ขับรถเที่ยวอเมริกา: 8 เส้นทาง ROAD TRIPS ที่ห้ามพลาด!

8-american-road-trips

การขับรถท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า Road Trip กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคการท่องเที่ยวแบบ “New Normal” ที่ลดการสัมผัสและเว้นระยะห่างทางสังคม อีกทั้งการขับรถเที่ยวยังได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ และสัมผัสกับธรรมชาติระหว่างทางอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ Allianz Travel เคยพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับเส้นทาง Road Trips ยุโรปไปแล้ว วันนี้ขอเปลี่ยนทวีปมาที่อเมริกากันบ้างค่ะ กับ 8 เส้นทาง Road Trips ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา จะสวยงามน่าขับรถเล่นแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

1. I-15: LAS VEGAS TO SALT LAKE CITY

มาเริ่มที่เส้นทางแรกกันเลยค่ะ กับเส้นทาง I-15 ซึ่งเป็นเส้นทางจาก Las Vegas ไปยังเมือง Salt Lake โดยระยะทางไม่ไกลมากนัก เพียงแค่ 675 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ระหว่างทางที่ขับไป มีวิวทิวทัศน์และสถานที่น่าเที่ยวให้แวะพักเป็นระยะเลยค่ะ โดยถ้าเราเริ่มขับรถจาก Las Vegas มุ่งไปทางเหนือผ่านแกรนด์แคนยอนฝั่งทิศใต้ ผ่านเขื่อนฮูเวอร์ ทะเลสาบ Mead, ทะเลสาบ Powell, อุทยานแห่งชาติ Zion, Antelope แคนยอน และทะเลทรายอริโซน่าซึ่งแต่ละสถานที่ ไม่ได้เพียงแค่ขับรถผ่านเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีทริปให้เที่ยวอีกด้วยค่ะ อาทิ ทริปเรือทะเลสาบ Powell หรือไพรเวททัวร์ที่อุทยานแห่งชาติ Zion เป็นต้น

สำหรับเส้นทางนี้ ควรเผื่อเวลาในการเที่ยวระหว่างทางและแวะค้างแรมประมาณ 4-7 วัน ค่ะ

I-15: LAS VEGAS TO SALT LAKE CITY

2. OVERSEAS HIGHWAY: MIAMI TO KEY WEST

เส้นทางจาก Miami to Key West เป็นเส้นทางขับรถที่สั้นเพียงแค่ 205 กิโลเมตร และใช้เวลาขับไม่ถึง 4 ชั่วโมงเท่านั้น โดยจุดเริ่มต้นจะอยู่ที่ Miami ก่อนที่จะขับรถไปสุดทางที่ Key West ผ่านถนน Upper Keys, Middle Keys และ Lower Keys จุดไฮไลต์สำคัญของทริปนี้ อยู่ที่การขับรถผ่านสะพานข้ามทะเล Seven Mile Bridge ที่จะทำให้เราเห็นวิวทิวทัศน์ทะเลสีฟ้าครามไกลสุดลูกหูลูกตา แค่ขับรถผ่านสะพาน ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้มาแล้วค่ะ

นอกจากนี้ ในระหว่างทางขับรถยังมีกิจกรรมให้แวะทำมากมาย อาทิ การตกปลากับชาวประมงพื้นถิ่น หรือใครที่ชอบเล่นน้ำ ก็มีชายหาดสีขาวให้เดินเล่นกันยาว ๆ ด้วยค่ะ

OVERSEAS HIGHWAY: MIAMI TO KEY WEST

3. PACIFIC COAST HIGHWAY: SAN FRANCISCO TO LOS ANGELES

Pacific Coast Highway เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกจากเหนือสู่ใต้สุดของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมระยะทาง 200 กิโลเมตร เส้นทางเริ่มต้นที่ San Francisco และขับรถลงทางใต้ผ่านเมืองประวัติศาสตร์อย่าง Monterey และชมศิลปะโคโลเนียลที่ Carmel by the Sea ไฮไลต์สำคัญของเส้นทางนี้คือการขับรถบนสะพานข้ามหุบผาเลียบชายฝั่งทะเล ที่จะเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามทั้งภูเขา หุบผาสูงชัน และท้องทะเลค่ะ

สำหรับใครที่ไม่ได้รีบไปไหน ตลอดเส้นทาง มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแวะชมคฤหาสน์ตากอากาศ Hearst Castle, แวะชม Bis Sur State Park, เล่นน้ำและถ่ายรูปกับเหล่าแมวน้ำช้างบนชายหาด และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายค่ะ

PACIFIC COAST HIGHWAY: SAN FRANCISCO TO LOS ANGELES

4. ROUTE 66: ST. LOUIS TO AMARILLO, TEXAS

Route 66 เส้นทางที่ใครหลายคนคงเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้ว “Route 66” เส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวกว่า 3,940 กิโลเมตร ตัดผ่านถนนถึง 8 มลรัฐด้วยกัน จาก East Coast มายัง West Coast โดยเริ่มต้นที่ Chicago และจบเส้นทางลงที่ California

การขับรถเที่ยวบนถนน Route 66 ไม่จำเป็นต้องขับจนจบระยะทาง 3,940 กิโลเมตร เราสามารถเลือกเพียงแค่บางช่วงของถนน และเส้นทางช่วงหนึ่งของ Route 66 ที่เราจะแนะนำก็คือเส้นทางจาก St. Louis ไปยังเมือง Amarillo รัฐ Texas ขับผ่านทะเลสาบ Ozarks และเมืองโอคลาโฮมา รวมระยะทาง 1,100 กิโลเมตร โดยไฮไลต์สำคัญคือการแวะชม Merarnec Caverns ซึ่งเป็นถ้ำธรรมชาติที่มีความยาวกว่า 7 กิโลเมตรค่ะ

ROUTE 66: ST. LOUIS TO AMARILLO, TEXAS

5. THE BLUE RIDGE PARKWAY: AFTON, VIRGINIA, TO CHEROKEE, NORTH CALIFORNIA

The Blue Ridge Parkway เส้นทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้เขียวขจี เส้นทางเริ่มจากรัฐ Virginia ไปยัง North Carolina ขับผ่านหุบเขา Blue Ridge Mountains ซึ่งเชื่อมกันกับอุทยานแห่งชาติ Shenandoah & Great Smoky Mountains ใน North Carolina รวมระยะทางกว่า 804 กิโลเมตร

เส้นทาง The Blue Ridge Parkway มีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การขับผ่านขุนเขาและป่าไม้ตลอดสองข้างทาง โดยตลอดเส้นทาง ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับเป็นอย่างสูง เนื่องจากเส้นทางมีความลาดชันของหุบเขาเป็นระยะ และยังมีหมอกหนาแน่นตลอดทาง โดยปกติแล้วจะจำกัดความเร็วกันอยู่แค่ที่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นค่ะ

THE BLUE RIDGE PARKWAY: AFTON, VIRGINIA, TO CHEROKEE, NORTH CALIFORNIA

6. GREAT RIVER ROAD: MEMPHIS TO NEW ORLEANS

อีกหนึ่งเส้นทางประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวผ่าน 10 รัฐ กับ Great River Road เส้นทางเลียบแม่น้ำ Mississippi ที่มีระยะทางรวมกว่า 3,400 กิโลเมตร Great River Road มีจุดเริ่มต้นที่รัฐ Minnesota และไปจบที่ New Orleans เช่นเดียวกับ Route 66 ที่เราไม่จำเป็นต้องขับทั้งเส้นทาง สามารถเลือกขับแค่บางช่วงได้ โดยช่วงถนนที่เราแนะนำคือ ตั้งแต่เมือง Memphis ไปถึง New Orleans รวมระยะทาง 822 กิโลเมตร ซึ่งตลอดเส้นทางมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ Elvis Presley, พิพิธภัณฑ์ Coca-Cola, พิพิธภัณฑ์ Civil War, พิพิธภัณฑ์ Black History, และ Antebellum House

GREAT RIVER ROAD: MEMPHIS TO NEW ORLEANS

7. OREGON COAST HIGHWAY 101: SEASIDE TO BROOKINGS, OREGON

Oregon Coast Highway 101 เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลที่เริ่มต้นจากเมือง Seaside ไปจบลงที่เมือง Brookings ติดเขตแดน California รวมระยะทาง 584 กิโลเมตร สำหรับสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจระหว่างทางคือ ป่าไม้อายุหลายร้อยปีที่อุทยาน Oswald West State Park และสะพานเก่าแก่ McCullough รวมไปถึงชายหาดทะเลอีกหลายหาดให้นักท่องเที่ยวได้จอดรถแวะเล่นน้ำกันค่ะ

OREGON COAST HIGHWAY 101: SEASIDE TO BROOKINGS, OREGON

8. ROAD TO HANA: KAHULUI TO HANA, HAWAII

เปลี่ยนบรรยากาศจากบนฝั่ง มาขับรถเที่ยวบนเกาะกันบ้างค่ะกับเส้นทาง Road to Hana บนเกาะฮาวาย ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮาวายมุ่งสู่ทางใต้ของเกาะที่เมือง Hana รวมระยะทางเพียงแค่ 104 กิโลเมตรเท่านั้น

สำหรับเส้นทาง Road to Hana ตลอดสองข้างทางจะพบกับวิวทิวทัศน์ทั้งภูเขาและชายหาดตัดสลับกันไปอย่างสวยงาม และยังมีอุทยานป่าไม้หลายจุดให้พักรถแวะชม รวมไปถึงใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูป บนเกาะก็มีจุดพักรถถ่ายรูปสวย ๆ วิวทะเลจากมุมสูงด้วยค่ะ และปิดท้ายทริปด้วยการเดินเล่นชายหาด Black Sand Beach หาดทรายสีดำอันเลื่องชื่อของเกาะฮาวาย

ROAD TO HANA: KAHULUI TO HANA, HAWAII
Hawaiian Sunrise

สำหรับใครที่กำลังวางแพลนไปเที่ยวอเมริกาในช่วงหลังโควิด-19 การขับรถเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยค่ะ เพราะนอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางอย่างเต็มอิ่มแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าการเที่ยวครั้งนี้จะปลอดภัย ห่างไกลจากโควิด-19 ค่ะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
14 Best Road Trips in America

Blog Disclaimer

All content provided on this blog is for informational purposes only. The content of this blog neither makes representations as to the accuracy or completeness of any information on this site, nor is construed as Allianz Travel’s offering of travel insurance, unless explicitly stated. Details of benefits, limits, policy exclusions, terms and conditions of Allianz Travel insurance can be found under Allianz Travel Policy Wording.

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

Comments