25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น พร้อมวิธีการเดินทาง

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูที่สวยงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ใบไม้ใน จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น จะทยอยเปลี่ยนสี โดยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม เป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนไปสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นลงและใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี ทำให้เกิดทัศนียภาพอันน่าทึ่งของใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใส ในสถานที่ต่างๆ ของประเทศ เพื่อนๆ คนไหนที่วางแผนจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้ข้อมูล พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2024 ไปใช้เป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางกันได้เลย สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ที่ไหนดี วันนี้ Allianz Travel รวบรวม 25 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ในแต่ละภูมิภาค มาฝากเพื่อนๆ มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 🙂

หมายเหตุ: ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศ ฝน และลม ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลการพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2024 และอัพเดทข่าวสารเป็นระยะๆ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการเดินทางค่ะ

1. ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ภูเขาอะซาอิดาเกะ (Mount Asahidake)

ภูเขาอะซาฮิดาเกะ (Mount Asahidake) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในฮอกไกโด (สูง 2,290 เมตร) และอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsuzan National Park) อีกด้วย อาซาอิตาเกะ เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่แรกที่จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่มีพืชพันธุ์หลายชนิดมากยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสียิ่งสวย สีสันตระการตาสุด นอกจากเดินป่าแล้วก็ยังมีนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ใครสายเที่ยวธรรมชาติจัดเลย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนกันยายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสประจำทางจากสถานีรถไฟ Asahikawa 1,800 เยน (เที่ยวเดียว) หรือจากสนามบินอาซาฮิกาวะ (Asahikawa Airport) 1,270 เยน (เที่ยวเดียว) หรือเช่ารถจากสนามบินอาซาฮิกาวะ หรือเมืองบิเอะ (Biei) ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Daisetsuzan, Higashikawa, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/VbzHZGvVrRwqSbRo9

2. น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)

น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls) ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขาห่างไกลของเมืองไดโกะ (Daigo) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดอิบารากิ เป็นน้ำตกสูง 120 เมตรที่ไหลผ่านหน้าผาหินยักษ์ลงมา 4 ชั้น และเป็นหนึ่งในสามน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และแต่ละฤดูกาล น้ำตกแห่งนี้ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่ซ้ำใคร จากทางเข้า นักท่องเที่ยวจะต้องเดินผ่านอุโมงค์ทางเดินยาว 276 เมตรที่นำไปสู่จุดชมวิวหลายชั้น ชั้นล่างจะเห็นน้ำตกได้อย่างใกล้ชิดจากฐานน้ำตก ในขณะที่ชั้นบนที่ต้องขึ้นลิฟต์ไปจะเห็นน้ำตกทั้ง 4 ชั้นแบบพาโนรามาจากความสูงประมาณ 50 เมตรเหนือพื้นดิน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

เวลาทำการ:

8.00-18.00 น. (พ.ย. – เม.ย. เวลา 9.00-17.00)

ค่าเข้าชม:

ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากโตเกียว (สถานีอุเอโนะ โตเกียว หรือชินากาวะ) ให้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษไปยังสถานีมิโตะ (70 นาที ขบวนละ 2 ขบวนต่อชั่วโมง) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Suigun ไปยังสถานีฟุคุโรดะ (70 นาที ขบวนละ 1-2 ชั่วโมง) หลังจากนั้นนั่งรถบัสอิบารากิโคจึไปลงป้ายทากิโมโตะ (Takimoto) (7 นาที) จากนั้นเดินต่ออีก 5-10 นาทีไปยังทางเข้าอุโมงค์ไปยังน้ำตก หรือเช่ารถจากสถานีมิโตะ ใช้เวลาประมาณ 75 นาที และมีที่จอดรถใกล้ทางเข้าน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Kuji District, Ibaraki, Japan
https://maps.app.goo.gl/RU8kSJv2KCLtjAkb7

3. กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

กินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนเล็กๆ ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูเขาของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในอดีต หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเหมืองเงินขนาดใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาเป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีเรียวกังเก่าแก่เรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ เมื่อมองไปรอบๆ เราก็จะเห็นทิวทัศน์ของภูเขาที่โอบล้อมอย่างใกล้ชิด เข้ากับความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมภายในหมู่บ้านอย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง

รถไฟ: นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย JR Yamagata จากโตเกียวไปยังสถานี Oishida (200 นาที) จากนั้นรถบัสจะออกทุกๆ สองชั่วโมงไปยังกินซันออนเซ็น (35 นาที) 

รถยนต์: เช่ารถจากสถานีรถไฟอย่างเช่น สถานีมูรายามะ (Murayama) ชินโจ (Shinjo) และยามากาตะ (Yamagata) รวมถึงที่สนามบินนามากาตะ มีที่จอดรถในลานจอดรถซึ่งเดินจากใจกลางเมืองออกไป 5-10 นาที เรียวกังหลายแห่งจะไปรับแขกที่ลานจอดรถ

เครื่องบิน: มีรถบัสรับส่งระหว่างสนามบินยามากาตะ และกินซันออนเซ็น 2 เที่ยวต่อวัน (75 นาที) โดยไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า

ที่อยู่/แผนที่:

Obanazawa, Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/wqzhDAccjmv6ocDL8

4. ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโด (Hokkaido Government Office)

ศาลาว่าการเก่าเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (Hokkaido Government Office) หรือที่นิยมเรียกว่า ทำเนียบอิฐแดง (Red Brick Office) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองซัปโปโร (Sapporo) และยังเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์และงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะเต็มไปด้วยสีสันสดใสของใบเมเปิ้ลและใบแปะก๊วย เป็นอีก จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพสวย ๆ ของใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมกับแลนด์มาร์คสำคัญ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: 

ปลายเดือนกันยายน – ต้นเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

เดินเพียง 8 นาทีจากทางออกทิศตะวันตกของสถานีเจอาร์ซัปโปโร หรือจากทางออก 10 ของสถานีซัปโปโร บนสายรถไฟใต้ดินนัมโบกุ

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/AyhnBq63nMuej8929

5. สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge)

สะพานโจกาคุระ (Jogakura Bridge) เป็นสะพานแขวนแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ทอดยาวข้ามหุบเขาลึกของแม่น้ำโจกาคุระ ในจังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีขนาดกว้าง 11.5 เมตร ยาว 360 เมตร สูง 122 เมตร และมีส่วนโค้ง 255 เมตร ซึ่งถือได้ว่ายาวที่สุดในญี่ปุ่น และสะพานแห่งนี้ยังเป็นจุดเชื่อมโยงภูมิภาคสึการุ (Tsugaru) และนันบุ (Nanbu) เข้าไว้ด้วยกัน สะพานโจกาคุระขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่งดงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้หลากสีสันจะแต่งแต้มสีสันทอดยาวสุดสายตา บนสะพานมีจุดชมวิวหลายจุดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและเก็บความประทับใจ และจากสะพานนี้ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของลำธารโจกากุระ-เคริว (Jyogakura-Keiryu) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะสถานที่สวยงามในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park) ได้อีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

สะพานโจกาคุระอยู่ห่างจากสถานีรถไฟอาโอโมริ (Aomori) 56 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง

ที่อยู่/แผนที่:

Aomori, Japan
https://maps.app.goo.gl/LJviW3byDWfvkCBQ6

6. โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น: โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โจซังเคอนเซ็น (Jozankei Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด ณ อุทยานแห่งชาติชิโคสึ-โทยะ ที่มีโรงแรมเรียวกังกว่า 20 แห่ง และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของฮอกไกโด นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อต้นไม้ริมหุบเขาและหุบเขาข้างเคียงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีแดงสดใส

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากสถานีขนส่งซัปโปโร ให้ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 7 หรือ 8 ไปยังโจซังเคออนเซ็น รถบัสจะออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 75 นาที 

2. ขึ้นรถบัส Jotetsu หมายเลข 12 จากสถานี Makomanai ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟใต้ดินสาย Namboku ของซัปโปโร จากสถานี Makomanai การเดินทางไปโจซังเคออนเซ็นใช้เวลา 50 นาที รถบัสจะออกทุกๆ 30-60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/9ag2crrshr2MkXop7

7. หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate no Bukeyashiki)

หมู่บ้านซามูไร Kakunodate เป็นแหล่งเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัด Akita ด้วยบรรยากาศย้อนยุคในหมู่บ้านที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือน ถนนหนทางและอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ในหมู่บ้านที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เหมือนในอดีต รวมทั้งยังมีคฤหาสน์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยของเหล่าซามูไรหลงเหลืออยู่ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีเสน่ห์สวยแบบมีมนต์ขลังจนถูกเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครและภาพยนต์อยู่เนืองๆ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากโตเกียวนั่ง Akita Shinkansen มาลงที่สถานี JR Kakunodate แล้วเดินไปหมู่บ้านซามูไรประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Semboku, Akita, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZkDPPNW4qzWqAGtC6

8. คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ (Kamikochi) สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่ในเขตจังหวัดนากาโน่ (Nagano) เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่เป็นจุดหมายในฝันของหลายคนที่ต้องหาโอกาสไปเยือนซักครั้ง คามิโคจิเปิดให้เข้าชมแค่เฉพาะวันที่ 17 เม.ย.-15 พ.ย. ของทุกปี ดังนั้นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจึงเป็นช่วงเวลาไฮไลท์ที่ห้ามพลาด กับบรรยากาศยอดภูเขาที่มีหิมะคลุมสลับกับต้นไม้สีส้มแดงและแม่น้ำสีฟ้า

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

หากนั่งรถบัสตรงมาจากโตเกียว (สถานีชินจูกุ สถานีโตเกียว และสถานีชิบูย่า) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง หรือนั่งรถไฟด่วนพิเศษอาซึสะ (Azusa) จากสถานีชินจูกุ มาลงที่สถานีมัตสึโมโตะ ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นก็ต่อรถบัสเพื่อไปยังคามิโคจิโดยใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Matsumoto, Nagano, Japan
https://maps.app.goo.gl/WoUvcJ9D9SkvgaYD8

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera Temple) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO World Heritage Sites)  นอกจากการขอพรกับเทพศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด ที่สามารถดื่มและขอพรได้ สำหรับจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีจะอยู่ที่บริเวณอาคารไม้หลังใหญ่ของวัด เป็นจุดยอดนิยมที่ใครๆ ก็ต้องขอมาถ่ายภาพ และสามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วย ช่วงค่ำจะมีการเปิดไฟ Light up ตั้งแต่เวลา 18.00-21.00 น. ที่ให้บรรยากาศอีกแบหนึ่งด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟมาลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station เดินต่อประมาณ 20 นาที หรือนั่งรถบัสเมืองเกียวโตหมายเลข 100 หรือ 206 มาลงที่ป้าย Gojozaka หรือ Kiyomizu-michi จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Higashiyama Ward, Kyoto, Japan
https://maps.app.goo.gl/bXjhEAs6dDHbK6Uz8

10. ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ หรือ อาชิ (Lake Ashinoko)

ทะเลสาบอะชิ (Lake Ashinoko) ตั้งอยู่ในพื้นที่ฮาโกเน่ (Hakone) จังหวัดคานางาวะ (kanagawa) เกิดจากหลุมปล่องภูเขาไฟที่ปะทุเมื่อง 3,000 ปีที่แล้ว ทะเลสาบนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยภูเขาและป่าไม้ มีความสวยงามที่ไม่เหมือนใครและมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากมุมมองต่างๆ ทะเลสาบและพื้นที่รอบๆ มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเดินป่าและสัมผัสธรรมชาติ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

1. รถบัสจาก Odawara ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
2. รถบัสจาก Hakone-Yumoto ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 35 นาที
3. รถบัสจากสถานี Mishima ไป Moto-hakone หรือ Hakone-machi ใช้เวลา 50 นาที
4. รถบัสจาก Gotemba ไป Togendai ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
5. รถบัสจาก Atami ไป Hokone-machi ใช้เวลาประมาณ 60 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hakone, Kanagawa, Japan
https://maps.app.goo.gl/G7P8tZ391zvtHDFb9

11. ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi)

จากทะเลสาบทั้ง 5 แห่งใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบคาวากูจิ (Lake Kawaguchi) เป็นทะเลสาบที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดจากโตเกียว ในวันที่อากาศแจ่มใสและเงียบสงบ คุณจะมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิในทะเลสาบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทะเลสาบแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะมีเทศกาล Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival ซึ่งเป็นเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยกันในทุกปี ทีมีการจัดประดับไฟแสงสีสุดอลังการในช่วงกลางคืนอีกด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

นั่งรถไฟจากสถานี JR Shinjuku ไปยังสถานี JR Otsuki สาย JR Chuo (ประมาณ 1 ชั่วโมง) จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นสาย Fuji Kyuko ไปยังสถานี Kawaguchiko (ไม่สามารถใช้ JR Rail Pass ได้) หรือนั่งรถบัส  Shinjuku Expressway ไปยังสถานี Kawaguchiko (ประมาณ 2 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

FuliKewaguchiko, Yamanashi, Japan
https://maps.app.goo.gl/WFQMdJMNQLeiHrGK7

12. สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่เลื่องลือในโตเกียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า กิงโกะ) เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร เป็นจุดที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ผู้คนจะมาเดินเล่นกันเพื่อชื่นชมความงามของทิวแถวต้นแปะก๊วยสีเหลืองอร่าม ดูงดงามราวกับภาพวาด และตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคมก็จะมีการจัดงานเทศกาลชมต้นแปะก๊วยที่จิงกูไกเอ็น ซึ่งมีการออกร้านขายของที่ระลึกประเภทงานฝีมือและอาหารต่างๆมากมาย และมีผู้คนมาเที่ยวชมงานกันเนืองแน่นครึกครื้น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

1. นั่ง Tokyo Metro Ginza ให้ลงสถานี Gaienmae และเดินต่อประมาณ 4 นาที
2. นั่งรถไฟใต้ดินโตเกียว สาย Hanzomon หรือ สาย Toei Oedo ให้ลงสถานี Aoyama Itchome ใช้เวลาเดินประมาณ 6 นาที
3. หากนั่งรถไฟ JR สาย Chuo/Sobu ลงสถานี Shinanomachi แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Shiniuku City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/AgzR1zj5sPpiA3xr5

13. ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) เหมาะกันการไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี แต่ใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมจะทำให้การเดินทางครั้งนี้ของคุณคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง คุณสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามได้ตลอดทาง ตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงยอดเขา ขอแนะนำให้ขึ้นกระเช้าจากสถานี Kiyotaki ที่เชิงเขาไปยังสถานี Takaosan บนเชิงเขา ระหว่างทางขึ้นภูเขา มีจุดชมธรรมชาติที่สวยงามมากมายและอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับการเดินป่าได้โดยไม่ต้องออกแรงมากเกินไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

สถานีที่ใกล้ที่สุดกับภูเขาทาคาโอะคือสถานี Takaosanguchi ของสาย Keio (จากสถานีชินจูกุใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)

ที่อยู่/แผนที่:

Hachio, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/MxHmphgLJ2ogju2A6

14. สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park)

สวนสาธารณะนารา (Nara Park) ตั้งอยู่ในเมืองนารา ซึ่งเมืองนาราเป็นสถานที่ที่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เนื่องจากเมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เช่น ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ วัดโคฟุกุจิ วัดโทไดจิ พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา สวนสาธารณะนารา และโชโซอิน เป็นต้น เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง สวนสาธารณะแห่งนี้จะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีสันสดใสที่ผสมผสานกับสถานที่สำคัญได้อย่างลงตัว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

ที่สะดวกที่สุดคือการนั่งรถไฟจากเมือง Osaka สถานี Osaka-Namba สาย Kintetsu Line ลงสถานีปลายทาง Kintetsu Nara ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที แล้วเดินด้วยเท้าต่ออีก 1.2 กิโลเมตร ก็จะถึงสวนสาสาธารณะ Nara

ที่อยู่/แผนที่:

Nara, Japan
https://maps.app.goo.gl/NdcXWb7AyHygURdj6

15. หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge), สะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge)

หุบเขานารูโกะ(Naruko Gorge) เป็นหนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ ทุกปีในช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนทั่วทั้งบริเวณหุบเขาจะงดงามด้วยสีสันของใบไม้ นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว หุบเขาแห่งนี้กินพื้นที่ยาว 2 กิโลเมตรจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก จุดชมธรรมชาติที่ดีที่สุดคือบริเวณศาลา Narukokyo Resthouse เรื่อยไปทางทิศตะวันตกของหุบเขา ทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งคือสะพานโอฟุคาซาว่า(Ofukazawa Bridge) ที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวข้างศาลา

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

สถานีรถไฟที่ใกล้กับหุบเขานารุโกะที่สุดคือสถานี Nakayamadaira Onsen ซึ่งสามารถเดินไปยังหุบเขาได้ในเวลา 30 นาที หรืออีกวิธีหนึ่งคือนั่งแท็กซี่จากสถานี Naruko Onsen ไปยังหุบเขาได้ในเวลา 10 นาที และมีรถบัสให้บริการทุกชั่วโมงระหว่างสถานี Nakayamadaira Onsen และสถานี Naruko Onsen เฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยระหว่างทางมีจอดที่ Narukokyo Resthouse และ Japan Kokeshi Museum (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Naruko Gorge, Osaki, Miyagi, Japan
https://maps.app.goo.gl/81fERSxbwaBicMVu7

16. ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort)

ซัปโปโร โคคุไซ สกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort) เป็นสกีรีสอร์ทที่ขนาดไม่ใหญ่นัก อยู่นอกเมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงที่หิมะยังไม่ตกจะมีกระเช้าลอยฟ้า Koyo Gondola วิ่งให้บริการเฉพาะช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้น ซึ่งจะค่อยๆ แล่นไต่ระดับจากพื้นดินขึ้นไปถึงสถานีบนยอดเขา ที่คุณสามารถชื่อชมภูเขาที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีที่อยู่เบื้องล่างและมองเห็นทะเลที่อย่ไกลออกไป

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

ขึ้นรถบัสจากสถานี Sapporo (Jotetsu Bus) ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Jozankei (60 นาที) และต่อรถ Kouyou Gondola Liner ไปที่รีสอร์ท (30 นาที)

ที่อยู่/แผนที่:

Sapporo, Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/5en2eFLfZaufsoFe7

17. น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)

น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) หนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาทางทิศตะวันตกของ ภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka Prefecture) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากหิมะที่ละลายลงมาจากภูเขาไฟฟูจิ กลายเป็นม่านน้ำตกขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 150 เมตร และสูงประมาณ 20 เมตร สายที่ไหลลงมาดูพลิ้วไหวราวกับผ้าไหมสีขาว เมื่อกระทบสู่แอ่งน้ำด้านล่างก็เกิดเป็นละอองน้ำกระจายไปทั่วบริเวณ บรรยากาศสดชื่น ในช่วงฤดูใบไม่เปลี่ยนสี ต้นไม้ที่รายล้อมจะเปลี่ยนเป็นสีสันแดง เหลือง ส้ม ที่ดูงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสจากสถานีต่างๆ เช่น สถานีชินฟูจิ (Shin-Fuji Station) สถานีฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya Station) และป้ายรถบัสทะเลสาบฟูจิทั้ง (5 Fuji Five Lakes) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะแวะจอดที่ป้ายบริเวณน้ำตกชิราอิโตะ จากนั้นให้เดินจากถนนไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงน้ำตก

ที่อยู่/แผนที่:

Fujinomiya, Shizuoka, Japan
https://maps.app.goo.gl/ateeBNFrnvTGRuyq6

18. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) หมู่บ้านชาวนาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงฮิดะ (Hida) ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) หมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่เกิดจากการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้าง และบ้านโบราณต่างๆ ภายในพื้นที่ให้คงอยู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ที่นี่เป็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น ที่สวยและโรแมนติกแห่งหนึ่ง ต้นไม้ ใบไม้ต่างๆ จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีน้ำตาลทั้งหมู่บ้าน และจุดที่ไม่ควรพลาดคือจุดชมวิวเท็นชุคาคุ (Tenshukaku Observatory) ที่อยู่มุมสูงมองเห็นหมู่บ้านได้ทั้งหมด

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟจากเมืองโอซาก้า (Osaka) หรือเมืองนาโกย่า (Nagoya) มาลงที่เมืองคานาซาวา (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน หรือนั่งรถไฟจากเมืองนาโกย่า (Nagoya) เข้าเมืองทาคายาม่า (Takayama) แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center อีกประมาณ 50 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Gifu, Japan
https://maps.app.goo.gl/GzAUKZH5SEbAH3uL7

19. จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami River Bridge View Point)

วิวใบไม้เปลี่ยนสีอันเลื่องชื่อเหนือแม่น้ำทาดามิจะอยู่บริเวณสะพานแม่น้ำทาดามิแห่งแรกเมื่อรถไฟออกจากอุโมงค์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามในเมืองฟุกุชิมะ รถไฟ Tadami Line เป็นรถไฟท้องถิ่นของจังหวัด Fukushima วิ่งระหว่างสถานี Aizu-Wakamatsu กับสถานี Aizu-Kawaguchi (เลยไปจนถึงสถานีปลายทาง Koide ในจังหวัด Niigata) ในหนึ่งวันวิ่งเพียงหกขบวนสำหรับขาไปและอีกหกขบวนสำหรับขากลับ การเดินทางมาชมรถไฟ Tadami line แนะนำให้พักโรงแรมแถวสถานีต้นทาง Aizu-Wakamatsu

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถไฟ JR Tadami line จากสถานี Aizu-Wakamatsu (6.00 น.) ไปลงที่สถานี Aizu Miyashita (7.29 น.) จากนั้นนั่ง Micro-bus ต่ออีกประมาณ 5 นาทีไปลงที่จุดพักรถ (Michi no Eki Mishima Juku) ก่อนเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนเนินเขาใกล้ๆ จุดพักรถ

ที่อยู่/แผนที่:

Mishima, Fukushima, Japan
https://maps.app.goo.gl/LF7LrRHDNUSqkikT8

20. หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge)

หุบเขาทาคาจิโฮ (Takachiho Gorge) เป็นหุบเขารูปตัววีที่เกิดจากแม่น้ำโกคาเสะ (Gakase River) กัดกร่อนลาวาที่ไหลออกมาจากการปะทุของภูเขาไฟอะโซ (Mount Aso) เป็นเวลานับหมื่นปี ภาพของหน้าผาซึ่งมีความสูงถึง 100 เมตรและสูงเฉลี่ย 80 เมตร ทอดยาวเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตรนั้นงดงามตระการตาจนประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและเป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพที่งดงาม จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดคือน้ำตกมานาอิ (Manai Falls) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในน้ำตก 100 แห่งที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง พื้นที่รอบ ๆ น้ำตกก็จะเปลี่ยนสีไปด้วย ทำให้สามารถชมทิวทัศน์น้ำตกและใบไม้เปลี่ยนสีอันน่าทึ่งได้จากบนเรือ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

ให้เริ่มต้นจากเมืองคุมาโมโตะ หรือเมืองมิยาซากิ แล้วนั่งรถบัสจากเมืองคุมาโมโตะไปที่ทาคาจิโฮ หรือขับรถจากเมืองมิยาซากิใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ที่อยู่/แผนที่:

Takachiho, Miyazaki, Japan
https://maps.app.goo.gl/EWM3m7k3jpMCX1sM8

21. สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธารณะชิบะ (Shiba Park)

สวนสาธาณะชิบะ (Shiba Park) เป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โด่งดังอยู่ใกล้กับโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) สวนนี้อยู่ล้อมรอบวัดโซโจ ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลโทกูงาวะ โชกุนที่มีตำแหน่งสูงสุดในนักรบซามุไรของญี่ปุ่นในสมัยก่อน เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดให้ได้เพลิดเพลินกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม ทั้งต้นเมเปิ้ล (โมมิจิ) หรือต้นแปะก๊วย เป็นต้น คุณสามารถชมโตเกียวทาวเวอร์พร้อมกับชมใบไม้เปลี่ยนสีไปด้วย

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม

วิธีการเดินทาง:

หากมาจากสถานีชิบะโคเอ็น (Shibakoen) รถไฟโทะเอสายมิตะ ก็จะออกมาที่หน้าสวนเลย  หากมาจากสถานีไดมน (Daimon) รถไฟโทะเอสายอาซากุสะ จะต้องเดินไปสวนอีก 7 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Minato City, Tokyo, Japan
https://maps.app.goo.gl/fqa6DeuzihFQLij88

22. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) แปลตามตัวได้ว่า วัดภูเขา มีชื่ออย่างเป็นทางการคือวัดริชชะคุจิ (Risshakuji Temple) ตั้งอยู่บนเขาในเมืองยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) และเป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยอาคารใหญ่ด้านหน้านั้นถูกกำหนดให้เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีส่วนต่างๆ ที่สร้างเอาไว้ในพื้นที่บนเขา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่าวัดภูเขา ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

เดือนพฤศจิกายน

วิธีเดินทาง:

ด้านล่างของวัดยามาเดระอยู่ห่างจากสถานี JR Yamadera โดยการเดิน 7 นาที หากขึ้นรถไฟชินคันเซ็น Hayabusa จากโตเกียวแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamagata ที่เมืองเซนได คุณจะไปถึงสถานี Yamadera ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษ

ที่อยู่/แผนที่:

Yamagata, Japan
https://maps.app.goo.gl/Q9cJmbHdsTP5MAM9A

23. สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge) คือสะพานสีแดงสด หากเดินทางโดยรถไฟโทะรกโกะ (Torokko Train) จากสถานีอุนะซุกิไม่ไกลนัก ก็จะผ่านสะพานที่ยาวที่สุดของบริเวณแม่น้ำคุโรเบะ โดยมีความยาวถึง 166 เมตร โดยเราสามารถมองเห็นสะพานชินยะมะบิโกะได้จากสถานีรถไฟ อุนะซุกิ (Unazuki Station), จุดชมวิวยามาบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) และจากสะพานจุดอื่นๆ จุดที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพของสะพานนี้คือจุดชมวิวยะมะบิโกะ (Yamabiko Observation Platform) ใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีจากสถานีรถไฟอุนะซุกิ (Unazuki Station) คุณก็จะพบกับจุดถ่ายภาพนี้ ซึ่งต้นไม้เปลี่ยนสีบริเวณนี้มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดจึงทำให้เป็นจุดที่สวยงาม ด้วยสีสันที่หลากหลายของใบไม้ มีทั้งสีแดง สีส้ม สีเหลือง ตัดกับสีน้ำเงินของแม่น้ำคุโรเบะและสีแดงสดของสะพาน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

กลางเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน

วิธีการเดินทาง:

จากสถานี Toyama โดยสารรถไฟ JR Shinkansen ไปลงที่สถานี Kurobe Unazuki Onsen ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นคุณสามารถเดินไปยังจุดหมายได้ทันที

ที่อยู่/แผนที่:

Kurobe Gorge, Toyama, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZFCQq651nkT18r5c7

24. กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

กระเช้าลอยฟ้านิกโกชิราเนะ (Nikko-Shirane Ropeway), ภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane)

Nikko-Shirane Ropeway เป็นกระเช้าลอยฟ้าประเภทกอนโดล่า อยู่ใน Marunuma Kogen Ski Resort กระเช้าจะเดินทางครอบคลุมระยะทาง 2,500 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างทางกระเช้าจะเคลื่อนตัวผ่านระหว่างภูเขา คุณจะได้พบกับวิวภูเขานิกโกชิราเนะ (Mount Nikko-Shirane) ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตจังหวัดกุนมะและโทจิงิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคคันโต (2,578 เมตร) และธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ ใบไม้ จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันหลากสีสัน สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล เป็นภาพของธรรมชาติที่สวยงามมากๆ ด้านบนมีร้านอาหาร จุดชมวิว มีเส้นทางเดินป่า 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปสักการะพระพุทธรูปหิน และแช่เท้าในน้ำพุร้อน ส่วนในฤดูหนาว Marunuma Kogen จะเปิดเป็นสกีรีสอร์ท กระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะเปิดให้บริการตลอดทั้งปี คุณสามารถเดินทางมาด้วยรถไฟและรถประจำทาง หรือรถประจำทางแบบด่วนจากโตเกียวในช่วงฤดูหนาวได้

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ปลายเดือนกันยายน-กลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

  • นั่งรถไฟ Joetsu Shinkansen จากสถานี Tokyo ไปถึงสถานี Jomo-Kogen โดยใช้เวลาประมาณ 70 นาที 
  • ที่สถานี Jomo-Kogen ซึ่งเป็นประตูสู่พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของกุนมะ รถประจำทางจะจอดที่หน้าทางออกทิศตะวันออกของสถานี มีศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวใกล้ทางออกทิศตะวันออก รถประจำทางไปสถานี Numata และ Oze Tokura จะออกจากป้ายรถประจำทางหมายเลข 2 ที่หน้าสถานี 
  • แม้รถประจำทางที่ไป Oze Tokura บางส่วนจะเริ่มต้นจากสถานี Jomo-Kogen แต่ส่วนใหญ่จะออกจากสถานี Numata ขึ้นรถประจำทางสาย Sarugakyo (Kan-etsu Transportation) ไปยังสถานี Numata ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที 
  • จากสถานี “Numata” บนสาย JR Joetsu Line นั่งรถบัสท้องถิ่น Kan-etsu Kotsu และลงที่ป้าย “Kamata” การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เวลาบนตารางเวลาบริการรถประจำทางอาจแตกต่างกันในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว 
  • จากนั้นขึ้นรถบัสที่มุ่งหน้าไปยัง Marunuma Kogen Ski Resort โดยขึ้นรถประจำทางKan-etsu Transportationที่มุ่งหน้าไปยังยุโมโตะ ออนเซ็นและลงที่ป้าย Mt. Nikko-Shirane Ropeway ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ปกติแล้วในวันที่กระเช้าลอยฟ้าเปิดให้บริการจะมีบริการรถรับส่งฟรีจากป้ายรถบัส Kamata รถรับส่งจะจอดรับผู้โดยสารบริเวณใกล้จุดจำหน่ายตั๋วกระเช้าลอยฟ้าภูเขานิกโกชิราเนะ

    คุณสามารถคลิกดูวิธีการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่อยู่/แผนที่:

Gunma, Japan
https://maps.app.goo.gl/ibsEopnhMV6sUfw38

25. สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge), มิคุนิพาส (Mikuni Pass)

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi) เส้นทางขับรถเส้นนี้เป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีวิวที่สวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้โดยรอบพื้นที่จะถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของใบไม้ที่มีหลากหลายสีสัน มีทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำตาล สลับกันไป ทำให้ทัศนียภาพของพื้นที่โดยรอบสวยงามดุจดั่งภาพวาดอันน่าทึ่ง “สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge)” เป็นสะพานสะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่าที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หากมองจาก “สะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge)” คุณจะได้เห็นเห็นทิวทัศน์ของ สะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) ที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติทั้งภูเขา ป่าไม้ ท้องฟ้า และก้อนเมฆ เป็นภาพที่งดงามและโรแมนติก

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี:

ช่วงปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

1. จากโซอุนเคียว อนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง Mikuni Pass 
2. จากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที

ที่อยู่/แผนที่:

Hokkaido, Japan
https://maps.app.goo.gl/ZQ5VLWxsmgvzKNyr9

การเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เราควรวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า เนื่องจากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อชมความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบวางแผนการเดินทางและจองที่พักตามสถานที่ ที่เราต้องการเดินทางไปให้พร้อม และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ก็คือ ประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : facebook: ibaraki.thai, conomi.co, aomori-tourism.com, japan-guide.com, alpico.co.jp, japan.travel, en.japantravel.com, jnto.or.th, sapporo-kokusai.jp, visit.gunma.jp, whc.unesco.org

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น 2024

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! [ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024]

ได้เวลาเตรียมตัววางแผนการเดินทางเพื่อไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 กันแล้ว การชมดอกซากุระที่บานสะพรั่งอย่างสวยงามหรือที่รู้จักกันในชื่อฮานามิหรือโอฮานามิในญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากในการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมและเมษายน หากคุณวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เช็คช่วงเวลาพยากรณ์ดอกซากุระบาน เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศในแต่ละปี Allianz Travel จะพาคุณไปเช็คจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่น ซึ่งตาราง พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 อย่างเป็นทางการของ Japan Meteorological Corporation จะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2024 จนถึง ณ ตอนนี้ JMC ได้เผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์ซากุระบาน ในญี่ปุ่น ออกมาแล้วทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 11 ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาซากุระบานมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้นะคะ 🙂

Update! เพื่อน ๆ สามารถตรวจสอบช่วงเวลาดอกซากุระบาน ในประเทศญี่ปุ่น ปี 2025 ได้ที่นี่ค่ะ: พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025 ล่าสุด!

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2024

ตารางพยากรณ์ช่วงดอกซากุระบานของญี่ปุ่นในปี 2024 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 11) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2024 ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางปี 2024 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ดอกซากุระบานปี 2024 (พยากรณ์ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024)

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาที่ซากุระเริ่มบานช่วงเวลาที่ซากุระบานเต็มที่
โตเกียว – Tokyo29 มีนาคม4 เมษายน
นาโงย่า – Nagoya28 มีนาคม7 เมษายน
เกียวโต – Kyoto29 มีนาคม5 เมษายน
โคจิ – Kochi23 มีนาคม31 มีนาคม
ฟุกุโอกะ – Fukuoka27 มีนาคม2 เมษายน
โอซาก้า – Osaka30 มีนาคม6 เมษายน
ฮิโรชิมะ – Hiroshima25 มีนาคม5 เมษายน
วากายามะ – Wakayama30 มีนาคม3 เมษายน
คานาซาว่า – Kanazawa1 เมษายน8 เมษายน
นากาโน่ – Nagano8 เมษายน10 เมษายน
คาโกชิมะ – Kagoshima29 มีนาคม7 เมษายน
เซนได – Sendai2 เมษายน9 เมษายน
อาโอโมริ – Aomori15 เมษายน18 เมษายน
ซัปโปโร – Sapporo27 เมษายน30 เมษายน
ดอกซากุระบานหรือดอกซากุระบานเต็มที่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2024 Cherry Blossom Forecast (11th forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปชื่นชมฤดูดอกซากุระบานในญี่ปุ่นควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โรงแรมในโตเกียวและเกียวโตจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบจองที่พักทันทีที่มีกำหนดวันเดินทาง และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่คนรักญี่ปุ่นเฝ้ารอและวางแผนเตรียมไปชมความงามของดอกซากุระ 🌸 สีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีขาวที่บานสะพรั่งไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้สุดไปจนถึงตอนเหนือสุดของประเทศ มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว หลายแห่งมีคนหนาแน่นเต็มพื้นที่ จนต้องต่อคิวถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความงามที่ในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว และ Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 จุดชมซากุระโตเกียว ที่ดีที่สุด เตรียมตัวเดินทางไปพร้อมกับเราเลยค่ะ

1. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ (Shinjuku) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว เปรียบเสมือนโอเอซิสที่อยู่กลางกรุง มีขนาดใหญ่ประมาณ 540,000 ตารางเมตร และล้อมรอบเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร คุณจะได้เห็นภาพของต้นซากุระกว่า 1,100 ต้นบานสะพรั่ง และกลีบดอกไม้ที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าและสระน้ำ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเกินบรรยาย ที่นี่มีต้นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะบานช้าเร็วไม่พร้อมกัน ทำให้คุณได้ชื่นชมกับภาพความงามของดอกซากุระได้ยาวนานขึ้น เปรียบเหมือนกับการแสดงดอกไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สวนชินจูกุเกียวเอ็นเป็นสถานที่ชมซากุระที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ร้านค้าท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบสวนยังเต็มไปด้วยของว่างอร่อยๆ และของที่ระลึกน่ารักในธีมดอกซากุระอีกด้วย

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีชินจูกุ ทางออก South Exit
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/7Aw8H6evdX2DjeBo8
ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น.- 16.00 น. (ฤดูดอกซากุระบาน จะขยายเวลาเปิดจนถึง 17.30 น.)

2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

สวนอุเอโนะ (Ueno Park) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในโตเกียวสำหรับการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย คุณจะได้เห็นทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาชมดอกซากุระที่นี่กันอย่างมากมาย สวนอุเอโนะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร ต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่อยู่ในพื้นที่มากกว่าครึ่งของสวน ทำให้มึจุดชมซากุระอยู่มากมาย เริ่มจากถนนสายหลักยาวประมาณ 500 เมตร ที่อยู่ใจกลางสวนจะมีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์เรียงรายไปสองข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนหนาแน่นมาก แต่ถ้าอยากชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็สามารถชมได้ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน และเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเวลาดอกซากุระบานเท่านั้น และอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปชมก็คือบริเวณสระน้ำชิโนบาสุ (Shinobazu Pond) ที่คุณจะได้ชมบรรยากาศของดอกซากุระริมฝั่งน้ำ

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานี Ueno เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้สวนมากที่สุด มีรถไฟหลายสายที่ผ่าน อย่างเช่น รถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ueno ออกทางออก Park Exit หรือรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Hibiya Line มาลงที่สถานี Ueno ออกทางออก 7 หรือ 9
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/gnAsmJvojfkARuqV6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: 5.00 น.- 23.00 น.

3. สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ตั้งอยู่ในเขตชิโยดะ (Chiyada) ใจกลางกรุงโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียวต้องไม่พลาด คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้น บานสะพรั่งตัดกับกำแพงหินโบราณของปราสาทเอโดะ ซึ่งปัจจุบันคือพระราชวังอิมพีเรียลอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางมหัศจรรย์ที่มีต้นซากุระกว่า 260 ต้นเรียงรายไปตามคูน้ำที่ยาวกว่า 700 เมตรที่เรียกว่า “อุโมงค์ซากุระ” คุณจะรู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนผ่านความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนที่มีการประดับไฟ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น และกิจกรรมที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวชมสวนจิโดริกะฟุจิก็คือการพายเรือล่อง หรือถีบเรือเป็ดล่องไปตามสระน้ำ ซึ่งทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับดอกซากุระที่รายล้อมมากยิ่งขึ้น

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Toei Shinjuku, Tokyo Metro Tozai หรือ Hanzomon มาลงสถานี Kudanshita ออกจากสถานีที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อ 5 นาที
  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hanzomon มาลงสถานี Hanzomon ออกจากสถานีที่ทางออก 5 แล้วเดินต่อ 5 นาที

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/NERZnRnbM3BN4qGQ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

4. สวนสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสุมิดะ (Sumida Park) ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับวันเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) เป็นสวรรค์แห่งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีซากุระปลูกอยู่ถึง 1,000 ต้น เป็นจุดที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการปิกนิกมารวมตัวกันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสวนอย่างสง่างามได้อีกด้วย

สวนสุมิดะ (Sumida Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Toei Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa
  • นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/nq9eaUnQFUEsu7ScA
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านฮิตกิ๊บเก๋อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการเดินเล่น ออกกำลังกาย พายเรือหรือถีบเรือ วาดรูป การแสดงต่างๆ และชอปปิ้งตลอดนัดทุกวันอาทิตย์ ที่นี่มีต้นซากุระญี่ปุ่นประมาณ 500 ต้น และเมื่อยืนมองจากสะพานที่ข้ามสระน้ำจะเห็นต้นซากุระสีชมพูงดงามแผ่กิ่งก้านออกไปเหนือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันงดงาม และมีตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าคอยสาปให้ชายหญิงที่มาพลอดรักกันที่สวนแห่งนี้มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ก็มีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ให้ไปกราบไหว้ขอพรศาลของเทพเจ้าเบ็นไซเต็น (Benzaiten) ภายในสวน ก็จะกลับมารักกันได้เช่นเดิม กิจกรรมยอดนิยมในสวนแห่งนี้คือการถีบเรือเป็ดชมซากุระ หรือปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กัน

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 3 นาที (280 เมตร) จากสถานีรถไฟคิชิโจจิ (Kichijoji Station) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/sbGGWsSNaMP1gwSZ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียว โดยเป็นแม่น้ำขนาดไม่กว้างนัก ทอดยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ไปตามแลห่งที่อยู่อาศัยในย่านเมกุโระ (Meguro) ในเขตชินากาว่า (Shinagawa) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว และไหลไปลงอ่าวโตเกียว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมกุโระเรียงรายไปด้วยต้นซากุระประมาณ 800 ต้นที่บานสะพรั่งอย่างงดงามในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระ ที่มีการออกร้านกันอย่างคึกคักตั้งแต่สปาร์คกลิ้งไวน์สีซากุระไปจนถึงของว่างรสเลิศ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์และความมีชีวิตชีวา ในช่วงกลางคืนจะมีบรรยากาศโรแมนติกที่เสริมด้วยแสงสียามเย็นที่สวยงาม

จุดชมซากุระโตเกียว : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานที่ยอดนิยมสำหรับชมซากุระอยู่บริเวณสะพาน Meguro Shinbashi ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟเมกุโระ (Meguro) และสถานีนากะเมกุโระ (Nakameguro)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/BA6k4ow4c8EjLNJT9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาประดับไฟ 17.00 น. – 21.00 น.)

7. สวนโยโยงิ (Yoyogi Park)

สวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโตเกียว ตั้งอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ และชิบูย่า เป็นสถานที่นั่งเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย ชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่นี่มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้น และมีหลายสายพันธุ์ ทะยอยบานตั้งแต่เดือนมีนามคมไปจนถึงเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งปิกนิก นั่งพักผ่อน หรือเดินชมดอกซากุระ โดยในช่วงเทศกาลชมซากุระ จะมีคนเข้าไปจับจองพื้นที่นั่ง หาอาหารมาทาน และจิบเบียร์เย็น ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่ากับที่อื่นๆ

สวนโยโยงิ (Yoyoki Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/SJs42qdvxsCPWxE36
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

8. สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

สวนโคอิชิกาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยและเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว โดยชื่อของสวนแห่งนี้นั้นได้รับการตั้งชื่อตามบทกวีและเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1629 ราวๆ ยุคสมัยเอโดะตอนต้น ในสวนมีบ่อน้ำตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยเส้นทางเดินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน สวนแห่งนี้มีความสวยงามตลอดทั้งปีด้วยพืชและต้นไม้ที่หลากหลาย ด้านหลังสวนถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองโตเกียวที่มองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆอย่างตัดสลับระหว่างความเป็นธรรมชาติบรรยากาศย้อนยุคกับตึกอาคารที่เต็มไปด้วยความทันสมัย แต่คนจะนิยมมาเป็นพิเศษในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของดอกซากุระที่สะท้อนจากสระไดเซ็นซุย ในสวนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นั่งปิกนิก แต่คุณสามารถนั่งชมดอกซากุระได้ที่ร้านน้ำชาที่มีเสน่ห์แปลกตาของสวน และเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาเขียวกับชิมขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง:

  • เดิน 3 นาทีจากสถานีอิดะบาชิ (Iidabashi Station) เข้าประตูทิศตะวันตกของสวน 
  • เดิน 5 นาทีจากซุอิโดบาชิ (Suidobashi) เข้าประตูทิศตะวันออกของสวน

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/RzsR6ok9Qpjz89rb8
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00น.

9. สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของโตเกียว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว เป็นสวนที่มีขนาดกว้างใกญ่และสวยงามมาก สร้างขึ้นราวๆ ปีค.ศ. 1700 ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี สำหรับโชกุนโทกุกาวะที่ 5 สวนริคุงิเอ็นเป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ในรายละเอียด ชื่อของสวนนี้แปลว่า “สวนแห่งบทกวีทั้งหก” บ่งบอกถึงรากฐานที่หยั่งรากลึกในบทกวีของญี่ปุ่น โดยมีภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนฉากจากบทกวีที่โด่งดัง จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือต้นซากุระใหญ่สายพันธุ์ชิดะเระ ซากุระ ที่เมื่อบานเต็มที่ กิ่งจะย้อยตัวลงมาค้ายน้ำตก สูงประมาณ 15 เมตร และกว้าง 20 เมตร สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วงที่มีการเปิดไฟประดับ ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและงดงามมาก

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • เดินประมาณ 7 นาทีจากสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
  • เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line)

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/8XWkRR4arTEdxzHR7
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (ขยายเวลาเป็น 21.00 น. ในช่วงฤดูดอกซากุระบาน เพื่อจัดกิจกรรมประดับไฟ)

10. สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ภายในสวนเด็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและต้นซากุระที่ปลูกไว้ประมาณ 600 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะนำเสนอทิวทัศน์อันตระการตาของดอกซากุระ ซึ่งคนในโตเกียวจะมานั่งปิกนิก และพักผ่นใต้ต้นซากุระกัน และช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟต้นซากุระด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรถไฟรางเดียว Asuka Park Rail ให้บริการนั่งผ่านสวนตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.และมีจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นเมืองและมองรถไฟที่วิ่งไปมาได้ด้วย

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาที จากสถานีโอจิ (Oji Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/qBNPwKkhQXmy9z6K6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: เปิด 24 ชม. (มีการแสดงไฟตลอดช่วงที่ซากุระบาน ตั้งแต่เย็นจนถึง 21.00 น.)

เมืองโตเกียวสดใสมีชีวิตชีวาเมื่อถึงฤดูดอกซากุระบาน เตรียมชุดสวยๆ หยิบกล้อง และติดอาหารไปนั่งปิกนิกชมสวนชิลๆ Allianz Travel รวมจุดชมซากุระหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกเยี่ยมชมตามสไตล์ที่คุณชอบ บางคนชอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทีแผงขายอาหาร และคนนั่งปิกนิกมากมาย หรือบางคนก็ชอบเดินเล่นแบบเงียบสงบและผ่อนคลายใต้ต้นซากุระในโตเกียว และไม่ว่าคุณจะวางแผนไปที่ไหนสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

โอซาก้าเป็นเมืองท่าในภูมิภาคทางตะวันตกของคันไซ มีกลิ่นอายของความเรียบง่าย สนุกสนาน และมีสีสัน และมีสำเนียงโอซาก้าที่โดดเด่น มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมล้ำสมัย อาหารอร่อย ว่ากันว่าชาวโอซาก้าใช้จ่ายไปกับค่าอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงทำให้โอซาก้ามีชื่อเสียงในด้านอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู ซึ่งบางเมนูก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและอาจเลยไปจนถึงต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นโชคดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด เพราะอาหารที่ควรลองส่วนใหญ่เป็นอาหารที่อยู่ในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึงได้ Allianz Travel จะพาคุณไปชิมอาหารโอซาก้าที่คุณควรลอง และแนะนำแหล่งร้านอาหารโอซาก้าที่ควรห้ามพลาด ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอาหารโอซาก้า เมนูไหนบ้าง และย่านแหล่งรวม ร้านอาหารโอซาก้า ที่ไหนบ้าง ที่เราควรไปลิ้มลองกันค่ะ :)!

1. ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ทาโกะยากิเป็นหนึ่งในอาหารโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารประจำภูมิภาคที่ขายดีที่สุดของโอซาก้า ลักษณะเป็นลูกกลมเล็กๆ ทำจากแป้งผสมไข่และสอดไส้ปลาหมึกยักษ์หรือทาโกะที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โอซาก้ามีร้านทาโกะยากิมากกว่า 700 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมืองที่ขายตลอดทั้งวันให้คุณได้ลิ้มลอง (โตเกียวมีประมาณ 200 ร้าน) ทำให้เมืองนี้เป็นตลาดทาโกะยากิที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเขตมินามิ ร้านทาโกะยากิแต่ละร้านพยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ ไม่ให้เหมือนใคร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าติดใจจนมาทานกันบ่อยๆ อย่างทาโกะยากิสูตรหน้าร้อน ที่ทานกับน้ำแข็งใส หรือบางร้านก็พยายามหาวัตถุดิบพื้นฐานที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเอร็ดอร่อยได้ แม้ไม่ต้องใส่ซอส

อาหารโอซาก้า ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ว่ากันว่าเกือบทุกบ้านในโอซาก้าจะมีเครื่องทำทาโกะยากิ และแม้แต่เด็กๆ ก็รู้วิธีย่างทาโกะยากิ เราสามารถทานทาโกะยากิได้ทั้งเป็นของว่างและอาหารจานหลัก

2. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

โอโคโนมิยากิ หรือที่บางคนเรียกว่าพิซซ่าญี่ปุ่น สามารถหาได้เกือบทุกพื้นที่ของโอซาก้า ตั้งแต่ย่านใจกลางเมืองใหญ่ไปจนถึงย่านช็อปปิ้งในชานเมือง โอโคโนมิยากิมีรสชาติและท็อปปิ้งที่หลากหลาย ทำจากไข่ แป้งสาลี ผสมกับน้ำหรือซุปดาชิ จากนั้นใส่กะหล่ำปลีหั่น และส่วนผสมอื่นๆ อย่างเช่น หัวหอม เนื้อหมูหั่นบางๆ ปลาหมึก กิมจิ หรือชีส จากนั้นก็ย่างบนกระทะเหล็กร้อน จากนั้นราดด้วยซอสโอโคโนมิยากิ สาหร่ายแห้ง ปลาคัตสึโอะแห้ง และมายองเนสตามชอบ

อาหารโอซาก้า โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

ร้านอาหารโอโคโนมิยากิบางแห่งก็เปิดโอกาสให้คุณปรุงและย่างเองบนโต๊ะด้วย โดยพนักงานจะนำวัตถุดิบมาให้ลูกค้าเลือก และนำไปย่างเองบนแผ่นกระทะร้อน (เท็ปปังยากิ) ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกในทริป หรือบางร้านก็จะมีพ่อครัวมาทำโอโกโนมิยากิตรงหน้าลูกค้าเลย

3. คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

คุชิคัตสึคือของทอดเสียบไม้ ที่นำเนื้อสัตว์และผักที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำนำมาเสียบไม้ แล้วชุบแป้งทอดจนกรอบ หนึ่งในของอร่อยประจำโอซาก้าที่เทียบเคียงความนิยมได้ไม่ต่างจากโอโคโนมิยากิและทาโกะยากิ จุดเริ่มต้นของคุชิคัตสึคือปี 1929 ในย่านชินเซไก ซึ่งเป็นศูนย์กลางใจกลางเมืองของผู้ใช้แรงงานรายวันที่มีรายได้น้อย จากร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ต้องการทำอาหารจานด่วน ราคาถูก รวดเร็ว อร่อย และอิ่มอยู่ท้อง ขายให้กับเหล่าแรงงานเหล่านั้น ผลก็คือได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อาหารโอซาก้า คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

ร้านคุชิคัตสึส่วนใหญ่เป็นร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ มีเพียงเคาน์เตอร์แบบยืนหรือแบบนั่งเท่านั้น พอเข้าไปในร้านจะเห็นถ้วยสแตนเลสใส่ซอสตั้งไว้อยู่หน้าที่นั่งแต่ละที่บนเคาน์เตอร์สำหรับใช้ร่วมกัน โดยมีกฎเหล็กคือให้จิ้มคุชิคัตสึในซอสได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องเป็นคุชิคัตสึที่ยังไม่ได้กัดด้วยเพื่อจุดประสงค์ในเรื่องอนามัย และเป็นการใช้ซอสอย่างประหยัดเพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับร้านค้าด้วย บางร้านมีกะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้นวางไว้ให้หยิบทานได้ฟรี เพื่อแก้เลี่ยนจากการรับประทานของทอด โดยจะกินเปล่าๆ หรือจิ้มซอสก็ได้ หรือถ้าคุณต้องการซอสเพิ่มบนคุชิคัตสึที่คุณกินไปแล้ว คุณสามารถใช้กะหล่ำปลีนี้ตักซอสขึ้นมาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเวลาเอามาจิ้มซอสก็จิ้มได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

4. คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

คิทสึเนะอุด้ง หรืออุด้งร้อนในน้ำซุปที่ทำจากดาชิ โชยุ มิริน โปะหน้าด้วยฟองเต้าหู้ทอดแผ่นใหญ่ต้มซีอิ๊วหวาน โรยด้วยต้นหอมซอย เป็นอุด้งในแบบฉบับโอซาก้าแท้ๆ ที่คนโอซาก้านิยมกินมากๆ คำว่าคิทสึเนะในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวว่า สุนัขจิ้งจอก ในตำนานเชื่อว่าเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าอินาริ (เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม)  ช่วยจับสัตว์ที่เข้ามาก่อกวนพืชพรรณในไร่นา ผู้คนจึงถวายแผ่นเต้าหู้ทอดในศาลเจ้าอินาริเพื่อแสดงความขอบคุณ เลยเป็นที่มาของการเรียก ซูชิที่ห่อด้วยแผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะว่า อินาริซูชิ (Inari Sushi) ส่วน อุด้ง ที่ใส่แผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะก็เรียกว่า คิทสึเนะอุด้งนั่นเอง

อาหารโอซาก้า คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

5. บูตะมัน (Butaman)

บูตะมันคือซาลาเปาเนื้อนุ่มไส้หมูที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงหลังการฟื้นฟูเมจิ เมื่อซาลาเปาจีนที่เคยเข้ามาในย่านไชน่าทาวน์ถูกดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมสไตล์ญี่ปุ่น หากเทียบกับซาลาเปาในภูมิภาคอื่นๆ บูตะมันของโอซาก้ามีขนาดใหญ่ใส่เนื้อหมูและหัวหอมชุ่มฉ่ำอยู่ในแป้งเนื้อนุ่ม บางร้านอาจใส่ผักสับละเอียดลงไปด้วย เช่น ทาโทโกะ (หน่อไม้) หรือเห็ดหอมแห้ง วิธีรับประทานส่วนใหญ่จะแบ่งขนมปังออกเป็นสองส่วนแล้วจิ้มมัสตาร์ดรสเผ็ด หรือราดด้วยซอสเปรี้ยวและซีอิ๊ว โอซาก้ามีร้านขายบูตะมันโดยเฉพาะมากมายซึ่งมีหลายรูปแบบ บางแบบจะอันใหญ่ไส้เยอะ หรือบางแบบก็ทำขนาดเล็กและแป้งหุ้มบาง เครือร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งได้เปิดร้านทั่วภูมิภาคคันไซ โดยขายซาลาเปาได้มากถึง 170,000 ชิ้นต่อวัน คุณสามารถหาซื้อบูตะมันได้ตามร้านที่ขายโดยเฉพาะ หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่นึ่งสดใหม่ หรือจะซื้อกลับบ้านแบบแช่เย็นหรือแช่แข็งก็ได้ บางคนก็ซื้อบูตะมันในสถานีรถไฟเพื่อเป็นของขวัญและของที่ระลึก

อาหารโอซาก้า บูตะมัน (Butaman)

6. ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

ชื่อฮาโกะซูชิอาจไม่คุ้นหูพวกเรากันนัก แต่ถ้าถามคนโอซาก้าแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันหมดทุกคน เนื่องจากฮาโกะซูชิถือว่าเป็นซูชิแบบต้นตำรับของโอซาก้าที่มีมานานมากๆ แล้ว และมีรูปแบบที่แตกต่างจากซูชิแบบทั่วไปที่เรารู้จักกัน โดยจะเป็นซูชิที่ทำจากข้าวหุงในน้ำส้มสายชู ผสมกับส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ปลาไหลปรุงรส กุ้ง ปลาทรายแดงเล็ก และไข่หวาน อัดลงในกล่องไม้หรือฮาโกะ ถอดออกมาก้อน แล้วจึงหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ จึงเป็นที่มาของชื่อ “โอชิ-ซูชิ (ข้าวปั้นที่ถูกกดทับเป็นสี่เหลี่ยม)” ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยเมจิ (1868-1912) ต่อมานำมาประยุกต์เป็นฮาโกะซูชิ ที่เป็นอาหารสำหรับแขกหรือการเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ โดยรูปลักษณ์ที่สดใสและมีสีสันของซูชิเป็นตัวแทนของโอซาก้า ป้จจุบันมีจำนวนร้านอาหารที่ขายฮาโกะซูชิมีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากขั้นตอนการทำต้องใช้เวลาและความชำนาญ แต่เทคนิคและรสชาติยังได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น

อาหารโอซาก้า ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

7. เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

เบนิโชงะหรือชิงดองสีชมพูเป็นหนึ่งในเครื่องเคียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเมื่อรับประทานกิวด้งหรือข้าวหน้าเนื้อ และเป็นเมนูที่คุณรับประทานได้ไม่อั้น มีขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น และโอซาก้าเป็นเมืองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นในด้านการทำขิงดองและเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนโอซาก้าจะนำเบนิโชกะมาปรุงเป็นอาหารโอซาก้า แบบใหม่ๆ อาหารที่ไม่ธรรมดาที่สุดที่คุณสามารถพบได้ในโอซาก้าเท่านั้นคือเบนิโชงะเทมปุระ โดยนำเบนิโชงะมาหั่นเป็นแผ่นเสียบไม้ แล้วทอดชุบแป้งทอดแบบเทมปุระ คุณสามารถรับประทานเปล่าๆ หรือจิ้มซอสวูสเตอร์ก็ได้ เหมาะสำหรับเป็นอาหารทานเล่นเวลาดื่มเหล้า หากคุณชอบรับประทานเบนิโชงะหรือขิงดองรสเข้มข้น คุณต้องลองเบนิโชงะโนะเทมปุระแสนอร่อยนี้

อาหารโอซาก้า เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

ขอบคุณรูปภาพจาก: kyoudo-ryouri.com, gourmetbclass.travellerspoint.com

แหล่ง ร้านอาหารโอซาก้า ที่คุณห้ามพลาด

1. ย่านนัมบะ

การเดินทางไปยังสถานีนัมบะเรียกได้ว่าสะดวกมาก เพราะเป็นบริเวณที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมหลักของโอซาก้าที่มีทั้งรถไฟจาก JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า รถไฟฟ้านันไค รถไฟฟ้าฮันชิน และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่น จึงมี ร้านอาหารโอซาก้า และร้านอาหารมากมายทั้งในตัวสถานี ตลาด และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ด้านนอก อย่างเช่น ตลาดคุโรมงอิจิบะ (Kuromon Ichiba Market) ศูนย์การค้านัมบะพาร์ค โอซาก้า (Namba Parks Osaka) และศูนย์การค้านัมบะซิตี้ โอซาก้า (Namba City Mall) เป็นต้น

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านนัมบะ

2. ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทุกคนเมื่อมาโอซาก้าคือย่านชินไซบาชิ ซึ่งอยู่สถานีถัดจากนัมบะหากนั่งรถไฟใต้ดิน และโดทงโบริคือถนนช้อปปิ้งที่ยาวเชื่อมระหว่างสถานีนัมบะและสถานีชินไซบาชิ คุณสามารถเดินจากสถานีนัมบะไปโดทงโบริโดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

ระหว่างทางที่เชื่อมระหว่างชินไซบาชิและโดทงโบริ คุณจะพบกับ ร้านอาหารแบบดั้งเดิมและ ร้านอาหารโอซาก้า ยอดนิยมมากมายที่น่าลอง หากมาในย่านนี้ คุณควรต้องมาตอนท้องว่างเท่านั้น!

3. ย่านอุเมดะ

อุเมดะเป็นหนึ่งย่านใจกลางเมืองโอซาก้า และหมายถึงพื้นที่รอบๆ สถานี JR โอซาก้า สถานีโอซาก้า-อุเมดะ สถานีอุเมดะ สถานีฮิกาชิ-อุเมดะ และสถานีนิชิ-อุเมดะ ถือได้ว่าสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายมาก เราสามารถนั่งรถไฟจากอุเมดะไปยังนัมบะหรือชินไซบาชิโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ย่านอุเมดะมีทั้งศูนย์การค้า ร้านอาหาร และร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นและอาหารว่างที่มีขายอยู่ทุกถนน

อาหารที่ต้องลองในย่านนี้มีให้เลือกมากมาย ทั้งทาโกะยากิ ปลาปักเป้า เนื้อโกเบ และเมื่อคุณทาอาหารจนอิ่มแล้ว คุณสามารถเลือกร้านกาแฟที่มีทิวทัศน์สวยงามให้คุณได้นั่งพักผ่อนเช่นกัน

4. ย่านชิน-โอซาก้า

ที่นี่คือสถานีรถไฟชินคันเซ็นที่จอดที่โอซาก้าก่อนมุ่งหน้าไปยังเกียวโต โกเบ นารา โตเกียว หรือจุดหมายปลายทางสำคัญอื่นๆ ในญี่ปุ่น และสถานีนี้ยังมีให้บริการรถไฟ JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า และรถไฟสายอื่นๆ อีกหลายสาย คุณสามารถนั่งรถไฟจากย่านนัมบะมาที่ชิน-โอซาก้าโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือนั่งรถไฟ 5 นาทีจากสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอุเมดะ

ภายในสถานีมีร้านอาหารมากกว่า 30 ร้าน รวมถึงร้านอาหารที่เป็นแบรนด์ของโอซาก้าที่ต้องลอง หรืออาหารสตรีทฟู้ดก็มีให้เลือกมากมาย คุณสามารถหาทานอาหารยอดนิยมของโอซาก้า อย่างโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ หรืออุด้ง ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล หรือหากต้องการอาหารที่มีเฉพาะที่ ก็ซื้ออาหารกล่องบนรถไฟหรือ ‘เอกิเบน’ เมนูที่เราอยากแนะนำก็คือชุดเนื้อโกเบหรือลิ้นวัวที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

5. ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

บริเวณนี้รายล้อมไปด้วยสถานีโดบุทสึเอ็นมาเอะ (Dobutsuen-mae) สถานีเอบิซุโจ (Ebisucho) ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหอคอยสึเต็งกากุ (Tsutenkaku) และสถานีเทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งเป็นสถานีตามเส้นทางของรถไฟใต้ดินโอซาก้า เป็นย่านที่เป็นจุดแวะชิมอีกแห่งหนึ่งแห่งที่ใช้เวลาเดินจากสถานีต่างๆ ประมาณ 10 นาที หากนั่งรถไฟจากนัมบะไปสถานีเอบิซูโชใช้เวลาประมาณ 15 นาที  และจากอุเมดะจะใช้เวลาประมาณ 25 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

ถนนช้อปปิ้งชินเซไกมีความย้อนยุคแบบเต็มรูปแบบ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดุดตาที่สุดในย่านนี้ ที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของคุชิคัตสึ หนึ่งในอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของโอซาก้า คุณสามารถลองชิมรสชาติแบบดั้งเดิมจากร้านค้าต่างๆ หรือร้านอิซากายะราคาไม่แพงแต่อร่อย นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ควรชิมอีกอย่างเช่น ซูชิ แซนด์วิชเนื้อ คุณจะพบร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น หรือร้านกาแฟทันสมัยได้ที่นี่

ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวโอซาก้ามีอะไรบ้าง นอกเหนือจากการลองชิมอาหารอร่อย  คุณอาจลองเข้าคลาสทำอาหารต้นตำรับของโอซาก้า หรือแวะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามในฤดูใบไม้ร่วง

เมื่อเราได้ข้อมูลการพยากรณ์ ช่วงเวลา ใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ปี 2024 มาแล้ว (หากใครที่ยังไม่มีข้อมูลสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่บทความ พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! ได้ที่นี่เลย!) ก็เตรียมตัววางแผนไป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่ญี่ปุ่นกันได้เลย! ในช่วงเวลานี้คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามสถานที่ต่างๆ ของญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วง สัมผัสลมหนาวที่กำลังเริ่มพัดเข้ามาแทนที่อากาศร้อน ได้เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ในญี่ปุ่นกำลังเริ่มเปลี่ยนสีเตรียมผลัดใบ ทิวทัศน์โดยรอบถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดใส สีส้ม และสีเหลืองทองของใบไม้เปลี่ยนสีจนดูราวกับงานศิลปะอันน่าทึ่ง

Allianz Travel รวบรวมรายละเอียดสถานที่ ที่คุณสามารถวางแผนทริป เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ของคุณโดยประมาณมาให้แล้วค่ะ

คุณสามารถเลือกสถานที่ในการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าตื่นตาตื่นใจได้หลายแห่งในญี่ปุ่นทั้งในเมืองและพื้นที่ธรรมชาตินอกเมือง รวมถึงสวนสาธารณะ สวน วัด ศาลเจ้า และภูเขา นอกจากนี้ สถานที่หลายแห่งจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีและกิจกรรมพิเศษต่างๆ รวมถึงจัดแสงไฟยามค่ำคืนเพื่อให้ชมความงามของใบไม้ที่มีไฟส่องสว่างด้วย

1. ภูมิภาคฮอกไกโด (เมืองซัปโปโร/เมืองฮาโกดาเตะ)

ฮอกไกโดตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของหมู่เกาะญี่ปุ่น และมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ จึงเป็นที่ที่เผยโฉมสีสันแรกของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสีเริ่มต้นที่ภูเขาอาซาฮีในกลุ่มภูเขาไฟไดเซ็ตสึซัง และค่อยๆ ไล่สีลงไปทางใต้ มัทั้งต้นไม้ใบกว้างอย่างเช่น ต้นเมเปิล และต้นสนผสมผสานกัน ทำให้เกิดการผสมผสานเฉดสีแดง เหลือง และเขียวอันสวยงาม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

กลางเมืองซัปโปโร (Supporo City) – ประมาณวันที่ 8 พฤศจิกายน: มหาวิทยาลัยฮอกไกโดและสวนสาธารณะนากาจิมะ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี มหาวิทยาลัยฮอกไกโด (Supporo City)

โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen) – ประมาณวันที่ 17-26 ตุลาคม: เมื่องน้ำพุร้อนที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองซัปโปโรโดยรถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมง โดดเด่นด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามริมแม่น้ำโทโยฮิระอันเงียบสงบ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen)

โซอุนเคียว (Sounkyo) – ประมาณวันที่ 10-20 ตุลาคม: หมู่บ้านออนเซ็นที่อยู่ในอ้อมกอดของภูเขาสูงตระหง่านในเขตอุทยานแห่งชาติได้เซ้ตสึซัง (Daisetsuzan) เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีหน้าผาสูงตระหง่าน น้ำตก และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

โซอุนเคียว (Sounkyo)

โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen) – ประมาณวันที่ 24 ตุลาคม-11 พฤศจิกายน: เมืองแห่งน้ำพุร้อนชื่อดังในฮอกไกโด ล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น เต็มไปด้วยไอน้ำและกลิ่นกำมะถันที่ฟุ้งขึ้นจากใต้ดิน และเป็นแหล่งออนเซ็นชั้นดี

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี โนโบริเบ็ตสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen)

2. ภูมิภาคโทโฮคุ (เมืองเซนได/เมืองอาโอโมริ)

โทโฮคุ (Tohoku) หมายถึงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของ 6 จังหวัดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องธรรมชาติแสนสวยจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อย่างเช่น เทือกเขาชิราคามิซันจิ (Shirakami-Sanchi) ในจังหวัดอาโอโมริ และเมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) ในจังหวัดอิวาเตะ ช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคโทโฮคุอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงกลางตุลาคม – ปลายเดือนพฤศจิกายน เร็วกว่าโตเกียวราวครึ่งเดือน

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge) – ประมาณวันที่ 29 ตุลาคม-6 พฤศจิกายน: บริเวณหุบเขาโออิราเสะร่มรื่นไปด้วยเสียงน้ำตกและอากาศสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะกับการเดินเล่นไปตามทางเดินเลียบหุบเขาเพื่อชื่นชมกับความงามของใบไม้เปลี่ยนสีตลอดความยาว 14 กิโลเมตรของลำธารโออิราเสะ ที่ไหลลงไปสู่ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)

หุบเขาโออิราเสะ (Oriase Gorge)

หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) – ประมาณวันที่ 30 ตุลาคม-12 พฤศจิกายน: หนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ บริเวณหุบเขาแห่งนี้จะงดงามไปด้วยสีแดง สีทอง และสีส้มสดใสของใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมมากที่สุดของภูมิภาคเลยทีเดียว

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge)

เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain) – ประมาณวันที่ 15 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: เทือกเขาซาโอะเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ระหว่างจังหวัดยามากาตะและจังหวัดมิยางิ มีใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงาม คุณสามารถนั่งกระเช้าชมวิวจากมุมสูงของเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แดงได้อย่างเต็มตา

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain)

หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) – ประมาณวันที่ 9-18 พฤศจิกายน: เมืองเล็กๆ ในจังหวัดอาคิตะ มีชื่อเสียงเรื่องย่านที่อยู่อาศัยของซามูไรสมัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและถนนที่งดงามซึ่งเรียงรายไปด้วยต้นซากุระเก่าแก่ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง บริเวณนี้จะมีชีวิตชีวาด้วยสีสันที่สดใส ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าหลงใหล

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)

หุบเขาเกบิเค (Geibikei Gorge) – ประมาณวันที่ 4-13 พฤศจิกายน: หุบเขาเกบิเคตั้งอยู่ในจังหวัดอิวาเตะ มีแม่น้ำอันเงียบสงบขนาบข้างด้วยหน้าผาสูงชันและป่าไม้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองสดใสในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

3. ภูมิภาคคันโต (เมืองโตเกียว/โยโกฮาม่า)

พื้นที่โตเกียวและปริมณฑลมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงย่านนิกโกอันโด่งดังและถนนแปะก๊วยสีทองในเมจิจิงกุไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) นอกจากนี้ บรรยากาศอันเงียบสงบของสวนสาธารณะต่างๆ ในภูมิภาค ยังช่วยให้คุณดื่มด่ำไปกับสีสันอันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง โดยช่วงเวลาในการชมจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม: ถือเป็นภูเขาที่คนนิยมเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เนื่องจากเดินทางสะดวกและมีหลายเส้นทางเดินป่าที่ประดับประดาด้วยใบไม้หลากสีสันช่วยให้หลีกหนีความวุ่นวายจากในเมือง และหากเป็นช่วงที่ฟ้าโปร่ง สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย

ภูเขาทาคาโอะ (Mount Takao)

นิกโก (Nikko) – ประมาณวันที่ 6-19 พฤศจิกายน: นิกโก้มีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามของวัดและศาลเจ้าต่าง ๆ จนองค์การยูเนสโก้ถูกประกาศให้เป็นเขตมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1999 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นิกโกจะกลายเป็นจุดชมวิวที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และมีภูเขาที่ทอดยาว มีสถานที่มากมายที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับฤดูใบไม้ร่วงในนิกโกได้ เช่น ภูเขา ทะเลสาบ และน้ำตก เป็นต้น

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี นิกโก (Nikko)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาแต่สมัยโบราณ มีธรรมชาติอันงดงาม ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย (กิงโกะ) ที่เรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 300 เมตร จะเปลี่ยนเป็นสวรรค์สีทองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง งดงามราวกับภาพวาด

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien)

ฮาโกเน่ (Hakone) – ประมาณวันที่ 13-28 พฤศจิกายน: ฮาโกเนะเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ และคุณจะสามารถมองเห็นภูเขาฟูจิได้จากฮาโกเนะในวันที่มีอากาศสดใส สถานที่ติดอันดับสำหรับการชมใบไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงในฮาโกเนะคือสวนสาธารณะโกระ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮาโกเนะ ทะเลสาบอะชิโนะโกะ วัดโชอันจิ และรถไฟสายฮาโกเนะโทซัง

ฮาโกเน่ (Hakone)

คามิโคจิ (Kamikochi) ประมาณวันที่ 21 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน: คามิโคจิตั้งอยู่ในเมืองนากาโนะ บริเวณเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น ถือเป็นอัญมณีบริสุทธิ์ที่ได้รับการยกย่องจากความงามที่ยังบริสุทธิ์และสีสันใบไม้ร่วงอันงดงาม บริเวณนี้มีแม่น้ำที่ใสราวกับคริสตัล ยอดเขาสูงตระหง่าน และใบไม้สีแดง สีส้ม และสีทองอันอุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี คามิโคจิ (Kamikochi)

4. ภูมิภาคโฮคุริคุ (เมืองคานาซาว่า/เมืองฟุคุอิ)

ภูมิภาคโฮคุริกุครอบคลุมพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของเกาะฮอนชู มีชื่อเสียงในด้านเทือกเขาที่กว้างใหญ่และมีหิมะตกหนักในช่วงฤดูหนาว ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในโฮคุริคุ แต่สถานที่บางแห่งอาจมีใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คสภาพอากาศและพยากรณ์เป็นระยะก่อนการเดินทาง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม: เป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นมากของเมืองคานาซาวะ ที่สายธรรมชาติห้ามพลาดกันเลย เพราะที่นี่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของสวนที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของสวนที่งดงามตระการตามาก และถ้าไปช่วงเทศกาลที่มีการประดับไฟตอนกลางคืน จะทำให้บรรยากาศที่น่าหลงใหลและมหัศจรรย์

สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenroku-en)

หุบเขาคุซูริว (Kuzuryu Gorge) – ประมาณวันที่ 4-15 พฤศจิกายน: หุบเขาคุซูริวอยู่ในจังหวัดโทยามะ คุณจะได้เห็นสีสันของฤดูใบไม้ร่วงตามเส้นทางเดินป่าเลียบไปตามแม่น้ำคุซูริวที่ใสสะอาดไหลอยู่เบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam) – ประมาณวันที่ 4-17 ตุลาคม: พื้นที่เขื่อนคุโรเบะล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่าน มองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของใบไม้หลากสีสันที่สะท้อนบนผืนน้ำอันเงียบสงบเบื้องล่าง

บริเวณเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)

5. ภูมิภาคชูบุ (ภูเขาไฟฟูจิ/เมืองกิฟุ/เมืองนาโกย่า)

ภูมิภาคชูบุเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น มีจุดที่งดงามมากมายพร้อมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม พื้นที่ทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ รวมถึงทะเลสาบคาวากุจิ มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านใบไม้ที่สวยงามตระการตา

ทะเลสาบคาวากุจิในเดือนพฤศจิกายนจะจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีทางตอนเหนือ สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปชมคือทางเดินโมมิจิ ซึ่งคุณสามารถเก็บภาพทิวทัศน์อันน่าทึ่งของภูเขาไฟฟูจิและใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชีวิตชีวาได้ในเฟรมเดียว เป็นภาพสัญลักษณ์ที่มักปรากฏบนโปสการ์ดและเว็บไซต์ท่องเที่ยว ทำให้ที่นี่เป็นไฮไลท์ของการมาเยือนภูมิภาคนี้

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi) – ประมาณวันที่ 15-24 พฤศจิกายน: หนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยผืนน้ำอันเงียบสงบและทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาไฟฟูจิ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงาม

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchi)

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park) – ประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม): ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิซุ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขียวขจี สวนสาธารณะในฤดูใบไม้ร่วงจะประดับประดาไปด้วยใบไม้หลากสีสัน มอบบรรยากาศอันเงียบสงบสำหรับผู้รักธรรมชาติ

อุทยานธรรมชาติชูเซ็นจิ (Shuzenji Nature Park)

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) (ดีที่สุดตั้งแต่วันที่ 2-15 พฤศจิกายน): ในจังหวัดกิฟุ เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่มีชื่อเสียงจากบ้านหลังคามุงจากแบบดั้งเดิมที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา แวดล้อมด้วยธรรมชาติชาติที่เป็นฉากหลังอันน่าทึ่งสำหรับสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)

สวนโยโระ (Yoro Park) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-8 ธันวาคม: ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ มีเป็นพื้นที่ธรรมชาติสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีและงานศิลปะ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะเห็นความสวยงามสีสันท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ นอกจากนี้ ยังมีทั้งน้ำตก ศาลเจ้า หมู่บ้าน และอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีให้คุณได้ชื่นชมอีกด้วย

6. ภูมิภาคคันไซ (เมืองเกียวโต/เมืองโอซาก้า)

ภูมิภาคคันไซเป็นที่ตั้งของเมืองประวัติศาสตร์สำคัญๆ เช่น เกียวโตและโอซาก้า มีสถานที่ท่องเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีมากมายในฤดูใบไม้ร่วง

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

เมืองเกียวโต (Kyoto) – ประมาณวันที่ 23 พฤศจิกายน-7 ธันวาคม: เกียวโตมีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามของทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอันน่าทึ่ง ที่คุณจะได้เห็นการผสมผสานของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมกับสีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง จุดไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ อาราชิยามะ วัดคิโยมิสึเดระ และวัดเอนโคจิ ท่ามกลางสถานที่สวยงามอื่นๆ อีกมากมาย

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองเกียวโต (Kyoto)

เมืองโอซาก้า (Osaka) – ประมาณวันที่ 16 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีห้ามพลาด ได้แก่ ปราสาทโอซาก้า น้ำตกมิโนะ และถนนมิโดสุจิ

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี เมืองโอซาก้า (Osaka)

เมืองนารา (Nara) – ประมาณวันที่ 18 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม: สำรวจความงามของสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงได้ตามศาลเจ้าและวัดเก่าแก่ สวนนารา หรือเดินเขาชมทิวทัศน์ที่ภูเขาโยชิโนะ

เมืองชิงะ (Shiga) – ประมาณวันที่ 24 พฤศจิกายน-4 ธันวาคม: สถานที่ห้ามพลาดคือปราสาทฮิโกเนะที่สวยงามเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วง ถนนต้นสน Metasequoia Namiki ในเมืองทาคาชิมะ ที่มีชื่อเสียงจากละครโทรทัศน์ยอดนิยม และมีต้นสนเมตาเซโคเอียประมาณ 500 ต้นตลอดถนนระยะทาง 2.4 กม. สีสันอันน่าทึ่งของฤดูใบไม้ร่วงทำให้ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน “100 เส้นทางชมวิวแห่งใหม่” ของญี่ปุ่น

7. ภูมิภาคชูโกกุ (เมืองฮิโรชิม่า/เมืองโอคายามะ)

ภูมิภาคชูโกกุตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 5 จังหวัด รวมถึงฮิโรชิม่าและโอคายามะ

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima) – ประมาณวันที่ 16-29 พฤศจิกายน: เกาะมิยาจิมะ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าเกาะอิทสึคุชิมะ สถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือประตูโทริอิสีแดงอันใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลและศาลเจ้ามรดกโลกอิทสึคุชิมะ อาคารเก่าแก่บนเกาะแห่งนี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นเมื่อประดับด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วโลก

เกาะมิยาจิมะ (Miyajima)

สวนโอคายามะ โคระคุเอ็น (Okayama Korakuen) – ประมาณวันที่ 21 พฤศจิกายน-6 ธันวาคม: เป็นหนึ่งในสามของสวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งได้สามดาวจากมิชลินกรีนไกด์ เป็นสวนที่ได้รับการวางผังเป็นอย่างดีจัดแสดงภูมิทัศน์อันงดงามและสถาปัตยกรรมที่กลมกลืนกัน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สีสันของใบไม้จะเพิ่มสัมผัสแห่งความงามอันสดใสให้กับบรรยากาศอันเงียบสงบ และช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความงามของสวนที่มีการจัดแต่งไฟที่ให้ภาพที่งดงามแตกต่างจากตอนกลางวัน

หุบเขาโอคุตสึ (Okutsu Valley) – ประมาณวันที่ 8-21 พฤศจิกายน: หุบเขาโอคุตสึเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดโอคายาม่า คุณจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของใบไม้สีแดงเข้ม ส้มอบอุ่น และสีเหลืองสดใสตามเส้นทางที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ราวกับผืนผ้าใบอันน่าหลงใหลที่มีในฤดูใบไม้ร่วง

8. ภูมิภาคชิโกะคุ (เมืองคากาวะ/เมืองโทคุชิมะ)

ภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) คือ 1 ใน 4 เกาะหลักของญี่ปุ่น โอบล้อมด้วยทะเลเซโตะ (Seto Inland Sea) และมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime), จังหวัดคางาวะ (Kagawa), จังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) และจังหวัดโคชิ (Kochi) บนเกาะนี้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อากาศค่อนข้างอบอุ่น มีเส้นทางปั่นจักรยาน มีเส้นทางจาริกแสวงบุญที่ยาวนานถึง 1,200 ปีไปยังวัด 88 แห่ง ทั้งนี้พื้นที่บริเวณโดยรอบยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีมนต์เสน่ห์น่าค้นหา

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

สวนริทสึริน (Ritsurin Garden) – ประมาณวันที่ 22 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม: สวนริทสึรินตั้งอยู่ในเมืองทะคะมัทสึ  และถือเป็นสวนที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้มีบ่อน้ำ 6 บ่อ และเนินเขาที่มีภูมิทัศน์สวยงาม 13 ลูก โดยมีภูเขาชิอินเป็นฉากหลัง สวนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ทิวทัศน์รอบตัวคุณเปลี่ยนแปลงไปในทุกย่างก้าว

หุบเขาคันคาเค (Kankakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม: ตั้งอยู่กลางเกาะโชโดะในจังหวัดคางาวะ เป็นหนึ่งในสามหุบเขาที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับรางวัล 1 ดาวจากมิชลินกรีนไกด์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาแห่งนี้จะมีสีสันสวยงามไปทั้งหุบเขา ควรขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเพื่อชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของหุบเขา

ช่องเขานาเมโทโกะ (Nametoko Gorge) – ประมาณวันที่ 19-30 พฤศจิกายน): เพลิดเพลินกับธรรมชาติใน หุบเขาที่ทอดตัวไปตามริมแม่น้ำเมกุโระ มีลำธารใสสะอาดไหลผ่านตามโขดหินท่ามกลางป่ามอสที่สวยงาม และน้ำตกยูกิวะไหลลงมาตามผาหินขนาดยักษ์ ช่องเขานาเมโทโกะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบเดินป่าและจุดชมวิวที่มีเสน่ห์อย่างมากโดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขาอิยะ (Iya Valley) คือหนึ่งในสามสถานที่ unseen หรือสถานที่เร้นลับที่ยังไม่ค่อยมีผู้มาเยือนของญี่ปุ่น มีแม่น้ำโยชิโนะ (Yoshino River) ไหลผ่านกลาง นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับภูเขาสีสันสวยงามด้วยใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาอิยะ (Iya Valley)

9. ภูมิภาคคิวชู (เมืองฟุกุโอกะ/เมืองคาโกชิม่า)

ภูมิภาคคิวชู (Kyushu) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ประกอบด้วย 7 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดฟุคุโอกะ (Fukuoka) จังหวัดซะกะ (Saga) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto) จังหวัดโออิตะ (Oita) จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima) ภูมิภาคนี้มีอากาศที่อบอุ่นและมีภูมิประเทศสูงต่ำสลับกัน มีทะเลและภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีจุดเด่นที่แหล่งประวัติศาสตร์เมืองโบราณทางตอนใต้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่มีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงอาหารพื้นเมืองน่าลิ้มลองอีกหลายชนิด

สถานที่และช่วงเวลา เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขายาบาเคอิ (Yabakei Gorge) – ประมาณวันที่ 14-26 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ในเมืองนาคัตสึ จังหวัดโออิตะ เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันมีสีสันของภูมิภาค เราขอแนะนำคุณมาเยี่ยมชมก่อนพระอาทิตย์ตกดินเพื่อชมการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์จากแสงสว่างไปสู่ความมืด และบางส่วนของพื้นที่จะมีการประดับไฟในตอนกลางคืน

หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) – ประมาณวันที่ 22-30 พฤศจิกายน: ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยะซะกิ มีหน้าผาสูงชันทอดตัวเป็นแนวยาวถึง 7 กิโลเมตร และเต็มไปด้วยสถานที่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามลึกลับ มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีกระจายอยู่ทั่ว กิจกรรมที่แนะนำเมื่อมาเยือนที่นี่ คือการพายเรือผ่านน้ำตกมะนะอิโนทาคิ (Manainotaki Waterfall) ที่มีความสูงถึง 17 เมตร ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของหุบเขาแห่งนี้ แล้วชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด ภาพของหุบเขา น้ำตก และใบไม้สีเหลืองและแดงรวมกันกลายเป็นความงดงามทางธรรมชาติราวกับภาพวาดที่หาชมได้ยาก

เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge)

สวนพฤกษศาสตร์ชิราโนเอะ (Shiranoe Botanical Garden) มีพื้นที่กว้างขวางให้ได้เดินชมความงามของธรรมชาติทั้ง 4 ฤดู สามารถมาชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือน จุดชมใบไม้แดงเด่นๆ ได้แก่ Iriguchi hiroba ตรงทางเข้า, Komorebi no ro ที่มีต้นเมเปิลกว่า 800 ต้น และ Rakuyo no mori ที่มีต้นเมเปิลอิโรฮะโมมิจิขนาดใหญ่ที่ถูกปลูกเมื่อ 50 ปีก่อน

วางแผน เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องจากช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงควรเริ่มวางแผนทริปล่วงหน้าทันทีที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน เราสามารถกะเวลาโดยประมาณจากพยากรณ์ข้างต้น เพื่อจัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก เขียนกำหนดการอย่างคร่าวๆ เตรียมเอกสารที่จำเป็น และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : n-kishou.com, matcha-jp.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด!

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่สวยงามที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ อุณหภูมิที่เย็นขึ้นและสภาพอากาศที่สดใสทำให้เรารู้สึกสดชื่น สิ่งที่ทำให้ผู้คนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็คือสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ที่เรียกว่า koyo ในภาษาญี่ปุ่น ทำให้ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ในหลายๆ สถานที่กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่มีเฉดสีสดใส สร้างทิวทัศน์อันตระการตาของใบไม้สีแดง สีส้ม และสีเหลืองในป่าหลายแห่งของประเทศ

เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำกับความงดงามของฤดูกาล Allianz Travel จะพาคุณไปยัง 9 สถานที่เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่ดีที่สุด รวมถึงช่วงเวลาและวิธีเดินทางไปที่นั่นด้วย เตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเลยค่ะ!

1. ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) – จังหวัดยามานาชิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) ที่เที่ยวญี่ปุ่น สุดฮิตของนักท่องเที่ยว โดย ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้งห้า (ทะเลสาบคาวากุจิ ทะเลสาบยามานากะ ทะเลสาบโมโตสึ ทะเลสาบโชจิ และทะเลสาบไซโกะ) ที่อยู่เชิงภูเขาไฟฟูจิ ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิมากที่สุดจนเรียกได้ว่าเป็นประตูสู่ฟูจิ เป็นจุดชมความงามของภูเขาไฟฟูจิในหลากหลายวิว บริเวณทะเลสาบจะเน้นชมวิวแนวธรรมชาติ โดยการนั่งรถ Retro bus เพื่อชมวิวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ โดยรอบ หรือจะเลือกที่จะขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชมวิวและล่องเรือในทะเลสาบคาวากุจิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko)

สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยสุดโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งในแถบภูเขาไฟฟูจิโดดเด่นที่สุดคืออุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko เป็นไฮไลท์หลักที่หากมาเที่ยวคาวากุจิโกะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็นจุดที่ห้ามพลาดเลย ที่นี่เป็นถนนเลียบคลองสายเล็กๆ ที่มีต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่นเรียงรายตลอดสองข้างทางจนดูเหมือนอุโมงค์ที่ยาวเกือบ 1.5 กม. คุณจะได้เห็นภาพใบไม้แดงร่วงหล่นลงมาย้อมทางน้ำจนปกคลุมเป็นสีแดงไปทั่ว ในตอนกลางคืนยังมีการประดับไฟตามทางเดินไปตลอดแนว ต้นเมเปิลญี่ปุ่นสีสันสดใสจะสว่างไสวสวยงามมากๆ ค่ะ

อุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko

นอกจากนี้ จะมีเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่ทะเลสาบคาวากุจิ (Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival) จัดขึ้นทุกปีบนชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบ บริเวณนี้เต็มไปด้วยแผงขายอาหารและของที่ระลึกซึ่งมีงานฝีมือในท้องถิ่นและอีกมากมาย ทะเลสาบคาวากุจิเป็นจุดที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสความงามของสีสันในฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น โดยมีภูเขาไฟฟูจิตระหง่านเป็นฉากหลัง

Fuji Kawaguchiko Autumn

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: ขึ้นรถบัสจากสาถนชินจูกูหรือสถานีชิบูย่า (2.3 ชม.) หรือนั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวไปยังสถานีโอสึกิ (สายหลักชูโอ ประมาณ 1 ชั่วโมง 16 นาที); จากสถานี Ōtsuki ถึงสถานี Kawaguchiko (สาย Fujikyuko ประมาณ 43 นาที)

พิกัด: https://goo.gl/maps/e9woio6u4ZvPKJV96

2. เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ที่เที่ยวญี่ปุ่น อีกแห่งหนึ่งในโตเกียวที่เราอยากแนะนำคือสวนเมจิจิงงูไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน คุณจะได้เห็นต้นแปะก๊วย 146 ต้นที่ปลูกเรียงรายอยู่ตามถนนกว้างเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใสและใบไม้ที่ร่วงหล่นทำให้ถนนยาว 300 เมตรแห่งนี้กลายเป็นถนนที่เต็มไปด้วยสีเหลืองทองที่สวยงามมาก

เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เป็นช่วงเวลาที่ดีในการชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น เนื่องจากบริเวณนี้ห้ามยานพาหนะทุกคันผ่านและกลายเป็นสวรรค์สำหรับคนเดินถนน ให้คุณเดินเล่นสบาย ๆ ผ่านปรากฏการณ์อันน่าประทับใจนี้

คุณสามารถแวะนั่งที่ร้านกาแฟในพื้นที่ นั่งชมทัศนียภาพอันน่ามหัศจจรย์ของต้นแปะก๊วยสีทอง และทุกปีจุดชมใบไม้ร่วงแห่งนี้ดึงดูดผู้คนได้ประมาณ 1,800,000 คน ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟมาลงสถานีชินาโนะมาจิ  JR Shinamomachi (JR สายชูโอ-โซบุ) หรือสถานีรถไฟใต้ดิน รือ สถานีรถไฟใต้ดิน Gaiemmae และ Aoyama-itchome แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/oLzA2F5u2y1AGtfE6

3. ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

ทะเลสาบโทวาดะเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่อยู่ระหว่างจังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ ธรรมชาติที่เขียวชอุ่มและทิวทัศน์ตามฤดูกาลของทะเลสาบก็น่าทึ่งมาก ต้นไม้ผลัดใบ เช่น บีช เมเปิล และโรแวนญี่ปุ่น เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนชายฝั่งของทะเลสาบโทวาดะ ซึ่งจะสร้างสีสันไปพร้อมๆ กันเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง

ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

สีแดงและสีเหลืองอันตระการตาตัดกับผืนน้ำสีฟ้าของทะเลสาบ ทำให้เกิดทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ร่วงที่สดใสและอุดมสมบูรณ์จนเกือบจะดูเหมือนภาพวาด จุดชมวิวโคงาคุได (Kogakudai) และจุดอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้คุณสามารถชมวิวได้จากหลายมุม

นอกจากชื่นชมความงามจากจุดชมวิวแล้ว คุณสามารถเลือกนั่งเรือล่องไปตามน่านน้ำของทะเลสาบนอกฤดูหนาวและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงของทะเลสาบโทวาดะจากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร!

Lake Towada

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง (ชินคันเซ็น/รถไฟ): จากสถานีโตเกียวไปยังสถานี Shin-Aomori (Tohoku Shinkansen ประมาณ 3 ชั่วโมง); จากสถานี Shin-Aomori ถึงป้ายรถประจำทาง Yasumiya (รถบัสประจำทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง)

พิกัด: ใกล้ Towadakohanyasumiya-486 Okuse, Towada, Aomori 034-0301

4. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) จังหวัดยามากาตะ

วัดยามาเดระแปลตามตัวได้ว่า “วัดภูเขา” หากเรียกชื่ออย่างเป็นทางการก็คือวัดริชาคุจิ (Risshakuji Temple) เป็นวัดพุทธเก่าแก่ของนิกาย Tendai ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 860 ในสมัยคามาคุระ ซึ่งนับว่ามีอายุมากกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่บนเขาในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku)

Yamadera, Yamagata

วัดนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบด้วยธรรมชาติ เป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยมีบันไดหินเรียงรายกว่า 1,000 ขั้นที่นำพาผู้มาเยือนขึ้นไปสู่ไฮไลท์ของวัดคือวิหารโกไดโด (Godaido) ที่อยู่ด้านบนสุดชวนให้สัมผัสถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน สำหรับผู้มาเยือนวัดยามาเดระ นอกจากจะได้รับพรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้ามาในฤดูใบไม้ร่วงจะได้เห็นวิวต้นไม้และภูเขาที่เปลี่ยนไปเป็นสีส้มปนแดง สวยจับใจเลยล่ะ

Yamadera

แต่บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่มีผู้ร่วมทางอายุเยอะหรือเจ็บข้อเข่า ควรพิจารณาให้ดีก่อนขึ้น เพราะการเดินขึ้นมีบันไดไปยังชั้นบนสุด ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีลิฟต์หรือกระเช้าใดๆ ช่วยทั้งสิ้นนะคะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: จากสถานีโตเกียว ให้นั่งรถสายไฟโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) ไปลงสถานีเซนได (Sendai Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR สาย เซนซัน (Senzan Line) ไปลงสถานียามาเดระ (Yamadera Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และเดินต่ออีก 5 นาที

พิกัด: 4456-1, Yamadera, Yamagata-shi, Yamagata, 999-3301

5. มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi)

เส้นทางขับรถสายนี้ถือเป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีทัศนียภาพสวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีราวกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้นานาพันธุ์ในป่าอันกว้างใหญ่ที่รายล้อมโดยรอบจะพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีเหลืองสลับส้ม แต่งแต้มสีสันให้ทั่วทั้งพื้นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

จุดที่เป็นไฮไลต์สำคัญคือสะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) สะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ราวกับกำลังลอยอยู่เหนือทะเลใบไม้เปลี่ยนสี และถ้ามองจากสะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge) ก็จะเห็นทิวทัศน์ของสะพานมัตสึมิที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติตระการตา สมกับที่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 มุมถ่ายรูปสวยของฮอกไกโด

บนเส้นทางนี้ยังมีจุดชมวิว Mikuni Pass Observation Deck ซึ่งอยู่ตรงจุดแวะพักรถบริเวณหน้าอุโมงค์ (Mikuni Tunnel) สามารถดื่มด่ำชมวิวพาโนรามาสุดปังของแนวทิวป่าได้อย่างเต็มอิ่ม และยังมีคาเฟ่ (Mikuni Café) ที่ให้นั่งพัก จิบกาแฟ หรือทานอาหาร เพื่อเติมพลังระหว่างเที่ยวกันด้วย

*คาเฟ่เปิดให้บริการช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

การเข้าถึง (เที่ยวบิน+เช่า): จากสนามบินนาริตะ (โตเกียว) ไปยังสนามบินอาซาฮิกาวะ (ฮอกไกโด ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที); จากสนามบินอาซาฮิคาวะถึงมิคุนิพาส (โดยรถยนต์ ประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที)

จากโซอุนเคียว ออนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง มิคุนิพาส หรือหากมาจากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที 

พิกัด: https://goo.gl/maps/sTRGCzy5KgADvAy26

6. วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

วัดบิชามอนโด เป็นวัดในนิกายเทนได (Tendai) ถือเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในวันสำคัญต่างๆ มักมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้ขอพร ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองและครอบครัวมีความสุขปลอดภัยจากอัตรายต่างๆ เพราะมีเทพเจ้าประจำวัดคือบิชามอนเทน (Bishamonten) หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น

วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

ผู้ตนมากมายมุ่งหน้ามายังวัดบิชามอนโด วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในแถบยามาชินะแห่งนี้ เพราะชื่อเสียงเรื่องความงดงามในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และเมื่อต้นเมเปิลสีแดงสดผลัดใบลงสู่พื้นดิน เราจะได้เห็นภาพอันงดงามของอุโมงค์ต้นเมเปิลที่ดูราวกับมีพรมสีแดงปูตลอดทางเข้าสู่บริเวณวัด อีกทั้งยังมีต้นซากุรอายุกว่า 150 ปีคอยต้อนรับผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติอีกด้วย ทำให้วัดบิชามอนโดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงของเกียวโต

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถไฟทั้งสายรถไฟใต้ดินโทไซ (Tozai Subway Line) และสายเคย์ฮัน เคย์ชิน (Keihan Keishin Line) โดยลงที่สถานียามาชินะ (Yamashina Station) และเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที

เวลาเปิดปิด: 8:30 – 17:00 น.

พิกัด: 18, Anshuinariyamacho, Yamashina-Ku, Kyoto-Shi, Kyoto, 607-8003

7. ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ภูมิภาคคันโตเป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่มีจุดชมใบไม้ร่วงที่สวยงามและโดดเด่นหลายแห่ง เช่น น้ำตกโอดาชิโรกาฮาระ (Odashirogahara) และน้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall) และอีกแห่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้ที่ใดก็คือถนนอิโรฮาซากะที่มีความยาวประมาณ 15.8 กิโลเมตร เชื่อมเมืองนิกโกกับทะเลสาบชูเซ็นจิ (ทะเลสาบในอุทยานแห่งชาตินิกโก) ซึ่งขึ้นชื่อด้านโค้งกิ๊บปิ่นโตทั้งหมด 48 โค้งทั้งสองทิศทาง

น้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall)

ถนนอิโรฮาซากะสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1954 และ 1965 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สดใสในทุกโค้ง และไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้เช่ารถ การลดหน้าต่างลงและเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์โดยตรง ช่วงที่สวยขั้นสุดจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม ใบไม้จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ส้ม และแดงสลับกันไป

ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือความคดเคี้ยวของถนนที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถ เราสามารถซื้อทัวร์รถบัสแบบไปเช้าเย็นกลับที่มีอยู่มากมายจากโตเกียวที่ให้บริการผ่านตัวแทนท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยให้เราได้เพลิดเพลินไปกับสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ที่สำคัญหากใครที่มีปัญหาเรื่องเมารถ ขอแนะนำให้ทานยาป้องกันการเมารถไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ป่วยจนต้องหมดสนุกค่ะ

Irohazaka

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนตุลาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวถึงสถานี Utsunomiya (Tohoku Shinkansen) ประมาณ 50 นาที และจากสถานี Utsunomiya ไปถึงที่หมายโดยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือจาก JR หรือ Tobu Nikko Station โดยสารรถบัส Tobu bus ที่ไปยัง Chuzenjiko Onsen หรือ Yumoto Onsen ลงที่ Akechidaira bus stop ใช้เวลา 35 นาที (รถบัสไม่จอดที่สถานี Akechidaira ในเส้นทางขากลับ) 

พิกัด: Chuguushi, Nikko-shi, Tochigi, 321-1661

8. เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

เกาะอิทสึคุชิมะเป็นชื่อที่เป็นทางการของเกาะมิยาจิมะ (Miyajima) ที่คนทั่วไปนิยมเรียกกัน เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ที่เมืองฮะสึไกชิทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองฮิโรชิม่า ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “เกาะแห่งเทพเจ้า” เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกไม่แพ้ภูเขาไฟฟูจิเลย ได้รับการจดทะเบียนให้เป็มรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก มิชลีนไกด์ยังให้คะแนนแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ถึงสามดาว และยังเป็นหนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

จุดเด่นของเกาะนี้คือเสาแดงโทริอิไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าเกาะในทะเลเซโตะ เราสามารถเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆ ในช่วงเวลาน้ำลงได้ด้วย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนักท่องเที่ยวก็นิยมพากันมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park) สวนสาธารณะที่อยู่ตรงเชิงเขาของป่ามิเซ็นบนเกาะอิทสึคุชิมะ มีต้นเมเปิ้ลประมาณ 700 ต้น เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการตระเวนชมใบไม้เปลี่ยนสี โดยเฉพาะบริเวณสะพานไม้สีแดงที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีดูสวยงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park)

นอกจากนี้ คุณห้ามพลาดขึ้นกระเช้าชมวิว (Miyajima Ropeway) เพื่อไปชมวิวบนยอดเขามิเซ็น (Mt. Misen) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากเช่นกัน 

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย JR Sanyo จากสถานี Hiroshima มาลงที่สถานี Miyajimaguchi ใช้เวลาประมาณ 25 นาที  และเดินต่ออีกนิดหน่อยไปที่ท่าเรือให้นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก (ใช้ JR Pass ได้) โดยใช้เวลาประมาณอีก 15 นาทีก็จะถึงเกาะมิยาจิม่า

พิกัด: Miyajima-cho, Hatsukaichi-shi, Hiroshima 739-0588

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

วัดคิโยะมิซุหรือที่เรารู้จักกันในชื่อวัดน้ำใส เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ที่มาของชื่อวัดน้ำใสมาจากการที่วัดแห่งนี้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างโดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆ ทั้งสิ้น เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

และเมื่อมาถึงวัดคิโยมิซุแล้ว อย่าพลาดไปต่อคิวดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านวัดกันด้วยนะคะ นอกจากนี้บริเวณทางเข้าวัดก็ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าพื้นเมืองและขนมอร่อยๆ มากมาย ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคนจะเยอะมาก เผื่อเวลาเที่ยวกันดีๆ ใครอยากไปแบบคนน้อยๆ แนะนำว่าให้ไปตั้งแต่เช้าเลยค่ะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถบัสสาย 100, 206 ลงที่ป้ายรถบัส Gojo-zaka หรือป้ายรถบัส Kiyomizu-michi และเดินประมาณ 10-15 นาที หรือขึ้นรถไฟสาย Keihan ไปลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station และเดินต่อประมาณ 20 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/ZnoJ7crLPTZ3CNk97

ใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี รีบวางแผนการเดินทางกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ เพราะถ้ารอใกล้ๆ ช่วงนั้น ทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พักก็อาจราคาพุ่งสูงขึ้น หรืออาจหายากแล้วค่ะ แต่ก่อนจะออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเอกสาร เสื้อผ้า ยาประจำตัว และ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวญี่ปุ่น ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel