8 Beautiful Flower Garden In Europe

เที่ยวยุโรปกับ 8 สถานที่ชมดอกไม้เมืองหนาว

เที่ยวยุโรป เป็นทริปที่ได้รับความนิยมจากคนไทยไม่น้อยเลยทีเดียว โดยส่วนมากแล้ว การจัดเตรียมทริปอาจจะวางแผน เดินทางไปสถานที่สำคัญ หรือแลนด์มาร์คเด่น ๆ ในเมืองหลวง แต่ถ้าหากมีโอกาส Allianz Travel อยากจะพาคุณไปเที่ยวชมทุ่งดอกไม้ในยุโรป เพราะมีความสวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ไปดูกันว่ามีที่ไหนที่น่าสนใจบ้างค่ะ

1. KEUKENHOF TULIP GARDEN, NETHERLANDS

KEUKENHOF TULIP GARDEN, NETHERLANDS

ทุ่งดอกไม้ทิวลิปขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น (เดือนมี.ค.-พ.ค. ของทุกปี) ความอลังการของดอกไม้ ไม่ได้มีเฉพาะดอกทิวลิป แต่ยังมีดอกไม้พรรณอื่นๆ กว่า 7,000,000 ต้น ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวทุกวัย เพราะมีสนามเด็กเล่น, ลานแสดงงานศิลปะ, ซุ้มดอกไม้ ฯลฯ สำหรับใครที่สนใจสามารถเดินทางมาชมดอกไม้ ซึ่งสามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ ไม่ไกลค่ะ จากเมืองอัมสเตอร์ดัม แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ก่อนเดินทาง เนื่องจากจะได้ไม่ต้องไปต่อแถวเข้าคิวซื้อตั๋วนานค่ะ

2. JARDINS DU CHÂTEAU DE VERSAILLES, FRANCE (GARDENS OF VERSAILLES)

JARDINS DU CHÂTEAU DE VERSAILLES, FRANCE (GARDENS OF VERSAILLES)

สวนในประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก ความเป็นมาของสวนนี้มีตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ปี 1661) ประสงค์ให้สร้างสวนแห่งนี้ และให้ความสำคัญเทียบเท่ากับพระราชวังแวร์ซาย เมื่อเรามองภาพสวนจากทางด้านบน จะเห็นว่าสวนมีความสมมาตร และมีรูปทรงของสวนคล้ายกับรูปทรงเรขาคณิต ถือเป็นเอกลักษณ์ของสวนสไตล์ฝรั่งเศสในยุคนี้เลยทีเดียว

3. ROYAL BOTANIC GARDENS, UK

ROYAL BOTANIC GARDENS, UK
Lavender

อีกหนึ่งสวนที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโก เป็นแหล่งรวมพันธุ์ไม้และดอกไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ท้องถิ่น หรือดอกไม้จากต่างประเทศ มีให้เลือกชมหลายโซน นอกจากนี้ในช่วงคริสมาสต์ ที่นี่จะมีการจัดการแสดงดอกไม้ร่วมกับแสงไฟสุดตระการตาด้วย ใครที่อยากไปต้องจองตั๋วล่วงหน้าไว้เลยนะคะ

4. MAINAU ISLAND, GERMANY

MAINAU ISLAND, GERMANY

สถานที่แห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น เกาะแห่งดอกไม้ และยังมีสถานที่ที่รวมศิลปะแบบบาโรก (Baroque) อยู่ด้วยค่ะ จะพบเห็นได้จากตัวปราสาทและการตกแต่งภายในตัวปราสาท มีการจัดแต่งสวนดอกไม้ในสไลต์อิตาเลี่ยนสุดหรู ช่วงที่เหมาะกับการแวะชมดอกไม้ที่นี่ คือ ฤดูร้อน (ในช่วงเดือนเมษายน) นอกจากดอกไม้แล้วยังมีวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบให้ได้ชม และยังมีกิจกรรมทางน้ำให้ร่วมสนุกอีกด้วยค่ะ

5. ROSE GARDEN, SPAIN

ROSE GARDEN, SPAIN

เป็นสวนเก่าแก่ถูกตั้งขึ้นในปี 1955 ที่รวบรวมดอกกุหลาบนานาชนิด ช่วงที่ดอกไม้จะเบ่งบานเต็มที่คือเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และในเดือนพฤษภาคม จะมีการจัดงาน International Rose Villa New Madrid เป็นงานประกวดการจัดดอกไม้ประจำปี เพิ่มสีสันและความสนุกสนานให้กับผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี

6. CHATEAU DE LAEKEN GARDEN, BRUSSELS, BELGIUM

CHATEAU DE LAEKEN GARDEN, BRUSSELS, BELGIUM

Chateau de Laeken Garden หรือเรียกว่า Royal Green House เป็นสวนที่มีความโดดเด่นในเรื่องของตัวอาคารโปร่งแสงทั้งหลัง ที่มีเหล็กและกระจกเป็นส่วนประกอบสำคัญ สำหรับพันธุ์พืชและดอกไม้ของที่นี่ มักจะเป็นพันธุ์ไม้หายากและถูกปลูกตั้งแต่สมัยพระเจ้า Leopald II ใครที่อยากเยี่ยมชมสวนแห่งนี้ ต้องรีบจองนะคะ เพราะที่นี่เปิดให้เข้าชมต่อเนื่องเพียงแค่ 3 สัปดาห์ต่อปีเท่านั้น

7. THE JARDIN ANGLAIS, SWITZERLAND

THE JARDIN ANGLAIS, SWITZERLAND
THE JARDIN ANGLAIS

เป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของเมือง Geneva มีประวัติความเป็นมายาวนาน เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อในปี ค.ศ. 1955 ทางการได้ตกแต่งสวนดอกไม้ที่มีลักษณะเป็นนาฬิกา เรียกว่า “Horloge fleurie” ถือเป็นไฮไลท์หลักของที่นี่ นอกจากนี้ Jardin anglais ยังเป็นสถานที่ปลูกต้นไม้ที่มีอายุมากกว่าร้อยปี และยังเป็นสถานที่จัดนิทรรศการแห่งชาติอีกด้วย

8. LAVENDER FIELD, PROVENCE, FRANCE

LAVENDER FIELD, PROVENCE, FRANCE

ดินแดนสวรรค์สีม่วงขนาดใหญ่ สุดลูกหูลูกตา ของประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ (เดือนมิถุนายน-กรกฏาคม) สวนดอกลาเวนเดอร์แห่งนี้จะพร้อมใจกันเบ่งบาน ต้อนรับนักท่องเที่ยว จากทั่วทุกมุมโลก เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ความงาม ที่มาจากดอกลาเวนเดอร์ด้วย เช่น น้ำหอม, ออยล์, เครื่องสำอาง ฯลฯ

สำหรับใครที่วางแผนไปเที่ยวยุโรป ชมสวนดอกไม้ในหลายๆ ประเทศ ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เพราะวีซ่าเซงเก้นระยะสั้น* (Schengen Visa) เป็นวีซ่าที่ทำให้เราสามารถเดินทางเข้า-ออกได้มากถึง 26 ประเทศทั่วยุโรป และเอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมก่อนขอวีซ่าเชงเก้น คือ ประกันภัยการเดินทาง

Allianz Travel ประภัยการเดินทางที่ได้รับการรับรองจากนานาประเทศ เราพร้อมดูแลคุณตลอด 24 ชม. ให้คุณอุ่นใจไปกับเราในทุกๆ การเดินทางของคุณ

ขอบคุณข้อมูลจาก
9 MOST BEAUTIFUL GARDENS IN EUROPE YOU MUST SEE

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

6 Japanese food in kyushu

ทริปตัวแตก กับ 6 อาหารญี่ปุ่นแนะนำ บนเกาะคิวชู

Allianz Travel จะพามาทำความรู้จักกันก่อนว่า เกาะคิวชู (Kyushu) อยู่ตรงส่วนไหนของญี่ปุ่น? มีอะไรโดดเด่น? น่าท่องเที่ยวบ้าง? รวมถึงเมนูอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อ ที่เราไม่ควรพลาด เมื่อมาถึงที่นี่

เกาะคิวชู หรือภูมิภาคคิวชู ตั้งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น เป็น 1 ใน 4 เกาะหลักของประเทศ ภูมิภาคนี้จะประกอบด้วยทั้งหมด 7 จังหวัด ได้แก่ ฟุกุโอกะ, ซะกะ, นางาซากิ, คุมะโมโตะ, โออิตะ, มิยะซะกิ, คะโงะชิมะ แน่นอนว่ามีหลายจังหวัด ที่เราอาจจะเคยได้ยินชื่อมาแล้วบ้าง เพราะเป็นภูมิภาคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล รวมถึงมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เพราะอยู่ใกล้ภูเขาไฟ ทำให้พืชพรรณ และสิ่งมีชีวิตบนเกาะมีความหลากหลาย ทั้งหมดนี้ เป็นจุดขายของภูมิภาคคิวชูนั่นเองค่ะ

เกาะคิวชู หรือภูมิภาคคิวชู ตั้งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น เป็น 1 ใน 4 เกาะหลักของประเทศ ภูมิภาคนี้จะประกอบด้วยทั้งหมด 7 จังหวัด ได้แก่ ฟุกุโอกะ, ซะกะ, นางาซากิ, คุมะโมโตะ, โออิตะ, มิยะซะกิ, คะโงะชิมะ แน่นอนว่ามีหลายจังหวัด ที่เราอาจจะเคยได้ยินชื่อมาแล้วบ้าง เพราะเป็นภูมิภาคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล รวมถึงมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เพราะอยู่ใกล้ภูเขาไฟ ทำให้พืชพรรณ และสิ่งมีชีวิตบนเกาะมีความหลากหลาย ทั้งหมดนี้ เป็นจุดขายของภูมิภาคคิวชูนั่นเองค่ะ

Kyushu

สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของภูมิภาคนี้ คงหนีไม่พ้น สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟซากุระจิมะ (อยู่ในเขตจังหวัดคะโงะชิมะ) และภูเขาไฟอะโซะที่ยังไม่ดับ (อยู่ในเขตจังหวัดคุมะโมโตะ) อนเซ็ง ที่มีเกือบทุกจังหวัดในเกาะคิวชูนี้ สวนพฤกษาศาตร์ (อยู่ในเขตจังหวัดฟุกุโอกะ ซะกะ นางาซากิ และโออิตะ) และอุโมงค์ดอกวิสทีเรีย สวนคาวาจิ (อยู่ในเขตจังหวัดฟุกุโอกะ) เป็นต้น

นอกจากธรรมชาติอันสวยงามแล้ว เกาะคิวชูยังมีจุดเด่น เรื่องการอยู่ร่วมกันของคนท้องถิ่นและธรรมชาติ มีวัฒนธรรม ประเพณีที่เก่าแก่ อาหารอร่อย และยังมีส่วนของความเจริญของเมืองผสมได้อย่างกลมกลืน

การเดินทาง

หลังจากลงเครื่องบินที่ฟุกุโอกะแล้ว สำหรับใครที่ต้องการเที่ยวครบทุกเมืองในเกาะคิวชู แนะนำให้ซื้อ JR Kyushu Rail Pass เลยค่ะ เพราะว่าสะดวก ใช้งานง่าย และรวดเร็ว ไม่ต้องต่อแถวซื้อตั๋วทุกรอบ ใช้ได้ทั้ง Local train, Limited Express train, Shinkansen (*แล้วแต่ประเภทตั๋ว) ซึ่งตั๋วจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. All Kyushu Area Pass
2. Northern Kyushu Area Pass
3. Southern Kyushu Area Pass

หลังจากซื้อตั๋วรถไฟแล้ว เรามาลุยทริปตัวแตก มองหาอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อในแถบนี้กันค่ะ

1. HAKATA RAMEN

เริ่มที่เมนูเส้นอย่าง “ฮะกะตะ ราเม็ง” เมนูอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อ ที่ไม่ได้โด่งดังเฉพาะภูมิภาคนี้ แต่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น ความอร่อยของเมนูนี้คือ น้ำซุป ที่เคี่ยวจากกระดูกหมูจนได้เป็นสีขาวขุ่น

วิธีการทำน้ำซุปราเม็งที่พิถีพิถัน ต้องใช้เวลาทำยาวนานหลายชั่วโมง เพื่อให้ได้น้ำซุปข้นจนมีลักษณะเป็นครีม และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเมนูนี้ คือ เส้นราเม็ง ที่มีลักษณะเป็นเส้นเล็กและเส้นจะแข็งกว่าราเม็งในภูมิภาคอื่นนิดหน่อย ตกแต่งด้วยหมูชาชูย่าง เนื้อนุ่มแบบสไลด์ งาขาวและต้นหอมซอย ส่วนใหญ่แล้วเมนูนี้ จะหาได้ง่ายในเมืองฮะคะตะ ฟุกุโอกะ

Hakata Ramen

ร้านที่นักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่แนะนำ ได้แก่ ร้านอาหาร Ikkousha ที่มีสาขาทั่วโลกกว่า 60 สาขา และร้านอาหารย่านรถเข็นยะไต (Yatai) ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 450 เยน

2. CHAMPON

“จัมปง” เมนูขึ้นชื่อของจังหวัดนางาซากิ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน หน้าตาของอาหารนี้จะคล้าย ๆ กับบะหมี่ฮกเกี้ยน ส่วนประกอบของจัมปงจะมีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก เส้นบะหมี่ ที่ทำจากแป้งสาลี และน้ำซุปรสชาติกลมกล่อมจากการเคี่ยวกระดูกหมู และโครงไก่เข้าด้วยกัน เนื้อสัตว์และผักในจัมปง ยังนิยมใส่ซีฟู้ด (หอย, ปลาหมึก, กุ้ง) คามาโบโกะ (ลูกชิ้นปลาแบบก้อน) และชิคุวะ (ลูกชิ้นปลาแบบหลอด) ทำให้เมนูนี้ ดูมีสีสันที่น่ารับประทานมากขึ้นเลยทีเดียวค่ะ

Champon

สำหรับนางาซากิจัมปง สามารถไปทานได้ง่ายในจังหวัดนางาซากิ ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 550 เยน

3. MENTAIKO

หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ไข่ปลาพอลล็อค” (ตระกูลเดียวกับปลาค็อต) เป็นอีกหนึ่งเมนูของจังหวัดฟุกุโอกะ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน หากดูตามแผนที่แล้ว จังหวัดฟุกุโอกะมีพื้นที่ใกล้กับเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เป็นที่สังเกตได้ว่าวัฒนธรรมอาหาร มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันมาก

และหลายคนอาจจะสับสนระหว่าง Tarako และ Mentaiko เพราะว่าเป็นเมนูที่ใช้ไข่ปลาตระกูลค็อตเหมือนกัน แต่มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน เนื่องจากวิธีการปรุงไข่ปลาไม่เหมือนกัน นั่นก็คือ Tarako เน้นปรุงกับเกลืออย่างเดียว ส่วน Mentaiko นั้นเน้นปรุงกับเครื่องปรุงรสต่างๆ

Mentaiko

เมนูที่รังสรรค์จาก Mentaiko ที่เป็นที่นิยม คือ Karashi Mentaiko เป็นการปรุงไข่ปลากับเครื่องปรุงและพริก เพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะทานกับข้าวสวย ข้าวปั้นโอนิกิริ ทำเป็นกับแกล้ม หรือใส่ในพาสต้า ก็ได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครที่ได้เยือนฟุกุโอกะ ต้องไม่พลาดที่จะซื้อ Mentaiko เป็นของฝากกลับไปทั้งนั้น

4. YOBUKO SEAFOOD

เนื่องจากเมืองโยบุโกะ จังหวัดซากะนี้ มีพื้นที่อยู่ติดทะเล และมีท่าเทียบเรือประมงที่สำคัญ โยะบุโกะยังมีตลาดเช้าขนาดใหญ่ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นอีกด้วย ใครที่มองหาอาหารซีฟู้ดหรือซาชิมิสดๆ ไม่ควรพลาดที่จะมาตลาดโยบุโกะนะคะ

Yobuko Seafood

เมนูขึ้นชื่อคงหนีไม่พ้นอาหารทะเลสด เมนูที่แนะนำและเป็นที่นิยมมาก คือ ซาชิมิปลาหมึกใส Ika no Ikitzukuri เป็นการหั่นแร่ปลาหมึกตัวเป็น ๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้เราได้ทานเนื้อปลาหมึกที่ยังขยับไปมาอยู่ เพื่อความสดของเนื้อปลาหมึก เคี้ยวแล้วจะรู้สึกกรุบกรอบ หวาน พร้อมละลายในปาก

นอกจากปลาหมึกแล้ว ยังมีอาหารทะเลอื่น ๆ เช่น ไข่หอยเม่น หอยนางรม ฯลฯ ให้เราสามารถเลือกซื้อได้ตามความชอบ ในราคาที่ถูกมากอีกด้วยค่ะ

5. JIGOKU MUSHI

ใครที่เดินทางมาถึงโออิตะ (Oita) ต้องพลาดไม่ได้กับอนเซ็ง เพราะเมืองนี้ได้ขึ้นชื่อว่า เมืองแห่งน้ำพุร้อน เพราะมีจำนวนบ่อน้ำพุร้อนมากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากในส่วนของบ่อน้ำพุร้อนแล้ว เมืองโออิตะยังมีสถานที่เที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย

Jigoku Mushi

แน่นอนว่า เรามาถึงเมืองแห่งบ่อน้ำพุร้อนแล้ว อาหารญี่ปุ่นที่แนะนำ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับน้ำพุร้อน นั่นก็คือ Jigoku Mushi เป็นการนำอาหารทะเล เนื้อสัตว์ ผัก และไข่วางลงบนตะกร้าสาน แล้วนำไปนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนที่มีไอน้ำพุ่งสูง จะช่วยคงความสด และสัมผัสถึงรสชาติที่แท้จริงของอาหารได้เป็นอย่างดี

ใครที่แวะมาแช่อนเซ็งอย่าลืมแวะชิมอาหารพื้นเมืองของโออิตะกันนะคะ

6. CHICKEN NANBAN

เป็นเมนู signature จากจังหวัดมิยาซากิ ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพของเนื้อไก่ เพราะวิธีการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ (free-range) ทำให้ได้เนื้อไก่ที่รสชาติอร่อย ส่งออกไปทั่วญี่ปุ่น

จุดเด่นของเมนูไก่ทอดนันบัน คือ ไก่ทอดที่คลุกด้วยซอสสูตรพิเศษ รสชาติหวานปนเปรี้ยว ราดซอสทาร์ทาร์ด้านบน ที่มีลักษณะเหมือนสลัดผักใส่มายองเนส แต่ว่าในแต่ละร้านก็จะมีสูตรลับของแต่ละคน

Chicken Nanban

ด้วยรสชาติที่อร่อย ถูกใจใครหลาย ๆ คน เมนูไก่ทอดนันบันเป็นที่นิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เราสามารถหาทานได้ง่ายทั่วประเทศญี่ปุ่น ตามร้าน Izakaya แต่อย่างไรก็ตาม ใครที่ตามรสชาติดั้งเดิมก็ต้องมาเยือนจังหวัดมิซายากิสักครั้งนะคะ

อาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อบนเกาะคิวชู ยังมีให้เลือกทานอีกเยอะมาก ^^ ใครที่อยากให้พาไปเที่ยว รีวิวอาหารในภูมิภาคอื่น ๆ ของญี่ปุ่น คอมเมนต์หรือแนะนำกันมาได้เลยนะคะ ที่ Facebook : Allianz Travel – Thailand

หรือใครที่กำลังมองหาประกันภัยการเดินทาง ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องเจ็บป่วย, สัมภาระ, แคนเซิลไฟล์ทบิน ฯลฯ สำหรับทริปท่องเที่ยวต่างประเทศ เราขอเสนอ Allianz Travel ประกันภัยการเดินทางที่ทำให้คุณอุ่นใจ ไร้กังวล เพราะเราพร้อมดูแลคุณตลอด 24 ชม.

ขอบคุณข้อมูลจาก
Kyushu Food Guide: 8 Wonders of Japan’s Southwest Coast

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

มหาวิทยาลัยยอดนิยม ของนักศึกษาต่างชาติใน UK

10 มหาวิทยาลัยยอดนิยมของนักศึกษาต่างชาติใน UK

สหราชอาณาจักร(The United Kingdom: UK) อันประกอบไปด้วย อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ นั้นเป็นจุดหมายปลายทางในการไปศึกษาต่อต่างประเทศที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองของโลกจากนักศึกษาทั่วโลกเลยนะคะ ใน UK มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 460,000 คนในแต่ละปีเลยทีเดียว โดยในประเทศไทยของเรานั้น UK ถือเป็นตัวเลือกลำดับแรกๆ ที่นักศึกษาเลือกที่จะไปศึกษาต่อ ทั้งด้านภาษาการไปฝึกสำเนียงภาษาแบบผู้ดีอังกฤษ ไปจนถึงทางด้านวิชาการที่มีหลากหลายศาสตร์ และมีชื่อเสียง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของ UK ถือเป็นต้นแบบของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเลยนะคะ

วันนี้ Allianz Travel จะพาทุกคนไปพบกับ 10 มหาวิทยาลัยยอดนิยมของนักศึกษาต่างชาติที่นิยมไปศึกษาต่อใน UK กันค่ะ

1. มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด (UNIVERSITY OF OXFORD)

แห่งแรกที่เราจะแนะนำ คือ มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด ค่ะ ตั้งอยู่ใน เมืองอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร และเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีอายุไม่น้อยกว่า 800 ปี เลยทีเดียวค่ะ โดดเด่นในด้าน อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ กฎหมาย และงานวิจัยต่างๆ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูง มีการเรียนการสอนที่เข้มข้น และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด (UNIVERSITY OF OXFORD)

Times Higher Education (THE) ประกาศผลการจัดอันดับ Times Higher Education World University Rankings ให้ อ๊อกซฟอร์ด เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกในปี 2019 ซึ่งมีนักศึกษาถึง 97% ได้งานทันทีหลังจบการศึกษา ศิษย์เก่าของ Oxford กลายเป็นผู้นำระดับนานาชาติจำนวนมาก เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษถึง 27 คน ได้รับรางวัลโนเบล 50 คน และได้รับเหรียญรางวัลโอลิมปิกถึง 120 คน ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดหลายคนได้ช่วยสร้างคุณประโยชน์แก่โลกมากมาย ยกตัวอย่างเด่นๆ เช่น เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในอังกฤษ เป็นผู้เข้าร่วมในคณะนักบวชเพียวริแตน ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในอเมริกา ศิษย์เก่าอ๊อกซฟอร์ดคือ เจเรมี เบนทัม ผู้นำปรัชญาประโยชน์นิยมซึ่งเคยศึกษาที่วิทยาลัยควีนส์ ในอ๊อกซฟอร์ดเป็นผู้ก่อตั้ง University College London ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ มหาวิทยาลัยลอนดอน ในอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทยเราเองที่ทรงปรับรูปแบบการศึกษาแบบเดิมของไทย โดยเกิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เดิมเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก ก็เพราะทรงได้รับอิทธิพลความคิดจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดค่ะ

มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด (UNIVERSITY OF OXFORD)

มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด มีความงดงามในด้านสถาปัตยกรรม มีพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก รวมไปถึงสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีระบบห้องสมุดทางวิชาการที่ใหญ่ที่สุดใน บริเตน ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีตึกเรียนที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น แฮรี่ พอตเตอร์ และ เจมส์ บอนด์ (หลายภาค)

2. มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (UNIVERSITY OF CAMBRIDGE)

มหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้คือ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ค่ะ เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดเป็นลำดับที่ 2 ในสหราชอาณาจักร และยังเก่าแก่เป็นลำดับที่ 3 ของโลกเลยทีเดียวนะคะ ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่มีขนาดใหญ่มาก เปิดสอนมาแล้วมากกว่า 800 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1209 ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เดิมเป็นกลุ่มคณาจารย์และนักศึกษาที่ย้ายมาจาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดค่ะ ทำให้ระบบการเรียนการสอนของเคมบริดจ์คล้ายกันกับของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (UNIVERSITY OF CAMBRIDGE)

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก เพราะเป็นมหาวิทยาลัยลัยที่มีศิษย์เก่าเป็นผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดถึง 81 รางวัลเลยทีเดียว ในปี ค.ศ. 2005 วารสาร The Times Higher Education Supplement ก็ยังได้จัดอันดับ World University Rankings ให้มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 3 ของโลก และต่อมาในปี 2006 และปี 2007 ก็มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 2 ของโลก สองปีซ้อน

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (UNIVERSITY OF CAMBRIDGE)

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีการจัดการเรียนการสอนในระบบวิทยาลัย ระบบนี้มีลักษณะคล้ายกับบ้านประจำของนักเรียนพ่อมดแม่มดในโรงเรียนฮอร์กวอร์ดของหนังสือชุด แฮรี่ พอตเตอร์ ซึ่งก็คือ เมื่อเข้าประจำบ้านแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนหรือย้ายตลอดช่วงการศึกษา ถือเป็นสังกัดไปจนเรียนจบ (ยกเว้นตอนเปลี่ยนระดับการศึกษา อาจขอเปลี่ยนได้) ทุกวิทยาลัยจะมีประเพณีของตัวเอง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ของตัวเอง วิทยาลัยของเคมบริดจ์หลาย ๆ แห่ง จึงมีฐานะร่ำรวย และชอบที่จะแข่งขันกันว่าใครจะให้ความสะดวกแก่เด็กในสังกัดของตัวเองได้มากกว่ากัน วิทยาลัยแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ คือ Peterhouse ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีสังกัดวิทยาลัยในเครืออยู่ถึง 31 วิทยาลัยด้วยกัน เพื่อรองรับจำนวนนักศึกษาที่มากขึ้นและเพิ่มวิทยาลัยเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

3. อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (IMPERIAL COLLEGE LONDON (ICL))

อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (IMPERIAL COLLEGE LONDON (ICL))
ที่มาของภาพ : https://bit.ly/35ZmdYx

แห่งที่ 3 เราไปกันที่ อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ค่ะ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สวยที่สุดของกรุงลอนดอน อย่าง เซาท์เคนซิงตัน ซึ่งเป็นแหล่งรวมของทั้งสถาบันทางการศึกษาและพิพิธภัณฑ์ศิลปะต่าง ๆ มากมายน่าสนใจมากเลยค่ะ

มหาวิทยาลัย อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน เป็นมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Russell Group และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ QS World Rankings มหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีความโดดเด่นเป็นอย่างสูงทางด้านผลงานการวิจัย และยังชนะรางวัลโนเบลถึง 14 รางวัลเลยค่ะ นอกจากนั้นยังคว้ารางวัลทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์มากถึง 81 รางวัล

มหาวิทยาลัยแห่งนี้เปิดสอน 4 คณะ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คณะแพทยศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจ ประกอบไปด้วยสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้ค่ะ

1. คณะวิศวกรรมศาสตร์ : วิศวกรรมชีวการ วิศวกรรมเคมีและเทคโนโลยีเคมี วิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมวัสดุ และวิศวกรรมเครื่องกล
2. คณะวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ : วิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต เคมี คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์
3. คณะแพทยศาสตร์ : เป็นคณะแพทย์ดีเด่น มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร สอนนักเรียน
แพทย์ในโรงพยาบาล 6 แห่งด้วยกัน
4. คณะบริหารธุรกิจ : มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกด้านการเรียนการสอนสาขาบริหารธุรกิจและการจัดการด้วยหลักสูตรที่ตรงตามความต้องการของโลกธุรกิจในปัจจุบัน

อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (IMPERIAL COLLEGE LONDON (ICL))

อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ลงตัวเหมาะกับการศึกษาของนักศึกษา ผู้ประกอบการ หรือ ผู้ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจในระดับนานาชาติ เงินเดือนเฉลี่ยเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ของที่นี่นั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้ที่จบระดับมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรเลยนะคะ

4. มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน UNIVERSITY COLLEGE LONDON (UCL)

มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน UNIVERSITY COLLEGE LONDON (UCL)

มหาวิทยาลัยแห่งที่ 4 ที่เราจะพาไปรู้จักกันวันนี้คือ มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนค่ะ เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกของ Russell Group อันทรงเกียรติที่เป็นกลุ่มสถาบันที่มีความเป็นเลิศในด้านงานวิจัย มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุง London ตามชื่อ ทำให้นักศึกษาของที่นี่นั้นสามารถเข้าถึงสภาพแวดล้อมของหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลกอย่างลอนดอน อันประกอบไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย เครือข่ายชั้นนำระดับโลก และกิจกรรมมากมายให้ได้เปิดหูเปิดตาทั้งกลางวันไปจนถึงยามค่ำคืนจัดเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายของสาขาวิชาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีชื่อเสียงในด้านแพทยศาสตร์วรรณกรรม นิติศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ โดยเฉพาะ งานวิจัยที่มีคุณภาพ และรูปแบบการเรียนการสอนที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นใน UK เนื่องจากเป็นการเรียนการสอนแบบบูรณาการความรู้จากหลากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกันคล้ายกับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน UNIVERSITY COLLEGE LONDON (UCL)
ที่มาของภาพ : https://www.qs.com/university-college-london-to-host-ireg-7-conference/

มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน เป็นมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูงในการสมัครเข้าศึกษาต่อ ทั้งในระดับประเทศ และในระดับนานาชาติ ศิษย์เก่าของที่นี่ ที่เป็นบุคคลสำคัญ เช่น ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ และผู้ร่วมค้นพบโครงสร้างของ DNA รวมไปถึงผู้ก่อตั้งกาน่า ญี่ปุ่นสมัยใหม่ และไนจีเรีย ผู้ค้นพบแก๊สมีตระกูล

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน มีศาสตราจารย์ คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัย เป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล อันทรงเกียรติมาแล้วถึง 29 รางวัล และ Times Higher Education 2019 ยังจัดลำดับให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 14 ของโลกเลยทีเดียวค่ะ

5. วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LONDON SCHOOL OF ECONOMICS AND POLITICAL SCIENCE (LSE))

แห่งที่ 5 วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน เป็นสถาบันเฉพาะทางสายสังคมศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ อันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรและทวีปยุโรป และเป็นอันดับที่ 1 ของโลก โดยการจัดอันดับมาตรฐานมหาวิทยาลัยโลก The QS World University Rankings และ Times Higher Education 2019 ก็จัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 26 ของโลกค่ะ

วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LONDON SCHOOL OF ECONOMICS AND POLITICAL SCIENCE (LSE))

วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน ถือเป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดอันดับ 1 ของโลกในการเตรียมความพร้อมของนักศึกษาสู่สายอาชีพวารสารศาสตร์และสิ่งพิมพ์ และ ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และการจัดการ และ ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกในวิชาสื่อและ การสื่อสาร ที่สำคัญวิทยาลัยแห่งนี้ยังเป็น ที่ตั้งของห้องสมุดด้านสังคมศาสตร์ การเมือง และการปกครองที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ผู้นำประเทศและองค์กรนานาชาติหลายท่านได้รับการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ อาทิ เช่น จอห์น เอฟ. เคนเนดี และ ลี กวนยู อีกทั้งนักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย ป๋วย อึ้งภากรณ์ คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช จนปัจจุบันรวมแล้วมีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีประเทศต่าง ๆ ในโลกที่เป็นศิษย์เก่าไม่ต่ำกว่า 34 คน นอกจากนี้ยังมีนักเรียนและบุคลากรจากที่นี่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 18 คนเลยค่ะ

วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LONDON SCHOOL OF ECONOMICS AND POLITICAL SCIENCE (LSE))
ที่มาของภาพ : https://uceapuk.org/london-school-of-economics-and-political-science/
วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LONDON SCHOOL OF ECONOMICS AND POLITICAL SCIENCE (LSE))
ที่มาของภาพ : https://studyabroad.shiksha.com/uk/universities/london-school-of-economics-and-political-science

ถ้าคุณสนใจจะศึกษาต่อที่นี่ ก็สามารถดูรายละเอียดคณะหรือสาขาที่สนใจในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยได้เลยนะคะเพราะที่วิทยาลัยแห่งนี้ต้อนรับนักศึกษาชาวต่างชาติ มีนักศึกษาจากต่างชาติมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลกที่เข้ามาศึกษาที่สถาบันแห่งนี้

6. มหาวิทยาลัยเอดินบะระ (UNIVERSITY OF EDINBURGH)

มหาวิทยาลัยเอดินบะระ (UNIVERSITY OF EDINBURGH)
ที่มาของภาพ : https://www.thetimes.co.uk/article/university-of-edinburgh-fined-over-lab-health-risks-n6933sb79

แห่งที่ 6 มหาวิทยาลัยเอดินบะระ หนึ่งในสุดยอดมหาวิทยาลัยของโลกทางด้านการแพทย์ มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในเมืองเอดินเบอระซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของสก็อตแลนด์รองจากเมืองกลาสโกว์ ตัวมหาวิทยาลัยเอดินบะระจะไม่มีแคมปัส แต่อาคารเรียนจะเป็นตึกกระจายอยู่รอบเมืองปะปนกับอาคารพาณิชย์ทั่วไป มหาวิทยาลัยแห่งนี้เก่าแก่เป็นอันดับ 4 ของสก็อตแลนด์ โดยก่อตั้งถัดจาก St Andrews, Glasgow และ Aberdeen จากการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยทั่วโลก มหาวิทยาลัยเอดินบะระติดอันดับ Top 100 ของโลก ทั้งด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และการแพทย์ รวมไปถึงทางด้านปฐพีวิทยาและวรรณกรรม

ความสำเร็จของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีมากมายเริ่มตั้งแต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เป็นศูนย์กลางของยุคแห่งแสงสว่างของทวีปยุโรปในศตวรรษที่ 18 โดยได้รับยกย่องให้เป็นผู้นำและมีชื่อเสียงในทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งยังคงโดดเด่นจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางด้านการสอนและการวิจัยของสกอตแลนด์ เพราะมีวิชาด้านการวิจัยมากมายถึง 135 สาขา Times Higher Education 2019 จัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 29 ของโลก

มหาวิทยาลัยเอดินบะระ (UNIVERSITY OF EDINBURGH)
ที่มาของภาพ : https://inews.co.uk/news/edinburgh-university-paid-26000-move-principals-pets-staff-pensions-strike-130068

อีกหนึ่งความสำเร็จคือการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสหราชอาณาจักร โดยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ได้จัดตั้งภาควิชาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent) รวมถึงยังมีสถาบันด้านบริหารธุรกิจอย่าง University of Edinburgh Business School ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและติดอันดับต้นๆของโลก และสถาบัน Edinburgh Law School ถือเป็น โรงเรียนกฎหมาย ที่เก่าแก่เป็นอันดับ 3 ในสก็อตแลนด์ถัดจาก University of Glasgow และ University of Aberdeen โดยมีอายุกว่า 300 ปี และที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระนี้ก็มีทุนให้กับนักศึกษาต่างชาติที่สนใจไปศึกษาต่อทุกปีอีกด้วยนะคะ ปีละหลายอัตราเลยค่ะ

7. คิง คอลเลจ ลอนดอน (KING’S COLLEGE LONDON (KCL))

แห่งที่ 7 คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ก่อตั้งขึ้นในปี 1829 โดย พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร และ ดุค ออฟ เวลลิงตัน เป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดอันดับสี่ของอังกฤษ ในปี 1836 คิงส์กลายเป็นหนึ่งในสองผู้ก่อตั้งวิทยาลัยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางมหานครลอนดอน และเป็นสถาบัน Top 10 ของสหราชอาณาจักร (จากการจัดอันดับโดย QS World University Rankings 2018) คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน เป็นสมาชิกของ Russell Group กลุ่มสถาบันอุดมศึกษาระดับโลกที่มุ่งเน้นไปที่การทำงานวิจัยแบบเข้มข้น คิงส์ คอลเลจ มีวิทยาเขตทั้งหมด 4 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลอนดอนบริเวณริมแม่น้ำเทมส์ เวสท์มินสเตอร์ และย่านใจกลางเมือง โดยอีกหนึ่งวิทยาเขตอยู่ทางตอนใต้ของลอนดอน

คิง คอลเลจ ลอนดอน (KING’S COLLEGE LONDON (KCL))
ที่มาของภาพ : https://news.microsoft.com/en-gb/2019/05/02/kings-college-london-learns-how-to-unlock-the-power-of-data/

ทางด้านวิชาการ คิงส์ คอลเลจก็มีความโดดเด่น ในด้านแพทยศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และการพัฒนาระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการทำวิจัย ซึ่งนักวิจัยเคยยกย่องให้ คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน เป็น “ผู้นำระดับโลก” เนื่องจาก ค้นพบโครงสร้างของ DNA ที่ซับซ้อน และปัจจุบันยังเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเรียนการสอนด้านแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และความเป็นมืออาชีพด้านสาธารณสุขศาสตร์ของยุโรปและสหราชอาณาจักร มีศูนย์การวิจัยด้านแพทยศาสตร์ ถึง 6 แห่ง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในสหราชอาณาจักรเลยค่ะ

คิง คอลเลจ ลอนดอน (KING’S COLLEGE LONDON (KCL))

คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน เป็นพันธมิตรกับสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 150 แห่ง ซึ่งมีการศึกษาแลกเปลี่ยนทางวิชาการได้ในระหว่างปีการศึกษา ภาคเรียน รวมไปถึงช่วงการเรียนภาคฤดูร้อนอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นอีกสถาบันการศึกษาหนึ่งที่เป็นมิตรและยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ มีบริการพิเศษสำหรับนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ โดยทางมหาวิทยาลัยมีการจัดชั้นเรียนภาษาอังกฤษแบบ Pre-Sessional ระยะเวลาสูงสุด 17 สัปดาห์ สำหรับนักเรียนนานาชาติที่ต้องการเพิ่มเติมความรู้ทางภาษาอังกฤษก่อนเปิดภาคเรียน ในระหว่างภาคเรียนจะมีชั้นเรียนเพื่อการพัฒนาทักษะ เช่น ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ การจดบันทึกย่อ และยังมีภาษาอังกฤษเฉพาะทาง นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมี Student Advice Service ที่คอยให้คำปรึกษาทางด้านการทำวีซ่า และด้านกฎหมายอีกด้วย

8. มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (UNIVERSITY OF MANCHESTER)

มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (UNIVERSITY OF MANCHESTER)
ที่มาของภาพ : https://www.hotcourses.in.th/study/uk/school-college-university/into-manchester-university-of-manchester/3917/international.html

แห่งที่ 8 มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมือง Manchester ทางทิศเหนือของประเทศอังกฤษโดยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร และเป็นสมาชิกของกลุ่ม Russell Group อันทรงเกียรติ มีจุดเด่นในด้านประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษ การเมือง รัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ มานุษยวิทยาสังคม รวมถึงพยาบาลศาสตร์ และสาขาวิชาพัฒนศึกษา มีนักศึกษาถึง 38,000 คน และนักศึกษานานาชาติจำนวนมากกว่า 9,000 คน รวมถึงอาจารย์และบุคลากรจำนวน 10,000 คน โดยมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงทางด้านวิชาการและความยอดเยี่ยมด้านงานวิจัย Times Higher Education 2019 จัดให้มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 57 ของโลกค่ะ

มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่ชนะรางวัลโนเบลถึง 25 รางวัล บัณฑิตที่จบการศึกษาของมหาวิทยาลัยจำนวน 91% ได้รับการจ้างงานหรือศึกษาต่อ

มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง มีทั้งนักศึกษาชาวบริติช และนักศึกษานานาชาติจาก 180 ประเทศ มหาวิทยาลัยมีบริการพิเศษแก่นักศึกษาต่างชาติแต่แรกเข้าโดยมีการต้อนรับนักศึกษาจากสนามบิน และยังมีทีมงานที่แนะนำเกี่ยวกับวีซ่า การย้ายเข้าเมือง และการช่วยเหลือในการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายด้านสุขภาพง่ายดายจริง ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการไปศึกษาต่อ

9. มหาวิทยาลัยบริสตอล (UNIVERSITY OF BRISTOL)

แห่งที่ 9 มหาวิทยาลัยบริสตอล ตั้งอยู่ที่เมือง Bristol เป็นสถาบันอุดมศึกษาเน้นวิจัยขนาดใหญ่ ตั้งในใจกลางเมืองบริสตอล สหราชอาณาจักร มีชื่อเสียง ในด้านแพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ถือเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติที่แท้จริง เพราะเต็มไปด้วยนักศึกษา และนักวิชาการจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ที่สำคัญมีการเรียน การสอนแบบควบคู่ Combined Master’s ซึ่งจะได้รับปริญญาโทถึง 2 ใบหลังจบการศึกษาอีกด้วย

มหาวิทยาลัยบริสตอล (UNIVERSITY OF BRISTOL)
ที่มาของภาพ : https://www.huffingtonpost.co.uk/entry

มหาวิทยาลัยบริสตอล เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยอิฐแดง (Red brick university) ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยมหาวิทยาลัยกลุ่มนี้เป็น Civic University หรือ มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากหน่วยงานทางศาสนา หรือชนชั้นขุนนางในสมัยที่ก่อตั้ง ยิ่งไปกว่านั้น มหาวิทยาลัยได้เป็นสมาชิกกลุ่มกูอิงบราเป็นเครือข่ายมหาวิทยาลัยของยุโรป ที่ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1985 และจดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1987 ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของทวีปจำนวน 39 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาโบราณในยุโรป และบริสตอลยังเป็นสมาชิกก่อตั้งของกลุ่ม Russell Group ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นเรื่องงานวิจัยอันทรงเกียรติในสหราชอาณาจักร

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้การต้อนรับนักศึกษานานาชาติเป็นอย่างดีเยี่ยม ทั้งมีทุนการศึกษาและทุนส่วนลดค่าเรียนเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แถม Times Higher Education 2019 ยังจัดอันดับให้บริสตอลเป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 78 ของโลกเลยนะคะ เป็นตัวเลือกที่ดีเลยค่ะ

10. มหาวิทยาลัยวอร์วิค (UNIVERSITY OF WARWICK)

มหาวิทยาลัยวอร์วิค (UNIVERSITY OF WARWICK)
ที่มาของภาพ : https://th.hellomagazine.com/education/top-9-university-in-uk/

มหาวิทยาลัยวอร์วิค เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองโคเวนทรี (Coventry) โดยได้รับการยอมรับในฐานะสถาบันศึกษาชั้นนำของโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1965 ปัจจุบันมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนกว่า 18,000 คนจาก 120 ประเทศทั่วโลก และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัยซึ่งอยู่ในเครือ Russell Group อันทรงเกียรติ

มหาวิทยาลัยวอร์วิค แบ่งเป็นคณะต่าง ๆ ได้แก่ ศิลปะ การแพทย์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับท็อป 10 ของมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งใหม่ยอดเยี่ยมของโลก มีจุดแข็งในด้านภาษาอังกฤษและวรรณกรรม อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ศิลปศึกษา Warwick Art Centre จากการสำรวจโดย High Fliers Research พบว่านักศึกษาที่จบจาก Warwick เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก และในปี 2013 มีนักศึกษาถึง 92% ที่จบการศึกษาแล้วได้รับการจ้างงานหรือได้เข้าศึกษาต่อภายใน 6 เดือน Times Higher Education 2019 จัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 79 ของโลก

จากมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับทั้งหมด 10 แห่งที่เราพามาแนะนำกันในวันนี้เป็นยังไงกันบ้างคะ คุณจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งใครที่สนใจต้องเตรียมศึกษาข้อมูล สำรวจความต้องการของตนเองให้ดีนะคะ เตรียมตัวให้พร้อมกับการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ และเพื่อให้การศึกษาของคุณราบรื่น ไร้กังวลเมื่ออยู่ต่างแดน อย่าลืมทำประกันการเดินทาง Overseas Student Care ของ Allianz Travel สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยเฉพาะเลยนะคะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

10 จุดตั้งแคมป์ ยอดนิยมในประเทศออสเตรเลีย

ต้องยอมรับเลยว่าเทรนการตั้งแคมป์ในประเทศไทยค่อนข้างเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในขณะนี้ จะเห็นได้จากรีวิวของเหล่า influencer หรือ travel blogger หลายๆ คน ที่เดินทางไปตั้งแคมป์ นอนดูดาวกันกับคนรู้ใจ หรือแก๊งเพื่อน หรือแม้กระทั่ง ถ่ายภาพอวดเต็นท์ พร้อมอุปกรณ์ตั้งแคมป์ และพร็อพอื่นๆ เท่ห์ๆ อีกมากมาย ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีสถานที่ตั้งแคมป์ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติที่สวยงามอยู่ ออสเตรเลียก็มีสถานที่ตั้งแคมป์กระจายตัวอยู่มากมายในประเทศเช่นกัน เราจะพาคุณมารู้จักกับการตั้งแคมป์แบบ “แกลมปิ้ง (Glamping)” ที่มีความหรูหรากว่าการแคมป์ปิ้งธรรมดา เต็นท์แบบแกลมปิ้งจะมีห้องน้ำเป็นกิจจะลักษณะ มีห้องครัวภายในทำให้ง่ายกับการประกอบอาหารด้วยตนเอง และสำหรับบางที่นั้นตัวเต็นท์แบบแกลมปิ้งจะติดแอร์ มีทีวี ตู้เย็น ครบครัน สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างคล้ายห้องพักในโรงแรม แต่ต่างตรงอยู่ในเต็นท์เท่านั้น วันนี้ Allianz Travel จะพาคุณไปสัมผัสกับ 10 จุดตั้งแคมป์ยอดนิยมทั่วออสเตรเลียกันเลยค่ะ เริ่มจาก

1. แคมป์ริมชายหาดทางตอนเหนือของเกาะสตรัดโบรค (NORTH STRADBROKE ISLAND)

ตอนเหนือของเกาะสตัดโบรค (North Stradbroke Island) หรือคนท้องถิ่นเรียกว่า สแตรดดี้ (Straddie) ตั้งอยู่ในอ่าวมอร์ตัน ที่นี่เป็นเกาะทรายที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก เป็นดินแดนในฝันสำหรับผู้รักธรรมชาติ และยังคงความบริสุทธิ์อย่างมากค่ะ

NORTH STRADBROKE ISLAND

สถานแห่งนี้เป็นสถานที่ยอดนิยมแห่งหนึ่งในการตั้งแคมป์ริมชายหาดในออสเตรเลีย เกาะนี้ไม่เพียงแต่สามารถเดินทางไปได้สะดวก โดยใช้บริการเรือเฟอร์รี่หรือเรือแท็กซี่ข้ามไปยังเกาะจากเขตชานเมืองคลีฟแลนด์ในบริสเบนเท่านั้นค่ะ แต่ยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อาทิ เช่น ชายหาดที่ทอดตัวยาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด และมีคลื่นลูกใหญ่ๆ ที่ซัดเข้ามายังชายฝั่ง ทำให้เป็นที่ดึงดูดสำหรับเหล่าบรรดานักโต้คลื่น อีกทั้งยังสามารถพบจิงโจ้ที่เดินไปมา เล็มหญ้าอยู่บนไหล่เขาอีกด้วย

ที่นี่คุณสามารถกางเต็นท์ของคุณได้ที่ลานตั้งแคมป์บนหาดไซลินเดอร์ (Cylinder Beach Camping Ground) ซึ่งอยู่ใกล้กับ คาเฟ่ ร้านค้า และร้านอาหาร หรือจะมุ่งหน้าไปยังลานตั้งแคมป์แอดเดอร์ ร็อค (Adder Rock Camping Ground) ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อพบความสงบที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติค่ะ

2. ตั้งแคมป์นอนดูดาวที่นูซา นอร์ธ ชอร์ (NOOSA NORTH SHORE)

นูซา (Noosa) เป็นเมืองติดชายหาดที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ตั้งอยู่บนชายฝั่ง Sunshine Coast ในรัฐควีนแลนด์ ซึ่งอยู่ห่างจากบริสเบนไปทางเหนือเพียง 90 นาที หากเดินทางโดยรถยนต์

ที่มาของรูปภาพ : https://www.habitatnoosa.com.au/

คุณจะได้พบกับอีกประสบการณ์หนึ่งของการตั้งแคมป์ที่ยากจะลืมที่ ฮาบิเทต นูซา เอเวอแกลด อีโคแคมป์ (Habitat Noosa Everglades Ecocamp) ซึ่งที่นี่ให้บริการที่พักแบบแกลมปิ้งเชิงนิเวศ และมีพื้นที่ให้คุณสามารถตั้งแคมป์ได้เองแบบเป็นส่วนตัวอีกด้วย ขนาดพื้นที่ที่ Habitat Noosa นี้มีขนาดใหญ่กว่า164 ไร่ (หรือประมาณ 65 เอเคอร์) เลยทีเดียว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนูซา ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถซึมซับกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ กิจกรรมเด่นของที่นี่คือ คุณสามารถพายเรือแคนูล่องไปตามแม่น้ำ เพื่อชมวิวธรรมชาติสองข้างทางอันเงียบสงบ หรือจะใช้บริการทัวร์ล่องเรือชมแม่น้ำได้อีกด้วย ก่อนที่จะกลับมานอนในเต็นท์เพื่อพักผ่อนยามค่ำคืนภายใต้แสงดาวระยิบระยับ

ที่มาของรูปภาพ : https://www.habitatnoosa.com.au/ และ https://www.myqldholiday.com.au/resort/habitat-noosa/

3. เช่าเต็นท์แคมป์ปิ้งบนเกาะค็อกคาทู (COCKATOO ISLAND) ในซิดนีย์

เกาะค็อกคาทู เป็นเกาะที่ถูกจัดให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกตั้งอยู่ใจกลางอ่าวซิดนีย์ จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมาก เพราะมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งเคยเป็นเรือนจำและต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็เป็นอู่ต่อเรือ โดยยังหลงเหลือความสวยงามของอาคารเก่าท่ามกลางธรรมชาติของเกาะให้เราได้รับรู้ถึงความเป็นมา

ที่มาของรูปภาพ : https://www.theaustralian.com.au/

ที่นี่นอกจากคุณจะได้เดินเที่ยวชมสถานที่แล้วนั้น เกาะแห่งนี้ยังมอบประสบการณ์พิเศษ ให้นักท่องเที่ยวสามารถค้างคืนบนเกาะแห่งนี้ได้ โดยนำอุปกรณ์ตั้งแคมป์มาเอง หรือไม่ก็เช่าเต็นท์ที่มีให้บริการอยู่บนเกาะ ซึ่งคุณอาจจะเลือกเป็นแพ็กเกจแกลมปิ้ง นอนเต็นท์ที่มีความหรูหรา มีห้องน้ำ มีห้องครัว ติดแอร์ มีทีวี ตู้เย็น ครบครัน บนเกาะแห่งนี้ยังมีจุดชมวิวสวยๆ อยู่บริเวณด้านบนเหนือจุดตั้งแคมป์ มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบอ่าวซิดนีย์ได้ไกลถึงสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์และโอเปร่าเฮ้าส์ แลนด์มาร์กสำคัญของประเทศออสเตรเลียเลยทีเดียวค่ะ

4. ค้างคืนในแคมป์สไตล์ซาฟารีที่ ไบรอน เบย์ (BYRON BAY)

ไบรอน เบย์ (Byron Bay) เป็นศูนย์กลางแห่งการพักผ่อนของออสเตรเลีย มีชายหาดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของออสเตรเลียเลยทีเดียว เหมาะสำหรับการโต้คลื่น สถานที่ยอดนิยมแห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นเป็นพิเศษในช่วงฤดูร้อนหรือในช่วงปิดภาคเรียน แต่ถ้าคุณต้องการที่จะพักผ่อนแบบเงียบสงบ คุณจะต้องเดินทางไปทางทิศใต้อีก 7 กิโลเมตร แล้วคุณจะพบกับจุดตั้งแคมป์ที่สวนซัฟโฟร์ค (Suffolk Park)

จุดตั้งแคมป์ สวนซัฟโฟร์ค บีชฟรอนท์ ฮอลิเดย์ (Suffolk Beachfront Holiday Park) จะมอบประสบการณ์พิเศษที่ให้คุณได้พักผ่อนไปกับการนอนเต็นท์แบบซาฟารีที่รองรับได้ถึง 6 ท่าน ต่อเต็นท์ ลานกางเต็นท์แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหาดสำหรับเล่นเซิร์ฟโต้คลื่น

ที่มาของรูปภาพ : https://www.suffolkbeachfront.com.au/

5. พักผ่อนแบบธรรมชาติแท้ๆ ในอุทยานแห่งชาติบูเดรี (BOODEREE NATIONAL PARK)

เดินทางออกจากซิดนีย์ไปทางใต้ด้วยระยะทาง 190 กิโลเมตร คุณจะได้พบกับอุทยานแห่งชาติบูเดรี (BOODEREE NATIONAL PARK) เป็นที่ตั้งของสวนพฤกษศาสตร์ ที่ที่คุณสามารถเดินเล่นผ่อนคลายบนหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ คุณอาจเห็นวาฬหลังค่อมและวาฬเซาเทิร์นไรท์ที่เริ่มออกเดินทางอพยพประจำปีขึ้นไปทางเหนือ และยังเป็นจุดส่องนกที่ดีอีกด้วย จึงทำให้อุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อ่าวแห่งความอุดมสมบูรณ์”

อุทยานแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของลานตั้งแคมป์แบบพื้นฐาน 2 แห่ง ได้แก่ กรีน แพตช์ (Green Patch) และบริสตอล พอยต์ (Bristol Point) ซึ่งอยู่ด้านหน้าอ่าวเจอร์วิส ที่อ่าวเจอร์วิสมักจะมีเจ้าโลมาน้อยใหญ่แวะเวียนมาให้พบเห็นได้อยู่บ่อย ๆ โลมาเหล่านั้นมาแหวกว่ายเล่นสนุกสนานอยู่เป็นประจำที่นี่เพราะถูกดึงดูดด้วยอาหารที่เหล่าโลมานั้นโปรดปรานอย่างทุ่งหญ้าทะเล ส่วนลานตั้งแคมป์แห่งที่สาม บริเวณอุทยานแห่งชาติบูเดรี คือ เคฟบีช (Cave Beach)

ที่มาของรูปภาพ : https://www.completecampsite.com.au/green-patch-camp-ground/

6. ตั้งแคมป์ในอุทยานแห่งชาติคาคาดู (KAKADU NATIONAL PARK)

อุทยานแห่งชาติคาคาดู แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำอัลลิเกเตอร์ในรัฐนอร์ทเทิร์นเทอริทอรี (Northern Territory) ของออสเตรเลีย โดยอยู่ห่างจากเมืองดาร์วินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 191 กิโลเมตร เป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย คาคาดู kakadu เป็นสถานที่ซึ่งมีความหลากหลายทั้งด้านระบบนิเวศน์และสิ่งมีชีวิต โดยพื้นที่ของอุทยานประกอบด้วยป่าเขตร้อน ทุ่งหญ้า บึงน้ำ ที่ราบน้ำท่วมถึง ภูเขาหิน ที่ราบลุ่มและเนินเขา ทั้งยังมีพันธุ์พืชและสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก

อุทยานแห่งนี้จะมีพื้นที่ตั้งแคมป์อันร่มรื่นท่ามกลางต้นไม่ใหญ่ และธรรมชาติที่สวยงาม ชื่อ คูอินดา (Kooinda) อยู่ถัดจากเยลโลว์วอเตอร์ บิลลาบอง (Yellow Water Billabong) ซึ่งเป็นทะเลสาปอันสวยงามแสนสงบ

สถานที่แห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยภูมิทัศน์ที่งดงามของอุทยานแห่งชาติคาคาดู คุณจะได้มีโอกาสเห็นสัตว์ป่า และพืชพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของออสเตรเลียจากที่นี่ด้วย อาทิ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งพวกมาซูเพียล (พวกมีกระเป๋าหน้าท้อง) และพลาเซนทัล (พวกมีรก) รวมกว่า 60 ชนิด มีนกมากกว่า 280 ชนิดอาศัยอยู่ที่นี่ มีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกกบอีก 25 ชนิด ปลาหลายร้อยชนิด แมลงหมื่นกว่าชนิดและพืชต่างๆ อีก 1,700 ชนิด นับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติคาคาดู ยังมีจุดเด่น คือ มีภาพวาดผนังถ้ำของคนพื้นเมืองที่มีอายุกว่า 25,000 ปีอยู่ด้วยนะคะ

7. ไปกางเต็นท์ฟรีที่อุทยานแห่งชาติแกรมเปียนส์ (GRAMPIANS NATIONAL PARK)

ใครที่เป็นสายเที่ยวธรรมชาติ ชอบการผจญภัย เราขอแนะนำคุณไปปูเสื่อนอนเล่นที่ฟอร์เตรสส์ (Fortress) โขดหินธรรมชาติที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติแกรมเปียนส์ค่ะ ที่นี่เป็นจุดตั้งแคมป์ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สถานที่แห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า แกรนด์ แคนยอนแห่งออสเตรเลีย ได้รวบรวมเอาทั้งน้ำตกขนาดเล็กใหญ่ ลำธาร หน้าผาสูง รวมไปถึงสัตว์ท้องถิ่นอีกมากมายหลายสายพันธุ์ เช่น นกประจำถิ่น และจิงโจ้ที่มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ให้เราได้ค้นหากันค่ะ

นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวแบบค้างคืน อาจจะตั้งแคมป์ กางเต็นท์ฟรี หรือพักโรงแรม ในอุทยานแห่งชาตินี้ก็มีให้บริการ เนื่องจากที่นี่มีขนาดกว้างขวางมาก เที่ยววันเดียวอาจจะไม่พอ สำหรับกิจกรรมที่ขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมกัน คือ เดินทางไปดูน้ำตก และเดินขึ้นเขาเพื่อไปที่จุดชมวิวเดอะพินนาเคิล วอร์ค (The Pinnacle walks) ซึ่งเป็นอีกจุดไฮไลท์ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งที่คุณจะได้เห็นวิวความสวยงามของธรรมชาติรอบ ๆ แบบมุมเปิดโล่งสุดสายตา แต่ถ้าใครเป็นแนวรักสัตว์ก็จะสามารถพบกับจิงโจ้ได้เยอะมากที่นี่ ทั้งบริเวณที่ให้ชมแบบมีรั้วกั้น หรือถ้าใครอยากจะไปดูอย่างใกล้ชิด ก็มีให้เห็นตลอดข้างทาง ซึ่งไม่ควรพลาด และรับรองได้ว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ

8. สัมผัสประสบการณ์ตั้งแคมป์ในป่าที่อุทยานแห่งชาติ NARAWNTAPU (NARAWNTAPU NATIONAL PARK)

อุทยานแห่งชาติ Narawntapu เป็นอุทยานแห่งชาติในรัฐแทสเมเนีย ประเทศออสเตรเลีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งที่เงียบสงบทางตอนเหนือของแทสเมเนีย ทอดยาวจากหาดกรีน (Greens Beach) ที่ปากแม่น้ำทามาร์ (Tamar River) ไปถึงหาดเบเกอร์ (Bakers Beach) ทางตะวันตก

คุณสามารถไปที่นี่เพื่อพบกับความสะดวกสบายในการตั้งแคมป์โดยไปลองใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ เนื่องจากอุทยานแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ในป่าเป็นอย่างมาก และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมสัตว์ป่าที่หายากในรัฐ คุณจะได้พบกับจิงโจ้ Forester วอลลาบี้ (Bennetts wallabies) วอมแบต (Wombat) ที่ออกมาเล็มหญ้าในตอนเย็น และอาจจะได้ยินเสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าพื้นเมืองอย่างแทสเมเนียน เดวิล (Tasmanian Devils) นอกจากนี้ยังมีนกอีกหลากหลายชนิดให้คุณได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดด้วยนะคะ

อุทยานแห่งนี้ยังเป็นแหล่งให้อาหารของนกอินทรีหางลิ่มแทสเมเนียน (Endangered Tasmanian Wedge-Tailed Eagle) ที่ใกล้สูญพันธุ์ และมักจะพบเห็นนกออก หรือนกอินทรีทะเล (White-Bellied Sea Eagles) บินร่อนอยู่เหนือศีรษะ นอกจากนี้ เราจะพบเจอเปลือกหอยและสิ่งประดิษฐ์มากมายที่ตามเส้นทางเดินเท้า ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาวอะบอริจิน

9. ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศในป่าคิมเบอเลย์ (THE WILDERNESS OF THE KIMBERLEY)

Kimberley ผืนป่าที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของออสเตรเลีย อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 421,451 ตารางกิโลเมตร เป็นหนึ่งในสมบัติที่ซ่อนอยู่ของออสเตรเลีย มีภูมิทัศน์อันกว้างใหญ่และซับซ้อน มีช่องเขา น้ำตก รวมไปถึงถ้ำที่สวยงาม มีป่าฝนเขียวชอุ่ม และสัตว์ป่านานาชนิด

ที่มาของรูปภาพ : https://trustthetickwa.com.au/listings/56b266fcd5f1565045daa24e

สถานที่แห่งนี้มีที่ที่น่าไปพักผ่อนที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง ชื่อว่า สวนป่า เอล เควสโตร (El Questro Wilderness Park) อยู่ทางทิศตะวันตกของคูนูเนอร์ร่า (Kununurra) มีระยะทางห่างกันประมาณ 110 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของคอมเบอเลย์ เป็นป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีภูมิประเทศรกร้างว่างเปล่า ป่าแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของหนึ่งในสถานที่ที่สวยที่สุดของออสเตรเลียที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงนั่นก็คือ “บ่อน้ำพุร้อน”

ที่มาของรูปภาพ : https://www.traveller.com.au/six-places-to-visit-the-kimberley-western-australia-unforgettable-journeys-gri72w

จุดตั้งแคมป์มี 2 ที่ที่น่าสนใจ คือ ที่ลานตั้งแคมป์แบล็ค คอคคาทู (Black Cockatoo Campground) หรือจะเลือกไปนอนที่จุดตั้งแคมป์แบบส่วนตัวริมแม่น้ำ ไพรเวท ริเวอร์ไซด์ บรัช (Private Riverside Bush campsite) ก็เป็น 2 ตัวเลือกที่ดีสุด ๆ ในการผ่อนคลายไปกับบรรยากาศและใช้ชีวิตสัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงไปกับการแคมป์ปิ้งในเขตคิมเบอเลย์เลยค่ะ

ที่มาของรูปภาพ : https://www.elquestro.com.au/camping

10. กางเต็นท์นอนที่ RED CENTRE

ที่แห่งนี้มีสัญลักษณ์ของประเทศออสเตรเลีย คือ https://trustthetickwa.com.au/listings/56b266fcd5f1565045daa24eโขดหินอูลูรู (Uluru) หรือหินแอร์ส (Ayers Rock) หินที่ผุดขึ้นจากใต้พื้นดินขึ้นสู่ท้องฟ้า มีสีแดงโดดเด่นตั้งตระหง่านเป็นเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ในตอนกลางของประเทศออสเตรเลีย เป็นโขดหินขนาดใหญ่ สูง 348 เมตร เส้นรอบวงที่ฐานวัดได้ 9 กิโลเมตร จัดได้ว่าเป็นโขดหินที่ใหญ่ทีสุดในโลก สีสันของหินเปลี่ยนแปลงตามเวลาซึ่งในแต่ละช่วงมีสีแตกต่างกัน อย่างตอนพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกมีสีแดงสะท้อนสวยงาม

สถานที่แห่งนี้มี เอเยอรส์ ร็อค รีสอร์ท (Ayers Rock Resort ) ตั้งอยู่ห่างไปเพียง 15 กิโลเมตร จากเขาหินสีแดงที่โดดเด่น รีสอร์ทให้บริการที่พักหลากหลายประเภทซึ่งรวมไปถึงพื้นที่จุดตั้งแคมป์กางเต็นท์บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มใต้ต้นโอ๊กทะเลทรายพื้นเมือง ลานตั้งแคมป์แห่งนี้มีทั้ง สระว่ายน้ำ บาร์บีคิว ครัวกลางแจ้ง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้เข้าพัก ผู้ที่มาตั้งแคมป์ที่นี่ยังสามารถโดยสารรถรับส่งฟรีของทางรีสอร์ทไปยังซูเปอร์มาร์เก็ต บาร์ ร้านค้า และร้านอาหารในพื้นที่ได้อย่างสะดวกสบายเลยค่ะ

ที่มาของรูปภาพ : https://www.exploroz.com/places/803/nt+ayers-rock-resort-campground และ https://www.venuereport.com/venue/ayers-rock-resort/

เป็นยังไงบ้างคะกับ 10 จุดตั้งแคมป์ในออสเตรเลีย ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ สายการบินระหว่างประเทศเปิดเมื่อไหร่ อย่าพลาดที่จะเดินทางหาประสบการณ์แบบนี้สักครั้งในชีวิตนะคะ เราเชื่อว่าต้องมีจุดตั้งแคมป์สักแห่งที่คุณชื่นชอบและเหมาะกับคุณอย่างแน่นอนค่ะ แล้วก็เมื่อคุณไปผจญภัยในต่างแดนแบบนี้ อย่าลืมเลือกซื้อประกันการเดินทางกับเราก่อนเดินทาง Allianz Travel ให้คุณท่องเที่ยวอย่างสบายใจไร้กังวล ไม่ต้องระแวงว่าจะป่วยหรือประสบอุบัติเหตุระหว่างการท่องเที่ยว เราพร้อมดูแลคุณ 24 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก :
Australia’s top camping spots
10 Best outdoor camping locations in australia

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เที่ยวนครวัด เสน่ห์มนต์ขลัง ที่ต้องลองไปสัมผัสแล้วจะรัก

เสน่ห์มนต์ขลังของ “ นครวัด ” ที่ต้องลองไปสัมผัสแล้วจะรัก

วันนี้ Allianz Travel เรามีแหล่งท่องเที่ยวสุดอลังการที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งมรดกโลกมาแนะนำทุกท่าน สถานที่ที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังและความยิ่งใหญ่ จนทำให้ได้รับการขนานนามว่ามีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมจนติดอันดับ 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตในอาเซียนอีกด้วย เก็บเป็นลิสต์ไว้ก่อน ถ้าเราสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้เมื่อไหร่ จะได้มีจุดมุ่งหมายในการออกเดินทางไปเที่ยวกัน เพราะอยู่ใกล้ ๆ แค่กัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง การเดินทางง่ายมากค่ะ เพียงนั่งเครื่องบินออกจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง ไปยังนามบินเสียมเรียบอินเตอร์เนชั่นแนล ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ก็สามารถเที่ยวได้ทันทีแบบไม่เสียเวลาไปกับเดินทางนาน ๆ เลยค่ะ

เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวชม “ นครวัด ” ศาสนสถานสำคัญของโลก ณ ประเทศกัมพูชา ไปชมสถาปัตยกรรมขอมโบราณที่ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเสียมเรียบเพียง 15 นาทีเท่านั้น

นครวัด สถาปัตยกรรมอันงดงาม
ท่องเที่ยว นครวัด

นครวัดเป็นศาสนสถานสุดยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศกัมพูชาที่หลายคนทั่วโลกต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี นครวัดสร้างในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันค่ะ นักท่องเที่ยวมักจะนิยมเที่ยวกันในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศดีไม่ร้อนจนเกินไป อุณหภูมิจะอยู่ที่ 25-30 องศาเท่านั้นเองค่ะ

นครวัด ประเทศ กัมพูชา

นครวัดเป็นศาสนสถานที่สร้างตามคติความเชื่อทางศาสนาของผู้สร้างในขณะนั้น และการก่อสร้างค่อนข้างกินเวลานานทำให้นครวัดได้รับอิทธิพลจากศาสนาความเชื่อถึง 2 ศาสนา คือแรกเริ่มเป็นศาสนาฮินดูและเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธในตอนท้าย ผังการสร้างปราสาทนครวัดทำเสมือนเป็นแบบภูเขา มีระเบียงคดที่มีภาพสลัก การสร้างปราสาทรูปแบบนี้สื่อถึงเขาพระสุเมรุ ซึ่งตามความเชื่อนั้น เขาพระสุเมรุเป็นสถานที่ที่สถิตของเทพและเทวดาในปกรณัมของศาสนาฮินดู ด้านนอกมีคูน้ำและกำแพงล้อม โดยตัวปราสาทประกอบด้วยระเบียงคดสี่เหลี่ยมที่มีภาพสลักทั้งหมดสามชั้น แต่ละชั้นตั้งอยู่สูงกว่าชั้นล่าง ตรงกลางของปราสาทคือพระปรางค์ที่มีทั้งหมด 5 ยอด นครวัดมีความแตกต่างจากปราสาทในพระนครปราสาทอื่น ๆ เนื่องจากมีการหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

นครวัดได้รับการยกย่องในด้านความงามและความกลมกลืนของตัวสถาปัตยกรรม ภาพสลักฝาผนังที่เด่น ๆ สำคัญ ๆ ฝั่งหนึ่งเป็นเรื่องราวการต่อสู้ที่ทุ่งกุรุเกษตรของมหากาพย์มหาภารตะ (มหากาพย์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) และ อีกฝั่งเป็นเนื้อหา เกี่ยวกับความเชื่อ โลกสวรรค์ – โลกมนุษย์ – โลกนรก ซึ่งก็คือ เรื่อง บาป- บุญ ของศาสนาพุทธ รายละเอียดของจิตรกรรมต่าง ๆ เป็นเรื่องราวที่เข้มข้นน่าติดตาม

สถาปัตยกรรม นครวัด
สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ นครวัด

นอกจากนั้นแล้วยังมีสถาปัตยกรรมส่วนอื่น ๆให้ชมอีกมากมาย อาทิเช่น ปราสาทตาพรหม ที่ต้นไม้เลื้อยพันไปกับตัวปราสาทที่เป็นฉากสำคัญในการถ่ายหนัง Holly Wood ที่แองโจลิน่า โจลีห์ แสดงนำอย่างเรื่อง Tomb Raider อีกด้วยนะคะ ตัวสถานที่กว้างใหญ่น่าค้นหาจริง ๆ

สถาปัตยกรรม นครวัด
นครวัด กัมพูชา

พูดถึงการเดินทางไปนครวัดก็ง่าย ความสวยงามยิ่งใหญ่ของสถานที่ก็น่าตื่นเต้น น่าสนใจ ทั้งเรื่องราวความเป็นมาและศิลปะของสถาปัตยกรรมแบบเขมรก็ยิ่งใหญ่ตระการตา อยากให้ลองจัดไปสักทริปค่ะ จะต้องเป็นอีกทริปที่คุณหลงรักแน่นอน ค่าใช้จ่ายก็ไม่สูง ที่พักมีให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยไปจนหลักหลายพันบาท นอกจากชมสถาปัตยกรรมอย่าพลาดไปสัมผัสวิถีชีวิต ตลาด ร้านอาหารท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วยตนเองด้วยนะคะ

เที่ยวนครวัด
เที่ยวนครวัด

ถ้าอยากเที่ยวแบบอุ่นใจ ไร้กังวล ในการไปเที่ยวต่างแดนแบบนี้ อย่าลืมเลือกทำประกันการเดินทางกับ Allianz Travel นะคะ เราพร้อมดูแลคุณ 24 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก :
เที่ยวกัมพูชา ชมความยิ่งใหญ่ ปราสาทนครวัดนครธม

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เช็คอิน 20 เมืองน่าเที่ยว ยุโรปตะวันออก

ยุโรปตะวันออก: เช็คอิน 20 เมืองน่าเที่ยว

เมื่อพูดถึงทวีป “ยุโรป” หลาย ๆ คน คงนึกถึงประเทศในแถบทวีปยุโรปตะวันตกกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือเยอรมัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ ล้วนเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ยุโรปไม่ได้มีดีเพียงแค่ยุโรปตะวันตกเท่านั้นค่ะ ประเทศในแถบยุโรปตะวันออกเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย รวมไปถึงสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือน และโบสถ์ยุคกลางที่ยังคงความสมบูรณ์ วันนี้ Allianz Travel เลยไม่รอช้า ขออาสาเป็นไกด์ พาทุกคนไปเที่ยว 20 เมืองยุโรปตะวันออกกันค่ะ

1. BUCHAREST, ROMANIA

มาเริ่มกันที่เมืองแรกเลยค่ะกับเมืองบูคาเรสต์ เมืองหลวงของประเทศโรมาเนีย บูคาเรสต์เคยได้ฉายาว่า “Little Paris” ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ด้วยความทันสมัยของอาคารบ้านเรือนและรสนิยมของชาวเมืองที่คล้าย ๆ กับเมืองปารีสของฝรั่งเศส ณ ขณะนั้น

เมืองบูคาเรสต์ มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ท่องเที่ยวชมมากมาย แต่ที่โดดเด่น และถือเป็นไฮไลต์พลาดไม่ได้เลย ก็คือ พระราชวังรัฐสภา ซึ่งมีความหรูหราและอลังการ เทียบเท่าได้กับเพนตากอนของสหรัฐเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมอีกหลายแห่งที่มีความโดดเด่น อาทิ คอนเสิร์ตฮอลล์ Romanian Athenaeum, มหาวิทยาลัยบูคาเรสต์ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เป็นต้น

BUCHAREST, ROMANIA

2. SIBIU, ROMANIA

จากเมืองหลวงบูคาเรสต์ ขึ้นเหนืออีกนิดไปที่เมืองซีบีอู แคว้นทรานซิลวาเนีย ซีบีอูเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปเมื่อปี ค.ศ. 2007 และเป็นเมืองมรดกโลกที่มีความเก่าแก่ทางสถาปัตยกรรม ด้วยบริเวณเมืองเก่าเป็นชุมชนของชาวเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ จึงเต็มไปด้วยบ้านเรือนศิลปะแบบบาโรคและโกธิค สำหรับสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ พิพิธภัณฑ์พระราชวัง Brukenthal, จตุรัส Piaata Mare และร้านอาหาร Crama Sibiu Vechi และเมื่อมายังแคว้นทรานซิลวาเนียแล้ว ใครที่ชื่นชอบการปีนเขา ที่นี่ก็มี Transylvania Mountain Trail ด้วยค่ะ โดยเส้นทางปีนเขาทรานซิลวาเนีย เป็นจุดหมายปลายทางของนักปีนเขาจำนวนมาก ด้วยความสวยงามของภูเขา Carpathian บวกกับภาพวิวทิวทัศน์ปราสาท Bran ปราสาทที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และตั้งตระหง่าอยู่กลางภูเขาล้อมรอบด้วยป่าไม้

SIBIU, ROMANIA

3. BRATISLAVA, SLOVAKIA

จากประเทศโรมาเนีย มาเที่ยวกันต่อที่เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย กับเมืองบราติสลาวา เมืองที่อยู่ติดชายแดนกับประเทศออสเตรีย สามารถนั่งรถไฟมาจากกรุงเวียนนาได้ บราติสลาวา เป็นเมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง มีปราสาทเนินเขาบราติสลาวาเป็นจุดเด่นสำคัญ และเมื่อมาเที่ยวบราติสลาวาแล้ว ก็ห้ามพลาดการเยี่ยมชมพระราชวัง Primatial โรงละคร Slovenske narodne divadlo รวมไปถึงการเดินหาอาหารพื้นเมืองทานที่จตุรัสเมืองเก่า ซึ่งที่นั้นจะมีร้านอาหาร ผับ บาร์ และตลาดนัด ให้เดินเล่นและทานอาหารกันอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ

BRATISLAVA, SLOVAKIA

4. SKOPJE, MACEDONIA

สโกเปีย เมืองหลวงของประเทศมาซิโดเนียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในอดีต สโกเปียเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลายอาณาจักร เช่น โรมัน ไบแซนไทน์ บัลกาเรียน เซอร์เบีย และออโตมันซึ่งปกครองเมืองยาวนานกว่า 500 ปี ด้วยเหตุนี้ สโกเปียจึงเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมทั้งคริสเตียนและอิสลาม ผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว

สำหรับสถานที่เที่ยวน่าสนใจ อาทิ จตุรัสมาซิโดเนีย, ประตูชัยมาซิโดเนีย, โบสถ์แม่ชีเทเรซ่า, โรงละครแห่งชาติมาซิโดเนีย เป็นต้น

SKOPJE, MACEDONIA

5. DUBROVNIK, CROATIA

ดูโบรฟนิก ไข่มุกแห่งทะเลอเดรียติค เมืองเก่าแก่ติดชายทะเลทางตอนใต้ของโครเอเชียที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากนักท่องเที่ยว ด้วยการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Game of Thrones ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันจำนวนมากค่ะ

ดูโบรฟนิกเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปยุคกลาง ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรปตะวันออก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ. 1979 ดูโบรฟนิกมีศิลปและวัฒนธรรมสไตล์ยุโรปยุคกลางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ หรือประติมากรรม และสถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือ การเดินตามกำแพงเมืองเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์เมืองและทะเลอเดรียติคค่ะ

DUBROVNIK, CROATIA

6. SPLIT, CROATIA

จากดูโบรฟนิก ขึ้นเหนือเลียบชายฝั่งมายังเมืองสปลิต เมืองชายฝั่งทางตะวันออกของทะเลอเดรียติค และเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสองของประเทศโครเอเชียด้วยค่ะ เมื่อมาเที่ยวยังเมืองสปลิตแล้ว ก็พลาดไมได้เลยที่จะไป เยือนพระราชวังไดโอคลีเชียน พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิไดโอคลีเชียนเมื่อศตวรรษที่ 4 และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยค่ะ โดยตัวพระราชวัง เปรียบเสมือนศูนย์กลางของเมือง ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และถนนคนเดิน

สำหรับใครที่ชื่นชอบการเล่นน้ำทะเล ที่เมืองสปลิตก็มีชายหาดสีขาวสวยงามหลากหลายหาดให้เล่นน้ำทะเลกันด้วยค่ะ

SPLIT, CROATIA

7. BELGRADE, SERBIA

จากโครเอเชีย ย้ายมาเที่ยวที่เซอร์เบียกับเมืองเบลเกรด เมืองหลวงของประเทศเซอร์เบีย ซึ่งเบลเกรดเป็นศูนย์กลางทางการค้า วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ เป็นดินแดนที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของยุโรป สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หลาย ๆ แห่งในเมืองเบลเกรดตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ทหารเบลเกรด ซึ่งมีวัตถุโบราณกว่า 3,000 ชิ้น หรือจะแวะพักผ่อนที่สวนสาธารณะเคลเมกเดน สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่รอบป้อมปราการ และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเซอร์เบียที่จะพาเราดื่มด่ำไปกับงานศิลปะกว่า 400,000 ชิ้นจากหลากหลายยุคสมัย

เบลเกรดเป็นเมืองที่แม่น้ำสองสายดานูบและซาวาไหลมาบรรจบกัน เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเบลเกรดคือเป็นเมืองราบลุ่มที่มีเนินต่ำสลับ โดยมีทิวเขาสองแห่งตั้งเป็นกำแพงอยู่ทางใต้ ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิหนาวจัด เหมาะแก่การท่องเที่ยวค่ะ

BELGRADE, SERBIA

8. LIUBLJANA, SLOVENIA

ลูบลิยานา เมืองหลวงของประเทศสโลวีเนีย ตั้งอยู่ใจกลางของทวีปยุโรประหว่างเทือกเขาแอลป์ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และที่ราบแพนโนเนียน ลูบลิยานา เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารและโรงแรม โดยใจกลางเมืองจะเป็นจตุรัสขนาดใหญ่ ขนาบข้างด้วยแม่น้ำลูบลิยานาที่ไหลผ่าน ซึ่งทางรัฐบาลได้จัดให้พื้นที่จตุรัสกลางเมืองเป็นพื้นที่ห้ามรถวิ่ง ทำให้มีร้านอาหาร และคาเฟ่ตลอดสองข้างทางเลียบแม่น้ำ เหมาะแก่การปั่นจักรยานเล่นกลางเมือง และถ้าใครอยากชมสถาปัตยกรรมแบบสโลวีเนีย ก็อย่าลืมแวะไปที่ปราสาทลูบลิยานา และห้องสมุดแห่งชาติ ทั้งสองสถานที่ล้วนมีความสวยงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมสโลวีเนีย

LIUBLJANA, SLOVENIA

9. WARSAW, POLAND

วอร์ซอเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศโปแลนด์ เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็กกล้า รถยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และยังเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาอีกด้วย โดยสถานที่เที่ยววอร์ซอแบ่งได้เป็นสามโซนหลัก ๆ ด้วยกันคือ โซน Old Town โซน Royal Route และโซนเมืองใหม่

โซนเมืองเก่าเป็นโซนที่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ภายหลังจากการเสียหายจากภัยสงครามโลก สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ในโซนเมืองเก่า ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยคงรูปแบบเดิมเอาไว้ และสำหรับใครที่อยากศึกษาประวัติศาสตร์เมืองเก่าแห่งนี้ ก็มีพิพิธภัณฑ์ Warsaw Rising Museum ที่เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์เมืองให้ศึกษาอีกด้วยค่ะ

WARSAW, POLAND

10. KRAKOW, POLAND

จากวอร์ซอ มาต่อกันที่เมืองคราโคว เมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศโปแลนด์ และเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยไฮไลต์ของเมือง อยู่ที่ย่าน Old Town ซึ่งจะมีอาคารบ้านเรือน พระราชวัง และโบสถ์เก่าแก่จำนวนมาก ที่เที่ยวที่ห้ามพลาดเลยก็คือ ปราสาทพระราชวังวาเวล และโบสถ์ St. Adabert โบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุเกือบพันปี และปิดท้ายทริปด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Schindler พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในสมัยที่กองทัพนาซีของเยอรมันเข้ายึดครองเมือง ซึ่ง พิพิธภัณฑ์ Schindler ตั้งอยู่บนโรงงานเดิมของ Oscar Schindler นักอุตสาหกรรมชาวเยอรมันที่ได้ช่วยชีวิตชาวยิวในเมืองคราโควกว่า 1,200 คน เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยค่ะ

KRAKOW, POLAND

11. SOFIA, BULGARIA

เมื่อพูดถึงประเทศบัลแกเรีย หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงโยเกิร์ตกันเป็นอันดับแรก แต่บัลแกเรียไม่ได้มีดีแค่โยเกิร์ตนะคะ เพราะบัลแกเรียเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และเมืองที่เราจะพาไปเที่ยววันนี้ก็คือเมืองหลวงของประเทศ อย่างเมืองโซเฟียค่ะ

โซเฟียเป็นเมืองหลวงสุดน่ารักที่เต็มไปด้วยอาคารเกร๋ ๆ แต่งแต้มไปด้วยสีพาสเทล เหมาะแก่การเดินเล่นชิล ๆ และถ่ายรูปสวย ๆ เป็นที่ระลึก ขณะที่ ภายในเมืองก็มีร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารจำนวนมากในบริเวณมาร์เก็ตฮอลล์ และหากใครไปโซเฟียทั้งทีก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวอาสนวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (Alexander Nevsky Cathedral) โบสถ์สไตล์ออร์โธด็อกซ์ของบัลแกเรีย จากนั้นแวะไปเที่ยวที่โบสถ์โบยานา (Boyana Church) โบสถ์เล็ก ๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ดูข้างนอกอาจจะธรรมดา แต่ภายในเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันสวยงามค่ะ

SOFIA, BULGARIA

12. TALLINN, ESTONIA

จากบัลแกเรีย มาต่อกันที่ประเทศเล็ก ๆ อย่างเอสโตเนีย กับเมืองหลวงทาลลินน์ เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสวยงามมากมาย และตลอดสองข้างทางของเมือง ก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และร้านคาเฟ่ โดยไฮไลต์สำคัญของเมืองคือการเยี่ยมชม ทาวน์ฮอลล์สไตล์โกธิคที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป รวมไปถึงแลนมาร์คสำคัญของเมืองอย่างโบสถ์เซนต์โอลาฟ ซึ่งภายในโบสถ์จะมีจุดให้เราชมวิวทิวทัศน์เมืองแบบ 360 องศา

เอสโตเนีย มีขนาดพื้นที่โดยรวมแค่ประมาณ 45,227 ตารางกิโลเมตร (17,462 ตารางไมล์) ทางทิศเหนือจะติดกับอ่าวฟินแลนด์ ทิศตะวันตกติดกับทะเลบอลติก ทิศใต้ติดกับปะเทศลัตเวีย ส่วนทางทิศตะวันออกจะติดกับประเทศรัสเซียนั่นเอง ทำให้สามารถเที่ยวหมดได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ และสามารถนั่งรถไฟมาจากทางประเทศรัสเซียหรือทางลัตเวียได้ค่ะ

TALLINN, ESTONIA

13. RIGA, LATVIA

ริกา เมืองหลวงของประเทศลัตเวียที่ตั้งอยู่ริมทะเลบอลติก หนึ่งในสามประเทศเกิดใหม่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ริกาได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งศิลปะ “อาร์ตนูโว” (Art Nouveau) ด้วยความโดดเด่นของเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโว ซึ่งหมายถึงการใช้รูปแบบธรรมชาติ โดยเฉพาะดอกไม้และพืชอื่น ๆ มาทำเป็นลวดลายเส้นโค้งที่อ่อนช้อย ประดับทั้งภายในและภายนอกอาคาร

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจภายในเมือง อาทิ Central Market, The Riga Art Nouveau Center, House of Blackheads, Latvia National Museum of Art เป็นต้น

ริกา เป็นเมืองชิล ๆ สีสันสดใส ที่สามารถเดินเล่นได้รอบเมืองเลยค่ะ ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรม เดินไปทางไหน เป็นอันต้องหยุดเพื่อแชะภาพเป็นที่ระลึก ที่สำคัญ เป็นเมืองที่สามารถเที่ยวได้หมดภายในหนึ่งวัน

RIGA, LATVIA

14. VILNIUS, LITHUANIA

จากลัตเวีย ลงทางใต้มายังประเทศลิธัวเนียที่เมืองวีลนิอุส เมืองหลวงของประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพราะความเก่าแก่ยาวนานของประวัติศาสตร์ และความสวยงามของตัวอาคารบ้านเรือนที่มีอายุมาตั้งแต่ช่วงยุคกลาง ตัวเมืองวิลนีอุสมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ สองสายไหลผ่านได้แก่ Neris กับ Vilnia จึงทำให้ภายในบริเวณเขตตัวเมืองเก่านั้นมีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มไปทั่วทั้งเมือง และบริเวณจัตุรัสเมืองหรือ Town Hall Square จะมีสไตล์การปลูกสร้างเป็นศิลปะแบบบาโรค และบางส่วนก็จะมีส่วนผสมของศิลปะแบบโกธิครวมอยู่ด้วยค่ะ

เมื่อมายังเมืองวีลนิอุสแล้ว อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดก็คือ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ (Museum of Genocide) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความโหดร้ายของการกดขี่และการสังหารหมู่ชาวลิธัวเนีย ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียตนานกว่า 50 ปี

VILNIUS, LITHUANIA

15. KOTOR, MONTENEGRO

กอเตอร์ เมืองโบราณที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่ติดทะเลอเดรียติค มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน เคยเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเล และศูนย์การค้าที่สำคัญในแถบทะเลเอเดรียติก กอเตอร์เป็นเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงาม รายล้อมด้วยเทือกเขาและอ่าวกอเตอร์ ภายในเมืองมีกำแพงเมือง ป้อมปราการจากอดีต คูคลองที่เชื่อมกับอ่าว และอาคารบ้านเรือนแบบยุคกลางที่ยังคงอนุรักษ์ความเก่าแก่ไว้ได้เป็นอย่างดี จนความสวยงามทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกค่ะ

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจได้แก่ กำแพงเมืองและป้อมกอเตอร์ กำแพงและป้อมเก่าแก่ที่ยังคงความสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป, โบสถ์เลดี้ออฟเดอะร็อคส์ โบสถ์พระแม่มารีที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ, ปราสาทแห่งซาน จีโอวานนี ปราสาทเก่าแก่ยุคกลาง, โบสถ์แห่งกอเตอร์ โบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ในเมือง

KOTOR, MONTENEGRO

16. SARAJEVO, BOSNIA AND HERCEGOVINA

ซาราเยโวเป็นมืองหลวงของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งเมื่อทศวรรษ 1990 ทั้งเมืองเคยกลายเป็นซากปรักหักพังจากภัยสงครามกลางเมืองก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมา กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองยอดนิยมเมืองหนึ่งของประเทศ

เมื่อมาถึงซาราเยโวแล้ว พลาดไม่ได้เลยที่จะต้องไปดู Kovaci Memorial Cemetery สุสานขนาดใหญ่สำหรับฝังศพชาวบอสเนียที่ทำการสู้รบกับชาวเซิรบ์ในสงครามกลางเมืองเมื่อทศวรรษ 1990 รวมไปถึงการเยี่ยมชม Sarajevo Tunnel Museum พิพิธภัณฑ์ที่ครั้งหนึ่งชาวบอสเนียเคยใช้เป็นอุโมงค์เพื่อหลบหนีออกไปนอกเมือง และใช้เป็นที่ส่งเสบียงอาหารเข้ามายังภายในเมือง สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ Gazi Husrev-beg Mosque, Latin Bridge, Jewish Museum, Sarajevo Town Hall เป็นต้น

SARAJEVO, BOSNIA AND HERCEGOVINA

17. PRAGUE, CZECH REPUBLIC

ปราก เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐเช็ก ปรากได้รับฉายาว่า “The City of a Hundred Spires” หรือ “เมืองแห่งหนึ่งร้อยยอด” เนื่องจากทั้งเมืองเต็มไปด้วยความสวยงามและเงียบสงบท่ามกลางขุนเขา อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางอาณาจักรโบราณมาเนิ่นนานตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล เมืองปรากจึงเต็มไปด้วยเรื่องราว เรื่องเล่า และสถาปัตยกรรมเก่าแก่จำนวนมาก จนทำให้ปรากได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1992 และนับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยค่ะ

สำหรับสถานที่เที่ยวน่าสนใจ อาทิ
• สะพานชาร์ลส์ สะพานหินเก่าแก่คู่เมือปราก สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1357
• ปราสาทปราก ปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และภายในปราสาทยังมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ ถนนทองคำ, มหาวิหารบาซิลลิกา ออฟ เซนต์จอร์จ, พระราชวังเก่า
• หอนาฬิกาดาราศาสตร์ หอนาฬิกาเก่าแก่ที่ติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1410 และยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน
• ซุ้มประตูเมือง Powder Tower ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณย่านโซนเก่า สร้างด้วยสถาปัตยกรรมโกธิค ด้านบนเป็นหอคอยจุดชมวิวเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

PRAGUE, CZECH REPUBLIC

18. OLOMOUC, CZECH REPUBLIC

จากกรุงปราก มาเที่ยวกันต่อที่เมืองโอโลโมซ ซึ่งตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูมิภาค Moravia เคยเป็นเมืองหลวงเก่ามาก่อน ห่างจากกรุงปรากโดยรถไฟประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ตามเรื่องเล่า เล่ากันว่าเมืองโอโลโมซถือกำเนิดจากการเป็นป้อมปราการของชาวโรมัน โดยมีจูเลียส ซีซาร์เป็นผู้สร้างเมืองขึ้นมา ทำให้เมืองทั้งเมืองได้รับอิทธิพลทางศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบโรมันมาทั้งหมดค่ะ

สำหรับสถานที่เที่ยวยอดนิยมที่ใครมาโอโลโมซต่างต้องแวะมาก็คือ จตุรัสใจกลางเมืองที่มีเสาหิน Holy Trinity ศิลปะสไตล์บาโรคตั้งอยู่ โดยเจ้าเสาหินนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ประดับประดาไปด้วยรูปปั้นทางศาสนา นอกจากนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ หอนาฬิกาดาราศาสตร์ โบสถ์เซนต์มอริสท์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ศาลากลางยุคศตวรรษ 14 และพระราชวังบิชอป เป็นต้น

OLOMOUC, CZECH REPUBLIC

19. BERAT, ALBANIA

เบรัต เมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “Town of a thousand windows” หรือเมืองที่มีหน้าต่างหลายพันบาน ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา ทำให้อาคารบ้านเรือนสร้างขึ้นลดหลั่นกันตามแนวภูเขา Tomorri ไปจนถึงตัวปราสาทเบรัต เกิดเป็นภาพหน้าต่างหลายพันบานเมื่อมองมาจากข้างล่าง นอกจากนี้แล้ว ทั้งเมืองยังเป็นเมืองเก่าที่อนุรักษ์สถาปัตยกรรมออตโตมันไว้อย่างสมบูรณ์จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2005

เมื่อมายังเบรัตแล้ว สถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการขึ้นไปยังปราสาทเบรัตเพื่อชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองแบบ 360 องศา และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกลางเมือง เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศอันแสนสบายแบบชาวเบรัต ที่จะพากันออกมาสังสรรค์ตามถนนกัน และถ้าอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศิลปะของชาวเบรัต ก็มีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ Onufri ให้เข้าชมกันค่ะ

BERAT, ALBANIA

20. BUDAPEST, HUNGARY

มาถึงเมืองสุดท้ายกับเมืองบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งแม่น้ำดานูบ” เนื่องด้วยลักษณะของเมืองที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำดานูบ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเรียกว่าฝั่งบูดา และฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเรียกว่าฝั่งเปสต์ ด้วยลักษณะเมืองที่มีแม่น้ำคั่นกลาง ทำให้ภูมิทัศน์เมืองมีความสวยงามทั้งจากตัวสถาปัตยกรรม ผังเมือง สะพานข้ามแม่น้ำ และอาคารบ้านเรือน

บูดาเปสต์ เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ต้องใช้เวลาหลายวันในการเที่ยว สถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลยได้ อาทิ
• สะพานเชนเซเชนยี สะพานที่พาดระหว่างแม่น้ำดานูบสองฝั่ง ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมือง
• ปราสาทบูดา ปราสาทที่ในอดีตเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์ฮังการี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติ
• โรงอาบน้ำเซเชนยี โรงอาบน้ำที่มีสปาน้ำพุร้อนใหญ่ที่สุดในยุโรป
• จัตุรัสวีรชน สร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญวีรบุรุษฮังการีในอดีต และเพื่อฉลองครบรอบ 1,000 ปีประเทศ
• เกลเลิร์ต ฮิลล์ สถานที่ชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวบูดาเปสต์ทั้งสองฝั่งได้แบบพาโนรามา
• รัฐสภาฮังการี รัฐสภาที่มีความงดงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค

BUDAPEST, HUNGARY

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 20 เมืองน่าเที่ยวประเทศแถบยุโรปตะวันออก หลาย ๆ เมืองอาจเป็นเมืองที่เราไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เมืองเหล่านี้ล้วนมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลากหลายแห่ง รวมไปถึงสถาปัตยกรรม ศิลปะและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสถานที่อื่น ๆ รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปค้นหา เรียนรู้ และสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ หวังว่าประเทศแถบยุโรปตะวันออกจะอยู่ใน “Bucket List” สำหรับแพลนเที่ยวครั้งหน้านะคะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
25 Amazing Places in Eastern Europe You Have To Visit

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา