10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่คนรักญี่ปุ่นเฝ้ารอและวางแผนเตรียมไปชมความงามของดอกซากุระ 🌸 สีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีขาวที่บานสะพรั่งไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้สุดไปจนถึงตอนเหนือสุดของประเทศ มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว หลายแห่งมีคนหนาแน่นเต็มพื้นที่ จนต้องต่อคิวถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความงามที่ในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว และ Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 จุดชมซากุระโตเกียว ที่ดีที่สุด เตรียมตัวเดินทางไปพร้อมกับเราเลยค่ะ

1. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ (Shinjuku) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว เปรียบเสมือนโอเอซิสที่อยู่กลางกรุง มีขนาดใหญ่ประมาณ 540,000 ตารางเมตร และล้อมรอบเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร คุณจะได้เห็นภาพของต้นซากุระกว่า 1,100 ต้นบานสะพรั่ง และกลีบดอกไม้ที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าและสระน้ำ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเกินบรรยาย ที่นี่มีต้นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะบานช้าเร็วไม่พร้อมกัน ทำให้คุณได้ชื่นชมกับภาพความงามของดอกซากุระได้ยาวนานขึ้น เปรียบเหมือนกับการแสดงดอกไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สวนชินจูกุเกียวเอ็นเป็นสถานที่ชมซากุระที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ร้านค้าท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบสวนยังเต็มไปด้วยของว่างอร่อยๆ และของที่ระลึกน่ารักในธีมดอกซากุระอีกด้วย

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีชินจูกุ ทางออก South Exit
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/7Aw8H6evdX2DjeBo8
ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น.- 16.00 น. (ฤดูดอกซากุระบาน จะขยายเวลาเปิดจนถึง 17.30 น.)

2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

สวนอุเอโนะ (Ueno Park) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในโตเกียวสำหรับการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย คุณจะได้เห็นทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาชมดอกซากุระที่นี่กันอย่างมากมาย สวนอุเอโนะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร ต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่อยู่ในพื้นที่มากกว่าครึ่งของสวน ทำให้มึจุดชมซากุระอยู่มากมาย เริ่มจากถนนสายหลักยาวประมาณ 500 เมตร ที่อยู่ใจกลางสวนจะมีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์เรียงรายไปสองข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนหนาแน่นมาก แต่ถ้าอยากชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็สามารถชมได้ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน และเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเวลาดอกซากุระบานเท่านั้น และอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปชมก็คือบริเวณสระน้ำชิโนบาสุ (Shinobazu Pond) ที่คุณจะได้ชมบรรยากาศของดอกซากุระริมฝั่งน้ำ

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานี Ueno เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้สวนมากที่สุด มีรถไฟหลายสายที่ผ่าน อย่างเช่น รถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ueno ออกทางออก Park Exit หรือรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Hibiya Line มาลงที่สถานี Ueno ออกทางออก 7 หรือ 9
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/gnAsmJvojfkARuqV6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: 5.00 น.- 23.00 น.

3. สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ตั้งอยู่ในเขตชิโยดะ (Chiyada) ใจกลางกรุงโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียวต้องไม่พลาด คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้น บานสะพรั่งตัดกับกำแพงหินโบราณของปราสาทเอโดะ ซึ่งปัจจุบันคือพระราชวังอิมพีเรียลอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางมหัศจรรย์ที่มีต้นซากุระกว่า 260 ต้นเรียงรายไปตามคูน้ำที่ยาวกว่า 700 เมตรที่เรียกว่า “อุโมงค์ซากุระ” คุณจะรู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนผ่านความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนที่มีการประดับไฟ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น และกิจกรรมที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวชมสวนจิโดริกะฟุจิก็คือการพายเรือล่อง หรือถีบเรือเป็ดล่องไปตามสระน้ำ ซึ่งทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับดอกซากุระที่รายล้อมมากยิ่งขึ้น

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Toei Shinjuku, Tokyo Metro Tozai หรือ Hanzomon มาลงสถานี Kudanshita ออกจากสถานีที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อ 5 นาที
  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hanzomon มาลงสถานี Hanzomon ออกจากสถานีที่ทางออก 5 แล้วเดินต่อ 5 นาที

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/NERZnRnbM3BN4qGQ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

4. สวนสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสุมิดะ (Sumida Park) ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับวันเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) เป็นสวรรค์แห่งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีซากุระปลูกอยู่ถึง 1,000 ต้น เป็นจุดที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการปิกนิกมารวมตัวกันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสวนอย่างสง่างามได้อีกด้วย

สวนสุมิดะ (Sumida Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Toei Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa
  • นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/nq9eaUnQFUEsu7ScA
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านฮิตกิ๊บเก๋อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการเดินเล่น ออกกำลังกาย พายเรือหรือถีบเรือ วาดรูป การแสดงต่างๆ และชอปปิ้งตลอดนัดทุกวันอาทิตย์ ที่นี่มีต้นซากุระญี่ปุ่นประมาณ 500 ต้น และเมื่อยืนมองจากสะพานที่ข้ามสระน้ำจะเห็นต้นซากุระสีชมพูงดงามแผ่กิ่งก้านออกไปเหนือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันงดงาม และมีตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าคอยสาปให้ชายหญิงที่มาพลอดรักกันที่สวนแห่งนี้มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ก็มีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ให้ไปกราบไหว้ขอพรศาลของเทพเจ้าเบ็นไซเต็น (Benzaiten) ภายในสวน ก็จะกลับมารักกันได้เช่นเดิม กิจกรรมยอดนิยมในสวนแห่งนี้คือการถีบเรือเป็ดชมซากุระ หรือปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กัน

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 3 นาที (280 เมตร) จากสถานีรถไฟคิชิโจจิ (Kichijoji Station) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/sbGGWsSNaMP1gwSZ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียว โดยเป็นแม่น้ำขนาดไม่กว้างนัก ทอดยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ไปตามแลห่งที่อยู่อาศัยในย่านเมกุโระ (Meguro) ในเขตชินากาว่า (Shinagawa) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว และไหลไปลงอ่าวโตเกียว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมกุโระเรียงรายไปด้วยต้นซากุระประมาณ 800 ต้นที่บานสะพรั่งอย่างงดงามในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระ ที่มีการออกร้านกันอย่างคึกคักตั้งแต่สปาร์คกลิ้งไวน์สีซากุระไปจนถึงของว่างรสเลิศ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์และความมีชีวิตชีวา ในช่วงกลางคืนจะมีบรรยากาศโรแมนติกที่เสริมด้วยแสงสียามเย็นที่สวยงาม

จุดชมซากุระโตเกียว : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานที่ยอดนิยมสำหรับชมซากุระอยู่บริเวณสะพาน Meguro Shinbashi ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟเมกุโระ (Meguro) และสถานีนากะเมกุโระ (Nakameguro)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/BA6k4ow4c8EjLNJT9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาประดับไฟ 17.00 น. – 21.00 น.)

7. สวนโยโยงิ (Yoyogi Park)

สวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโตเกียว ตั้งอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ และชิบูย่า เป็นสถานที่นั่งเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย ชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่นี่มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้น และมีหลายสายพันธุ์ ทะยอยบานตั้งแต่เดือนมีนามคมไปจนถึงเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งปิกนิก นั่งพักผ่อน หรือเดินชมดอกซากุระ โดยในช่วงเทศกาลชมซากุระ จะมีคนเข้าไปจับจองพื้นที่นั่ง หาอาหารมาทาน และจิบเบียร์เย็น ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่ากับที่อื่นๆ

สวนโยโยงิ (Yoyoki Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/SJs42qdvxsCPWxE36
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

8. สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

สวนโคอิชิกาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยและเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว โดยชื่อของสวนแห่งนี้นั้นได้รับการตั้งชื่อตามบทกวีและเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1629 ราวๆ ยุคสมัยเอโดะตอนต้น ในสวนมีบ่อน้ำตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยเส้นทางเดินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน สวนแห่งนี้มีความสวยงามตลอดทั้งปีด้วยพืชและต้นไม้ที่หลากหลาย ด้านหลังสวนถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองโตเกียวที่มองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆอย่างตัดสลับระหว่างความเป็นธรรมชาติบรรยากาศย้อนยุคกับตึกอาคารที่เต็มไปด้วยความทันสมัย แต่คนจะนิยมมาเป็นพิเศษในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของดอกซากุระที่สะท้อนจากสระไดเซ็นซุย ในสวนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นั่งปิกนิก แต่คุณสามารถนั่งชมดอกซากุระได้ที่ร้านน้ำชาที่มีเสน่ห์แปลกตาของสวน และเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาเขียวกับชิมขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง:

  • เดิน 3 นาทีจากสถานีอิดะบาชิ (Iidabashi Station) เข้าประตูทิศตะวันตกของสวน 
  • เดิน 5 นาทีจากซุอิโดบาชิ (Suidobashi) เข้าประตูทิศตะวันออกของสวน

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/RzsR6ok9Qpjz89rb8
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00น.

9. สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของโตเกียว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว เป็นสวนที่มีขนาดกว้างใกญ่และสวยงามมาก สร้างขึ้นราวๆ ปีค.ศ. 1700 ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี สำหรับโชกุนโทกุกาวะที่ 5 สวนริคุงิเอ็นเป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ในรายละเอียด ชื่อของสวนนี้แปลว่า “สวนแห่งบทกวีทั้งหก” บ่งบอกถึงรากฐานที่หยั่งรากลึกในบทกวีของญี่ปุ่น โดยมีภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนฉากจากบทกวีที่โด่งดัง จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือต้นซากุระใหญ่สายพันธุ์ชิดะเระ ซากุระ ที่เมื่อบานเต็มที่ กิ่งจะย้อยตัวลงมาค้ายน้ำตก สูงประมาณ 15 เมตร และกว้าง 20 เมตร สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วงที่มีการเปิดไฟประดับ ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและงดงามมาก

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • เดินประมาณ 7 นาทีจากสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
  • เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line)

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/8XWkRR4arTEdxzHR7
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (ขยายเวลาเป็น 21.00 น. ในช่วงฤดูดอกซากุระบาน เพื่อจัดกิจกรรมประดับไฟ)

10. สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ภายในสวนเด็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและต้นซากุระที่ปลูกไว้ประมาณ 600 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะนำเสนอทิวทัศน์อันตระการตาของดอกซากุระ ซึ่งคนในโตเกียวจะมานั่งปิกนิก และพักผ่นใต้ต้นซากุระกัน และช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟต้นซากุระด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรถไฟรางเดียว Asuka Park Rail ให้บริการนั่งผ่านสวนตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.และมีจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นเมืองและมองรถไฟที่วิ่งไปมาได้ด้วย

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาที จากสถานีโอจิ (Oji Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/qBNPwKkhQXmy9z6K6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: เปิด 24 ชม. (มีการแสดงไฟตลอดช่วงที่ซากุระบาน ตั้งแต่เย็นจนถึง 21.00 น.)

เมืองโตเกียวสดใสมีชีวิตชีวาเมื่อถึงฤดูดอกซากุระบาน เตรียมชุดสวยๆ หยิบกล้อง และติดอาหารไปนั่งปิกนิกชมสวนชิลๆ Allianz Travel รวมจุดชมซากุระหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกเยี่ยมชมตามสไตล์ที่คุณชอบ บางคนชอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทีแผงขายอาหาร และคนนั่งปิกนิกมากมาย หรือบางคนก็ชอบเดินเล่นแบบเงียบสงบและผ่อนคลายใต้ต้นซากุระในโตเกียว และไม่ว่าคุณจะวางแผนไปที่ไหนสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

โอซาก้าเป็นเมืองท่าในภูมิภาคทางตะวันตกของคันไซ มีกลิ่นอายของความเรียบง่าย สนุกสนาน และมีสีสัน และมีสำเนียงโอซาก้าที่โดดเด่น มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมล้ำสมัย อาหารอร่อย ว่ากันว่าชาวโอซาก้าใช้จ่ายไปกับค่าอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงทำให้โอซาก้ามีชื่อเสียงในด้านอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู ซึ่งบางเมนูก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและอาจเลยไปจนถึงต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นโชคดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด เพราะอาหารที่ควรลองส่วนใหญ่เป็นอาหารที่อยู่ในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึงได้ Allianz Travel จะพาคุณไปชิมอาหารโอซาก้าที่คุณควรลอง และแนะนำแหล่งร้านอาหารโอซาก้าที่ควรห้ามพลาด ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอาหารโอซาก้า เมนูไหนบ้าง และย่านแหล่งรวม ร้านอาหารโอซาก้า ที่ไหนบ้าง ที่เราควรไปลิ้มลองกันค่ะ :)!

1. ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ทาโกะยากิเป็นหนึ่งในอาหารโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารประจำภูมิภาคที่ขายดีที่สุดของโอซาก้า ลักษณะเป็นลูกกลมเล็กๆ ทำจากแป้งผสมไข่และสอดไส้ปลาหมึกยักษ์หรือทาโกะที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โอซาก้ามีร้านทาโกะยากิมากกว่า 700 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมืองที่ขายตลอดทั้งวันให้คุณได้ลิ้มลอง (โตเกียวมีประมาณ 200 ร้าน) ทำให้เมืองนี้เป็นตลาดทาโกะยากิที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเขตมินามิ ร้านทาโกะยากิแต่ละร้านพยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ ไม่ให้เหมือนใคร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าติดใจจนมาทานกันบ่อยๆ อย่างทาโกะยากิสูตรหน้าร้อน ที่ทานกับน้ำแข็งใส หรือบางร้านก็พยายามหาวัตถุดิบพื้นฐานที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเอร็ดอร่อยได้ แม้ไม่ต้องใส่ซอส

อาหารโอซาก้า ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ว่ากันว่าเกือบทุกบ้านในโอซาก้าจะมีเครื่องทำทาโกะยากิ และแม้แต่เด็กๆ ก็รู้วิธีย่างทาโกะยากิ เราสามารถทานทาโกะยากิได้ทั้งเป็นของว่างและอาหารจานหลัก

2. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

โอโคโนมิยากิ หรือที่บางคนเรียกว่าพิซซ่าญี่ปุ่น สามารถหาได้เกือบทุกพื้นที่ของโอซาก้า ตั้งแต่ย่านใจกลางเมืองใหญ่ไปจนถึงย่านช็อปปิ้งในชานเมือง โอโคโนมิยากิมีรสชาติและท็อปปิ้งที่หลากหลาย ทำจากไข่ แป้งสาลี ผสมกับน้ำหรือซุปดาชิ จากนั้นใส่กะหล่ำปลีหั่น และส่วนผสมอื่นๆ อย่างเช่น หัวหอม เนื้อหมูหั่นบางๆ ปลาหมึก กิมจิ หรือชีส จากนั้นก็ย่างบนกระทะเหล็กร้อน จากนั้นราดด้วยซอสโอโคโนมิยากิ สาหร่ายแห้ง ปลาคัตสึโอะแห้ง และมายองเนสตามชอบ

อาหารโอซาก้า โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

ร้านอาหารโอโคโนมิยากิบางแห่งก็เปิดโอกาสให้คุณปรุงและย่างเองบนโต๊ะด้วย โดยพนักงานจะนำวัตถุดิบมาให้ลูกค้าเลือก และนำไปย่างเองบนแผ่นกระทะร้อน (เท็ปปังยากิ) ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกในทริป หรือบางร้านก็จะมีพ่อครัวมาทำโอโกโนมิยากิตรงหน้าลูกค้าเลย

3. คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

คุชิคัตสึคือของทอดเสียบไม้ ที่นำเนื้อสัตว์และผักที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำนำมาเสียบไม้ แล้วชุบแป้งทอดจนกรอบ หนึ่งในของอร่อยประจำโอซาก้าที่เทียบเคียงความนิยมได้ไม่ต่างจากโอโคโนมิยากิและทาโกะยากิ จุดเริ่มต้นของคุชิคัตสึคือปี 1929 ในย่านชินเซไก ซึ่งเป็นศูนย์กลางใจกลางเมืองของผู้ใช้แรงงานรายวันที่มีรายได้น้อย จากร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ต้องการทำอาหารจานด่วน ราคาถูก รวดเร็ว อร่อย และอิ่มอยู่ท้อง ขายให้กับเหล่าแรงงานเหล่านั้น ผลก็คือได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อาหารโอซาก้า คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

ร้านคุชิคัตสึส่วนใหญ่เป็นร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ มีเพียงเคาน์เตอร์แบบยืนหรือแบบนั่งเท่านั้น พอเข้าไปในร้านจะเห็นถ้วยสแตนเลสใส่ซอสตั้งไว้อยู่หน้าที่นั่งแต่ละที่บนเคาน์เตอร์สำหรับใช้ร่วมกัน โดยมีกฎเหล็กคือให้จิ้มคุชิคัตสึในซอสได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องเป็นคุชิคัตสึที่ยังไม่ได้กัดด้วยเพื่อจุดประสงค์ในเรื่องอนามัย และเป็นการใช้ซอสอย่างประหยัดเพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับร้านค้าด้วย บางร้านมีกะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้นวางไว้ให้หยิบทานได้ฟรี เพื่อแก้เลี่ยนจากการรับประทานของทอด โดยจะกินเปล่าๆ หรือจิ้มซอสก็ได้ หรือถ้าคุณต้องการซอสเพิ่มบนคุชิคัตสึที่คุณกินไปแล้ว คุณสามารถใช้กะหล่ำปลีนี้ตักซอสขึ้นมาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเวลาเอามาจิ้มซอสก็จิ้มได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

4. คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

คิทสึเนะอุด้ง หรืออุด้งร้อนในน้ำซุปที่ทำจากดาชิ โชยุ มิริน โปะหน้าด้วยฟองเต้าหู้ทอดแผ่นใหญ่ต้มซีอิ๊วหวาน โรยด้วยต้นหอมซอย เป็นอุด้งในแบบฉบับโอซาก้าแท้ๆ ที่คนโอซาก้านิยมกินมากๆ คำว่าคิทสึเนะในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวว่า สุนัขจิ้งจอก ในตำนานเชื่อว่าเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าอินาริ (เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม)  ช่วยจับสัตว์ที่เข้ามาก่อกวนพืชพรรณในไร่นา ผู้คนจึงถวายแผ่นเต้าหู้ทอดในศาลเจ้าอินาริเพื่อแสดงความขอบคุณ เลยเป็นที่มาของการเรียก ซูชิที่ห่อด้วยแผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะว่า อินาริซูชิ (Inari Sushi) ส่วน อุด้ง ที่ใส่แผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะก็เรียกว่า คิทสึเนะอุด้งนั่นเอง

อาหารโอซาก้า คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

5. บูตะมัน (Butaman)

บูตะมันคือซาลาเปาเนื้อนุ่มไส้หมูที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงหลังการฟื้นฟูเมจิ เมื่อซาลาเปาจีนที่เคยเข้ามาในย่านไชน่าทาวน์ถูกดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมสไตล์ญี่ปุ่น หากเทียบกับซาลาเปาในภูมิภาคอื่นๆ บูตะมันของโอซาก้ามีขนาดใหญ่ใส่เนื้อหมูและหัวหอมชุ่มฉ่ำอยู่ในแป้งเนื้อนุ่ม บางร้านอาจใส่ผักสับละเอียดลงไปด้วย เช่น ทาโทโกะ (หน่อไม้) หรือเห็ดหอมแห้ง วิธีรับประทานส่วนใหญ่จะแบ่งขนมปังออกเป็นสองส่วนแล้วจิ้มมัสตาร์ดรสเผ็ด หรือราดด้วยซอสเปรี้ยวและซีอิ๊ว โอซาก้ามีร้านขายบูตะมันโดยเฉพาะมากมายซึ่งมีหลายรูปแบบ บางแบบจะอันใหญ่ไส้เยอะ หรือบางแบบก็ทำขนาดเล็กและแป้งหุ้มบาง เครือร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งได้เปิดร้านทั่วภูมิภาคคันไซ โดยขายซาลาเปาได้มากถึง 170,000 ชิ้นต่อวัน คุณสามารถหาซื้อบูตะมันได้ตามร้านที่ขายโดยเฉพาะ หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่นึ่งสดใหม่ หรือจะซื้อกลับบ้านแบบแช่เย็นหรือแช่แข็งก็ได้ บางคนก็ซื้อบูตะมันในสถานีรถไฟเพื่อเป็นของขวัญและของที่ระลึก

อาหารโอซาก้า บูตะมัน (Butaman)

6. ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

ชื่อฮาโกะซูชิอาจไม่คุ้นหูพวกเรากันนัก แต่ถ้าถามคนโอซาก้าแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันหมดทุกคน เนื่องจากฮาโกะซูชิถือว่าเป็นซูชิแบบต้นตำรับของโอซาก้าที่มีมานานมากๆ แล้ว และมีรูปแบบที่แตกต่างจากซูชิแบบทั่วไปที่เรารู้จักกัน โดยจะเป็นซูชิที่ทำจากข้าวหุงในน้ำส้มสายชู ผสมกับส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ปลาไหลปรุงรส กุ้ง ปลาทรายแดงเล็ก และไข่หวาน อัดลงในกล่องไม้หรือฮาโกะ ถอดออกมาก้อน แล้วจึงหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ จึงเป็นที่มาของชื่อ “โอชิ-ซูชิ (ข้าวปั้นที่ถูกกดทับเป็นสี่เหลี่ยม)” ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยเมจิ (1868-1912) ต่อมานำมาประยุกต์เป็นฮาโกะซูชิ ที่เป็นอาหารสำหรับแขกหรือการเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ โดยรูปลักษณ์ที่สดใสและมีสีสันของซูชิเป็นตัวแทนของโอซาก้า ป้จจุบันมีจำนวนร้านอาหารที่ขายฮาโกะซูชิมีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากขั้นตอนการทำต้องใช้เวลาและความชำนาญ แต่เทคนิคและรสชาติยังได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น

อาหารโอซาก้า ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

7. เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

เบนิโชงะหรือชิงดองสีชมพูเป็นหนึ่งในเครื่องเคียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเมื่อรับประทานกิวด้งหรือข้าวหน้าเนื้อ และเป็นเมนูที่คุณรับประทานได้ไม่อั้น มีขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น และโอซาก้าเป็นเมืองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นในด้านการทำขิงดองและเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนโอซาก้าจะนำเบนิโชกะมาปรุงเป็นอาหารโอซาก้า แบบใหม่ๆ อาหารที่ไม่ธรรมดาที่สุดที่คุณสามารถพบได้ในโอซาก้าเท่านั้นคือเบนิโชงะเทมปุระ โดยนำเบนิโชงะมาหั่นเป็นแผ่นเสียบไม้ แล้วทอดชุบแป้งทอดแบบเทมปุระ คุณสามารถรับประทานเปล่าๆ หรือจิ้มซอสวูสเตอร์ก็ได้ เหมาะสำหรับเป็นอาหารทานเล่นเวลาดื่มเหล้า หากคุณชอบรับประทานเบนิโชงะหรือขิงดองรสเข้มข้น คุณต้องลองเบนิโชงะโนะเทมปุระแสนอร่อยนี้

อาหารโอซาก้า เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

ขอบคุณรูปภาพจาก: kyoudo-ryouri.com, gourmetbclass.travellerspoint.com

แหล่ง ร้านอาหารโอซาก้า ที่คุณห้ามพลาด

1. ย่านนัมบะ

การเดินทางไปยังสถานีนัมบะเรียกได้ว่าสะดวกมาก เพราะเป็นบริเวณที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมหลักของโอซาก้าที่มีทั้งรถไฟจาก JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า รถไฟฟ้านันไค รถไฟฟ้าฮันชิน และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่น จึงมี ร้านอาหารโอซาก้า และร้านอาหารมากมายทั้งในตัวสถานี ตลาด และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ด้านนอก อย่างเช่น ตลาดคุโรมงอิจิบะ (Kuromon Ichiba Market) ศูนย์การค้านัมบะพาร์ค โอซาก้า (Namba Parks Osaka) และศูนย์การค้านัมบะซิตี้ โอซาก้า (Namba City Mall) เป็นต้น

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านนัมบะ

2. ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทุกคนเมื่อมาโอซาก้าคือย่านชินไซบาชิ ซึ่งอยู่สถานีถัดจากนัมบะหากนั่งรถไฟใต้ดิน และโดทงโบริคือถนนช้อปปิ้งที่ยาวเชื่อมระหว่างสถานีนัมบะและสถานีชินไซบาชิ คุณสามารถเดินจากสถานีนัมบะไปโดทงโบริโดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

ระหว่างทางที่เชื่อมระหว่างชินไซบาชิและโดทงโบริ คุณจะพบกับ ร้านอาหารแบบดั้งเดิมและ ร้านอาหารโอซาก้า ยอดนิยมมากมายที่น่าลอง หากมาในย่านนี้ คุณควรต้องมาตอนท้องว่างเท่านั้น!

3. ย่านอุเมดะ

อุเมดะเป็นหนึ่งย่านใจกลางเมืองโอซาก้า และหมายถึงพื้นที่รอบๆ สถานี JR โอซาก้า สถานีโอซาก้า-อุเมดะ สถานีอุเมดะ สถานีฮิกาชิ-อุเมดะ และสถานีนิชิ-อุเมดะ ถือได้ว่าสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายมาก เราสามารถนั่งรถไฟจากอุเมดะไปยังนัมบะหรือชินไซบาชิโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ย่านอุเมดะมีทั้งศูนย์การค้า ร้านอาหาร และร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นและอาหารว่างที่มีขายอยู่ทุกถนน

อาหารที่ต้องลองในย่านนี้มีให้เลือกมากมาย ทั้งทาโกะยากิ ปลาปักเป้า เนื้อโกเบ และเมื่อคุณทาอาหารจนอิ่มแล้ว คุณสามารถเลือกร้านกาแฟที่มีทิวทัศน์สวยงามให้คุณได้นั่งพักผ่อนเช่นกัน

4. ย่านชิน-โอซาก้า

ที่นี่คือสถานีรถไฟชินคันเซ็นที่จอดที่โอซาก้าก่อนมุ่งหน้าไปยังเกียวโต โกเบ นารา โตเกียว หรือจุดหมายปลายทางสำคัญอื่นๆ ในญี่ปุ่น และสถานีนี้ยังมีให้บริการรถไฟ JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า และรถไฟสายอื่นๆ อีกหลายสาย คุณสามารถนั่งรถไฟจากย่านนัมบะมาที่ชิน-โอซาก้าโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือนั่งรถไฟ 5 นาทีจากสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอุเมดะ

ภายในสถานีมีร้านอาหารมากกว่า 30 ร้าน รวมถึงร้านอาหารที่เป็นแบรนด์ของโอซาก้าที่ต้องลอง หรืออาหารสตรีทฟู้ดก็มีให้เลือกมากมาย คุณสามารถหาทานอาหารยอดนิยมของโอซาก้า อย่างโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ หรืออุด้ง ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล หรือหากต้องการอาหารที่มีเฉพาะที่ ก็ซื้ออาหารกล่องบนรถไฟหรือ ‘เอกิเบน’ เมนูที่เราอยากแนะนำก็คือชุดเนื้อโกเบหรือลิ้นวัวที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

5. ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

บริเวณนี้รายล้อมไปด้วยสถานีโดบุทสึเอ็นมาเอะ (Dobutsuen-mae) สถานีเอบิซุโจ (Ebisucho) ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหอคอยสึเต็งกากุ (Tsutenkaku) และสถานีเทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งเป็นสถานีตามเส้นทางของรถไฟใต้ดินโอซาก้า เป็นย่านที่เป็นจุดแวะชิมอีกแห่งหนึ่งแห่งที่ใช้เวลาเดินจากสถานีต่างๆ ประมาณ 10 นาที หากนั่งรถไฟจากนัมบะไปสถานีเอบิซูโชใช้เวลาประมาณ 15 นาที  และจากอุเมดะจะใช้เวลาประมาณ 25 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

ถนนช้อปปิ้งชินเซไกมีความย้อนยุคแบบเต็มรูปแบบ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดุดตาที่สุดในย่านนี้ ที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของคุชิคัตสึ หนึ่งในอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของโอซาก้า คุณสามารถลองชิมรสชาติแบบดั้งเดิมจากร้านค้าต่างๆ หรือร้านอิซากายะราคาไม่แพงแต่อร่อย นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ควรชิมอีกอย่างเช่น ซูชิ แซนด์วิชเนื้อ คุณจะพบร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น หรือร้านกาแฟทันสมัยได้ที่นี่

ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวโอซาก้ามีอะไรบ้าง นอกเหนือจากการลองชิมอาหารอร่อย  คุณอาจลองเข้าคลาสทำอาหารต้นตำรับของโอซาก้า หรือแวะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เมื่อเราได้ข้อมูลการพยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ปี 2024 มาแล้ว (หากใครที่ยังไม่มีข้อมูลสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่บทความ พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! ได้ที่นี่เลย!) ก็เตรียมตัววางแผนไป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่ญี่ปุ่นกันได้เลย! ในช่วงเวลานี้คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามสถานที่ต่างๆ ของญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง สัมผัสลมหนาวที่กำลังเริ่มพัดเข้ามาแทนที่อากาศร้อน ได้เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ในญี่ปุ่นกำลังเริ่มเปลี่ยนสีเตรียมผลัดใบ ทิวทัศน์โดยรอบถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดใส สีส้ม และสีเหลืองทองของใบไม้เปลี่ยนสีจนดูราวกับงานศิลปะอันน่าทึ่ง

Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ของคุณโดยประมาณมาให้แล้วค่ะ

คุณสามารถเลือกสถานที่ในการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าตื่นตาตื่นใจได้หลายแห่งในญี่ปุ่นทั้งในเมืองและพื้นที่ธรรมชาตินอกเมือง รวมถึงสวนสาธารณะ สวน วัด ศาลเจ้า และภูเขา นอกจากนี้ สถานที่หลายแห่งจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีและกิจกรรมพิเศษต่างๆ รวมถึงจัดแสงไฟยามค่ำคืนเพื่อให้ชมความงามของใบไม้ที่มีไฟส่องสว่างด้วย

1. ภูมิภาคฮอกไกโด (เมืองซัปโปโร/เมืองฮาโกดาเตะ)

ฮอกไกโดตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของหมู่เกาะญี่ปุ่น และมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ จึงเป็นที่ที่เผยโฉมสีสันแรกของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสีเริ่มต้นที่ภูเขาอาซาฮีในกลุ่มภูเขาไฟไดเซ็ตสึซัง และค่อยๆ ไล่สีลงไปทางใต้ มัทั้งต้นไม้ใบกว้างอย่างเช่น ต้นเมเปิล และต้นสนผสมผสานกัน ทำให้เกิดการผสมผสานเฉดสีแดง เหลือง และเขียวอันสวยงาม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

กลางเมืองซัปโปโร (Supporo City) – ประมาณวันที่ 8 พฤศจิกายน: มหาวิทยาลัยฮอกไกโดและสวนสาธารณะนากาจิมะ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี มหาวิทยาลัยฮอกไกโด (Supporo City)

โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen) – ประมาณวันที่ 17-26 ตุลาคม: เมื่องน้ำพุร้อนที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองซัปโปโรโดยรถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมง โดดเด่นด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามริมแม่น้ำโทโยฮิระอันเงียบสงบ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โซอุนเคียว (Sounkyo) – ประมาณวันที่ 10-20 ตุลาคม: หมู่บ้านออนเซ็นที่อยู่ในอ้อมกอดของภูเขาสูงตระหง่านในเขตอุทยานแห่งชาติได้เซ้ตสึซัง (Daisetsuzan) เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีหน้าผาสูงตระหง่าน น้ำตก และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

โซอุนเคียว (Sounkyo)

โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen) – ประมาณวันที่ 24 ตุลาคม-11 พฤศจิกายน: เมืองแห่งน้ำพุร้อนชื่อดังในฮอกไกโด ล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น เต็มไปด้วยไอน้ำและกลิ่นกำมะถันที่ฟุ้งขึ้นจากใต้ดิน และเป็นแหล่งออนเซ็นชั้นดี

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen)

2. ภูมิภาคโทโฮคุ (เมืองเซนได/เมืองอาโอโมริ)

โทโฮคุ (Tohoku) หมายถึงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของ 6 จังหวัดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องธรรมชาติแสนสวยจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อย่างเช่น เทือกเขาชิราคามิซันจิ (Shirakami-Sanchi) ในจังหวัดอาโอโมริ และเมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) ในจังหวัดอิวาเตะ ช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคโทโฮคุอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงกลางตุลาคม – ปลายเดือนพฤศจิกายน เร็วกว่าโตเกียวราวครึ่งเดือน

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge) – ประมาณวันที่ 29 ตุลาคม-6 พฤศจิกายน: บริเวณหุบเขาโออิราเสะร่มรื่นไปด้วยเสียงน้ำตกและอากาศสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะกับการเดินเล่นไปตามทางเดินเลียบหุบเขาเพื่อชื่นชมกับความงามของใบไม้เปลี่ยนสีตลอดความยาว 14 กิโลเมตรของลำธารโออิราเสะ ที่ไหลลงไปสู่ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) – ประมาณวันที่ 30 ตุลาคม-12 พฤศจิกายน: หนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ บริเวณหุบเขาแห่งนี้จะงดงามไปด้วยสีแดง สีทอง และสีส้มสดใสของใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge)

เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain) – ประมาณวันที่ 15 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: เทือกเขาซาโอะเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ระหว่างจังหวัดยามากาตะและจังหวัดมิยางิ มีใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงาม คุณสามารถนั่งกระเช้าชมวิวจากมุมสูงของเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แดงได้อย่างเต็มตา

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) – ประมาณวันที่ 9-18 พฤศจิกายน: เมืองเล็กๆ ในจังหวัดอาคิตะ มีชื่อเสียงเรื่องย่านที่อยู่อาศัยของซามูไรสมัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและถนนที่งดงามซึ่งเรียงรายไปด้วยต้นซากุระเก่าแก่ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง บริเวณนี้จะมีชีวิตชีวาด้วยสีสันที่สดใส ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าหลงใหล

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)

หุบเขาเกบิเค (Geibikei Gorge) – ประมาณวันที่ 4-13 พฤศจิกายน: หุบเขาเกบิเคตั้งอยู่ในจังหวัดอิวาเตะ มีแม่น้ำอันเงียบสงบขนาบข้างด้วยหน้าผาสูงชันและป่าไม้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใสในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

3. ภูมิภาคคันโต (เมืองโตเกียว/โยโกฮาม่า)

พื้นที่โตเกียวและปริมณฑลมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงย่านนิกโกอันโด่งดังและถนนแปะก๊วยสีทองในเมจิจิงกุไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) นอกจากนี้ บรรยากาศอันเงียบสงบของสวนสาธารณะต่างๆ ในภูมิภาค ยังช่วยให้คุณดื่มด่ำไปกับสีสันอันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง โดยช่วงเวลาในการชมจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม: ถือเป็นภูเขาที่คนนิยมเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เนื่องจากเดินทางสะดวกและมีหลายเส้นทางเดินป่าที่ประดับประดาด้วยใบไม้หลากสีสันช่วยให้หลีกหนีความวุ่นวายจากในเมือง และหากเป็นช่วงที่ฟ้าโปร่ง สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

นิกโก (Nikko) – ประมาณวันที่ 6-19 พฤศจิกายน: นิกโก้มีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามของวัดและศาลเจ้าต่าง ๆ จนองค์การยูเนสโก้ถูกประกาศให้เป็นเขตมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1999 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นิกโกจะกลายเป็นจุดชมวิวที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และมีภูเขาที่ทอดยาว มีสถานที่มากมายที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับฤดูใบไม้ร่วงในนิกโกได้ เช่น ภูเขา ทะเลสาบ และน้ำตก เป็นต้น

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี นิกโก (Nikko)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาแต่สมัยโบราณ มีธรรมชาติอันงดงาม ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (กิงโกะ) ที่เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร จะเปลี่ยนเป็นสวรรค์สีทองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาด

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

ฮาโกเน่ (Hakone) – ประมาณวันที่ 13-28 พฤศจิกายน: ฮาโกเนะเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ และคุณจะสามารถมองเห็นภูเขาฟูจิได้จากฮาโกเนะในวันที่มีอากาศสดใส สถานที่ติดอันดับสำหรับการชมใบไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงในฮาโกเนะคือสวนสาธารณะโกระ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮาโกเนะ ทะเลสาบอะชิโนะโกะ วัดโชอันจิ และรถไฟสายฮาโกเนะโทซัง

ฮาโกเน่ (Hakone)

คามิโคจิ (Kamikochi) ประมาณวันที่ 21 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: คามิโคจิตั้งอยู่ในเมืองนากาโนะ บริเวณเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น ถือเป็นอัญมณีบริสุทธิ์ที่ได้รับการยกย่องจากความงามที่ยังบริสุทธิ์และสีสันใบไม้ร่วงอันงดงาม บริเวณนี้มีแม่น้ำที่ใสราวกับคริสตัล ยอดเขาสูงตระหง่าน และใบไม้สีแดง สีส้ม และสีทองอันอุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี คามิโคจิ (Kamikochi)

4. ภูมิภาคโฮคุริคุ (เมืองคานาซาว่า/เมืองฟุคุอิ)

ภูมิภาคโฮคุริกุครอบคลุมพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของเกาะฮอนชู มีชื่อเสียงในด้านเทือกเขาที่กว้างใหญ่และมีหิมะตกหนักในช่วงฤดูหนาว ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในโฮคุริคุ แต่สถานที่บางแห่งอาจมีใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คสภาพอากาศและพยากรณ์เป็นระยะก่อนการเดินทาง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม: เป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นมากของเมืองคานาซาวะ ที่สายธรรมชาติห้ามพลาดกันเลย เพราะที่นี่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของสวนที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของสวนที่งดงามตระการตามาก และถ้าไปช่วงเทศกาลที่มีการประดับไฟตอนกลางคืน จะทำให้บรรยากาศที่น่าหลงใหลและมหัศจรรย์

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en)

หุบเขาคุซูริว (Kuzuryu Gorge) – ประมาณวันที่ 4-15 พฤศจิกายน: หุบเขาคุซูริวอยู่ในจังหวัดโทยามะ คุณจะได้เห็นสีสันของฤดูใบไม้ร่วงตามเส้นทางเดินป่าเลียบไปตามแม่น้ำคุซูริวที่ใสสะอาดไหลอยู่เบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam) – ประมาณวันที่ 4-17 ตุลาคม: พื้นที่เขื่อนคุโรเบะล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่าน มองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของใบไม้หลากสีสันที่สะท้อนบนผืนน้ำอันเงียบสงบเบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)

5. ภูมิภาคชูบุ (ภูเขาไฟฟูจิ/เมืองกิฟุ/เมืองนาโกย่า)

ภูมิภาคชูบุเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น มีจุดที่งดงามมากมายพร้อมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม พื้นที่ทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ รวมถึงทะเลสาบคาวากุจิ มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านใบไม้ที่สวยงามตระการตา

ทะเลสาบคาวากุจิในเดือนพฤศจิกายนจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีทางตอนเหนือ สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปชมคือทางเดินโมมิจิ ซึ่งคุณสามารถเก็บภาพทิวทัศน์อันน่าทึ่งของภูเขาไฟฟูจิและใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชีวิตชีวาได้ในเฟรมเดียว เป็นภาพสัญลักษณ์ที่มักปรากฏบนโปสการ์ดและเว็บไซต์ท่องเที่ยว ทำให้ที่นี่เป็นไฮไลท์ของการมาเยือนภูมิภาคนี้

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi) – ประมาณวันที่ 15-24 พฤศจิกายน: หนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยผืนน้ำอันเงียบสงบและทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาไฟฟูจิ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงาม

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi)

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม): ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิซุ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขียวขจี สวนสาธารณะในฤดูใบไม้ร่วงจะประดับประดาไปด้วยใบไม้หลากสีสัน มอบบรรยากาศอันเงียบสงบสำหรับผู้รักธรรมชาติ

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) (ดีที่สุดตั้งแต่วันที่ 2-15 พฤศจิกายน): ในจังหวัดกิฟุ เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่มีชื่อเสียงจากบ้านหลังคามุงจากแบบดั้งเดิมที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา แวดล้อมด้วยธรรมชาติชาติที่เป็นฉากหลังอันน่าทึ่งสำหรับสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

สวนโยโระ (Yoro Park) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-8 ธันวาคม: ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ มีเป็นพื้นที่ธรรมชาติสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีและงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะเห็นความสวยงามสีสันท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ นอกจากนี้ ยังมีทั้งน้ำตก ศาลเจ้า หมู่บ้าน และอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีให้คุณได้ชื่นชมอีกด้วย

6. ภูมิภาคคันไซ (เมืองเกียวโต/เมืองโอซาก้า)

ภูมิภาคคันไซเป็นที่ตั้งของเมืองประวัติศาสตร์สำคัญๆ เช่น เกียวโตและโอซาก้า มีสถานที่ท่องเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีมากมายในฤดูใบไม้ร่วง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

เมืองเกียวโต (Kyoto) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: เกียวโตมีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามของทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอันน่าทึ่ง ที่คุณจะได้เห็นการผสมผสานของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมกับสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง จุดไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ อาราชิยามะ วัดคิโยมิสึเดระ และวัดเอนโคจิ ท่ามกลางสถานที่สวยงามอื่นๆ อีกมากมาย

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองเกียวโต (Kyoto)

เมืองโอซาก้า (Osaka) – ประมาณวันที่ 16 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีห้ามพลาด ได้แก่ ปราสาทโอซาก้า น้ำตกมิโนะ และถนนมิโดสุจิ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองโอซาก้า (Osaka)

เมืองนารา (Nara) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: สำรวจความงามของสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงได้ตามศาลเจ้าและวัดเก่าแก่ สวนนารา หรือเดินเขาชมทิวทัศน์ที่ภูเขาโยชิโนะ

เมืองชิงะ (Shiga) – ประมาณวันที่ 24 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม: สถานที่ห้ามพลาดคือปราสาทฮิโกเนะที่สวยงามเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วง ถนนต้นสน Metasequoia Namiki ในเมืองทาคาชิมะ ที่มีชื่อเสียงจากละครโทรทัศน์ยอดนิยม และมีต้นสนเมตาเซโคเอียประมาณ 500 ต้นตลอดถนนระยะทาง 2.4 กม. สีสันอันน่าทึ่งของฤดูใบไม้ร่วงทำให้ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน “100 เส้นทางชมวิวแห่งใหม่” ของญี่ปุ่น

7. ภูมิภาคชูโกกุ (เมืองฮิโรชิม่า/เมืองโอคายามะ)

ภูมิภาคชูโกกุตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 5 จังหวัด รวมถึงฮิโรชิม่าและโอคายามะ

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima) – ประมาณวันที่ 16-29 พฤศจิกายน: เกาะมิยาจิมะ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าเกาะอิทสึคุชิมะ สถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือประตูโทริอิสีแดงอันใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลและศาลเจ้ามรดกโลกอิทสึคุชิมะ อาคารเก่าแก่บนเกาะแห่งนี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นเมื่อประดับด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วโลก

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima)

สวนโอคายามะ โคระคุเอ็น (Okayama Korakuen) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน-6 ธันวาคม: เป็นหนึ่งในสามของสวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งได้สามดาวจากมิชลินกรีนไกด์ เป็นสวนที่ได้รับการวางผังเป็นอย่างดีจัดแสดงภูมิทัศน์อันงดงามและสถาปัตยกรรมที่กลมกลืนกัน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สีสันของใบไม้จะเพิ่มสัมผัสแห่งความงามอันสดใสให้กับบรรยากาศอันเงียบสงบ และช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความงามของสวนที่มีการจัดแต่งไฟที่ให้ภาพที่งดงามแตกต่างจากตอนกลางวัน

หุบเขาโอคุตสึ (Okutsu Valley) – ประมาณวันที่ 8-21 พฤศจิกายน: หุบเขาโอคุตสึเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดโอคายาม่า คุณจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของใบไม้สีแดงเข้ม ส้มอบอุ่น และสีเหลืองสดใสตามเส้นทางที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ราวกับผืนผ้าใบอันน่าหลงใหลที่มีในฤดูใบไม้ร่วง

8. ภูมิภาคชิโกะคุ (เมืองคากาวะ/เมืองโทคุชิมะ)

ภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) คือ 1 ใน 4 เกาะหลักของญี่ปุ่น โอบล้อมด้วยทะเลเซโตะ (Seto Inland Sea) และมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime), จังหวัดคางาวะ (Kagawa), จังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) และจังหวัดโคชิ (Kochi) บนเกาะนี้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อากาศค่อนข้างอบอุ่น มีเส้นทางปั่นจักรยาน มีเส้นทางจาริกแสวงบุญที่ยาวนานถึง 1,200 ปีไปยังวัด 88 แห่ง ทั้งนี้พื้นที่บริเวณโดยรอบยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีมนต์เสน่ห์น่าค้นหา

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

สวนริทสึริน (Ritsurin Garden) – ประมาณวันที่ 22 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม: สวนริทสึรินตั้งอยู่ในเมืองทะคะมัทสึ  และถือเป็นสวนที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้มีบ่อน้ำ 6 บ่อ และเนินเขาที่มีภูมิทัศน์สวยงาม 13 ลูก โดยมีภูเขาชิอินเป็นฉากหลัง สวนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ทิวทัศน์รอบตัวคุณเปลี่ยนแปลงไปในทุกย่างก้าว

หุบเขาคันคาเค (Kankakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม: ตั้งอยู่กลางเกาะโชโดะในจังหวัดคางาวะ เป็นหนึ่งในสามหุบเขาที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับรางวัล 1 ดาวจากมิชลินกรีนไกด์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาแห่งนี้จะมีสีสันสวยงามไปทั้งหุบเขา ควรขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเพื่อชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของหุบเขา

ช่องเขานาเมโทโกะ (Nametoko Gorge) – ประมาณวันที่ 19-30 พฤศจิกายน): เพลิดเพลินกับธรรมชาติใน หุบเขาที่ทอดตัวไปตามริมแม่น้ำเมกุโระ มีลำธารใสสะอาดไหลผ่านตามโขดหินท่ามกลางป่ามอสที่สวยงาม และน้ำตกยูกิวะไหลลงมาตามผาหินขนาดยักษ์ ช่องเขานาเมโทโกะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบเดินป่าและจุดชมวิวที่มีเสน่ห์อย่างมากโดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขาอิยะ (Iya Valley) คือหนึ่งในสามสถานที่ unseen หรือสถานที่เร้นลับที่ยังไม่ค่อยมีผู้มาเยือนของญี่ปุ่น มีแม่น้ำโยชิโนะ (Yoshino River) ไหลผ่านกลาง นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับภูเขาสีสันสวยงามด้วยใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาอิยะ (Iya Valley)

9. ภูมิภาคคิวชู (เมืองฟุกุโอกะ/เมืองคาโกชิม่า)

ภูมิภาคคิวชู (Kyushu) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ประกอบด้วย 7 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka) จังหวัดซะกะ (Saga) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto) จังหวัดโออิตะ (Oita) จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima) ภูมิภาคนี้มีอากาศที่อบอุ่นและมีภูมิประเทศสูงต่ำสลับกัน มีทะเลและภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีจุดเด่นที่แหล่งประวัติศาสตร์เมืองโบราณทางตอนใต้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่มีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงอาหารพื้นเมืองน่าลิ้มลองอีกหลายชนิด

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขายาบาเคอิ (Yabakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14-26 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ในเมืองนาคัตสึ จังหวัดโออิตะ เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันมีสีสันของภูมิภาค เราขอแนะนำคุณมาเยี่ยมชมก่อนพระอาทิตย์ตกดินเพื่อชมการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์จากแสงสว่างไปสู่ความมืด และบางส่วนของพื้นที่จะมีการประดับไฟในตอนกลางคืน

หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) – ประมาณวันที่ 22-30 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยะซะกิ มีหน้าผาสูงชันทอดตัวเป็นแนวยาวถึง 7 กิโลเมตร และเต็มไปด้วยสถานที่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามลึกลับ มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีกระจายอยู่ทั่ว กิจกรรมที่แนะนำเมื่อมาเยือนที่นี่ คือการพายเรือผ่านน้ำตกมะนะอิโนทาคิ (Manainotaki Waterfall) ที่มีความสูงถึง 17 เมตร ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของหุบเขาแห่งนี้ แล้วชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด ภาพของหุบเขา น้ำตก และใบไม้สีเหลืองและแดงรวมกันกลายเป็นความงดงามทางธรรมชาติราวกับภาพวาดที่หาชมได้ยาก

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge)

สวนพฤกษศาสตร์ชิราโนเอะ (Shiranoe Botanical Garden) มีพื้นที่กว้างขวางให้ได้เดินชมความงามของธรรมชาติทั้ง 4 ฤดู สามารถมาชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือน จุดชมใบไม้แดงเด่นๆ ได้แก่ Iriguchi hiroba ตรงทางเข้า, Komorebi no ro ที่มีต้นเมเปิลกว่า 800 ต้น และ Rakuyo no mori ที่มีต้นเมเปิลอิโรฮะโมมิจิขนาดใหญ่ที่ถูกปลูกเมื่อ 50 ปีก่อน

วางแผน เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องจากช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงควรเริ่มวางแผนทริปล่วงหน้าทันทีที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน เราสามารถกะเวลาโดยประมาณจากพยากรณ์ข้างต้น เพื่อจัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก เขียนกำหนดการอย่างคร่าวๆ เตรียมเอกสารที่จำเป็น และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com, matcha-jp.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด!

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่สวยงามที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ อุณหภูมิที่เย็นขึ้นและสภาพอากาศที่สดใสทำให้เรารู้สึกสดชื่น สิ่งที่ทำให้ผู้คนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็คือสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ที่เรียกว่า koyo ในภาษาญี่ปุ่น ทำให้ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ในหลายๆ สถานที่กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่มีเฉดสีสดใส สร้างทิวทัศน์อันตระการตาของใบไม้สีแดง สีส้ม และสีเหลืองในป่าหลายแห่งของประเทศ

เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำกับความงดงามของฤดูกาล Allianz Travel จะพาคุณไปยัง 9 สถานที่เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่ดีที่สุด รวมถึงช่วงเวลาและวิธีเดินทางไปที่นั่นด้วย เตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเลยค่ะ!

1. ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) – จังหวัดยามานาชิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) ที่เที่ยวญี่ปุ่น สุดฮิตของนักท่องเที่ยว โดย ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้งห้า (ทะเลสาบคาวากุจิ ทะเลสาบยามานากะ ทะเลสาบโมโตสึ ทะเลสาบโชจิ และทะเลสาบไซโกะ) ที่อยู่เชิงภูเขาไฟฟูจิ ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิมากที่สุดจนเรียกได้ว่าเป็นประตูสู่ฟูจิ เป็นจุดชมความงามของภูเขาไฟฟูจิในหลากหลายวิว บริเวณทะเลสาบจะเน้นชมวิวแนวธรรมชาติ โดยการนั่งรถ Retro bus เพื่อชมวิวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ โดยรอบ หรือจะเลือกที่จะขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชมวิวและล่องเรือในทะเลสาบคาวากุจิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko)

สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยสุดโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งในแถบภูเขาไฟฟูจิโดดเด่นที่สุดคืออุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko เป็นไฮไลท์หลักที่หากมาเที่ยวคาวากุจิโกะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็นจุดที่ห้ามพลาดเลย ที่นี่เป็นถนนเลียบคลองสายเล็กๆ ที่มีต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่นเรียงรายตลอดสองข้างทางจนดูเหมือนอุโมงค์ที่ยาวเกือบ 1.5 กม. คุณจะได้เห็นภาพใบไม้แดงร่วงหล่นลงมาย้อมทางน้ำจนปกคลุมเป็นสีแดงไปทั่ว ในตอนกลางคืนยังมีการประดับไฟตามทางเดินไปตลอดแนว ต้นเมเปิลญี่ปุ่นสีสันสดใสจะสว่างไสวสวยงามมากๆ ค่ะ

อุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko

นอกจากนี้ จะมีเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่ทะเลสาบคาวากุจิ (Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival) จัดขึ้นทุกปีบนชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบ บริเวณนี้เต็มไปด้วยแผงขายอาหารและของที่ระลึกซึ่งมีงานฝีมือในท้องถิ่นและอีกมากมาย ทะเลสาบคาวากุจิเป็นจุดที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสความงามของสีสันในฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น โดยมีภูเขาไฟฟูจิตระหง่านเป็นฉากหลัง

Fuji Kawaguchiko Autumn

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: ขึ้นรถบัสจากสาถนชินจูกูหรือสถานีชิบูย่า (2.3 ชม.) หรือนั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวไปยังสถานีโอสึกิ (สายหลักชูโอ ประมาณ 1 ชั่วโมง 16 นาที); จากสถานี Ōtsuki ถึงสถานี Kawaguchiko (สาย Fujikyuko ประมาณ 43 นาที)

พิกัด: https://goo.gl/maps/e9woio6u4ZvPKJV96

2. เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ที่เที่ยวญี่ปุ่น อีกแห่งหนึ่งในโตเกียวที่เราอยากแนะนำคือสวนเมจิจิงงูไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน คุณจะได้เห็นต้นแปะก๊วย 146 ต้นที่ปลูกเรียงรายอยู่ตามถนนกว้างเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใสและใบไม้ที่ร่วงหล่นทำให้ถนนยาว 300 เมตรแห่งนี้กลายเป็นถนนที่เต็มไปด้วยสีเหลืองทองที่สวยงามมาก

เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เป็นช่วงเวลาที่ดีในการชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น เนื่องจากบริเวณนี้ห้ามยานพาหนะทุกคันผ่านและกลายเป็นสวรรค์สำหรับคนเดินถนน ให้คุณเดินเล่นสบาย ๆ ผ่านปรากฏการณ์อันน่าประทับใจนี้

คุณสามารถแวะนั่งที่ร้านกาแฟในพื้นที่ นั่งชมทัศนียภาพอันน่ามหัศจจรย์ของต้นแปะก๊วยสีทอง และทุกปีจุดชมใบไม้ร่วงแห่งนี้ดึงดูดผู้คนได้ประมาณ 1,800,000 คน ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟมาลงสถานีชินาโนะมาจิ  JR Shinamomachi (JR สายชูโอ-โซบุ) หรือสถานีรถไฟใต้ดิน รือ สถานีรถไฟใต้ดิน Gaiemmae และ Aoyama-itchome แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/oLzA2F5u2y1AGtfE6

3. ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

ทะเลสาบโทวาดะเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่อยู่ระหว่างจังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ ธรรมชาติที่เขียวชอุ่มและทิวทัศน์ตามฤดูกาลของทะเลสาบก็น่าทึ่งมาก ต้นไม้ผลัดใบ เช่น บีช เมเปิล และโรแวนญี่ปุ่น เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนชายฝั่งของทะเลสาบโทวาดะ ซึ่งจะสร้างสีสันไปพร้อมๆ กันเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง

ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

สีแดงและสีเหลืองอันตระการตาตัดกับผืนน้ำสีฟ้าของทะเลสาบ ทำให้เกิดทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ร่วงที่สดใสและอุดมสมบูรณ์จนเกือบจะดูเหมือนภาพวาด จุดชมวิวโคงาคุได (Kogakudai) และจุดอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้คุณสามารถชมวิวได้จากหลายมุม

นอกจากชื่นชมความงามจากจุดชมวิวแล้ว คุณสามารถเลือกนั่งเรือล่องไปตามน่านน้ำของทะเลสาบนอกฤดูหนาวและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงของทะเลสาบโทวาดะจากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร!

Lake Towada

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง (ชินคันเซ็น/รถไฟ): จากสถานีโตเกียวไปยังสถานี Shin-Aomori (Tohoku Shinkansen ประมาณ 3 ชั่วโมง); จากสถานี Shin-Aomori ถึงป้ายรถประจำทาง Yasumiya (รถบัสประจำทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง)

พิกัด: ใกล้ Towadakohanyasumiya-486 Okuse, Towada, Aomori 034-0301

4. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) จังหวัดยามากาตะ

วัดยามาเดระแปลตามตัวได้ว่า “วัดภูเขา” หากเรียกชื่ออย่างเป็นทางการก็คือวัดริชาคุจิ (Risshakuji Temple) เป็นวัดพุทธเก่าแก่ของนิกาย Tendai ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 860 ในสมัยคามาคุระ ซึ่งนับว่ามีอายุมากกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่บนเขาในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku)

Yamadera, Yamagata

วัดนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบด้วยธรรมชาติ เป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยมีบันไดหินเรียงรายกว่า 1,000 ขั้นที่นำพาผู้มาเยือนขึ้นไปสู่ไฮไลท์ของวัดคือวิหารโกไดโด (Godaido) ที่อยู่ด้านบนสุดชวนให้สัมผัสถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน สำหรับผู้มาเยือนวัดยามาเดระ นอกจากจะได้รับพรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้ามาในฤดูใบไม้ร่วงจะได้เห็นวิวต้นไม้และภูเขาที่เปลี่ยนไปเป็นสีส้มปนแดง สวยจับใจเลยล่ะ

Yamadera

แต่บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่มีผู้ร่วมทางอายุเยอะหรือเจ็บข้อเข่า ควรพิจารณาให้ดีก่อนขึ้น เพราะการเดินขึ้นมีบันไดไปยังชั้นบนสุด ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีลิฟต์หรือกระเช้าใดๆ ช่วยทั้งสิ้นนะคะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: จากสถานีโตเกียว ให้นั่งรถสายไฟโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) ไปลงสถานีเซนได (Sendai Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR สาย เซนซัน (Senzan Line) ไปลงสถานียามาเดระ (Yamadera Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และเดินต่ออีก 5 นาที

พิกัด: 4456-1, Yamadera, Yamagata-shi, Yamagata, 999-3301

5. มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi)

เส้นทางขับรถสายนี้ถือเป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีทัศนียภาพสวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีราวกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้นานาพันธุ์ในป่าอันกว้างใหญ่ที่รายล้อมโดยรอบจะพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีเหลืองสลับส้ม แต่งแต้มสีสันให้ทั่วทั้งพื้นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

จุดที่เป็นไฮไลต์สำคัญคือสะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) สะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ราวกับกำลังลอยอยู่เหนือทะเลใบไม้เปลี่ยนสี และถ้ามองจากสะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge) ก็จะเห็นทิวทัศน์ของสะพานมัตสึมิที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติตระการตา สมกับที่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 มุมถ่ายรูปสวยของฮอกไกโด

บนเส้นทางนี้ยังมีจุดชมวิว Mikuni Pass Observation Deck ซึ่งอยู่ตรงจุดแวะพักรถบริเวณหน้าอุโมงค์ (Mikuni Tunnel) สามารถดื่มด่ำชมวิวพาโนรามาสุดปังของแนวทิวป่าได้อย่างเต็มอิ่ม และยังมีคาเฟ่ (Mikuni Café) ที่ให้นั่งพัก จิบกาแฟ หรือทานอาหาร เพื่อเติมพลังระหว่างเที่ยวกันด้วย

*คาเฟ่เปิดให้บริการช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

การเข้าถึง (เที่ยวบิน+เช่า): จากสนามบินนาริตะ (โตเกียว) ไปยังสนามบินอาซาฮิกาวะ (ฮอกไกโด ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที); จากสนามบินอาซาฮิคาวะถึงมิคุนิพาส (โดยรถยนต์ ประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที)

จากโซอุนเคียว ออนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง มิคุนิพาส หรือหากมาจากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที 

พิกัด: https://goo.gl/maps/sTRGCzy5KgADvAy26

6. วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

วัดบิชามอนโด เป็นวัดในนิกายเทนได (Tendai) ถือเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในวันสำคัญต่างๆ มักมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้ขอพร ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองและครอบครัวมีความสุขปลอดภัยจากอัตรายต่างๆ เพราะมีเทพเจ้าประจำวัดคือบิชามอนเทน (Bishamonten) หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น

วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

ผู้ตนมากมายมุ่งหน้ามายังวัดบิชามอนโด วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในแถบยามาชินะแห่งนี้ เพราะชื่อเสียงเรื่องความงดงามในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และเมื่อต้นเมเปิลสีแดงสดผลัดใบลงสู่พื้นดิน เราจะได้เห็นภาพอันงดงามของอุโมงค์ต้นเมเปิลที่ดูราวกับมีพรมสีแดงปูตลอดทางเข้าสู่บริเวณวัด อีกทั้งยังมีต้นซากุรอายุกว่า 150 ปีคอยต้อนรับผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติอีกด้วย ทำให้วัดบิชามอนโดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงของเกียวโต

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถไฟทั้งสายรถไฟใต้ดินโทไซ (Tozai Subway Line) และสายเคย์ฮัน เคย์ชิน (Keihan Keishin Line) โดยลงที่สถานียามาชินะ (Yamashina Station) และเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที

เวลาเปิดปิด: 8:30 – 17:00 น.

พิกัด: 18, Anshuinariyamacho, Yamashina-Ku, Kyoto-Shi, Kyoto, 607-8003

7. ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ภูมิภาคคันโตเป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่มีจุดชมใบไม้ร่วงที่สวยงามและโดดเด่นหลายแห่ง เช่น น้ำตกโอดาชิโรกาฮาระ (Odashirogahara) และน้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall) และอีกแห่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้ที่ใดก็คือถนนอิโรฮาซากะที่มีความยาวประมาณ 15.8 กิโลเมตร เชื่อมเมืองนิกโกกับทะเลสาบชูเซ็นจิ (ทะเลสาบในอุทยานแห่งชาตินิกโก) ซึ่งขึ้นชื่อด้านโค้งกิ๊บปิ่นโตทั้งหมด 48 โค้งทั้งสองทิศทาง

น้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall)

ถนนอิโรฮาซากะสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1954 และ 1965 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สดใสในทุกโค้ง และไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้เช่ารถ การลดหน้าต่างลงและเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์โดยตรง ช่วงที่สวยขั้นสุดจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม ใบไม้จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ส้ม และแดงสลับกันไป

ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือความคดเคี้ยวของถนนที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถ เราสามารถซื้อทัวร์รถบัสแบบไปเช้าเย็นกลับที่มีอยู่มากมายจากโตเกียวที่ให้บริการผ่านตัวแทนท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยให้เราได้เพลิดเพลินไปกับสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ที่สำคัญหากใครที่มีปัญหาเรื่องเมารถ ขอแนะนำให้ทานยาป้องกันการเมารถไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ป่วยจนต้องหมดสนุกค่ะ

Irohazaka

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนตุลาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวถึงสถานี Utsunomiya (Tohoku Shinkansen) ประมาณ 50 นาที และจากสถานี Utsunomiya ไปถึงที่หมายโดยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือจาก JR หรือ Tobu Nikko Station โดยสารรถบัส Tobu bus ที่ไปยัง Chuzenjiko Onsen หรือ Yumoto Onsen ลงที่ Akechidaira bus stop ใช้เวลา 35 นาที (รถบัสไม่จอดที่สถานี Akechidaira ในเส้นทางขากลับ) 

พิกัด: Chuguushi, Nikko-shi, Tochigi, 321-1661

8. เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

เกาะอิทสึคุชิมะเป็นชื่อที่เป็นทางการของเกาะมิยาจิมะ (Miyajima) ที่คนทั่วไปนิยมเรียกกัน เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ที่เมืองฮะสึไกชิทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองฮิโรชิม่า ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “เกาะแห่งเทพเจ้า” เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกไม่แพ้ภูเขาไฟฟูจิเลย ได้รับการจดทะเบียนให้เป็มรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก มิชลีนไกด์ยังให้คะแนนแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ถึงสามดาว และยังเป็นหนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

จุดเด่นของเกาะนี้คือเสาแดงโทริอิไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าเกาะในทะเลเซโตะ เราสามารถเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆ ในช่วงเวลาน้ำลงได้ด้วย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนักท่องเที่ยวก็นิยมพากันมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park) สวนสาธารณะที่อยู่ตรงเชิงเขาของป่ามิเซ็นบนเกาะอิทสึคุชิมะ มีต้นเมเปิ้ลประมาณ 700 ต้น เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการตระเวนชมใบไม้เปลี่ยนสี โดยเฉพาะบริเวณสะพานไม้สีแดงที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีดูสวยงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park)

นอกจากนี้ คุณห้ามพลาดขึ้นกระเช้าชมวิว (Miyajima Ropeway) เพื่อไปชมวิวบนยอดเขามิเซ็น (Mt. Misen) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากเช่นกัน 

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย JR Sanyo จากสถานี Hiroshima มาลงที่สถานี Miyajimaguchi ใช้เวลาประมาณ 25 นาที  และเดินต่ออีกนิดหน่อยไปที่ท่าเรือให้นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก (ใช้ JR Pass ได้) โดยใช้เวลาประมาณอีก 15 นาทีก็จะถึงเกาะมิยาจิม่า

พิกัด: Miyajima-cho, Hatsukaichi-shi, Hiroshima 739-0588

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

วัดคิโยะมิซุหรือที่เรารู้จักกันในชื่อวัดน้ำใส เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ที่มาของชื่อวัดน้ำใสมาจากการที่วัดแห่งนี้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างโดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆ ทั้งสิ้น เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

และเมื่อมาถึงวัดคิโยมิซุแล้ว อย่าพลาดไปต่อคิวดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านวัดกันด้วยนะคะ นอกจากนี้บริเวณทางเข้าวัดก็ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าพื้นเมืองและขนมอร่อยๆ มากมาย ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคนจะเยอะมาก เผื่อเวลาเที่ยวกันดีๆ ใครอยากไปแบบคนน้อยๆ แนะนำว่าให้ไปตั้งแต่เช้าเลยค่ะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถบัสสาย 100, 206 ลงที่ป้ายรถบัส Gojo-zaka หรือป้ายรถบัส Kiyomizu-michi และเดินประมาณ 10-15 นาที หรือขึ้นรถไฟสาย Keihan ไปลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station และเดินต่อประมาณ 20 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/ZnoJ7crLPTZ3CNk97

ใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี รีบวางแผนการเดินทางกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ เพราะถ้ารอใกล้ๆ ช่วงนั้น ทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พักก็อาจราคาพุ่งสูงขึ้น หรืออาจหายากแล้วค่ะ แต่ก่อนจะออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเอกสาร เสื้อผ้า ยาประจำตัว และ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวญี่ปุ่น ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

อาหารญี่ปุ่นที่ต้องลอง

อาหารท้องถิ่นญี่ปุ่น ไปถึงที่ต้องห้ามพลาด!

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันทั้งที นอกจากเที่ยวกับช๊อป ก็ต้องกินนี่แหละจะได้ครบสูตร ยิ่งญี่ปุ่นแล้วด้วยอาหารการกินก็ดูน่ากินไปซะทุกอย่างจนอยากจัดทริป “ตะลอนกิน” กันเลยทีเดียว แต่จะจัดทั้งทีก็ต้องจัดแบบที่เรียกได้ว่า “ถึง” ที่จริงๆ วันนี้ Allianz Travel จะมาแนะนำเมนูประจำท้องถิ่น ที่เรียกได้ว่าต้องลองเลยหากว่าได้ไปแต่ละภูมิภาค

ภูมิภาคฮอกไกโด (HOKKAIDO)

อาหารทะเล ทั้งปลาสดและอาหารทะเลแปรรูปหลากหลายชนิดเช่น ปู หอยเชลล์ หอยเม่นทะเล ไข่ปลาแซลมอน ปลาแซลมอน ปลาค็อด ปลาหมึกยักษ์ กุ้ง หอยเป๋าฮื้อ หอยปีกนก และผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลอื่นๆ จัดเป็นอาหารทะเลชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะปูที่มีขนาดใหญ่และรสหวาน ไม่ว่าจะนำไปต้มในน้ำเกลือหรือทำเป็นซาชิมิ ไม่ว่าจะเป็นปูราชินี ปูขน หรือปูอลาสก้า และซาชิมิหอยเม่นที่คุณควรจะต้องไปลองสักครั้งในชีวิต

เจงกีสข่าน “เจงกีสข่าน นาเบะ” เป็นคำเรียกถึงตัวของหม้อหรือกระทะที่นำมาใช้ประกอบเมนูนี้ ซึ่งเป็นกระทะทรงหมวกที่ทำจากเหล็กหล่อ นอกจากนี้ยังหมายถึงอาหารที่นำเนื้อแกะสไลด์บางและผักต่างๆ (ถั่วงอก กะหล่ำปลี และฝักทอง) มาทาน้ำมันและย่าง ร้านอาหารหลายแห่งในฮอกไกโดเชี่ยวชาญในการทำเจงกีสข่าน นาเบะ บอกได้เลยว่าเมนูนี้สายดื่มต้องไม่พลาด

ภูมิภาคโทโฮคุ (TOHOKU)

ซาซาคามะโบโกะ ของขึ้นชื่อของจังหวัดมิยะงิที่นิยมซื้อเป็นของขวัญหรือของฝาก ทำจากเนื้อปลาและมีรูปร่างลักษณะเหมือนใบไม้ไผ่ (ซาซา) จากรอยที่เกิดจากการย่าง ซาซาคามะโบโกะที่มีชื่อเสียงที่สุดมาจากเมืองเซ็นไดซึ่งมีร้านทำซาซาคามะโบโกะ แบบโฮมเมดมาเป็นเวลานาน โดยทำจากเนื้อปลาลิ้นหมาที่จับได้ตามฤดูกาลเพื่อเป็นการถนอมอาหาร โดยการนำไปสับและนวดด้วยมือจนเหนียว แล้วนำไปย่าง

คิริทัมโปะ แห่งจังหวัดอะคิตะ ที่ทำมาจากข้าวปรุงร่วมกับส่วนผสมเฉพาะตามสูตรของท้องถิ่นในกระทะ หลังจากนั้นนวดเข้าด้วยกัน และนำไปเสียบไม้ย่างเพื่อเพิ่มความหอม โดยช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการไปลิ้มลองคือ ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงเดือนมีนาคม โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายน รสชาติเฉพาะแบบนี้ต้องไปเองที่อะคิตะ

ภูมิภาคคันโต (KANTO)

นาเมะโร อาหารท้องถิ่นของชาวประมงในแถบชายฝั่งของแหลมโบโซ-ฮันโตทางตอนใต้ของจังหวะจิบะ ส่วนผสมหลักคือปลาต่างๆ โดยหั่นปลาเป็นชิ้นเล็กๆ และสับรวมกับมิโสะ ต้นหอม ขิง และใบโหระพา ให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ต้นหอมและขิงจะเป็นตัวดับกลิ่นคาวปลา นาเมะโรมี 2 แบบ คือย่างและผสมน้ำส้มสายชู โดยแบบย่างจะเรียกว่าซังกะยะกิ และแบบที่ผสมน้ำส้มสายชูจะเรียกว่าสึนาเมะโร

ฟุคะงะวะเมะชิ อาหารยอดนิยมแห่งโตเกียว ทำจากหอยแกะเปลือกและต้นหอมนำไปผัดกับมิโสะ เสิร์ฟพร้อมข้าวและซุปเป็นชุด โดยใช้หอยตัวใหญ่ และน้ำจากหอยที่ผสมกับมิโสะจะสร้างรสชาติที่อร่อยโดดเด่นขึ้นมา

ภูมิภาคจูบุ/โตไก (CHUBU/TOHKAI)

อุนางิ หรือปลาไหล จังหวัดชิซุโอะกะ มีแหล่งเพาะเลี้ยงปลาไหลที่มีคุณภาพสูงและมีชื่อเสียง โดยปลาไหลนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และญี่ปุ่นนิยมกินปลาไหลในฤดูร้อนซึ่งอากาศร้อน และความชื้นทำให้คนไม่อยากอาหาร โดยวิธีที่นิยมนำปลาไหลมาทำอาหารที่สุดคือการย่างถ่าน หรือคะบะยะกิ โดยในแถบคันโตจะนำชิ้นเนื้อปลาไหลมาย่างบนเตาถ่าน แล้วนำไปนึ่ง จากนั้นก็นำมาย่างด้วยความร้อนปานกลางอีกครั้ง และทาน้ำมันขณะที่ย่างด้วย ส่วนในแถบคันไซจะนำปลาไหลทั้งตัว ควักไส้ออก แล้วนำไปเสียบไม้ย่างและทาน้ำมันไปด้วยขณะย่าง

มิโสะคัตสึ “ทงคัตสึ” หรือหมูชิ้นทองราดซอสเป็นเมนูที่นิยมทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น แต่สำหรับจังหวัดไอจินั้นมีเมนูทงคัตสึที่แตกต่างออกไป โดยจะใช้ซอสที่ทำจากมิโสะ ซึ่งเป็นสูตรต้นตำรับที่ทำจากน้ำซุปปลาโอและน้ำตาล และเรียกเมนูนี้ว่า “มิโสะคัตสึ” ซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตในจังหวัดไอจิเลยทีเดียว

ภูมิภาคโฮคุริคุ (HOKURIKU)

โฮตะรุอิกะ แห่งจังหวัดโทะยะมะ หรือปลาหมึกหิ่งห้อย ซึ่งเป็นปลาหมึกพันธุ์เล็กที่พบในอ่าวโทะยะมะ สามารถทานเป็นแบบซาชิมิ หรือแบบชาบู ก็ได้ หรือหากนำไปตากแห้งแล้วย่างเล็กน้อยก็เหมาะกับเป็นกับแกล้มเวลาดื่มได้เช่นกัน ชื่อปลาหมึกหิ่งห้อยมาจากลักษณะเรืองแสงของผิวปลาหมึกสีขาวอมฟ้าคล้ายหิ่งห้อย

จิบุนิ อาหารพื้นเมืองของคะนะซะวะ ทำจากเนื้อเป็ดหั่นบางๆ ชุบแป้งหรือแป้งมัน แล้วนำไปต้ม เห็ดชิตาเกะ หน่อไม้ และผักชีญี่ปุ่นในน้ำซุปที่ทำจากน้ำสต็อก มิริน (เหล้าหวานสำหรับปรุงอาหาร) น้ำตาล เกลือ โชยุ และสาเก โดยแป้งหรือแป้งมันที่อยู่ด้านนอกจะช่วยรักษารสชาติของเนื้อและทำให้น้ำสต็อกข้นขึ้น ใช้วาซาบิเพื่อเพิ่มรสชาติ

ภูมิภาคคันไซ (KANSAI)

ยุโดฟุ หรือเต้าหู้ต้ม ยอดนิยมในฤดูหนาวแห่งเกียวโต เมนูที่จะทำให้คุณรู้สึกอุ่นขึ้น ด้วยรสชาติเบาๆ และผิวสัมผัสที่เรียบเนียนของเต้าหู้ ทำให้ทุกรสสัมผัสที่ได้รับนั้นรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ โดยเมนูนี้ทำจากการนำเต้าหู้ทำมือมาต้มกับซุปสาหร่าย และทานด้วยการจิ้มในเครื่องปรุงรส วิธีการทำดูธรรมดา แต่รสชาติที่ได้มานั้นล้ำลึกอย่างยิ่ง

ทะโกะยะกิ หรือ ขนมครกไส้ปลาหมึก ต้นตำรับจากโอซาก้า แบบกรอบนอกนุ่มใน จากการทำด้วยกระทะแบบหลุม ที่มีหลายๆหลุม จากนั้นทำให้เป็นลูกกลมๆโดยการหมุนไปมาให้สุก ที่ดูเหมือนจะทำได้ง่ายๆ แต่บอกเลยว่ายากมาก นอกจากรูปลักษณ์แล้ว รสชาติต้นตำรับที่ไม่เหมือนใครและเครื่องโรยหน้า พร้อมจิ้มกับมายองเนสอีก บอกได้เลยว่า เคยลองที่ไหนมา รับรองได้ว่าไม่ฟินเท่าต้นตำรับแน่นอน

ภูมิภาคชูโงะคุ (CHUGOKU)

ฟุกุ หรืออาหารจากปลาปักเป้า (จังหวัดยะมะงุจิ) นิยมทานแบบซาชิมิหรือเรียกว่า “ฟุกุซาชิมิ” ที่แล่จนบางบากจนมองทะลุผ่านได้ และจัดเรียงอย่างงดงาม แต่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามเท่านั้น รสชาติแห่งความสดของเนื้อปลาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน นอกจากนั้นปลาปักเป้ายังสามารถนำมาทำเมนูหม้อไฟได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเด็ด แต่อย่างไรก็ตามเมนูจากปลาปักเป้านั้น ก็มีอันตรายมากหากไม่ได้รับการปรุงที่ถูกต้อง เพราะว่าปลาปักเป้าบางชนิดนั้นมีพิษถึงตายได้ ซึ่งพ่อครัวที่จะปรุงเมนูปลาปักเป้าได้นั้น จะต้องมีใบอนุญาติพิเศษซึ่งได้รับการอบรมวิธีการกำจัดส่วนที่มีพิษออกอย่างระมัดระวัง

หอยนางรม ถือได้ว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีรสชาติเป็นเลิศ และในประเทศญี่ปุ่นนั้น จังหวัดฮิโรชิม่าเป็นแหล่งผลิตหอยนางรมชั้นนำ ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงแบบพิเศษที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ได้หอยตัวใหญ่ เนื้อนุ่ม จนอาจทำให้ลืมหอยนางรมจากที่อื่นได้เลย

ภูมิภาคชิโกะคุ (SHIKOKU)

ซะนุกิ-อุด้ง หรืออุด้งที่ใช้เส้นแป้งสาลี แห่งจังหวัดคะงะวะ ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า เป็น “อาณาจักรอุด้ง” เพราะมีผู้ผลิตและร้านอาหารอุด้งที่ใช้เส้นแป้งสาลีจำนวนมาก มีจุดเด่นที่ความแข็งและเนื้อเรียบเนียน วิธีรับประทานคือเทซุปสาหร่ายที่ปรุงรสด้วยโชยุเล็กน้อยลงไปบนเส้น ใส่ต้นหอม ขิง ไข่ หรืองาตามชอบ และโรยด้วยเครื่องโรยที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทำให้เกิดรสชาติหลายรูปแบบจนไม่น่าเบื่อเลยทีเดียว

ภูมิภาคคิวชู (KYUSHU)

มิซุทะกิ หรือไก่ต้มไม่ปรุงรส แห่งจังหวัดฟุกุโอะกะ มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเมจิ จากซุปใสของตะวันตกและอาหารประเภทไก่ของจีน ทานกับน้ำจิ้มพอนสุ และเติมเครื่องปรุงรส นอกจากนี้อาจสามารถใส่ข้าวลงไปหลังทานไก่และผักหมดแล้วเพื่อเพิ่มความอิ่มท้องก็ยังได้

ฮิยะจิรุ อาหารท้องถิ่นของจังหวัดมิยะซะกิ เป็นการนำน้ำซุปที่แช่เย็นราดลงบนข้าวร้อนๆ ทานคู่กับผัก และเครื่องเคียง โดยน้ำซุปนั้นทำมาจากปลาแห้งต้มและปรุงรสด้วยมิโสะ ทำให้ได้เพลิดเพลินกับรสชาติและความสดชื่นจากผักฤดูร้อน เชื่อกันว่าเมนูนี้เกิดขึ้นจากเกษตรกรในมิยะซะกิเพื่อไม่ต้องเสียเวลาเตรียมอาหารในระหว่างทำงานในไร่

นอกจากเมนูท้องถิ่นที่แนะนำไปนั้น ประเทศญี่ปุ่นยังมีอีกหลายเมนูที่รอให้ไปลองลิ้นชิมรสอีกมากมายในแต่ละภูมิภาค แต่อย่างไรก็ตามอาหารแต่ละท้องที่นั้นก็มีความเฉพาะแตกต่างกันไปในเรื่องของส่วนผสม ซึ่งบางอย่างอาจไม่คุ้นชินกับคนไทย และอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ ดังนั้นแล้วหากวางแผนทริปตะลอนกิน เราคงต้องคิดถึงเรื่องความเจ็บป่วยไว้ด้วยการทำประกันการเดินทางที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมความเจ็บป่วยจากการทานอาหารด้วย จะได้ Enjoy Eating กันได้อย่างเต็มที่กันเลย!

ที่มา : https://www.jnto.or.th

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เจ็บป่วยที่ญี่ปุ่น เคลมประกันการเดินทางอย่างไร

ความเจ็บป่วยเกิดได้เสมอ ไม่เลือกที่ เลือกเวลา ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่าความเจ็บป่วยจะมาเยือนเราตอนไหน ถ้าแวะมาช่วงอยู่บ้านรึทำงาน เราก็คงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้าแวะมาช่วงกำลังเที่ยวสนุกๆ นี่สิ โดยเฉพาะถ้าเป็นประเทศญี่ปุ่น ประเทศในฝันของหลายๆคน เงินที่เตรียมไว้สำหรับแผนเที่ยวที่ตั้งใจไว้ว่าจะไป กิจกรรมที่จะทำ อาหารที่อยากลอง ถ่ายรูปชิคๆ อาจต้องสะดุด หมดสนุกอย่างแน่นอน แล้วไปเสียให้กับ ค่ารักษา ค่ายา ค่าบริการ และหากว่าป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลก็จะมี ค่าห้องพัก รวมอีก จ่ายไปจ่ายมาอาจมีเสียเงินมากกว่าค่าเครื่องบินอีก ลองดูค่าใช้จ่ายในการรักษา ประเทศญี่ปุ่น หากเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น เราจะหมดกังวลได้หากเราเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว โดยการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล และมีประกันการเดินทางที่คุ้มครองที่จะช่วยด้านการประสานงานและค่ารักษาได้

หากรู้สึกไม่สบายระหว่างอยู่ที่ญี่ปุ่น ทำอย่างไร

  1. สังเกตุอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็นอะไรบ้าง เพื่อจะสามรถบอกอาการแก่แพทย์ เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้นและรักษาได้ตรงกับอาการ คือเรารู้สึกเจ็บตรงไหน เจ็บแบบไหน บอกให้หมดเพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์ได้วิเคราะห์หาสาเหตุและรักษาได้ถูกต้องตรงจุด
  2. ค้นหาโรงพยาบาลที่รักษาสำหรับชาวต่างชาติในญี่ปุ่น โดยค้นหาจากเว็บไซต์ขององค์กร Medical Excellence Japan ได้จากอาการที่เป็นอยู่ บางคนอาจคิดว่าจำเป็นต้องละเอียดขนาดนั้นเลย แต่เราควรจะทราบด้วยว่าระบบการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างเฉพาะทางในแต่ละโรงพยาบาลหรือแม้แต่คลีนิค และการสื่อสารก็อาจทำได้ยาก ดังนั้นหากเลือกโรงพยาบาลที่มีบริการรักษาชาวต่างชาติด้วยย่อมสะดวกมากกว่า
  3. การรับยา สำหรับประเทศญี่ปุ่น การรับยาหลังการรักษาจะแตกต่างจากบ้านเราอยู่บ้าง โดยสถานพยาบาลบางแห่งนั้นก็สามารถรอรับยาได้เลย แต่บางแห่งก็ไม่สามารถทำได้ และจะต้องรับใบสั่งยาที่ออกให้โดยแพทย์ไปซื้อที่ร้านขายยา

หากเกิดกรณีเจ็บป่วยแบบฉุกเฉินที่ญี่ปุ่นทำอย่างไร

ในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีบริการฉุกเฉิน ที่รวมทั้งการเรียกรถพยาบาลและเรียกรถดับเพลิงด้วยกัน หากว่าเกิดเหตุฉุกเฉินเราสามารถเรียกบริการได้ที่เบอร์ 119 และเนื่องจากเบอร์นี้ใช้เรียกทั้งรถพยาบาลและรถดับเพลิง เราต้องแจ้งให้ชัดเจนด้วยว่าต้องการรถพยาบาล ซึ่งบริการฉุกเฉินนี้เราไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลได้ ต้องไปตามความเห็นของรถพยาบาลเท่านั้น และการสื่อสารนั้นจะเป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก ดังนั้นหากเรามีเพื่อนที่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในระหว่างการรักษาพยาบาล

นอกจากนี้ หากว่าเราได้ซื้อประกันการเดินทางที่มีผลประโยชน์ครอบคลุมการช่วยเหลือฉุกเฉินด้วย ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน โดยทางศูนย์บริการจะคอยช่วยเหลือประสานงานให้ และตรงข้อนี้เราสามารถตัดปัญหาเรื่องภาษาในการสื่อสารได้อีกด้วย

การจัดการค่าใช้จ่ายหลังการรักษา

หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น เรื่องค่ารักษาพยาบาลอาจทำให้เป็นกังวล ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น การประสานงาน หรือขั้นตอน ที่ไม่รู้ว่าเหมือนการเคลมประกันสุขภาพในประเทศหรือไม่ แต่หากเราได้ทำประกันการเดินทางไว้ก่อนเดินทางแล้ว ก็จะช่วยจัดการความกังวลใจนี้ไปได้ เพราะประกันการเดินทางที่เราได้ทำไว้นั้นจะช่วยดูแลในส่วนนี้ โดยขอยกตัวอย่างขั้นตอนที่ทำได้กรณีทำประกันการเดินทางกับ Allianz Travel Thailand ก่อนเดินทาง โดยเราสามารถปฏิบัติได้ดังนี้

  1. ติดต่อบริษัทประกันที่เราซื้อไว้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยประสานงานให้ จนถึงการชำระค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะได้รับความสะดวกสบายมากกว่า และไม่ติดปัญหาเรื่องการสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่สามารถรอได้ หรือการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง
  2. สำรองจ่ายก่อนและกลับมาเคลม วิธีนี้จะรวดเร็วกว่า และสามารถไปทำตามแผนท่องเที่ยวต่อได้ ซึ่งวิธีการเคลมเมื่อกลับมาถึงประเทศไทยก็ทำได้ไม่ยาก โดยติดต่อบริษัทที่เราซื้อประกันไว้ ในกรณีนี้คือ Allianz Travel แจ้งเลขที่เอกสารกรมธรรม์ และส่งเอกสารประกอบ รอการอนุมัติและรับเงินเคลม ดังนั้นเราควรเก็บรวบรวมเอกสารที่จำเป็นดังนี้เพื่อนำไปประกอบการยื่อของเคลมประกันการเดินทาง
    • ตั๋วเครื่องบิน หรือ Boarding pass
    • Passport
    • ใบเสร็จรับเงิน (ตัวจริง)
    • ใบรับรองแพทย์ (ตัวจริง)

พร้อมแล้วก็เดินทางได้อย่างอุ่นใจ

ตอนนี้เราก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจแล้ว เมื่อเรารู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรเมือเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น นอกจากนี้เราจะยังคลายความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นหากเราเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าด้วยประกันการเดินทางก่อนการเดินทาง หากยังเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกซื้อของที่ไหน เราขอแนะนำแผนประกันการเดินทาง Sugoi Japan ของ Allianz Travel ที่ออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ที่มอบความคุ้มครองมากกว่าแค่เรื่องการรักษาพยาบาล แต่ยังมอบผลประโยชน์อื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นอีกด้วย

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา