เรียนต่อประเทศอังกฤษ

เรียนต่อประเทศอังกฤษ ต้องเตรียมตัวอย่างไร

คนที่เรียนจบจากประเทศไทยและกำลังวางแผนไปเรียนต่อต่างประเทศต้องมีประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มาแรงติดอยู่ในอันดับท๊อป  5 ของใครหลายคน เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมายหลายแห่ง และประเทศก็สวยงาม หลายๆ คนเลยเลยตัดสินใจเลือก เรียนต่อประเทศอังกฤษ

United Kingdom - UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศจะต้องมีการเตรียมตัวที่มากกว่าการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ นอกจากเรื่องการสมัครเรียนและจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวกับการศึกษาแล้ว เรายังต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับการไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่น ความแตกต่างทางด้านภาษา วัฒนธรรม อาหาร อากาศ เวลา ระบบการศึกษา กฎหมายและกฎของนักเรียนต่างชาติที่พักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ วันนี้ Allianz Travel รวบรวมสิ่งที่ต้องทำและเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับการไปเรียนต่อประเทศยอดนิยมอย่างประเทศอังกฤษมาแชร์ค่ะ ไปดูกันเลยมีหัวข้ออะไรบ้าง

1. ค้นหาหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่สนใจ

เริ่มแรกเลย เราอาจต้องดูจากสาขาวิชาที่เราสนใจก่อน เมืองที่ต้องการอยู่ หรือมหาวิทยาลัยที่สนใจ เพื่อสมัครเรียน และหาข้อมูลของข้อกำหนดในการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรนั้นๆ ซึ่งอาจมีบางข้อที่แตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัย ดังนั้นเราจึงควรหาข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ได้มหาวิทยาลัยที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

Cambridge University

2. เอกสารที่ใช้ในกาสมัครเรียน

หลังจากเลือกมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษได้แล้ว เราก็ต้องเตรียมเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่เราเลือก โดยเอกสารสำคัญขั้นต้นที่ควรรวบรวมไว้มีดังต่อไปนี้

  • ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
  • ใบรับรองหรือประกาศนียบัตรที่แสดงการจบหลักสูตรจากสถาบันการศึกษา (Graduation Certificate)
  • ผลสอบ IELTS ที่มีคะแนนตามความต้องการของมหาวิทยาลัย
  • หนังสือรับรอง หรือจดหมายแนะนำจากอาจารย์หรือที่ทำงานอย่างน้อย 2 ฉบับ (Letters of Recommendation)
  • จดหมายแนะนำตัว เขียนเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการเข้าศึกษา สิ่งที่หวังว่าจะได้รับหลังจบหลักสูตร และเหตุผลการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย (Statement of Purpose)
  • เอกสารที่ผ่านการอบรม หรือฝึกงานอื่นๆ เพื่อช่วยประกอบในการพิจารณา
  • รูปถ่ายหน้าตรง สวมชุดสุภาพ ขนาด 1 นิ้ว หรือ 1 นิ้วครึ่ง (ขึ้นอยู่กับสถาบันที่สมัคร)
  • สำเนาหนังสือเดินทาง
  • ใบสมัครที่ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง
  • หนังสือรับรองการทำงาน สำหรับบางคณะที่ต้องมีประสบการณ์การทำงานด้วย
Document Preparation

3. ช่วงเวลาที่ต้องทำการสมัครเรียน

สำหรับการ เรียนต่อประเทศอังกฤษ ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยที่อังกฤษจะมีการเปิดเรียน 2 ช่วงในแต่ละปี ส่วนใหญ่เปิดช่วงเดือนกันยายน และบางหลักสูตร (ตัวเลือกไม่มาก) จะไปเปิดช่วงมกราคม การสมัครเรียนต้องเริ่มสมัคร 1 ปีล่วงหน้าก่อนปีที่เราจะไปเรียนค่ะ เช่น ถ้าเราสนใจจะเรียนหลักสูตรที่เปิดเทอมเดือนกันยายนปี 2022 เราก็ต้องเริ่มสมัครตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 เลย

ทั้งนี้เราจะต้องอ่านรายละเอียดของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วย เพราะแต่ละหลักสูตรจะมีวันที่ปิดรับสมัครไม่เหมือนกัน บางหลักสูตรอาจปิดรับสมัครปลายเดือนมิถุนายน แต่บางหลักสูตรก็ให้เวลาไปถึงเดือนสิงหาคม สำหรับนักเรียนไทยควรสมัครไปอย่างช้าที่สุดไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่จะเริ่มเรียน เพราะหากล่าช่าไป เราก็อาจจะเตรียมเอกสารและเตรียมตัวไม่ทันได้

ถ้าเป็นปริญญาตรี เราต้องศึกษากำหนดการของ UCAS (Universities and Colleges Admissions Service) ซึ่งเป็นกระบวนการสมัครเรียนหลักสูตรระดับปริญญาตรีในอังกฤษผ่านระบบส่วนกลางให้ดีเสียก่อน โดยกำหนดการเปิดรับสมัครจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ช่วงเวลาดังนี้

  • เดือนตุลาคม – สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครเรียนใน University of Oxford และ University of Cambridge หรือหลักสูตรทางการแพทย์ สัตวแพทย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ และทันตแพทย์
  • 15 มกราคม – วันสุดท้ายของการรับใบสมัครเรียนปริญญาตรีของหลักสูตรอื่นๆ
  • เดือนมีนาคม – วันสุดท้ายของการสมัครเรียนหลักสูตรด้านศิลปะและการออกแบบ
  • 30 มิถุนายน – ใบสมัครที่มาในช่วงนี้จะเรียกว่ากลุ่ม clearing ซึ่งผู้สมัครอาจไม่ได้มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้ในอันดับต้นๆ
Time to apply

4. ค่าใช้จ่ายสำหรับ เรียนต่อประเทศอังกฤษ

โดยทั่วไปค่าเทอม ค่าที่พัก และค่าใช่จ่ายต่างๆ ในการไปเรียนต่อที่อังกฤษจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าเล่าเรียน ประมาณ 10,000-20,000 ปอนด์ต่อปี (400,000 – 800,000 บาท) ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายส่วนตัวจะใช้ค่าเฉลี่ยจากทางสถานทูตในการคำนวนคือ 1,265 ปอนด์ (ประมาณ 50,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่ในลอนดอน และ 1,015 ปอนด์ (ประมาณ 40,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่นอกลอนดอน นอกจากค่าเทอม และค่าดำรงชีพแล้ว หากเราเดินทางไปเรียนที่ประเทศอังกฤษระยะเวลาเกิน 6 เดือน ผู้เดินทางไปเรียนจะต้องเสียค่าบริการที่เรียกว่า Immigration Health Surcharge สำหรับการเข้าสู่ระบบดูแลสุขภาพ NHS หรือ National Health Service ของประเทศอังกฤษ ซึ่งคล้ายๆ ประกันสังคมของบ้านเรา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 470 ปอนด์ หรือประมาณ 20,200 บาท ต่อปี

Budget for study in UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าเราจะจ่ายค่า Immigration Health Surcharge เพื่อเข้าสู่ระบบ NHS แล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้ารักษาพยาบาลอย่างเช่น NSH จะไม่ครอบคลุมค่ายาที่จะต้องจ่ายเพิ่มเองประมาณ 6.85 ปอนด์ (ประมาณ 300 บาท) ต่อชนิดของยาต่อครั้ง และไม่ครอบคลุมกรณีต้องขอใบรับรองแพทย์ด้วย

ดังนั้นการทำประกันภัยการเดินทางเพิ่มเติมเพื่อให้คุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปเรียนทั้งหมดไม่ว่าค่ารักษาพยาบาล ค่าเคลื่อนย้ายกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือความคุ้มครองอื่นๆ ซึ่งประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ “Overseas Student Care” จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนต่อที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : gov.uk , efluk.net , siuk-thailand.com, tonyeducation.com , wegoabroad.com


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

7 มหาวิทยาลัยยอดนิยมในอังกฤษ ที่ใครก็อยากไปศึกษาต่อ

มหาวิทยาลัยในอังกฤษถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกต้น ๆ สำหรับนักศึกษาที่อยากศึกษาต่อต่างประเทศ เนื่องด้วยความมีชื่อเสียงทางด้านวิชาการ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมเก่าแก่ รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มีให้อย่างครบครัน ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยในอังกฤษมีมากกว่า 100 แห่ง ทั้งของรัฐบาลและเอกชน บทความนี้ Allianz Travel จึงขอพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ 7 มหาวิทยาลัยยอดนิยมในอังกฤษ ที่หลายคนสนใจอยากสมัครไปศึกษาต่อ จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

1.UNIVERSITY OF OXFORD

ปีก่อตั้ง : 1096

สาขาที่มีชื่อเสียง : แพทยศาสตร์, นิติศาสตร์, วรรณกรรม, ปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดนับเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มก่อตั้งและทำการสอนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1096 มหาวิทยาออกซ์ฟอร์ดมีวิทยาลัยย่อยถึง 44 วิทยาลัย เปิดสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอก รวมกันประมาณ 24,000 คน และในแต่ละปี มีผู้สมัครสอบระดับปริญญาตรีราว 21,500 คน ขณะที่จำนวนรับเพียง 3,330 คนเท่านั้น

ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดมีห้องสมุดให้นักศึกษาเข้ามาใช้งานมากกว่า 100 ห้องสมุด และห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดของมหาวิทยาลัย ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1602 ภายในมหาวิทยาลัย ยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ซึ่งจัดแสดงกระดานดำที่ใช้โดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ปัจจุบัน ผู้นำโลกมากกว่า 30 คน นายกรัฐมนตรีอังกฤษมากกว่า 27 คน และผู้ได้รับรางวัลโนเบลอีก 50 คน เคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผลงานทางวิชาการ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กลายเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลก และอันดับหนึ่งของเกาะอังกฤษ ซึ่งนักศึกษาจากนานาประเทศต่างก็อยากมาเรียนที่นี่กันค่ะ

2.CAMBRIDGE UNIVERSITY

ก่อตั้งปี : 1209

สาขาที่มีชื่อเสียง : คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์, วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, นิติศาสตร์, มานุษยวิทยา, ประวัติศาสตร์

เช่นเดียวกับออกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ถือเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเคมบริดจ์ก่อตั้งและเปิดสอนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1209 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีนักเรียนกว่า 23,000 คน มีวิทยาลัยถึง 31 วิทยาลัย และมีภาควิชาที่เปิดสอนมากกว่า 100 ภาควิชา

มหาวิทยาเคมบริดจ์มีชื่อเสียงในระดับโลกด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และฟิสิกส์ มีศิษย์เก่า ที่มีชื่อเสียงด้านนี้มากมาย อาทิ Stephen Hawking และ Charles Darwin ในภาพรวม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีศิษย์เก่า คณะอาจารย์ หรือผู้ทำวิจัยได้รับรางวัลโนเบลถึง 117 คน

3.KING’S COLLEGE LONDON

ปีที่ก่อตั้ง : 1829

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : แพทยศาสตร์, พยาบาลศาสตร์, วิทยาศาสตร์

มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1829 โดยพระเจ้าจอร์จที่ 4 และดยุคแห่งเวลลิงตัน ปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 32,895 คน แบ่งเป็นระดับปริญาตรี 19,200 คน และระดับอื่น ๆ อีก 13,690 คน คิงส์คอลเลจ ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างมากด้านแพทยศาสตร์ ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนกลับไปถึงปีค.ศ. 1561 ที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 12 คน ล้วนได้รับจากสาขาที่เกี่ยวข้องกับแพทยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ อาทิ รางวัลโนเบลจากการวิจัยโครงสร้าง DNA, สเต็มเซลล์ และไวรัสตับอักเสบซี เป็นต้น

4.LONDON SCHOOL OF ECONOMICS

ปีที่ก่อตั้ง : 1895

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : รัฐศาสตร์, สังคมศาสตร์, เศรษฐศาสตร์

สำหรับใครที่อยากศึกษาต่อด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ในประเทศอังกฤษ London School of Economics (LSE) ถือเป็นสถาบันอันดับต้น ๆ ที่อยู่ในใจของหลายคน LSE ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1895 ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 10,000 คน และประมาณร้อยละ 70 เป็นนักเรียนต่างชาติ ซึ่งนับว่ามีอัตราส่วนที่สูงสำหรับมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ

ในส่วนผลงานทางวิชาการ ร้อยละ 26 ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ล้วนเป็นศิษย์เก่า ผู้ทำวิจัย หรือคณะอาจารย์ที่ LSE ซึ่งมีจำนวนสูงมาก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยระดับโลกอื่น ๆ

5.IMPERIAL COLLEGE LONDON

ปีที่ก่อตั้ง : 1907

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, แพทยศาสตร์, บริหารธุรกิจ

มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโลก มหาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อปี 1907 ปัจจุบันมีนักเรียนเข้าศึกษาราว 18,000 คน โดยมากกว่าร้อยละ 59 เป็นนักศึกษาต่างชาติ กว่า 140 ประเทศ

ในปี 2020 มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับ 9 ของมหาวิทยาลัยโลกที่มีชื่อเสียง นับตั้งแต่ก่อตั้งมา มีผู้ได้รับรางวัลโนเบล 14 คน

6.UNIVERSITY COLLEGE OF LONDON

ปีที่ก่อตั้ง : 1826

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : แพทยศาสตร์, นิติศาสตร์, เศรษฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยคอลเลจออฟลอนดอน นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่อันดับสามของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1826 และนับว่าเป็นมหาวิทยาลัยแรกของประเทศ ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงสามารถเข้าเรียนได้ ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมีนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ราว 40,000 คน และกว่าร้อยละ 40 เป็นนักศึกษาต่างชาติ

ด้านผลงานทางวิชาการ มหาวิทยาลัยคอลเลจออฟลอนดอน มีผู้ได้รับรางวัลโนเบลถึง 33 คน ซึ่งเป็นศิษย์เก่า คณะอาจารย์และผู้ทำวิจัย ในปี 2020 มหาวิทยาลัยได้รับการคัดเลือกอันดับ 10 ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก

7.UNIVERSITY OF EDINBURGH

ปีที่ก่อตั้ง : 1582

สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง : วิทยาศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์, แพทยศาสตร์

มหาวิทยาลัยเอดินบะระ เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในสกอตแลนด์ ก่อตั้งเมื่อปี 1582 และถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของสกอตแลนด์ ปัจจุบันมีนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ ราว 36,000 คน โดยประมาณร้อยละ 25 เป็นนักเรียนชาวต่างชาติ

มหาวิทยาลัยเอดินบะระ มีทั้งหมด 22 คณะด้วยกัน สาขาวิชาที่มีชื่อเสียงอาทิ แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะด้านแพทยศาสตร์ เพราะที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบยาชาและเพนิซิลลิน สำหรับใครที่เบื่ออยู่ในลอนดอนแล้ว เอดินบะระก็นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ

การศึกษาต่อต่างประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญต่ออนาคต ดังนั้นจึงควรคิดให้รอบคอบ ไม่เพียงแต่พิจารณาจากความนิยมของมหาวิทยาลัย ยังต้องมองไปถึงสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก และปัจจัยอื่น ๆ ทั้ง 7 มหาวิทยาลัยที่เราแนะนำวันนี้ หวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้ผู้อ่านได้ลองพิจารณาว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เหมาะกับตัวเองหรือเปล่า

และสำหรับใครที่สมัครเรียนและได้รับการคัดเลือกแล้ว หลาย ๆ มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจะแนะนำหรือบังคับให้เราทำประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศไปด้วย สาเหตุที่ต้องทำก็เพราะว่าเมื่อเจ็บป่วย และเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว ค่ารักษาพยาบาลแพงเอาเรื่องเลยค่ะ แผนประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care ของ Allianz Travel ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยคุ้มครองครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ที่ทำให้เรามั่นใจ ไร้กังวล มีความสุขกับการเรียนได้อย่างเต็มที่แล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Top Universities in the UK 2020, QS Top Universities
Best universities in the UK 2020, Times Higher Education

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

[UK] เปรียบเทียบประกันสวัสดิการสุขภาพรัฐสำหรับนักเรียนนักศึกษา VS ประกันภัยการเดินทาง

เทียบกันเห็นๆ ระหว่างสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับนักเรียนของรัฐบาลอังกฤษกับประกันภัยการเดินทาง OVERSEAS STUDENT CARE

ประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักเรียนไทยที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ในระหว่างการศึกษา อาจมีการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ถึงแม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะมีสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับนักเรียน แต่มันยังไม่ครอบคลุมทุกความต้องการของนักเรียนต่างชาติที่ไปศึกษาต่อ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะไม่รวมถึงค่ายา โรงพยาบาลที่เข้าได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐเท่านั้น รอคิวนาน

1. ค่ารักษาพยาบาล

2. ค่าชดเชย

3.สิทธิประโยชน์อื่นๆเพิ่มเติม

อุ่นใจเมื่อไปศึกษาต่ออังกฤษ เพียงคุณมีประกันภัยการเดินทางนักเรียน OVERSEAS STUDENT CARE ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเรียน ไม่ว่าจะเป็น ความคุ้มครองทั้งอุบัติเหตุและเจ็บป่วย เข้าโรงพยาบาลได้ทั้งของรัฐและเอกชน ชดเชยค่าเล่าเรียนระหว่างเจ็บป่วย และอื่นๆ อีกมากมาย เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 4,789 บาท

รายละเอียดเปรียบเทียบสวัสดิการด้านสุขภาพของรัฐและประกันภัยการเดินทางนักเรียน OVERSEAS STUDENT CARE
ALLIANZ TRAVEL “เดินทางอุ่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวลตลอด 24 ชั่วโมง ทั่วโลก”สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร: 02 305 8512 (จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.30น.)
EMERGENCY ASSISTANCE: 0-2342-3237 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
WWW.ALLIANZTRAVELTHAILAND.COM
#OVERSEASSTUDENTCARE #ALLIANZTRAVELTHAILAND
== ติดตาม FACEBOOK FAN PAGE ของ ALLIANZ TRAVEL THAILAND ได้ที่นี่ ==

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา