สหราชอาณาจักร(The United Kingdom: UK) อันประกอบไปด้วย อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ นั้นเป็นจุดหมายปลายทางในการไปศึกษาต่อต่างประเทศที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองของโลกจากนักศึกษาทั่วโลกเลยนะคะ ใน UK มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 460,000 คนในแต่ละปีเลยทีเดียว โดยในประเทศไทยของเรานั้น UK ถือเป็นตัวเลือกลำดับแรกๆ ที่นักศึกษาเลือกที่จะไปศึกษาต่อ ทั้งด้านภาษาการไปฝึกสำเนียงภาษาแบบผู้ดีอังกฤษ ไปจนถึงทางด้านวิชาการที่มีหลากหลายศาสตร์ และมีชื่อเสียง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของ UK ถือเป็นต้นแบบของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเลยนะคะ
วันนี้ Allianz Travel จะพาทุกคนไปพบกับ 10 มหาวิทยาลัยยอดนิยมของนักศึกษาต่างชาติที่นิยมไปศึกษาต่อใน UK กันค่ะ
1. มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด (UNIVERSITY OF OXFORD)
แห่งแรกที่เราจะแนะนำ คือ มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด ค่ะ ตั้งอยู่ใน เมืองอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร และเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีอายุไม่น้อยกว่า 800 ปี เลยทีเดียวค่ะ โดดเด่นในด้าน อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ กฎหมาย และงานวิจัยต่างๆ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูง มีการเรียนการสอนที่เข้มข้น และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
Times Higher Education (THE) ประกาศผลการจัดอันดับ Times Higher Education World University Rankings ให้ อ๊อกซฟอร์ด เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกในปี 2019 ซึ่งมีนักศึกษาถึง 97% ได้งานทันทีหลังจบการศึกษา ศิษย์เก่าของ Oxford กลายเป็นผู้นำระดับนานาชาติจำนวนมาก เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษถึง 27 คน ได้รับรางวัลโนเบล 50 คน และได้รับเหรียญรางวัลโอลิมปิกถึง 120 คน ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดหลายคนได้ช่วยสร้างคุณประโยชน์แก่โลกมากมาย ยกตัวอย่างเด่นๆ เช่น เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในอังกฤษ เป็นผู้เข้าร่วมในคณะนักบวชเพียวริแตน ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในอเมริกา ศิษย์เก่าอ๊อกซฟอร์ดคือ เจเรมี เบนทัม ผู้นำปรัชญาประโยชน์นิยมซึ่งเคยศึกษาที่วิทยาลัยควีนส์ ในอ๊อกซฟอร์ดเป็นผู้ก่อตั้ง University College London ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ มหาวิทยาลัยลอนดอน ในอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทยเราเองที่ทรงปรับรูปแบบการศึกษาแบบเดิมของไทย โดยเกิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เดิมเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก ก็เพราะทรงได้รับอิทธิพลความคิดจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดค่ะ
มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด มีความงดงามในด้านสถาปัตยกรรม มีพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก รวมไปถึงสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีระบบห้องสมุดทางวิชาการที่ใหญ่ที่สุดใน บริเตน ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีตึกเรียนที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น แฮรี่ พอตเตอร์ และ เจมส์ บอนด์ (หลายภาค)
2. มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (UNIVERSITY OF CAMBRIDGE)
มหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้คือ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ค่ะ เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดเป็นลำดับที่ 2 ในสหราชอาณาจักร และยังเก่าแก่เป็นลำดับที่ 3 ของโลกเลยทีเดียวนะคะ ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่มีขนาดใหญ่มาก เปิดสอนมาแล้วมากกว่า 800 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1209 ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เดิมเป็นกลุ่มคณาจารย์และนักศึกษาที่ย้ายมาจาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดค่ะ ทำให้ระบบการเรียนการสอนของเคมบริดจ์คล้ายกันกับของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก เพราะเป็นมหาวิทยาลัยลัยที่มีศิษย์เก่าเป็นผู้ได้รางวัลโนเบล สูงที่สุดถึง 81 รางวัลเลยทีเดียว ในปี ค.ศ. 2005 วารสาร The Times Higher Education Supplement ก็ยังได้จัดอันดับ World University Rankings ให้มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 3 ของโลก และต่อมาในปี 2006 และปี 2007 ก็มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 2 ของโลก สองปีซ้อน
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีการจัดการเรียนการสอนในระบบวิทยาลัย ระบบนี้มีลักษณะคล้ายกับบ้านประจำของนักเรียนพ่อมดแม่มดในโรงเรียนฮอร์กวอร์ดของหนังสือชุด แฮรี่ พอตเตอร์ ซึ่งก็คือ เมื่อเข้าประจำบ้านแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนหรือย้ายตลอดช่วงการศึกษา ถือเป็นสังกัดไปจนเรียนจบ (ยกเว้นตอนเปลี่ยนระดับการศึกษา อาจขอเปลี่ยนได้) ทุกวิทยาลัยจะมีประเพณีของตัวเอง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ของตัวเอง วิทยาลัยของเคมบริดจ์หลาย ๆ แห่ง จึงมีฐานะร่ำรวย และชอบที่จะแข่งขันกันว่าใครจะให้ความสะดวกแก่เด็กในสังกัดของตัวเองได้มากกว่ากัน วิทยาลัยแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ คือ Peterhouse ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีสังกัดวิทยาลัยในเครืออยู่ถึง 31 วิทยาลัยด้วยกัน เพื่อรองรับจำนวนนักศึกษาที่มากขึ้นและเพิ่มวิทยาลัยเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
3. อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (IMPERIAL COLLEGE LONDON (ICL))
ที่มาของภาพ : https://bit.ly/35ZmdYx
แห่งที่ 3 เราไปกันที่ อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ค่ะ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สวยที่สุดของกรุงลอนดอน อย่าง เซาท์เคนซิงตัน ซึ่งเป็นแหล่งรวมของทั้งสถาบันทางการศึกษาและพิพิธภัณฑ์ศิลปะต่าง ๆ มากมายน่าสนใจมากเลยค่ะ
มหาวิทยาลัย อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน เป็นมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Russell Group และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ QS World Rankings มหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีความโดดเด่นเป็นอย่างสูงทางด้านผลงานการวิจัย และยังชนะรางวัลโนเบลถึง 14 รางวัลเลยค่ะ นอกจากนั้นยังคว้ารางวัลทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์มากถึง 81 รางวัล
มหาวิทยาลัยแห่งนี้เปิดสอน 4 คณะ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คณะแพทยศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจ ประกอบไปด้วยสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้ค่ะ
1. คณะวิศวกรรมศาสตร์ : วิศวกรรมชีวการ วิศวกรรมเคมีและเทคโนโลยีเคมี วิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมวัสดุ และวิศวกรรมเครื่องกล2. คณะวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ : วิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต เคมี คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์3. คณะแพทยศาสตร์ : เป็นคณะแพทย์ดีเด่น มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร สอนนักเรียน แพทย์ในโรงพยาบาล 6 แห่งด้วยกัน4. คณะบริหารธุรกิจ : มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกด้านการเรียนการสอนสาขาบริหารธุรกิจและการจัดการด้วยหลักสูตรที่ตรงตามความต้องการของโลกธุรกิจในปัจจุบัน
อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ลงตัวเหมาะกับการศึกษาของนักศึกษา ผู้ประกอบการ หรือ ผู้ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจในระดับนานาชาติ เงินเดือนเฉลี่ยเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ของที่นี่นั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้ที่จบระดับมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรเลยนะคะ
4. มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน UNIVERSITY COLLEGE LONDON (UCL)
มหาวิทยาลัยแห่งที่ 4 ที่เราจะพาไปรู้จักกันวันนี้คือ มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ค่ะ เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกของ Russell Group อันทรงเกียรติที่เป็นกลุ่มสถาบันที่มีความเป็นเลิศในด้านงานวิจัย มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุง London ตามชื่อ ทำให้นักศึกษาของที่นี่นั้นสามารถเข้าถึงสภาพแวดล้อมของหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลกอย่างลอนดอน อันประกอบไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย เครือข่ายชั้นนำระดับโลก และกิจกรรมมากมายให้ได้เปิดหูเปิดตาทั้งกลางวันไปจนถึงยามค่ำคืนจัดเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายของสาขาวิชาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีชื่อเสียงในด้านแพทยศาสตร์วรรณกรรม นิติศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ โดยเฉพาะ งานวิจัยที่มีคุณภาพ และรูปแบบการเรียนการสอนที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นใน UK เนื่องจากเป็นการเรียนการสอนแบบบูรณาการความรู้จากหลากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกันคล้ายกับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา
ที่มาของภาพ : https://www.qs.com/university-college-london-to-host-ireg-7-conference/
มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน เป็นมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูงในการสมัครเข้าศึกษาต่อ ทั้งในระดับประเทศ และในระดับนานาชาติ ศิษย์เก่าของที่นี่ ที่เป็นบุคคลสำคัญ เช่น ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ และผู้ร่วมค้นพบโครงสร้างของ DNA รวมไปถึงผู้ก่อตั้งกาน่า ญี่ปุ่นสมัยใหม่ และไนจีเรีย ผู้ค้นพบแก๊สมีตระกูล
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน มีศาสตราจารย์ คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัย เป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล อันทรงเกียรติมาแล้วถึง 29 รางวัล และ Times Higher Education 2019 ยังจัดลำดับให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 14 ของโลกเลยทีเดียวค่ะ
5. วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LONDON SCHOOL OF ECONOMICS AND POLITICAL SCIENCE (LSE))
แห่งที่ 5 วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน เป็นสถาบันเฉพาะทางสายสังคมศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ อันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรและทวีปยุโรป และเป็นอันดับที่ 1 ของโลก โดยการจัดอันดับมาตรฐานมหาวิทยาลัยโลก The QS World University Rankings และ Times Higher Education 2019 ก็จัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 26 ของโลกค่ะ
วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน ถือเป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดอันดับ 1 ของโลกในการเตรียมความพร้อมของนักศึกษาสู่สายอาชีพวารสารศาสตร์และสิ่งพิมพ์ และ ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และการจัดการ และ ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกในวิชาสื่อและ การสื่อสาร ที่สำคัญวิทยาลัยแห่งนี้ยังเป็น ที่ตั้งของห้องสมุดด้านสังคมศาสตร์ การเมือง และการปกครองที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ผู้นำประเทศและองค์กรนานาชาติหลายท่านได้รับการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ อาทิ เช่น จอห์น เอฟ. เคนเนดี และ ลี กวนยู อีกทั้งนักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย ป๋วย อึ้งภากรณ์ คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช จนปัจจุบันรวมแล้วมีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีประเทศต่าง ๆ ในโลกที่เป็นศิษย์เก่าไม่ต่ำกว่า 34 คน นอกจากนี้ยังมีนักเรียนและบุคลากรจากที่นี่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 18 คนเลยค่ะ
ที่มาของภาพ : https://uceapuk.org/london-school-of-economics-and-political-science/
ที่มาของภาพ : https://studyabroad.shiksha.com/uk/universities/london-school-of-economics-and-political-science
ถ้าคุณสนใจจะศึกษาต่อที่นี่ ก็สามารถดูรายละเอียดคณะหรือสาขาที่สนใจในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ได้เลยนะคะเพราะที่วิทยาลัยแห่งนี้ต้อนรับนักศึกษาชาวต่างชาติ มีนักศึกษาจากต่างชาติมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลกที่เข้ามาศึกษาที่สถาบันแห่งนี้
6. มหาวิทยาลัยเอดินบะระ (UNIVERSITY OF EDINBURGH)
ที่มาของภาพ : https://www.thetimes.co.uk/article/university-of-edinburgh-fined-over-lab-health-risks-n6933sb79
แห่งที่ 6 มหาวิทยาลัยเอดินบะระ หนึ่งในสุดยอดมหาวิทยาลัยของโลกทางด้านการแพทย์ มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในเมืองเอดินเบอระซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของสก็อตแลนด์รองจากเมืองกลาสโกว์ ตัวมหาวิทยาลัยเอดินบะระจะไม่มีแคมปัส แต่อาคารเรียนจะเป็นตึกกระจายอยู่รอบเมืองปะปนกับอาคารพาณิชย์ทั่วไป มหาวิทยาลัยแห่งนี้เก่าแก่เป็นอันดับ 4 ของสก็อตแลนด์ โดยก่อตั้งถัดจาก St Andrews, Glasgow และ Aberdeen จากการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยทั่วโลก มหาวิทยาลัยเอดินบะระติดอันดับ Top 100 ของโลก ทั้งด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และการแพทย์ รวมไปถึงทางด้านปฐพีวิทยาและวรรณกรรม
ความสำเร็จของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีมากมายเริ่มตั้งแต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เป็นศูนย์กลางของยุคแห่งแสงสว่าง ของทวีปยุโรปในศตวรรษที่ 18 โดยได้รับยกย่องให้เป็นผู้นำและมีชื่อเสียงในทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งยังคงโดดเด่นจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางด้านการสอนและการวิจัยของสกอตแลนด์ เพราะมีวิชาด้านการวิจัยมากมายถึง 135 สาขา Times Higher Education 2019 จัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 29 ของโลก
ที่มาของภาพ : https://inews.co.uk/news/edinburgh-university-paid-26000-move-principals-pets-staff-pensions-strike-130068
อีกหนึ่งความสำเร็จคือการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสหราชอาณาจักร โดยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ได้จัดตั้งภาควิชาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent) รวมถึงยังมีสถาบันด้านบริหารธุรกิจอย่าง University of Edinburgh Business School ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและติดอันดับต้นๆของโลก และสถาบัน Edinburgh Law School ถือเป็น โรงเรียนกฎหมาย ที่เก่าแก่เป็นอันดับ 3 ในสก็อตแลนด์ถัดจาก University of Glasgow และ University of Aberdeen โดยมีอายุกว่า 300 ปี และที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระนี้ก็มีทุนให้กับนักศึกษาต่างชาติที่สนใจไปศึกษาต่อทุกปีอีกด้วยนะคะ ปีละหลายอัตราเลยค่ะ
7. คิง คอลเลจ ลอนดอน (KING’S COLLEGE LONDON (KCL))
แห่งที่ 7 คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ก่อตั้งขึ้นในปี 1829 โดย พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร และ ดุค ออฟ เวลลิงตัน เป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดอันดับสี่ของอังกฤษ ในปี 1836 คิงส์กลายเป็นหนึ่งในสองผู้ก่อตั้งวิทยาลัยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางมหานครลอนดอน และเป็นสถาบัน Top 10 ของสหราชอาณาจักร (จากการจัดอันดับโดย QS World University Rankings 2018) คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน เป็นสมาชิกของ Russell Group กลุ่มสถาบันอุดมศึกษาระดับโลกที่มุ่งเน้นไปที่การทำงานวิจัยแบบเข้มข้น คิงส์ คอลเลจ มีวิทยาเขตทั้งหมด 4 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลอนดอนบริเวณริมแม่น้ำเทมส์ เวสท์มินสเตอร์ และย่านใจกลางเมือง โดยอีกหนึ่งวิทยาเขตอยู่ทางตอนใต้ของลอนดอน
ที่มาของภาพ : https://news.microsoft.com/en-gb/2019/05/02/kings-college-london-learns-how-to-unlock-the-power-of-data/
ทางด้านวิชาการ คิงส์ คอลเลจก็มีความโดดเด่น ในด้านแพทยศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และการพัฒนาระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการทำวิจัย ซึ่งนักวิจัยเคยยกย่องให้ คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน เป็น “ผู้นำระดับโลก” เนื่องจาก ค้นพบโครงสร้างของ DNA ที่ซับซ้อน และปัจจุบันยังเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเรียนการสอนด้านแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และความเป็นมืออาชีพด้านสาธารณสุขศาสตร์ของยุโรปและสหราชอาณาจักร มีศูนย์การวิจัยด้านแพทยศาสตร์ ถึง 6 แห่ง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในสหราชอาณาจักรเลยค่ะ
คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน เป็นพันธมิตรกับสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 150 แห่ง ซึ่งมีการศึกษาแลกเปลี่ยนทางวิชาการได้ในระหว่างปีการศึกษา ภาคเรียน รวมไปถึงช่วงการเรียนภาคฤดูร้อนอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นอีกสถาบันการศึกษาหนึ่งที่เป็นมิตรและยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ มีบริการพิเศษสำหรับนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ โดยทางมหาวิทยาลัยมีการจัดชั้นเรียนภาษาอังกฤษแบบ Pre-Sessional ระยะเวลาสูงสุด 17 สัปดาห์ สำหรับนักเรียนนานาชาติที่ต้องการเพิ่มเติมความรู้ทางภาษาอังกฤษก่อนเปิดภาคเรียน ในระหว่างภาคเรียนจะมีชั้นเรียนเพื่อการพัฒนาทักษะ เช่น ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ การจดบันทึกย่อ และยังมีภาษาอังกฤษเฉพาะทาง นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมี Student Advice Service ที่คอยให้คำปรึกษาทางด้านการทำวีซ่า และด้านกฎหมายอีกด้วย
8. มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (UNIVERSITY OF MANCHESTER)
ที่มาของภาพ : https://www.hotcourses.in.th/study/uk/school-college-university/into-manchester-university-of-manchester/3917/international.html
แห่งที่ 8 มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมือง Manchester ทางทิศเหนือของประเทศอังกฤษโดยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร และเป็นสมาชิกของกลุ่ม Russell Group อันทรงเกียรติ มีจุดเด่นในด้านประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษ การเมือง รัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ มานุษยวิทยาสังคม รวมถึงพยาบาลศาสตร์ และสาขาวิชาพัฒนศึกษา มีนักศึกษาถึง 38,000 คน และนักศึกษานานาชาติจำนวนมากกว่า 9,000 คน รวมถึงอาจารย์และบุคลากรจำนวน 10,000 คน โดยมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงทางด้านวิชาการและความยอดเยี่ยมด้านงานวิจัย Times Higher Education 2019 จัดให้มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 57 ของโลกค่ะ
มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่ชนะรางวัลโนเบลถึง 25 รางวัล บัณฑิตที่จบการศึกษาของมหาวิทยาลัยจำนวน 91% ได้รับการจ้างงานหรือศึกษาต่อ
มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง มีทั้งนักศึกษาชาวบริติช และนักศึกษานานาชาติจาก 180 ประเทศ มหาวิทยาลัยมีบริการพิเศษแก่นักศึกษาต่างชาติแต่แรกเข้าโดยมีการต้อนรับนักศึกษาจากสนามบิน และยังมีทีมงานที่แนะนำเกี่ยวกับวีซ่า การย้ายเข้าเมือง และการช่วยเหลือในการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายด้านสุขภาพง่ายดายจริง ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการไปศึกษาต่อ
9. มหาวิทยาลัยบริสตอล (UNIVERSITY OF BRISTOL)
แห่งที่ 9 มหาวิทยาลัยบริสตอล ตั้งอยู่ที่เมือง Bristol เป็นสถาบันอุดมศึกษาเน้นวิจัยขนาดใหญ่ ตั้งในใจกลางเมืองบริสตอล สหราชอาณาจักร มีชื่อเสียง ในด้านแพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ถือเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติที่แท้จริง เพราะเต็มไปด้วยนักศึกษา และนักวิชาการจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ที่สำคัญมีการเรียน การสอนแบบควบคู่ Combined Master’s ซึ่งจะได้รับปริญญาโทถึง 2 ใบหลังจบการศึกษาอีกด้วย
ที่มาของภาพ : https://www.huffingtonpost.co.uk/entry
มหาวิทยาลัยบริสตอล เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยอิฐแดง (Red brick university) ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยมหาวิทยาลัยกลุ่มนี้เป็น Civic University หรือ มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากหน่วยงานทางศาสนา หรือชนชั้นขุนนางในสมัยที่ก่อตั้ง ยิ่งไปกว่านั้น มหาวิทยาลัยได้เป็นสมาชิกกลุ่มกูอิงบราเป็นเครือข่ายมหาวิทยาลัยของยุโรป ที่ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1985 และจดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1987 ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของทวีปจำนวน 39 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาโบราณในยุโรป และบริสตอลยังเป็นสมาชิกก่อตั้งของกลุ่ม Russell Group ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นเรื่องงานวิจัยอันทรงเกียรติในสหราชอาณาจักร
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้การต้อนรับนักศึกษานานาชาติเป็นอย่างดีเยี่ยม ทั้งมีทุนการศึกษาและทุนส่วนลดค่าเรียนเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แถม Times Higher Education 2019 ยังจัดอันดับให้บริสตอลเป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 78 ของโลกเลยนะคะ เป็นตัวเลือกที่ดีเลยค่ะ
10. มหาวิทยาลัยวอร์วิค (UNIVERSITY OF WARWICK)
ที่มาของภาพ : https://th.hellomagazine.com/education/top-9-university-in-uk/
มหาวิทยาลัยวอร์วิค เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองโคเวนทรี (Coventry) โดยได้รับการยอมรับในฐานะสถาบันศึกษาชั้นนำของโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1965 ปัจจุบันมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนกว่า 18,000 คนจาก 120 ประเทศทั่วโลก และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัยซึ่งอยู่ในเครือ Russell Group อันทรงเกียรติ
มหาวิทยาลัยวอร์วิค แบ่งเป็นคณะต่าง ๆ ได้แก่ ศิลปะ การแพทย์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับท็อป 10 ของมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งใหม่ยอดเยี่ยมของโลก มีจุดแข็งในด้านภาษาอังกฤษและวรรณกรรม อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ศิลปศึกษา Warwick Art Centre จากการสำรวจโดย High Fliers Research พบว่านักศึกษาที่จบจาก Warwick เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก และในปี 2013 มีนักศึกษาถึง 92% ที่จบการศึกษาแล้วได้รับการจ้างงานหรือได้เข้าศึกษาต่อภายใน 6 เดือน Times Higher Education 2019 จัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 79 ของโลก
จากมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับทั้งหมด 10 แห่งที่เราพามาแนะนำกันในวันนี้เป็นยังไงกันบ้างคะ คุณจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งใครที่สนใจต้องเตรียมศึกษาข้อมูล สำรวจความต้องการของตนเองให้ดีนะคะ เตรียมตัวให้พร้อมกับการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ และเพื่อให้การศึกษาของคุณราบรื่น ไร้กังวลเมื่ออยู่ต่างแดน อย่าลืมทำประกันการเดินทาง Overseas Student Care ของ Allianz Travel สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยเฉพาะเลยนะคะ
เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ
อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา