วิธีขอวีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป

วิธีขอวีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป

หลายคนกำลังเตรียมตัวออกไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งการเดินทางไปประเทศแถบยุโรปก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยว เพราะมีทั้งธรรมขาติ และสถาปัตยกรรมที่งดงามที่ต้องมีใครที่เคยฝันอยากจะไปเที่ยวดูสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และอีกมากมาย และ “วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa)” ก็คือใบเบิกทางสู่หลากประเทศที่ขอแค่รอบเดียวก็เที่ยวได้หลายประเทศในวีซ่าเดียว วันนี้ Allianz Travel มีรายละเอียด วิธีขอวีซ่าเชงเก้น มาฝากทุกคนค่ะ

วีซ่าเชงเก้น ถือกำเนิดมาจากข้อตกลงระหว่างประเทศในทวีปยุโรปที่อนุญาตให้พลเมืองของประเทศสมาชิกสามารถเดินทางระหว่างกันได้โดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง ซึ่งรวมไปถึงการอนุญาตให้เดินทางเป็นการชั่วคราวให้กับผู้ที่ถือวีซ่าเชงเก้นด้วย โดยปัจจุบันประเทศที่อยู่ในข้อตกลงเชงเก้นนั้นมี 27 ประเทศ ซึ่งมีทั้งประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก กลุ่มประเทศเชงเก้นประกอบไปด้วย Austria (ออสเตรีย), Belgium (เบลเยี่ยม), Croatia (โครเอเชีย), Czech Republic (สาธารณรัฐเช็ก), Denmark (เดนมาร์ก), Estonia (เอสโตเนีย), Finland (ฟินแลนด์), France (ฝรั่งเศส), Germany (เยอรมัน), Greece (กรีซ), Hungary (ฮังการี), Iceland (ไอซ์แลนด์), Italy (อิตาลี), Latvia (ลัตเวีย), Liechtenstein (ลิกเตนสไตน์), Lithuania (ลิทัวเนีย), Luxembourg (ลักเซมเบอร์ก), Malta (มอลตา), Netherlands (เนเธอร์แลนด์), Norway (นอร์เวย์), Poland (โปแลนด์), Portugal (โปรตุเกส), Slovakia (สโลวาเกีย), Slovenia (สโลวีเนีย), Spain (สเปน), Sweden (สวีเดน), Switzerland (สวิตเซอร์แลนด์)

สิ่งสำคัญที่ควรทราบอย่างหนึ่งคือ วีซ่าเชงเก้นไม่สามารถใช้เข้าประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร ซึ่งได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ได้

ขั้นตอนการขอวีซ่าเชงเก้น

ก่อนดำเนินการยื่นคำร้อง

  1. ก่อนทำการยื่นคำร้องขอวีซ่า คุณต้องมั่นใจแล้วว่า คุณเลือกประเทศที่ถูกต้องในการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีวิธีและช่องทางการยื่นขอวีซ่าที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย และการยื่นขอวีซ่าเชงเก้นผิดประเทศตามที่เราอธิบายไว้ข้างต้น สถานทูตก็มีสิทธิ์ปฏิเสธการออกวีซ่าให้คุณได้ โดยกฏของการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen rules) มีดังต่อไปนี้

1.1. หากเดินทางท่องเที่ยวเพียงประเทศเดียว ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นนั้น

1.2 หากเดินทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเชงเก้นมากกว่าสองประเทศ ให้ยื่นใบคำขอวีซ่าเชงเก้นดังนี้ :
– กรณีจำนวนวันที่จะพำนักในแต่ละประเทศ – ไม่เท่ากัน ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นที่จะเข้าไปพำนักนานที่สุด
– กรณีจำนวนวันที่จะพำนักในแต่ละประเทศ – นานเท่ากัน ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นที่จะเดินทางเข้าไปเป็นประเทศแรก

2. เมื่อได้ประเทศที่ต้องยื่นขอวีซ่าเชงเก้นแล้ว ก็ได้เวลาหาข้อมูลว่าประเทศที่คุณต้องขอวีซ่าเชงเก้นนั้น เขาใช้วิธีการใดในการยื่นขอวีซ่า ซึ่งโดยทั่วไปแต่ละประเทศจะมีช่องทางใดช่องทางหนึ่งในการให้บริการดังนี้

  • ยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเก้นผ่านสถานทูตโดยตรง ได้แก่ ประเทศกรีซ, ฮังการี, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, ลักเซ็มเบิร์ก, โปแลนด์, สโลวาเนีย
  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า VFS Global

ที่อยู่ : จามจุรีสแควร์ ชั้น 4 ห้อง 404-405 ถ.พญาไท ปทุมวัน กทม. 10330

เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.00

โทร : 02-118-7015

ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, เยอรมัน, ไอซ์แลนด์, อิตาลี, ลิคเทนสไตน์, มอลต้า, เนเธอร์แลนด์, สโลวีเนีย, สวีเดน และ สวิตเซอร์แลนด์

  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า TLS Contact

ที่อยู่ : สาทรซิตี้ทาวเวอร์ 175 ชั้นที่ 12 ถ.สาทรใต้ ทุ่งมหาเมฆ สาทร กทม. 10120

เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.30

โทร : 02-838-6688

ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ ฝรั่งเศส และ โปรตุเกส

  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า BLS International

ที่อยู่ : 399 อาคารอินเตอร์เชนจ์ชั้น B2 ห้อง A/1 ถ.สุขุมวิท คลองเตยเหนือ วัฒนา กทม. 10110
เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.00
โทร : 02-258-3524
ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ สเปน

3. การขอวีซ่าเชงเก้นทุกประเทศจะต้องมีการทำประกันการเดินทาง ที่มีวงเงินประกันไม่น้อยกว่า 30,000 ยูโรหรือ 1,500,000 บาท และแต่ละประเทศยังมีการกำหนดบริษัทประกันภัยที่ได้รับการยอมรับด้วย ซึ่งคุณจำเป็นต้องตรวจสอบรายชื่อและใช้บริการกับบริษัทประกันภัยที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น

4. วีซ่าเชงเก้นสามารถยื่นคำร้องขอล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน แต่ต้องไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนการเดินทาง

5. แต่ละช่องทางการยื่นคำร้องขอวีซ่าจะมีขั้นตอนอธิบายบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแต่ละประเทศ คุณสามารถศึกษารายละเอียดทั้งหมดได้ด้วยตนเอง และโดยส่วนใหญ่จะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันคือ จองคิว > กรอกเอกสารและจัดเตรียมหลักฐาน > ยื่นเอกสารและเก็บข้อมูลชีวภาพ > เรียกสัมภาษณ์ (ถ้ามี) > รอฟังผลการพิจารณา > รับหนังสือเดินทางคืนพร้อมผลการขอวีซ่า

เมื่อดำเนินการยื่นคำร้อง

1. ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม Schengen Visa Application หรือกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ) โดยคุณจำเป็นต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน

แบบฟอร์มจะมีรูปแบบเหมือนกันทุกประเทศ โดยให้กรอกให้ครบถ้วน อย่าเว้นว่างช่องคำถามใด หากคำถามไม่ตรงกับเคสของเราให้กรอกว่า NA (No Answer) แทน หลังจากที่กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้พิมพ์แบบฟอร์มออกมา 2 ชุด และอย่าลืมเซ็นชื่อให้เรียบร้อยทั้ง 2 ชุด

2. จองคิวนัดหมายกับสถานทูต (ถ้ามี) หรือศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ซึ่งตัวแทนทั้งหมดจะใช้วิธีการจองคิวนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ตามเวลาที่กำหนดอยู่แล้ว โดยศูนย์รับคำร้องข้อวีซ่าจะมีบริการอื่น ๆ เพิ่มเติมที่คุณสามารถเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอาทิเช่น บริการจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์, บริการแจ้งผลการขอวีซ่าผ่าน SMS, บริการถ่ายรูป / ถ่ายเอกสาร เป็นต้น

3. เตรียมตัวเดินทางไปศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตด้วยตนเอง และไม่สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปแทนได้ โดยคุณต้องถึงก่อนเวลานัดหมายอย่างน้อย 15 นาทีพร้อมเอกสารทั้งหมดที่จำเป็นทั้งฉบับจริงและสำเนา และหนังสือเดินทางที่ต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า และมีอายุคงเหลือมากกว่า 3 เดือนนับจากวันที่เดินทางออกจากเขตประเทศเชงเก้น

4. ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตจะเก็บข้อมูลทางชีวภาพของคุณได้แก่ลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว และถ่ายภาพเต็มหน้าของคุณตามข้อกำหนดของวีซ่าเชงเก้น โดยต้องเป็นภาพหน้าตรง พื้นหลังขาว ไม่มีแสงเงา ไม่สวมอุปกรณ์คลุมศีรษะแต่เหตุผลทางศาสนาหรือทางการแพทย์ (สวมใส่แว่นสายตาได้)

5. สำหรับการยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเก้นนั้นอาจมีการเรียกสัมภาษณ์คุณด้วย แต่โดยส่วนใหญ่การยื่นคำร้องกับศูนย์รับคำร้องขอวีซ่านั้นจะไม่มีการสัมภาษณ์ ทั้งนี้สถานทูตอาจจะเรียกสัมภาษณ์คุณในระหว่างการพิจารณา ดังนั้นเตรียมตัวไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

6. ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตรับเอกสารและเก็บข้อมูลชีวภาพเสร็จสิ้น (รวมทั้งการเรียกสัมภาษณ์) การยื่นขอวีซ่าเชงเก้นก็เป็นอันเรียบร้อย โดยปกติแล้วคุณจะทราบผลภายใน 15 วันทำการนับตั้งแต่วันยื่นเอกสาร และคุณสามารถรับเอกสารและหนังสือเดินทางคืนหลังรับทราบผลแล้วได้ที่ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า หรือบริการจัดส่งทางไปรษณีย์ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

เอกสารการขอวีซ่าเชงเก้น

หลักฐานสำคัญ

  1. เอกสารคำร้องขอ – เอกสารที่คุณต้องพิมพ์หรือกรอกเรียบร้อยแล้ว
  2. หนังสือเดินทาง – ต้องเป็นหนังสือเดินทางฉบับล่าสุด มีอายุคงเหลือมากกว่า 3 เดือนนับจากวันที่เดินทางออกจากเขตประเทศเชงเก้น และมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า กรณีที่มีหนังสือเดินทางเล่มก่อนหน้าให้นำไปด้วยทั้งหมด และถ่ายสำเนาหน้าแรกพร้อมกับหน้าที่เคยได้วีซ่า/เดินทางไปประเทศอื่นด้วย
  3. สำเนาเอกสารแสดงตัว – ได้แก่สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาอื่น ๆ ถ้ามี อาทิเช่น สำเนาทะเบียนสมรส สำเนาทะเบียนหย่า สำเนาใบเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล เป็นต้น (พร้อมเอกสารฉบับจริง)
  4. รูปถ่ายหน้าตรง – ต้องใช้รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ โดยไม่ยิ้ม และไม่มีเส้นผมหรืออุปกรณ์ใด ๆ บดบังใบหน้าและดวงตา (ยกเว้นแว่นสายตา) โดยต้องเป็นรูปที่ถ่ายมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน ทั้งนี้เราขอแนะนำให้คุณตรวจสอบเงื่อนไขการถ่ายภาพโดยละเอียด เนื่องจากบางประเทศมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าปกติ
  5. ประกันการเดินทาง – เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันการประกันภัยระหว่างเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยต้องมีวงเงินประกันขั้นต่ำ 1,500,000 บาท (30,000 ยูโร) และต้องทำกับบริษัทประกันภัยที่สถานทูตให้การรับรองด้วย
  1. ใบยืนยันการจองตั๋วเครื่องบิน – ต้องเป็นตั๋วเครื่องบินที่เดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศสมาชิกเชงเก้น และเดินทางกลับถึงประเทศไทยภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น ค้นหาและจองตั๋วเครื่องบินไปยุโรป
  2. ใบยืนยันการจองโรงแรมที่พัก – ต้องเป็นโรงแรมภายในประเทศสมาชิกเชงเก้น และมีการเข้าพักในช่วงเวลาท่องเที่ยวที่ระบุไว้เท่านั้น ค้นหาและจองโรงแรมที่พักในยุโรป
  3. ใบยืนยันการจองตั๋วรถไฟ/รถเช่า (ถ้ามี) – เนื่องจากต้องใช้เป็นหลักฐานยืนยันการเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปที่ใช้ระบบรถไฟเป็นหลัก หากไม่มีต้องอธิบายแผนการเดินทางเป็นลายลักษณ์อักษรได้ว่าคุณวางแผนการเดินทางอย่างไร ค้นหาและจองรถเช่าในยุโรป

หลักฐานสำคัญ กรณีมีรายได้เป็นของตนเอง

1. เอกสารรับรองการทำงาน

กรณีเป็นพนักงาน: ต้องใช้หนังสือรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ โดยต้องมีข้อมูลชื่อองค์กรที่ทำงาน ตำแหน่งงาน เงินเดือน วันเริ่มงาน และควรมีการระบุจุดหมายปลายทาง ช่วงวันเดินทาง และวันที่จะกลับถึงประเทศไทยอย่างชัดเจน พร้อมลงนามและประทับตรา

กรณีเป็นเจ้าของกิจการ: ต้องใช้สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่มีอายุไม่เกิน 3 เดือน พร้อมทะเบียนการค้า หรือใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ และเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีชื่อของคุณเป็นเจ้าของกิจการ

2. รายการเดินบัญชีเงินฝาก – สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากที่ปรับรายการเดินบัญชีถึงปัจจุบันถึงย้อนหลังไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และควรมีเงินฝากที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นว่าสามารถพำนักอยู่ในยุโรปได้อย่างไม่มีปัญหา (แนะนำว่าควรแสดงเงินฝากเกิน 50,000 บาทขึ้นไป) หรือขอรายการเดินบัญชีที่ได้รับตราประทับจากธนาคาร หรือขอเอกสารแสดงข้อมูลทางบัญชีที่การันตีเงินฝากของคุณเป็นภาษาอังกฤษก็ได้

3. สลิปเงินเดือน – กรณีมีรายได้ประจำ ให้แนบสลิปย้อนหลัง 6 เดือน โดยยอดเงินสุทธิในสลิปจะต้องสอดคล้องกับรายการเดินบัญชีเงินฝากด้วย

หลักฐานสำคัญ กรณีไม่มีรายได้เป็นของตนเอง

  1. หลักฐานแสดงรายได้ของคู่สมรส – กรณีเป็นคู่สมรสที่มีการจดทะเบียนกันอย่างถูกต้อง และต้องมีสำเนาเอกสารยืนยัน และถ้าคู่สมรสไม่ได้เดินทางไปด้วย ต้องมีสำเนาเอกสารแสดงตัวของคู่สมรสทั้งหมดแนบมาด้วย หรือถ้าไม่ได้จดทะเบียน ต้องมีหนังสือยืนยันการสมรสโดยไม่ได้จดทะเบียนและลงชื่อรับรองทั้ง 2 ฝ่าย
  2. หลักฐานแสดงรายได้ของญาติ – กรณีเดินทางกับญาติพี่น้องสามารถใช้ข้อมูลของญาติที่ร่วมเดินทางไปด้วยพร้อมหนังสือรับรองความเป็นญาติ หรือถ้าญาติเป็นเจ้าของกิจการหรือบุคคลที่รายได้แต่ไม่ได้เดินทางไปด้วย ก็สามารถใช้อ้างอิงแทนกันได้ ทั้งนี้ยอมรับเฉพาะญาติที่เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี หรือภรรยาเท่านั้น
  3. สูติบัตรและทะเบียนบ้าน – กรณีผู้เดินทางเป็นเด็กที่มีอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ ต้องมีหลักฐานแสดงถึงความสัมพันธ์ของพ่อและแม่ที่ร่วมเดินทางไปด้วย โดยใช้สูติบัตรร่วมกับทะเบียนบ้านที่อ้างอิงถึงชื่อบิดามารดา
  4. จดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง – กรณีผู้เดินทางเป็นเด็กอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ และไม่ได้เดินทางพร้อมบิดามารดาร่วมกัน ผู้ปกครองที่เป็นบิดาหรือมารดาที่ไม่ได้ร่วมไปด้วยทั้งหมดต้องลงชื่อในจดหมายยินยอมที่ออกโดยที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขต
  5. เอกสารรับรองการศึกษา – กรณีเป็นนักเรียน/นักศึกษา ต้องใช้หนังสือรับรองจากสถานศึกษาที่สังกัดอยู่เป็นภาษาอังกฤษ

หลักฐานอื่น ๆ

  1. แผนการเดินทาง – แสดงแผนการเดินทางในช่วงที่อยู่ในประเทศอังกฤษเพื่อให้ทราบว่าในแต่ละวันจะเดินทางไปเที่ยวเมืองอะไร สถานที่ท่องเที่ยวไหน พักที่ใดบ้าง โดยแผนทั้งหมดต้องเป็นภาษาอังกฤษ
  2. ใบปะหน้า – เขียนใบปะหน้าเอกสารโดยสรุปของการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น อาทิเช่นวันเวลาเดินทาง สถานที่ที่ต้องการเที่ยว และรายการหรืออธิบายสั้น ๆ ถึงเอกสารที่รวบรวมมาเพื่อประกอบการพิจารณา
  3. สัญญาเช่า/สัญญากู้บ้าน/ผ่อนรถ – เป็นเอกสารประกอบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ที่มีภาระผูกพันกับฐานที่อยู่ในประเทศไทย ให้ทางสถานทูตมั่นใจได้ว่าคุณจะกลับมาอย่างแน่นอน

หลังจากที่เราเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ในการขอวีซ่าเชงเก้นตามวันนัดหมาย การสัมภาษณ์จะเป็นการถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว ที่อยู่ ที่ทำงาน วัตถุประสงค์ในการเดินทาง ข้อมูลการเดินทางอื่นๆ ซึ่งเราจะต้องตอบให้สอดคล้องกับรายละเอียดที่กรอกลงในแบบฟอร์มคำขอ และเอกสารที่ได้ยื่นไป โดยปกติขั้นตอนการสัมภาษณ์นี้จะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 10-15 นาที

หลังจากนั้นก็รอผลในการขอวีซ่า ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 15 วันทำการ แต่ในบางกรณีอาจจะนานถึง 45 วันทำการเลยทีเดียว หากผลของวีซ่าออกมาผ่านก็เตรียมตัวไปเที่ยวยุโรปตามแผนที่วางเอาไว้ได้เลย แต่ถ้าใครที่ถูกปฎิเสธก็ไม่ต้องเสียใจไป เราสามารถนำเหตุผลในการปฎิเสธครั้งนี้ไปปรับปรุงเพื่อใช้ในการยื่นวีซ่ารอบถัดไปได้ และหากใครซื้อประกันการเดินทางของ Allianz Travel ก็สามารถทำเรื่องขอคืนเงินด้วยเหตุผลว่ายื่นวีซ่าไม่ผ่านได้ค่ะ*

และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลวิธีขอวีซ่าเชงเก้นเที่ยวยุโรป ซึ่งหากเราทำตามขั้นตอน และเตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อให้สถานทูตมั่นใจว่าคุณไปเที่ยวจริง ๆ  โอกาสที่เราจะได้วีซ่าก็น่าจะสูง และได้ไปเยือนเมืองในฝันสมดั่งใจต้องการ ส่วนใครที่อยากเที่ยวแต่ยังเกรงๆ กับขั้นตอนการขอวีซ่าอยู่ Allianz Travel ก็ขอส่งกำลังใจให้คุณยื่นขอวีซ่าให้สำเร็จนะคะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่คนรักญี่ปุ่นเฝ้ารอและวางแผนเตรียมไปชมความงามของดอกซากุระ 🌸 สีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีขาวที่บานสะพรั่งไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้สุดไปจนถึงตอนเหนือสุดของประเทศ มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว หลายแห่งมีคนหนาแน่นเต็มพื้นที่ จนต้องต่อคิวถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความงามที่ในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว และ Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 จุดชมซากุระโตเกียว ที่ดีที่สุด เตรียมตัวเดินทางไปพร้อมกับเราเลยค่ะ

1. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ (Shinjuku) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว เปรียบเสมือนโอเอซิสที่อยู่กลางกรุง มีขนาดใหญ่ประมาณ 540,000 ตารางเมตร และล้อมรอบเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร คุณจะได้เห็นภาพของต้นซากุระกว่า 1,100 ต้นบานสะพรั่ง และกลีบดอกไม้ที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าและสระน้ำ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเกินบรรยาย ที่นี่มีต้นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะบานช้าเร็วไม่พร้อมกัน ทำให้คุณได้ชื่นชมกับภาพความงามของดอกซากุระได้ยาวนานขึ้น เปรียบเหมือนกับการแสดงดอกไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สวนชินจูกุเกียวเอ็นเป็นสถานที่ชมซากุระที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ร้านค้าท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบสวนยังเต็มไปด้วยของว่างอร่อยๆ และของที่ระลึกน่ารักในธีมดอกซากุระอีกด้วย

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีชินจูกุ ทางออก South Exit
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/7Aw8H6evdX2DjeBo8
ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น.- 16.00 น. (ฤดูดอกซากุระบาน จะขยายเวลาเปิดจนถึง 17.30 น.)

2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

สวนอุเอโนะ (Ueno Park) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในโตเกียวสำหรับการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย คุณจะได้เห็นทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาชมดอกซากุระที่นี่กันอย่างมากมาย สวนอุเอโนะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร ต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่อยู่ในพื้นที่มากกว่าครึ่งของสวน ทำให้มึจุดชมซากุระอยู่มากมาย เริ่มจากถนนสายหลักยาวประมาณ 500 เมตร ที่อยู่ใจกลางสวนจะมีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์เรียงรายไปสองข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนหนาแน่นมาก แต่ถ้าอยากชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็สามารถชมได้ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน และเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเวลาดอกซากุระบานเท่านั้น และอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปชมก็คือบริเวณสระน้ำชิโนบาสุ (Shinobazu Pond) ที่คุณจะได้ชมบรรยากาศของดอกซากุระริมฝั่งน้ำ

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานี Ueno เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้สวนมากที่สุด มีรถไฟหลายสายที่ผ่าน อย่างเช่น รถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ueno ออกทางออก Park Exit หรือรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Hibiya Line มาลงที่สถานี Ueno ออกทางออก 7 หรือ 9
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/gnAsmJvojfkARuqV6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: 5.00 น.- 23.00 น.

3. สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ตั้งอยู่ในเขตชิโยดะ (Chiyada) ใจกลางกรุงโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียวต้องไม่พลาด คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้น บานสะพรั่งตัดกับกำแพงหินโบราณของปราสาทเอโดะ ซึ่งปัจจุบันคือพระราชวังอิมพีเรียลอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางมหัศจรรย์ที่มีต้นซากุระกว่า 260 ต้นเรียงรายไปตามคูน้ำที่ยาวกว่า 700 เมตรที่เรียกว่า “อุโมงค์ซากุระ” คุณจะรู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนผ่านความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนที่มีการประดับไฟ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น และกิจกรรมที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวชมสวนจิโดริกะฟุจิก็คือการพายเรือล่อง หรือถีบเรือเป็ดล่องไปตามสระน้ำ ซึ่งทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับดอกซากุระที่รายล้อมมากยิ่งขึ้น

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Toei Shinjuku, Tokyo Metro Tozai หรือ Hanzomon มาลงสถานี Kudanshita ออกจากสถานีที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อ 5 นาที
  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hanzomon มาลงสถานี Hanzomon ออกจากสถานีที่ทางออก 5 แล้วเดินต่อ 5 นาที

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/NERZnRnbM3BN4qGQ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

4. สวนสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสุมิดะ (Sumida Park) ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับวันเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) เป็นสวรรค์แห่งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีซากุระปลูกอยู่ถึง 1,000 ต้น เป็นจุดที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการปิกนิกมารวมตัวกันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสวนอย่างสง่างามได้อีกด้วย

สวนสุมิดะ (Sumida Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Toei Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa
  • นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/nq9eaUnQFUEsu7ScA
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านฮิตกิ๊บเก๋อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการเดินเล่น ออกกำลังกาย พายเรือหรือถีบเรือ วาดรูป การแสดงต่างๆ และชอปปิ้งตลอดนัดทุกวันอาทิตย์ ที่นี่มีต้นซากุระญี่ปุ่นประมาณ 500 ต้น และเมื่อยืนมองจากสะพานที่ข้ามสระน้ำจะเห็นต้นซากุระสีชมพูงดงามแผ่กิ่งก้านออกไปเหนือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันงดงาม และมีตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าคอยสาปให้ชายหญิงที่มาพลอดรักกันที่สวนแห่งนี้มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ก็มีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ให้ไปกราบไหว้ขอพรศาลของเทพเจ้าเบ็นไซเต็น (Benzaiten) ภายในสวน ก็จะกลับมารักกันได้เช่นเดิม กิจกรรมยอดนิยมในสวนแห่งนี้คือการถีบเรือเป็ดชมซากุระ หรือปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กัน

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 3 นาที (280 เมตร) จากสถานีรถไฟคิชิโจจิ (Kichijoji Station) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/sbGGWsSNaMP1gwSZ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียว โดยเป็นแม่น้ำขนาดไม่กว้างนัก ทอดยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ไปตามแลห่งที่อยู่อาศัยในย่านเมกุโระ (Meguro) ในเขตชินากาว่า (Shinagawa) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว และไหลไปลงอ่าวโตเกียว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมกุโระเรียงรายไปด้วยต้นซากุระประมาณ 800 ต้นที่บานสะพรั่งอย่างงดงามในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระ ที่มีการออกร้านกันอย่างคึกคักตั้งแต่สปาร์คกลิ้งไวน์สีซากุระไปจนถึงของว่างรสเลิศ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์และความมีชีวิตชีวา ในช่วงกลางคืนจะมีบรรยากาศโรแมนติกที่เสริมด้วยแสงสียามเย็นที่สวยงาม

จุดชมซากุระโตเกียว : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานที่ยอดนิยมสำหรับชมซากุระอยู่บริเวณสะพาน Meguro Shinbashi ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟเมกุโระ (Meguro) และสถานีนากะเมกุโระ (Nakameguro)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/BA6k4ow4c8EjLNJT9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาประดับไฟ 17.00 น. – 21.00 น.)

7. สวนโยโยงิ (Yoyogi Park)

สวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโตเกียว ตั้งอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ และชิบูย่า เป็นสถานที่นั่งเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย ชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่นี่มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้น และมีหลายสายพันธุ์ ทะยอยบานตั้งแต่เดือนมีนามคมไปจนถึงเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งปิกนิก นั่งพักผ่อน หรือเดินชมดอกซากุระ โดยในช่วงเทศกาลชมซากุระ จะมีคนเข้าไปจับจองพื้นที่นั่ง หาอาหารมาทาน และจิบเบียร์เย็น ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่ากับที่อื่นๆ

สวนโยโยงิ (Yoyoki Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/SJs42qdvxsCPWxE36
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

8. สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

สวนโคอิชิกาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยและเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว โดยชื่อของสวนแห่งนี้นั้นได้รับการตั้งชื่อตามบทกวีและเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1629 ราวๆ ยุคสมัยเอโดะตอนต้น ในสวนมีบ่อน้ำตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยเส้นทางเดินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน สวนแห่งนี้มีความสวยงามตลอดทั้งปีด้วยพืชและต้นไม้ที่หลากหลาย ด้านหลังสวนถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองโตเกียวที่มองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆอย่างตัดสลับระหว่างความเป็นธรรมชาติบรรยากาศย้อนยุคกับตึกอาคารที่เต็มไปด้วยความทันสมัย แต่คนจะนิยมมาเป็นพิเศษในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของดอกซากุระที่สะท้อนจากสระไดเซ็นซุย ในสวนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นั่งปิกนิก แต่คุณสามารถนั่งชมดอกซากุระได้ที่ร้านน้ำชาที่มีเสน่ห์แปลกตาของสวน และเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาเขียวกับชิมขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง:

  • เดิน 3 นาทีจากสถานีอิดะบาชิ (Iidabashi Station) เข้าประตูทิศตะวันตกของสวน 
  • เดิน 5 นาทีจากซุอิโดบาชิ (Suidobashi) เข้าประตูทิศตะวันออกของสวน

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/RzsR6ok9Qpjz89rb8
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00น.

9. สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของโตเกียว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว เป็นสวนที่มีขนาดกว้างใกญ่และสวยงามมาก สร้างขึ้นราวๆ ปีค.ศ. 1700 ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี สำหรับโชกุนโทกุกาวะที่ 5 สวนริคุงิเอ็นเป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ในรายละเอียด ชื่อของสวนนี้แปลว่า “สวนแห่งบทกวีทั้งหก” บ่งบอกถึงรากฐานที่หยั่งรากลึกในบทกวีของญี่ปุ่น โดยมีภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนฉากจากบทกวีที่โด่งดัง จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือต้นซากุระใหญ่สายพันธุ์ชิดะเระ ซากุระ ที่เมื่อบานเต็มที่ กิ่งจะย้อยตัวลงมาค้ายน้ำตก สูงประมาณ 15 เมตร และกว้าง 20 เมตร สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วงที่มีการเปิดไฟประดับ ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและงดงามมาก

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • เดินประมาณ 7 นาทีจากสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
  • เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line)

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/8XWkRR4arTEdxzHR7
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (ขยายเวลาเป็น 21.00 น. ในช่วงฤดูดอกซากุระบาน เพื่อจัดกิจกรรมประดับไฟ)

10. สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ภายในสวนเด็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและต้นซากุระที่ปลูกไว้ประมาณ 600 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะนำเสนอทิวทัศน์อันตระการตาของดอกซากุระ ซึ่งคนในโตเกียวจะมานั่งปิกนิก และพักผ่นใต้ต้นซากุระกัน และช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟต้นซากุระด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรถไฟรางเดียว Asuka Park Rail ให้บริการนั่งผ่านสวนตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.และมีจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นเมืองและมองรถไฟที่วิ่งไปมาได้ด้วย

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาที จากสถานีโอจิ (Oji Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/qBNPwKkhQXmy9z6K6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: เปิด 24 ชม. (มีการแสดงไฟตลอดช่วงที่ซากุระบาน ตั้งแต่เย็นจนถึง 21.00 น.)

เมืองโตเกียวสดใสมีชีวิตชีวาเมื่อถึงฤดูดอกซากุระบาน เตรียมชุดสวยๆ หยิบกล้อง และติดอาหารไปนั่งปิกนิกชมสวนชิลๆ Allianz Travel รวมจุดชมซากุระหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกเยี่ยมชมตามสไตล์ที่คุณชอบ บางคนชอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทีแผงขายอาหาร และคนนั่งปิกนิกมากมาย หรือบางคนก็ชอบเดินเล่นแบบเงียบสงบและผ่อนคลายใต้ต้นซากุระในโตเกียว และไม่ว่าคุณจะวางแผนไปที่ไหนสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส

13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส

นักเดินทางที่งบเที่ยวไม่มากนัก แต่อยากได้ฟีลแบบเที่ยวยุโรปคงต้องนึกถึงประเทศจอร์เจียเป็นอันดับแรก ประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่มีความสวยงามระดับโลกอย่างเทือกเขาคอเคซัส ตั้งอยู่ระหว่างจุดตัดระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่สำคัญคือคนไทยอย่างเราไปเที่ยวจอร์เจียกันได้แบบไม่ต้องขอวีซ่า แถมยังอยู่ได้นานถึง 1 ปี เรียกได้ว่าเที่ยวกันได้เกือบทั่วประเทศเลยล่ะ ที่เที่ยวจอร์เจีย แต่ละแห่งมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ คนที่รักการถ่ายรูปวิวธรรมชาติสุดอลังการทั้งหลายคงต้องร้องว้าวถ้าได้ไปที่จอร์เจีย เพราะไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด มีกลิ่นอายของความเป็นยุโรป มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ทำให้จอร์เจียเต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่าสนใจ ทำให้หลายคนต้องปักหมุดที่นี่ไว้เป็นจุดหมายในการเดินทาง

Allianz Travel ได้รวบรวม 13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ที่หลายคนบอกว่ามีความสวยงามเทียบเท่าสวิสเซอร์แลนด์ มีที่ไหนกันบ้าง ไปดูกันเลย

1. Telavi

Telavi เป็นเมืองศูนย์กลางในภูมิภาค Kakheti มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 2,000 ปี ตั้งอยู่ทางตะวันออกของจอร์เจีย ที่ระดับความสูง 490 เมตรเหนือระดับทะเล ท่ามกลางหุบเขา Alazani ที่แสนงดงาม และยังเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ที่สำคัญของจอร์เจียเนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบเหมาะแก่การปลูกองุ่น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

Telavi ยังมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ เริ่มจากการชื่นชมแนวป้องกันของ Dzveli Galavani ป้อมปราการในยุคของกษัตริย์ Kakhetian จากนั้นมุ่งหน้าไปยัง Batonis Tsikhe หนึ่งในพระราชวังยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีเพียงไม่กี่แห่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

นอกจากนี้ ไม่ควรพลาดการไปชมต้นมะเดื่ออายุ 900 ปีของเมือง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถขอพรได้ ถ้าหากมีเวลาเหลือ เราอาจออกจากเมืองไปยังอาราม Alaverdi ซึ่งเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/KYQDe9KtXEu59Ncr5

2. Sighnaghi

Sighnaghi อยู่บนเนินเขาสูงกว่า 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล อาคารบ้านเรือนที่นี่จะดูเก่าแก่โบราณในสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และมีการปรับปรุงอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 17

ที่เที่ยวจอร์เจีย Sighnaghi

นอกจากนี้ วิวทิวทัศน์ต่างๆก็สวยงามจนแทบจะหาที่ติไม่ได้ ร้านค้าในเมืองนั่นยังคงสภาพสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งหลังคาบ้านแต่ละหลังของที่นี่ ก็พร้อมใจกันใช้สีแดงอิฐ ดูสวยงามโดดเด่นท่ามกลางหุบเขาที่ล้อมรอบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณสามารถเดินเล่นได้เพลินๆ

ที่เที่ยวจอร์เจีย Sighnaghi

มีคู่รักมากมายที่ตกหลุมรักเมืองนี้ และมาจัดงานแต่งงานกันที่นี่ ทำให้เมือง Sighnaghi มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The city of Love แห่งจอร์เจีย และอีกอย่างที่ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นก็เพราะว่าเมืองเเห่งนี้ ถือว่าเป็นเมืองที่ผลิตไวน์ชั้นยอดของโลก หรือเรียกว่าดี และมีคุณภาพมากที่สุดในประเทศจอร์เจียนั่นเอง

แผนที่ : https://goo.gl/maps/QymNPzTPe8tFDqfz8

3. Tusheti National Park

อุทยานแห่งชาติ Tusheti เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจียและเป็นภูมิภาคที่ยังไม่ถูกทำลายทางนิเวศวิทยามากที่สุดแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัส มีภูมิประเทศที่สวยงามและสัตว์คุ้มครอง เช่น แพะป่า เป็นสถานที่ที่ผู้รักธรรมชาติต้องไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมชมทิวทัศน์อันงดงาม ป้อมปราการเก่าแก่ การต้อนรับอย่างอบอุ่น และวัฒนธรรมพื้นบ้านที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park

ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างเช่น Dartlo หรือบ้านที่สร้างจากหินก่ออิฐโบราณ นอกจากนี้ชีส Tusheti ยังมีรสชาติไม่เหมือนที่ไหนและควรลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง อุทยานแห่งชาติ Tusheti  เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คุ้มค่าแก่การไปเยือน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park
ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park

แผนที่ : https://goo.gl/maps/dko6fuqMgx4wxRKf8

4. Uplistsikhe

เมืองถ้ำ Uplistsikhe ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขาของภูมิภาค Shida Kartli นักโบราณคดีระบุว่าเป็นหนึ่งในการตั้งถิ่นฐานในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Uplistsikhe

Uplistsikhe ตามภาษาจอร์เจียแปลว่า “ป้อมปราการของขุนนาง” ซึ่งเมืองถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนหินผา ใช้การก่อสร้างด้วยการขุดและเจาะจนเกิดเป็นถ้ำเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยขึ้นมา คาดว่าน่าจะก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปลายของยุคสำริด ก่อนคริสต์ศักราชถึง 1,000 ปี ซึ่งถูกใช้เป็นที่อาศัยของคนมาจนถึงศตวรรษที่ 13 โดยสถานที่แห่งนี้ถือเป็นใจกลางเมืองของคนในยุคโบราณที่มีความสำคัญทางด้านการปกครองและศาสนา เนื้อที่ของเมืองนี้ครอบคลุมไปถึง 40,000 ตารางเมตร และในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดก็มีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 20,000 คนเลยทีเดียว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Uplistsikhe

Uplistsikhe ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ดังนั้นจึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งในประเทศจอร์เจียที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดเด็ดขาด นอกจากความสวยงามของวิวธรรมชาติที่มองเห็นได้จากที่นี่แล้ว ยังได้ชมโบราณสถานที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศนี้อีกด้วย นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมในปัจจุบันสามารถสำรวจกลุ่มที่อยู่อาศัยในถ้ำ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมือง และค้นพบความสำคัญทางสถาปัตยกรรมของเมืองได้

แผนที่ : https://g.page/Chokoladobana?share

5. Gudauri

Gudauri ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,196 เมตร ห่างจากกรุง Tbilisi เมืองหลวงของจอร์เจียไปทางทิศเหนือราว 120 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นสกีรีสอร์ทที่สมบูรณ์แบบที่สุดบริเวณเทือกเขาคอเคซัส เพราะระดับความลาดชันมีความเหมาะสม มีลานสกีที่หลากหลายเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มาทุกระดับ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สงเสริมให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฤดูหนาวของจอร์เจียตั้งแต่เดือนธันวาคม-เดือนเมษายน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Gudauri

กิจกรรมอื่นๆ บริเวณรอบๆพื้นที่เล่นสกีก็จะมีกิจกรรม Paragliding โดดร่มผาดโผนลงจากเทือกเขาสำหรับคนชอบความตื้นเต้น อีกทั้งยังมีการขี่มอเตอร์ไซค์เล่นลงเขา นั่งกระเช้าชมวิว เป็นต้น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Gudauri

ดังนั้นผู้คนจึงใช้เวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากการเล่นสกีอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเพราะสามารถเที่ยวเล่นได้หลายอย่าง อีกทั้งยังมีโรงแรงบริการรองรับสำหรับคนที่ต้องการเล่นสกีหลายๆวันด้วย

แผนที่ : https://goo.gl/maps/rM4Wj9tiemYT3jds8

6. Jvari Monastery

วิหารจวารี (Jvari Monastery) โบสถ์แห่งไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 6 ตั้งอยู่ที่เมืองมิชเคทา (Mtskheta) เมืองหลวงเก่าของจอร์เจีย เป็นจุดตัดของแม่น้ำอักราวิและแม่น้ำมิกวาริ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1994

ที่เที่ยวจอร์เจีย Jvari

ภายในโบสถ์มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางโถง มีตำนานเล่าขานว่า “นักบุญนีโน” (Saint Nino) แห่งคัปปาโดเกีย ได้นำไม้กางเขนนี้เข้ามา พร้อมเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจอร์เจียเป็นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 4 เล่ากันว่าขณะที่นักบุญนีโนปักไม้กางเขนลงบนพื้นดิน ได้เกิดเหตุการณ์ปาฎิหาริย์ และทำให้กษัตริย์และชาวเมืองหันมานับถือคริสต์ศาสนาอย่างจริงจัง

ที่เที่ยวจอร์เจีย Jvari

แผนที่ : https://goo.gl/maps/8kqEzoh3oukx98d36

7. Stepantsminda

เมือง Stepantsminda หรือชื่อเก่าที่คุ้นเคยกันอย่าง Kazbegi คือเมืองทางตอนเหนือของจอร์เจีย ห่างจากกรุง Tbilisi ประมาณ 145 กิโลเมตร ตั้งชื่อตามสเตฟาน พระภิกษุออร์โธดอกซ์ชาวจอร์เจียที่สร้างอาศรมในภูมิภาคนี้ สเตฟานส์มินดาเป็นจุดแวะพักที่สวยงามแห่งหนึ่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda
ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

จุดเช้คอินที่ห้ามพลาดคือโบสถ์ Gergeti Holy Trinity หรือ Tsminda Sameba โบสถ์ชื่อดัง สัญลักษณ์สำคัญที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 บนความสูง 2,170 เมตร

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่าผ่านเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Kazbegi และการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา Kazbegi เป็นต้น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda
ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

แผนที่ : https://goo.gl/maps/ckqVT3U9dhc2qbHh8

8. Vardzia

Vardzia เป็นเมืองถ้ำและอารามโบราณที่มีชื่อเสียงทางตอนใต้ของจอร์เจีย สร้างขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งชาวจอร์เจียนมาสร้างที่พักอาศัยกันที่ภูเขาหิน โดยใช้วิธีการขุดเจาะเข้าไป เพื่อหลบซ่อนตัวจากการรุกรานของกองทัพมองโกล ที่นี่มีด้วยกันถึง 19 ชั้น 6,000 ห้อง มีทั้งส่วนที่พักอาศัย และสถานที่ประกอบศาสนพิธี เป็นที่หลบภัยของประชาชนจำนวนมากถึง 50,000 คน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Vardzia

ปัจจุบันบางส่วนของ Vardzia ถูกทำลายลงไปเนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และแม้ว่าจะถูกละทิ้งหลังจากการยึดครองประเทศของออตโตมันในศตวรรษที่ 16 แต่ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์และรอการจารึกในอนาคตให้เป็นหนึ่งในรายการมรดกโลกของยูเนสโก

ที่เที่ยวจอร์เจีย Vardzia

แผนที่ : https://goo.gl/maps/cBnRevknYVTsJVbz6

9. Rabati Fortress

ป้อมปราการ Rabati เป็นสถานที่สำคัญตั้งอยู่ที่เมือง Akhaltsikhe หรือที่มีชื่อเดิมว่า Lomisa เมืองเล็กๆ ในแคว้น Samtskhe-javakheti ทางตอนใต้ของจอร์เจีย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 และได้รับการปรับปรุงใหม่ในปี 2554

ที่เที่ยวจอร์เจีย Rabati Fortress

ปราสาทด้านในประกอบด้วยอาคารหลายส่วน ซึ่งล้อมรอบด้วยแนวกำแพงหินที่ใช้เป็นป้อมปราการป้องกันข้าศึก อาณาเขตของปราสาทมีพื้นที่ถึง 7 เอเคอร์ ประกอบด้วยอาคารหลากหลายศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมกันมากมาย เช่น จอร์เจีย ออตโตมัน ยิว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Rabati Fortress

แผนที่ : https://goo.gl/maps/5pt1X1FGmXQNmtM49

10. Mestia

Mestia เป็นเมืองทางตอนเหนือของจอร์เจีย ตั้งอยู่บนเทือกเขาคอเคซัส ที่ระดับความสูง 1,500 เมตร มีลักษณะเป็นหมู่บ้านอยู่บริเวณเขา และทุกบ้านจะมีปล่องไฟขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

กิจกรรมที่มีให้ทำที่นี่ก็จะมีการขี่ม้าเที่ยวชมรอบหมู่บ้าน การปีนเขา และการเล่น Paragliding ที่จะทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติและหุบเขาคอเคซัสอันสวยงามแบบ 360 องศาเลยทีเดียว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia
ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

นอกจากนี้ ด้วยความที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นศูนย์กลางในการเที่ยวชมธรรมชาติในหุบเขาคอเคซัส จึงมีพิพิธภัณฑ์ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของบริเวณหุบเขาคอเคซัสที่มีชื่อว่า Svaneti Museum of History and Ethnography ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงสิ่งของที่ถูกค้นพบในยุคสมัยเก่า เช่น เครื่องครัว อาวุธ เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงรูปภาพและคัมภีร์ทางศาสนาต่าง ๆ อีกด้วย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

แผนที่ : https://goo.gl/maps/9NBmz6ouhcasBD26A

11. Zugdidi

Zugdidi อยู่ในจังหวัด Samegrelo อยู่ทางตะวันตกของกรุง Tsibili ประมาณ 316 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ชื่อ Zugdidi มาจากภาษา Mingrelian แปลว่าเนินเขาใหญ่ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์และแปลกตาและมีสถาปัตยกรรมที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเริ่มจากพระราชวัง Dadiani ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และเพลิดเพลินไปกับการสำรวจโครงสร้างและบริเวณรอบ ๆ ของสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่ 19

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

นอกจากนี้ยังมีสวนพฤกศาสตร์ Zugdidi โรงละคร ป้อมปราการ และ หากเดินทางออกไปนอกเมือง ก็จะกับพบความสวยงามของธรรมชาติ และผจญภัยใน Martvili Canyon

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/nWfgbrwyvDXFVcVX8

12. Ushguli

Ushguli เป็นเขตชุมชนเล็กๆ อยู่ริมแม่น้ำ Patara Enguri ในภูมิภาค Upper Svaneti ในหุบเขา Enguri บนแนวเทือกเขาคอเคซัส ทางตอนเหนือของประเทศจอร์เจีย สูงจากเชิงเขา Shkhara ราว ๆ 2,100 เมตร มีประชากร 200 คน ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

Ushguli ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในชื่อ Upper Svaneti เมื่อปี 1996 จึงกลายเป็นชุมชนมรดกโลกที่สูงที่สุดในยุโรปไปโดยปริยาย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

นอกจากบ้านเรือนที่มีลักษณะเก่าแก่โบราณน่าเที่ยวชมแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังอยู่ในจุดที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์เจีย เพราะขนาบข้างไปด้วยแนวเทือกเขาสูงใหญ่ ในฤดูร้อนจะเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีมีดอกไม้เล็ก ๆ แทรกแซมอยู่ ฤดูหนาวก็จะเต็มไปด้วยหิมะ งดงามราวกับดินแดนในเทพนิยาย  สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน ณ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นจำนวนมาก

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

แผนที่ : https://goo.gl/maps/fsTXBhjqPKjJWAUg8

13. Batumi

เมืองชายฝั่ง Batumi หนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย ได้รับความนิยมในฐานะลาสเวกัสแห่งทะเลดำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi

สถานบันเทิงยามค่ำคืนในฤดูร้อนที่พลุกพล่าน แสงนีออน สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และเทศกาลทางวัฒนธรรมทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยม และนักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาสนุกสนานและเต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆ ได้ที่นี่

ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/C41H6bT7UFRW1rNc8

จอร์เจีย ประเทศเล็กๆ ที่สามารถได้ใจนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางไปสัมผัสธรรมชาติอันงดงาม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันงดงาม ทำให้ใครหลายๆ คนหลงรักประเทศนี้ จากลิสต์สถานที่เที่ยวในจอร์เจียที่ Allianz Travel นำมาฝากเพื่อนๆ คงทำให้หลายๆ คนเพิ่มจอร์เจียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่อยู่ในลิสต์ของประเทศที่อยากไปกัน และตอนนี้จอร์เจียก็เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้แล้ว เริ่มกดวันลาหรือมองหาวันหยุด เตรียมตัวแพ็คกระเป๋า แล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปสัมผัสกับธรรมชาติสุดสวยที่จอร์เจียกันได้เลย แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้วแต่ยังไงเราก็ควรอัพเดทข่าวสารและมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศจอร์เจียกันด้วยนะคะ วางแผนการเดินทางและเตรียมความพร้อมให้ดี สิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศคือ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel  ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัด ช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Must-Visit Attractions in Georgia

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

China Tourist Attractions

เที่ยวจีน ต้อนรับฟรีวีซ่า กับ 8 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม

ข่าวดีต้อนรับปีใหม่สำหรับคนที่รักการเที่ยวต่างประเทศ เมื่อรัฐบาลจีนอนุมัติให้คนไทยเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป ต่อจากนี้ไปเมื่อนักท่องเที่ยวไทยอยากไป เที่ยวจีน ก็แค่ซื้อตั๋วเครื่องบิน และบินไป เที่ยวจีน ได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการไปเที่ยวจีนก็คือการตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนดี เนื่องจากประเทศจีนมีขนาดใหญ่ และมีเมืองที่น่าสนใจหลากหลายรูปแบบให้ไปเยี่ยมชมอยู่มากมาย Allianz Travel ขอนำเสนอ 8 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศจีน ที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับประสบการณ์ที่น่าจดจำ และนำคุณไปสัมผัสกับวัฒนธรรมและ สถานที่ท่องเที่ยวจีน ในแต่ละมุม มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ 🙂

1. ปักกิ่ง (Beijing) — เมืองหลวงยุคโบราณและยุคใหม่

ปักกิ่ง เป็นเมืองหลวงของประเทศจีนมากว่า 700 ปี ที่มีประวัติศาสตร์ทั้งสมัยโบราณและแลนด์มาร์คสมัยใหม่ คุณจะพบกับพระราชวังหลายแห่งในกรุงปักกิ่ง เช่นเดียวกับอาคารสุดทันสมัย นอกจากนี้ปักกิ่งยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การคมนาคม การเมือง และการศึกษาของจีนอีกด้วย ปักกิ่งเป็น สถานที่ท่องเที่ยวจีน ที่มีผู้คนแวะมาเยี่ยมเยียนมากที่สุดในประเทศจีน และเป็นจุดเริ่มต้นของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มา เที่ยวจีน เป็นครั้งแรก และสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวปักกิ่งก็คือการไปเที่ยวชมกำแพงเมืองจีน ซึ่งเดินทางจากปักกิ่งไปได้ง่ายที่สุด

ปักกิ่ง (Beijing) — เมืองหลวงยุคโบราณและยุคใหม่
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: กำแพงเมืองจีน พระราชวังต้องห้าม จัตุรัสเทียนอันเหมิน  หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Temple of Heaven) สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง (สนามกีฬารังนก)
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ขึ้นไปเดินบนกำแพงเมืองจีน นั่งรถสามล้อถีบชมย่านประวัติศาสตร์หูท่ง (Hutong) รับประทานเป็ดปักกิ่ง  ชมงิ้วปักกิ่งและการแสดงกังฟู เยี่ยมชมพระราชวังฤดูร้อน
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 2–4 วัน

2. กุ้ยหลิน (Guilin) – ภูมิทัศน์ภูเขาและชนบทที่สวยที่สุดในประเทศจีน

หนึ่งในเมืองที่เป็น สถานที่ท่องเที่ยวจีน ยอดนิยมก็ต้องยกให้ กุ้ยหลิน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ในมณฑลกวางซี เป็นดินแดนแห่งขุนเขา ที่เรียกว่าภูมิประเทศแบบภูเขาคาร์สต์ ที่สวยงามที่สุดและมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ภูเขาสีเขียวมากมายตั้งอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่ และสายน้ำที่มีธรรมชาติสวยงามราวกับสรวงสวรรค์ ทั้งเทือกเขาที่สลับซับซ้อน ถ้ำหินงอกหินย้อยรูปทรงแปลกตา หรือแม่น้ำไหลเอื่อยๆ คดเคี้ยวไปมา ที่สำคัญอากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งปี จนได้รับสมญานามว่า “เมืองสวรรค์บนพื้นพิภพ” นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว กุ้ยหลินยังเป็นที่ตั้งของชนกลุ่มน้อยหลายสิบกลุ่ม รวมถึงจ้วง เหยา แม้ว และตง ซึ่งอาศัยอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองในหมู่บ้านที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาขั้นบันได และสถานที่ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในกุ้ยหลินคือเมืองหยางซั่ว สถานที่ที่มีตัวเลือกที่เหมาะกับทั้งคนที่อยากทำกิจกรรมผจญภัยหรือต้องการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ 

กุ้ยหลิน (Guilin) – ภูมิทัศน์ภูเขาและชนบทที่สวยที่สุดในประเทศจีน
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: แม่น้ำหลี่ เมืองหยางซั่ว ทุ่งนาขั้นบันไดหลงจี แม่น้ำสองสาย และทะเลสาบทั้งสี่
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ล่องเรือชมทิวทัศน์ในแม่น้ำหลี่ ท้าทายตัวเองด้วยการเล่น SUP (แพดเดิลบอร์ดแบบยืน) ขี่รถ ATV ปั่นจักรยานในพื้นที่ชนบท ชมนาข้าวขั้นบันได ล่องแพไม้ไผ่ ชิมบะหมี่กุ้ยหลิน
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-4 วัน

3. เฉิงตู (Chengdu) – บ้านเกิดของแพนด้ายักษ์

เฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน และเป็นทั้งศูนย์กลางด้านการเมือง การทหาร การศึกษา การคมนาคม และอุตสาหกรรมแห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้  ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำหมินที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เฉิงตูมีภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงาม และประวัติศาสตร์อันยาวนานก่อให้เกิดวัฒนธรรมเก่าแก่ โบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าต่อการยี่ยมชม งานศิลปะหลากหลายที่สืบทอดมายาวนานนับพันปี คู่ขนานไปกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยได้อย่างลงตัว นอกจากนี้เฉิงตูยังถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดของแพนด้ายักษ์ สัตว์สงวนหายากของประเทศจีน ที่มีศูนย์อนุรักษ์และศึกษาแพนด้าที่ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม

เที่ยวจีน - เฉิงตู (Chengdu) – บ้านเกิดของแพนด้ายักษ์
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: หุบเขาแพนด้าตู้เจียงเอี้ยน ศูนย์เพาะพันธุ์และวิจัยแพนด้ายักษ์เฉิงตู พระใหญ่เล่อซาน ถนนโบราณจินลี่
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: แวะไปเยี่ยมแพนด้า ลิ้มรสหม้อไฟเสฉวนรสเผ็ด ชมการแสดงโชว์เปลี่ยนหน้ากากซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศิลปะการแสดงงิ้วชั้นสูงของเสฉวน ไหว้พระใหญ่เล่อซาน ชอปปิ้งที่ถนนคนเดินซุนซีลู่ จองทัวร์ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-4 วัน

4. ซีอาน (Xi’an) – เมืองหลวงของจีนโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ซีอาน เมืองหลวงเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองของจีน (รองจากปักกิ่ง) ได้รับการยกย่องให้เป็นสี่เมืองหลวงโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก (ร่วมกับเอเธนส์ โรม และไคโร) มีประวัติที่น่าสนใจอันเนื่องมาจากเมืองซีอานเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่ขยายจากเอเชียไปยังยุโรป และมีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก เมืองซีอานได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโก้ในปีพ.ศ. 2524 ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการมาชื่นชมความสวยงาม เรื่องราวความเป็นมาของจีนในอดีต สถานที่ทางประวัติศาสตร์ขนาดมหึมา ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม และสำรวจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนโบราณ

สถานที่ท่องเที่ยวจีน - ซีอาน (Xi'an)
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ กำแพงเมืองซีอาน หอระฆังและหอกลอง เจดีย์ต้าเยี่ยน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งส่านซี สระว่ายน้ำหัวชิงฉือ สวนสาธารณะต้าถังฝูทรงหย่วน
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: เยี่ยมชมกองทัพทหารดินเผา ขี่จักรยานเที่ยวบนกำแพงเมืองโบราณ ลองชิมของว่างในย่านชาวมุสลิม
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-3 วัน
สถานที่ท่องเที่ยวจีน - ซีอาน (Xi'an) – เมืองหลวงของจีนโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

5. เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) — ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก

เซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจที่ใช้เวลาเพียง 170 ปีในการเปลี่ยนจากหมู่บ้านชาวประมงมาเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดในจีน เต็มไปด้วยบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาที่สามารถเทียบได้กับนิวยอร์กและปารีสในแง่ของความทันสมัย คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับความเจริญยุคใหม่ของจีน และได้เห็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก เซี่ยงไฮ้มีฉายาว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เพราะว่าเต็มไปด้วยแสงสีตระการตายามค่ำคืน นอกจากนี้เซี่ยงไฮ้ยังมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่เป็นแลนด์มาร์คที่คนรู้จักไปทั่วโลกที่ใครไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ก็ต้องไปเช็คอิน

สถานที่ท่องเที่ยวจีน - เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) — ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: เดอะบันด์ สวนอี้หยวน วัดหยกเซี่ยงไฮ้ เมืองโบราณจูเจียเจี่ยว สวนสนุกดิสนีย์แลนด์, ตึกเซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ หอไข่มุกตะวันออก ย่านซินเทียนตี้ ถนนนานจิง
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: สัมผัสประสบการณ์รถไฟที่เร็วที่สุดในโลก เดินเล่นไปตามย่านเดอะบันด์ ชมวิวมุมสูงจากจุดชมวิวบนเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ ชมงานศิลปะและชองเก๋ๆ ที่ M50 Creativity Space ชอปปิ้งที่ถนนคนเดินนานจิง เยี่ยมชมตลาดและสวนอี้หยวน
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-3 วัน

6. หางโจว (Hangzhou) — สวรรค์บนดินทั้งกินทั้งชอปปิ้ง

หางโจว เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง มณฑลทางตะวันออกของประเทศจีน ตัวเมืองตั้งอยู่ที่อ่าวหางโจว และติดกับคลองต้าอวิ๋นเหอ เมืองหางโจวนับเป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของจีน นอกเหนือจากเมืองซีอาน ลั่วหยาง ปักกิ่ง นานกิง และไคฟง หางโจวเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ มีทั้งทะเลสาบซีหู ที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม มีซากโบราณสถานของวังหลวงที่เคยเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ และมีวัดโบราณเก่าแก่อีกมากมาย ซึ่งมาร์โค โปโล นักสำรวจชาวอิตาลี มาที่หางโจวในศตวรรษที่ 13 ได้ขนานนามหางโจวไว้ว่า “เมืองที่สง่างามและวิจิตรงดงามที่สุดในโลก” และอีกหนึ่งกิจกรรมในเมืองนี้ที่มีชื่อเสียงมากคือ “การชมพระจันทร์บนทะเลสาบซีหู” เพราะที่นี่ถูกยกย่องให้เป็นสถานที่ชมความงามของพระจันทร์ที่สวยที่สุดมากกว่าที่ไหนๆ ด้วย หางโจวจึงจัดเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงระดับโลก นอกจากนี้ หางโจวยังเป็นเมืองภาคตะวันออกที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูงสุด มีรถไฟฟ้าใต้ดินกว่า 10 สาย และมีสถาบันการศึกษาระดับสูงที่ติด 10  อันดันของประเทศจีนอีกด้วย

เที่ยวจีน - หางโจว (Hangzhou) — สวรรค์บนดินทั้งกินทั้งชอปปิ้ง
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: ศูนย์กีฬาโอลิมปิกหางโจวสนามกลาง ราฟเฟิลส์ซิตี้ ไช่เจียงซินซิตี้ ทะเลสาบซีหู วัดหลิ่งอิ่น(วัดหลิ่งหยิน) เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง อุทยานพื้นที่ชุ่มน้ำซีสี ไร่ชาหลงจิ่ง สวนไท่จือวัน ถนนโบราณเหอฟาง เจดีย์เหลยเฟิง
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: เดินเล่นหรือขี่จักรยานรอบทะเลสาบซีหู ล่องเรือสำปั้นผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำซีสี ทัวร์ชมคลองแกรนด์คาแนล (คลองขุดที่เก่าแก่และยาวที่สุดในโลก) และวัฒนธรรมเมืองหางโจวกับไกด์ท้องถิ่น ชิมไก่ขอทาน (Beggar’s Chicken) ดื่มชาเขียวที่ดีที่สุดของจีนที่ไร่ชาหลงจิ่ง ชมพระพุทธรูปที่แกะสลักบนภูเขาที่วัดหลิงอิ่น
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-2 วัน

7. หวงซาน (Huangshan) – มนต์เสน่ห์แห่งมรดกธรรมชาติของโลก

เขาหวงซานหรือภูเขาเหลือง (Yellow Mountain) ตั้งอยู่ที่มณฑลอันฮุย ทางตะวันออกของจีน เป็น 1 ใน 10 ของยอดเขาที่มีทิวทัศน์สวยงามขึ้นชื่อของประเทศจีนและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก สภาพธรณีวิทยาและธรรมชาติสวยงามราวจิตรกรรมจากปลายพู่กันศิลปิน จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติขององค์กรยูเนสโก เมื่อปี พ.ศ. 2533 เขาหวงซานประกอบด้วยยอดเขาประมาณ 72 ยอด โดยยอดเขาสูงสุดคือยอดเหลียนฮวา (ยอดเขาดอกบัว) มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,864 เมตร รายล้อมด้วยภูเขาสูงต่ำและมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คุณจะตื่นตาไปกับต้นสนเก่าแก่เรียงรายเป็นแถวและหมู่หินแกรนิตขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตาตามจินตนาการ และภาพทะเลหมอกและเมฆที่ลอยปกคลุมไปทั่ว นอกจากนี้ บริเวณเทือกเขายังมีน้ำตกใหญ่ 2 แห่ง ลำธาร 24 สาย น้ำพุร้อน และบ่อน้ำร้อนธรรมชาติอีกหลายแห่ง 

เที่ยวจีน - หวงซาน (Huangshan) – มนต์เสน่ห์แห่งมรดกธรรมชาติของโลก
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: เทือกเขาหวงซาน ชมเมืองโบราณหงชุนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 800 ปี เมืองริมน้ำโบราณซีถัง (สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Mission Impossible III) เมืองโบราณถุนซี
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: เที่ยวชมบริเวณโดยรอบของอุทยาน ชมพระอาทิตย์ขึ้นบนเขาหวงซาน ดื่มด่ำกับความงดงามของทะเลเมฆและหมอก ตื่นตาตื่นใจกับรูปลักษณ์ที่แปลกตาของมวลหมู่ต้นสนที่มีอายุตั้งแต่ 800 ปีขึ้นไป แช่น้ำพุร้อน เยี่ยมชมหมู่บ้านโบราณ
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 3-4 วัน

8. ลี่เจียง (Lijiang) – ดินแดนแห่งภูเขาและธรรมชาติสุดอลังการ

ลี่เจียง (Lijiang) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 2,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลี่เจียงเป็นเมืองเก่าที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนเผ่านาซีที่อพยพมาจากทิเบต มีลักษณะเป็นเมืองโบราณสวยงามและมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี จึงได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี พ.ศ. 2520 ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ลี่เจียงเป็นเมืองที่ได้รับฉายาว่า “เวนิสแห่งตะวันออก” อันเนื่องมาจากมีลำธารและคูคลองไหลผ่านอาคารบ้านเรือนโบราณและมีสะพานเล็กๆ ข้ามฝั่งไปมามากกว่า 300 สะพาน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลีนั่นเอง

เที่ยวจีน - ลี่เจียง (Lijiang) - ดินแดนแห่งภูเขาและธรรมชาติสุดอลังการ
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) ทะเลสาบไป๋สุ่ยเหอ (Blue Moon Valley) ทุ่งหญ้าหยุนซันผิง (Yun Shan Ping) เมืองเก่าลี่เจียง สระน้ำมังกรดำ หุบเขาเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge)
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ชมวิวธรรมชาติที่สวยงามที่สุดบนเยอดเขาหิมะมังกรหยกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,506 เมตร ถ่ายรูปกับจามรีที่ทะเลสาบไป๋สุ่ยเหอ หาของอร่อยและชอปปิ้งที่เมืองโบราณลี่เจียง ชมโชว์จางอี้โหม่ว (Impression Lijiang) 
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 3-4 วัน

เราคงไม่สามารถเที่ยวประเทศจีนได้ทั้งหมดในทริปเดียว การที่จะตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนก่อนเป็นทริปแรก เราควรคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น จำนวนวันสำหรับทริปนั้นๆ การเดินทาง สภาพอากาศ สภาพร่างกาย เป็นต้น ไม่ควรเดินทางไปหลายที่มากเกินไป มุ่งเน้นไปที่การพักผ่อนและได้ซึมซับกับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทริปของคุณ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้รับความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : chinahighlights.com, museumofwander.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

โอซาก้าเป็นเมืองท่าในภูมิภาคทางตะวันตกของคันไซ มีกลิ่นอายของความเรียบง่าย สนุกสนาน และมีสีสัน และมีสำเนียงโอซาก้าที่โดดเด่น มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมล้ำสมัย อาหารอร่อย ว่ากันว่าชาวโอซาก้าใช้จ่ายไปกับค่าอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงทำให้โอซาก้ามีชื่อเสียงในด้านอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู ซึ่งบางเมนูก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและอาจเลยไปจนถึงต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นโชคดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด เพราะอาหารที่ควรลองส่วนใหญ่เป็นอาหารที่อยู่ในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึงได้ Allianz Travel จะพาคุณไปชิมอาหารโอซาก้าที่คุณควรลอง และแนะนำแหล่งร้านอาหารโอซาก้าที่ควรห้ามพลาด ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอาหารโอซาก้า เมนูไหนบ้าง และย่านแหล่งรวม ร้านอาหารโอซาก้า ที่ไหนบ้าง ที่เราควรไปลิ้มลองกันค่ะ :)!

1. ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ทาโกะยากิเป็นหนึ่งในอาหารโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารประจำภูมิภาคที่ขายดีที่สุดของโอซาก้า ลักษณะเป็นลูกกลมเล็กๆ ทำจากแป้งผสมไข่และสอดไส้ปลาหมึกยักษ์หรือทาโกะที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โอซาก้ามีร้านทาโกะยากิมากกว่า 700 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมืองที่ขายตลอดทั้งวันให้คุณได้ลิ้มลอง (โตเกียวมีประมาณ 200 ร้าน) ทำให้เมืองนี้เป็นตลาดทาโกะยากิที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเขตมินามิ ร้านทาโกะยากิแต่ละร้านพยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ ไม่ให้เหมือนใคร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าติดใจจนมาทานกันบ่อยๆ อย่างทาโกะยากิสูตรหน้าร้อน ที่ทานกับน้ำแข็งใส หรือบางร้านก็พยายามหาวัตถุดิบพื้นฐานที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเอร็ดอร่อยได้ แม้ไม่ต้องใส่ซอส

อาหารโอซาก้า ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ว่ากันว่าเกือบทุกบ้านในโอซาก้าจะมีเครื่องทำทาโกะยากิ และแม้แต่เด็กๆ ก็รู้วิธีย่างทาโกะยากิ เราสามารถทานทาโกะยากิได้ทั้งเป็นของว่างและอาหารจานหลัก

2. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

โอโคโนมิยากิ หรือที่บางคนเรียกว่าพิซซ่าญี่ปุ่น สามารถหาได้เกือบทุกพื้นที่ของโอซาก้า ตั้งแต่ย่านใจกลางเมืองใหญ่ไปจนถึงย่านช็อปปิ้งในชานเมือง โอโคโนมิยากิมีรสชาติและท็อปปิ้งที่หลากหลาย ทำจากไข่ แป้งสาลี ผสมกับน้ำหรือซุปดาชิ จากนั้นใส่กะหล่ำปลีหั่น และส่วนผสมอื่นๆ อย่างเช่น หัวหอม เนื้อหมูหั่นบางๆ ปลาหมึก กิมจิ หรือชีส จากนั้นก็ย่างบนกระทะเหล็กร้อน จากนั้นราดด้วยซอสโอโคโนมิยากิ สาหร่ายแห้ง ปลาคัตสึโอะแห้ง และมายองเนสตามชอบ

อาหารโอซาก้า โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

ร้านอาหารโอโคโนมิยากิบางแห่งก็เปิดโอกาสให้คุณปรุงและย่างเองบนโต๊ะด้วย โดยพนักงานจะนำวัตถุดิบมาให้ลูกค้าเลือก และนำไปย่างเองบนแผ่นกระทะร้อน (เท็ปปังยากิ) ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกในทริป หรือบางร้านก็จะมีพ่อครัวมาทำโอโกโนมิยากิตรงหน้าลูกค้าเลย

3. คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

คุชิคัตสึคือของทอดเสียบไม้ ที่นำเนื้อสัตว์และผักที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำนำมาเสียบไม้ แล้วชุบแป้งทอดจนกรอบ หนึ่งในของอร่อยประจำโอซาก้าที่เทียบเคียงความนิยมได้ไม่ต่างจากโอโคโนมิยากิและทาโกะยากิ จุดเริ่มต้นของคุชิคัตสึคือปี 1929 ในย่านชินเซไก ซึ่งเป็นศูนย์กลางใจกลางเมืองของผู้ใช้แรงงานรายวันที่มีรายได้น้อย จากร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ต้องการทำอาหารจานด่วน ราคาถูก รวดเร็ว อร่อย และอิ่มอยู่ท้อง ขายให้กับเหล่าแรงงานเหล่านั้น ผลก็คือได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อาหารโอซาก้า คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

ร้านคุชิคัตสึส่วนใหญ่เป็นร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ มีเพียงเคาน์เตอร์แบบยืนหรือแบบนั่งเท่านั้น พอเข้าไปในร้านจะเห็นถ้วยสแตนเลสใส่ซอสตั้งไว้อยู่หน้าที่นั่งแต่ละที่บนเคาน์เตอร์สำหรับใช้ร่วมกัน โดยมีกฎเหล็กคือให้จิ้มคุชิคัตสึในซอสได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องเป็นคุชิคัตสึที่ยังไม่ได้กัดด้วยเพื่อจุดประสงค์ในเรื่องอนามัย และเป็นการใช้ซอสอย่างประหยัดเพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับร้านค้าด้วย บางร้านมีกะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้นวางไว้ให้หยิบทานได้ฟรี เพื่อแก้เลี่ยนจากการรับประทานของทอด โดยจะกินเปล่าๆ หรือจิ้มซอสก็ได้ หรือถ้าคุณต้องการซอสเพิ่มบนคุชิคัตสึที่คุณกินไปแล้ว คุณสามารถใช้กะหล่ำปลีนี้ตักซอสขึ้นมาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเวลาเอามาจิ้มซอสก็จิ้มได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

4. คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

คิทสึเนะอุด้ง หรืออุด้งร้อนในน้ำซุปที่ทำจากดาชิ โชยุ มิริน โปะหน้าด้วยฟองเต้าหู้ทอดแผ่นใหญ่ต้มซีอิ๊วหวาน โรยด้วยต้นหอมซอย เป็นอุด้งในแบบฉบับโอซาก้าแท้ๆ ที่คนโอซาก้านิยมกินมากๆ คำว่าคิทสึเนะในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวว่า สุนัขจิ้งจอก ในตำนานเชื่อว่าเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าอินาริ (เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม)  ช่วยจับสัตว์ที่เข้ามาก่อกวนพืชพรรณในไร่นา ผู้คนจึงถวายแผ่นเต้าหู้ทอดในศาลเจ้าอินาริเพื่อแสดงความขอบคุณ เลยเป็นที่มาของการเรียก ซูชิที่ห่อด้วยแผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะว่า อินาริซูชิ (Inari Sushi) ส่วน อุด้ง ที่ใส่แผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะก็เรียกว่า คิทสึเนะอุด้งนั่นเอง

อาหารโอซาก้า คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

5. บูตะมัน (Butaman)

บูตะมันคือซาลาเปาเนื้อนุ่มไส้หมูที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงหลังการฟื้นฟูเมจิ เมื่อซาลาเปาจีนที่เคยเข้ามาในย่านไชน่าทาวน์ถูกดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมสไตล์ญี่ปุ่น หากเทียบกับซาลาเปาในภูมิภาคอื่นๆ บูตะมันของโอซาก้ามีขนาดใหญ่ใส่เนื้อหมูและหัวหอมชุ่มฉ่ำอยู่ในแป้งเนื้อนุ่ม บางร้านอาจใส่ผักสับละเอียดลงไปด้วย เช่น ทาโทโกะ (หน่อไม้) หรือเห็ดหอมแห้ง วิธีรับประทานส่วนใหญ่จะแบ่งขนมปังออกเป็นสองส่วนแล้วจิ้มมัสตาร์ดรสเผ็ด หรือราดด้วยซอสเปรี้ยวและซีอิ๊ว โอซาก้ามีร้านขายบูตะมันโดยเฉพาะมากมายซึ่งมีหลายรูปแบบ บางแบบจะอันใหญ่ไส้เยอะ หรือบางแบบก็ทำขนาดเล็กและแป้งหุ้มบาง เครือร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งได้เปิดร้านทั่วภูมิภาคคันไซ โดยขายซาลาเปาได้มากถึง 170,000 ชิ้นต่อวัน คุณสามารถหาซื้อบูตะมันได้ตามร้านที่ขายโดยเฉพาะ หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่นึ่งสดใหม่ หรือจะซื้อกลับบ้านแบบแช่เย็นหรือแช่แข็งก็ได้ บางคนก็ซื้อบูตะมันในสถานีรถไฟเพื่อเป็นของขวัญและของที่ระลึก

อาหารโอซาก้า บูตะมัน (Butaman)

6. ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

ชื่อฮาโกะซูชิอาจไม่คุ้นหูพวกเรากันนัก แต่ถ้าถามคนโอซาก้าแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันหมดทุกคน เนื่องจากฮาโกะซูชิถือว่าเป็นซูชิแบบต้นตำรับของโอซาก้าที่มีมานานมากๆ แล้ว และมีรูปแบบที่แตกต่างจากซูชิแบบทั่วไปที่เรารู้จักกัน โดยจะเป็นซูชิที่ทำจากข้าวหุงในน้ำส้มสายชู ผสมกับส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ปลาไหลปรุงรส กุ้ง ปลาทรายแดงเล็ก และไข่หวาน อัดลงในกล่องไม้หรือฮาโกะ ถอดออกมาก้อน แล้วจึงหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ จึงเป็นที่มาของชื่อ “โอชิ-ซูชิ (ข้าวปั้นที่ถูกกดทับเป็นสี่เหลี่ยม)” ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยเมจิ (1868-1912) ต่อมานำมาประยุกต์เป็นฮาโกะซูชิ ที่เป็นอาหารสำหรับแขกหรือการเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ โดยรูปลักษณ์ที่สดใสและมีสีสันของซูชิเป็นตัวแทนของโอซาก้า ป้จจุบันมีจำนวนร้านอาหารที่ขายฮาโกะซูชิมีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากขั้นตอนการทำต้องใช้เวลาและความชำนาญ แต่เทคนิคและรสชาติยังได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น

อาหารโอซาก้า ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

7. เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

เบนิโชงะหรือชิงดองสีชมพูเป็นหนึ่งในเครื่องเคียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเมื่อรับประทานกิวด้งหรือข้าวหน้าเนื้อ และเป็นเมนูที่คุณรับประทานได้ไม่อั้น มีขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น และโอซาก้าเป็นเมืองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นในด้านการทำขิงดองและเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนโอซาก้าจะนำเบนิโชกะมาปรุงเป็นอาหารโอซาก้า แบบใหม่ๆ อาหารที่ไม่ธรรมดาที่สุดที่คุณสามารถพบได้ในโอซาก้าเท่านั้นคือเบนิโชงะเทมปุระ โดยนำเบนิโชงะมาหั่นเป็นแผ่นเสียบไม้ แล้วทอดชุบแป้งทอดแบบเทมปุระ คุณสามารถรับประทานเปล่าๆ หรือจิ้มซอสวูสเตอร์ก็ได้ เหมาะสำหรับเป็นอาหารทานเล่นเวลาดื่มเหล้า หากคุณชอบรับประทานเบนิโชงะหรือขิงดองรสเข้มข้น คุณต้องลองเบนิโชงะโนะเทมปุระแสนอร่อยนี้

อาหารโอซาก้า เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

ขอบคุณรูปภาพจาก: kyoudo-ryouri.com, gourmetbclass.travellerspoint.com

แหล่ง ร้านอาหารโอซาก้า ที่คุณห้ามพลาด

1. ย่านนัมบะ

การเดินทางไปยังสถานีนัมบะเรียกได้ว่าสะดวกมาก เพราะเป็นบริเวณที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมหลักของโอซาก้าที่มีทั้งรถไฟจาก JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า รถไฟฟ้านันไค รถไฟฟ้าฮันชิน และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่น จึงมี ร้านอาหารโอซาก้า และร้านอาหารมากมายทั้งในตัวสถานี ตลาด และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ด้านนอก อย่างเช่น ตลาดคุโรมงอิจิบะ (Kuromon Ichiba Market) ศูนย์การค้านัมบะพาร์ค โอซาก้า (Namba Parks Osaka) และศูนย์การค้านัมบะซิตี้ โอซาก้า (Namba City Mall) เป็นต้น

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านนัมบะ

2. ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทุกคนเมื่อมาโอซาก้าคือย่านชินไซบาชิ ซึ่งอยู่สถานีถัดจากนัมบะหากนั่งรถไฟใต้ดิน และโดทงโบริคือถนนช้อปปิ้งที่ยาวเชื่อมระหว่างสถานีนัมบะและสถานีชินไซบาชิ คุณสามารถเดินจากสถานีนัมบะไปโดทงโบริโดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

ระหว่างทางที่เชื่อมระหว่างชินไซบาชิและโดทงโบริ คุณจะพบกับ ร้านอาหารแบบดั้งเดิมและ ร้านอาหารโอซาก้า ยอดนิยมมากมายที่น่าลอง หากมาในย่านนี้ คุณควรต้องมาตอนท้องว่างเท่านั้น!

3. ย่านอุเมดะ

อุเมดะเป็นหนึ่งย่านใจกลางเมืองโอซาก้า และหมายถึงพื้นที่รอบๆ สถานี JR โอซาก้า สถานีโอซาก้า-อุเมดะ สถานีอุเมดะ สถานีฮิกาชิ-อุเมดะ และสถานีนิชิ-อุเมดะ ถือได้ว่าสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายมาก เราสามารถนั่งรถไฟจากอุเมดะไปยังนัมบะหรือชินไซบาชิโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ย่านอุเมดะมีทั้งศูนย์การค้า ร้านอาหาร และร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นและอาหารว่างที่มีขายอยู่ทุกถนน

อาหารที่ต้องลองในย่านนี้มีให้เลือกมากมาย ทั้งทาโกะยากิ ปลาปักเป้า เนื้อโกเบ และเมื่อคุณทาอาหารจนอิ่มแล้ว คุณสามารถเลือกร้านกาแฟที่มีทิวทัศน์สวยงามให้คุณได้นั่งพักผ่อนเช่นกัน

4. ย่านชิน-โอซาก้า

ที่นี่คือสถานีรถไฟชินคันเซ็นที่จอดที่โอซาก้าก่อนมุ่งหน้าไปยังเกียวโต โกเบ นารา โตเกียว หรือจุดหมายปลายทางสำคัญอื่นๆ ในญี่ปุ่น และสถานีนี้ยังมีให้บริการรถไฟ JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า และรถไฟสายอื่นๆ อีกหลายสาย คุณสามารถนั่งรถไฟจากย่านนัมบะมาที่ชิน-โอซาก้าโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือนั่งรถไฟ 5 นาทีจากสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอุเมดะ

ภายในสถานีมีร้านอาหารมากกว่า 30 ร้าน รวมถึงร้านอาหารที่เป็นแบรนด์ของโอซาก้าที่ต้องลอง หรืออาหารสตรีทฟู้ดก็มีให้เลือกมากมาย คุณสามารถหาทานอาหารยอดนิยมของโอซาก้า อย่างโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ หรืออุด้ง ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล หรือหากต้องการอาหารที่มีเฉพาะที่ ก็ซื้ออาหารกล่องบนรถไฟหรือ ‘เอกิเบน’ เมนูที่เราอยากแนะนำก็คือชุดเนื้อโกเบหรือลิ้นวัวที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

5. ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

บริเวณนี้รายล้อมไปด้วยสถานีโดบุทสึเอ็นมาเอะ (Dobutsuen-mae) สถานีเอบิซุโจ (Ebisucho) ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหอคอยสึเต็งกากุ (Tsutenkaku) และสถานีเทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งเป็นสถานีตามเส้นทางของรถไฟใต้ดินโอซาก้า เป็นย่านที่เป็นจุดแวะชิมอีกแห่งหนึ่งแห่งที่ใช้เวลาเดินจากสถานีต่างๆ ประมาณ 10 นาที หากนั่งรถไฟจากนัมบะไปสถานีเอบิซูโชใช้เวลาประมาณ 15 นาที  และจากอุเมดะจะใช้เวลาประมาณ 25 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

ถนนช้อปปิ้งชินเซไกมีความย้อนยุคแบบเต็มรูปแบบ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดุดตาที่สุดในย่านนี้ ที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของคุชิคัตสึ หนึ่งในอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของโอซาก้า คุณสามารถลองชิมรสชาติแบบดั้งเดิมจากร้านค้าต่างๆ หรือร้านอิซากายะราคาไม่แพงแต่อร่อย นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ควรชิมอีกอย่างเช่น ซูชิ แซนด์วิชเนื้อ คุณจะพบร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น หรือร้านกาแฟทันสมัยได้ที่นี่

ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวโอซาก้ามีอะไรบ้าง นอกเหนือจากการลองชิมอาหารอร่อย  คุณอาจลองเข้าคลาสทำอาหารต้นตำรับของโอซาก้า หรือแวะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Winter in Japan - เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว สัมผัสความหนาวเย็นของหิมะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว สัมผัสความหนาวเย็นของหิมะ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่วางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อไปชมดอกซากุระบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับหลายๆ คนก็รอคอยเวลาที่จะได้ไป เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว เพื่อไปสัมผัสกับความหนาวเย็นและหิมะนุ่มๆ ฟูๆ ในฤดูหนาว ญี่ปุ่นมีสถานที่มหัศจรรย์ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามอยู่มากมายให้คุณได้ชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นสกีรีสอร์ทกว้างใหญ่ เมืองออนเซ็นที่เต็มไปด้วยหิมะ หรือเทศกาลน้ำแข็งที่น่าทึ่ง แถมเมื่ออากาศเย็นลง คุณไม่ต้องกังวลกับความหนาวเย็นหลังจากออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะที่พักจะมีบ่อน้ำร้อนให้คุณลงไปแช่ หรือไปนั่งทานอาหารร้อนๆ เพื่อคลายหนาว Allianz Travel พาคุณเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ออกไปสำรวจ 10 ที่เที่ยวหน้าหนาวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ให้คุณได้เช็คอินในหน้าหนาว เป็นรายการจุดหมายปลายทางห้ามพลาดของคุณ

1. ปีศาจหิมะแห่งภูเขาซาโอะ (Mount Zao) จังหวัดยามากาตะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ปีศาจหิมะแห่งภูเขาซาโอะ (Mount Zao) จังหวัดยามากาตะ

ภูเขาซาโอะตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดมิยากิและจังหวัดยามากาตะ เป็นหนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 1,841 เมตร ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดหากได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาว ภูเขาซาโอะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวสายผจญภัยได้ทำมากมาย เช่น สกี สโนว์บอร์ด ขึ้นกระเช้าชมวิว เดินป่า ปีนปากปล่องภูเขาไฟ แช่ออนเซ็น และการชมปีศาจหิมะ (Snow Monster) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าจูเฮียว (Juhyo) เป็นปรากฎการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดจากการทับถมของหิมะบนต้นสน ยืนเรียงรายกันอยู่นับพันต้นทั่วเชิงเขา จนดูเหมือนกองทัพปีศาจหิมะสีขาว เป็นอีกหนึ่งความสวยงามทางธรรมชาติที่แปลกมากๆ ยิ่งตอนกลางคืนในเทศกาลปีศาจหิมะแห่งซาโอะ (Zao Snow Monster Festival) จะมีการประดับไฟหลากสี เพื่อเพิ่มความสวยงามและความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

2. ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) จังหวัดกิฟุ

หมู่บ้านชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1995 ตั้งอยู่กลางหุบเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดกิฟุ (Gifu) โอบล้อมด้วยภูเขากับป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีแม่น้ำโชคาวะ (Shokawa) ไหลผ่าน ลักษณะภูมิอากาศที่สำคัญอย่างหนึ่งของชิราคาวาโกะ คือมีหิมะตกหนักตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงมีนาคม ซึ่งมีความหนาประมาณ 2 ถึง 3 เมตร (เคยมีบันทึกปริมาณหิมะสูงถึง 4.5 เมตร)

สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะคือบ้านเรือนรูปทรงแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี เรียกว่า ‘บ้านแบบกัสโชสึคุริ’ (Gassho-Zukuri) ซึ่งมาจากคำว่า ‘กัสโช’ ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงการพนมมือ ตามรูปแบบของบ้านที่หลังคาชันถึง 60 องศา มีลักษณะคล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน ซึ่งปรับให้เข้ากับสภาพธรรมชาติป้องกันหิมะทับถมลงมาเรื่อยๆ ในช่วงฤดูหนาว

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) จังหวัดกิฟุ

หลายๆ คนจะมีหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago) อยู่ในลิสต์ของการเดินทางไป เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ด้วยอย่างแน่นอน เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago) ในช่วงฤดูหนาว เพื่อชมความงดงามของหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งชิราคาวาโกะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน นอกจากนี้ยังมีเทศกาลแสดงไฟหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago Light Up) บ้านแต่ละหลังจะเปิดไฟยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศที่สวยงาม ในคืนวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ บอกได้เลยว่าสวยโรแมนติกมาก

3. เส้นทางเจแปนแอลป์ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Tateyama-Kurobe Alpine Route) จังหวัดโทยามะ

เส้นทางเจแปนแอลป์ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Tateyama-Kurobe Alpine Route) จังหวัดโทยามะ

เส้นทางแอลป์ทาเตยามะคุโรเบะ เป็นเส้นทางธรรมชาติอันงดงาที่อยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดโทยามะปละจังหวัดนากาโนะ ผ่านทิวทัศน์เทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงามจนได้ชื่อว่า เทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น โดยจุดที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาทาเตยามะ สูงประมาณ 3,015 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่นรองจากภูเขาไฟฟูจิ

ยุคิโนะโอทานิ (Yuki no Otani) หรือ กำแพงหิมะ

แต่จุดสูงสุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปได้อยู่ที่ มุโรโดะ (Murodo) ซึ่งมีความสูงประมาณ 2,450 เมตร และมีไฮไลท์สำคัญที่เรียกว่ายุคิโนะโอทานิ (Yuki no Otani) หรือ กำแพงหิมะ ซึ่งในหนึ่งปีจะมีแค่เพียงช่วงเดียวเท่านั้น คือราวกลางเดือนเมษายนไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน เราสามารถสัมผัสความสวยงามของกำแพงหิมะได้จากบนรสบัสที่กำลังวิ่งผ่าน หรือจะลงจากรถเพื่อมาสัมผัสกับกำแพงหิมะที่มีความสูงเกือบ 10 เมตร ได้แบบใกล้ชิดอีกด้วย ที่นี่ถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวเลยค่ะ

4. เทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ (Kamakura no Sato) จังหวัดนากาโน่

หากคุณมีแผนไปเที่ยวจังหวัดนากาโน่ในฤดูหนาว คุณไม่ควรพลาดเทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ ที่เมืองอียามะ ทางตอนเหนือของจังหวัดนากาโน่ ซึ่งเปิดในช่วงเวลาจำกัดแค่ 1 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี คุณจะพบกับกระท่อมหิมะคามาคุระทรงกลมประมาณ 20 หลัง ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้นหิมะขาวสะอาด

เทศกาลกระท่อมหิมะคามาคุระ (Kamakura no Sato) จังหวัดนากาโน่

ช่วงกลางคืนทุกหลังจะประดับประดาด้วยโคมไฟส่องสว่างที่ให้บรรยากาศสวยงามราวกับเทพนิยาย เหมาะกับครอบครัว เพื่อน และคู่รัก ภายในกระท่อมจะมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้เตรียมไว้สำหรับคนจำนวน 5-6 คน แนะนำว่าไม่ควรพลาดโอกาสลิ้มลองอาหารจานเด็ดของท้องถิ่นอย่างโนะโระชินาเบะ (Noroshi Nabe) อาหารประเภทหม้อไฟที่ปรุงด้วยชินชูมิโซะ (Shinshu Miso) ใส่เห็ด และผัก ที่ปลูกในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีบริการเหล้าหวานอามาซาเกะ (Amazake) และข้าวปั้นที่ทำจากข้าวญี่ปุ่นพันธุ์โคชิฮิคาริของอียามะ ให้นั่งกินภายในกระท่อมหิมะเหล่านี้ด้วย คุณสามารถจองที่นั่งทานอาหารกลางวัน อาหารเย็น อาหารว่างยามบ่าย หรือจองพักค้างคืนได้ที่เว็บไซต์นี้เลยค่ะ

5. เทศกาลประดับไฟนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ

เทศกาลประดับไฟที่อลังการยิ่งใหญ่สุดในญี่ปุ่น จัดขึ้นที่สวนนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) สวนพฤกษศาสตร์บนเกาะเล็กๆ อย่างนากาชิมะ เมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มักมีรูปปรากฎในอินสตาแกรมอยู่บ่อย ๆ

เทศกาลประดับไฟนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ

ที่นี่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณหลากหลายกว่า 40 ชนิด ซึ่งรวมถึงซากุระ ทิวลิป และดอกคอสมอส (ดอกดาวกระจาย) นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมกับความงามของดอกไม้ได้ทุกฤดูกาล และในช่วงฤดูหนาวจะมีการจัดงานประดับไฟเป็นประจำทุกปี แต่ละปีก็จะมีธีมที่แตกต่างกันออกไป และไฮไลท์อยู่ที่การประดับไฟในอุโมงค์ยาว 200 เมตร หรือ The Tunnel of Lights ที่เกือบทุกคนต้องมีภาพมุมนี้กลับไป นอกจากนี้ภายในสวนนาบานะโนะซาโตะยังมีออนเซ็นธรรมชาติและร้านอาหารไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

6. เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) จังหวัดฮอกไกโด

เทศกาลหิมะซัปโปโร เป็นงานเทศกาลหิมะประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น จัดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีที่เมืองซัปโปโร ภายในงานมีการจัดแสดงประติมากรรมที่สร้างจากหิมะและน้ำแข็งมากมาย ราวกับดินแดนแห่งเทพนิยาย ลานจัดงานเทศกาลหิมะซัปโปโรมีทั้งหมด 3 แห่ง ดังนี้

(1) ลานจัดงานโอโดริ (Odori Site)

จัดขึ้นที่สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) ใจกลางเมืองซัปโปโร มีการจัดแสดงประติมากรรมหิมะขนาดใหญ่ กลาง และเล็กตลอดเส้นทางยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 12 โซน ได้แก่ ลานไอซ์สเก็ต ลานประชาชน ลานหิมะ ประติมากรรมหิมะขนาดกลาง ลานนานาชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการประดับไฟตอนกลางคืนอีกด้วย

สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park)
ประติมากรรมหิมะ สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park)

(2) ลานจัดงานซูซูกิโนะ (Susukino Site)

จัดขึ้นที่บริเวณย่านซูซูกิโนะ เป็นส่วนของการจัดการแข่งขันประติมากรรมหิมะ ที่มีทีมผู้เข้าแข่งขันส่งผลงานเข้าประกวดมากมาย และยังมีถนน Illumination Street ที่มีการประดับไฟสวยงามไว้ตลอดเส้นทาง

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ลานจัดงานซูซูกิโนะ (Susukino Site)

(3) ลานจัดงานสึโดเมะ (Tsudomu Site)

จัดขึ้นภายในสึโดเมะ (Sapporo Community Dome) ซึ่งเป็นโดมอเนกประสงค์ของเมืองซัปโปโร ที่นี่เต็มไปด้วยกิจกรรมและเครื่องเล่นต่างๆ อย่างสไลเดอร์หิมะขนาดยักษ์ บ้านตุ๊กตาหิมะ และอื่นๆ อีกมากมาย เหมาะสำหรับเด็กและครอบครัว

 เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - ลานจัดงานสึโดเมะ (Tsudomu Site)

งานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโรประจำปี 2024 (Sapporo Snow Festival) ครั้งที่ 74 จัดขึ้นในช่วงวันที่ 4-11 กุมภาพันธ์ 2024 เป็นระยะเวลาทั้งหมด 8 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

7. งานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง (Otaru Snow Light Path Festival) จังหวัดฮอกไกโด

เมืองโอตารุเป็นเมืองท่าเล็กๆ บนชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นในจังหวัดฮอกไกโด มีอาคารและโกดังเก่าแก่ในสไตล์ตะวันตกแบบวิคตอเรียนที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่หลายแห่ง ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนมาท่องเที่ยวยุโรป

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว - งานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง (Otaru Snow Light Path Festival) จังหวัดฮอกไกโด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณเลียบคลองโอตารุ (Otaru Canal) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองที่สามารถมาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปียังใช้เป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานเทศกาลหิมะโอตารุบนเส้นทางแห่งแสง โดยจะมีการประดับประดาไปด้วยแสงไฟตามพื้นที่จัดงานซึ่งมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณคลองโอตารุ บริเวณทางรถไฟเก่าซึ่งอยู่ระหว่างสถานีโอตารุและคลองโอตารุ และบริเวณอาซาริกาวะออนเซ็น ซึ่งอยู่นอกเมืองเมืองโอตารุ

8. สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen) จังหวัดอิชิคาวะ

สวนเคนโรคุเอ็นในจังหวัดอิชิคาวะถือเป็นหนึ่งในสามสวนที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น มีความเป็นมาอย่างยาวนานและน่าสนใจ พื้นที่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาเยี่ยมชมตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูหนาวจะมีความพิเศษมากขึ้นไปอีก ทั้งสวนจะแปรเปลี่ยนเป็นเมืองหิมะขาวโพลน และเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้กลายเป็นพื้นที่อันเงียบสงบอย่างแท้จริง

สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen) จังหวัดอิชิคาวะ

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม รุกขกรที่มีทักษะจะขึงเชือกไว้เหนือต้นสนและต้นอาซาเลียหลายร้อยต้น เพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งก้านของต้นไม้หักลงมาในยามที่ต้องรับน้ำหนักของหิมะ วิธีนี้เรียกว่ายุคิซุริ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภูมิภาคนี้ เพราะต้นไม้เหล่านี้มีอายุมาก โดยเฉพาะต้นสน 200 ปี ที่มีชื่อเสียงของสวนเคนโรคุเอ็น พอถึงช่วงที่หิมะตกลงมาบนต้นไม้ทรงกรวย ทางสวนจะมีการประดับประดาไฟที่ต้นไม้ ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์ ยุคิซุริจะมีอยู่จนถึงกลางเดือนมีนาคม เป็นอีกไฮไลท์ที่ควรเก็บภาพสวยๆ ไว้เป็นที่ระลึก และบางครั้งก็มีการจัดมินิคอนเสิร์ตที่โรงน้ำชาอุจิฮาชิเทอิในสวนด้วย

9. กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) จังหวัดยามากาตะ

เมื่อพูดถึงกินซัน ออนเซ็น ในเมืองโอบานาซาวะ จังหวัดยามากาตะ นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติก็น่าจะให้คะแนนที่นี่เป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่สวยที่สุดในประเทศ ที่นี่เป็นหมู่บ้านโบราณในยุคไทโช (ศตวรรษที่ 19) อดีตเคยเป็นแหล่งเหมืองแร่เงินที่รุ่งเรืองมาก จนเมื่อยกเลิกการผลิตเงิน ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นสถานที่เที่ยวและที่พัก ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม มีแม่น้ำไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ภูเขาล้อมรอบ และบ่อออนเซ็น ทำให้ มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่าแสนคน

กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) จังหวัดยามากาตะ

และถึงแม้ว่าเมืองออนเซ็นนี้จะมีขนาดเล็กจนสามารถเดินจากทางเข้าเมืองไปยังท้ายเมืองได้ภายในสิบกว่านาที แต่สถาปัตยกรรมของโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นหรือเรียวกังจากยุคไทโชที่ขนาบข้างไปตามถนนคนเดินและแม่น้ำก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินทางย้อนกลับไปในอดีตและตัดขาดจากโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย กินซันออนเซ็นเป็นสถานที่ที่สวยน่าตะลึงในฤดูหนาวเมื่อมีหิมะโปรยปราย และตกสะสมบนหลังคาบ้านและถนน เป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก

10. น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิ (The Icicles of Misotsuchi) จังหวัดไซตามะ

น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณศาลเจ้ามิตสึมิเนะ (Mitsumine Shrine) เมืองจิจิบุ จังหวัดไซตามะ เกิดจากการเยือกแข็งของสายน้ำจาก แม่น้ำอาระคาวะ (Arakawa) ในช่วงที่มีอากาศหนาวจัดระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์เท่านั้น ทำให้มีลักษณะเป็นน้ำแข็งงอกน้ำแข็งย้อยเรียงตัวกันตรงผาหินเป็นแนวกว้าง 30 เมตร และสูง 10 เมตร มีรูปทรงที่เปลี่ยนไปทุกปีเนื่องจากปัจจัยทางธรรมชาติ

น้ำแข็งย้อยมิโซะทสึจิ (The Icicles of Misotsuchi) จังหวัดไซตามะ

ช่วงกลางวันเราจะได้เห็นความงดงามตามธรรมชาติของธารน้ำแข็ง พอถึงระหว่างเวลา 17.00-19.00 น. ก็จะเป็นช่วงเวลาของเทศกาลไฟโอตากิ (Otaki Ice Festival) ที่แต่งแต้มสีสันให้กับผลึกน้ำแข็งได้ส่องสว่าง เป็นสถานที่ เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ที่มีความงดงามอลังการราวกับต้องมนต์เลยทีเดียว

ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ประเทศญี่ปุ่นก็สวยงามน่าเที่ยวอยู่เสมอ แต่สำหรับใครที่ชอบอากาศหนาวเย็นจะต้องไม่พลาดที่เที่ยวบรรยากาศโรแมนติกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวละมุนตา และแสงไฟประดับระยิบระยับตามลิสต์ที่ Allianz Travel แนะนำไว้ข้างต้นนะคะ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่สำคัญที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันการเดินทาง ซึ่งช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : timeout.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel