6 วิธีเตรียมตัวก่อนไป ROAD TRIP ที่ต่างประเทศให้แฮปปี้ไม่มีพลาด!

หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินทาง การท่องเที่ยว ไม่ว่าจะแบ็คแพ็คไปเป็นคู่ ไปหมู่หรือจะไปเดี่ยว การได้ไปในสถานที่ใหม่ๆ คงทำให้คุณตื่นเต้นได้ไม่น้อย อีกหนึ่งสไตล์การท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและฮอตฮิตมาแต่ไหนแต่ไรก็คงหนีไม่พ้น การท่องเที่ยวแบบ Road Trip หรือการขับรถออกเดินทางไปเยือนสถานที่ใหม่ๆ แถมยังได้ชมวิวสองข้างทาง เปิดเพลงเพราะๆ ฟัง เปิดกระจกรับลม แค่คิดแค่นี้ก็ฟินแล้ว แถมยังสะดวก ไม่ต้องต่อรถ โบกเหมือนการเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค เพราะแค่คุณมีรถกับคนรู้ใจก็สามารถไปถึงไหนต่อไหนได้ง่ายนิดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วย Road Trip ในต่างประเทศ คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศดีๆ ที่ไม่เคยมีใครมารีวิว ที่สำคัญตอนนี้ตั๋วเครื่องบินก็ถูก ค่าเช่ารถก็ไม่แพงแถมยังมีให้เลือกมากมาย ถ้าคุณวางแผนไปก่อน รับรองว่ายังไงก็สนุกแถมกระเป๋าไม่ฉีกอีกด้วย วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับ วิธีการเตรียมตัวก่อนไปสนุกกับ Road Trip ในต่างประเทศมาฝากกัน ลองไปดูเลย!

1. MAKE A PLAN

ก่อนอื่นก่อนใด คุณควรจะมานั่งจับเข่าคุยกับเพื่อนร่วมทริปของคุณว่า คุณจะไป Road Trip ที่ไหน ประเทศอะไร กฎหมายในการขับรถเขาเป็นอย่างไร ต้องหาข้อมูลต่างๆ วางแผนล่วงหน้า จองตั๋วเครื่องบินไว้ให้พร้อม อย่าไปตายเอาดาบหน้า เชื่อเรา! โดยประเทศส่วนใหญ่ที่คนนิยมไป Road Trip ง่ายๆ ก่อน อาจจะเป็นในอเมริกาจากรัฐเนวาด้า ลาสเวกัสไปซานฟรานซิสโก หรือจากซานฟรานซิสโกไปซานดิเอโก คุณก็สามารถเลือกวางแผนเส้นทาง Road Trip ของคุณก่อนได้ ดูว่าในระหว่างเส้นทาง จะแวะนอนที่ไหน มีอะไรเที่ยวบ้าง ใช้เวลาคร่าวๆ กี่วัน ต้องลงเครื่องที่ไหน กลับที่ไหน สิ่งเหล่านี้จำเป็นมากๆ ในการเดินทางแบบ Road Trip ของคุณ

2. GO GET IDP

เมื่อคุณวางแผนให้ Road Trip สุดเจ๋งของคุณแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยคือการทำใบขับขี่สากลหรือ International Driving Permit แต่ไม่ห่วงเพราะวิธีการขอใบขับขี่สากลนั้นง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณมีใบขับขี่ของประเทศไทย เตรียมเอกสารสำคัญไว้ให้พร้อม โดยสามารถเช็คข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก หรือโทรไปสอบถามข้อมูลได้ที่เบอร์ 1584 เพียงเท่านี้คุณก็มีใบขับขี่สากลเอาไว้ให้ไปโลดแล่นใน Road Trip นี้ของคุณแล้วล่ะ

3. PICK THE RIGHT CAR

เมื่อคุณจัดแจงด้านเอกสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงการเลือกรถ แม้ว่าคุณยังนั่งอยู่ที่บ้านก็สามารถวางแผนหรือหาอ่านรีวิวของบริษัทให้เช่ารถต่างๆ ในประเทศที่คุณกำลังจะไป ดูว่าเขามีรายละเอียดการใช้เช่าอย่างไร ราคาเท่าไหร่ เช่าที่เมืองหนึ่งและคืนอีกเมืองหนึ่งได้ไหม คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนไปมา การหาข้อมูลของบริษัทเช่ารถก่อนดีกว่าการไปหาเอาข้างหน้า เพราะคุณจะได้มีเวลาเปรียบเทียบและจะได้สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า นอกจากนี้ควรเลือกรถยนต์ที่ไม่หรูหรามากจะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาของมิจฉาชีพ เลือกรถที่มีสมรรถภาพดี หรือหากใครอยากประหยัดโรงแรมก็ลองเลือกเป็นรถบ้านไปเลยก็ได้ ยิ่งถ้าไปเป็นหมู่คณะจะทำให้คุณสนุกมากยิ่งขึ้นด้วยการตั้งแคมป์ในสถานที่ต่างๆ แต่ก็อย่าลืมหาข้อมูลความปลอดภัยในสถานที่นั้นๆ ด้วยล่ะ

4. DON’T FORGET THE MAP

หนึ่งในสิ่งสำคัญเลยในการเดินทางไป Road Trip ก็คือเส้นทาง เราเชื่อว่าคุณอาจจะยังไม่คุ้นชินกับเส้นทางใหม่ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องเตรียมไปด้วยเลยคือแผนที่และ GPS ยิ่งในตอนนี้สมาร์ทโฟนก็มีแอพพลิเคชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง คุณจะดาวน์โหลดติดไว้หรือซื้อ GPS ไปเลยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้หากคุณไม่มั่นใจ ก็ลองหมั่นหาอ่านรีวิวเส้นทาง Road Trip ที่คุณจะไปไว้ จะได้ไม่ต้องตกใจเมื่อไปถึง ที่สำคัญหากคุณหลงทางจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัว งัดวิทยายุทธ์ภาษาอังกฤษและสอบถามคนแปลกหน้าดูบ้าง เผื่อจะได้มิตรภาพใหม่ๆ ขณะเดินทาง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้ดีและอย่าประมาท มองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลา อย่ามัวแต่ดูวิวเพลินล่ะ

5. ORGANIZE YOUR BAG

แล้วก็มาเริ่มต้นจัดกระเป๋าไป Road Trip คุณควรศึกษาสภาพอากาศของประเทศที่กำลังจะไป จะได้จัดกระเป๋าได้ถูก หากคุณเดินทางติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อผ้าไปพอดีหรอก ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องยกทั้งตู้เสื้อผ้าไปเลยก็ได้ คุณอาจจะเตรียมเสื้อผ้าไปให้พอดีหนึ่งอาทิตย์ แล้วหลังจากนั้นก็หาที่ซักเอาข้างหน้าหรือตามโรงแรมต่างๆ ก็จะมีบริการซักรีดให้คุณอยู่แล้ว นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือยาสามัญ ยาประจำตัว เพราะในต่างประเทศ คุณไม่สามารถซื้อยาได้หากไม่มีใบรับรองแพทย์ และที่สำคัญ อย่าลืมเตรียมเสบียงติดรถเอาไว้ตลอดเวลาอย่าได้ขาด ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ขนม อาหารที่กินได้ง่ายๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนไหนคุณจะเจอร้านอาหาร แบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องหิวระหว่างทางแล้วล่ะ

6. MAKE YOUR TRIP SMARTER

ก่อนที่ความสนุกจะมาเยือน อีกหนึ่งสิ่งที่คุณควรต้องเตรียมตัวให้ดีก่อนที่จะเริ่มต้น Road Trip เลยคือประกันการเดินทาง คุณอาจคิดว่ามันไม่สำคัญแต่ความจริงคือเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต เตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมอุ่นใจกว่าเยอะ ลองดูประกันภัยการเดินทางจาก Allianz Global Assistance นอกจากนี้คุณยังต้องเตรียมเบอร์โทรศัพท์ ฉุกเฉินเผื่อมีปัญหาระหว่างทาง ทั้งเบอร์ติดต่อประกัน เบอร์สถานีตำรวจในพื้นที่นั้นๆ ไปจนถึงเบอร์โทรศัพท์โรงแรม ร้านเช่ารถยนต์ และที่สำคัญเวลาคุณลงจากรถควรติดเอกสารสำคัญไว้กับตัว อย่าทิ้งไว้บนรถเป็นอันขาด เพียงเท่านี้ Road Trip ของคุณก็จะง่าย สบายใจ หายห่วงแล้วล่ะ!

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

[INFOGRAPHIC] ปลั๊กไฟ – ประเทศไหนใช้อะไรดี

คุณรู้หรือไม่ว่าในแต่ละประเทศที่อยู่ในแต่ละทวีปนั้นใช้เต้ารับหัวปลั๊กที่แตกต่างกัน? รวมถึงมีกำลังไฟสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนที่เราจะเดินทางไปยังประเทศปลายทางควรศึกษาเสียก่อนว่าประเทศนั้นใช้หัวปลั๊กแบบไหนกำลังไฟเท่าไหร่เพื่อเตรียมตัวแปลงและเต้ารับที่เหมาะสมติดกระเป๋าเดินทางไปด้วย

ปลั๊กไฟ ประเทศไหน ใช้รูปแบบไหน

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกทริป..อย่าลืมหยิบหัว ปลั๊กไฟ ประเทศปลายทางใส่กระเป๋า

หลายคนอาจมองว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมติดตัวไปก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปหาซื้อที่ประเทศนั้น ๆ เลย แต่เมื่อถึงเวลาเดินทางจริง ๆ คุณอาจยุ่งหรือไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถหาซื้อได้และมันมักเกิดขึ้นในเวลาที่คุณต้องการมันจริง ๆ เช่น ในเวลาที่คุณต้องการใช้โทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวของคุณผ่านแอพพลิเคชั่น การใช้สายสนทนาแบบโรมมิ่งหรืออาจต้องการใช้โทรศัพท์ในการถ่ายรูป ถ้าคุณนำกล้องไปด้วยก็ต้องใช้ไฟในการชาร์จแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูปรวมไปถึงการชาร์จไฟเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาหากนำไปด้วย เป็นต้น

โชคดีที่มีเว็บที่รวบรวมข้อมูลกำลังไฟและชนิดของปลั๊กที่ใช้งานในแต่ละประเทศเอาไว้ ซึ่งสามารถเปิดดูได้ที่นี่ (http://www.iec.ch/worldplugs/list_bylocation.htm) และสำหรับประเทศที่คนไทยนิยมไปท่องเที่ยวอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน ใต้หวัน โซนยุโรป โซนอเมริกา มีข้อมูลดังนี้

  • ไทย กำลังไฟ 220V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B/C/F
  • ญี่ปุ่น กำลังไฟ 100V 50Hz/60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B
  • เกาหลีใต้ กำลังไฟ 110V/220V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type C/F
  • สิงคโปร์ กำลังไฟ 230V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type C/G/M
  • จีน กำลังไฟ 220 V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type A/C/I
  • ฮ่องกง 220V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type G/D
  • อีนเดีย 230V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type C/D/M
  • ไต้หวัน กำลังไฟ 110V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B
  • ทวีปยุโรป หลายประเทศ เช่น รัสเซีย นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ออสเตรีย กำลังไฟ 230V 50 Hz ส่วนใหญ่ใช้ปลั๊ก Type C ร่วมกับ F และ เดนมาร์ก C/F/E/K ส่วนType G เฉพาะประเทศอังกฤษ Type C และ J เฉพาะสวิตเซอร์แลนด์ Type C และE เฉพาะ ฝรั่งเศส เช็ก และเบลเยี่ยม
  • ทวีปอเมริกา  กำลังไฟ กำลังไฟ 120V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B สำหรับ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา และกำลังไฟ 120V 60Hz สำหรับบราซิล (เป็นประเทศที่ยังมีไฟฟ้าระบบ 2 แรงดันควรตรวจสอบกำลังไฟก่อนใช้งานเพื่อป้องกันเครื่องใช้ฟฟ้าเสียหาย) บราซิลใช้ปลั๊ก Type C และ N เม็กซิโก กำลังไฟ 127V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B สุดท้าย กำลังไฟ 220V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type C/I สำหรับอาร์เจนตินา
  • ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 230V 50 Hz ใช้ปลั๊ก Type I

ทำความรู้จักกับรูปร่างหน้าตาของ ปลั๊ก TYPE ต่างๆ

ปลั๊กไฟ TYPE A

ปลั๊กไฟ TYPE A
Type A – http://www.iec.ch/worldplugs/typeA.htm

ใช้งานในประเทศ ไทย ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และบางประเทศในโซนอเมริกาอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา เป็นต้น ปลั๊ก Type A นี้คุ้นตาคนไทยเป็นอย่างดีเพราะเป็นปลั๊กที่เราใช้งานกันเป็นประจำ เป็นปลั๊กแบบมีขั้วแบนขนาดเท่ากัน 2 ขั้วสำหรับเสียบที่เต้ารับทั่วไปนั่นเอง

ปลั๊กไฟ TYPE B

 ปลั๊กไฟ TYPE B
Type B – http://www.iec.ch/worldplugs/typeB.htm

ใช้ในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และบางประเทศในโซนอเมริกาอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา เป็นต้น ที่จริงเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นที่ใช้เราใช้งานกันอยู่ในไทยก็ใช้ปลั๊กแบบนี้ คือมีลักษณะเป็นขั้วแบน 2 ขั้วและขั้วกลม 1 ขั้วซึ่งเป็นขากราวด์ต่อสายดินให้แก่เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

ปลั๊กไฟ TYPE C

ปลั๊กไฟ TYPE C
Type C – http://www.iec.ch/worldplugs/typeC.htm

เป็นหัวปลั๊กมาตราฐานสากลที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งใช้กันเกือบทุกประเทศในทวีปยุโรปและในอาร์เจนตินา ปลั๊กมีลักษณะเป็นหัวกลม 2 ขั้ว สังเกตุกันดี ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยก็ยังใช้ปลั๊ก Type C กันอยู่บ้างเพราะเต้ารับในบ้านเรารองรับเจ้าปลั๊ก Type C นี้ด้วย

ปลั๊กไฟ TYPE D

ปลั๊กไฟ TYPE D
Type D – http://www.iec.ch/worldplugs/typeD.htm

เป็นปลั๊กที่มีขั้วกลม  ขั้วและขั้วกลมใหญ่ซึ่งเป็นขากราวด์อีก 1 ขา ถูกใช้ในประเทศอินเดีย บังกลาเทศ ศรีลังกา เนปาล ตัวปลั๊กมีความคล้ายคลึงกับปลั๊ก Type M และสามารถใช้งานร่วมกับเต้ารับของปลั๊ก Type M ได้

ปลั๊กไฟ TYPE E

ปลั๊กไฟ TYPE E
Type E – http://www.iec.ch/worldplugs/typeE.htm

ใช้ในทวีปยุโรปบางประเทศเช่น ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม หัวปลั๊กมีขั้วกลม 2 ขั้วและคลิปสำหรับกราวด์ 1 ด้าน ส่วนใหญ่สามารถใช้งานเสียบร่วมกับเต้ารับของปลั๊ก Type F ได้

ปลั๊กไฟ TYPE F

ปลั๊กไฟ TYPE F
Type F – http://www.iec.ch/worldplugs/typeF.htm

ใช้ในทวีปยุโรปเกือบทุกประเทศรวมถึงในบ้านเราก็สามาถพบเห็นได้จากเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชิ้น หัวปลั๊กมีขั้วกลม 2 ขั้วซึ่งส่วนใหญ่สามารถใช้ร่วมกับเต้ารับ Type E ได้ด้วย

ปลั๊กไฟ TYPE G

ปลั๊กไฟ TYPE G
Type G – http://www.iec.ch/worldplugs/typeG.htm

เป็นปลั๊กที่มี 3 ขั้วรูปร่างแบนที่มีส่วนปลายเป็นสามเหลี่ยมและมีฟิวส์อยู่ภายในปลั๊กเพื่อความปลอดภัย ถูกใช้ในประเทศอังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ สำหรับคนไทยที่นำเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยไปต้องเตรียมอแดปเตอร์สำหรับแปลงไฟไปใช้งานร่วมด้วย

ปลั๊กไฟ TYPE H

ปลั๊กไฟ TYPE H
Type H – http://www.iec.ch/worldplugs/typeH.htm

เป็นปลั๊กที่เป็นประเภทพิเศษมีรูปทรงเป็นขั้วแบนทั้ง 3 ขั้ว เอียงเข้าหากัน ถูกใช้ในประเทศอิสราเอลเท่านั้นซึ่งขณะนี้ประเทศอิสราเอลกำลังเปลี่ยนไปใช้งาน Type C และ Type M ซึ่งเป็นหัวกลมทดแทนแล้ว

ปลั๊กไฟ TYPE I

ปลั๊กไฟ TYPE I
Type I – http://www.iec.ch/worldplugs/typeI.htm

เป็นปลั๊กที่มีขั้วแบน 3 ขั้วคล้าย Type H แต่เอียงออกไปด้านข้างเป็นรูปตัว V ไม่เอียงหากัน ถูกใช้ในประเทศออสเตรเลีย จีน อาร์เจนตินา หากใช้ร่วมกับอุปกรณ์ไฟฟ้าของไทยต้องใช้ตัวแปลงไฟร่วมกับปลั๊กด้วย

ปลั๊กไฟ TYPE J

ปลั๊กไฟ TYPE J
Type J – http://www.iec.ch/worldplugs/typeJ.htm

ถูกใช้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยหัวปลั๊กมีลักษณะเป็นขั้วกลม 3 ขั้ว แต่โชคดีที่เต้ารับของปลั๊ก Type J สามารถใช้ร่วมกับปลั๊ก Type C ที่มีขั้วกลม 2 ขั้ว หากนำเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยที่มีปลั๊กเป็น Type C ไปก็สามารถเสียบใช้งานได้เลยไม่ต้องใช้อแดปเตอร์

ปลั๊กไฟ TYPE K

ปลั๊กไฟ TYPE K
Type K – http://www.iec.ch/worldplugs/typeK.htm

เป็นปลั๊กที่ถูกใช้บางประเทศในทวีปยุโรป เช่น เดนมาร์ก โดยหัวปลั๊กมีขั้วกลม 2 ขั้วและขากราวด์อีก 1 ขา ซึ่งเต้ารับของปลั๊ก Type K นี้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีหัวปลั๊กแบบ Type C ได้เลยไม่ต้องใช้อแดปเตอร์แปลงกำลังไฟ

ปลั๊กไฟ TYPE L

ปลั๊กไฟ TYPE L
Type L – http://www.iec.ch/worldplugs/typeL.htm

ถูกใช้ในประเทศอิตาลี หัวปลั๊กมีขั้วกลมเรียงในแนวเดียวกัน 3 ขั้ว โดยขากลางเป็นกราวด์ ซึ่งเต้ารับของปลั๊ก Type L นั้นสามารถใช้ร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีหัวปลั๊กแบบ Type C และ Type F โดยสามารถนำปลั๊กมาเสียบได้เลยไม่ต้องใช้อแดปเตอร์แปลงกำลังไฟ

ปลั๊กไฟ TYPE M

ปลั๊กไฟ TYPE M
Type M – http://www.iec.ch/worldplugs/typeM.htm

เป็นปลั๊กที่มีหัวกลม 2 ขั้วและขากราวด์ที่มีขนาดใหญ่กว่าขั้วกลมทั้งสอง ถูกใช้ในประเทศแอริกาใต้และประเทศใกล้เคียง ซึ่งเต้ารับของปลั๊ก Type M สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีปลั๊ก Type D ได้โดยไม่ต้องใช้อแดปเตอร์แปลง

ปลั๊กไฟ TYPE N

ปลั๊กไฟ TYPE N
Type N – http://www.iec.ch/worldplugs/typeN.htm

เป็นปลั๊กที่มีหัวกลม 3 ขา มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Type J แต่ขากราวด์อยู่ชิดกับขั้วหลักมากกว่า ปลั๊ก Type นี้ถูกใช้ในประเทศบราซิลเท่านั้น สำหรับเต้ารับของ Type N สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีหัวปลั๊กแบบ Type C ได้

ปลั๊กไฟ เยอะขนาดนี้ ทำอย่างไรดี?

หลังจากศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกำลังไฟและหัวปลั๊กที่สามารถนำไปใช้งานได้ในประเทศนั้น ๆ แล้ว ก่อนอื่นคุณต้องสำรวจว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คุณจะนำติดตัวไปนั้นมีอะไรบ้าง มีกี่ชิ้นและใช้หัวปลั๊กแบบใด หากดูแล้วไม่สามารถใช้ร่วมกับเต้ารับของประเทศนั้นได้ คุณต้องเตรียมหัวแปลงของประเทศนั้นอย่างน้อยหนึ่งอันและปลั๊กพ่วงที่มีเต้าเสียบสามารถรองรับกับจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าของคุณได้ เช่น หากคุณนำมือถือ กล้องถ่ายรูป และโน้ตบุคติดตัวไปด้วย ปลั๊กพ่วงที่มีสามช่องก็น่าจะเพียงพอ แต่หากประเทศที่คุณไปมีกำลังไฟมากกว่าคุณต้องเตรียมอะแดปเตอร์แปลงกำลังไฟใส่กระเป๋าไปด้วยอีก 1 ชิ้น และหากใครเดินทางบ่อยแนะนำให้ซื้อหาหัวแปลงแบบ Universal ติดไว้เลยราคาอยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทเท่านั้น

สำหรับแบบ Premium ที่ขายกันอย่างแพร่หลายที่สนามบินทั่วโลกราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 บาท ซึ่งเป็นแบบ All-in-one อันเดียวอยู่ ไม่ต้องค้นหาว่าประเทศนี้ใช้ปลั๊กแบบไหนเพราะสามารถใช้แทนได้ทุก Type

นอกจากนี้ยังตัวแปลงที่เป็น Port USB เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนในการชาร์จมือถือไม่ว่าที่ใดก็ตาม ซึ่งมีสนนราคาตั้งแต่ 400-1200 บาทซึ่งได้เป็น World Travel Adapter kit ของ Apple เลยทีเดียว เท่านี้คุณก็พร้อมเดินทางถ่ายรูปได้รัวๆ ไม่กลัวแบตหมดแล้วล่ะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

5 ทิปส์ ผู้หญิงเที่ยวคนเดียวอย่างไรให้ปลอดภัย

สำหรับการออกเที่ยวคนเดียวหรือ Solo Traveler ถือว่ากำลังเป็นเทรนด์ที่ไม่ว่าใครๆก็ต้องออกไปฉายเดี่ยว เที่ยวฮิปๆกันทั้งนั้น แต่การไปเที่ยวคนเดียวนั้นใจกล้าอย่างเดียวไม่พอ การเตรียมความพร้อมก็ถือว่ามีความสำคัญ ดังนั้นวันนี้เราขอนำเสนอ 5 วิธีเที่ยวคนเดียวสำหรับผู้หญิง เที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัยหายห่วง

1. เอกสารและแพลนต้องพร้อม

การเดินทางคนเดียวนั้น หนึ่งสิ่งที่จะเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของเราได้ก็คือเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบัตรประจำตัวประชาชน, พาสปอร์ต, ประกันการเดินทาง, ตั๋วรถหรือเครื่องบิน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยยืนยันตัวตนของเราเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย รวมถึงการวางแผนล่วงหน้าจะทำให้คุณพอมีไอเดียว่าเมืองที่คุณกำลังจะไปนั้นเป็นอย่างไรและคุณต้องพบเจอกับอะไรบ้างเพื่อเป็นการเตรียมสภาพจิตใจและร่างกายให้พร้อมก่อนลงสนามจริง

2. เก็บของมีค่าให้ปลอดภัย

การเดินทางคนเดียวจะต้องรักษาของมีค่าให้ปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการถือกระเป๋า ควรนำกระเป๋ามาไว้ข้างหน้าเพื่อเป็นการป้องกันการล้วงกระเป๋าจากข้างหลัง ทริคที่หลายๆคนใช้คือการใช้กระเป๋าสะพายโทรมๆ เพื่อทำให้ผู้ไม่หวังดีคิดว่าเราไม่มีของมีค่าใดๆในกระเป๋า ในต่างประเทศมีเสื้อผ้าสำหรับการป้องกันการโดนล้วงกระเป๋าอย่างเช่นแบรนด์ Clothing Art ที่ได้ผลิตการเกงที่มีซิปซ้อนซิปเพื่อเป็นการป้องกันแบบสองชั้น หรือวิธีแบบไทยๆก็อาจจะเป็นการเอาหนังยางมัดเงินเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง ก็อาจจะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ไม่มากก็น้อย อีกหนึ่งสิ่งที่คุณทำได้คือการแตกเงินแบงค์เล็กๆใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อไว้หยิบใช้ ส่วนแบงค์ใหญ่ๆเก็บไว้ในซิปของเสื้อชั้นใน

3. โรงแรมคือไกด์ที่ดีที่สุด

หนึ่งสิ่งที่อยากจะแนะนำทุกคนคือเมื่อเช็กอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว คุณควรจะสอบถามข้อมูลจากโรงแรมสักนิดว่าในบริเวณไหนของเมืองเป็นแหล่งอันตรายไม่ควรเข้าไป การเดินทางแบบไหนปลอดภัยและสะดวก หรือแม้กระทั่งขอคำแนะนำสิ่งที่ควรระมัดระวังถ้ามาเที่ยวคนเดียว
นอกจากนี้คุณควรขอนามบัตรของโรงแรมเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลหากเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างน้อยคุณยังมีเบอร์โทรศัพท์ของโรงแรมไว้ติดต่อได้

4. อย่าทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว

การทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวโดยการใส่เสื้อผ้าที่เขียนว่ามาจากเมืองต่างๆ การกางแผนที่ เปิด Google Map ถือกล้องถ่ายรูปราคาแพงหรือทำท่าหลงทาง อาจจะทำให้คุณกลายเป็นเป้าของมิจฉาชีพ ดังนั้นคุณควรที่จะทำตัวให้กลมกลืนกับคนในพื้นที่มากที่สุดเพื่อไม่เป็นจุดสนใจของผู้ไม่หวังดี ถ้าหากจำเป็นจริงๆที่จะต้องใช้โทรศัพท์มือถือ คุณควรเข้าไปร้านอาหารเพื่อใช้งานแล้วรีบเก็บมันเข้ากระเป๋า

5. อย่าขัดขืนจะอันตรายต่อชีวิต

ถ้าหากคุณโดนประชิดตัวเพื่อชิงทรัพย์ คุณไม่ควรต่อสู้เพื่อรักษาสิ่งของเหล่านั้น เพราะหลายๆเมืองในหลายประเทศมีประชากรคนจนจำนวนมาก พวกเขาสามารถทำได้แม้กระทั่งการทำร้ายผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นถ้าคุณตกอยู่ในเหตุการณ์คับขัน ให้ถือว่าเป็นการเสียทรัพย์สินเล็กๆน้อยๆเพื่อรักษาชีวิตที่มีค่าของคุณเอาไว้ก็แล้วกัน

และนี่ก็คือ 5 ทิปส์สำหรับการดูแลตัวเองระหว่างการเที่ยวคนเดียวของผู้หญิง โดยทริปของคุณในอนาคตนี้ อย่าลืมที่จะเตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อมเพื่อออกไปเผชิญโลกกว้างอย่างปลอดภัยไร้กังวล

10 ประโยคที่ควรฝึกพูดก่อนตะลุยทริปต่างประเทศ

สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศ หลังจากที่คุณได้เลือกสถานที่ท่องเที่ยว ตระเตรียมลางาน จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก จากนั้นก็วางแผนจัดตารางเวลาการท่องเที่ยวในแต่ละวันว่าจะไปเที่ยวสถานที่ใดเวลาเท่าไหร่สำหรับทริปของคุณแล้ว ก็มาถึงเวลาเตรียมความพร้อมของตัวคุณเองด้วย นอกจากการจัดเตรียมจัดกระเป๋าเสื้อผ้าและสิ่งของจำเป็นแล้ว คุณควรศึกษาประโยคสื่อสารง่าย ๆ สำหรับพูดคุยกับคนท้องถิ่นเพื่อให้ทริปของคุณราบรื่นและสนุกสนานตลอดการเดินทางค่ะ

เอ่ยคำทักทาย สวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ เป็นภาษาท้องถิ่น

นอกจากการโบกมือทักทายหรือสบตาพร้อมส่งยิ้มให้กับคนที่คุณพบเจอเพื่อแสดงความเป็นมิตรแล้ว การกล่าวสวัสดีเป็นภาษาท้องถิ่นก็เป็นการแสดงไมตรีและให้เกียรติคนที่คุณพบด้วย อาจใช้คำทักทายง่าย ๆ ในภาษาอังกฤษอย่าง “Hello” หรือเป็นคำทักทายที่สุภาพได้ใจคนฟังอย่าง “Good Moring” ในภาษาอังกฤษ และ “โอฮาโย โกไซมัส” ในภาษาญี่ปุ่น ลองฝึกประโยคแนะนำตัวง่าย ๆ อย่างเช่น “สวัสดีค่ะ (อัน-นยองฮาเซโย) ดิฉัน(เชกา)ชื่อ.. ดิฉันเป็นคนไทย (เชกา แทกุอิน อิมนิดา)” ในภาษาเกาหลีเป็นต้นค่ะ ซึ่งช่วยให้เจ้าบ้านมีความรู้สึกที่ดีกับเราและคนไทยด้วยนะ

การใช้คำขอโทษเพื่อเรียกหรือสอบถามข้อมูล

หากเราต้องการสอบถามบางสิ่งกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา การเรียกเค้าโดยใช้คำว่า You, you! อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ ควรใช้คำว่า “Excuse me, could you… “ ในภาษาอังกฤษ หรือ “สุมิมาเซน” ในภาษาญี่ปุ่น เพื่อขอโทษและขอรบกวนเวลาสักครู่ในการอสอบถามหรือขอความช่วยเหลือ

การใช้คำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวคุณอาจทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ การกล่าวคำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจแก่คนท้องถิ่นด้วยภาษาของเค้าเช่น “ชเว-ซงฮัมนีดา” ในภาษาเกาหลีหรือ “Sorry” ในภาษาอังกฤษ จะช่วยให้คนที่ได้ฟังรู้สึกดีและไม่ถือสาหาความคุณแน่นอน

กล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากได้รับความช่วยเหลือหรือได้รับน้ำใจไมไมตรีจากเจ้าบ้านควรกล่าวคำว่าขอบคุณในภาษาบ้านเค้าเช่น “ออกุน” ในภาษากัมพูชา และ “เซี่ยเซี่ย” ในภาษาจีน รับรองว่าคุณจะได้รับรอยยิ้มกว้าง ๆ ด้วยความยินดีตอบกลับมา

ใช่ / ไม่ใช่ อันนี้ต้องจด

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการสื่อสารหรือสอบถามข้อมูลควรศึกษาคำว่า ใช่/ไม่ใช่ เอาไว้ด้วย เช่น คำว่า “Yes/No” ในภาษาอังกฤษ “เน/อานีโย” ในภาษาเกาหลีเพื่อตอบรับหรือปฏิเสธ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาที่พูดคุยกันเร็วขึ้นค่ะ

การใช้คำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวคุณอาจทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ การกล่าวคำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจแก่คนท้องถิ่นด้วยภาษาของเค้าเช่น “ชเว-ซงฮัมนีดา” ในภาษาเกาหลีหรือ “Sorry” ในภาษาอังกฤษ จะช่วยให้คนที่ได้ฟังรู้สึกดีและไม่ถือสาหาความคุณแน่นอน

กล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากได้รับความช่วยเหลือหรือได้รับน้ำใจไมไมตรีจากเจ้าบ้านควรกล่าวคำว่าขอบคุณในภาษาบ้านเค้าเช่น “ออกุน” ในภาษากัมพูชา และ “เซี่ยเซี่ย” ในภาษาจีน รับรองว่าคุณจะได้รับรอยยิ้มกว้าง ๆ ด้วยความยินดีตอบกลับมา

ใช่ / ไม่ใช่ อันนี้ต้องจด

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการสื่อสารหรือสอบถามข้อมูลควรศึกษาคำว่า ใช่/ไม่ใช่ เอาไว้ด้วย เช่น คำว่า “Yes/No” ในภาษาอังกฤษ “เน/อานีโย” ในภาษาเกาหลีเพื่อตอบรับหรือปฏิเสธ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาที่พูดคุยกันเร็วขึ้นค่ะ

ประโยคสอบถามเส้นทาง จำไว้ไม่มีหลง

การไปอยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยถึงแม้ว่าจะมีแผนที่หรือแอพพลิเคชั่นอยู่ในมือบางครั้งคุณอาจเจอเรื่องไม่คาดฝันเช่น แผนที่ยังไม่ได้ปรับปรุง ยิ่งถ้าเจอคนท้องถิ่นที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ยิ่งเซอไพร์สเข้าไปใหญ่ ดังนั้นคุณควรศึกษาประโยคสอบถามเส้นทาง เช่น ดิฉัน/ผม จะไป..(ชื่อสถานที่)..ได้อย่างไร “(ชื่อสถานที่) วะ โดโกะ เดสก๊ะ” ในภาษาญี่ปุ่น หรือ “How can I get to…..?” ในภาษาอังกฤษ ที่สำคัญควรจดจำศัพท์บอกทิศทางอย่าง ซ้าย, ขวา, และตรงไป “หมิหงิ, หิดาหริ, หมัดซุหงุ” ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งช่วยให้เข้าใจเส้นทางเมื่อมีผู้อธิบายเส้นทางมาได้รวดเร็วขึ้น

ปวดหนัก ปวดเบา กระทันหัน “ห้องน้ำ” เรื่องสำคัญ

หากคุณไม่ได้กำลังเดินซื้อของอยู่ในย่านห้างสรรพสินค้าหรือทานอาหารอยู่ในร้านที่มีห้องน้ำบริการ ในช่วงเวลาวิกฤตที่คุณต้องการห้องน้ำทันทีและรอบข้างไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ คุณต้องจำคำนี้ไว้ให้มั่น “ตุ้บตึ้ก, โซม-ตึ-วะ-บ็อน-ตุบ-ตึก-บาน-เต” แปลว่าขอใช้ห้องน้ำได้ไหมในภาษากัมพูชาหรือ “โอ่ะเต๊ะอะรัย ว๊ะ โด๊ะจิหร่ะ เดสก๊ะ ?” ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า ห้องน้ำไปทางไหนคะ/ครับ

หัดนับเลขสกิลสำคัญของขาช็อป

ระหว่างอยู่บนเครื่องบินลองหัดนับ 1-10 ในภาษาของประเทศที่เรากำลังไปเยี่ยมเยือนและจดจำวิธีการออกเสียงของคำว่า สิบ ร้อย พัน หมื่น รับรองว่าเป็นประโยชน์มาก ๆ ในเวลาจับจ่ายซื้อของไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ที่ไมได้แสดงป้ายราคาบอกไว้ค่ะ

ชิ้นนี้เท่าไหร่ แอบต่อราคาเนียน ๆ

เมื่อเจอของเตะตาถูกใจ อยากได้มาครอบครองลองมองหาป้ายราคา แต่หากไม่เจอก็เข้าไปทักทายคนขายด้วยรอยยิ้มแล้วถามราคาเลยค่ะ “How much” ในภาษาอังกฤษ หรือ “ออลมาเยโย๊” ในภาษาเกาหลีหรือขอลดราคาเนียน ๆ ในภาษาญี่ปุ่น “มะเก๊ะเต๊ะ คุดะไซ” ไม่ต้องเคอะเขิน รับรองได้ของถูกใจกลับเมืองไทยเพียบ

หากคุณป่วยและต้องการหาหมอ

เรื่องสุขภาพของคุณและผู้ร่วมทริปสำคัญมากที่สุด นอกจากการเตรียมหยูกยาที่จำเป็นติดกระเป๋าเดินทางมาแล้ว หากคุณจำเป็นต้องหาหมอเมื่อรู้สึกไม่สบายหรือเกิดอุบัติเหตุเจ็บเนื้อเจ็บตัวโดยไม่คาดฝัน ให้ศึกษาประโยคเกี่ยวกับอาการป่วยไว้ด้วยเช่น “I Feel sick” ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายในภาษาอังกฤษ “หว่อ ปิ้ง เลอ” ฉันกำลังป่วยในภาษาจีน และ ”How can I get to Hospital?” ฉันจะไปโรงพยาบาลได้อย่างไรในภาษาอังกฤษ หรือ “เบียวอิน วะ โดโกะ เดสก๊ะ” ในภาษาญี่ปุ่นในกรณีที่จำเป็นต้องพบหมอ

ที่สำคัญควรทำประกันเดินทางติดไว้ก่อนเดินทางทุกครั้ง เพราะเสียค่าเบี้ยเพียงไม่กี่ร้อยก็ช่วยให้คุณอุ่นใจตลอดการเดินทางว่าหากไม่สบายหรือเจ็บป่วยระหว่างท่องเที่ยวคุณไม่เดียวดายแน่นอนเพราะประกันคุ้มครองและช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ทำให้คุณหมดกังวลแล้วเที่ยวลั้ลลาได้ตามใจเลยค่ะ

หวังว่าตัวอย่างประโยคเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการเดินทางของคุณ นอกจากการใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารแล้วอาจต้องใช้ภาษากายหรือที่เราเรียกกันว่าภาษาใบ้นั่นเองซึ่งสามารถช่วยเราได้มากกว่าที่คิดนะคะ นอกจากนี้หากเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ควรหาคนที่พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาที่คุณถนัดได้เพื่อป้องกันการสื่อสารผิดพลาด พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

SHOPPING สบายกระเป๋าที่ต่างประเทศกับ 5 เทคนิคการต่อราคา

ฤดูหนาวมาแล้วจ้า ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของการท่องเที่ยวจริง ๆ เพราะอากาศเย็นสบาย มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ดอกไม้ฤดูหนาวเบ่งบานและหิมะตกในบางประเทศด้วย ที่สำคัญตรงกับช่วงปลายปีที่มีวันหยุดยาวติดกันแบบรัว ๆ เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงกำลังวางแผนท่องเที่ยว หรือ ว่ากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางค่ะ

การไปเที่ยวต่างประเทศนอกจากไปดูศิลปะวัฒนะธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศที่ไปเยี่ยมเยือน ลิ้มรสอาหารประจำท้องถิ่นที่หาทานได้ยากในบ้านเราและแน่นอนว่าต้องมีช่วงช็อปปิ้งเอาใจทุกคนที่มี Passion ในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองในหัวใจค่ะ ซึ่งนอกจากสินค้าแบรนด์ดังที่มีให้เลือกหลากหลายในราคาที่ถูกกว่าบ้านเราเพราะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าแล้ว ยังมีสินค้าท้องถิ่นและงาน Handmade หรืองานผลิตภายในประเทศที่มักขายคนต่างชาติในราคาแพงกว่าปกติ! ดังนั้นมาดูเคล็ดลับการต่อรองราคาเหล่านี้กันค่ะ

1. มองหาป้ายราคา

การต่อราคาสำหรับสินค้าภายในร้านแบรนด์ดังซึ่งมีป้ายเขียนราคาไว้ชัดเจนนั้นเป็นไปไม่ได้เนอะ แต่หากเป็นร้านในตลาดท้องถิ่นซึ่งมีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเดินเลือกสินค้านั้น หากพบของที่ถูกตาต้องใจให้ลองมองหาป้ายราคาค่ะ

  • หากมีป้ายราคาก็ต้องทำใจไว้ก่อนว่าอาจจะต่อราคาไม่ได้ค่ะ อาจจะได้นิดหน่อยจากราคาป้ายเท่านั้น ทั้งนี้เราต้องคิดก่อนว่าราคาที่ตั้งนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพราะถ้าราคาที่ตั้งถูกอยู่แล้วอาจโดนพ่อค้าแม่ค้าค้อนใส่ได้ค่ะ
  • หากมีป้ายราคาแต่เป็น 2 ภาษา คือภาษาท้องถิ่นและภาษาอังกฤษให้ลองคิดคำนวณอัตราเปรียบเทียบกันดูค่ะ ถ้าใกล้เคียงกันก็แสดงว่าไม่ได้บอกผ่านค่ะ แต่ถ้าต่างกันมากก็พอจะรู้แนวนะคะว่าต่อได้ประมาณไหน อิอิ
  • ไม่มีป้าย! ถ้าเราถูกใจสินค้าชิ้นนั้นให้คำนวณราคาที่จ่ายไหวไว้ในใจ เมื่อเค้าบอกราคามาเราก็เริ่มต่อรองไปยาว ๆ ค่ะ

2. สำรวจราคาทั่ว ๆ ก่อน

หากสินค้าที่คุณเล็งไว้เป็นสินค้าที่มีขายทั่วไป มีขายหลายร้าน ให้ลองเดินสำรวจดูป้าย หรือสอบถามราคารอบ ๆ จะช่วยให้คาดเดาราคาที่ดีที่สุดที่คุณน่าจะซื้อสินค้าชิ้นนั้นได้ง่ายขึ้น และต่อราคาได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เท่านี้กระเป๋าใบนั้นก็ต้องเป็นของขั้น! เอ้ยของคุณในราคาสบายกระเป๋าแล้วล่ะ

3. สุภาพไว้ได้ใจพ่อค้าแม่ขาย

ความสุภาพอ่อนน้อมนั้นช่วยให้คุณได้ดั่งใจหวังเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ที่ต่างประเทศ การทักทายด้วยรอยยิ้มและพูดคุยอย่างสุภาพจะทำให้การต่อรองราคาเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย พ่อค้าแม่ค้าเมื่อเริ่มมีความรู้สึกทางบวกกับคุณแล้วเค้าก็อยากปิดการขายและคุณก็จะได้สินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล แถมเคล็ดลับเล็กน้อยอีกสักนิดให้ลองเรียนรู้คำทักทายและคำขอบคุณเป็นภาษาท้องถิ่นและพูดด้วยรอยยิ้มรับรองว่าเรียกรอยยิ้มจากพ่อค้าแม่ค้าได้แน่นอนค่ะ

4. หาเพื่อนช็อปปิ้ง

ลองหาเพื่อนไปเดินเล่นซื้อของเป็นเพื่อนหากเป็นคนท้องถิ่นยิ่งดีใหญ่เพราะคุณจะได้ราคาเดียวกับคนท้องถิ่นเลยล่ะ แต่หากไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าเพื่อนของคุณต้องการสินค้าในร้านเดียวกันจะช่วยให้การต่อรองง่ายขึ้นเพราะคนขายคิดคำนวณแล้วว่าต้องขายได้มากกว่า 1 ชิ้นหรืออาจเตี๊ยมกับเพื่อนว่าถ้าคนขายทำทีใจแข็งก็ให้แกล้งเดินออกจากร้านไปเลย จะช่วยให้คนขายเสนอราคาสุดท้ายที่ยินดีขายกับคุณทันที

5. เทคนิคและจิตวิทยา

อาจต้องเล่นใหญ่กันสักหน่อยถ้าคุณอยากได้ของชิ้นนั้นจริง ๆ หากคุณมีราคาที่ยอมจ่ายไว้ในใจและสอบถามคนท้องถิ่นมาบ้างว่าราคาที่ตั้งขายคนต่างชาตินั้นตั้งไว้สูงกว่าราคาขายคนท้องถิ่นกี่ %

  • หลังจากต่อรองแล้วยังไม่ได้ราคาที่พอใจให้ทำทีลังเล หรือทำทีตัดใจ และเดินออกจากร้าน คนขายจะรีบเสนอราคาที่ดีที่สุดที่เค้าขายได้ให้คุณทันที
  • เริ่มต่อรองจากราคา 50% ของราคาที่คนขายตั้ง แล้วคนขายจะค่อย ๆ เสนอราคาที่ขายได้ให้คุณต่อรองเอง ทั้งนี้คุณต้องศึกษามาก่อนว่าราคานักท่องเที่ยวตั้งไว้มากกว่ากี่ % และมีราคาที่เต็มใจจ่ายอยู่ในใจ มิเช่นนั้นแล้วการต่อราคาโดยเริ่มจากราคาที่ผู้ขายขาดทุนย่อยยับก็อาจเป็นการทำเสียมารยาทกับพ่อค้าแม่ค้าและทำให้เกิดความรู้สึกทางลบได้ค่ะ
  • นำเงินสดในจำนวนเท่ากับยอดเงินที่คุณพร้อมจ่ายสำหรับซื้อสินค้าชิ้นนั้นออกมาถือไว้ในมือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขายว่าการต่อรองครั้งนี้เค้าจะไม่เสียเวลาเปล่า และช่วยให้คุณได้สินค้าในราคาตรงใจได้ไวขึ้นค่ะ

ไม่ใช่เฉพาะในต่างประเทศเท่านั้นที่ตั้งราคาขายสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยวไว้สูง ในเมืองไทยบ้านเราเองก็มีหลายร้านเช่นกันค่ะ นอกจากค่าสินค้าแล้วหากเป็นค่าบริการ เช่น ค่ารถรับส่ง บริการนวดคลายกล้ามเนื้อ หรือบริการอื่น ๆ ให้สังเกตุและสอบถามจากคนท้องถิ่นที่สนิทสนมค่ะ ต่อราคาได้เยอะเป็นเท่าตัวก็มีนะคะ จะช่วยให้เราประหยัดเงินในทริปนี้ได้เยอะทีเดียวล่ะค่ะ

แพ็คกระเป๋าไปเที่ยวฉบับมือโปร

เคยไหม แบกของพะรุงพะรัง สามสี่กระเป๋าไปเที่ยวกับเพื่อน จนเพื่อนคนหนึ่ง(ที่แอบปลื้มอยู่)ถามว่า นี่จะย้ายบ้านหรอ? ถึงเวลาหาของก็หาไม่เจอ หิ้วไปหิ้วมาก็ไม่ไหว ต้องขอให้เพื่อนช่วยแบกเป็นภาระประชาชี เศร้าใจ

ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อคุณทำตามขั้นตอนข้างล่างนี้ อิฉันรับรองว่า ไม่ว่าคุณจะมีอดีตยังไง ทริปหน้า คุณจะกลายเป็นสาวคล่องแคล่ว หนุ่มปราดเปรียว ที่เดินหิ้วกระเป๋าเล็กๆ ชิคๆ ใบเดียวไปเที่ยว ดูเป็นคนมีระเบียบในชีวิตขึ้นมาทันตาเห็น

STEP 1 เลือกกระเป๋าให้เหมาะสม

กระเป๋าล้อลากคือกระเป๋าในอุดมคติสำหรับการท่องเที่ยว หากว่าทริปนั้นคุณไม่ได้ไปตกระกำที่ไหน เดินทางโดยเครื่องบินหรือรถโดยสารที่มีพื้นที่ให้เอากระเป๋าของคุณใส่ลงไป ต้องรีวิวแผนการท่องเที่ยวดีๆ (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีเพื่อนวางแผนท่องเที่ยวให้ตลอดเวลา) เพราะถ้าไปบุกป่าฝ่าดง หรือมีการเดินทางทางเรือ ก็ขอให้เปลี่ยนมาใช้เป้ Backpack หรือกระเป๋าที่มันไม่มีล้อดีกว่านะจ้ะ

STEP 2 ทำ LIST สิ่งของที่ต้องเอาไป

จดออกมาเลยคะว่าจะเอาอะไรไปบ้าง เรื่องชุดที่จะใส่ก็ให้จินตนาการเป็นรายวันได้เลย เช่น วันที่ 1 เสื้อสีส้มลายมิกกี้เมาส์กับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขางาม ว่ากันไป อะไรที่สามารถเอามา mix and match และใส่ซ้ำจะเป็นสิ่งที่เริ่ดมาก เวลาเอาของเข้ากระเป๋าก็ค่อยๆขีดออกทีละอย่าง ให้ชัวร์ว่าเอาไปครบ อ่อ อย่าลืมพกชุดชั้นในกุงเกงในไปเผื่อซักชิ้นสองชิ้นด้วย
ขอเน้นย้ำให้เอาเสื้อผ้าติดไว้กับตัวซักชุดในกรณีโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง เผื่อกระเป๋าหายกระเป๋ามาช้าหนูจะได้มีอะไรใส่ไม่ต้องทนเหม็นในชุดเน่าๆตัวเดิมเน้อ

STEP 3 ของหนัก ของใหญ่ ใส่ก่อน

อะไรที่หนักๆ ใหญ่ๆ รูปร่างประหลาด เช่น รองเท้า ไดร์เป่าผม กระเป๋าของใช้ในห้องน้ำ เป็นต้น ให้เราใส่เข้าไปก่อน ตามด้วยพวกเสื้อผ้าเนื้อหน้า เช่น กางเกงยีนส์ เสื้อสเวตเตอร์ ยิ่งอันไหนหนักๆต้องใส่ให้ล่างๆไว้ ถ้ากระเป๋ามีล้อคือให้ใกล้ๆกับล้อ เพื่อการกระจายน้ำหนักได้อย่างสมบูรณ์ กระเป๋าจะได้ไม่พัง จะถือ จะลาก ก็ง่ายไม่เอนไปทางใดทางหนึ่ง

STEP 4 เบาๆ เล็กๆ มาทีหลัง

พอใส่พวกใหญ่ๆไปแล้ว ค่อยหยอดอันเล็กๆในช่องว่างระหว่างพวกอันใหญ่ๆ ผ้าพันคอชีฟองหรือเสื้อผ้าเบาๆ ก็ให้เอาไว้บนๆ

STEP 5 แพ็ครวมกัน

อันนี้ต้องอาศัยความครีเอทีพส่วนบุคคลเล็กน้อยที่จะสามารถแพ็คของหลายๆสิ่งไว้ด้วยกัน ท่าที่เห็นบ่อยๆ เช่น เอาเครื่องประดับใส่ไว้ในรองเท้าอีกที (อันนี้ต้องมั่นใจว่ารองเท้าหอมสะอาดพอสมควร) เอาขวดน้ำหอมใส่ในถุงเท้า (กันแตกไปในตัว) ม้วนเข็มขัดยัดใส่ในคอปกของเสื้อเชิ้ต

STEP 6 ม้วน หรือ พับ?

ถ้าเป็นพวกเสื้อยืด เสื้อนอน ให้ม้วนแล้วเอาหนังยางรัดไว้ กันยับและประหยัดพื้นที่ ส่วนพวกเชิ้ตกับกางเกงแสลคให้ไปเรียนวิธีการพับเสื้อพวกนี้ไม่ให้ยับจาก Youtube เอา หรือไม่ก็หาพวกถุงเก็บเสื้อผ้าที่เป็นพลาสติกมาใส่กันยับอีกชั้น

STEP 7 ใช้อุปกรณ์ช่วยในการจัดกระเป๋าเดินทาง (PACKING ORGANIZER)

ไปซื้อถูกๆตามตลาดนัดได้ พวกถุงซิบทำด้วยผ้าใยสังเคราะห์ขนาดต่างๆ เอามาช่วยแพ๊คพวกกุงเกงลิง ถุงเท้า ถุงมือ เครื่องประดับ ของใช้ในห้องน้ำ เครื่องสำอาง เอกสารสำคัญ อุปกรณ์ไอที ฯลฯ ช่วยให้หาง่าย เป็นหมวดหมู่ ไม่ต้องเสียเวลางมนาน พวกสบู่เหลว ยาสระผม ครีมบำรุงผิวก็เอาไปขวดหรือซองเล็กๆพอ ซื้อตามเซเว่นมีเยอะ อย่าลืมซื้อพวกถุงซิปล็อคมาห่อพวกน้ำหอม โลชั่น หรือของเหลวที่บรรจุในหีบห่อที่แตกง่าย ลองจิตนาการสภาพขวดน้ำหอมแตกกระจายอยู่กลางกระเป๋า เหอๆๆๆ

STEP 8 ถุงพลาสติกและกระเป๋าพับได้

พกไปหลายๆถุงเลย ไว้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เสื้อผ้าเปียก(เผื่อมีโปรแกรมไปเล่นน้ำ) เอาไว้แพ็คของที่ระลึกซึ่งอาจเป็นอาหารมีกลิ่นขากลับ ใครคิดจะโหลดเหล้าเบียร์ใต้ท้องเครื่องก็เอามัดๆไว้หน่อยกันกระจายเต็มกระเป๋า กระเป๋าพับได้เป็นอีกหนึ่ง item ที่มีประโยชน์ ใช้ใส่ของที่ซื้อมาในระหว่างทริปแล้วยัดไม่ลง อันนี้จะช่วยได้มาก

STEP 9 ขาไปและกลับ จงจัดเต็ม!

เสื้อผ้าหนักๆ ใหญ่ๆ ใส่ไปกลับได้จะดีมาก เช่น กางเกงยีนส์ แจ๊คเก็ตยีนส์ บู้ตส์ครึ่งแข้ง เป็นต้น ต้องถือคติ สวยสะเด็ด หล่อสะดิ้งเวลาขึ้นเครื่อง ชีวิตจะดีขึ้น 34%

ทั้งนี้ทั้งนั้น สำคัญที่สุดคือมีสติในการแพ็คของ จดจำไว้ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างในตู้เสื้อผ้าที่จำเป็นในทริปของเรา และอย่าลืมว่าของที่เราใส่ในกระเป๋าน้อยๆใบนั้น มีโอกาสสูญหายและชำรุดเสียหายได้เช่นกัน กรณีเดินทางหลายๆวัน บินหลายๆไฟลท์ หรือจำเป็นต้องโหลดของมีราคาใต้ท้องเครื่อง ขอแนะนำให้ถ่ายรูปของในกระเป๋าไว้ และทำประกันการเดินทางที่คุ้มครองเรื่องกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อยด้วยนะคะ