เฉย ๆ กัน Allianz Travel เลยขออาสา รวบรวม 10 ช่องยูทูบ สายเที่ยว หลากหลายสไตล์ ดูเพลินสนุกไปกับ YouTuber ที่พาเราตะลุยไปตามที่ต่างๆ ที่เราอาจไม่เคยไปมาก่อน ทำให้เราได้ทั้งสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ ได้ความรู้ และเราอาจวางแผนตามรอยเที่ยวเมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติกันได้เลย รับรองว่าดู 10 ช่องนี้แล้ว ได้ความรู้เยอะแน่นอนค่ะ

1. เที่ยวมั้ยครับ, BIE THE SKA CHANNEL

Subscriber : 10,900,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 3,345,640,949 views

เริ่มต้นกันที่ช่องแรกกับรายการ “เที่ยวมั้ยครับ” ซึ่งเป็นรายการท่องเที่ยวที่อยู่ในช่องของ Bie The Ska เจ้าพ่อคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามบนยูทูบกว่า 10 ล้านคน ! ณ ปัจจุบันรายการเที่ยวมั้ยครับมีมากกว่า 50 ตอน ดำเนินรายการโดยคุณบี้และคุณจีโน่ สองหนุ่มสายฮาที่จะพาเราไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ถ้าใครชื่นชอบรายการเที่ยวที่สบาย ๆ เน้นตลกและได้ความรู้ ช่องนี้ตอบโจทย์แน่นอนค่ะ

2. MAYYR

Subscriber : 1,580,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 223,882,178 views

MayyR บิวตี้บล็อกเกอร์ที่ผันตัวเองมาทำยูทูบแนวไลฟสไตล์อย่างเต็มตัว ช่องของ MayyR จึงไม่ได้มีเพียงเรื่องเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องไลฟสไตล์ อาหารการกิน ของตกแต่งบ้าน รวมไปถึงการแต่งหน้า อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่ใช่ช่องเที่ยวแบบเต็มตัว แต่ช่อง MayyR ก็มีคลิปท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่จะพาเราไปเที่ยวในสไตล์แบบชิลล์ ๆ เน้นการกินและชมสถานที่ต่าง ๆ (เธอไปมาแล้วแทบทั่วโลกเลยหล่ะ) ช่อง MayyR จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่เน้นเที่ยวแบบสบาย ๆ ตามสไตล์ผู้หญิงค่ะ

3. I ROAM ALONE

Subscriber : 1,270,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 120,668,387 views

สำหรับผู้หญิงสายเที่ยวลุยเดี่ยวแล้ว ห้ามพลาดช่อง I Roam Alone เลยค่ะ เพราะเจ้าของช่อง คุณมิ้นท์ เป็นผู้หญิงที่ชื่นชอบการเที่ยวคนเดี่ยวเป็นอย่างมาก เลยทำคลิปเที่ยวคนเดี่ยวสำหรับผู้หญิงขึ้นมา เพื่อเป็นคู่มือสำหรับผู้หญิงที่อยากเริ่มเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว รวมถึงคำแนะนำการวางแผนเที่ยว หรือแม้กระทั่งวิธีการหลีกเลี่ยงอันตรายในระหว่างการเดินทาง รับรองว่าดูแล้วได้ความรู้เยอะเลยค่ะ สำหรับจุดเด่นของช่องนี้ มีทั้งการเที่ยวแบบสายลุยที่ต้องบอกเลยว่า โหด ดิบ เถื่อน และการเที่ยวแบบสายชิลล์สไตล์ผู้หญิง เน้นกินและชมสถานที่เป็นหลัก ถ้าใครเน้นดูเพลินและชอบความลุย รับรองว่าไม่เบื่อแน่นอนค่ะ

4. YES I GO

Subscriber : 766,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 75,806,435 views

YES I GO เป็นช่องยูทูบสายเที่ยวที่ทำโดยคุณยาซีน หนุ่มแดนใต้จากจังหวัดปัตตานีที่มีใจรักในการเที่ยว และคิดว่าความฝันของตนเองคือการได้ไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ YES I GO เป็นช่องที่มีสไตล์เที่ยวแบบชิลล์ ๆ เน้นชมสถานที่และพากินอาหารข้างทางเป็นหลัก

5. อาสาพาไปหลง

Subscriber : 331,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 29,610,061 views

อาสาพาไปหลง ช่องยูทูบสายเที่ยวที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุด ๆ เพราะนอกจากชื่อที่บอกแล้วว่าจะ “พาไปหลง” ยังมีเอกลักษณ์ที่เสียงพากย์ของเจ้าของช่อง คุณว่านไฉ AF โดยปกติแล้วเวลาไปเที่ยว เราก็จะเห็นยูทูบเบอร์พูดกับกล้องเองเป็นหลัก แต่ช่องนี้คุณว่านไฉใช้วิธีการพากย์เสียงเข้าไป ยังไม่พอ ! แกถึงขนาดทำเพลงประกอบการเที่ยวอีกด้วย ถ้าใครเผลอเข้าไปดูแล้ว รับรองว่าดูวนยาว ๆทั้งวันแน่ ภาพสวย เล่าเรื่องดี แถมความตลกของเสียง 10/10 เลยค่ะ

6. THE GAIJIN TRIPS แบกเป้เที่ยวคนเดียว

Subscriber : 280,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 11,297,120 views

The Gaijin Trips แบกเป้เที่ยวคนเดียว ช่องยูทูบพาเที่ยวที่ไม่เหมือนใครและคงไม่มีใครเหมือน! The Gaijin Trips เป็นช่องยูทูบพาเที่ยวสไตล์ลุยเดี่ยว เน้นพาเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ทุกคลิปที่พาเที่ยวจะมีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทพูด มุมกล้อง ภาพที่ถ่ายออกมา ดูแล้วจะไม่รู้สึกเหมือนดูคลิปพาเที่ยวทั่วไป แต่เหมือนดูภาพยนตร์เรื่องสั้นที่ร้อยเรียงเรื่องราวมาอย่างดี (ไม่ได้เวอร์ไปนะ ฮ่าๆ) ถ้าใครเบื่อช่องยูทูบพาเที่ยวทั่วไปที่มีสไตล์เหมือน ๆ กัน ต้องดูช่องนี้เลยค่ะ

7. GO WENT GO, 20 TV CHANNEL

Subscriber : 270,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 38,275,564 views

Go Went Go, เที่ยว เว้น เที่ยว เป็นรายการเที่ยวที่เป็นส่วนหนึ่งของช่อง 20TV ซึ่งมีมาแล้วทั้งหมด 4 Season ส่วนใหญ่จะเน้นไปเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก (เกือบทั่วโลกแล้ว) รายการดำเนินโดยคุณบาส มือกีตาร์วง Better Weather จุดเด่นของช่องก็คือการเที่ยวตามสไตล์แบบแก๊งผู้ชาย เพราะคลิปส่วนใหญ่คุณบาสจะพาเที่ยวกับเพื่อน หรือบางครั้งก็ไปเป็นแก๊งเลยค่ะ

8. เถื่อน TRAVEL

Subscriber : 170,000 คน (เพิ่งย้ายมาจากช่อง GMM25 Channel)
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 3,463,909 views

เถื่อน Travel ช่องสำหรับคนสายลุย ดำเนินรายการโดยคุณสิงห์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เถื่อน Travel มีมาแล้วถึง 2 Seasons บนช่อง GMM 25 Channel ก่อนที่คุณสิงห์จะย้ายมาทำช่องเองที่เถื่อน Channel จุดเด่นของเถื่อน Travel คือการพาเราไปยังสถานที่แปลกใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครไปและบางสถานที่ก็เสี่ยงตาย ทั้งดินแดนสงครามในประเทศซีเรียและอิรัก ดินแดนเกาหลีเหนือ ทวีปแอฟริกา หรือพาไปบุกเส้นทางขนยาเสพติดในป่าอะแมซอน นอกจากนี้ ถ้าใครชอบดูช่องเที่ยวแบบได้สาระความรู้จัดเต็ม ก็ไม่ควรพลาดช่องเถื่อน Travel เพราะคุณสิงห์จะอธิบายและให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ต่อสถานที่ที่ไปเที่ยวตลอดรายการด้วยค่ะ

9. BEERSOS DIARY

Subscriber : 110,000 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 1,896,491 views

Beersos Diary ช่องเที่ยวสายลุย สไตล์ Road Trips Beersos Diary เป็นช่องที่มีคลิปไม่มากนัก เหมือนเป็นบันทึกการเดินทางของเจ้าของช่องมากกว่า ทุกคลิปจะเป็นการเที่ยวคนเดี่ยวแบบ Road Trips ไปยังสถานที่ต่าง ๆ มีความดิบเถื่อนแบบขาลุย ถ้าใครวางแพลนว่าจะลองเที่ยวแบบ Road Trips คนเดียวสักครั้ง ดูช่องนี้แล้วจะได้รับความรู้เยอะเลยค่ะ

10. GO AGAIN

Subscriber : 59,600 คน
จำนวนยอดวิวรวมทุกคลิป : 3,475,665 views

Go Again เป็นช่องที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัยที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว เป็นแก๊งผู้ชายสี่คนที่จะพาทุกคนไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ในสไตล์ชิลล์ ๆ เน้นการกินและชมสถานที่แบบเป็นกันเอง

ทั้ง 10 ช่องยูทูบที่เราเลือกมาแนะนำในวันนี้ ต้องบอกเลยว่า มีสไตล์การเที่ยวที่หลากหลายจริง ๆ ทั้งเที่ยวคนเดียว เที่ยวกับเพื่อน หรือไปเป็นแก๊ง อีกทั้งแต่ละช่องก็มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ทั้งการพากย์และการถ่ายทำรายการ หวังว่าทั้งสิบช่องยูทูบนี้จะช่วยคลายเหงาในช่วงที่ต้องหยุดอยู่บ้านยาว ๆ ได้นะคะ : )

ข้อมูลอัพเดทเมื่อวันที่ : 13/04/2020

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

20 เมนู อาหารยุโรป จานเด็ด

เรียนรู้วัฒนธรรมจากอาหาร : 20 เมนูอาหารจานเด็ดประเทศยุโรป

ถ้าพูดถึงประเทศในทวีปยุโรป หลาย ๆ ท่านคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยว สถาปัตยกรรม วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละท้องถิ่น รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย เมื่อไปท่องเที่ยวยังประเทศยุโรป ก็คือการได้ลิ้มรส อาหารยุโรป จานเด็ดหรืออาหารประจำชาติของแต่ละประเทศ ไม่เพียงแต่ได้สัมผัสรสชาติความอร่อย แต่อาหารยังบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนและวัฒนธรรมประจำชาติด้วย วันนี้ Allianz Travel ขออาสาพาผู้อ่านทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับ 20 เมนูอาหารจานเด็ดของแต่ละประเทศในยุโรป ขอแนะนำว่า อย่าอ่านบทความนี้ตอนหิวเป็นอันขาด เตือนแล้วนะคะ : )

1. ขนมสตรูเดิ้ล (STRUDEL) ประเทศออสเตรีย

สตรูเดิ้ล เป็นขนมดั้งเดิมของชาวเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยปกติแล้วขนมสตรูเดิ้ลจะใส่ไส้ผลไม้หลากหลายชนิด แต่ที่นิยมอย่างมากคือแอปเปิ้ล ถ้าใครไปเที่ยวออสเตรียแล้ว ให้ลองสั่งด้วยคำว่า “Apfelstrudel” ดู และอย่าลืมเพิ่มความอร่อยด้วยการใส่ท้อปปิ้งเป็นวิปครีมหรือซอสวนิลาด้วยนะคะ

อาหารยุโรป : ขนมสตรูเดิ้ล (STRUDEL) ประเทศออสเตรีย

2. ขนมวาฟเฟิล (WAFFLE) ประเทศเบลเยี่ยม

ถ้านึกถึงวาฟเฟิล ก็ต้องนึกถึงประเทศเบลเยี่ยม เพราะที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดวาฟเฟิล ก่อนที่จะนิยมอย่างแพร่หลายไปยังประเทศอื่น โดยปกติแล้วชาวเบลเยี่ยมจะนิยมกินวาฟเฟิลเป็นอาหารเช้ากัน ราดด้วยท้อปปิ้งอย่างวิปครีม น้ำเชื่อม สตอเบอร์รี่และช็อกโกแลต ไปถึงเบลเยี่ยมแล้ว อย่าลืมแวะกินต้นตำรับวาฟเฟิลกันนะคะ

อาหารยุโรป : ขนมวาฟเฟิล (WAFFLE) ประเทศเบลเยี่ยม

3. ข้าวคลุกหมึกดำ (BLACK RISOTTO) ประเทศโครเอเชีย

ข้าวคลุกหมึกดำ หรือ Black Risotto ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวโครเอเชีย ส่วนผสมหลักของข้าวคลุกหมึกดำก็คือปลาหมึกดองหรือปลาหมึกทั่วไป ผสมด้วยน้ำมันมะกอก กระเทียม ไวน์แดงและหมึกดำ ผัดให้เข้าที่กับข้าวสวยทั่วไป คนโครเอเชียมักจะเรียก Black Risotto ว่า “crnirizot” เพราะเป็นที่รู้กันว่า เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะทำให้สีฟันเปลี่ยนเป็นสีดำ

อาหารยุโรป : ข้าวคลุกหมึกดำ (BLACK RISOTTO) ประเทศโครเอเชีย

4. ขนมปังเกี๊ยว (BREAD DUMPLINGS) ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

ขนมปังเกี๊ยวฉบับดั้งเดิมของชาวเช็ก แตกต่างสิ้นเชิงกับเกี๊ยวจากเอเชีย เพราะขนมปังเกี๊ยวที่นี่ทำจากแป้งต้ม ยีสต์ ไข่ เกลือและนม เป็นหลัก ชาวเช็กทั่วไปจะสั่งขนมปังเกี๊ยวมากินคู่กับกูลาช (ซุปเนื้อ) โดยการจุ่มขนมปังเกี๊ยวเข้าไปในซุปเนื้อ รสชาติจะเข้ากันไหม ต้องลองไปชิมดูค่ะ : )

อาหารยุโรป : ขนมปังเกี๊ยว (BREAD DUMPLINGS) ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

5. แซนวิชหน้าเปิด (SMØRREBRØD) ประเทศเดนมาร์ก

แซนวิชหน้าเปิด ของกินเลืองชื่อของประเทศเดนมาร์ก ตัวแซนวิชจะเป็นขนมปังข้าวไรย์ โปะหน้าแซนวิชด้วยไข่ ชีส เนื้อ และปลา หรือถ้าจะทำให้อลังการขึ้น อาจโปะด้วยกุ้งและไข่ปลาคาเวียร์ ขณะที่วิธีการกินแซนวิชหน้าเปิดแบบคนแดนิช จะใช้ซ้อมและมีดในการหั่นแซนวิชและใช้ซ้อมตักกิน แซนวิชหน้าเปิดถือเป็นอาหารที่ค่อนข้างแปลกสำหรับคนไทย ถ้าใครลองแล้ว มาบอกเราด้วยนะคะว่าอร่อยไหม ^^

อาหารยุโรป : แซนวิชหน้าเปิด (SMØRREBRØD) ประเทศเดนมาร์ก

6. หมูรมควันกับถั่ว (SMOKED PORK WITH BEANS) ประเทศลักแซมเบิร์ก

ถ้าไปเที่ยวประเทศลักแซมเบิร์ก หมูรมควันกับถั่วเป็นอาหารที่จะพบได้ทั่วไปหรือแทบทุกที่ทั่วประเทศ โดยปกติแล้วคนลักแซมเบิร์กจะทานหมูรมควันกับมันฝรั่งทอดเบคอน เสริฟ์คู่กับเบียร์ท้องถิ่นและไวน์ขาว ถ้าจะสั่งแบบคนท้องถิ่นก็อย่าลืมสั่งคู่พร้อมกับมันฝรั่งทอดเบคอนนะคะ

อาหารยุโรป : หมูรมควันกับถั่ว (SMOKED PORK WITH BEANS) ประเทศลักแซมเบิร์ก

7. ชีสฮาลูมี (HALLOUMI CHEESE) ประเทศไซปรัส

ชีสฮาลูมี เป็นอาหารขึ้นชื่อทั่วทั้งแทบตะวันออกกลางและประเทศกรีซ โดยเชื่อกันว่าต้นกำเนิดของชีสชนิดนี้มาจากประเทศไซปรัสเมื่อศตวรรษที่ 16 ส่วนผสมหลักของชีสฮาลูมีคือนมแกะและนมแพะ ทำให้ชีสชนิดนี้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การนำไปย่างกินพร้อมด้วยเครื่องเคียงมากกว่าการอบหรือละลายชีส ในช่วงฤดูร้อน ชาวไซปรัสจะนิยมกินชีสฮาลูมีกับแตงโมเพื่อคลายร้อนกันค่ะ

อาหารยุโรป : ชีสฮาลูมี (HALLOUMI CHEESE) ประเทศไซปรัส

8. ขนมอบเพรทเซิล (PRETZELS) ประเทศเยอรมัน

ขนมเพรทเซิลถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยุคกลางของยุโรป และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในประเทศเยอรมัน ทุกวันนี้ ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เยอรมัน ให้ลองสังเกตตามร้านขนม ร้านอาหาร หรือเบียร์ฮอลล์ จะพบว่าเต็มไปด้วยขนมเพรทเซิลที่เสริฟ์พร้อมกับท้อปปิ้งต่าง ๆ ตั้งแต่แฮมและชีส ไปจนถึงเมล็ดฟักทอง หลาย ๆ คน ไปเที่ยวเยอรมันมักคิดถึงไส้กรอกและเบียร์ แต่ขนมเพรทเซิลก็ถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ

อาหารยุโรป : ขนมอบเพรทเซิล (PRETZELS) ประเทศเยอรมัน

9. ไจรอส (GYROS) ประเทศกรีซ

ไจรอสอาหารประจำชาติเลืองชื่อของชาวกรีซ พบเห็นได้ตามร้านข้างทางทั่วไป ลักษณะของไจรอสจะคล้ายๆกับเคบับ แต่จะม้วนด้วยขนมปังเรียบ ไส้ข้างในขนมปัง จะมีทั้งหมู ไก่ เนื้อวัวและเนื้อแพะ พร้อมใส่เครื่องเคียงอาทิ มะเขือเทศ หัวหอม และที่ขาดไม่ได้ก็คือซอสซัดซีจี (Tzatziki) ซึ่งทำจากโยเกิร์ตและผักต่าง ๆ ใครเบื่อ สตรีทฟู้ดไทยแล้ว อยากลองสตรีทฟู้ดแบบยุโรปบ้าง ต้องลองทานไจรอสเลยค่ะ

อาหารยุโรป : ไจรอส (GYROS) ประเทศกรีซ

10. กูลาช (GOULASH) ของประเทศฮังการี

กูลาชเป็นซุปสตูว์สไตล์โฮมเมด แม่บ้านในอดีตนิยมเคี่ยวหม้อโต ๆ เพื่อเก็บไว้รับประทานหลายวัน ซึ่งเมื่อถึงวันท้าย ๆ เนื้อในซุปแทบจะละลายในปากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่กูลาซปรุงด้วยสัตว์อย่างเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อแกะ โดยเริ่มจากการหั่นเนื้อเป็นลูกเต๋านำไปคลุกเคล้ากับเกลือจากนั้นนำไปทอดกับหอมใหญ่เคี่ยวไฟอ่อน ๆ คลุกเคล้ากับเครื่องเทศและเติมน้ำซุปลงไปเคี่ยวไฟอ่อน จากนั้นปรุงรสเผ็ดด้วยปาปริก้าทั้งแบบสดและแบบป่นแล้วแต่สูตรเพิ่มความหอมมันด้วยครีม กูลาซรสเข้มข้นนิยมรับประทานคู่กับพาสต้า หากไปถึงฮังการีแล้วต้องสั่งมาชิมด่วน

อาหารยุโรป : กูลาช (GOULASH) ของประเทศฮังการี

11. สเกียร์ (SKYR) ประเทศไอซ์แลนด์

สเกียร์เป็นขนมหวานยอดฮิตของชาวไอซ์แลนด์ หลาย ๆ คนเมื่อได้ลองชิมแล้ว จะเข้าใจผิดว่าสเกียร์เป็นโยเกิร์ต เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาและรสชาติคล้ายกับโยเกิร์ตมาก แต่แท้ที่จริงแล้วสเกียร์ทำมาจากชีสค่ะ สเกียร์เป็นขนมหวาน (หรืออาหารเช้า) ที่จะเสิร์ฟพร้อมนมและโรยด้วยท้อปปิ้งหลากหลายชนิด เช่น ขนมและผลไม้

อาหารยุโรป : สเกียร์ (SKYR) ประเทศไอซ์แลนด์

12. ไอริชสตูว์ (IRISH STEW) ประเทศไอร์แลนด์

ถึงแม้ว่าประเทศไอร์แลนด์จะมีชื่อเสียงด้านการเสิร์ฟมันฝรั่งบนมื้ออาหารเป็นหลัก แต่อาหารที่ขึ้นชื่อของชาวไอริชก็คือสตูว์ ซึ่งเป็นซุปที่ประกอบด้วยชิ้นเนื้อแกะ มันฝรั่งหัวหอมและผักชีฝรั่ง และบางครั้งอาจใส่เนย Guinness ลงไปด้วย อย่างไรก็ตามสตูว์ของชาวไอริชได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรจากเดิม เมื่อชาวไอริชจำนวนมากอพยพไปประเทศสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 19 และไม่สามารถหาเนื้อแกะมาใส่ได้ จึงแทนที่ด้วยเนื้อวัว และส่วนผสมอื่น ๆ ถ้าจะสั่งไอริชสตูว์แล้ว ก็อย่าลืมเช็กให้แน่ใจนะคะว่าเป็นแบบดั้งเดิมหรือเปล่า

อาหารยุโรป : ไอริชสตูว์ (IRISH STEW) ประเทศไอร์แลนด์

13. เกี๊ยวเซปเปลินาย (CEPELINAI) ประเทศลิธัวเนีย

เซปเปลินายคือเกี๊ยวชิ้นใหญ่รูปทรงคล้ายไข่ที่ทำจากมันฝรั่งดิบขูดและมันฝรั่งต้ม และมีไส้ในเป็นเนื้อบด เห็ดและลิ่มน้ำนม เซปเปลินายจะเสิร์ฟคู่พร้อมกับซอสครีมเปรี้ยวและเบคอนทอด เซปเปลินายเป็นชื่อของเรือเหาะ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปร่างทรงไข่ ชาวลิธัวเนียจึงเรียกเกี๊ยวชนิดนี้ตามว่า เซปเปลินาย

อาหารยุโรป : เกี๊ยวเซปเปลินาย (CEPELINAI) ประเทศลิธัวเนีย

14. สโตรปวาฟเฟิล (STROOPWAFEL) ประเทศเนเธอร์แลนด์

สโตรปวาฟเฟิลของเนเธอร์แลนด์ค่อนข้างแตกต่างจากวาฟเฟิลของเบลเยี่ยมพอสมควร เพราะวาฟเฟิลที่นี่จะเป็นวาฟเฟิลที่เหมือนแซนวิช มีน้ำเชื่อมคาราเมลเป็นไส้ตรงกลางบาง ๆ นำวาฟเฟิล 2 ชิ้นประกับเข้าด้วยกัน พร้อมใส่ท้อปปิ้งอย่างน้ำผึ้ง ผลเบอร์รี่และช็อกโกแลต สโตรปวาฟเฟิลมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ขนมรังผึ้ง เพราะรูปร่างภายนอกที่คล้ายรังผึ้ง คนเนเธอแลนด์มักจะทานสโตรปวาฟเฟิล พร้อมด้วยชาร้อน ๆ ก่อนที่จะเริ่มมื้ออาหารเช้า

อาหารยุโรป : สโตรปวาฟเฟิล (STROOPWAFEL) ประเทศเนเธอร์แลนด์

15. เกี๊ยวครึ่งวงกลม (PIEROGI) ประเทศโปแลนด์

Pierogi หรือเกี๊ยวขนาดครึ่งวงกลมที่ทำจากเส้นโด เป็นอาหารประจำชาติของชาวโปแลนด์ โดยปกติแล้ว Pierogi จะยัดไส้ด้วยนมสด มันฝรั่งต้มและหัวหอมทอด นอกจากนี้ยังสามารถใส่กระหล่ำปลีเปรี้ยว เนื้อบด และชีสเข้าไปในไส้ได้อีกด้วย ถ้าใครอยากไปลองชิม Pierogi แนะนำให้ไปช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี เพราะจะมีเทศกาล Pierogi ซึ่งชาวโปแลนด์จะมาออกร้านขาย Pierogi กันอย่างครึกครื้น

อาหารยุโรป : เกี๊ยวครึ่งวงกลม (PIEROGI) ประเทศโปแลนด์

16. ทาร์ตไข่โปรตุเกส (PASTEIS DE NATA)

หลาย ๆ คนคงเคยลองทานทาร์ตไข่กันแล้ว แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าทาร์ตไข่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโปรตุเกส ทาร์ตไข่ หรือที่ชาวโปรตุเกสเรียกว่า Pastel de nata ทำมาจากแป้งกรุเป็นขอบแล้วเทไข่ผสมน้ำตาลหยอดในตัวขนม จากนั้นจึงนำไปอบอีกที ทาร์ตไข่มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 19 จากโบสถ์คาทอลิกในเมืองลิสบอน เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี บาทหลวงจึงได้คิดค้นเมนูทาร์ตไข่ขึ้นมาเพื่อขายให้แก่ชาวเมือง และหารายได้เข้าโบสถ์ ถ้ามาถึงโปรตุเกสแล้ว ไม่ได้ลองทานทาร์ตไข่เท่ากับมาไม่ถึงนะคะ ^^

อาหารยุโรป : ทาร์ตไข่โปรตุเกส (PASTEIS DE NATA)

17. กะหล่ำปลีห่อ (CABBAGE ROLLS) ประเทศโรมาเนีย

กะหล่ำปลีห่อเรียกในภาษาโรมาเนียว่า “Sarmale” ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นประจำชาติของชาวโรมาเนีย ถ้าไปเที่ยวที่โรมาเนียแล้ว จะพบเห็นได้ทั่วไปตามภัตตาคารและร้านข้างทาง กะหล่ำปลีห่อไส้ในจะประกอบไปด้วยชิ้นเนื้อ ข้าว เครื่องเทศ และห่อด้วยใบกะหล่ำปลี นำไปต้มในน้ำซอสสูตรพิเศษหลายชั่วโมง เพื่อให้กะหล่ำปลีนุ่มและน่ารับประทานยิ่งขึ้นค่ะ

อาหารยุโรป : กะหล่ำปลีห่อ (CABBAGE ROLLS) ประเทศโรมาเนีย

18. ปาเอญ่า (PAELLA) ประเทศสเปน

ปาเอญ่า อาหารประจำชาติของชาวสเปน คือข้าวผัดหรือข้าวอบสไตล์สเปนที่ใช้ข้าวสารดิบ ๆ ปรุง โดยเมล็ดข้าวที่ใช้ในการปรุงจะมีลักษณะเป็นเม็ดอ้วนป้อม ๆ คล้ายกับข้าวญี่ปุ่นอยู่สักหน่อย นิยมใส่เนื้อไก่และซีฟู้ดอย่างกุ้ง หอย ปลาหมึก โดยเริ่มจากผัดเนื้อสัตว์กับเครื่องเทศจากนั้นปรุงข้าวกับน้ำซุปต้มกระดูกจนได้ที่แล้วตกแต่งหน้าด้วยกุ้งและหอยตัวอ้วน ๆ น่ารับประทาน ข้าวผัดสเปนจะมีเนื้อสัมผัสกรุบ ๆ ไม่เหมือนกับข้าวผัดที่ใช้ข้าวปรุงสุก

อาหารยุโรป : ปาเอญ่า (PAELLA) ประเทศสเปน

19. ซุปบัลกาเรีย (SOUP) ประเทศบัลกาเรีย

ซุปเป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันของคนบัลกาเรีย แต่ “ซุป” ของบัลกาเรีย อาจไม่เหมือนที่ไทยเท่าไหร่นะคะ เพราะเราอาจคุ้นชินกับซุปน้ำใสที่ผ่านการเคี่ยวเป็นเวลานาน แต่ที่บัลกาเรีย ซุปจะทำจากส่วนผสมของโยเกิร์ตเป็นหลัก ใส่แตงกวา กระเทียม ผักชี และวอลนัทเข้าไป ถ้าอยากรู้ว่าซุปที่ทำจากโยเกิร์ตจะเป็นอย่างไร ไปบัลแกเรียแล้ว ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยค่ะ

อาหารยุโรป : ซุปบัลกาเรีย (SOUP) ประเทศบัลกาเรีย

20. ฟองดูต์ (FONDUE) ประเทศสวิซเซอร์แลนด์

ถ้าพูดถึงประเทศสวิซเซอร์แลนด์แล้ว ชีสสวิสต้องเป็นอาหารอย่างแรกที่จะนึกถึงแน่ๆ เพราะที่นี่ มีชีสให้เลือกรับประทานมากมายหลากหลายชนิด ฟองดูต์คือการตั้งหม้อที่มีไฟร้อน ๆ แล้วนำชีสมาละลายลงไปในหม้อ จากนั้นนำขนมปังและเนื้อสัตว์จุ่มลงไป ซึ่งฟองดูต์ถือเป็นอาหารประจำชาติของชาวสวิสเลยก็ว่าได้ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ฟองดูต์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ความสามัคคีของชาวสวิสอีกด้วยค่ะ

อาหารยุโรป : ฟองดูต์ (FONDUE) ประเทศสวิซเซอร์แลนด์

เป็นไงบ้างค่ะ กับ 20 เมนูอาหารจานเด็ดของแต่ละประเทศในทวีปยุโรป อ่านเสร็จแล้ว หิวข้าวเลยใช่ไหมค่ะ เมนูอาหารประจำชาติที่เราพาไปดูในครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติความอร่อยเท่านั้นนะคะ แต่ยังแฝงไปด้วยวัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศอย่างช้านาน การไปลิ้มรสชาติและสัมผัสอาหารประจำชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เราเข้าใจ และเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ได้เร็วยิ่งขึ้นค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : The Best Traditional Food in 30 European Countries

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

พาลูกขึ้นเครื่องบินอย่างไร ให้ราบรื่นตลอดทาง

เมื่อต้องเดินทางไกลไปต่างประเทศ การเดินทางด้วยเครื่องบินนับเป็นวิธีการเดินทางที่รวดเร็วและสะดวกที่สุด แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องพาลูกน้อยขึ้นเครื่องบินด้วยแล้ว หลายท่านอาจเกิดความกังวลใจขึ้นมาว่าลูกน้อยจะสร้างความรำคาญให้แก่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ แถมการเดินทางด้วยเครื่องบินอาจทำให้ลูกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกด้วยค่ะ วันนี้ Allianz Travel มีเคล็ด (ไม่) ลับ ในการพาลูกขึ้นเครื่องบินให้ราบรื่นมาฝากค่ะ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง มีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

ข้อควรรู้ก่อนพาลูกออกเดินทาง

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเด็กขึ้นเครื่องบินได้ตั้งแต่อายุกี่เดือน หรือกี่ขวบ และมีค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง บางคนอาจเข้าใจผิดว่า ต้องรอให้ลูกอายุครบหนึ่งหรือสองขวบก่อน ถึงจะขึ้นเครื่องบินได้ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว บางสายการบินอนุญาตให้เด็กทารกที่มีอายุตั้งแต่ 14 วันขึ้นไปสามารถขึ้นเครื่องบินได้ แต่บางสายการบินอาจอนุญาตให้เพียงแค่ 7 วัน ก็ขึ้นเครื่องบินได้แล้วค่ะ นอกจากนี้ ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง 2 ปีบริบูรณ์ ส่วนใหญ่แล้วสายการบินจะอนุญาตให้นั่งตักผู้โดยสารผู้ใหญ่ได้ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อที่นั่งเพิ่มอีกที่ แต่อาจเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเล็กน้อย ขณะที่ถ้าเป็นเด็กอายุ 2 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป จะมีอัตราค่าโดยสารเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ หรือบางสายการบินก็จะคิดอัตราพิเศษค่ะ

เมื่อรู้แล้วว่าอายุเท่าไหร่ถึงขึ้นเครื่องบินได้ และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มไหม ก็ถึงเวลามาดู 5 เคล็ด (ไม่) ลับพาลูกขึ้นเครื่องบินกันค่ะ

1.เลือกไฟลท์บินใกล้เคียงเวลานอนเด็ก

เคล็ดลับง่าย ๆ เลยสำหรับการพาลูกขึ้นเครื่องบินก็คือการเลือกไฟลท์บินให้ใกล้เคียงกับเวลานอนของลูกให้ได้มากที่สุด เช่น ถ้าปกติลูกนอนเวลาสามทุ่ม ก็ควรเลือกเที่ยวบินให้ใกล้เคียง อาจจะก่อนสามทุ่มเล็กน้อย เผื่อเวลาให้เครื่องบินผ่านการปรับความกดอากาศก่อน จะได้ไม่มีเสียงรบกวนหรือหูอื้อที่อาจทำให้ตื่นกลางคัน

2.เลือกที่นั่งให้เหมาะกับเด็ก

การเลือกที่นั่งบนเครื่องบินเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเลือกที่นั่งในช่วงการจองตั๋ว แนะนำให้เลือกที่นั่งติดริมทางเดิน ที่นั่งใกล้ห้องน้ำ หรือที่นั่งที่สามารถยืดขาได้และไม่มีเก้าอี้แถวด้านหน้า การเลือกที่นั่งเหล่านี้ จะไม่เป็นการรบกวนผู้โดยสารคนอื่น ๆ ถ้าหากต้องลุกมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อย หรือถ้าต้องลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ นอกจากนี้ บางสายการบินจะมีที่นั่งแนะนำให้คุณแม่ที่เดินทางกับลูกน้อยโดยเฉพาะด้วยค่ะ

3.เตรียมของใช้ที่จำเป็น

เมื่ออยู่บนเครื่องบินแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับลูกน้อย สิ่งของเหล่านี้ต้องพกติดตัวขึ้นเครื่องบิน ไม่ควรโหลดใต้ท้องเครื่อง สิ่งของจำเป็นที่ต้องเตรียม อาทิ ขวดนม นมผง น้ำร้อน ผ้าอ้อม แพมเพิร์ส ทิชชู่เปียก และที่สำคัญคือ ถุงพลาสติก สำหรับเหตุฉุกเฉินเมื่อลูกเกิดการอาเจียนและอ้วกบนเครื่องบินเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศระหว่างเครื่องกำลังขึ้น นอกจากนี้ ควรพกพวกของเล่นเด็กไปด้วย เผื่อลูกไม่หลับ และเบื่อกับการนั่งเครื่องนาน ๆ อย่างน้อย การมีของเล่นสักชิ้น สองชิ้น ก็คลายเบื่อ และทำให้ลูกไม่งอแงได้แล้วค่ะ

4.เตรียมของกินไม่ให้เด็กหิว

อีกเคล็ดลับที่สำคัญมาก ๆ คือ อย่าปล่อยให้ลูกหิวเด็ดขาด เพราะถ้าหิวขึ้นมาแล้วละก็ งอแงและร้องลั่นเครื่องแน่ ๆ เราสามารถเตรียมพร้อมเรื่องนี้ได้ โดยการเตรียมนมและอาหารให้เพียงพอและตรงตามเวลาที่ลูกกินเป็นประจำ โดยของเหลวทั้งอาหารและนมของเด็ก สายการบินอนุญาตให้ถือขึ้นเครื่องได้ค่ะ
เมื่อพูดถึงเรื่องกินแล้ว อีกเรื่องที่ควรระวังมาก ๆ คือ ไม่ควรให้เด็กกินอิ่มเกินไปก่อนขึ้นเครื่องหรือระหว่างอยู่บนเครื่อง เพราะอาจอาเจียนได้

5.เตรียมรับมือกับแรงกดอากาศ

เรื่องสุดท้ายที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ก็คือ อาการหูอื้อจากแรงกดอากาศขณะเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและกำลังลงจอดบนรันเวย์ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเรายังมีอาการหูอื้อเลย เพราะฉะนั้นแล้วเด็ก ๆ ต้องเตรียมการรับมือเป็นพิเศษ โดยวิธีป้องกันอาการหูอื้อมีด้วยกันหลายวิธี วิธีแรกคือการใช้ที่อุดหู (ตามร้านอุปกรณ์กีฬา) อีกวิธีคือการให้ เด็ก ๆ ดื่มน้ำ นม หรือทานอาหารระหว่างที่เครื่องบินขึ้นและลง ถ้าเด็กกินอาหารไม่ลง ก็ลองเปลี่ยนให้ทานขนมขบเคี้ยวดู เพราะการทานอาหาร ขนมหรือน้ำ ทำให้เด็กต้องกลืนน้ำลายซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการหูอื้อได้ค่ะ

เพื่อที่จะให้การเดินทางราบรื่นตลอดไฟล์ท การวางแผนพาลูกขึ้นเครื่องบินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพียงทำตาม 5 เคล็ด (ไม่) ลับที่แนะนำไป แค่นี้ก็สามารถคลายกังวลได้แล้วค่ะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เรียนต่อต่างประเทศอย่างอุ่นใจ ด้วยประกันภัยการเดินทาง OVERSEAS STUDENT CARE

เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนเป็นช่วงเวลาเตรียมตัวสมัครสอบสำหรับคนที่อยากไปศึกษาต่อต่างประเทศ และต้องเตรียมสิ่งที่จำเป็นอีกหลายอย่างในการเดินทางไปศึกษาต่อ ไม่ว่าจะเป็นการขอวีซ่านักเรียน ติดต่อที่พัก ซื้อตั๋วเครื่องบิน และสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลย ก็คือ หาประกันภัยการเดินทางที่มีความคุ้มครองครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่ศึกษาต่อต่างประเทศ เพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มักแนะนำให้ทำประกันภัยการเดินทางไปด้วย ซึ่งสาเหตุก็เพราะว่าหลายประเทศไม่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุมนักศึกษาต่างชาติ ดังนั้นหากเจ็บป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว เราก็อาจเสียค่าใช้จ่ายมากมายตั้งแต่หลักหมื่นไปยันหลักล้าน Allianz Travel จึงขอนำเสนอแผนประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care ที่พร้อมเคียงข้างคุณในทุกช่วงเวลาของการเรียนรู้

OVERSEAS STUDENT CARE

Overseas Student Care เป็นแผนประกันภัยการเดินทางที่เหมาะสำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพก่อน แผน Overseas Student Care มอบความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเรียนรู้และการใช้ชีวิต ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทุกเหตุการณ์ที่คุณไม่คาดคิด ทั้งอุบัติเหตุและสุขภาพ คุณสามารถใช้ได้กับทุกโรงพยาบาล และเครือข่ายช่วยเหลือฉุกเฉินทั่วโลกที่ให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยทีมงานที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา ที่พร้อมเป็นสื่อกลาง เพื่อความอุ่นใจของนักเรียนและผู้ปกครองในยามห่างไกล ที่สำคัญ เมื่อผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วยกะทันหันระหว่างเรียน แผน Overseas Student Care ก็มอบความคุ้มครองชดเชยการสูญเสียค่าเล่าเรียนด้วย นอกจากนี้ยังมีผลประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อความอุ่นใจที่มากขึ้น เช่น การสูญหายหรือความเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัวในระหว่างการใช้บริการของบริษัทขนส่งสาธารณะ

การทำประกันภัยการเดินทางก่อนไปศึกษาต่อต่างประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงแม้ว่าเราจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยได้เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย ๆ หรือดูแลตัวเองเพียงพอแล้ว ไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร และคิดว่าประกันภัยการเดินทางไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ต้องเสียเงินซื้อเลย แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ การทำประกันภัยการเดินทางด้วยเงินไม่กี่บาท ก็คุ้มค่ากับผลประโยชน์มากมายที่เราจะได้รับ กันไว้ก่อนแก้ แค่นี้ก็อุ่นใจ เรียนได้อย่างหายห่วงแล้วค่ะ

สิทธิประโยชน์สุดคุ้ม OVERSEAS STUDENT CARE

  • ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุและเจ็บป่วยในต่างประเทศ สูงสุด 5,500,000 บาท*
  • ค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย (ภายใน 12 ชั่วโมง) สูงสุด 550,000 บาท*
  • ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย กรณีเดินทางกลับบ้านเป็นการชั่วคราว สูงสุด 200,000 บาท*
  • การเคลื่อนย้ายฉุกเฉินทางการแพทย์ สูงสุด 5,500,000 บาท*
  • ผลประโยชน์ชดเชยการสูญเสียค่าเล่าเรียน สูงสุด 300,000 บาท*
  • ชดเชยค่ารักษาพยาบาล ไม่ต้องสำรองจ่าย
  • ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ*
  • คุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง
  • มีเครือข่ายให้ความช่วยเหลือมากกว่า 400,000 แห่งทั่วโลก
  • ดูแลคุณได้ทันที อุ่นใจเหมือนอยู่บ้าน

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

พิเศษสุด ! ซื้อวันนี้ รับฟรี บัตรกำนัล STARBUCKS มูลค่า 1,200 บาท หมดเขต 30 เม.ย. 2563

ลงทะเบียนรับสิทธิ์ คลิกเลย

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เจ็บป่วยที่สหรัฐอเมริกา เสียค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่?

สำหรับคนที่กำลังวางแผนไปประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเพื่อเที่ยว ทำงาน เรียนต่อ หรือวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม เรื่องสุขภาพคงเป็นเรื่องหนึ่งที่กำลังกังวลใจอยู่แน่ ๆ เพราะถ้าเจ็บป่วยขึ้นมาแล้ว ค่ารักษาพยาบาลคงไม่ใช่น้อยๆ วันนี้ Allianz Travel จึงขอพาผู้อ่านมาทำความรู้จักเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เจ็บป่วยต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่ ตามไปดูกันเลยค่ะ

ระบบประกันสุขภาพสหรัฐอเมริกา

ก่อนอื่นเลย เรามาทำความรู้จักระบบประกันสุขภาพของประเทศสหรัฐอเมริกากันก่อน โดยพื้นฐานแล้วที่นี่จะไม่มีหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (Universal Healthcare) เหมือนที่ประเทศไทยค่ะ ประกันสุขภาพที่รัฐบาลมีให้มีเพียงสองโครงการเท่านั้นคือ Medicare และ Medicade โดย Medicare จะเป็นหลักประกันสังคมที่คุ้มครองผู้สูงอายุที่เกษียณ และอายุ 65 ปีขึ้นไปเท่านั้น โดยจะได้รับความคุ้มครองทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และอื่นๆ ก็ต่อเมื่อเคยทำงานและจ่ายเงินสมทบ 10 ปีขึ้นไป ส่วนคนที่ทำงานและจ่ายเงินสมทบไม่ถึง 10 ปี ก็ต้องออกค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มเติม ขณะที่โครงการ Medicade จะเป็นประกันสำหรับคนยากจนเท่านั้น โดยมีรัฐบาลส่วนกลาง มลรัฐ และท้องถิ่นร่วมกันออกค่าใช้จ่ายให้ และมลรัฐมีหน้าที่บริหารจัดการโครงการนี้ การจะได้รับคัดเลือกให้เข้าสู่โครงการ จะใช้เกณฑ์รายได้เป็นตัวตั้ง ซึ่งแต่ละมลรัฐก็จะมีเกณฑ์แตกต่างกันไป รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ครอบคลุมก็จะแตกต่างกันไปด้วยค่ะ

สรุปแล้ว หลักประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียงคนยากจนและผู้สูงอายุเท่านั้น ส่วนวัยทำงาน หรือบุคคลทั่วไป จะไม่มีระบบประกันสุขภาพให้ ประชาชนทั่วไปต้องซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทเอกชนตามกำลังและรายได้ของตนเอง และค่าประกันอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณในการรักษาพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับคนไทยที่กำลังเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเพื่อเที่ยว ศึกษาต่อ หรือทำธุรกิจต่าง ๆ ค่ารักษาพยาบาลไม่ได้แตกต่างจากคนท้องถิ่นมากนัก ด้านล่างนี้คือค่าใช้จ่ายโดยประมาณสำหรับการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

  1. เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 16,000 บาท หรือ 500 ดอลลาร์สหรัฐ
  2. พบแพทย์ฉุกเฉิน ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 4,800 – 96,000 บาท หรือ 150 – 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  3. นอนโรงพยาบาล 1 คืน ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 160,000 บาท หรือ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  4. พบแพทย์ทั่วไป ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 3,200 – 6,400 บาท หรือ 100-200 ดอลลาร์สหรัฐ
  5. MRI ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 32,000 – 160,000 บาท หรือ 1,000 – 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  6. X-ray ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 4,800 – 96,000 บาท หรือ 150 – 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  7. ตรวจเลือด ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 3,200 – 96,000 บาท หรือ 100 – 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  8. แขนหัก ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 16,000 บาท หรือ 500 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าต้องผ่าตัดเริ่มที่ 224,000 – 320,000 บาท หรือ 7,000 – 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  9. ขาหัก ค่าใช้จ่ายเริ่มที่ 80,000 บาท หรือ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าต้องผ่าตัดเริ่มที่ 544,000 – 1,120,000 บาท หรือ 17,000 – 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ

จากรายการข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าค่ารักษาพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าแพงเอาเรื่องเลยค่ะ เมื่อเทียบกับประเทศไทยหรือประเทศอื่น ๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่คุณภาพและความเชี่ยวชาญในการรักษาพยาบาลสูง ทำให้ต้องจ่ายค่าบุคคลากรทางการแพทย์แพง และค่ายาที่นี่ก็แพงเช่นเดียวกัน เมื่อเจ็บป่วย เข้ารับการรักษา จึงทำให้เสียค่าใช้จ่ายแพงค่ะ

หลายคนคงสงสัยว่า ถ้าค่ารักษาพยาบาลแพงแบบนี้ มีทางเลือกอื่นที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไหม ? คำตอบก็คือ ถ้าเป็นบุคคลทั่วไป นักท่องเที่ยว หรือนักศึกษาที่ไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาชั่วคราว ประกันภัยการเดินทางสำหรับท่องเที่ยวหรือศึกษาต่อ ถือเป็นตัวเลือกน่าสนใจที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ เพราะเพียงทำประกันภัยการเดินทางเพียงหลักร้อยหรือหลักพัน ก็ได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลหลักล้านแล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูล
How Much Does Healthcare Cost in the USA
ระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศไทยและสหรัฐฯ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

7 มหาวิทยาลัยยอดนิยมในอังกฤษ ที่ใครก็อยากไปศึกษาต่อ

มหาวิทยาลัยในอังกฤษถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกต้น ๆ สำหรับนักศึกษาที่อยากศึกษาต่อต่างประเทศ เนื่องด้วยความมีชื่อเสียงทางด้านวิชาการ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมเก่าแก่ รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มีให้อย่างครบครัน ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยในอังกฤษมีมากกว่า 100 แห่ง ทั้งของรัฐบาลและเอกชน บทความนี้ Allianz Travel จึงขอพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ 7 มหาวิทยาลัยยอดนิยมในอังกฤษ ที่หลายคนสนใจอยากสมัครไปศึกษาต่อ จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

1.UNIVERSITY OF OXFORD

ปีก่อตั้ง : 1096

สาขาที่มีชื่อเสียง : แพทยศาสตร์, นิติศาสตร์, วรรณกรรม, ปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดนับเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มก่อตั้งและทำการสอนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1096 มหาวิทยาออกซ์ฟอร์ดมีวิทยาลัยย่อยถึง 44 วิทยาลัย เปิดสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอก รวมกันประมาณ 24,000 คน และในแต่ละปี มีผู้สมัครสอบระดับปริญญาตรีราว 21,500 คน ขณะที่จำนวนรับเพียง 3,330 คนเท่านั้น

ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดมีห้องสมุดให้นักศึกษาเข้ามาใช้งานมากกว่า 100 ห้องสมุด และห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดของมหาวิทยาลัย ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1602 ภายในมหาวิทยาลัย ยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ซึ่งจัดแสดงกระดานดำที่ใช้โดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ปัจจุบัน ผู้นำโลกมากกว่า 30 คน นายกรัฐมนตรีอังกฤษมากกว่า 27 คน และผู้ได้รับรางวัลโนเบลอีก 50 คน เคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผลงานทางวิชาการ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กลายเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลก และอันดับหนึ่งของเกาะอังกฤษ ซึ่งนักศึกษาจากนานาประเทศต่างก็อยากมาเรียนที่นี่กันค่ะ

2.CAMBRIDGE UNIVERSITY

ก่อตั้งปี : 1209

สาขาที่มีชื่อเสียง : คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์, วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, นิติศาสตร์, มานุษยวิทยา, ประวัติศาสตร์

เช่นเดียวกับออกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ถือเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเคมบริดจ์ก่อตั้งและเปิดสอนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1209 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีนักเรียนกว่า 23,000 คน มีวิทยาลัยถึง 31 วิทยาลัย และมีภาควิชาที่เปิดสอนมากกว่า 100 ภาควิชา

มหาวิทยาเคมบริดจ์มีชื่อเสียงในระดับโลกด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และฟิสิกส์ มีศิษย์เก่า ที่มีชื่อเสียงด้านนี้มากมาย อาทิ Stephen Hawking และ Charles Darwin ในภาพรวม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีศิษย์เก่า คณะอาจารย์ หรือผู้ทำวิจัยได้รับรางวัลโนเบลถึง 117 คน

3.KING’S COLLEGE LONDON

ปีที่ก่อตั้ง : 1829

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : แพทยศาสตร์, พยาบาลศาสตร์, วิทยาศาสตร์

มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1829 โดยพระเจ้าจอร์จที่ 4 และดยุคแห่งเวลลิงตัน ปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 32,895 คน แบ่งเป็นระดับปริญาตรี 19,200 คน และระดับอื่น ๆ อีก 13,690 คน คิงส์คอลเลจ ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างมากด้านแพทยศาสตร์ ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนกลับไปถึงปีค.ศ. 1561 ที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 12 คน ล้วนได้รับจากสาขาที่เกี่ยวข้องกับแพทยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ อาทิ รางวัลโนเบลจากการวิจัยโครงสร้าง DNA, สเต็มเซลล์ และไวรัสตับอักเสบซี เป็นต้น

4.LONDON SCHOOL OF ECONOMICS

ปีที่ก่อตั้ง : 1895

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : รัฐศาสตร์, สังคมศาสตร์, เศรษฐศาสตร์

สำหรับใครที่อยากศึกษาต่อด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ในประเทศอังกฤษ London School of Economics (LSE) ถือเป็นสถาบันอันดับต้น ๆ ที่อยู่ในใจของหลายคน LSE ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1895 ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 10,000 คน และประมาณร้อยละ 70 เป็นนักเรียนต่างชาติ ซึ่งนับว่ามีอัตราส่วนที่สูงสำหรับมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ

ในส่วนผลงานทางวิชาการ ร้อยละ 26 ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ล้วนเป็นศิษย์เก่า ผู้ทำวิจัย หรือคณะอาจารย์ที่ LSE ซึ่งมีจำนวนสูงมาก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยระดับโลกอื่น ๆ

5.IMPERIAL COLLEGE LONDON

ปีที่ก่อตั้ง : 1907

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, แพทยศาสตร์, บริหารธุรกิจ

มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโลก มหาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อปี 1907 ปัจจุบันมีนักเรียนเข้าศึกษาราว 18,000 คน โดยมากกว่าร้อยละ 59 เป็นนักศึกษาต่างชาติ กว่า 140 ประเทศ

ในปี 2020 มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับ 9 ของมหาวิทยาลัยโลกที่มีชื่อเสียง นับตั้งแต่ก่อตั้งมา มีผู้ได้รับรางวัลโนเบล 14 คน

6.UNIVERSITY COLLEGE OF LONDON

ปีที่ก่อตั้ง : 1826

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : แพทยศาสตร์, นิติศาสตร์, เศรษฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยคอลเลจออฟลอนดอน นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่อันดับสามของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1826 และนับว่าเป็นมหาวิทยาลัยแรกของประเทศ ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงสามารถเข้าเรียนได้ ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมีนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ราว 40,000 คน และกว่าร้อยละ 40 เป็นนักศึกษาต่างชาติ

ด้านผลงานทางวิชาการ มหาวิทยาลัยคอลเลจออฟลอนดอน มีผู้ได้รับรางวัลโนเบลถึง 33 คน ซึ่งเป็นศิษย์เก่า คณะอาจารย์และผู้ทำวิจัย ในปี 2020 มหาวิทยาลัยได้รับการคัดเลือกอันดับ 10 ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก

7.UNIVERSITY OF EDINBURGH

ปีที่ก่อตั้ง : 1582

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : วิทยาศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์, แพทยศาสตร์

มหาวิทยาลัยเอดินบะระ เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในสกอตแลนด์ ก่อตั้งเมื่อปี 1582 และถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของสกอตแลนด์ ปัจจุบันมีนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ ราว 36,000 คน โดยประมาณร้อยละ 25 เป็นนักเรียนชาวต่างชาติ

มหาวิทยาลัยเอดินบะระ มีทั้งหมด 22 คณะด้วยกัน สาขาวิชาที่มีชื่อเสียงอาทิ แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะด้านแพทยศาสตร์ เพราะที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบยาชาและเพนิซิลลิน สำหรับใครที่เบื่ออยู่ในลอนดอนแล้ว เอดินบะระก็นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ

การศึกษาต่อต่างประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญต่ออนาคต ดังนั้นจึงควรคิดให้รอบคอบ ไม่เพียงแต่พิจารณาจากความนิยมของมหาวิทยาลัย ยังต้องมองไปถึงสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก และปัจจัยอื่น ๆ ทั้ง 7 มหาวิทยาลัยที่เราแนะนำวันนี้ หวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้ผู้อ่านได้ลองพิจารณาว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เหมาะกับตัวเองหรือเปล่า

และสำหรับใครที่สมัครเรียนและได้รับการคัดเลือกแล้ว หลาย ๆ มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจะแนะนำหรือบังคับให้เราทำประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศไปด้วย สาเหตุที่ต้องทำก็เพราะว่าเมื่อเจ็บป่วย และเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว ค่ารักษาพยาบาลแพงเอาเรื่องเลยค่ะ แผนประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care ของ Allianz Travel ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยคุ้มครองครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ที่ทำให้เรามั่นใจ ไร้กังวล มีความสุขกับการเรียนได้อย่างเต็มที่แล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Top Universities in the UK 2020, QS Top Universities
Best universities in the UK 2020, Times Higher Education

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา