10 จุดตั้งแคมป์ ยอดนิยมในประเทศออสเตรเลีย

ต้องยอมรับเลยว่าเทรนการตั้งแคมป์ในประเทศไทยค่อนข้างเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในขณะนี้ จะเห็นได้จากรีวิวของเหล่า influencer หรือ travel blogger หลายๆ คน ที่เดินทางไปตั้งแคมป์ นอนดูดาวกันกับคนรู้ใจ หรือแก๊งเพื่อน หรือแม้กระทั่ง ถ่ายภาพอวดเต็นท์ พร้อมอุปกรณ์ตั้งแคมป์ และพร็อพอื่นๆ เท่ห์ๆ อีกมากมาย ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีสถานที่ตั้งแคมป์ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติที่สวยงามอยู่ ออสเตรเลียก็มีสถานที่ตั้งแคมป์กระจายตัวอยู่มากมายในประเทศเช่นกัน เราจะพาคุณมารู้จักกับการตั้งแคมป์แบบ “แกลมปิ้ง (Glamping)” ที่มีความหรูหรากว่าการแคมป์ปิ้งธรรมดา เต็นท์แบบแกลมปิ้งจะมีห้องน้ำเป็นกิจจะลักษณะ มีห้องครัวภายในทำให้ง่ายกับการประกอบอาหารด้วยตนเอง และสำหรับบางที่นั้นตัวเต็นท์แบบแกลมปิ้งจะติดแอร์ มีทีวี ตู้เย็น ครบครัน สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างคล้ายห้องพักในโรงแรม แต่ต่างตรงอยู่ในเต็นท์เท่านั้น วันนี้ Allianz Travel จะพาคุณไปสัมผัสกับ 10 จุดตั้งแคมป์ยอดนิยมทั่วออสเตรเลียกันเลยค่ะ เริ่มจาก

1. แคมป์ริมชายหาดทางตอนเหนือของเกาะสตรัดโบรค (NORTH STRADBROKE ISLAND)

ตอนเหนือของเกาะสตัดโบรค (North Stradbroke Island) หรือคนท้องถิ่นเรียกว่า สแตรดดี้ (Straddie) ตั้งอยู่ในอ่าวมอร์ตัน ที่นี่เป็นเกาะทรายที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก เป็นดินแดนในฝันสำหรับผู้รักธรรมชาติ และยังคงความบริสุทธิ์อย่างมากค่ะ

NORTH STRADBROKE ISLAND

สถานแห่งนี้เป็นสถานที่ยอดนิยมแห่งหนึ่งในการตั้งแคมป์ริมชายหาดในออสเตรเลีย เกาะนี้ไม่เพียงแต่สามารถเดินทางไปได้สะดวก โดยใช้บริการเรือเฟอร์รี่หรือเรือแท็กซี่ข้ามไปยังเกาะจากเขตชานเมืองคลีฟแลนด์ในบริสเบนเท่านั้นค่ะ แต่ยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อาทิ เช่น ชายหาดที่ทอดตัวยาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด และมีคลื่นลูกใหญ่ๆ ที่ซัดเข้ามายังชายฝั่ง ทำให้เป็นที่ดึงดูดสำหรับเหล่าบรรดานักโต้คลื่น อีกทั้งยังสามารถพบจิงโจ้ที่เดินไปมา เล็มหญ้าอยู่บนไหล่เขาอีกด้วย

ที่นี่คุณสามารถกางเต็นท์ของคุณได้ที่ลานตั้งแคมป์บนหาดไซลินเดอร์ (Cylinder Beach Camping Ground) ซึ่งอยู่ใกล้กับ คาเฟ่ ร้านค้า และร้านอาหาร หรือจะมุ่งหน้าไปยังลานตั้งแคมป์แอดเดอร์ ร็อค (Adder Rock Camping Ground) ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อพบความสงบที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติค่ะ

2. ตั้งแคมป์นอนดูดาวที่นูซา นอร์ธ ชอร์ (NOOSA NORTH SHORE)

นูซา (Noosa) เป็นเมืองติดชายหาดที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ตั้งอยู่บนชายฝั่ง Sunshine Coast ในรัฐควีนแลนด์ ซึ่งอยู่ห่างจากบริสเบนไปทางเหนือเพียง 90 นาที หากเดินทางโดยรถยนต์

ที่มาของรูปภาพ : https://www.habitatnoosa.com.au/

คุณจะได้พบกับอีกประสบการณ์หนึ่งของการตั้งแคมป์ที่ยากจะลืมที่ ฮาบิเทต นูซา เอเวอแกลด อีโคแคมป์ (Habitat Noosa Everglades Ecocamp) ซึ่งที่นี่ให้บริการที่พักแบบแกลมปิ้งเชิงนิเวศ และมีพื้นที่ให้คุณสามารถตั้งแคมป์ได้เองแบบเป็นส่วนตัวอีกด้วย ขนาดพื้นที่ที่ Habitat Noosa นี้มีขนาดใหญ่กว่า164 ไร่ (หรือประมาณ 65 เอเคอร์) เลยทีเดียว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนูซา ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถซึมซับกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ กิจกรรมเด่นของที่นี่คือ คุณสามารถพายเรือแคนูล่องไปตามแม่น้ำ เพื่อชมวิวธรรมชาติสองข้างทางอันเงียบสงบ หรือจะใช้บริการทัวร์ล่องเรือชมแม่น้ำได้อีกด้วย ก่อนที่จะกลับมานอนในเต็นท์เพื่อพักผ่อนยามค่ำคืนภายใต้แสงดาวระยิบระยับ

ที่มาของรูปภาพ : https://www.habitatnoosa.com.au/ และ https://www.myqldholiday.com.au/resort/habitat-noosa/

3. เช่าเต็นท์แคมป์ปิ้งบนเกาะค็อกคาทู (COCKATOO ISLAND) ในซิดนีย์

เกาะค็อกคาทู เป็นเกาะที่ถูกจัดให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกตั้งอยู่ใจกลางอ่าวซิดนีย์ จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมาก เพราะมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งเคยเป็นเรือนจำและต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็เป็นอู่ต่อเรือ โดยยังหลงเหลือความสวยงามของอาคารเก่าท่ามกลางธรรมชาติของเกาะให้เราได้รับรู้ถึงความเป็นมา

ที่มาของรูปภาพ : https://www.theaustralian.com.au/

ที่นี่นอกจากคุณจะได้เดินเที่ยวชมสถานที่แล้วนั้น เกาะแห่งนี้ยังมอบประสบการณ์พิเศษ ให้นักท่องเที่ยวสามารถค้างคืนบนเกาะแห่งนี้ได้ โดยนำอุปกรณ์ตั้งแคมป์มาเอง หรือไม่ก็เช่าเต็นท์ที่มีให้บริการอยู่บนเกาะ ซึ่งคุณอาจจะเลือกเป็นแพ็กเกจแกลมปิ้ง นอนเต็นท์ที่มีความหรูหรา มีห้องน้ำ มีห้องครัว ติดแอร์ มีทีวี ตู้เย็น ครบครัน บนเกาะแห่งนี้ยังมีจุดชมวิวสวยๆ อยู่บริเวณด้านบนเหนือจุดตั้งแคมป์ มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบอ่าวซิดนีย์ได้ไกลถึงสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์และโอเปร่าเฮ้าส์ แลนด์มาร์กสำคัญของประเทศออสเตรเลียเลยทีเดียวค่ะ

4. ค้างคืนในแคมป์สไตล์ซาฟารีที่ ไบรอน เบย์ (BYRON BAY)

ไบรอน เบย์ (Byron Bay) เป็นศูนย์กลางแห่งการพักผ่อนของออสเตรเลีย มีชายหาดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของออสเตรเลียเลยทีเดียว เหมาะสำหรับการโต้คลื่น สถานที่ยอดนิยมแห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นเป็นพิเศษในช่วงฤดูร้อนหรือในช่วงปิดภาคเรียน แต่ถ้าคุณต้องการที่จะพักผ่อนแบบเงียบสงบ คุณจะต้องเดินทางไปทางทิศใต้อีก 7 กิโลเมตร แล้วคุณจะพบกับจุดตั้งแคมป์ที่สวนซัฟโฟร์ค (Suffolk Park)

จุดตั้งแคมป์ สวนซัฟโฟร์ค บีชฟรอนท์ ฮอลิเดย์ (Suffolk Beachfront Holiday Park) จะมอบประสบการณ์พิเศษที่ให้คุณได้พักผ่อนไปกับการนอนเต็นท์แบบซาฟารีที่รองรับได้ถึง 6 ท่าน ต่อเต็นท์ ลานกางเต็นท์แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหาดสำหรับเล่นเซิร์ฟโต้คลื่น

ที่มาของรูปภาพ : https://www.suffolkbeachfront.com.au/

5. พักผ่อนแบบธรรมชาติแท้ๆ ในอุทยานแห่งชาติบูเดรี (BOODEREE NATIONAL PARK)

เดินทางออกจากซิดนีย์ไปทางใต้ด้วยระยะทาง 190 กิโลเมตร คุณจะได้พบกับอุทยานแห่งชาติบูเดรี (BOODEREE NATIONAL PARK) เป็นที่ตั้งของสวนพฤกษศาสตร์ ที่ที่คุณสามารถเดินเล่นผ่อนคลายบนหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ คุณอาจเห็นวาฬหลังค่อมและวาฬเซาเทิร์นไรท์ที่เริ่มออกเดินทางอพยพประจำปีขึ้นไปทางเหนือ และยังเป็นจุดส่องนกที่ดีอีกด้วย จึงทำให้อุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อ่าวแห่งความอุดมสมบูรณ์”

อุทยานแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของลานตั้งแคมป์แบบพื้นฐาน 2 แห่ง ได้แก่ กรีน แพตช์ (Green Patch) และบริสตอล พอยต์ (Bristol Point) ซึ่งอยู่ด้านหน้าอ่าวเจอร์วิส ที่อ่าวเจอร์วิสมักจะมีเจ้าโลมาน้อยใหญ่แวะเวียนมาให้พบเห็นได้อยู่บ่อย ๆ โลมาเหล่านั้นมาแหวกว่ายเล่นสนุกสนานอยู่เป็นประจำที่นี่เพราะถูกดึงดูดด้วยอาหารที่เหล่าโลมานั้นโปรดปรานอย่างทุ่งหญ้าทะเล ส่วนลานตั้งแคมป์แห่งที่สาม บริเวณอุทยานแห่งชาติบูเดรี คือ เคฟบีช (Cave Beach)

ที่มาของรูปภาพ : https://www.completecampsite.com.au/green-patch-camp-ground/

6. ตั้งแคมป์ในอุทยานแห่งชาติคาคาดู (KAKADU NATIONAL PARK)

อุทยานแห่งชาติคาคาดู แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำอัลลิเกเตอร์ในรัฐนอร์ทเทิร์นเทอริทอรี (Northern Territory) ของออสเตรเลีย โดยอยู่ห่างจากเมืองดาร์วินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 191 กิโลเมตร เป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย คาคาดู kakadu เป็นสถานที่ซึ่งมีความหลากหลายทั้งด้านระบบนิเวศน์และสิ่งมีชีวิต โดยพื้นที่ของอุทยานประกอบด้วยป่าเขตร้อน ทุ่งหญ้า บึงน้ำ ที่ราบน้ำท่วมถึง ภูเขาหิน ที่ราบลุ่มและเนินเขา ทั้งยังมีพันธุ์พืชและสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก

อุทยานแห่งนี้จะมีพื้นที่ตั้งแคมป์อันร่มรื่นท่ามกลางต้นไม่ใหญ่ และธรรมชาติที่สวยงาม ชื่อ คูอินดา (Kooinda) อยู่ถัดจากเยลโลว์วอเตอร์ บิลลาบอง (Yellow Water Billabong) ซึ่งเป็นทะเลสาปอันสวยงามแสนสงบ

สถานที่แห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยภูมิทัศน์ที่งดงามของอุทยานแห่งชาติคาคาดู คุณจะได้มีโอกาสเห็นสัตว์ป่า และพืชพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของออสเตรเลียจากที่นี่ด้วย อาทิ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งพวกมาซูเพียล (พวกมีกระเป๋าหน้าท้อง) และพลาเซนทัล (พวกมีรก) รวมกว่า 60 ชนิด มีนกมากกว่า 280 ชนิดอาศัยอยู่ที่นี่ มีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกกบอีก 25 ชนิด ปลาหลายร้อยชนิด แมลงหมื่นกว่าชนิดและพืชต่างๆ อีก 1,700 ชนิด นับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติคาคาดู ยังมีจุดเด่น คือ มีภาพวาดผนังถ้ำของคนพื้นเมืองที่มีอายุกว่า 25,000 ปีอยู่ด้วยนะคะ

7. ไปกางเต็นท์ฟรีที่อุทยานแห่งชาติแกรมเปียนส์ (GRAMPIANS NATIONAL PARK)

ใครที่เป็นสายเที่ยวธรรมชาติ ชอบการผจญภัย เราขอแนะนำคุณไปปูเสื่อนอนเล่นที่ฟอร์เตรสส์ (Fortress) โขดหินธรรมชาติที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติแกรมเปียนส์ค่ะ ที่นี่เป็นจุดตั้งแคมป์ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สถานที่แห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า แกรนด์ แคนยอนแห่งออสเตรเลีย ได้รวบรวมเอาทั้งน้ำตกขนาดเล็กใหญ่ ลำธาร หน้าผาสูง รวมไปถึงสัตว์ท้องถิ่นอีกมากมายหลายสายพันธุ์ เช่น นกประจำถิ่น และจิงโจ้ที่มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ให้เราได้ค้นหากันค่ะ

นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวแบบค้างคืน อาจจะตั้งแคมป์ กางเต็นท์ฟรี หรือพักโรงแรม ในอุทยานแห่งชาตินี้ก็มีให้บริการ เนื่องจากที่นี่มีขนาดกว้างขวางมาก เที่ยววันเดียวอาจจะไม่พอ สำหรับกิจกรรมที่ขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมกัน คือ เดินทางไปดูน้ำตก และเดินขึ้นเขาเพื่อไปที่จุดชมวิวเดอะพินนาเคิล วอร์ค (The Pinnacle walks) ซึ่งเป็นอีกจุดไฮไลท์ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งที่คุณจะได้เห็นวิวความสวยงามของธรรมชาติรอบ ๆ แบบมุมเปิดโล่งสุดสายตา แต่ถ้าใครเป็นแนวรักสัตว์ก็จะสามารถพบกับจิงโจ้ได้เยอะมากที่นี่ ทั้งบริเวณที่ให้ชมแบบมีรั้วกั้น หรือถ้าใครอยากจะไปดูอย่างใกล้ชิด ก็มีให้เห็นตลอดข้างทาง ซึ่งไม่ควรพลาด และรับรองได้ว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ

8. สัมผัสประสบการณ์ตั้งแคมป์ในป่าที่อุทยานแห่งชาติ NARAWNTAPU (NARAWNTAPU NATIONAL PARK)

อุทยานแห่งชาติ Narawntapu เป็นอุทยานแห่งชาติในรัฐแทสเมเนีย ประเทศออสเตรเลีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งที่เงียบสงบทางตอนเหนือของแทสเมเนีย ทอดยาวจากหาดกรีน (Greens Beach) ที่ปากแม่น้ำทามาร์ (Tamar River) ไปถึงหาดเบเกอร์ (Bakers Beach) ทางตะวันตก

คุณสามารถไปที่นี่เพื่อพบกับความสะดวกสบายในการตั้งแคมป์โดยไปลองใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ เนื่องจากอุทยานแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ในป่าเป็นอย่างมาก และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมสัตว์ป่าที่หายากในรัฐ คุณจะได้พบกับจิงโจ้ Forester วอลลาบี้ (Bennetts wallabies) วอมแบต (Wombat) ที่ออกมาเล็มหญ้าในตอนเย็น และอาจจะได้ยินเสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าพื้นเมืองอย่างแทสเมเนียน เดวิล (Tasmanian Devils) นอกจากนี้ยังมีนกอีกหลากหลายชนิดให้คุณได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดด้วยนะคะ

อุทยานแห่งนี้ยังเป็นแหล่งให้อาหารของนกอินทรีหางลิ่มแทสเมเนียน (Endangered Tasmanian Wedge-Tailed Eagle) ที่ใกล้สูญพันธุ์ และมักจะพบเห็นนกออก หรือนกอินทรีทะเล (White-Bellied Sea Eagles) บินร่อนอยู่เหนือศีรษะ นอกจากนี้ เราจะพบเจอเปลือกหอยและสิ่งประดิษฐ์มากมายที่ตามเส้นทางเดินเท้า ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาวอะบอริจิน

9. ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศในป่าคิมเบอเลย์ (THE WILDERNESS OF THE KIMBERLEY)

Kimberley ผืนป่าที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของออสเตรเลีย อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 421,451 ตารางกิโลเมตร เป็นหนึ่งในสมบัติที่ซ่อนอยู่ของออสเตรเลีย มีภูมิทัศน์อันกว้างใหญ่และซับซ้อน มีช่องเขา น้ำตก รวมไปถึงถ้ำที่สวยงาม มีป่าฝนเขียวชอุ่ม และสัตว์ป่านานาชนิด

ที่มาของรูปภาพ : https://trustthetickwa.com.au/listings/56b266fcd5f1565045daa24e

สถานที่แห่งนี้มีที่ที่น่าไปพักผ่อนที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง ชื่อว่า สวนป่า เอล เควสโตร (El Questro Wilderness Park) อยู่ทางทิศตะวันตกของคูนูเนอร์ร่า (Kununurra) มีระยะทางห่างกันประมาณ 110 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของคอมเบอเลย์ เป็นป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีภูมิประเทศรกร้างว่างเปล่า ป่าแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของหนึ่งในสถานที่ที่สวยที่สุดของออสเตรเลียที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงนั่นก็คือ “บ่อน้ำพุร้อน”

ที่มาของรูปภาพ : https://www.traveller.com.au/six-places-to-visit-the-kimberley-western-australia-unforgettable-journeys-gri72w

จุดตั้งแคมป์มี 2 ที่ที่น่าสนใจ คือ ที่ลานตั้งแคมป์แบล็ค คอคคาทู (Black Cockatoo Campground) หรือจะเลือกไปนอนที่จุดตั้งแคมป์แบบส่วนตัวริมแม่น้ำ ไพรเวท ริเวอร์ไซด์ บรัช (Private Riverside Bush campsite) ก็เป็น 2 ตัวเลือกที่ดีสุด ๆ ในการผ่อนคลายไปกับบรรยากาศและใช้ชีวิตสัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงไปกับการแคมป์ปิ้งในเขตคิมเบอเลย์เลยค่ะ

ที่มาของรูปภาพ : https://www.elquestro.com.au/camping

10. กางเต็นท์นอนที่ RED CENTRE

ที่แห่งนี้มีสัญลักษณ์ของประเทศออสเตรเลีย คือ https://trustthetickwa.com.au/listings/56b266fcd5f1565045daa24eโขดหินอูลูรู (Uluru) หรือหินแอร์ส (Ayers Rock) หินที่ผุดขึ้นจากใต้พื้นดินขึ้นสู่ท้องฟ้า มีสีแดงโดดเด่นตั้งตระหง่านเป็นเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ในตอนกลางของประเทศออสเตรเลีย เป็นโขดหินขนาดใหญ่ สูง 348 เมตร เส้นรอบวงที่ฐานวัดได้ 9 กิโลเมตร จัดได้ว่าเป็นโขดหินที่ใหญ่ทีสุดในโลก สีสันของหินเปลี่ยนแปลงตามเวลาซึ่งในแต่ละช่วงมีสีแตกต่างกัน อย่างตอนพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกมีสีแดงสะท้อนสวยงาม

สถานที่แห่งนี้มี เอเยอรส์ ร็อค รีสอร์ท (Ayers Rock Resort ) ตั้งอยู่ห่างไปเพียง 15 กิโลเมตร จากเขาหินสีแดงที่โดดเด่น รีสอร์ทให้บริการที่พักหลากหลายประเภทซึ่งรวมไปถึงพื้นที่จุดตั้งแคมป์กางเต็นท์บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มใต้ต้นโอ๊กทะเลทรายพื้นเมือง ลานตั้งแคมป์แห่งนี้มีทั้ง สระว่ายน้ำ บาร์บีคิว ครัวกลางแจ้ง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้เข้าพัก ผู้ที่มาตั้งแคมป์ที่นี่ยังสามารถโดยสารรถรับส่งฟรีของทางรีสอร์ทไปยังซูเปอร์มาร์เก็ต บาร์ ร้านค้า และร้านอาหารในพื้นที่ได้อย่างสะดวกสบายเลยค่ะ

ที่มาของรูปภาพ : https://www.exploroz.com/places/803/nt+ayers-rock-resort-campground และ https://www.venuereport.com/venue/ayers-rock-resort/

เป็นยังไงบ้างคะกับ 10 จุดตั้งแคมป์ในออสเตรเลีย ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ สายการบินระหว่างประเทศเปิดเมื่อไหร่ อย่าพลาดที่จะเดินทางหาประสบการณ์แบบนี้สักครั้งในชีวิตนะคะ เราเชื่อว่าต้องมีจุดตั้งแคมป์สักแห่งที่คุณชื่นชอบและเหมาะกับคุณอย่างแน่นอนค่ะ แล้วก็เมื่อคุณไปผจญภัยในต่างแดนแบบนี้ อย่าลืมเลือกซื้อประกันการเดินทางกับเราก่อนเดินทาง Allianz Travel ให้คุณท่องเที่ยวอย่างสบายใจไร้กังวล ไม่ต้องระแวงว่าจะป่วยหรือประสบอุบัติเหตุระหว่างการท่องเที่ยว เราพร้อมดูแลคุณ 24 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก :
Australia’s top camping spots
10 Best outdoor camping locations in australia

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เที่ยวนครวัด เสน่ห์มนต์ขลัง ที่ต้องลองไปสัมผัสแล้วจะรัก

เสน่ห์มนต์ขลังของ “ นครวัด ” ที่ต้องลองไปสัมผัสแล้วจะรัก

วันนี้ Allianz Travel เรามีแหล่งท่องเที่ยวสุดอลังการที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งมรดกโลกมาแนะนำทุกท่าน สถานที่ที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังและความยิ่งใหญ่ จนทำให้ได้รับการขนานนามว่ามีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมจนติดอันดับ 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตในอาเซียนอีกด้วย เก็บเป็นลิสต์ไว้ก่อน ถ้าเราสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้เมื่อไหร่ จะได้มีจุดมุ่งหมายในการออกเดินทางไปเที่ยวกัน เพราะอยู่ใกล้ ๆ แค่กัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง การเดินทางง่ายมากค่ะ เพียงนั่งเครื่องบินออกจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง ไปยังนามบินเสียมเรียบอินเตอร์เนชั่นแนล ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ก็สามารถเที่ยวได้ทันทีแบบไม่เสียเวลาไปกับเดินทางนาน ๆ เลยค่ะ

เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวชม “ นครวัด ” ศาสนสถานสำคัญของโลก ณ ประเทศกัมพูชา ไปชมสถาปัตยกรรมขอมโบราณที่ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเสียมเรียบเพียง 15 นาทีเท่านั้น

นครวัด สถาปัตยกรรมอันงดงาม
ท่องเที่ยว นครวัด

นครวัดเป็นศาสนสถานสุดยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศกัมพูชาที่หลายคนทั่วโลกต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี นครวัดสร้างในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันค่ะ นักท่องเที่ยวมักจะนิยมเที่ยวกันในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศดีไม่ร้อนจนเกินไป อุณหภูมิจะอยู่ที่ 25-30 องศาเท่านั้นเองค่ะ

นครวัด ประเทศ กัมพูชา

นครวัดเป็นศาสนสถานที่สร้างตามคติความเชื่อทางศาสนาของผู้สร้างในขณะนั้น และการก่อสร้างค่อนข้างกินเวลานานทำให้นครวัดได้รับอิทธิพลจากศาสนาความเชื่อถึง 2 ศาสนา คือแรกเริ่มเป็นศาสนาฮินดูและเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธในตอนท้าย ผังการสร้างปราสาทนครวัดทำเสมือนเป็นแบบภูเขา มีระเบียงคดที่มีภาพสลัก การสร้างปราสาทรูปแบบนี้สื่อถึงเขาพระสุเมรุ ซึ่งตามความเชื่อนั้น เขาพระสุเมรุเป็นสถานที่ที่สถิตของเทพและเทวดาในปกรณัมของศาสนาฮินดู ด้านนอกมีคูน้ำและกำแพงล้อม โดยตัวปราสาทประกอบด้วยระเบียงคดสี่เหลี่ยมที่มีภาพสลักทั้งหมดสามชั้น แต่ละชั้นตั้งอยู่สูงกว่าชั้นล่าง ตรงกลางของปราสาทคือพระปรางค์ที่มีทั้งหมด 5 ยอด นครวัดมีความแตกต่างจากปราสาทในพระนครปราสาทอื่น ๆ เนื่องจากมีการหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

นครวัดได้รับการยกย่องในด้านความงามและความกลมกลืนของตัวสถาปัตยกรรม ภาพสลักฝาผนังที่เด่น ๆ สำคัญ ๆ ฝั่งหนึ่งเป็นเรื่องราวการต่อสู้ที่ทุ่งกุรุเกษตรของมหากาพย์มหาภารตะ (มหากาพย์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) และ อีกฝั่งเป็นเนื้อหา เกี่ยวกับความเชื่อ โลกสวรรค์ – โลกมนุษย์ – โลกนรก ซึ่งก็คือ เรื่อง บาป- บุญ ของศาสนาพุทธ รายละเอียดของจิตรกรรมต่าง ๆ เป็นเรื่องราวที่เข้มข้นน่าติดตาม

สถาปัตยกรรม นครวัด
สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ นครวัด

นอกจากนั้นแล้วยังมีสถาปัตยกรรมส่วนอื่น ๆให้ชมอีกมากมาย อาทิเช่น ปราสาทตาพรหม ที่ต้นไม้เลื้อยพันไปกับตัวปราสาทที่เป็นฉากสำคัญในการถ่ายหนัง Holly Wood ที่แองโจลิน่า โจลีห์ แสดงนำอย่างเรื่อง Tomb Raider อีกด้วยนะคะ ตัวสถานที่กว้างใหญ่น่าค้นหาจริง ๆ

สถาปัตยกรรม นครวัด
นครวัด กัมพูชา

พูดถึงการเดินทางไปนครวัดก็ง่าย ความสวยงามยิ่งใหญ่ของสถานที่ก็น่าตื่นเต้น น่าสนใจ ทั้งเรื่องราวความเป็นมาและศิลปะของสถาปัตยกรรมแบบเขมรก็ยิ่งใหญ่ตระการตา อยากให้ลองจัดไปสักทริปค่ะ จะต้องเป็นอีกทริปที่คุณหลงรักแน่นอน ค่าใช้จ่ายก็ไม่สูง ที่พักมีให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยไปจนหลักหลายพันบาท นอกจากชมสถาปัตยกรรมอย่าพลาดไปสัมผัสวิถีชีวิต ตลาด ร้านอาหารท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วยตนเองด้วยนะคะ

เที่ยวนครวัด
เที่ยวนครวัด

ถ้าอยากเที่ยวแบบอุ่นใจ ไร้กังวล ในการไปเที่ยวต่างแดนแบบนี้ อย่าลืมเลือกทำประกันการเดินทางกับ Allianz Travel นะคะ เราพร้อมดูแลคุณ 24 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก :
เที่ยวกัมพูชา ชมความยิ่งใหญ่ ปราสาทนครวัดนครธม

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เช็คอิน 20 เมืองน่าเที่ยว ยุโรปตะวันออก

ยุโรปตะวันออก: เช็คอิน 20 เมืองน่าเที่ยว

เมื่อพูดถึงทวีป “ยุโรป” หลาย ๆ คน คงนึกถึงประเทศในแถบทวีปยุโรปตะวันตกกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือเยอรมัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ ล้วนเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ยุโรปไม่ได้มีดีเพียงแค่ยุโรปตะวันตกเท่านั้นค่ะ ประเทศในแถบยุโรปตะวันออกเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย รวมไปถึงสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือน และโบสถ์ยุคกลางที่ยังคงความสมบูรณ์ วันนี้ Allianz Travel เลยไม่รอช้า ขออาสาเป็นไกด์ พาทุกคนไปเที่ยว 20 เมืองยุโรปตะวันออกกันค่ะ

1. BUCHAREST, ROMANIA

มาเริ่มกันที่เมืองแรกเลยค่ะกับเมืองบูคาเรสต์ เมืองหลวงของประเทศโรมาเนีย บูคาเรสต์เคยได้ฉายาว่า “Little Paris” ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ด้วยความทันสมัยของอาคารบ้านเรือนและรสนิยมของชาวเมืองที่คล้าย ๆ กับเมืองปารีสของฝรั่งเศส ณ ขณะนั้น

เมืองบูคาเรสต์ มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ท่องเที่ยวชมมากมาย แต่ที่โดดเด่น และถือเป็นไฮไลต์พลาดไม่ได้เลย ก็คือ พระราชวังรัฐสภา ซึ่งมีความหรูหราและอลังการ เทียบเท่าได้กับเพนตากอนของสหรัฐเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมอีกหลายแห่งที่มีความโดดเด่น อาทิ คอนเสิร์ตฮอลล์ Romanian Athenaeum, มหาวิทยาลัยบูคาเรสต์ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เป็นต้น

BUCHAREST, ROMANIA

2. SIBIU, ROMANIA

จากเมืองหลวงบูคาเรสต์ ขึ้นเหนืออีกนิดไปที่เมืองซีบีอู แคว้นทรานซิลวาเนีย ซีบีอูเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปเมื่อปี ค.ศ. 2007 และเป็นเมืองมรดกโลกที่มีความเก่าแก่ทางสถาปัตยกรรม ด้วยบริเวณเมืองเก่าเป็นชุมชนของชาวเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ จึงเต็มไปด้วยบ้านเรือนศิลปะแบบบาโรคและโกธิค สำหรับสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ พิพิธภัณฑ์พระราชวัง Brukenthal, จตุรัส Piaata Mare และร้านอาหาร Crama Sibiu Vechi และเมื่อมายังแคว้นทรานซิลวาเนียแล้ว ใครที่ชื่นชอบการปีนเขา ที่นี่ก็มี Transylvania Mountain Trail ด้วยค่ะ โดยเส้นทางปีนเขาทรานซิลวาเนีย เป็นจุดหมายปลายทางของนักปีนเขาจำนวนมาก ด้วยความสวยงามของภูเขา Carpathian บวกกับภาพวิวทิวทัศน์ปราสาท Bran ปราสาทที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และตั้งตระหง่าอยู่กลางภูเขาล้อมรอบด้วยป่าไม้

SIBIU, ROMANIA

3. BRATISLAVA, SLOVAKIA

จากประเทศโรมาเนีย มาเที่ยวกันต่อที่เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย กับเมืองบราติสลาวา เมืองที่อยู่ติดชายแดนกับประเทศออสเตรีย สามารถนั่งรถไฟมาจากกรุงเวียนนาได้ บราติสลาวา เป็นเมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง มีปราสาทเนินเขาบราติสลาวาเป็นจุดเด่นสำคัญ และเมื่อมาเที่ยวบราติสลาวาแล้ว ก็ห้ามพลาดการเยี่ยมชมพระราชวัง Primatial โรงละคร Slovenske narodne divadlo รวมไปถึงการเดินหาอาหารพื้นเมืองทานที่จตุรัสเมืองเก่า ซึ่งที่นั้นจะมีร้านอาหาร ผับ บาร์ และตลาดนัด ให้เดินเล่นและทานอาหารกันอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ

BRATISLAVA, SLOVAKIA

4. SKOPJE, MACEDONIA

สโกเปีย เมืองหลวงของประเทศมาซิโดเนียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในอดีต สโกเปียเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลายอาณาจักร เช่น โรมัน ไบแซนไทน์ บัลกาเรียน เซอร์เบีย และออโตมันซึ่งปกครองเมืองยาวนานกว่า 500 ปี ด้วยเหตุนี้ สโกเปียจึงเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมทั้งคริสเตียนและอิสลาม ผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว

สำหรับสถานที่เที่ยวน่าสนใจ อาทิ จตุรัสมาซิโดเนีย, ประตูชัยมาซิโดเนีย, โบสถ์แม่ชีเทเรซ่า, โรงละครแห่งชาติมาซิโดเนีย เป็นต้น

SKOPJE, MACEDONIA

5. DUBROVNIK, CROATIA

ดูโบรฟนิก ไข่มุกแห่งทะเลอเดรียติค เมืองเก่าแก่ติดชายทะเลทางตอนใต้ของโครเอเชียที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากนักท่องเที่ยว ด้วยการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Game of Thrones ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันจำนวนมากค่ะ

ดูโบรฟนิกเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปยุคกลาง ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรปตะวันออก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ. 1979 ดูโบรฟนิกมีศิลปและวัฒนธรรมสไตล์ยุโรปยุคกลางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ หรือประติมากรรม และสถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือ การเดินตามกำแพงเมืองเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์เมืองและทะเลอเดรียติคค่ะ

DUBROVNIK, CROATIA

6. SPLIT, CROATIA

จากดูโบรฟนิก ขึ้นเหนือเลียบชายฝั่งมายังเมืองสปลิต เมืองชายฝั่งทางตะวันออกของทะเลอเดรียติค และเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสองของประเทศโครเอเชียด้วยค่ะ เมื่อมาเที่ยวยังเมืองสปลิตแล้ว ก็พลาดไมได้เลยที่จะไป เยือนพระราชวังไดโอคลีเชียน พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิไดโอคลีเชียนเมื่อศตวรรษที่ 4 และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยค่ะ โดยตัวพระราชวัง เปรียบเสมือนศูนย์กลางของเมือง ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และถนนคนเดิน

สำหรับใครที่ชื่นชอบการเล่นน้ำทะเล ที่เมืองสปลิตก็มีชายหาดสีขาวสวยงามหลากหลายหาดให้เล่นน้ำทะเลกันด้วยค่ะ

SPLIT, CROATIA

7. BELGRADE, SERBIA

จากโครเอเชีย ย้ายมาเที่ยวที่เซอร์เบียกับเมืองเบลเกรด เมืองหลวงของประเทศเซอร์เบีย ซึ่งเบลเกรดเป็นศูนย์กลางทางการค้า วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ เป็นดินแดนที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของยุโรป สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หลาย ๆ แห่งในเมืองเบลเกรดตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ทหารเบลเกรด ซึ่งมีวัตถุโบราณกว่า 3,000 ชิ้น หรือจะแวะพักผ่อนที่สวนสาธารณะเคลเมกเดน สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่รอบป้อมปราการ และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเซอร์เบียที่จะพาเราดื่มด่ำไปกับงานศิลปะกว่า 400,000 ชิ้นจากหลากหลายยุคสมัย

เบลเกรดเป็นเมืองที่แม่น้ำสองสายดานูบและซาวาไหลมาบรรจบกัน เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเบลเกรดคือเป็นเมืองราบลุ่มที่มีเนินต่ำสลับ โดยมีทิวเขาสองแห่งตั้งเป็นกำแพงอยู่ทางใต้ ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิหนาวจัด เหมาะแก่การท่องเที่ยวค่ะ

BELGRADE, SERBIA

8. LIUBLJANA, SLOVENIA

ลูบลิยานา เมืองหลวงของประเทศสโลวีเนีย ตั้งอยู่ใจกลางของทวีปยุโรประหว่างเทือกเขาแอลป์ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และที่ราบแพนโนเนียน ลูบลิยานา เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารและโรงแรม โดยใจกลางเมืองจะเป็นจตุรัสขนาดใหญ่ ขนาบข้างด้วยแม่น้ำลูบลิยานาที่ไหลผ่าน ซึ่งทางรัฐบาลได้จัดให้พื้นที่จตุรัสกลางเมืองเป็นพื้นที่ห้ามรถวิ่ง ทำให้มีร้านอาหาร และคาเฟ่ตลอดสองข้างทางเลียบแม่น้ำ เหมาะแก่การปั่นจักรยานเล่นกลางเมือง และถ้าใครอยากชมสถาปัตยกรรมแบบสโลวีเนีย ก็อย่าลืมแวะไปที่ปราสาทลูบลิยานา และห้องสมุดแห่งชาติ ทั้งสองสถานที่ล้วนมีความสวยงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมสโลวีเนีย

LIUBLJANA, SLOVENIA

9. WARSAW, POLAND

วอร์ซอเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศโปแลนด์ เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็กกล้า รถยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และยังเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาอีกด้วย โดยสถานที่เที่ยววอร์ซอแบ่งได้เป็นสามโซนหลัก ๆ ด้วยกันคือ โซน Old Town โซน Royal Route และโซนเมืองใหม่

โซนเมืองเก่าเป็นโซนที่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ภายหลังจากการเสียหายจากภัยสงครามโลก สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ในโซนเมืองเก่า ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยคงรูปแบบเดิมเอาไว้ และสำหรับใครที่อยากศึกษาประวัติศาสตร์เมืองเก่าแห่งนี้ ก็มีพิพิธภัณฑ์ Warsaw Rising Museum ที่เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์เมืองให้ศึกษาอีกด้วยค่ะ

WARSAW, POLAND

10. KRAKOW, POLAND

จากวอร์ซอ มาต่อกันที่เมืองคราโคว เมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศโปแลนด์ และเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยไฮไลต์ของเมือง อยู่ที่ย่าน Old Town ซึ่งจะมีอาคารบ้านเรือน พระราชวัง และโบสถ์เก่าแก่จำนวนมาก ที่เที่ยวที่ห้ามพลาดเลยก็คือ ปราสาทพระราชวังวาเวล และโบสถ์ St. Adabert โบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุเกือบพันปี และปิดท้ายทริปด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Schindler พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในสมัยที่กองทัพนาซีของเยอรมันเข้ายึดครองเมือง ซึ่ง พิพิธภัณฑ์ Schindler ตั้งอยู่บนโรงงานเดิมของ Oscar Schindler นักอุตสาหกรรมชาวเยอรมันที่ได้ช่วยชีวิตชาวยิวในเมืองคราโควกว่า 1,200 คน เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยค่ะ

KRAKOW, POLAND

11. SOFIA, BULGARIA

เมื่อพูดถึงประเทศบัลแกเรีย หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงโยเกิร์ตกันเป็นอันดับแรก แต่บัลแกเรียไม่ได้มีดีแค่โยเกิร์ตนะคะ เพราะบัลแกเรียเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และเมืองที่เราจะพาไปเที่ยววันนี้ก็คือเมืองหลวงของประเทศ อย่างเมืองโซเฟียค่ะ

โซเฟียเป็นเมืองหลวงสุดน่ารักที่เต็มไปด้วยอาคารเกร๋ ๆ แต่งแต้มไปด้วยสีพาสเทล เหมาะแก่การเดินเล่นชิล ๆ และถ่ายรูปสวย ๆ เป็นที่ระลึก ขณะที่ ภายในเมืองก็มีร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารจำนวนมากในบริเวณมาร์เก็ตฮอลล์ และหากใครไปโซเฟียทั้งทีก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวอาสนวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (Alexander Nevsky Cathedral) โบสถ์สไตล์ออร์โธด็อกซ์ของบัลแกเรีย จากนั้นแวะไปเที่ยวที่โบสถ์โบยานา (Boyana Church) โบสถ์เล็ก ๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ดูข้างนอกอาจจะธรรมดา แต่ภายในเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันสวยงามค่ะ

SOFIA, BULGARIA

12. TALLINN, ESTONIA

จากบัลแกเรีย มาต่อกันที่ประเทศเล็ก ๆ อย่างเอสโตเนีย กับเมืองหลวงทาลลินน์ เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสวยงามมากมาย และตลอดสองข้างทางของเมือง ก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และร้านคาเฟ่ โดยไฮไลต์สำคัญของเมืองคือการเยี่ยมชม ทาวน์ฮอลล์สไตล์โกธิคที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป รวมไปถึงแลนมาร์คสำคัญของเมืองอย่างโบสถ์เซนต์โอลาฟ ซึ่งภายในโบสถ์จะมีจุดให้เราชมวิวทิวทัศน์เมืองแบบ 360 องศา

เอสโตเนีย มีขนาดพื้นที่โดยรวมแค่ประมาณ 45,227 ตารางกิโลเมตร (17,462 ตารางไมล์) ทางทิศเหนือจะติดกับอ่าวฟินแลนด์ ทิศตะวันตกติดกับทะเลบอลติก ทิศใต้ติดกับปะเทศลัตเวีย ส่วนทางทิศตะวันออกจะติดกับประเทศรัสเซียนั่นเอง ทำให้สามารถเที่ยวหมดได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ และสามารถนั่งรถไฟมาจากทางประเทศรัสเซียหรือทางลัตเวียได้ค่ะ

TALLINN, ESTONIA

13. RIGA, LATVIA

ริกา เมืองหลวงของประเทศลัตเวียที่ตั้งอยู่ริมทะเลบอลติก หนึ่งในสามประเทศเกิดใหม่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ริกาได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งศิลปะ “อาร์ตนูโว” (Art Nouveau) ด้วยความโดดเด่นของเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโว ซึ่งหมายถึงการใช้รูปแบบธรรมชาติ โดยเฉพาะดอกไม้และพืชอื่น ๆ มาทำเป็นลวดลายเส้นโค้งที่อ่อนช้อย ประดับทั้งภายในและภายนอกอาคาร

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจภายในเมือง อาทิ Central Market, The Riga Art Nouveau Center, House of Blackheads, Latvia National Museum of Art เป็นต้น

ริกา เป็นเมืองชิล ๆ สีสันสดใส ที่สามารถเดินเล่นได้รอบเมืองเลยค่ะ ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรม เดินไปทางไหน เป็นอันต้องหยุดเพื่อแชะภาพเป็นที่ระลึก ที่สำคัญ เป็นเมืองที่สามารถเที่ยวได้หมดภายในหนึ่งวัน

RIGA, LATVIA

14. VILNIUS, LITHUANIA

จากลัตเวีย ลงทางใต้มายังประเทศลิธัวเนียที่เมืองวีลนิอุส เมืองหลวงของประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพราะความเก่าแก่ยาวนานของประวัติศาสตร์ และความสวยงามของตัวอาคารบ้านเรือนที่มีอายุมาตั้งแต่ช่วงยุคกลาง ตัวเมืองวิลนีอุสมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ สองสายไหลผ่านได้แก่ Neris กับ Vilnia จึงทำให้ภายในบริเวณเขตตัวเมืองเก่านั้นมีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มไปทั่วทั้งเมือง และบริเวณจัตุรัสเมืองหรือ Town Hall Square จะมีสไตล์การปลูกสร้างเป็นศิลปะแบบบาโรค และบางส่วนก็จะมีส่วนผสมของศิลปะแบบโกธิครวมอยู่ด้วยค่ะ

เมื่อมายังเมืองวีลนิอุสแล้ว อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดก็คือ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ (Museum of Genocide) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความโหดร้ายของการกดขี่และการสังหารหมู่ชาวลิธัวเนีย ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียตนานกว่า 50 ปี

VILNIUS, LITHUANIA

15. KOTOR, MONTENEGRO

กอเตอร์ เมืองโบราณที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่ติดทะเลอเดรียติค มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน เคยเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเล และศูนย์การค้าที่สำคัญในแถบทะเลเอเดรียติก กอเตอร์เป็นเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงาม รายล้อมด้วยเทือกเขาและอ่าวกอเตอร์ ภายในเมืองมีกำแพงเมือง ป้อมปราการจากอดีต คูคลองที่เชื่อมกับอ่าว และอาคารบ้านเรือนแบบยุคกลางที่ยังคงอนุรักษ์ความเก่าแก่ไว้ได้เป็นอย่างดี จนความสวยงามทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกค่ะ

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจได้แก่ กำแพงเมืองและป้อมกอเตอร์ กำแพงและป้อมเก่าแก่ที่ยังคงความสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป, โบสถ์เลดี้ออฟเดอะร็อคส์ โบสถ์พระแม่มารีที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ, ปราสาทแห่งซาน จีโอวานนี ปราสาทเก่าแก่ยุคกลาง, โบสถ์แห่งกอเตอร์ โบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ในเมือง

KOTOR, MONTENEGRO

16. SARAJEVO, BOSNIA AND HERCEGOVINA

ซาราเยโวเป็นมืองหลวงของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งเมื่อทศวรรษ 1990 ทั้งเมืองเคยกลายเป็นซากปรักหักพังจากภัยสงครามกลางเมืองก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมา กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองยอดนิยมเมืองหนึ่งของประเทศ

เมื่อมาถึงซาราเยโวแล้ว พลาดไม่ได้เลยที่จะต้องไปดู Kovaci Memorial Cemetery สุสานขนาดใหญ่สำหรับฝังศพชาวบอสเนียที่ทำการสู้รบกับชาวเซิรบ์ในสงครามกลางเมืองเมื่อทศวรรษ 1990 รวมไปถึงการเยี่ยมชม Sarajevo Tunnel Museum พิพิธภัณฑ์ที่ครั้งหนึ่งชาวบอสเนียเคยใช้เป็นอุโมงค์เพื่อหลบหนีออกไปนอกเมือง และใช้เป็นที่ส่งเสบียงอาหารเข้ามายังภายในเมือง สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ Gazi Husrev-beg Mosque, Latin Bridge, Jewish Museum, Sarajevo Town Hall เป็นต้น

SARAJEVO, BOSNIA AND HERCEGOVINA

17. PRAGUE, CZECH REPUBLIC

ปราก เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐเช็ก ปรากได้รับฉายาว่า “The City of a Hundred Spires” หรือ “เมืองแห่งหนึ่งร้อยยอด” เนื่องจากทั้งเมืองเต็มไปด้วยความสวยงามและเงียบสงบท่ามกลางขุนเขา อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางอาณาจักรโบราณมาเนิ่นนานตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล เมืองปรากจึงเต็มไปด้วยเรื่องราว เรื่องเล่า และสถาปัตยกรรมเก่าแก่จำนวนมาก จนทำให้ปรากได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1992 และนับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยค่ะ

สำหรับสถานที่เที่ยวน่าสนใจ อาทิ
• สะพานชาร์ลส์ สะพานหินเก่าแก่คู่เมือปราก สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1357
• ปราสาทปราก ปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และภายในปราสาทยังมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ ถนนทองคำ, มหาวิหารบาซิลลิกา ออฟ เซนต์จอร์จ, พระราชวังเก่า
• หอนาฬิกาดาราศาสตร์ หอนาฬิกาเก่าแก่ที่ติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1410 และยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน
• ซุ้มประตูเมือง Powder Tower ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณย่านโซนเก่า สร้างด้วยสถาปัตยกรรมโกธิค ด้านบนเป็นหอคอยจุดชมวิวเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

PRAGUE, CZECH REPUBLIC

18. OLOMOUC, CZECH REPUBLIC

จากกรุงปราก มาเที่ยวกันต่อที่เมืองโอโลโมซ ซึ่งตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูมิภาค Moravia เคยเป็นเมืองหลวงเก่ามาก่อน ห่างจากกรุงปรากโดยรถไฟประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ตามเรื่องเล่า เล่ากันว่าเมืองโอโลโมซถือกำเนิดจากการเป็นป้อมปราการของชาวโรมัน โดยมีจูเลียส ซีซาร์เป็นผู้สร้างเมืองขึ้นมา ทำให้เมืองทั้งเมืองได้รับอิทธิพลทางศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบโรมันมาทั้งหมดค่ะ

สำหรับสถานที่เที่ยวยอดนิยมที่ใครมาโอโลโมซต่างต้องแวะมาก็คือ จตุรัสใจกลางเมืองที่มีเสาหิน Holy Trinity ศิลปะสไตล์บาโรคตั้งอยู่ โดยเจ้าเสาหินนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ประดับประดาไปด้วยรูปปั้นทางศาสนา นอกจากนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ หอนาฬิกาดาราศาสตร์ โบสถ์เซนต์มอริสท์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ศาลากลางยุคศตวรรษ 14 และพระราชวังบิชอป เป็นต้น

OLOMOUC, CZECH REPUBLIC

19. BERAT, ALBANIA

เบรัต เมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “Town of a thousand windows” หรือเมืองที่มีหน้าต่างหลายพันบาน ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา ทำให้อาคารบ้านเรือนสร้างขึ้นลดหลั่นกันตามแนวภูเขา Tomorri ไปจนถึงตัวปราสาทเบรัต เกิดเป็นภาพหน้าต่างหลายพันบานเมื่อมองมาจากข้างล่าง นอกจากนี้แล้ว ทั้งเมืองยังเป็นเมืองเก่าที่อนุรักษ์สถาปัตยกรรมออตโตมันไว้อย่างสมบูรณ์จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2005

เมื่อมายังเบรัตแล้ว สถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการขึ้นไปยังปราสาทเบรัตเพื่อชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองแบบ 360 องศา และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกลางเมือง เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศอันแสนสบายแบบชาวเบรัต ที่จะพากันออกมาสังสรรค์ตามถนนกัน และถ้าอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศิลปะของชาวเบรัต ก็มีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ Onufri ให้เข้าชมกันค่ะ

BERAT, ALBANIA

20. BUDAPEST, HUNGARY

มาถึงเมืองสุดท้ายกับเมืองบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งแม่น้ำดานูบ” เนื่องด้วยลักษณะของเมืองที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำดานูบ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเรียกว่าฝั่งบูดา และฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเรียกว่าฝั่งเปสต์ ด้วยลักษณะเมืองที่มีแม่น้ำคั่นกลาง ทำให้ภูมิทัศน์เมืองมีความสวยงามทั้งจากตัวสถาปัตยกรรม ผังเมือง สะพานข้ามแม่น้ำ และอาคารบ้านเรือน

บูดาเปสต์ เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ต้องใช้เวลาหลายวันในการเที่ยว สถานที่เที่ยวที่พลาดไม่ได้เลยได้ อาทิ
• สะพานเชนเซเชนยี สะพานที่พาดระหว่างแม่น้ำดานูบสองฝั่ง ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมือง
• ปราสาทบูดา ปราสาทที่ในอดีตเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์ฮังการี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติ
• โรงอาบน้ำเซเชนยี โรงอาบน้ำที่มีสปาน้ำพุร้อนใหญ่ที่สุดในยุโรป
• จัตุรัสวีรชน สร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญวีรบุรุษฮังการีในอดีต และเพื่อฉลองครบรอบ 1,000 ปีประเทศ
• เกลเลิร์ต ฮิลล์ สถานที่ชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวบูดาเปสต์ทั้งสองฝั่งได้แบบพาโนรามา
• รัฐสภาฮังการี รัฐสภาที่มีความงดงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค

BUDAPEST, HUNGARY

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 20 เมืองน่าเที่ยวประเทศแถบยุโรปตะวันออก หลาย ๆ เมืองอาจเป็นเมืองที่เราไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เมืองเหล่านี้ล้วนมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลากหลายแห่ง รวมไปถึงสถาปัตยกรรม ศิลปะและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสถานที่อื่น ๆ รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปค้นหา เรียนรู้ และสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ หวังว่าประเทศแถบยุโรปตะวันออกจะอยู่ใน “Bucket List” สำหรับแพลนเที่ยวครั้งหน้านะคะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
25 Amazing Places in Eastern Europe You Have To Visit

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

8-american-road-trips

ขับรถเที่ยวอเมริกา: 8 เส้นทาง ROAD TRIPS ที่ห้ามพลาด!

การขับรถท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า Road Trip กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคการท่องเที่ยวแบบ “New Normal” ที่ลดการสัมผัสและเว้นระยะห่างทางสังคม อีกทั้งการขับรถเที่ยวยังได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ และสัมผัสกับธรรมชาติระหว่างทางอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ Allianz Travel เคยพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับเส้นทาง Road Trips ยุโรปไปแล้ว วันนี้ขอเปลี่ยนทวีปมาที่อเมริกากันบ้างค่ะ กับ 8 เส้นทาง Road Trips ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา จะสวยงามน่าขับรถเล่นแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

1. I-15: LAS VEGAS TO SALT LAKE CITY

มาเริ่มที่เส้นทางแรกกันเลยค่ะ กับเส้นทาง I-15 ซึ่งเป็นเส้นทางจาก Las Vegas ไปยังเมือง Salt Lake โดยระยะทางไม่ไกลมากนัก เพียงแค่ 675 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ระหว่างทางที่ขับไป มีวิวทิวทัศน์และสถานที่น่าเที่ยวให้แวะพักเป็นระยะเลยค่ะ โดยถ้าเราเริ่มขับรถจาก Las Vegas มุ่งไปทางเหนือผ่านแกรนด์แคนยอนฝั่งทิศใต้ ผ่านเขื่อนฮูเวอร์ ทะเลสาบ Mead, ทะเลสาบ Powell, อุทยานแห่งชาติ Zion, Antelope แคนยอน และทะเลทรายอริโซน่าซึ่งแต่ละสถานที่ ไม่ได้เพียงแค่ขับรถผ่านเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีทริปให้เที่ยวอีกด้วยค่ะ อาทิ ทริปเรือทะเลสาบ Powell หรือไพรเวททัวร์ที่อุทยานแห่งชาติ Zion เป็นต้น

สำหรับเส้นทางนี้ ควรเผื่อเวลาในการเที่ยวระหว่างทางและแวะค้างแรมประมาณ 4-7 วัน ค่ะ

I-15: LAS VEGAS TO SALT LAKE CITY

2. OVERSEAS HIGHWAY: MIAMI TO KEY WEST

เส้นทางจาก Miami to Key West เป็นเส้นทางขับรถที่สั้นเพียงแค่ 205 กิโลเมตร และใช้เวลาขับไม่ถึง 4 ชั่วโมงเท่านั้น โดยจุดเริ่มต้นจะอยู่ที่ Miami ก่อนที่จะขับรถไปสุดทางที่ Key West ผ่านถนน Upper Keys, Middle Keys และ Lower Keys จุดไฮไลต์สำคัญของทริปนี้ อยู่ที่การขับรถผ่านสะพานข้ามทะเล Seven Mile Bridge ที่จะทำให้เราเห็นวิวทิวทัศน์ทะเลสีฟ้าครามไกลสุดลูกหูลูกตา แค่ขับรถผ่านสะพาน ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้มาแล้วค่ะ

นอกจากนี้ ในระหว่างทางขับรถยังมีกิจกรรมให้แวะทำมากมาย อาทิ การตกปลากับชาวประมงพื้นถิ่น หรือใครที่ชอบเล่นน้ำ ก็มีชายหาดสีขาวให้เดินเล่นกันยาว ๆ ด้วยค่ะ

OVERSEAS HIGHWAY: MIAMI TO KEY WEST

3. PACIFIC COAST HIGHWAY: SAN FRANCISCO TO LOS ANGELES

Pacific Coast Highway เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกจากเหนือสู่ใต้สุดของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมระยะทาง 200 กิโลเมตร เส้นทางเริ่มต้นที่ San Francisco และขับรถลงทางใต้ผ่านเมืองประวัติศาสตร์อย่าง Monterey และชมศิลปะโคโลเนียลที่ Carmel by the Sea ไฮไลต์สำคัญของเส้นทางนี้คือการขับรถบนสะพานข้ามหุบผาเลียบชายฝั่งทะเล ที่จะเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามทั้งภูเขา หุบผาสูงชัน และท้องทะเลค่ะ

สำหรับใครที่ไม่ได้รีบไปไหน ตลอดเส้นทาง มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแวะชมคฤหาสน์ตากอากาศ Hearst Castle, แวะชม Bis Sur State Park, เล่นน้ำและถ่ายรูปกับเหล่าแมวน้ำช้างบนชายหาด และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายค่ะ

PACIFIC COAST HIGHWAY: SAN FRANCISCO TO LOS ANGELES

4. ROUTE 66: ST. LOUIS TO AMARILLO, TEXAS

Route 66 เส้นทางที่ใครหลายคนคงเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้ว “Route 66” เส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวกว่า 3,940 กิโลเมตร ตัดผ่านถนนถึง 8 มลรัฐด้วยกัน จาก East Coast มายัง West Coast โดยเริ่มต้นที่ Chicago และจบเส้นทางลงที่ California

การขับรถเที่ยวบนถนน Route 66 ไม่จำเป็นต้องขับจนจบระยะทาง 3,940 กิโลเมตร เราสามารถเลือกเพียงแค่บางช่วงของถนน และเส้นทางช่วงหนึ่งของ Route 66 ที่เราจะแนะนำก็คือเส้นทางจาก St. Louis ไปยังเมือง Amarillo รัฐ Texas ขับผ่านทะเลสาบ Ozarks และเมืองโอคลาโฮมา รวมระยะทาง 1,100 กิโลเมตร โดยไฮไลต์สำคัญคือการแวะชม Merarnec Caverns ซึ่งเป็นถ้ำธรรมชาติที่มีความยาวกว่า 7 กิโลเมตรค่ะ

ROUTE 66: ST. LOUIS TO AMARILLO, TEXAS

5. THE BLUE RIDGE PARKWAY: AFTON, VIRGINIA, TO CHEROKEE, NORTH CALIFORNIA

The Blue Ridge Parkway เส้นทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้เขียวขจี เส้นทางเริ่มจากรัฐ Virginia ไปยัง North Carolina ขับผ่านหุบเขา Blue Ridge Mountains ซึ่งเชื่อมกันกับอุทยานแห่งชาติ Shenandoah & Great Smoky Mountains ใน North Carolina รวมระยะทางกว่า 804 กิโลเมตร

เส้นทาง The Blue Ridge Parkway มีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การขับผ่านขุนเขาและป่าไม้ตลอดสองข้างทาง โดยตลอดเส้นทาง ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับเป็นอย่างสูง เนื่องจากเส้นทางมีความลาดชันของหุบเขาเป็นระยะ และยังมีหมอกหนาแน่นตลอดทาง โดยปกติแล้วจะจำกัดความเร็วกันอยู่แค่ที่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นค่ะ

THE BLUE RIDGE PARKWAY: AFTON, VIRGINIA, TO CHEROKEE, NORTH CALIFORNIA

6. GREAT RIVER ROAD: MEMPHIS TO NEW ORLEANS

อีกหนึ่งเส้นทางประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวผ่าน 10 รัฐ กับ Great River Road เส้นทางเลียบแม่น้ำ Mississippi ที่มีระยะทางรวมกว่า 3,400 กิโลเมตร Great River Road มีจุดเริ่มต้นที่รัฐ Minnesota และไปจบที่ New Orleans เช่นเดียวกับ Route 66 ที่เราไม่จำเป็นต้องขับทั้งเส้นทาง สามารถเลือกขับแค่บางช่วงได้ โดยช่วงถนนที่เราแนะนำคือ ตั้งแต่เมือง Memphis ไปถึง New Orleans รวมระยะทาง 822 กิโลเมตร ซึ่งตลอดเส้นทางมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ Elvis Presley, พิพิธภัณฑ์ Coca-Cola, พิพิธภัณฑ์ Civil War, พิพิธภัณฑ์ Black History, และ Antebellum House

GREAT RIVER ROAD: MEMPHIS TO NEW ORLEANS

7. OREGON COAST HIGHWAY 101: SEASIDE TO BROOKINGS, OREGON

Oregon Coast Highway 101 เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลที่เริ่มต้นจากเมือง Seaside ไปจบลงที่เมือง Brookings ติดเขตแดน California รวมระยะทาง 584 กิโลเมตร สำหรับสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจระหว่างทางคือ ป่าไม้อายุหลายร้อยปีที่อุทยาน Oswald West State Park และสะพานเก่าแก่ McCullough รวมไปถึงชายหาดทะเลอีกหลายหาดให้นักท่องเที่ยวได้จอดรถแวะเล่นน้ำกันค่ะ

OREGON COAST HIGHWAY 101: SEASIDE TO BROOKINGS, OREGON

8. ROAD TO HANA: KAHULUI TO HANA, HAWAII

เปลี่ยนบรรยากาศจากบนฝั่ง มาขับรถเที่ยวบนเกาะกันบ้างค่ะกับเส้นทาง Road to Hana บนเกาะฮาวาย ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮาวายมุ่งสู่ทางใต้ของเกาะที่เมือง Hana รวมระยะทางเพียงแค่ 104 กิโลเมตรเท่านั้น

สำหรับเส้นทาง Road to Hana ตลอดสองข้างทางจะพบกับวิวทิวทัศน์ทั้งภูเขาและชายหาดตัดสลับกันไปอย่างสวยงาม และยังมีอุทยานป่าไม้หลายจุดให้พักรถแวะชม รวมไปถึงใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูป บนเกาะก็มีจุดพักรถถ่ายรูปสวย ๆ วิวทะเลจากมุมสูงด้วยค่ะ และปิดท้ายทริปด้วยการเดินเล่นชายหาด Black Sand Beach หาดทรายสีดำอันเลื่องชื่อของเกาะฮาวาย

ROAD TO HANA: KAHULUI TO HANA, HAWAII
Hawaiian Sunrise

สำหรับใครที่กำลังวางแพลนไปเที่ยวอเมริกาในช่วงหลังโควิด-19 การขับรถเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยค่ะ เพราะนอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางอย่างเต็มอิ่มแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าการเที่ยวครั้งนี้จะปลอดภัย ห่างไกลจากโควิด-19 ค่ะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
14 Best Road Trips in America

Blog Disclaimer

All content provided on this blog is for informational purposes only. The content of this blog neither makes representations as to the accuracy or completeness of any information on this site, nor is construed as Allianz Travel’s offering of travel insurance, unless explicitly stated. Details of benefits, limits, policy exclusions, terms and conditions of Allianz Travel insurance can be found under Allianz Travel Policy Wording.

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

10 สถานที่เที่ยวทิเบต สวยจนแทบลืมหายใจ

10 สถานที่เที่ยวทิเบต สวยจนแทบลืมหายใจ

“ทิเบต” ดินแดนหลังคาโลก สถานที่ที่เต็มไปความสวยงามทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา หิมะ หรือสถาปัตยกรรมแบบพุทธศาสนา ด้วยลักษณะภูมิประเทศของทิเบตเป็นที่ราบสูง ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาและทะเลสาบทางธรรมชาติจำนวนมาก รวมทั้งสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว ด้วยอากาศหนาวเย็นและความกดอากาศต่ำตลอดทั้งปี ทำให้ทิเบตกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งที่ Allianz Travel อยากให้ทุกคนมาสัมผัสความสวยงามด้วยตาตัวเองกันค่ะ

1. MOUNT KAILASH

มาเริ่มกันที่แรกกันเลยค่ะกับเขาไกรลาส ซึ่งเป็นยอดเขาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกของเขตปกครองตนเองทิเบต ภูเขาแห่งนี้ มีความสูง 22,020 ฟุต จัดว่าเป็นยอดเขาสูงเป็นอันดับที่ 32 ของโลก และสูงเป็นอันดับที่ 19 ในบรรดายอดเขาของเทือกเขาหิมาลัย เป็นยอดเขาที่มีอายุกำเนิดถึงปัจจุบันกว่า 50 ล้านปี

ภูเขาไกรลาส เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตามความเชื่อของศาสนาฮินดู เชื่อกันว่าเขาไกรลาสเป็นที่ประทับของพระศิวะ ในศาสนาพุทธมีคัมภีร์สารัตถปกาสินีระบุว่าเขาไกรลาสเป็นเขาที่ประเสริฐสุดในบรรดาภูเขาในป่าหิมพานต์ และยังปรากฏในศาสนาเชนด้วย ตามความเชื่อของศาสนาต่าง ๆ เหล่านี้ เขาไกรลาสเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และเชื่อว่า คือสถานที่แห่งเดียวกันกับเขาพระสุเมรุค่ะ

โดยในแต่ละปี ชาวพุทธและชาวฮินดูจำนวนมากจะเดินแสวงบุญระยะทางกว่า 52 กิโลเมตรรอบภูเขาไกรลาสกันค่ะ

MOUNT KAILASH
Kailash the holy mountain

2. EVEREST BASE CAMP

ภูเขาเอเวอร์เรสทอดยาวตามแนวชายแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต ทำให้มีที่ตั้งแคมป์อยู่สองแห่งด้วยกันคือแคมป์ทางด้านทิศเหนือและแคมป์ทางด้านทิศใต้ แคมป์ทางด้านทิศเหนือตั้งอยู่บนชายแดนทิเบต เป็นแคมป์ที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยและกว้างไกลกว่าวิวจากทางประเทศเนปาล นอกจากนี้ ถ้าไปยังแคมป์ประเทศเนปาล ทางเดียวที่จะไปได้คือการเดินเขาขึ้นไป ขณะที่แคมป์ทิเบตสามารถขับรถไปได้ และระหว่างเส้นทางไปแคมป์จะพบกับอารามรงบุก (Rongbuk) ซึ่งตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 4,950 เมตร เมื่อเข้ามายังตัวอารามจะสามารถมองทอดยาวเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของภูเขาเอเวอร์เรสได้ค่ะ

ทริปการเดินทาง 8-10 วัน จากเมืองหลวงลาซาไปยังที่ตั้งแคมป์เขาเอเวอร์เรสทิเบต เป็นทริปที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในทิเบต ความสวยงามของทริปนี้คือการชมวิวทิวทัศน์สองข้างที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติและขุนเขา รับรองว่าไปแล้ว ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

EVEREST BASE CAMP

3. NAM TSO

ทะเลสาบนัมโช หนึ่งในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต อยู่ห่างจากเมืองลาซาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 240 กิโลเมตร เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจีนอยู่ที่ระดับความสูง 4,730 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีความยาวกว่า 70 กิโลเมตร กว้าง 30 กิโลเมตร ในช่วงฤดูร้อนน้ำในทะเลสาบจะเป็นสีเขียวอมฟ้าตัดกับเทือกเขาหิมะเนียนเซ็นถังลา (Nyenchen Tanglha) ทางทิศใต้ของทะเลสาบ ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายนจะมีฝูงนกและนกกระเรียนคอดำใกล้สูญพันธ์อพยพมาอยู่ที่ทะเลสาบแห่งนี้ด้วยค่ะ

NAM TSO

4. GUGE KINGDOM

จากทะเลสาบนัมโช มาต่อที่อาณาจักรโบราณกูเก (อ่านแบบภาษาจีน – กู่เก๋อ) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตซาด้า (Zhada) แคว้นงาริ (Ngari) ของทิเบตตะวันตก เคยเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อหนึ่งพันปีเศษมาแล้ว ก่อนที่จะล่มสลายและสูญหายไปเมื่อเกิดสงครามทางศาสนาและการปฏิรูปทางวัฒนธรรมขึ้นในศตวรรตที่ 17 จนมาค้นพบอีกครั้งหนึ่งโดยชาวอิตาลีซึ่งบันทึกเป็นหลักฐานไว้ในศตวรรษที่ 20 ค่ะ

อาณาจักรกูเกตั้งอยู่บนเขา มีอาณาบริเวณครอบคลุมถึง 200,000 เมตร มองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ ปัจจุบันยังมีร่องรอยของสถาปัตยกรรมที่เหลืออยู่ รวม 1,416 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยถ้ำ 879 ถ้ำ บ้านเดี่ยว 445 หลัง แนวตึกแถว 60 แห่ง เจดีย์ 28 องค์ และถ้ำ 4 ถ้ำ ถ้ำเหล่านี้สามารถติดต่อเชื่อมกันภายในอาณาจักรได้ รอบอาณาจักรมีลักษณะคล้ายแนวกำแพงที่เกิดจากการที่ลมหอบฝุ่นละอองจากดิน หิน และน้ำ มาสะสมเป็นเวลานานจนตกตะกอนหนาขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเป็นรูปร่างสถาปัตยกรรมต่าง ๆ กัน สวยงามไปอีกแบบค่ะ

GUGE KINGDOM

5. LHASA

เมืองลาซา ตั้งอยู่ตอนกลางของที่ราบสูงทิเบต ทางเหนือของเทือกเขาหิมาลัย มีแม่น้ำลาซาซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งของแม่น้ำยาลูจัมโปทอดตัวไหลผ่าน ซึ่งเมืองลาซาได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สูงที่สุดในโลก โดยอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,650 เมตร เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนิกชนที่นับถือพุทธศาสนานิกายทิเบต
และเมื่อมาถึงเมืองลาซาแล้ว ก็พลาดไม่ได้เลยที่จะไปเที่ยวที่พระราชวังโปตาลา พระราชวังอันเป็นป้อมปราการและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เคยเป็นที่อยู่อาศัยของกษัตริย์และองค์ดาไลลามะ ปัจจุบันพระราชวังโปตาลากลายเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานสักการะ ภายในวังขาว มีสำนักงาน โรงเรียนศาสนา ส่วนวังแดงเป็นส่วนที่ยังใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ และเป็นศูนย์รวมใจของชาวทิเบตด้วยค่ะ

LHASA

6. SAMYE MONASTERY

อารามซัมเย่ เป็นวัดแห่งแรกของศาสนาพุทธนิกายวัชรยานในทิเบต โดยเป็นอารามที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของลาซาประมาณ 200 กิโลเมตร บนฝั่งแม่น้ำยาร์ลุงที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและธรรมชาติ

อารามซัมเย่สร้างตามความเชื่ออินเดีย คือ มีวิหารหลักเปรียบดังเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล มีอาราม 4 ทิศ เปรียบเสมือนทวีปทั้งสี่ และมีอารามด้านนอกอีกแปดทิศ เป็นสัญลักษณ์ของประทีปในจักรวาล มีสถูปทางทิศเหนือและใต้ แทนพระอาทิตย์และพระจันทร์ ขณะที่ตัววิหารกลางมีสามส่วน ส่วนล่างสุดเป็นสถาปัตยกรรมแบบทิเบต ส่วนกลางเป็นแบบจีน และส่วนบนเป็นแบบอินเดีย วิหารนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า วิหารสามลีลา มีเจดีย์ 4 องค์ สีแดง สีเขียว สีดำ และสีขาว ประดิษฐานอยู่ด้านซ้าย ขวา หน้า และหลัง ของวิหารใหญ่ มีความหมายว่า อารามแห่งนี้ได้รับการปกปักรักษาโดยกษัตริย์สี่พระองค์บนสรวงสวรรค์

SAMYE MONASTERY

7. LAKE MANASAROVAR

ทะเลสาบมานาซาโรวาร์ หรือทะเลสาบหม่าผางยงชั่ว ตั้งอยู่ที่อำเภอผู่หลาน เขตปกครองตนเองทิเบตทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยตัวทะเลสาบมานาซาโรวาร์เป็นทะเลสาบที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในทิเบต อยู่ไม่ไกลจากภูเขาไกรลาส และอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 4,588 เมตร มีขนาดพื้นที่กว้างกว่า 412 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ ด้วยความที่ทะเลสาบอยู่ใกล้กับชายแดนของประเทศเนปาล ทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์เทือกเขาหิมาลัยทางทิศใต้ด้วยค่ะ

LAKE MANASAROVAR

8. YAMDROK LAKE

มาต่อกันอีกหนึ่งทะเลสาบ กับทะเลสาบยัมดรก ยัมโซ (Yamdrok Yam Tso) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของทิเบต ทุก ๆ ปี ชาวทิเบตจะมาแสวงบุญที่นี่จำนวนมาก ทะเลสาบยัมดรกอยู่ทางด้านใต้ของแม่น้ำพรหมบุตร (Yarlung Tsangpo River) ในเขตเมือง ชิกัสเซ (Shigase) เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีพื้นที่ 638 ตารางกิโลเมตร และมีความยาว 130 กิโลเมตร
สำหรับใครที่ตั้งใจไปแคมป์เขาเอเวอร์เรสทิเบต ทะเลสาบยัมดรกเป็นเส้นทางผ่านเส้นทางหนึ่งด้วยค่ะ

YAMDROK LAKE

9. SAKYA MONASTERY

อาราม Sakya ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองซือกาเซ เมืองที่ใหญ่อันดับสองของทิเบต อาราม Sakya มีความโดดเด่นที่ป้อมปราการและผนังสามสี ได้แก่ สีน้ำตาลอมแดง สีเทา และสีขาว ซึ่งทั้งสามสี ทำให้ตัวอารามมีเอกลักษณ์ที่แปลกตาและไม่เหมือนอารามไหนค่ะ
นอกจากนี้แล้ว ภูเขาที่โอบล้อมตัวอารามก็มีความสวยงามตามธรรมชาติ เหมาะแก่การปีนเขาด้วยค่ะ

SAKYA MONASTERY

10. GYANTSE

มาถึงสถานที่เที่ยวสุดท้ายกับเมืองกันเซ เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากลาซาไปทางทิศตะวันตกประมาณ 260 กิโลเมตร ถึงแม้กันเซจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีกิจกรรมหลากหลายให้ทำค่ะ โดยเฉพาะการปีนขึ้นบนกำแพงที่โอบล้อมอาราม Palcho Corten เพื่อดูวิวทิวทัศน์เมืองแบบ 360 องศา หรือใครเป็นสายชิล ก็สามารถเดินเล่นบนถนนชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล์จีน-ทิเบตได้ค่ะ

GYANTSE

เป็นอย่างไรบ้างคะกับ 10 สถานที่เที่ยวทิเบต สวยจนต้องไปลองเที่ยวสักครั้งในชีวิตเลยค่ะ ^^ สำหรับใครที่อยากไปสัมผัสอากาศหนาว แต่มีงบประมาณไม่มาก และอยากเที่ยวไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก ทิเบตถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก :
Places to visit in Tibet

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

8-museum-asean-countries

แนะนำ 8 พิพิธภัณฑ์ประเทศอาเซียน ต้องไปสักครั้งในชีวิต

สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศยังประเทศกลุ่มอาเซียน ก็คือการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของประเทศนั้น ๆ เพราะพิพิธภัณฑ์เปรียบเสมือนศูนย์รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมของแต่ละชาติ และบางครั้งเราก็ได้รับความรู้และมุมมองใหม่ ๆ จากสิ่งที่เห็นในพิพิธภัณฑ์ วันนี้ Allianz Travel เลยขออาสาเป็นไกด์ พาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับ 8 พิพิธภัณฑ์ของประเทศกลุ่มอาเซียนกันค่ะ

1. PERANAKAN MUSEUM, SINGAPORE

มาเริ่มกันที่แรกเลยค่ะ กับพิพิธภัณฑ์ Peranakan ประเทศสิงคโปร์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1912 ในสมัยยุคอาณานิคมอังกฤษ ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมแลนมาร์คของสิงคโปร์อย่าง Raffles Hotel ภายในตัวพิพิธภัณฑ์จะจัดแสดงสิ่งของ โบราณวัตถุ และศิลปะของกลุ่มชุมชนที่เรียกว่า “Peranakan” ซึ่งแปลว่า “คนท้องถิ่น” ไฮไลต์สำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ที่เครื่องประดับ โต๊ะเครื่องแป้ง และชุดห้องนอนหลากหลาย ที่ประดับประดาด้วยลูกปัดแก้วนับล้านชิ้น

PERANAKAN MUSEUM, SINGAPORE

2. ISLAMIC ARTS MUSEUM, MALAYSIA

Islamic Arts Museum พิพิธภัณฑ์สุดอลังการที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ลักษณะเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือตัวโดมอาคารขนาดใหญ่ที่สังเกตเห็นได้แต่ไกล ภายในอาคารมีวัตถุสิ่งของจากทั่วโลกจัดแสดงเกี่ยวกับศาสนาอิสลามกว่า 7,000 ชิ้น และถ้าใครสนใจประวัติศาสตร์อิสลาม ภายในอาคารจะมีนิทรรศการถาวรจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คัมภีร์อัลกุรอาน สำหรับไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมายังพิพิธภัณฑ์อิสลาม ก็คือ การเดินชมโมเดลสถาปัตยกรรมอิสลามจำลองจากทั่วทุกมุมโลก อาทิ ทัชมาฮาล, มัสยิดเมกกะ ซึ่งแต่ละโมเดล ก็จะมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ย่อ ๆ ให้อ่านด้วยค่ะ

ISLAMIC ARTS MUSEUM, MALAYSIA

3. TUOL SLENG GENOCIDE MUSEUM, CAMBODIA

สำหรับใครที่สนใจประวัติศาสตร์กัมพูชา โดยเฉพาะช่วงที่มีการสังหารหมู่เขมรแดง พิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ Tuol Sleng ถือเป็นสถานที่ที่ต้องมาชมให้ได้เลยค่ะ เพราะตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนทุ่งสังหารหมู่เจิงเอก ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางใต้ราว 17 กิโลเมตร Tuol Sleng เคยเป็นโรงเรียนมัธยมปลาย ก่อนที่จะกลายเป็นที่กักขังนักโทษทางการเมือง ภายหลังจากการสิ้นอำนาจของเขมรแดง พื้นที่บริเวณนี้มีการขุดพบโครงกระดูกกว่า 9,000 โครง ปัจจุบัน Tuol Sleng กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของเหยื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่

TUOL SLENG GENOCIDE MUSEUM, CAMBODIA

4. DA NANG MUSEUM OF CHAM SCULPTURE, VIETNAM

จากกัมพูชา มาต่อกันที่เวียดนามกับ Da Nang Museum Of Cham Sculpture โดยตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ตั้งอยู่บนริมทะเลฮัน ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งรวบรวมประติมากรรมของชาวจามที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไฮไลต์สำคัญคือเครื่องปั้นดินเผางานชิ้นเอกมากกว่า 300 ชิ้น พร้อมด้วยประติมากรรมหินทรายขนาดใหญ่ วัตถุโบราณเหล่านี้สะท้อนถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมฮินดูที่เผยแพร่เข้ามายังประเทศเวียดนามในสมัยโบราณกาลได้เป็นอย่างดี

DA NANG MUSEUM OF CHAM SCULPTURE, VIETNAM

5. NEKA ART MUSEUM, INDONESIA

Neka Art Museum พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่เมืองอูบัด เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย Neka Art Museum เป็นโครงการของนักรวบรวมศิลปะและศิลปินบาหลีชื่อดัง Wayan Suteja Neka ซึ่งมีวัตถุประสงค์ต้องการที่จะรวบรวมศิลปะบาหลีให้อยู่ในสถานที่เดียวกัน เพื่อสืบสานและถ่ายทอดให้ชาวบาหลีรุ่นต่อไปได้สัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นเมือง สำหรับตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ จะมีทั้งหมดหกชั้นด้วยกัน ไฮไลต์สำคัญคือวัตถุและสิ่งของพื้นเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากยุโรปในทศวรรษที่ 1920 – 1930 ใครที่อยากเห็นภาพเกาะบาหลีขาวดำยุคต้นศตวรรษที่ 20 มาชมได้ที่นี่เลยค่ะ

NEKA ART MUSEUM, INDONESIA

6. AYALA MUSEUM, PHILIPPINES

ถ้าหากมาเที่ยวเมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์แล้ว ห้ามพลาด Ayala Museum เลยค่ะ เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยคอลเลคชั่นวัตถุโบราณหายาก และสิ่งของประเมินค่าไม่ได้จำนวนมาก นอกจากนี้ ภายในตัวพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงสิ่งของและวัตถุหายากของชนพื้นเมือง ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามาล่าอาณานิคมด้วยค่ะ

AYALA MUSEUM, PHILIPPINES

7. WAR REMNANTS MUSEUM, VIETNAM

ถ้าหากใครชื่นชอบและสนใจประวัติศาสตร์สงคราม ถ้ามาเที่ยวเวียดนามแล้ว พิพิธภัณฑ์สงคราม ที่เมืองโฮจิมินห์ ถือเป็น “Must List” ที่ต้องมาเยี่ยมชมให้ได้เลยค่ะ พิพิธภัณฑ์สงครามแห่งนี้ บอกเล่าเรื่องราวการทำสงครามเวียดนามในช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ภายในจัดแสดงสิ่งของ เครื่องใช้และเสื้อผ้าของเหยื่อที่เสียชีวิตจากสงคราม นอกจากนี้ยังมีภาพทางประวัติศาสตร์ที่เราอาจเคยเห็นตามสื่อต่าง ๆ ด้วย อาทิ ภาพการสังหารหมู่ My Lai ซึ่งเลียนแบบ “กรงเสือ” ใช้เพื่อกักขังนักโทษเวียดกง สิ่งของและภาพทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนบอกเล่าเรื่องราวและประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของเวียดนามได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

WAR REMNANTS MUSEUM, VIETNAM

8. NATIONAL MUSEUM OF MYANMAR

มาถึงสถานที่แห่งสุดท้ายกับพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเมียนมาร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง ทางตอนใต้ของประเทศเมียนมาร์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1952 มีด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น เป็นสถานที่จัดแสดงวัตถุโบราณทั้งทาง ศิลปะ เครื่องแต่งกาย ของใช้ และสิ่งของโบราณอื่น ๆ อีกมากมาย โดยไฮไลต์สำคัญที่พลาดไม่ได้ก็คือ “สีหาสนะบัลลังก์” บัลลังก์ที่นั่งของกษัตริย์พม่า ซึ่งทำจากไม้ซ้อ แกะสลักแล้วหุ้มด้วยแผ่นทองคำแท้ ๆ ดุนลวดลาย และบรรจงประดับด้วยเพรชนิลจินดา สมัยล่าอาณานิคม อังกฤษเคยเอาบัลลังก์ไปเก็บไว้ที่ประเทศอินเดีย หลังได้รับเอกราช รัฐบาลพม่าจึงตามไปทวงคืนมา

NATIONAL MUSEUM OF MYANMAR

เป็นอย่างไรบ้างคะกับ 8 พิพิธภัณฑ์ที่เราแนะนำไป นอกจากตัวพิพิธภัณฑ์จะมีความอลังการของวัตถุสิ่งของที่จัดแสดงแล้ว แต่ละสถานที่ยังบอกเล่าเรื่องราวของคนพื้นถิ่น หรือของกลุ่มคนที่เป็นผู้ถูกกระทำ ให้เราได้เรียนรู้และสัมผัสกับประสบการณ์เหล่านั้นจริง ๆ สำหรับแพลนการท่องเที่ยวครั้งหน้า หวังว่าพิพิธภัณฑ์เหล่านี้จะอยู่ในลิสต์ที่ต้องไปให้ได้นะคะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
10 Interesting Museums In Southeast Asia To Visit In Your Lifetime

Blog Disclaimer

All content provided on this blog is for informational purposes only. The content of this blog neither makes representations as to the accuracy or completeness of any information on this site, nor is construed as Allianz Travel’s offering of travel insurance, unless explicitly stated. Details of benefits, limits, policy exclusions, terms and conditions of Allianz Travel insurance can be found under Allianz Travel Policy Wording.

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา