10 อันดับเมือง น่าไปเรียนต่อต่างประเทศ

10 อันดับเมืองน่าไปเรียนต่อต่างประเทศ

น้องๆ ที่กำลังวางแผนไป เรียนต่อต่างประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี ทางเลือกหนึ่งที่ Allianz Travel นำมาให้น้องๆ ใช้พิจารณาก็คือการเลือกจากเมืองที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ที่มีสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและสังคมที่ดี และเป็นที่ที่เราจะต้องไปพักอาศัยอยู่ตลอดระยะเวลาที่เราศึกษาในต่างประเทศ ลองดู 10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศ ปี 2567 ที่จัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds หรือ QS สถาบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สถาบันอุดมศึกษาจากทั่วโลกที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง

เกณฑ์ในการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไป เรียนต่อต่างประเทศ

QS ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาเมืองที่น่าไปเรียนต่อต่างประเทศที่สุดในโลก โดยเปรียบเทียบจากเมืองต่างๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางในการไปศึกษาต่อกว่า 160 แห่ง และมีคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ เป็นเมืองที่มีประชากรมากกว่า 250,000 คน และเป็นเที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 2 แห่งที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกที่จัดอันดับโดย QS เพื่อเป็นการรับประกันว่าเมืองนี้จะให้ความสำคัญกับการศึกษาขั้นสูงและนักศึกษาจะได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยใช้เกณฑ์หลักๆ ในการจัดอันดับดังนี้

  1. อันดับของมหาวิทยาลัย (University rankings) พิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของมหาวิทยาลัยในแต่ละเมือ
  2. ความหลากหลายของนักศึกษา (Student mix) พิจารณาจากสัดส่วนความหลากหลายของนักเรียน
  3. ความพึงพอใจของนักศึกษา (Desirability) พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ระดับมลภาวะ และความน่าสนใจโดยรวมของเมือง
  4. การจ้างงานหลังจบการศึกษา (Employer activity) พิจารณาจากชื่อเสียงของเมืองในหมู่นายจ้างและการจ้างงานของผู้สำเร็จการศึกษาล่าสุด
  5. ความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย (Affordability) พิจารณาจากค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพทั่วไป
  6. ความคิดเห็นของนักศึกษา (Student voice) พิจารณาคะแนนรวมจากนักศึกษาในเรื่องความเป็นมิตร ความยั่งยืน และความหลากหลายของเมือง

10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ เรียนต่อต่างประเทศ ปี 2024

1. ลอนดอน สหราชอาณาจักร

ลอนดอนเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก โดยมีพลเมืองและนักเรียนจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้คุณได้พบกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ตามย่านต่างๆ ลอนดอนเป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยมากที่สุดในสหราชอาณาจักร โดยมี 3 มหาวิทยาลัยติดอันดับท็อป 50 ของโลก เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก รวมถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พิพิธภัณฑ์สงครามจักรวรรดิ และพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต ซึ่งทุกที่เข้าได้ฟรี เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองลอนดอนจัดอยู่ในประเภท ‘พื้นที่สีเขียว’ ซึ่งประกอบด้วยสวนสาธารณะ พื้นที่ส่วนกลาง ลานกีฬากลางแจ้ง และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นในขณะที่คุณอยู่ในเมืองใหญ่ คุณยังคงสามารถเชื่อมต่อกับโลกธรรมชาติได้อย่างดี หากพูดถึงค่าเล่าเรียนในลอนดอน ที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกสำหรับนักเรียนต่างชาติ นอกจากนี้ค่าเช่าและค่าครองชีพในลอนดอนยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในสหราชอาณาจักรอีกด้วย แต่ผู้ที่จบจากที่นี่ก็มีอัตราการจ้างงานสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในลอนดอนเป็นที่ต้องการของผู้จ้างงาน บริษัทต่างชาติหลายแห่งรับสมัครงานในลอนดอน เช่น Google, Amazon และ Unilever

Imperial College London

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 100 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 18 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Imperial College London (อันดับ 6 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 24,400 เหรียญสหรัฐ
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยประมาณ: 1,470-1,740 เหรียญสหรัฐ (รวมค่าที่พัก ค่าเดินทาง และการเข้าสังคม)

2. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เป็นเมืองที่ดีที่สุดในเอเชียสำหรับเรียนต่อต่างประเทศที่จัดอันดับโดย QS ปี 2024 และอยู่ในอันดับที่ 2 รองจากลอนดอนจากเมืองทั่วโลก ถึงแม้โตเกียวจะมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับระดับนานาชาติถึง 18 แห่ง แต่ก็ยังมีสัดส่วนนักศึกษาที่ต่ำมาก ข้อดีของเมืองใหญ่แบบโตเกียวคือมีสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แถมยังเป็นหนึ่งในสามศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก ควบคู่ไปกับนิวยอร์กและลอนดอน มหาวิทยาลัยยังมอบโอกาสให้นักศึกษาในการฝึกงานและทำงาน โดยมีความโดดเด่นในเรื่องการจ้างงานหลังจบการศึกษา ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนั้น โตเกียวยังได้รับคะแนนที่ดีเป็นพิเศษในด้านความพึงพอใจของนักศึกษา ซึ่งพิจารณาทั้งคุณภาพชีวิตโดยรวมในเมือง และความเป็นเมืองที่นักศึกษาต่างชาติต้องการมาศึกษาต่อด้วย

Tokyo University

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 98 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 18 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Tokyo University (อันดับที่ 28 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 8,600 เหรียญสหรัฐ

3. โซล ประเทศเกาหลีใต้

โซลเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่น เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มีสิ่งต่างๆ มากมายให้คุณค้นพบเมื่อไม่ได้อยู่ในห้องเรียน ย่านของโชซอนใจกลางเมืองเป็นหัวใจดั้งเดิมของเมืองและเป็นที่ตั้งของตลาดกลางแจ้งและวัดเก่าแก่มากมาย คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองได้โดยการเยี่ยมชมหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ 115 แห่ง โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลีและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ หากคุณต้องการหลีกหนีจากฝูงชนและเพลิดเพลินไปกับพื้นที่สีเขียวที่เปิดโล่ง กรุงโซลเต็มไปด้วยสวนสาธารณะให้คุณได้ผ่อนคลาย หากคุณต้องการเวลาพักผ่อนจากการเรียนมากขึ้น คุณสามารถไปที่วัดพุทธแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือในห้องซาวน่า หรือสปาแบบดั้งเดิม คุณจะพบกับความเงียบสงบเพิ่มเติมได้โดยออกนอกเมืองไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อสำรวจภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของเกาหลีใต้และหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์

นอกจากจะเป็นที่ตั้งของบริษัท Fortune Global 500 กว่าสิบแห่งแล้ว โซลยังเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับนวัตกรรม โดยมีบริษัทเทคโนโลยีรวมตัวกันอยู่ในสองสถานที่หลัก ได้แก่ กังนัม และ Digital Media City โซลเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการแข่งขันทางการเงินมากที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของตลาดค้าส่ง ค้าปลีก และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้อีกด้วย

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 97.6 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 20 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Seoul National University (SNU) (อันดับ 41 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 6,300 เหรียญสหรัฐ

4. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

เมลเบิร์นเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายมากที่สุดในออสเตรเลีย ที่นี่มีนักศึกษาต่างชาติประมาณ 94,000 คนจากทั่วโลก นอกจากนี้ ประชากรเมลเบิร์นประมาณร้อยละ 40 ยังเกิดในต่างประเทศ เมลเบิร์นมีชื่อเสียงในฐานะเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมและอาหารของออสเตรเลีย โดยมีร้านกาแฟและวัฒนธรรมอาหารมื้อสายที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงอาหารเอเชียที่ดีที่สุดที่อยู่นอกเอเชีย เมืองนี้มีเครือข่ายรถไฟ รถราง และรถประจำทางที่ครอบคลุมซึ่งทำให้การเดินทางในเมืองเป็นเรื่องง่าย แต่หากพูดถึงค่าใช้จ่าย ทั้งค่าธรรมเนียมและค่าครองชีพถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก แต่สำหรับมาตรฐานการครองชีพที่สูงและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่น่าทึ่ง เมลเบิร์นยังคงติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอยู่เสมอ และเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงชายหาดที่สวยงาม สถานบันเทิงยามค่ำคืน และวันที่มีแสงแดดสดใส ปฏิทินวัฒนธรรมของเมืองอัดแน่นตลอดทั้งปี ครอบคลุมทั้งศิลปะ การแสดงตลก ดนตรี ภาพยนตร์ แฟชั่น และงานเฉลิมฉลองหลากวัฒนธรรม

University of Melbourne

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 98.4 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 7 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: University of Melbourne (อันดับ 14 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 29,400 เหรียญสหรัฐ
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยประมาณ: 1,400 ถึง 3,920 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับว่าเลือกพักอาศัยในวิทยาเขตหรือพักในที่พักส่วนตัว รวมค่าที่พัก ค่าสาธารณูปโภค ค่าเข้าสังคม ค่าของชำ ค่าขนส่ง และอื่นๆ)

5. มิวนิค ประเทศเยอรมนี

มิวนิก เมืองหลวงของแคว้นบาวาเรียซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของเยอรมนี มอบมาตรฐานการครองชีพระดับสูงให้กับนักศึกษาในราคาที่เอื้อมถึง แม้ว่าค่าครองชีพอาจดูสูงกว่าเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก แต่ก็สมส่วนกับคุณภาพชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นในตัวบ่งชี้ความพึงพอใจ ซึ่งมิวนิกอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก มิวนิกมีสถานที่ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในประเทศ ตั้งแต่สวนพฤกษศาสตร์ไปจนถึงเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ เทือกเขาแอลป์ ป่าไม้ และทะเลสาบ เหมาะสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยและให้ความสำคัญกับธรรมชาติ หลีกหนีจากชีวิตในเมืองที่จอแจ ทุกปีจะมีนักศึกษาต่างชาติกว่า 17,400 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของนักเรียนทั้งหมด เดินทางไปที่มิวนิกเพื่อเริ่มต้นเส้นทางการศึกษา ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีไปจนถึงระดับสูง ทำให้เมืองนี้ได้รับคะแนนที่ดีเยี่ยมสำหรับความหลากหลายของนักศึกษาที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและวัฒนธรรมที่แตกต่างที่มีอยู่ทั่วทั้งเมือง

Technical University of Munich

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 97.1 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 2 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Technical University of Munich (อันดับ 37)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 300 เหรียญสหรัฐ (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ)

6. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ปารีสเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติที่สำคัญและเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย 9 แห่งที่อยู่ในการจัดอันดับของ QS มหาวิทยาลัยชั้นนำของปารีสและโรงเรียนเฉพาะทางหลายแห่งได้ผลิตนักปรัชญา นักทฤษฎี นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ผู้นำทางธุรกิจ และนักคณิตศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ในวรรณคดี ภาพยนตร์ และศิลปะ สถานที่สำคัญและพิพิธภัณฑ์ที่น่าประทับใจที่สุดของยุโรปบางแห่งตั้งอยู่ในปารีส รวมถึงหอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประตูชัยฝรั่งเศส และถนนช็องเซลีเซ ปารีสยังเป็นเมืองแห่งแสงสี แฟชั่น อาหาร ศิลปะ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมที่คึกคัก แม้ว่าปารีสจะมีเรื่องค่าครองชีพที่สูง แต่ก็มีความสมดุลอย่างมากกับค่าเล่าเรียนที่ค่อนข้างต่ำสำหรับนักศึกษาต่างชาติ

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 96.3 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 9 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Université PSL (อันดับ 24)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 2,400 เหรียญสหรัฐ

7. ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเศรษฐกิจของออสเตรเลียแล้ว ซิดนีย์ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกเท่านั้นและเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย นอกจากนี้ ซิดนีย์ยังมีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพอันงดงามของท่าเรือ โรงละครโอเปร่าอันเป็นเอกลักษณ์ อากาศไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป มีกิจกรรมกลางแจ้งมาก พื้นที่สีเขียวที่มีให้เลือกหลายแห่งภายในเมือง และอยู่ไม่ไกลจากชายหาดซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามที่สุดโลก และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจากทั้ง Mercer และ The Economist ซิดนีย์ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายและเป็นมิตรมากที่สุดในโลก ช่วยให้นักศึกษาต่างชาติได้เพลิดเพลินกับวิถีชีวิตแบบออสเตรเลีย

University of Sydney

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 96.2 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 5 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: University of Sydney และ University of New South Wales (UNSW) (อันดับ 19 เท่ากัน)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 29,000 เหรียญสหรัฐ

8. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

เบอร์ลินนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ถือว่าทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นทั้งศูนย์กลางด้านการออกแบบ แฟชั่น ดนตรี และศิลปะที่สำคัญเทียบเท่านิวยอร์กหรือลอนดอน เบอร์ลินมีทั้งวัฒนธรรมที่ไม่มีใครเทียบได้และตลาดการเงินที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เบอร์ลินครองอันดับหนึ่งจากความคิดเห็นของนักศึกษา เนื่องจากคุณภาพชีวิตที่ดี ค่าใช้จ่ายที่เอื้อมถึง บรรยากาศเสรี ตลอดจนการจัดงานเทศกาลและวงการดนตรีที่เป็นที่นิยม เมืองหลวงของเยอรมนีแห่งนี้จึงมีความพร้อมมากมายสำหรับนักศึกษาต่างชาติจากทุกมุมโลก เบอร์ลินมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพชีวิตระดับสูง พร้อมด้วยที่อยู่อาศัยและการเดินทางราคาไม่แพง รวมถึงการดูแลสุขภาพที่เป็นเลิศ ที่สำคัญคือค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีทั้งหมดฟรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ และผู้สำเร็จการศึกษามีโอกาสได้งานที่ดี เนื่องจากบริษัทต่างชาติต้องการจ้างผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเยอรมนี

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 95 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 3 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Freie Universitäet Berlin (อันดับ 98 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 500 เหรียญสหรัฐ (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ)

9. ซูริก สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงด้านการศึกษาระดับโลก ในปี 2567 มหาวิทยาลัยในเมืองซูริก 2 แห่งอยู่ใน 100 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ETH Zurich และมหาวิทยาลัยซูริก ซูริกเป็นศูนย์กลางระดับนานาชาติ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และเป็นหนึ่งในเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ความมั่งคั่งทำให้ซูริกเป็นเมืองที่สะอาด ปลอดภัย และได้รับการดูแลอย่างไม่มีที่ติ มีภูมิประเทศทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของยุโรป และมักติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าซูริกจะเป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าครองชีพที่สูง แต่ก็ชดเชยด้วยค่าเล่าเรียนสำหรับนักศึกษาต่างประเทศที่ไม่แพงนักเมื่อเที่ยบกับเมืองอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา หรือออสเตรเลีย เป็นต้น นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลกในการทำงาน โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและโอกาสในการทำงานที่ดีสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 95 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 2 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: ETH Zurich (อันดับ 7 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 2,100 เหรียญสหรัฐ

10. บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

บอสตันเป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตัวเมืองมีทั้งส่วนผสมของความเร่งรีบและความคึกคักของมหานครใหญ่ที่เข้ากับฉากศิลปะ การเมือง และวัฒนธรรม เข้ากับพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งของสวนสาธารณะขนาดใหญ่ นอกจากนี้ บอสตันยังเป็นศูนย์กลางทางวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แถมยังอยู่ไม่ไกลจากเพื่อนบ้านอย่างเมือง Cambridge ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันเก่าแก่และมีชื่อเสียงอย่าง Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ Harvard University ทำให้บอสตันอยู่ในอันดับที่สูงที่สุดในด้านที่นักศึกษาได้รับการจ้างงานหลังจบการศึกษา สะท้อนให้เห็นถึงชื่อเสียงในระดับนานาชาติของสถาบันต่างๆ ในหมู่ผู้จ้างงานระดับบัณฑิตศึกษาทั่วโลก

Massachusetts Institute of Technology (MIT)

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 92.3 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 8 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Massachusetts Institute of Technology (MIT) (อันดับ 1 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 59,000 เหรียญสหรัฐ

การเลือกเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศของคุณ

แน่นอนว่าการตัดสินใจเลือกที่เรียนต่อต้องมีหลายปัจจัยที่มากกว่าแค่ดูจากการจัดอันดับการเลือกเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไป เรียนต่อต่างประเทศ คุณอาจเริ่มดูจากการจัดอันดับตามความสำคัญของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอยากไปอยู่เมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือเรื่องค่าใช้จ่ายมีความสำคัญต่อการเลือกเมืองของคุณมากกว่า สิ่งนี้จะเป็นแนวทางในการตัดสินใจเบื้องต้นของคุณ และคุณก็อาจหาข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ชีวิตจริงของนักศึกษาที่อยู่ที่นั่น รวมถึงไลฟ์สไตล์ และโอกาสพิเศษที่คุณจะได้รับ

คุณอาจจะต้องพิจารณาโอกาสระยะยาวของการเรียนในเมืองใดเมืองหนึ่งอีกด้วย อย่างเช่น โอกาสในการจ้างงานหลังจากสำเร็จการศึกษา และคุณภาพชีวิตโดยรวม ที่ช่วยส่งผลต่อการเติบโตทางอาชีพและส่วนบุคคลของคุณในระยะยาว 

การไป เรียนต่อต่างประเทศ เป็นสิ่งที่คุณต้องคิดและเตรียมตัวอย่างรอบคอบ ไม่เพียงแต่เรื่องที่เรียน ที่พัก และองค์ประกอบอื่นๆ ประกันเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ทั้งตัวคุณและคนที่อยู่ทางบ้านอุ่นใจว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองหากคุณเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ ระหว่างที่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งเรื่องการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ เหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นขณะไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุด หรือค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยขณะกลับมาเยี่ยมบ้าน ประกันสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel มีให้คุณเลือกถึง 3 แผน ที่คุณสามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : Best Student Cities | Top Universities

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทางสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ จาก Allianz Travel

ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี

ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี แผนไหนเหมาะกับเรา?

การเดินทางท่องโลกไปยังประเทศที่คุณไม่รู้จัก หรือไปประเทศที่คุณชื่นชอบวัฒนธรรม ธรรมชาติ หรือสิ่งที่แตกต่างจากประเทศไทย ถือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยประสบการณ์อันน่าจดจำและความทรงจำอันล้ำค่า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คุณตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบิน และจองที่พัก เพื่อเดินทางไปยังประเทศในฝันของคุณแล้ว สิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้คุณหมดกังวลว่าทริปวันหยุดของคุณจะไม่สะดุดระหว่างการเดินทางหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ คุณจะมีตัวช่วยให้คุณได้อุ่นใจเสมอ วันนี้เราได้นำข้อมูล ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี มาให้เพื่อนๆ เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันการเดินทางที่เหมาะสมกับการเดินทางของเรามากที่สุด

และไม่ว่าคุณจะชอบเดินทางไปต่างประเทศแบบทริปยาว ๆ ปีละครั้ง หรือทริปสั้น ๆ ปีละ 2-3 ครั้ง Allianz Travel มีแผนประกันภัยการเดินทางสำหรับนักเดินทางทุกประเภท ทั้งแผนแบบรายเที่ยว (Single Plan) ที่ครอบคลุมการเดินทางเพียงทริปเดียว และแผนแบบรายปี (Annual Plan) ที่คุ้มครองการเดินทางหลายเที่ยวในระยะเวลา 365 วัน การที่จะเลือกซื้อแผนไหนดี ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การเดินทางและแผนท่องเที่ยววันหยุดของคุณค่ะ

ทำความรู้จักประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยว

ประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยวจะให้ความคุ้มครองทริปวันหยุดของคุณจากประเทศไทยไปยังประเทศจุดหมายปลายทาง และสิ้นสุดเมื่อคุณกลับถึงประเทศไทย คุณควรทำประกันภัยการเดินทางแบบรายเที่ยวทันที่ที่คุณจองทริปวันหยุดพักผ่อนของคุณ เพราะประกันภัยการเดินทางมีความคุ้มครองครอบคลุมการยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางภายใน 30 วันก่อนวันที่คุณจะเริ่มการเดินทาง หากเกิดเหตุการณ์ที่คุณไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรืออยู่นอกเนือกจากการควบคุมของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

ถ้าคุณซื้อแผนรายเที่ยวสำหรับทริปเดียว ราคาจะถูกกว่าการซื้อแผนรายปี แต่ถ้าคุณมีแผนที่จะเดินทางสัก 2-3 ทริปในแต่ละปีเราแนะนำให้คุณซื้อแผนรายปีจะคุ้มกว่า

ทำไมต้องซื้อประกันภัยการเดินทางแผนรายปี

ประกันภัยการเดินทางแผนรายปีเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่อยู่เคียงข้างคุณตลอดทั้งปี ช่วยปกป้องคุณจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นระหว่างทริป เช่น การยกเลิกการเดินทาง เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ และสัมภาระสูญหาย เป็นต้น ไม่ว่าคุณจะเดินทางกี่ครั้งก็ตาม คุณจะได้รับความคุ้มครองทุกทริปในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่กรมธรรม์เริ่มมีผลบังคับใช้ คุณเดินทางได้มากครั้งเท่าที่คุณต้องการ และแต่ละครั้งก็ได้สูงสุดถึงจำนวนวันที่กำหนดไว้ในแต่ละแผน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

เปรียบเทียบความแตกต่างประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยว และแผนรายปี

รายละเอียดแผนรายเที่ยวแผนรายปี
แผนและความคุ้มครองเลือกประเภทแผนและความคุ้มครองตามความต้องการของแต่ละทริปได้ เช่น เดินทางเฉพาะในเอเชีย หรือเดินทางทั่วโลก แผนและความคุ้มครองมาพร้อมกับชุดสิทธิประโยชน์มาตรฐานซึ่งอาจไม่เหมาะสมสำหรับทุกการเดินทาง
ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 1-180 วัน (ขึ้นอยู่กับจำนวนวันเดินทางของแต่ละทริป)คุ้มครองต่อเนื่องสูงสุง 365 วัน
ค่าเบี้ยประกันเบี้ยประกันคิดตามจำนวนวันเดินทางเบี้ยประกันเป็นรายปี คุ้มค่าสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อย
ความยุ่งยากต้องซื้อทุกครั้งก่อนเดินทางซื้อครั้งเดียว เดินทางกี่ครั้งก็ได้คุ้มครองตลอดทั้งปี
ความคุ้มค่าเหมาะกับผู้ที่เดินทางไม่กี่วัน หรือเดินทางแค่ปีละครั้งเหมาะกับผู้ที่เดินทางบ่อย
วีซ่าเชงเก้นใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าได้ สำหรับแผนที่คุ้มครองทั่วโลก*ใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าได้ สำหรับแผนที่คุ้มครองทั่วโลก*

ตัวอย่างการเลือกซื้อ ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี

ตัวอย่าง

คุณ Alliz มีแผนเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน 2024 เป็นเวลา 7 วัน, เดินทางไปประเทศอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน 2024 เป็นเวลา 20 วัน, และเดินทางไปประเทศฟินแลนด์ ในเดือนธันวาคม 2024 เป็นเวลา 20 วัน และทุกทริปต้องการความคุ้มครองแบบครบถ้วนสูงสุด

จากตัวอย่าง หากลูกค้าซื้อประกันการเดินแผนรายเที่ยว และรายปี รายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าต้องชำระมีดังนี้

แผนรายเที่ยว

คุณ Alliz ต้องทำการซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายเที่ยว ทุกครั้งที่ออกเดินทาง โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ทริปญี่ปุ่น 7 วัน
    – จำนวนผู้เดินทาง 1 คน
    – ซื้อประกันการเดินทางสำหรับเดินทางในเอเชีย แผนรายเที่ยว แผน Samba
    – ราคา 940 บาท
  2. ทริปอังกฤษ 20 วัน
    – จำนวนผู้เดินทาง 1 คน
    – ซื้อประกันการเดินทางสำหรับเดินทางทั่วโลก แผนรายเที่ยว แผน Tango
    – ราคา 2,920 บาท
  3. ทริปฟินแลนด์ 20 วัน
    – จำนวนผู้เดินทาง 1 คน
    – ซื้อประกันการเดินทางสำหรับเดินทางทั่วโลก แผนรายเที่ยว แผน Tango
    – ราคา 2,920 บาท

ราคารวมที่คุณ Alliz ต้องชำระเงินค่าเบี้ยประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว ในปี 2024
= 940+2,920+2,920 = 6,780 บาท

แผนรายปี

คุณ Alliz สามารถทำการซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี เพียงครั้งเดียวในทริปแรกที่ออกเดินทาง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ระยะเวลาของทริปการเดินทางของคุณ Alliz ในแต่ละทริปไม่เกิน 31 วัน (ทริปญี่ปุ่น 7 วัน, ทริปอังกฤษ 20 วัน, และทริปฟินแลนด์ 20 วัน) ต้องการความคุ้มครองแบบครบถ้วนสูงสุด ดังนั้นคุณ Alliz สามารถซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี แผน Tango ระยะเวลาการเดินทางในแต่ละทริปภายใน 1 ปี ไม่เกิน 31 วันต่อทริปหรือต่อครั้งที่เดินทางได้ โดยราคารวมที่คุณ Alliz ต้องชำระเงินค่าเบี้ยประกันการเดินทาง แผนรายปี ในปี 2024
= 5,620 บาท

ซึ่งประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี ให้ความคุ้มครองการเดินทางทั่วโลก**

สรุป

จากตัวอย่างด้านบนคุณ Alliz สามารถเลือกซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี แผน Tango ระยะเวลาการเดินทางต่อทริปหรือต่อครั้งไม่เกิน 31 วัน ในราคา 5,620 บาท จะมีความเหมาะสมและคุ้มค่ามากกว่าซื้อประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว ที่มีค่าเบี้ยประกันการเดินทางรวมทุกทริปอยู่ที่ 6,780 บาท คุณ Alliz สามารถประหยัดเงินค่าเบี้ยประกันการเดินทางสำหรับปี 2024 ไปได้ถึง 1,160 บาท

หากเพื่อนๆ ท่านไหนมีแผนการเดินทางคล้ายๆ กับคุณ Alliz หรือมีการเดินทางบ่อย การซื้อประกันการเดินทาง แผนรายปี อาจจะเหมาะสมกับการเดินทางของเพื่อน ๆ มากกว่าการซื้อประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว แต่ถ้าเพื่อน ๆ เดินทางไม่บ่อย ประกันการเดินทางแผนรายเที่ยวก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเพื่อน ๆ ค่ะ

ถ้าคุณคิดว่าปีนี้จะมีทริปเที่ยวต่างประเทศเพียงครั้งเดียว ประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยวคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณ แต่ถ้าคุณวางแผนเที่ยวต่างประเทศหลายทริปใน 1 ปี การซื้อประกันภัยการเดินทางแบบรายปีก็คุ้มมากกว่า แต่โดยรวมแล้ว การทำประกันภัยการเดินทางทุกครั้งที่ไปเที่ยวต่างประเทศก็เป็นความคิดที่ดีเสมอ เพราะจะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง*** เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*หากวีซ่าไม่ผ่าน และยังไม่ถึงวันเริ่มความคุ้มครองตามกรมธรรม์ สามารถใช้เอกสารการปฏิเสธวีซ่าเป็นหลักฐานในการขอคืนเงินค่าเบี้ยประกันได้เต็มจำนวน
**ยกเว้นประเทศที่ไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์สำหรับเดินทางทั่วโลกได้แก่ประเทศเนปาล และประเทศที่ถูกระบุอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง (Sanction Countries) รวมถึงประเทศดังต่อไปนี้ อัฟกานิสสถาน, แอลจีเรีย, บุรุนดี, คองโก, คิวบา, เอริเทรีย, กินี, อิรัก, คอซอวอ, ไลบีเรีย, ลิเบีย, มอริเตเนีย, ไนเจอร์, ไนจีเรีย, เกาหลีเหนือ, เซอร์เบีย,​โซมาเลีย, ซูดาน, ซีเรีย,​ และเยเมน
***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น 2024

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! [ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024]

ได้เวลาเตรียมตัววางแผนการเดินทางเพื่อไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 กันแล้ว การชมดอกซากุระที่บานสะพรั่งอย่างสวยงามหรือที่รู้จักกันในชื่อฮานามิหรือโอฮานามิในญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากในการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมและเมษายน หากคุณวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เช็คช่วงเวลาพยากรณ์ดอกซากุระบาน เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศในแต่ละปี Allianz Travel จะพาคุณไปเช็คจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่น ซึ่งตาราง พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 อย่างเป็นทางการของ Japan Meteorological Corporation จะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2024 จนถึง ณ ตอนนี้ JMC ได้เผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์ซากุระบาน ในญี่ปุ่น ออกมาแล้วทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 11 ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาซากุระบานมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้นะคะ 🙂

Update! เพื่อน ๆ สามารถตรวจสอบช่วงเวลาดอกซากุระบาน ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 ได้ที่นี่ค่ะ: พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025 ล่าสุด!

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2024

ตารางพยากรณ์ช่วงดอกซากุระบานของญี่ปุ่นในปี 2024 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 11) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2024 ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางปี 2024 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ดอกซากุระบานปี 2024 (พยากรณ์ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024)

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาที่ซากุระเริ่มบานช่วงเวลาที่ซากุระบานเต็มที่
โตเกียว – Tokyo29 มีนาคม4 เมษายน
นาโงย่า – Nagoya28 มีนาคม7 เมษายน
เกียวโต – Kyoto29 มีนาคม5 เมษายน
โคจิ – Kochi23 มีนาคม31 มีนาคม
ฟุกุโอกะ – Fukuoka27 มีนาคม2 เมษายน
โอซาก้า – Osaka30 มีนาคม6 เมษายน
ฮิโรชิมะ – Hiroshima25 มีนาคม5 เมษายน
วากายามะ – Wakayama30 มีนาคม3 เมษายน
คานาซาว่า – Kanazawa1 เมษายน8 เมษายน
นากาโน่ – Nagano8 เมษายน10 เมษายน
คาโกชิมะ – Kagoshima29 มีนาคม7 เมษายน
เซนได – Sendai2 เมษายน9 เมษายน
อาโอโมริ – Aomori15 เมษายน18 เมษายน
ซัปโปโร – Sapporo27 เมษายน30 เมษายน
ดอกซากุระบานหรือดอกซากุระบานเต็มที่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2024 Cherry Blossom Forecast (11th forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปชื่นชมฤดูดอกซากุระบานในญี่ปุ่นควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โรงแรมในโตเกียวและเกียวโตจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบจองที่พักทันทีที่มีกำหนดวันเดินทาง และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

วิธีขอวีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป

วิธีขอวีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป

หลายคนกำลังเตรียมตัวออกไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งการเดินทางไปประเทศแถบยุโรปก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยว เพราะมีทั้งธรรมขาติ และสถาปัตยกรรมที่งดงามที่ต้องมีใครที่เคยฝันอยากจะไปเที่ยวดูสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และอีกมากมาย และ “วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa)” ก็คือใบเบิกทางสู่หลากประเทศที่ขอแค่รอบเดียวก็เที่ยวได้หลายประเทศในวีซ่าเดียว วันนี้ Allianz Travel มีรายละเอียด วิธีขอวีซ่าเชงเก้น มาฝากทุกคนค่ะ

วีซ่าเชงเก้น ถือกำเนิดมาจากข้อตกลงระหว่างประเทศในทวีปยุโรปที่อนุญาตให้พลเมืองของประเทศสมาชิกสามารถเดินทางระหว่างกันได้โดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง ซึ่งรวมไปถึงการอนุญาตให้เดินทางเป็นการชั่วคราวให้กับผู้ที่ถือวีซ่าเชงเก้นด้วย โดยปัจจุบันประเทศที่อยู่ในข้อตกลงเชงเก้นนั้นมี 27 ประเทศ ซึ่งมีทั้งประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก กลุ่มประเทศเชงเก้นประกอบไปด้วย Austria (ออสเตรีย), Belgium (เบลเยี่ยม), Croatia (โครเอเชีย), Czech Republic (สาธารณรัฐเช็ก), Denmark (เดนมาร์ก), Estonia (เอสโตเนีย), Finland (ฟินแลนด์), France (ฝรั่งเศส), Germany (เยอรมัน), Greece (กรีซ), Hungary (ฮังการี), Iceland (ไอซ์แลนด์), Italy (อิตาลี), Latvia (ลัตเวีย), Liechtenstein (ลิกเตนสไตน์), Lithuania (ลิทัวเนีย), Luxembourg (ลักเซมเบอร์ก), Malta (มอลตา), Netherlands (เนเธอร์แลนด์), Norway (นอร์เวย์), Poland (โปแลนด์), Portugal (โปรตุเกส), Slovakia (สโลวาเกีย), Slovenia (สโลวีเนีย), Spain (สเปน), Sweden (สวีเดน), Switzerland (สวิตเซอร์แลนด์)

สิ่งสำคัญที่ควรทราบอย่างหนึ่งคือ วีซ่าเชงเก้นไม่สามารถใช้เข้าประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร ซึ่งได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ได้

ขั้นตอนการขอวีซ่าเชงเก้น

ก่อนดำเนินการยื่นคำร้อง

  1. ก่อนทำการยื่นคำร้องขอวีซ่า คุณต้องมั่นใจแล้วว่า คุณเลือกประเทศที่ถูกต้องในการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีวิธีและช่องทางการยื่นขอวีซ่าที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย และการยื่นขอวีซ่าเชงเก้นผิดประเทศตามที่เราอธิบายไว้ข้างต้น สถานทูตก็มีสิทธิ์ปฏิเสธการออกวีซ่าให้คุณได้ โดยกฏของการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen rules) มีดังต่อไปนี้

1.1. หากเดินทางท่องเที่ยวเพียงประเทศเดียว ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นนั้น

1.2 หากเดินทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเชงเก้นมากกว่าสองประเทศ ให้ยื่นใบคำขอวีซ่าเชงเก้นดังนี้ :
– กรณีจำนวนวันที่จะพำนักในแต่ละประเทศ – ไม่เท่ากัน ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นที่จะเข้าไปพำนักนานที่สุด
– กรณีจำนวนวันที่จะพำนักในแต่ละประเทศ – นานเท่ากัน ให้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นไปยังสถานทูต / สถานกงสุล / ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าของประเทศเชงเก้นที่จะเดินทางเข้าไปเป็นประเทศแรก

2. เมื่อได้ประเทศที่ต้องยื่นขอวีซ่าเชงเก้นแล้ว ก็ได้เวลาหาข้อมูลว่าประเทศที่คุณต้องขอวีซ่าเชงเก้นนั้น เขาใช้วิธีการใดในการยื่นขอวีซ่า ซึ่งโดยทั่วไปแต่ละประเทศจะมีช่องทางใดช่องทางหนึ่งในการให้บริการดังนี้

  • ยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเก้นผ่านสถานทูตโดยตรง ได้แก่ ประเทศกรีซ, ฮังการี, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, ลักเซ็มเบิร์ก, โปแลนด์, สโลวาเนีย
  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า VFS Global

ที่อยู่ : จามจุรีสแควร์ ชั้น 4 ห้อง 404-405 ถ.พญาไท ปทุมวัน กทม. 10330

เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.00

โทร : 02-118-7015

ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, เยอรมัน, ไอซ์แลนด์, อิตาลี, ลิคเทนสไตน์, มอลต้า, เนเธอร์แลนด์, สโลวีเนีย, สวีเดน และ สวิตเซอร์แลนด์

  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า TLS Contact

ที่อยู่ : สาทรซิตี้ทาวเวอร์ 175 ชั้นที่ 12 ถ.สาทรใต้ ทุ่งมหาเมฆ สาทร กทม. 10120

เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.30

โทร : 02-838-6688

ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ ฝรั่งเศส และ โปรตุเกส

  • ยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า BLS International

ที่อยู่ : 399 อาคารอินเตอร์เชนจ์ชั้น B2 ห้อง A/1 ถ.สุขุมวิท คลองเตยเหนือ วัฒนา กทม. 10110
เวลาทำการ : จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.00
โทร : 02-258-3524
ให้บริการยื่นวีซ่าสำหรับประเทศ สเปน

3. การขอวีซ่าเชงเก้นทุกประเทศจะต้องมีการทำประกันการเดินทาง ที่มีวงเงินประกันไม่น้อยกว่า 30,000 ยูโรหรือ 1,500,000 บาท และแต่ละประเทศยังมีการกำหนดบริษัทประกันภัยที่ได้รับการยอมรับด้วย ซึ่งคุณจำเป็นต้องตรวจสอบรายชื่อและใช้บริการกับบริษัทประกันภัยที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น

4. วีซ่าเชงเก้นสามารถยื่นคำร้องขอล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน แต่ต้องไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนการเดินทาง

5. แต่ละช่องทางการยื่นคำร้องขอวีซ่าจะมีขั้นตอนอธิบายบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแต่ละประเทศ คุณสามารถศึกษารายละเอียดทั้งหมดได้ด้วยตนเอง และโดยส่วนใหญ่จะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันคือ จองคิว > กรอกเอกสารและจัดเตรียมหลักฐาน > ยื่นเอกสารและเก็บข้อมูลชีวภาพ > เรียกสัมภาษณ์ (ถ้ามี) > รอฟังผลการพิจารณา > รับหนังสือเดินทางคืนพร้อมผลการขอวีซ่า

เมื่อดำเนินการยื่นคำร้อง

1. ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม Schengen Visa Application หรือกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ) โดยคุณจำเป็นต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน

แบบฟอร์มจะมีรูปแบบเหมือนกันทุกประเทศ โดยให้กรอกให้ครบถ้วน อย่าเว้นว่างช่องคำถามใด หากคำถามไม่ตรงกับเคสของเราให้กรอกว่า NA (No Answer) แทน หลังจากที่กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้พิมพ์แบบฟอร์มออกมา 2 ชุด และอย่าลืมเซ็นชื่อให้เรียบร้อยทั้ง 2 ชุด

2. จองคิวนัดหมายกับสถานทูต (ถ้ามี) หรือศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ซึ่งตัวแทนทั้งหมดจะใช้วิธีการจองคิวนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ตามเวลาที่กำหนดอยู่แล้ว โดยศูนย์รับคำร้องข้อวีซ่าจะมีบริการอื่น ๆ เพิ่มเติมที่คุณสามารถเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอาทิเช่น บริการจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์, บริการแจ้งผลการขอวีซ่าผ่าน SMS, บริการถ่ายรูป / ถ่ายเอกสาร เป็นต้น

3. เตรียมตัวเดินทางไปศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตด้วยตนเอง และไม่สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปแทนได้ โดยคุณต้องถึงก่อนเวลานัดหมายอย่างน้อย 15 นาทีพร้อมเอกสารทั้งหมดที่จำเป็นทั้งฉบับจริงและสำเนา และหนังสือเดินทางที่ต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า และมีอายุคงเหลือมากกว่า 3 เดือนนับจากวันที่เดินทางออกจากเขตประเทศเชงเก้น

4. ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตจะเก็บข้อมูลทางชีวภาพของคุณได้แก่ลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว และถ่ายภาพเต็มหน้าของคุณตามข้อกำหนดของวีซ่าเชงเก้น โดยต้องเป็นภาพหน้าตรง พื้นหลังขาว ไม่มีแสงเงา ไม่สวมอุปกรณ์คลุมศีรษะแต่เหตุผลทางศาสนาหรือทางการแพทย์ (สวมใส่แว่นสายตาได้)

5. สำหรับการยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเก้นนั้นอาจมีการเรียกสัมภาษณ์คุณด้วย แต่โดยส่วนใหญ่การยื่นคำร้องกับศูนย์รับคำร้องขอวีซ่านั้นจะไม่มีการสัมภาษณ์ ทั้งนี้สถานทูตอาจจะเรียกสัมภาษณ์คุณในระหว่างการพิจารณา ดังนั้นเตรียมตัวไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

6. ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าหรือสถานทูตรับเอกสารและเก็บข้อมูลชีวภาพเสร็จสิ้น (รวมทั้งการเรียกสัมภาษณ์) การยื่นขอวีซ่าเชงเก้นก็เป็นอันเรียบร้อย โดยปกติแล้วคุณจะทราบผลภายใน 15 วันทำการนับตั้งแต่วันยื่นเอกสาร และคุณสามารถรับเอกสารและหนังสือเดินทางคืนหลังรับทราบผลแล้วได้ที่ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า หรือบริการจัดส่งทางไปรษณีย์ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

เอกสารการขอวีซ่าเชงเก้น

หลักฐานสำคัญ

  1. เอกสารคำร้องขอ – เอกสารที่คุณต้องพิมพ์หรือกรอกเรียบร้อยแล้ว
  2. หนังสือเดินทาง – ต้องเป็นหนังสือเดินทางฉบับล่าสุด มีอายุคงเหลือมากกว่า 3 เดือนนับจากวันที่เดินทางออกจากเขตประเทศเชงเก้น และมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า กรณีที่มีหนังสือเดินทางเล่มก่อนหน้าให้นำไปด้วยทั้งหมด และถ่ายสำเนาหน้าแรกพร้อมกับหน้าที่เคยได้วีซ่า/เดินทางไปประเทศอื่นด้วย
  3. สำเนาเอกสารแสดงตัว – ได้แก่สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาอื่น ๆ ถ้ามี อาทิเช่น สำเนาทะเบียนสมรส สำเนาทะเบียนหย่า สำเนาใบเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล เป็นต้น (พร้อมเอกสารฉบับจริง)
  4. รูปถ่ายหน้าตรง – ต้องใช้รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ โดยไม่ยิ้ม และไม่มีเส้นผมหรืออุปกรณ์ใด ๆ บดบังใบหน้าและดวงตา (ยกเว้นแว่นสายตา) โดยต้องเป็นรูปที่ถ่ายมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน ทั้งนี้เราขอแนะนำให้คุณตรวจสอบเงื่อนไขการถ่ายภาพโดยละเอียด เนื่องจากบางประเทศมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าปกติ
  5. ประกันการเดินทาง – เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันการประกันภัยระหว่างเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยต้องมีวงเงินประกันขั้นต่ำ 1,500,000 บาท (30,000 ยูโร) และต้องทำกับบริษัทประกันภัยที่สถานทูตให้การรับรองด้วย
  1. ใบยืนยันการจองตั๋วเครื่องบิน – ต้องเป็นตั๋วเครื่องบินที่เดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศสมาชิกเชงเก้น และเดินทางกลับถึงประเทศไทยภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น ค้นหาและจองตั๋วเครื่องบินไปยุโรป
  2. ใบยืนยันการจองโรงแรมที่พัก – ต้องเป็นโรงแรมภายในประเทศสมาชิกเชงเก้น และมีการเข้าพักในช่วงเวลาท่องเที่ยวที่ระบุไว้เท่านั้น ค้นหาและจองโรงแรมที่พักในยุโรป
  3. ใบยืนยันการจองตั๋วรถไฟ/รถเช่า (ถ้ามี) – เนื่องจากต้องใช้เป็นหลักฐานยืนยันการเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปที่ใช้ระบบรถไฟเป็นหลัก หากไม่มีต้องอธิบายแผนการเดินทางเป็นลายลักษณ์อักษรได้ว่าคุณวางแผนการเดินทางอย่างไร ค้นหาและจองรถเช่าในยุโรป

หลักฐานสำคัญ กรณีมีรายได้เป็นของตนเอง

1. เอกสารรับรองการทำงาน

กรณีเป็นพนักงาน: ต้องใช้หนังสือรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ โดยต้องมีข้อมูลชื่อองค์กรที่ทำงาน ตำแหน่งงาน เงินเดือน วันเริ่มงาน และควรมีการระบุจุดหมายปลายทาง ช่วงวันเดินทาง และวันที่จะกลับถึงประเทศไทยอย่างชัดเจน พร้อมลงนามและประทับตรา

กรณีเป็นเจ้าของกิจการ: ต้องใช้สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่มีอายุไม่เกิน 3 เดือน พร้อมทะเบียนการค้า หรือใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ และเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีชื่อของคุณเป็นเจ้าของกิจการ

2. รายการเดินบัญชีเงินฝาก – สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากที่ปรับรายการเดินบัญชีถึงปัจจุบันถึงย้อนหลังไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และควรมีเงินฝากที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นว่าสามารถพำนักอยู่ในยุโรปได้อย่างไม่มีปัญหา (แนะนำว่าควรแสดงเงินฝากเกิน 50,000 บาทขึ้นไป) หรือขอรายการเดินบัญชีที่ได้รับตราประทับจากธนาคาร หรือขอเอกสารแสดงข้อมูลทางบัญชีที่การันตีเงินฝากของคุณเป็นภาษาอังกฤษก็ได้

3. สลิปเงินเดือน – กรณีมีรายได้ประจำ ให้แนบสลิปย้อนหลัง 6 เดือน โดยยอดเงินสุทธิในสลิปจะต้องสอดคล้องกับรายการเดินบัญชีเงินฝากด้วย

หลักฐานสำคัญ กรณีไม่มีรายได้เป็นของตนเอง

  1. หลักฐานแสดงรายได้ของคู่สมรส – กรณีเป็นคู่สมรสที่มีการจดทะเบียนกันอย่างถูกต้อง และต้องมีสำเนาเอกสารยืนยัน และถ้าคู่สมรสไม่ได้เดินทางไปด้วย ต้องมีสำเนาเอกสารแสดงตัวของคู่สมรสทั้งหมดแนบมาด้วย หรือถ้าไม่ได้จดทะเบียน ต้องมีหนังสือยืนยันการสมรสโดยไม่ได้จดทะเบียนและลงชื่อรับรองทั้ง 2 ฝ่าย
  2. หลักฐานแสดงรายได้ของญาติ – กรณีเดินทางกับญาติพี่น้องสามารถใช้ข้อมูลของญาติที่ร่วมเดินทางไปด้วยพร้อมหนังสือรับรองความเป็นญาติ หรือถ้าญาติเป็นเจ้าของกิจการหรือบุคคลที่รายได้แต่ไม่ได้เดินทางไปด้วย ก็สามารถใช้อ้างอิงแทนกันได้ ทั้งนี้ยอมรับเฉพาะญาติที่เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี หรือภรรยาเท่านั้น
  3. สูติบัตรและทะเบียนบ้าน – กรณีผู้เดินทางเป็นเด็กที่มีอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ ต้องมีหลักฐานแสดงถึงความสัมพันธ์ของพ่อและแม่ที่ร่วมเดินทางไปด้วย โดยใช้สูติบัตรร่วมกับทะเบียนบ้านที่อ้างอิงถึงชื่อบิดามารดา
  4. จดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง – กรณีผู้เดินทางเป็นเด็กอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ และไม่ได้เดินทางพร้อมบิดามารดาร่วมกัน ผู้ปกครองที่เป็นบิดาหรือมารดาที่ไม่ได้ร่วมไปด้วยทั้งหมดต้องลงชื่อในจดหมายยินยอมที่ออกโดยที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขต
  5. เอกสารรับรองการศึกษา – กรณีเป็นนักเรียน/นักศึกษา ต้องใช้หนังสือรับรองจากสถานศึกษาที่สังกัดอยู่เป็นภาษาอังกฤษ

หลักฐานอื่น ๆ

  1. แผนการเดินทาง – แสดงแผนการเดินทางในช่วงที่อยู่ในประเทศอังกฤษเพื่อให้ทราบว่าในแต่ละวันจะเดินทางไปเที่ยวเมืองอะไร สถานที่ท่องเที่ยวไหน พักที่ใดบ้าง โดยแผนทั้งหมดต้องเป็นภาษาอังกฤษ
  2. ใบปะหน้า – เขียนใบปะหน้าเอกสารโดยสรุปของการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น อาทิเช่นวันเวลาเดินทาง สถานที่ที่ต้องการเที่ยว และรายการหรืออธิบายสั้น ๆ ถึงเอกสารที่รวบรวมมาเพื่อประกอบการพิจารณา
  3. สัญญาเช่า/สัญญากู้บ้าน/ผ่อนรถ – เป็นเอกสารประกอบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ที่มีภาระผูกพันกับฐานที่อยู่ในประเทศไทย ให้ทางสถานทูตมั่นใจได้ว่าคุณจะกลับมาอย่างแน่นอน

หลังจากที่เราเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ในการขอวีซ่าเชงเก้นตามวันนัดหมาย การสัมภาษณ์จะเป็นการถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว ที่อยู่ ที่ทำงาน วัตถุประสงค์ในการเดินทาง ข้อมูลการเดินทางอื่นๆ ซึ่งเราจะต้องตอบให้สอดคล้องกับรายละเอียดที่กรอกลงในแบบฟอร์มคำขอ และเอกสารที่ได้ยื่นไป โดยปกติขั้นตอนการสัมภาษณ์นี้จะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 10-15 นาที

หลังจากนั้นก็รอผลในการขอวีซ่า ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 15 วันทำการ แต่ในบางกรณีอาจจะนานถึง 45 วันทำการเลยทีเดียว หากผลของวีซ่าออกมาผ่านก็เตรียมตัวไปเที่ยวยุโรปตามแผนที่วางเอาไว้ได้เลย แต่ถ้าใครที่ถูกปฎิเสธก็ไม่ต้องเสียใจไป เราสามารถนำเหตุผลในการปฎิเสธครั้งนี้ไปปรับปรุงเพื่อใช้ในการยื่นวีซ่ารอบถัดไปได้ และหากใครซื้อประกันการเดินทางของ Allianz Travel ก็สามารถทำเรื่องขอคืนเงินด้วยเหตุผลว่ายื่นวีซ่าไม่ผ่านได้ค่ะ*

และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลวิธีขอวีซ่าเชงเก้นเที่ยวยุโรป ซึ่งหากเราทำตามขั้นตอน และเตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อให้สถานทูตมั่นใจว่าคุณไปเที่ยวจริง ๆ  โอกาสที่เราจะได้วีซ่าก็น่าจะสูง และได้ไปเยือนเมืองในฝันสมดั่งใจต้องการ ส่วนใครที่อยากเที่ยวแต่ยังเกรงๆ กับขั้นตอนการขอวีซ่าอยู่ Allianz Travel ก็ขอส่งกำลังใจให้คุณยื่นขอวีซ่าให้สำเร็จนะคะ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่คนรักญี่ปุ่นเฝ้ารอและวางแผนเตรียมไปชมความงามของดอกซากุระ 🌸 สีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีขาวที่บานสะพรั่งไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้สุดไปจนถึงตอนเหนือสุดของประเทศ มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว หลายแห่งมีคนหนาแน่นเต็มพื้นที่ จนต้องต่อคิวถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความงามที่ในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว และ Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 จุดชมซากุระโตเกียว ที่ดีที่สุด เตรียมตัวเดินทางไปพร้อมกับเราเลยค่ะ

1. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ (Shinjuku) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว เปรียบเสมือนโอเอซิสที่อยู่กลางกรุง มีขนาดใหญ่ประมาณ 540,000 ตารางเมตร และล้อมรอบเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร คุณจะได้เห็นภาพของต้นซากุระกว่า 1,100 ต้นบานสะพรั่ง และกลีบดอกไม้ที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าและสระน้ำ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเกินบรรยาย ที่นี่มีต้นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะบานช้าเร็วไม่พร้อมกัน ทำให้คุณได้ชื่นชมกับภาพความงามของดอกซากุระได้ยาวนานขึ้น เปรียบเหมือนกับการแสดงดอกไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สวนชินจูกุเกียวเอ็นเป็นสถานที่ชมซากุระที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ร้านค้าท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบสวนยังเต็มไปด้วยของว่างอร่อยๆ และของที่ระลึกน่ารักในธีมดอกซากุระอีกด้วย

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีชินจูกุ ทางออก South Exit
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/7Aw8H6evdX2DjeBo8
ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น.- 16.00 น. (ฤดูดอกซากุระบาน จะขยายเวลาเปิดจนถึง 17.30 น.)

2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

สวนอุเอโนะ (Ueno Park) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในโตเกียวสำหรับการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย คุณจะได้เห็นทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาชมดอกซากุระที่นี่กันอย่างมากมาย สวนอุเอโนะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร ต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่อยู่ในพื้นที่มากกว่าครึ่งของสวน ทำให้มึจุดชมซากุระอยู่มากมาย เริ่มจากถนนสายหลักยาวประมาณ 500 เมตร ที่อยู่ใจกลางสวนจะมีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์เรียงรายไปสองข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนหนาแน่นมาก แต่ถ้าอยากชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็สามารถชมได้ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน และเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเวลาดอกซากุระบานเท่านั้น และอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปชมก็คือบริเวณสระน้ำชิโนบาสุ (Shinobazu Pond) ที่คุณจะได้ชมบรรยากาศของดอกซากุระริมฝั่งน้ำ

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานี Ueno เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้สวนมากที่สุด มีรถไฟหลายสายที่ผ่าน อย่างเช่น รถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ueno ออกทางออก Park Exit หรือรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Hibiya Line มาลงที่สถานี Ueno ออกทางออก 7 หรือ 9
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/gnAsmJvojfkARuqV6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: 5.00 น.- 23.00 น.

3. สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ตั้งอยู่ในเขตชิโยดะ (Chiyada) ใจกลางกรุงโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียวต้องไม่พลาด คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้น บานสะพรั่งตัดกับกำแพงหินโบราณของปราสาทเอโดะ ซึ่งปัจจุบันคือพระราชวังอิมพีเรียลอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางมหัศจรรย์ที่มีต้นซากุระกว่า 260 ต้นเรียงรายไปตามคูน้ำที่ยาวกว่า 700 เมตรที่เรียกว่า “อุโมงค์ซากุระ” คุณจะรู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนผ่านความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนที่มีการประดับไฟ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น และกิจกรรมที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวชมสวนจิโดริกะฟุจิก็คือการพายเรือล่อง หรือถีบเรือเป็ดล่องไปตามสระน้ำ ซึ่งทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับดอกซากุระที่รายล้อมมากยิ่งขึ้น

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Toei Shinjuku, Tokyo Metro Tozai หรือ Hanzomon มาลงสถานี Kudanshita ออกจากสถานีที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อ 5 นาที
  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hanzomon มาลงสถานี Hanzomon ออกจากสถานีที่ทางออก 5 แล้วเดินต่อ 5 นาที

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/NERZnRnbM3BN4qGQ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

4. สวนสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสุมิดะ (Sumida Park) ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับวันเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) เป็นสวรรค์แห่งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีซากุระปลูกอยู่ถึง 1,000 ต้น เป็นจุดที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการปิกนิกมารวมตัวกันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสวนอย่างสง่างามได้อีกด้วย

สวนสุมิดะ (Sumida Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Toei Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa
  • นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/nq9eaUnQFUEsu7ScA
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านฮิตกิ๊บเก๋อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการเดินเล่น ออกกำลังกาย พายเรือหรือถีบเรือ วาดรูป การแสดงต่างๆ และชอปปิ้งตลอดนัดทุกวันอาทิตย์ ที่นี่มีต้นซากุระญี่ปุ่นประมาณ 500 ต้น และเมื่อยืนมองจากสะพานที่ข้ามสระน้ำจะเห็นต้นซากุระสีชมพูงดงามแผ่กิ่งก้านออกไปเหนือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันงดงาม และมีตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าคอยสาปให้ชายหญิงที่มาพลอดรักกันที่สวนแห่งนี้มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ก็มีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ให้ไปกราบไหว้ขอพรศาลของเทพเจ้าเบ็นไซเต็น (Benzaiten) ภายในสวน ก็จะกลับมารักกันได้เช่นเดิม กิจกรรมยอดนิยมในสวนแห่งนี้คือการถีบเรือเป็ดชมซากุระ หรือปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กัน

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 3 นาที (280 เมตร) จากสถานีรถไฟคิชิโจจิ (Kichijoji Station) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/sbGGWsSNaMP1gwSZ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียว โดยเป็นแม่น้ำขนาดไม่กว้างนัก ทอดยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ไปตามแลห่งที่อยู่อาศัยในย่านเมกุโระ (Meguro) ในเขตชินากาว่า (Shinagawa) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว และไหลไปลงอ่าวโตเกียว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมกุโระเรียงรายไปด้วยต้นซากุระประมาณ 800 ต้นที่บานสะพรั่งอย่างงดงามในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระ ที่มีการออกร้านกันอย่างคึกคักตั้งแต่สปาร์คกลิ้งไวน์สีซากุระไปจนถึงของว่างรสเลิศ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์และความมีชีวิตชีวา ในช่วงกลางคืนจะมีบรรยากาศโรแมนติกที่เสริมด้วยแสงสียามเย็นที่สวยงาม

จุดชมซากุระโตเกียว : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานที่ยอดนิยมสำหรับชมซากุระอยู่บริเวณสะพาน Meguro Shinbashi ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟเมกุโระ (Meguro) และสถานีนากะเมกุโระ (Nakameguro)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/BA6k4ow4c8EjLNJT9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาประดับไฟ 17.00 น. – 21.00 น.)

7. สวนโยโยงิ (Yoyogi Park)

สวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโตเกียว ตั้งอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ และชิบูย่า เป็นสถานที่นั่งเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย ชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่นี่มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้น และมีหลายสายพันธุ์ ทะยอยบานตั้งแต่เดือนมีนามคมไปจนถึงเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งปิกนิก นั่งพักผ่อน หรือเดินชมดอกซากุระ โดยในช่วงเทศกาลชมซากุระ จะมีคนเข้าไปจับจองพื้นที่นั่ง หาอาหารมาทาน และจิบเบียร์เย็น ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่ากับที่อื่นๆ

สวนโยโยงิ (Yoyoki Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/SJs42qdvxsCPWxE36
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

8. สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

สวนโคอิชิกาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยและเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว โดยชื่อของสวนแห่งนี้นั้นได้รับการตั้งชื่อตามบทกวีและเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1629 ราวๆ ยุคสมัยเอโดะตอนต้น ในสวนมีบ่อน้ำตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยเส้นทางเดินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน สวนแห่งนี้มีความสวยงามตลอดทั้งปีด้วยพืชและต้นไม้ที่หลากหลาย ด้านหลังสวนถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองโตเกียวที่มองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆอย่างตัดสลับระหว่างความเป็นธรรมชาติบรรยากาศย้อนยุคกับตึกอาคารที่เต็มไปด้วยความทันสมัย แต่คนจะนิยมมาเป็นพิเศษในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของดอกซากุระที่สะท้อนจากสระไดเซ็นซุย ในสวนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นั่งปิกนิก แต่คุณสามารถนั่งชมดอกซากุระได้ที่ร้านน้ำชาที่มีเสน่ห์แปลกตาของสวน และเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาเขียวกับชิมขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง:

  • เดิน 3 นาทีจากสถานีอิดะบาชิ (Iidabashi Station) เข้าประตูทิศตะวันตกของสวน 
  • เดิน 5 นาทีจากซุอิโดบาชิ (Suidobashi) เข้าประตูทิศตะวันออกของสวน

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/RzsR6ok9Qpjz89rb8
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00น.

9. สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของโตเกียว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว เป็นสวนที่มีขนาดกว้างใกญ่และสวยงามมาก สร้างขึ้นราวๆ ปีค.ศ. 1700 ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี สำหรับโชกุนโทกุกาวะที่ 5 สวนริคุงิเอ็นเป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ในรายละเอียด ชื่อของสวนนี้แปลว่า “สวนแห่งบทกวีทั้งหก” บ่งบอกถึงรากฐานที่หยั่งรากลึกในบทกวีของญี่ปุ่น โดยมีภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนฉากจากบทกวีที่โด่งดัง จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือต้นซากุระใหญ่สายพันธุ์ชิดะเระ ซากุระ ที่เมื่อบานเต็มที่ กิ่งจะย้อยตัวลงมาค้ายน้ำตก สูงประมาณ 15 เมตร และกว้าง 20 เมตร สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วงที่มีการเปิดไฟประดับ ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและงดงามมาก

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • เดินประมาณ 7 นาทีจากสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
  • เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line)

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/8XWkRR4arTEdxzHR7
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (ขยายเวลาเป็น 21.00 น. ในช่วงฤดูดอกซากุระบาน เพื่อจัดกิจกรรมประดับไฟ)

10. สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ภายในสวนเด็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและต้นซากุระที่ปลูกไว้ประมาณ 600 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะนำเสนอทิวทัศน์อันตระการตาของดอกซากุระ ซึ่งคนในโตเกียวจะมานั่งปิกนิก และพักผ่นใต้ต้นซากุระกัน และช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟต้นซากุระด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรถไฟรางเดียว Asuka Park Rail ให้บริการนั่งผ่านสวนตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.และมีจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นเมืองและมองรถไฟที่วิ่งไปมาได้ด้วย

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาที จากสถานีโอจิ (Oji Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/qBNPwKkhQXmy9z6K6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: เปิด 24 ชม. (มีการแสดงไฟตลอดช่วงที่ซากุระบาน ตั้งแต่เย็นจนถึง 21.00 น.)

เมืองโตเกียวสดใสมีชีวิตชีวาเมื่อถึงฤดูดอกซากุระบาน เตรียมชุดสวยๆ หยิบกล้อง และติดอาหารไปนั่งปิกนิกชมสวนชิลๆ Allianz Travel รวมจุดชมซากุระหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกเยี่ยมชมตามสไตล์ที่คุณชอบ บางคนชอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทีแผงขายอาหาร และคนนั่งปิกนิกมากมาย หรือบางคนก็ชอบเดินเล่นแบบเงียบสงบและผ่อนคลายใต้ต้นซากุระในโตเกียว และไม่ว่าคุณจะวางแผนไปที่ไหนสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส

13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส

นักเดินทางที่งบเที่ยวไม่มากนัก แต่อยากได้ฟีลแบบเที่ยวยุโรปคงต้องนึกถึงประเทศจอร์เจียเป็นอันดับแรก ประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่มีความสวยงามระดับโลกอย่างเทือกเขาคอเคซัส ตั้งอยู่ระหว่างจุดตัดระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่สำคัญคือคนไทยอย่างเราไปเที่ยวจอร์เจียกันได้แบบไม่ต้องขอวีซ่า แถมยังอยู่ได้นานถึง 1 ปี เรียกได้ว่าเที่ยวกันได้เกือบทั่วประเทศเลยล่ะ ที่เที่ยวจอร์เจีย แต่ละแห่งมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ คนที่รักการถ่ายรูปวิวธรรมชาติสุดอลังการทั้งหลายคงต้องร้องว้าวถ้าได้ไปที่จอร์เจีย เพราะไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด มีกลิ่นอายของความเป็นยุโรป มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ทำให้จอร์เจียเต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่าสนใจ ทำให้หลายคนต้องปักหมุดที่นี่ไว้เป็นจุดหมายในการเดินทาง

Allianz Travel ได้รวบรวม 13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ที่หลายคนบอกว่ามีความสวยงามเทียบเท่าสวิสเซอร์แลนด์ มีที่ไหนกันบ้าง ไปดูกันเลย

1. Telavi

Telavi เป็นเมืองศูนย์กลางในภูมิภาค Kakheti มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 2,000 ปี ตั้งอยู่ทางตะวันออกของจอร์เจีย ที่ระดับความสูง 490 เมตรเหนือระดับทะเล ท่ามกลางหุบเขา Alazani ที่แสนงดงาม และยังเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ที่สำคัญของจอร์เจียเนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบเหมาะแก่การปลูกองุ่น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

Telavi ยังมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ เริ่มจากการชื่นชมแนวป้องกันของ Dzveli Galavani ป้อมปราการในยุคของกษัตริย์ Kakhetian จากนั้นมุ่งหน้าไปยัง Batonis Tsikhe หนึ่งในพระราชวังยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีเพียงไม่กี่แห่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

นอกจากนี้ ไม่ควรพลาดการไปชมต้นมะเดื่ออายุ 900 ปีของเมือง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถขอพรได้ ถ้าหากมีเวลาเหลือ เราอาจออกจากเมืองไปยังอาราม Alaverdi ซึ่งเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Telavi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/KYQDe9KtXEu59Ncr5

2. Sighnaghi

Sighnaghi อยู่บนเนินเขาสูงกว่า 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล อาคารบ้านเรือนที่นี่จะดูเก่าแก่โบราณในสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และมีการปรับปรุงอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 17

ที่เที่ยวจอร์เจีย Sighnaghi

นอกจากนี้ วิวทิวทัศน์ต่างๆก็สวยงามจนแทบจะหาที่ติไม่ได้ ร้านค้าในเมืองนั่นยังคงสภาพสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งหลังคาบ้านแต่ละหลังของที่นี่ ก็พร้อมใจกันใช้สีแดงอิฐ ดูสวยงามโดดเด่นท่ามกลางหุบเขาที่ล้อมรอบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณสามารถเดินเล่นได้เพลินๆ

ที่เที่ยวจอร์เจีย Sighnaghi

มีคู่รักมากมายที่ตกหลุมรักเมืองนี้ และมาจัดงานแต่งงานกันที่นี่ ทำให้เมือง Sighnaghi มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The city of Love แห่งจอร์เจีย และอีกอย่างที่ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นก็เพราะว่าเมืองเเห่งนี้ ถือว่าเป็นเมืองที่ผลิตไวน์ชั้นยอดของโลก หรือเรียกว่าดี และมีคุณภาพมากที่สุดในประเทศจอร์เจียนั่นเอง

แผนที่ : https://goo.gl/maps/QymNPzTPe8tFDqfz8

3. Tusheti National Park

อุทยานแห่งชาติ Tusheti เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจียและเป็นภูมิภาคที่ยังไม่ถูกทำลายทางนิเวศวิทยามากที่สุดแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัส มีภูมิประเทศที่สวยงามและสัตว์คุ้มครอง เช่น แพะป่า เป็นสถานที่ที่ผู้รักธรรมชาติต้องไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมชมทิวทัศน์อันงดงาม ป้อมปราการเก่าแก่ การต้อนรับอย่างอบอุ่น และวัฒนธรรมพื้นบ้านที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park

ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างเช่น Dartlo หรือบ้านที่สร้างจากหินก่ออิฐโบราณ นอกจากนี้ชีส Tusheti ยังมีรสชาติไม่เหมือนที่ไหนและควรลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง อุทยานแห่งชาติ Tusheti  เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คุ้มค่าแก่การไปเยือน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park
ที่เที่ยวจอร์เจีย Tusheti National Park

แผนที่ : https://goo.gl/maps/dko6fuqMgx4wxRKf8

4. Uplistsikhe

เมืองถ้ำ Uplistsikhe ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขาของภูมิภาค Shida Kartli นักโบราณคดีระบุว่าเป็นหนึ่งในการตั้งถิ่นฐานในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Uplistsikhe

Uplistsikhe ตามภาษาจอร์เจียแปลว่า “ป้อมปราการของขุนนาง” ซึ่งเมืองถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนหินผา ใช้การก่อสร้างด้วยการขุดและเจาะจนเกิดเป็นถ้ำเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยขึ้นมา คาดว่าน่าจะก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปลายของยุคสำริด ก่อนคริสต์ศักราชถึง 1,000 ปี ซึ่งถูกใช้เป็นที่อาศัยของคนมาจนถึงศตวรรษที่ 13 โดยสถานที่แห่งนี้ถือเป็นใจกลางเมืองของคนในยุคโบราณที่มีความสำคัญทางด้านการปกครองและศาสนา เนื้อที่ของเมืองนี้ครอบคลุมไปถึง 40,000 ตารางเมตร และในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดก็มีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 20,000 คนเลยทีเดียว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Uplistsikhe

Uplistsikhe ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ดังนั้นจึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งในประเทศจอร์เจียที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดเด็ดขาด นอกจากความสวยงามของวิวธรรมชาติที่มองเห็นได้จากที่นี่แล้ว ยังได้ชมโบราณสถานที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศนี้อีกด้วย นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมในปัจจุบันสามารถสำรวจกลุ่มที่อยู่อาศัยในถ้ำ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมือง และค้นพบความสำคัญทางสถาปัตยกรรมของเมืองได้

แผนที่ : https://g.page/Chokoladobana?share

5. Gudauri

Gudauri ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,196 เมตร ห่างจากกรุง Tbilisi เมืองหลวงของจอร์เจียไปทางทิศเหนือราว 120 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นสกีรีสอร์ทที่สมบูรณ์แบบที่สุดบริเวณเทือกเขาคอเคซัส เพราะระดับความลาดชันมีความเหมาะสม มีลานสกีที่หลากหลายเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มาทุกระดับ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สงเสริมให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฤดูหนาวของจอร์เจียตั้งแต่เดือนธันวาคม-เดือนเมษายน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Gudauri

กิจกรรมอื่นๆ บริเวณรอบๆพื้นที่เล่นสกีก็จะมีกิจกรรม Paragliding โดดร่มผาดโผนลงจากเทือกเขาสำหรับคนชอบความตื้นเต้น อีกทั้งยังมีการขี่มอเตอร์ไซค์เล่นลงเขา นั่งกระเช้าชมวิว เป็นต้น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Gudauri

ดังนั้นผู้คนจึงใช้เวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากการเล่นสกีอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเพราะสามารถเที่ยวเล่นได้หลายอย่าง อีกทั้งยังมีโรงแรงบริการรองรับสำหรับคนที่ต้องการเล่นสกีหลายๆวันด้วย

แผนที่ : https://goo.gl/maps/rM4Wj9tiemYT3jds8

6. Jvari Monastery

วิหารจวารี (Jvari Monastery) โบสถ์แห่งไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 6 ตั้งอยู่ที่เมืองมิชเคทา (Mtskheta) เมืองหลวงเก่าของจอร์เจีย เป็นจุดตัดของแม่น้ำอักราวิและแม่น้ำมิกวาริ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1994

ที่เที่ยวจอร์เจีย Jvari

ภายในโบสถ์มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางโถง มีตำนานเล่าขานว่า “นักบุญนีโน” (Saint Nino) แห่งคัปปาโดเกีย ได้นำไม้กางเขนนี้เข้ามา พร้อมเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจอร์เจียเป็นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 4 เล่ากันว่าขณะที่นักบุญนีโนปักไม้กางเขนลงบนพื้นดิน ได้เกิดเหตุการณ์ปาฎิหาริย์ และทำให้กษัตริย์และชาวเมืองหันมานับถือคริสต์ศาสนาอย่างจริงจัง

ที่เที่ยวจอร์เจีย Jvari

แผนที่ : https://goo.gl/maps/8kqEzoh3oukx98d36

7. Stepantsminda

เมือง Stepantsminda หรือชื่อเก่าที่คุ้นเคยกันอย่าง Kazbegi คือเมืองทางตอนเหนือของจอร์เจีย ห่างจากกรุง Tbilisi ประมาณ 145 กิโลเมตร ตั้งชื่อตามสเตฟาน พระภิกษุออร์โธดอกซ์ชาวจอร์เจียที่สร้างอาศรมในภูมิภาคนี้ สเตฟานส์มินดาเป็นจุดแวะพักที่สวยงามแห่งหนึ่งในจอร์เจีย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda
ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

จุดเช้คอินที่ห้ามพลาดคือโบสถ์ Gergeti Holy Trinity หรือ Tsminda Sameba โบสถ์ชื่อดัง สัญลักษณ์สำคัญที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 บนความสูง 2,170 เมตร

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่าผ่านเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Kazbegi และการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา Kazbegi เป็นต้น

ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda
ที่เที่ยวจอร์เจีย Stepantsminda

แผนที่ : https://goo.gl/maps/ckqVT3U9dhc2qbHh8

8. Vardzia

Vardzia เป็นเมืองถ้ำและอารามโบราณที่มีชื่อเสียงทางตอนใต้ของจอร์เจีย สร้างขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งชาวจอร์เจียนมาสร้างที่พักอาศัยกันที่ภูเขาหิน โดยใช้วิธีการขุดเจาะเข้าไป เพื่อหลบซ่อนตัวจากการรุกรานของกองทัพมองโกล ที่นี่มีด้วยกันถึง 19 ชั้น 6,000 ห้อง มีทั้งส่วนที่พักอาศัย และสถานที่ประกอบศาสนพิธี เป็นที่หลบภัยของประชาชนจำนวนมากถึง 50,000 คน

ที่เที่ยวจอร์เจีย Vardzia

ปัจจุบันบางส่วนของ Vardzia ถูกทำลายลงไปเนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และแม้ว่าจะถูกละทิ้งหลังจากการยึดครองประเทศของออตโตมันในศตวรรษที่ 16 แต่ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์และรอการจารึกในอนาคตให้เป็นหนึ่งในรายการมรดกโลกของยูเนสโก

ที่เที่ยวจอร์เจีย Vardzia

แผนที่ : https://goo.gl/maps/cBnRevknYVTsJVbz6

9. Rabati Fortress

ป้อมปราการ Rabati เป็นสถานที่สำคัญตั้งอยู่ที่เมือง Akhaltsikhe หรือที่มีชื่อเดิมว่า Lomisa เมืองเล็กๆ ในแคว้น Samtskhe-javakheti ทางตอนใต้ของจอร์เจีย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 และได้รับการปรับปรุงใหม่ในปี 2554

ที่เที่ยวจอร์เจีย Rabati Fortress

ปราสาทด้านในประกอบด้วยอาคารหลายส่วน ซึ่งล้อมรอบด้วยแนวกำแพงหินที่ใช้เป็นป้อมปราการป้องกันข้าศึก อาณาเขตของปราสาทมีพื้นที่ถึง 7 เอเคอร์ ประกอบด้วยอาคารหลากหลายศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมกันมากมาย เช่น จอร์เจีย ออตโตมัน ยิว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Rabati Fortress

แผนที่ : https://goo.gl/maps/5pt1X1FGmXQNmtM49

10. Mestia

Mestia เป็นเมืองทางตอนเหนือของจอร์เจีย ตั้งอยู่บนเทือกเขาคอเคซัส ที่ระดับความสูง 1,500 เมตร มีลักษณะเป็นหมู่บ้านอยู่บริเวณเขา และทุกบ้านจะมีปล่องไฟขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

กิจกรรมที่มีให้ทำที่นี่ก็จะมีการขี่ม้าเที่ยวชมรอบหมู่บ้าน การปีนเขา และการเล่น Paragliding ที่จะทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติและหุบเขาคอเคซัสอันสวยงามแบบ 360 องศาเลยทีเดียว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia
ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

นอกจากนี้ ด้วยความที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นศูนย์กลางในการเที่ยวชมธรรมชาติในหุบเขาคอเคซัส จึงมีพิพิธภัณฑ์ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของบริเวณหุบเขาคอเคซัสที่มีชื่อว่า Svaneti Museum of History and Ethnography ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงสิ่งของที่ถูกค้นพบในยุคสมัยเก่า เช่น เครื่องครัว อาวุธ เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงรูปภาพและคัมภีร์ทางศาสนาต่าง ๆ อีกด้วย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Mestia

แผนที่ : https://goo.gl/maps/9NBmz6ouhcasBD26A

11. Zugdidi

Zugdidi อยู่ในจังหวัด Samegrelo อยู่ทางตะวันตกของกรุง Tsibili ประมาณ 316 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ชื่อ Zugdidi มาจากภาษา Mingrelian แปลว่าเนินเขาใหญ่ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์และแปลกตาและมีสถาปัตยกรรมที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเริ่มจากพระราชวัง Dadiani ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และเพลิดเพลินไปกับการสำรวจโครงสร้างและบริเวณรอบ ๆ ของสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่ 19

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

นอกจากนี้ยังมีสวนพฤกศาสตร์ Zugdidi โรงละคร ป้อมปราการ และ หากเดินทางออกไปนอกเมือง ก็จะกับพบความสวยงามของธรรมชาติ และผจญภัยใน Martvili Canyon

ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Zugdidi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/nWfgbrwyvDXFVcVX8

12. Ushguli

Ushguli เป็นเขตชุมชนเล็กๆ อยู่ริมแม่น้ำ Patara Enguri ในภูมิภาค Upper Svaneti ในหุบเขา Enguri บนแนวเทือกเขาคอเคซัส ทางตอนเหนือของประเทศจอร์เจีย สูงจากเชิงเขา Shkhara ราว ๆ 2,100 เมตร มีประชากร 200 คน ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

Ushguli ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในชื่อ Upper Svaneti เมื่อปี 1996 จึงกลายเป็นชุมชนมรดกโลกที่สูงที่สุดในยุโรปไปโดยปริยาย

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

นอกจากบ้านเรือนที่มีลักษณะเก่าแก่โบราณน่าเที่ยวชมแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังอยู่ในจุดที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์เจีย เพราะขนาบข้างไปด้วยแนวเทือกเขาสูงใหญ่ ในฤดูร้อนจะเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีมีดอกไม้เล็ก ๆ แทรกแซมอยู่ ฤดูหนาวก็จะเต็มไปด้วยหิมะ งดงามราวกับดินแดนในเทพนิยาย  สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน ณ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นจำนวนมาก

ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli
ที่เที่ยวจอร์เจีย Ushguli

แผนที่ : https://goo.gl/maps/fsTXBhjqPKjJWAUg8

13. Batumi

เมืองชายฝั่ง Batumi หนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย ได้รับความนิยมในฐานะลาสเวกัสแห่งทะเลดำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi

สถานบันเทิงยามค่ำคืนในฤดูร้อนที่พลุกพล่าน แสงนีออน สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และเทศกาลทางวัฒนธรรมทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยม และนักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาสนุกสนานและเต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆ ได้ที่นี่

ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi
ที่เที่ยวจอร์เจีย Batumi

แผนที่ : https://goo.gl/maps/C41H6bT7UFRW1rNc8

จอร์เจีย ประเทศเล็กๆ ที่สามารถได้ใจนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางไปสัมผัสธรรมชาติอันงดงาม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันงดงาม ทำให้ใครหลายๆ คนหลงรักประเทศนี้ จากลิสต์สถานที่เที่ยวในจอร์เจียที่ Allianz Travel นำมาฝากเพื่อนๆ คงทำให้หลายๆ คนเพิ่มจอร์เจียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่อยู่ในลิสต์ของประเทศที่อยากไปกัน และตอนนี้จอร์เจียก็เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้แล้ว เริ่มกดวันลาหรือมองหาวันหยุด เตรียมตัวแพ็คกระเป๋า แล้ววางแผนการเดินทางเพื่อไปสัมผัสกับธรรมชาติสุดสวยที่จอร์เจียกันได้เลย แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้วแต่ยังไงเราก็ควรอัพเดทข่าวสารและมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศจอร์เจียกันด้วยนะคะ วางแผนการเดินทางและเตรียมความพร้อมให้ดี สิ่งสำคัญที่เราควรมีทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศคือ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel  ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัด ช่วยให้แผนการเดินทางของเราไม่สะดุด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Must-Visit Attractions in Georgia

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel