พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น 2024

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! [ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024]

ได้เวลาเตรียมตัววางแผนการเดินทางเพื่อไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 กันแล้ว การชมดอกซากุระที่บานสะพรั่งอย่างสวยงามหรือที่รู้จักกันในชื่อฮานามิหรือโอฮานามิในญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากในการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมและเมษายน หากคุณวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เช็คช่วงเวลาพยากรณ์ดอกซากุระบาน เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศในแต่ละปี Allianz Travel จะพาคุณไปเช็คจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่น ซึ่งตาราง พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 อย่างเป็นทางการของ Japan Meteorological Corporation จะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2024 จนถึง ณ ตอนนี้ JMC ได้เผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์ซากุระบาน ในญี่ปุ่น ออกมาแล้วทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 11 ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาซากุระบานมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้นะคะ 🙂

ไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงเวลาไหนดี ?

ดอกซากุระในญี่ปุ่นมีช่วงเวลาที่บานเต็มที่ในแต่ละสถานที่คือประมาณหนึ่งสัปดาห์ และช่วงที่บานเต็มที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ ดอกซากุระจะเริ่มบานจากเขตอบอุ่นและจุดสุดท้ายคือในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น ตัวอย่างเช่น คุณจะเริ่มชมซากุระในภูมิภาคคิวชูตอนใต้ได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และบานเต็มที่ในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แต่ดอกซากุระในจังหวัดฮอกไกโดทางตอนเหนือสุดจะบานเต็มที่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

ในแต่ละปี ซากุระจะเริ่มบานในโตเกียวตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และสามารถบานสะพรั่งได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างโอซาก้า เกียวโต และฮิโรชิม่า ก็เริ่มบานสะพรั่งในเวลาเดียวกัน ในภาคกลางของญี่ปุ่น ดอกซากุระเริ่มบานตั้งแต่ต้นถึงกลางเดือนเมษายน ภายในปลายเดือนเมษายน คุณจะเห็นดอกซากุระในโทโฮคุ และตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คุณจะเห็นดอกซากุระที่ฮอกไกโดเช่นกัน

ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงต้นฤดูกาล (เดือนกุมภาพันธ์)

ซากุระมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดคือพันธุ์โซเมอิโยชิโนะ (Somei-yoshino) ที่บานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนเมษายน และเวลาที่มีการพยากรณ์ซากุระบานในแต่ละปี ก็ยึดเอาพันธุ์โซเมอิโยชิโนะนี่แหละเป็นตัววัด ทำให้หลายคนอาจคิดว่าการชมซากุระในญี่ปุ่นมีเ)พาะช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่ความจริงแล้วซากุระบางสายพันธุ์ก็บานเร็วกว่าพันธุ์ทั่วไปเล็กน้อย เราจะมาแนะนำสถานที่ที่สามารถไปชมซากุระได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์เลยค่ะ

เมืองคาวาซุ (Kawazu) ของจังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

ห่างจากโตเกียวประมาณ 2.5 ชั่วโมง มีชื่อเสียงเรื่องดอกซากุระพันธุ์คาวาซุ ดอกใหญ่สีชมพูเข้ม ซึ่งบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ และบานนานเกือบหนึ่งเดือนทำให้เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่เร็วที่สุดในละแวกโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ ช่วงที่มีซากุระบานของทุกปียังมีการจัด เทศกาลคาวาซุซากุระ (Kawazu Cherry Blossom Festival) ที่สวยงามไปด้วยซากุระสีชมพูทั้งในเมืองและริมแม่น้ำ การประดับไฟยามค่ำคืน และร้านค้าริมทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองคาวาซุ (Kawazu) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

เมืองอาตามิ (Atami) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอิซุ (Izu)

ห่างจากโตเกียวไปทางตะวันตกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงโดยรถไฟชินคันเซ็น บรรยากาศเหมือนเมืองตากอากาศ มีบ่อน้ำพุร้อนและเรียวกังมากมาย ที่นี่เป็นแหล่งชมซากุระพันธุ์อาตามิ เป็นพันธุ์สีชมพู ดอกพุ่มสวย ปกติจะบานช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เมื่อเริ่มบานแล้วจะอยู่ประมาณ 10 วันก็จะเริ่มร่วงโรยรา จุดชมซากุระอยู่ตรงทางเดินเลียบแม่น้ำ Itogawa ใช้เวลาเดินลงจากสถานี Atami ประมาณ 10 นาที ที่นี่คุณจะเห็นต้นซากุระประมาณ 58 ต้นที่ปลูกอยู่สองข้างทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองอาตามิ (Atami)

เมืองมิอุระ (Miura) จังหวัดคานางาวะ (Kanagawa)

มีดอกซากุระคาวาซุที่ผลิดอกช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณจะได้เห็นต้นซากุระสายพันธุ์นี้ราว 1,000 ต้นเรียงรายตามเส้นทางรถไฟระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรจากสถานีมิอูระไคกัง (Miurakaigan) ไปยังสวนสาธารณะโคมัตสึไคเกะ (Komatsugaike) นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศจากทุ่งดอกมัสตาร์ดสีเหลืองนวลที่ออกดอกตามสองข้างทาง ตลอดฤดูกาล ตลาดแผงลอยหลายแห่งจะเปิดให้บริการที่หน้าสถานีมิอูระไคกัง ซึ่งท่านสามารถที่จะซื้อหาผักสดจากท้องถิ่นรวมทั้งสินค้าพิเศษของเมืองมิอุระได้

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2024

ตารางพยากรณ์ช่วงดอกซากุระบานของญี่ปุ่นในปี 2024 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 11) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2024 ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางปี 2024 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ดอกซากุระบานปี 2024 (พยากรณ์ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024)

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาที่ซากุระเริ่มบานช่วงเวลาที่ซากุระบานเต็มที่
โตเกียว – Tokyo29 มีนาคม4 เมษายน
นาโงย่า – Nagoya28 มีนาคม7 เมษายน
เกียวโต – Kyoto29 มีนาคม5 เมษายน
โคจิ – Kochi23 มีนาคม31 มีนาคม
ฟุกุโอกะ – Fukuoka27 มีนาคม2 เมษายน
โอซาก้า – Osaka30 มีนาคม6 เมษายน
ฮิโรชิมะ – Hiroshima25 มีนาคม5 เมษายน
วากายามะ – Wakayama30 มีนาคม3 เมษายน
คานาซาว่า – Kanazawa1 เมษายน8 เมษายน
นากาโน่ – Nagano8 เมษายน10 เมษายน
คาโกชิมะ – Kagoshima29 มีนาคม7 เมษายน
เซนได – Sendai2 เมษายน9 เมษายน
อาโอโมริ – Aomori15 เมษายน18 เมษายน
ซัปโปโร – Sapporo27 เมษายน30 เมษายน
ดอกซากุระบานหรือดอกซากุระบานเต็มที่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2024 Cherry Blossom Forecast (11th forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ชมดอกซากุระในญี่ปุ่น

พิกัดชม ซากุระ ญี่ปุ่นมีมากกว่า 1,000 แห่ง การเลือกพิกัดสถานที่ที่ดีที่สุดเพียงไม่กี่แห่งอาจเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก Allianz Travel ขอรวบรวมรายชื่อสถานที่ชมซากุระที่สวยงามตามภูมิภาคไว้ดังนี้ค่ะ

1. ภาคเหนือของญี่ปุ่น: ฮอกไกโด

  • สวนโมเอเรนุมะ (Moerenuma Park) เมืองซัปโปโร: สวนศิลปะแห่งนี้ออกแบบโดยประติมากรอิซามุ โนกุจิ มีประติมากรรมขนาดใหญ่ และเต็มไปด้วยดอกซากุระสีชมพูสดใสในฤดูใบไม้ผลิ

  • หอคอยและป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku) เมืองฮาโกดาเตะ: ป้อมสไตล์ฝรั่งเศสรูปดาวแห่งนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งชาติที่รายล้อมไปด้วยดอกซากุระค คุณสามารถขึ้นไปชมวิวความงามของดอกซากุระจากมุมสูงได้จากหอคอยที่มีความสูงถึง 107 เมตร
ซากุระ ญี่ปุ่น : หอคอยและป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku)
  • สวนสาธารณะอาซาฮิกาโอกะ (Asahigaoka Park) เมืองฟุราโนะ: เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในร้อยทิวทัศน์ที่สวยงามของญี่ปุ่น นำเสนอทัศนียภาพอันงดงามของแอ่งน้ำฟุราโนะ ภูเขาโทคาจิ และต้นซากุระ 3,000 ต้น

  • ภูเขาเท็นกุ (Tengu) เมืองโอตารุ: คุณจะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองโอตารุและทะเลญี่ปุ่น และต้นซากุระที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้เกิดภาพที่งดงามมาก

  • สวนอาซาฮิคาวะ (Asahikawa Park) เมืองอาซาฮิคาวะ: สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฮอกไกโด และเป็นแหล่งรวมต้นซากุระประมาณ 3,500 ต้น ซึ่งช่วงกลางคืนจะมีการประดับไฟดอกซากุระตลอดทั้งฤดูกาล

2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น: ภูมิภาคโทโฮคุ

  • มิฮารุ ทากิซากุระ (Miharu Takizakura) เมืองฟุกุชิมะ: มิฮารุ ทากิซากุระ เป็นหนึ่งในสามของสถานที่ชมซากุระที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ต้นซากุระอันงดงามที่ห้อยระย้าลงมาตลอดเส้นทางเดินมีอายุมากกว่า 1,000 ปี ที่รอต้อนรับผู้มาเยือน
ซากุระ ญี่ปุ่น : มิฮารุ ทากิซากุระ (Miharu Takizakura) เมืองฟุกุชิมะ
  • ฮิโตเมะเซ็นบงซากุระ (Hitome Senbonzakura) เมืองมิยางิ: คุณจะเห็นต้นซากุระเรียงรายไปกว่า 8 กิโลเมตรตามแม่น้ำชิโรอิชิ โดยมีเทือกเขาซาโอะที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นฉากหลัง
ซากุระ ญี่ปุ่น : ฮิโตเมะเซ็นบงซากุระ (Hitome Senbonzakura) เมืองมิยางิ
  • ซาสวนฮิโรซากิ (Hirosaki Park) เมืองอาโอโมริ: มีต้นซากุระ 52 สายพันธุ์ ราว 2,600 ต้น ซึ่งจะบานเต็มที่ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี คุณจะได้เห็นวิวสวยๆ ของปราสาทฮิโรซากิกับดอกซากุระ และภูเขาอิวากิพร้อมกัน ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก

  • คาคุโนะดาเตะ บูเคยาชิกิโดริ (Kakunodate Bukeyashiki-dori) เมืองอาคิตะ: ย่านซามูไรที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ประดับด้วยต้นซากุระสีชมพูตัดกับสีดำของรั้วบ้านซามูไรในช่วงปลายเดือนเมษายน
ซากุระ ญี่ปุ่น : คาคุโนะดาเตะ บูเคยาชิกิโดริ (Kakunodate Bukeyashiki-dori) เมืองอาคิตะ
  • ภูเขาอิวากิ (Mt. Iwaki) เมืองอาโอโมริ: ภูเขาอิวากิซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีต้นซากุระประมาณ 6,500 ต้นตลอดเส้นทางระยะทาง 20 กม. ซึ่งจะบานสะพรั่งอย่างงดงามตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม

3. ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคันโต-โคชิน

  • สวนสาธารณะแห่งชาติชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) เมืองโตเกียว: มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในสวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุด มีต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้นจาก 65 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน นำเสนอการภาพที่สวยงามน่าทึ่งในฤดูใบไม้ผลิ

  • สวนอุเอโนะ (Ueno Park) เมืองโตเกียว: มีต้นซากุระประมาณ 1,200 ต้น เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการชมดอกซากุระ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 2 ล้านคนในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะช่วงเย็นที่สวยงามด้วยแสงไฟตกแต่งส่องสว่างไปทั่ว
ซากุระ ญี่ปุ่น : สวนอุเอโนะ (Ueno Park) เมืองโตเกียว
  • แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) เมืองโตเกียว: มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้นบานสะพรั่งอย่างสวยงามไปตามริมแม่น้ำยาว 3.8 กิโลเมตร พร้อมด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่มให้นั่งชมวิวในบริเวณใกล้เคียง
ซากุระ ญี่ปุ่น : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) เมืองโตเกียว
  • สวนสาธารณะโยโยกิ (Yoyoki Park) เมืองโตเกียว: สวนสาธารณะโยโยกิเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันภายใต้ดอกซากุระที่บานสะพรั่งเพื่อสังสรรค์กัน

  • สวนริคุงิเอน (Rikugien Gardens) เมืองโตเกียว: สวนภูมิทัศน์ญี่ปุ่นอันเงียบสงบและเก่าแก่แห่งนี้เป็นสถานที่พิเศษที่มีทัศนียภาพอันงดงามของต้นซากุระที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ

4. ภาคกลางของญี่ปุ่น: ภูมิภาคโฮคุริคุและโทไก

  • ปราสาทอุเอดะ (Ueda Castle) เมืองนากาโนะ: ปราสาทอุเอดะสร้างขึ้นในปี 1583 ประดับด้วยต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่สร้างปรากฏการณ์อันน่าทึ่งในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ
ซากุระ ญี่ปุ่น : ปราสาทอุเอดะ (Ueda Castle) เมืองนากาโนะ
  • ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เมืองนากาโนะ: ปราสาทมัตสึโมโต้ถือเป็นสถานที่ชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงและมีนักท่องเที่ยวจากในประเทศและต่างประเทศเดินทางมาชมดอกซากุระกันอย่างเนืองแน่น และที่บริเวณสวนฮงมารุ ซึ่งอยู่ด้านในบริเวณปราสาทมัตสึโมโต้ จะมีการจัดงานชมดอกซากุระพร้อมจิบชายามค่ำคืน โดยจะมีการประดับไฟไลท์อัพที่ต้นซากุระและตัวปราสาท
ซากุระ ญี่ปุ่น : ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เมืองนากาโนะ
  • อุทยานซากปราสาททาคาโตะ (Takato Castle Ruins Park) เมืองนากาโนะ: สวนแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน 100 จุดชมซากุระชั้นนำของญี่ปุ่น มีต้นซากุระประมาณ 1,500 ต้น

  • สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) เมืองอิชิคาวะ: หนึ่งในสามสวนที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น มีพันธุ์ซากุระประมาณ 40 สายพันธุ์และต้นซากุระ 420 ต้น ซึ่งจะบานในช่วงกลางเดือนเมษายน นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) เมืองอิชิคาวะ
  • วัดเซนโกจิ (Shinshu Zenkoji) เมืองนากาโนะ: วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 642 ล้อมรอบด้วยต้นซากุระที่สวยงามและดอกซากุระบานสะพรั่ง ท่ามกลางหุบเขาอันร่มรื่น สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณจากผู้คนที่มีมาสักการะเป็นประจำตั้งแต่ 1,400 ปีก่อน

5. ภาคตะวันตกตอนกลางของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคันไซ/คินกิ

  • ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เมืองเฮียวโงะ: ปราสาทฮิเมจิมีชื่อเสียงในเรื่องต้นซากุระกว่า 1,000 ต้น เป็นประสบการณ์การชมดอกซากุระที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงการล่องเรือไปตามคูน้ำใต้กลีบสีชมพูในช่วงเทศกาลดอกซากุระ
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เมืองเฮียวโงะ
  • วัดโทจิ (To-ji Temple) เมืองเกียวโต: วัดโทจิมีเจดีย์ไม้ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยต้นซากุระที่สวยงามประมาณ 200 ต้น ทำให้เกิดเป็นฉากที่สวยงาม คุณสามารถเพลิดเพลินกับวิวดอกซากุระขณะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเกียวโตในบริเวณใกล้เคียง
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : วัดโทจิ (To-ji Temple) เมืองเกียวโต
  • วัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple) เมืองเกียวโต: วัดนินนาจิมีชื่อเสียงจากต้นซากุระโอมูโระ ที่ออกดอกช้าหลากหลายพันธุ์ โดยมีเจดีย์ห้าชั้นตั้งอยู่ สถานที่งดงามราวภาพวาดแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามระดับชาติ และเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระ 100 อันดับแรกของญี่ปุ่น
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : วัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple) เมืองเกียวโต
  • วัดโยชิมิเนะเดระ (Yoshimine-dera Temple) เมืองเกียวโต: วัดนี้ก่อตั้งในปี 1029 มีชื่อเสียงในเรื่องดอกซากุระบานสะพรั่งอย่างสวยงาม และตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาทางตะวันตกของเกียวโต

  • ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เมืองนารา: ภูเขาโยชิโนะมีต้นซากุระป่าสีขาวประมาณ 30,000 ต้นแผ่กระจายไปทั่วหุบเขาและสันเขา นำเสนอทิวทัศน์ดอกซากุระอันงดงามในฤดูใบไม้ผลิ
ซากุระ ญี่ปุ่น : ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เมืองนารา

6. ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น: ภูมิภาคชูโงะคุ และชิโกะคุ

  • ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) เมืองเอฮิเมะ: 1 ใน 12 ปราสาทซึ่งสร้างขึ้นก่อนสมัยเอโดะที่ยังเหลืออยู่ปราสาทมัตสึยามะเป็นสถานที่งดงามสำหรับการชมดอกซากุระ ที่ประดับประดาอยู่จำนวนมาก เป็นการผสมผสานความงามตามธรรมชาติและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) เมืองเอฮิเมะ
  • สวนริตสึริน (Ruitsurin Garden) เมืองคากาวะ: ขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของภูมิทัศน์อันเงียบสงบ ทางเดินและสระน้ำที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และเสริมแต่งด้วยต้นซากุระที่บานสะพรั่ง ทำให้เกิดบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงามสำหรับผู้มาเยือน

7. ภาคตะวันตกของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคิวชู

ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) เมืองคุมาโมโตะ: หนึ่งในปราสาทที่โดดเด่นที่สุดของญี่ปุ่น พื้นที่อันกว้างขวางของปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการสัมผัสกับความงามอันน่าทึ่งของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางสถาปัตยกรรมเก่าแก่

การวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูซากุระบาน

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปชื่นชมฤดูดอกซากุระบานในญี่ปุ่นควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โรงแรมในโตเกียวและเกียวโตจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบจองที่พักทันทีที่มีกำหนดวันเดินทาง และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่คนรักญี่ปุ่นเฝ้ารอและวางแผนเตรียมไปชมความงามของดอกซากุระ 🌸 สีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีขาวที่บานสะพรั่งไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้สุดไปจนถึงตอนเหนือสุดของประเทศ มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว หลายแห่งมีคนหนาแน่นเต็มพื้นที่ จนต้องต่อคิวถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความงามที่ในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว และ Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 จุดชมซากุระโตเกียว ที่ดีที่สุด เตรียมตัวเดินทางไปพร้อมกับเราเลยค่ะ

1. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ (Shinjuku) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว เปรียบเสมือนโอเอซิสที่อยู่กลางกรุง มีขนาดใหญ่ประมาณ 540,000 ตารางเมตร และล้อมรอบเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร คุณจะได้เห็นภาพของต้นซากุระกว่า 1,100 ต้นบานสะพรั่ง และกลีบดอกไม้ที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าและสระน้ำ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเกินบรรยาย ที่นี่มีต้นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะบานช้าเร็วไม่พร้อมกัน ทำให้คุณได้ชื่นชมกับภาพความงามของดอกซากุระได้ยาวนานขึ้น เปรียบเหมือนกับการแสดงดอกไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สวนชินจูกุเกียวเอ็นเป็นสถานที่ชมซากุระที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ร้านค้าท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบสวนยังเต็มไปด้วยของว่างอร่อยๆ และของที่ระลึกน่ารักในธีมดอกซากุระอีกด้วย

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีชินจูกุ ทางออก South Exit
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/7Aw8H6evdX2DjeBo8
ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น.- 16.00 น. (ฤดูดอกซากุระบาน จะขยายเวลาเปิดจนถึง 17.30 น.)

2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

สวนอุเอโนะ (Ueno Park) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในโตเกียวสำหรับการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย คุณจะได้เห็นทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาชมดอกซากุระที่นี่กันอย่างมากมาย สวนอุเอโนะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร ต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่อยู่ในพื้นที่มากกว่าครึ่งของสวน ทำให้มึจุดชมซากุระอยู่มากมาย เริ่มจากถนนสายหลักยาวประมาณ 500 เมตร ที่อยู่ใจกลางสวนจะมีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์เรียงรายไปสองข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนหนาแน่นมาก แต่ถ้าอยากชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็สามารถชมได้ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน และเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเวลาดอกซากุระบานเท่านั้น และอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปชมก็คือบริเวณสระน้ำชิโนบาสุ (Shinobazu Pond) ที่คุณจะได้ชมบรรยากาศของดอกซากุระริมฝั่งน้ำ

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานี Ueno เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้สวนมากที่สุด มีรถไฟหลายสายที่ผ่าน อย่างเช่น รถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ueno ออกทางออก Park Exit หรือรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Hibiya Line มาลงที่สถานี Ueno ออกทางออก 7 หรือ 9
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/gnAsmJvojfkARuqV6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: 5.00 น.- 23.00 น.

3. สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ตั้งอยู่ในเขตชิโยดะ (Chiyada) ใจกลางกรุงโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียวต้องไม่พลาด คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้น บานสะพรั่งตัดกับกำแพงหินโบราณของปราสาทเอโดะ ซึ่งปัจจุบันคือพระราชวังอิมพีเรียลอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางมหัศจรรย์ที่มีต้นซากุระกว่า 260 ต้นเรียงรายไปตามคูน้ำที่ยาวกว่า 700 เมตรที่เรียกว่า “อุโมงค์ซากุระ” คุณจะรู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนผ่านความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนที่มีการประดับไฟ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น และกิจกรรมที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวชมสวนจิโดริกะฟุจิก็คือการพายเรือล่อง หรือถีบเรือเป็ดล่องไปตามสระน้ำ ซึ่งทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับดอกซากุระที่รายล้อมมากยิ่งขึ้น

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Toei Shinjuku, Tokyo Metro Tozai หรือ Hanzomon มาลงสถานี Kudanshita ออกจากสถานีที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อ 5 นาที
  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hanzomon มาลงสถานี Hanzomon ออกจากสถานีที่ทางออก 5 แล้วเดินต่อ 5 นาที

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/NERZnRnbM3BN4qGQ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

4. สวนสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสุมิดะ (Sumida Park) ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับวันเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) เป็นสวรรค์แห่งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีซากุระปลูกอยู่ถึง 1,000 ต้น เป็นจุดที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการปิกนิกมารวมตัวกันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสวนอย่างสง่างามได้อีกด้วย

สวนสุมิดะ (Sumida Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Toei Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa
  • นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/nq9eaUnQFUEsu7ScA
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านฮิตกิ๊บเก๋อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการเดินเล่น ออกกำลังกาย พายเรือหรือถีบเรือ วาดรูป การแสดงต่างๆ และชอปปิ้งตลอดนัดทุกวันอาทิตย์ ที่นี่มีต้นซากุระญี่ปุ่นประมาณ 500 ต้น และเมื่อยืนมองจากสะพานที่ข้ามสระน้ำจะเห็นต้นซากุระสีชมพูงดงามแผ่กิ่งก้านออกไปเหนือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันงดงาม และมีตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าคอยสาปให้ชายหญิงที่มาพลอดรักกันที่สวนแห่งนี้มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ก็มีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ให้ไปกราบไหว้ขอพรศาลของเทพเจ้าเบ็นไซเต็น (Benzaiten) ภายในสวน ก็จะกลับมารักกันได้เช่นเดิม กิจกรรมยอดนิยมในสวนแห่งนี้คือการถีบเรือเป็ดชมซากุระ หรือปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กัน

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 3 นาที (280 เมตร) จากสถานีรถไฟคิชิโจจิ (Kichijoji Station) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/sbGGWsSNaMP1gwSZ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียว โดยเป็นแม่น้ำขนาดไม่กว้างนัก ทอดยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ไปตามแลห่งที่อยู่อาศัยในย่านเมกุโระ (Meguro) ในเขตชินากาว่า (Shinagawa) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว และไหลไปลงอ่าวโตเกียว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมกุโระเรียงรายไปด้วยต้นซากุระประมาณ 800 ต้นที่บานสะพรั่งอย่างงดงามในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระ ที่มีการออกร้านกันอย่างคึกคักตั้งแต่สปาร์คกลิ้งไวน์สีซากุระไปจนถึงของว่างรสเลิศ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์และความมีชีวิตชีวา ในช่วงกลางคืนจะมีบรรยากาศโรแมนติกที่เสริมด้วยแสงสียามเย็นที่สวยงาม

จุดชมซากุระโตเกียว : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานที่ยอดนิยมสำหรับชมซากุระอยู่บริเวณสะพาน Meguro Shinbashi ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟเมกุโระ (Meguro) และสถานีนากะเมกุโระ (Nakameguro)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/BA6k4ow4c8EjLNJT9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาประดับไฟ 17.00 น. – 21.00 น.)

7. สวนโยโยงิ (Yoyogi Park)

สวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโตเกียว ตั้งอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ และชิบูย่า เป็นสถานที่นั่งเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย ชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่นี่มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้น และมีหลายสายพันธุ์ ทะยอยบานตั้งแต่เดือนมีนามคมไปจนถึงเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งปิกนิก นั่งพักผ่อน หรือเดินชมดอกซากุระ โดยในช่วงเทศกาลชมซากุระ จะมีคนเข้าไปจับจองพื้นที่นั่ง หาอาหารมาทาน และจิบเบียร์เย็น ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่ากับที่อื่นๆ

สวนโยโยงิ (Yoyoki Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/SJs42qdvxsCPWxE36
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

8. สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

สวนโคอิชิกาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยและเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว โดยชื่อของสวนแห่งนี้นั้นได้รับการตั้งชื่อตามบทกวีและเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1629 ราวๆ ยุคสมัยเอโดะตอนต้น ในสวนมีบ่อน้ำตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยเส้นทางเดินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน สวนแห่งนี้มีความสวยงามตลอดทั้งปีด้วยพืชและต้นไม้ที่หลากหลาย ด้านหลังสวนถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองโตเกียวที่มองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆอย่างตัดสลับระหว่างความเป็นธรรมชาติบรรยากาศย้อนยุคกับตึกอาคารที่เต็มไปด้วยความทันสมัย แต่คนจะนิยมมาเป็นพิเศษในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของดอกซากุระที่สะท้อนจากสระไดเซ็นซุย ในสวนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นั่งปิกนิก แต่คุณสามารถนั่งชมดอกซากุระได้ที่ร้านน้ำชาที่มีเสน่ห์แปลกตาของสวน และเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาเขียวกับชิมขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง:

  • เดิน 3 นาทีจากสถานีอิดะบาชิ (Iidabashi Station) เข้าประตูทิศตะวันตกของสวน 
  • เดิน 5 นาทีจากซุอิโดบาชิ (Suidobashi) เข้าประตูทิศตะวันออกของสวน

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/RzsR6ok9Qpjz89rb8
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00น.

9. สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของโตเกียว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว เป็นสวนที่มีขนาดกว้างใกญ่และสวยงามมาก สร้างขึ้นราวๆ ปีค.ศ. 1700 ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี สำหรับโชกุนโทกุกาวะที่ 5 สวนริคุงิเอ็นเป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ในรายละเอียด ชื่อของสวนนี้แปลว่า “สวนแห่งบทกวีทั้งหก” บ่งบอกถึงรากฐานที่หยั่งรากลึกในบทกวีของญี่ปุ่น โดยมีภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนฉากจากบทกวีที่โด่งดัง จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือต้นซากุระใหญ่สายพันธุ์ชิดะเระ ซากุระ ที่เมื่อบานเต็มที่ กิ่งจะย้อยตัวลงมาค้ายน้ำตก สูงประมาณ 15 เมตร และกว้าง 20 เมตร สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วงที่มีการเปิดไฟประดับ ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและงดงามมาก

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • เดินประมาณ 7 นาทีจากสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
  • เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line)

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/8XWkRR4arTEdxzHR7
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (ขยายเวลาเป็น 21.00 น. ในช่วงฤดูดอกซากุระบาน เพื่อจัดกิจกรรมประดับไฟ)

10. สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ภายในสวนเด็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและต้นซากุระที่ปลูกไว้ประมาณ 600 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะนำเสนอทิวทัศน์อันตระการตาของดอกซากุระ ซึ่งคนในโตเกียวจะมานั่งปิกนิก และพักผ่นใต้ต้นซากุระกัน และช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟต้นซากุระด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรถไฟรางเดียว Asuka Park Rail ให้บริการนั่งผ่านสวนตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.และมีจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นเมืองและมองรถไฟที่วิ่งไปมาได้ด้วย

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาที จากสถานีโอจิ (Oji Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/qBNPwKkhQXmy9z6K6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: เปิด 24 ชม. (มีการแสดงไฟตลอดช่วงที่ซากุระบาน ตั้งแต่เย็นจนถึง 21.00 น.)

เมืองโตเกียวสดใสมีชีวิตชีวาเมื่อถึงฤดูดอกซากุระบาน เตรียมชุดสวยๆ หยิบกล้อง และติดอาหารไปนั่งปิกนิกชมสวนชิลๆ Allianz Travel รวมจุดชมซากุระหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกเยี่ยมชมตามสไตล์ที่คุณชอบ บางคนชอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทีแผงขายอาหาร และคนนั่งปิกนิกมากมาย หรือบางคนก็ชอบเดินเล่นแบบเงียบสงบและผ่อนคลายใต้ต้นซากุระในโตเกียว และไม่ว่าคุณจะวางแผนไปที่ไหนสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

โอซาก้าเป็นเมืองท่าในภูมิภาคทางตะวันตกของคันไซ มีกลิ่นอายของความเรียบง่าย สนุกสนาน และมีสีสัน และมีสำเนียงโอซาก้าที่โดดเด่น มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมล้ำสมัย อาหารอร่อย ว่ากันว่าชาวโอซาก้าใช้จ่ายไปกับค่าอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงทำให้โอซาก้ามีชื่อเสียงในด้านอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู ซึ่งบางเมนูก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและอาจเลยไปจนถึงต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นโชคดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด เพราะอาหารที่ควรลองส่วนใหญ่เป็นอาหารที่อยู่ในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึงได้ Allianz Travel จะพาคุณไปชิมอาหารโอซาก้าที่คุณควรลอง และแนะนำแหล่งร้านอาหารโอซาก้าที่ควรห้ามพลาด ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอาหารโอซาก้า เมนูไหนบ้าง และย่านแหล่งรวม ร้านอาหารโอซาก้า ที่ไหนบ้าง ที่เราควรไปลิ้มลองกันค่ะ :)!

1. ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ทาโกะยากิเป็นหนึ่งในอาหารโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารประจำภูมิภาคที่ขายดีที่สุดของโอซาก้า ลักษณะเป็นลูกกลมเล็กๆ ทำจากแป้งผสมไข่และสอดไส้ปลาหมึกยักษ์หรือทาโกะที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โอซาก้ามีร้านทาโกะยากิมากกว่า 700 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมืองที่ขายตลอดทั้งวันให้คุณได้ลิ้มลอง (โตเกียวมีประมาณ 200 ร้าน) ทำให้เมืองนี้เป็นตลาดทาโกะยากิที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเขตมินามิ ร้านทาโกะยากิแต่ละร้านพยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ ไม่ให้เหมือนใคร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าติดใจจนมาทานกันบ่อยๆ อย่างทาโกะยากิสูตรหน้าร้อน ที่ทานกับน้ำแข็งใส หรือบางร้านก็พยายามหาวัตถุดิบพื้นฐานที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเอร็ดอร่อยได้ แม้ไม่ต้องใส่ซอส

อาหารโอซาก้า ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ว่ากันว่าเกือบทุกบ้านในโอซาก้าจะมีเครื่องทำทาโกะยากิ และแม้แต่เด็กๆ ก็รู้วิธีย่างทาโกะยากิ เราสามารถทานทาโกะยากิได้ทั้งเป็นของว่างและอาหารจานหลัก

2. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

โอโคโนมิยากิ หรือที่บางคนเรียกว่าพิซซ่าญี่ปุ่น สามารถหาได้เกือบทุกพื้นที่ของโอซาก้า ตั้งแต่ย่านใจกลางเมืองใหญ่ไปจนถึงย่านช็อปปิ้งในชานเมือง โอโคโนมิยากิมีรสชาติและท็อปปิ้งที่หลากหลาย ทำจากไข่ แป้งสาลี ผสมกับน้ำหรือซุปดาชิ จากนั้นใส่กะหล่ำปลีหั่น และส่วนผสมอื่นๆ อย่างเช่น หัวหอม เนื้อหมูหั่นบางๆ ปลาหมึก กิมจิ หรือชีส จากนั้นก็ย่างบนกระทะเหล็กร้อน จากนั้นราดด้วยซอสโอโคโนมิยากิ สาหร่ายแห้ง ปลาคัตสึโอะแห้ง และมายองเนสตามชอบ

อาหารโอซาก้า โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

ร้านอาหารโอโคโนมิยากิบางแห่งก็เปิดโอกาสให้คุณปรุงและย่างเองบนโต๊ะด้วย โดยพนักงานจะนำวัตถุดิบมาให้ลูกค้าเลือก และนำไปย่างเองบนแผ่นกระทะร้อน (เท็ปปังยากิ) ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกในทริป หรือบางร้านก็จะมีพ่อครัวมาทำโอโกโนมิยากิตรงหน้าลูกค้าเลย

3. คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

คุชิคัตสึคือของทอดเสียบไม้ ที่นำเนื้อสัตว์และผักที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำนำมาเสียบไม้ แล้วชุบแป้งทอดจนกรอบ หนึ่งในของอร่อยประจำโอซาก้าที่เทียบเคียงความนิยมได้ไม่ต่างจากโอโคโนมิยากิและทาโกะยากิ จุดเริ่มต้นของคุชิคัตสึคือปี 1929 ในย่านชินเซไก ซึ่งเป็นศูนย์กลางใจกลางเมืองของผู้ใช้แรงงานรายวันที่มีรายได้น้อย จากร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ต้องการทำอาหารจานด่วน ราคาถูก รวดเร็ว อร่อย และอิ่มอยู่ท้อง ขายให้กับเหล่าแรงงานเหล่านั้น ผลก็คือได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อาหารโอซาก้า คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

ร้านคุชิคัตสึส่วนใหญ่เป็นร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ มีเพียงเคาน์เตอร์แบบยืนหรือแบบนั่งเท่านั้น พอเข้าไปในร้านจะเห็นถ้วยสแตนเลสใส่ซอสตั้งไว้อยู่หน้าที่นั่งแต่ละที่บนเคาน์เตอร์สำหรับใช้ร่วมกัน โดยมีกฎเหล็กคือให้จิ้มคุชิคัตสึในซอสได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องเป็นคุชิคัตสึที่ยังไม่ได้กัดด้วยเพื่อจุดประสงค์ในเรื่องอนามัย และเป็นการใช้ซอสอย่างประหยัดเพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับร้านค้าด้วย บางร้านมีกะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้นวางไว้ให้หยิบทานได้ฟรี เพื่อแก้เลี่ยนจากการรับประทานของทอด โดยจะกินเปล่าๆ หรือจิ้มซอสก็ได้ หรือถ้าคุณต้องการซอสเพิ่มบนคุชิคัตสึที่คุณกินไปแล้ว คุณสามารถใช้กะหล่ำปลีนี้ตักซอสขึ้นมาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเวลาเอามาจิ้มซอสก็จิ้มได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

4. คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

คิทสึเนะอุด้ง หรืออุด้งร้อนในน้ำซุปที่ทำจากดาชิ โชยุ มิริน โปะหน้าด้วยฟองเต้าหู้ทอดแผ่นใหญ่ต้มซีอิ๊วหวาน โรยด้วยต้นหอมซอย เป็นอุด้งในแบบฉบับโอซาก้าแท้ๆ ที่คนโอซาก้านิยมกินมากๆ คำว่าคิทสึเนะในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวว่า สุนัขจิ้งจอก ในตำนานเชื่อว่าเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าอินาริ (เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม)  ช่วยจับสัตว์ที่เข้ามาก่อกวนพืชพรรณในไร่นา ผู้คนจึงถวายแผ่นเต้าหู้ทอดในศาลเจ้าอินาริเพื่อแสดงความขอบคุณ เลยเป็นที่มาของการเรียก ซูชิที่ห่อด้วยแผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะว่า อินาริซูชิ (Inari Sushi) ส่วน อุด้ง ที่ใส่แผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะก็เรียกว่า คิทสึเนะอุด้งนั่นเอง

อาหารโอซาก้า คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

5. บูตะมัน (Butaman)

บูตะมันคือซาลาเปาเนื้อนุ่มไส้หมูที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงหลังการฟื้นฟูเมจิ เมื่อซาลาเปาจีนที่เคยเข้ามาในย่านไชน่าทาวน์ถูกดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมสไตล์ญี่ปุ่น หากเทียบกับซาลาเปาในภูมิภาคอื่นๆ บูตะมันของโอซาก้ามีขนาดใหญ่ใส่เนื้อหมูและหัวหอมชุ่มฉ่ำอยู่ในแป้งเนื้อนุ่ม บางร้านอาจใส่ผักสับละเอียดลงไปด้วย เช่น ทาโทโกะ (หน่อไม้) หรือเห็ดหอมแห้ง วิธีรับประทานส่วนใหญ่จะแบ่งขนมปังออกเป็นสองส่วนแล้วจิ้มมัสตาร์ดรสเผ็ด หรือราดด้วยซอสเปรี้ยวและซีอิ๊ว โอซาก้ามีร้านขายบูตะมันโดยเฉพาะมากมายซึ่งมีหลายรูปแบบ บางแบบจะอันใหญ่ไส้เยอะ หรือบางแบบก็ทำขนาดเล็กและแป้งหุ้มบาง เครือร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งได้เปิดร้านทั่วภูมิภาคคันไซ โดยขายซาลาเปาได้มากถึง 170,000 ชิ้นต่อวัน คุณสามารถหาซื้อบูตะมันได้ตามร้านที่ขายโดยเฉพาะ หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่นึ่งสดใหม่ หรือจะซื้อกลับบ้านแบบแช่เย็นหรือแช่แข็งก็ได้ บางคนก็ซื้อบูตะมันในสถานีรถไฟเพื่อเป็นของขวัญและของที่ระลึก

อาหารโอซาก้า บูตะมัน (Butaman)

6. ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

ชื่อฮาโกะซูชิอาจไม่คุ้นหูพวกเรากันนัก แต่ถ้าถามคนโอซาก้าแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันหมดทุกคน เนื่องจากฮาโกะซูชิถือว่าเป็นซูชิแบบต้นตำรับของโอซาก้าที่มีมานานมากๆ แล้ว และมีรูปแบบที่แตกต่างจากซูชิแบบทั่วไปที่เรารู้จักกัน โดยจะเป็นซูชิที่ทำจากข้าวหุงในน้ำส้มสายชู ผสมกับส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ปลาไหลปรุงรส กุ้ง ปลาทรายแดงเล็ก และไข่หวาน อัดลงในกล่องไม้หรือฮาโกะ ถอดออกมาก้อน แล้วจึงหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ จึงเป็นที่มาของชื่อ “โอชิ-ซูชิ (ข้าวปั้นที่ถูกกดทับเป็นสี่เหลี่ยม)” ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยเมจิ (1868-1912) ต่อมานำมาประยุกต์เป็นฮาโกะซูชิ ที่เป็นอาหารสำหรับแขกหรือการเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ โดยรูปลักษณ์ที่สดใสและมีสีสันของซูชิเป็นตัวแทนของโอซาก้า ป้จจุบันมีจำนวนร้านอาหารที่ขายฮาโกะซูชิมีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากขั้นตอนการทำต้องใช้เวลาและความชำนาญ แต่เทคนิคและรสชาติยังได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น

อาหารโอซาก้า ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

7. เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

เบนิโชงะหรือชิงดองสีชมพูเป็นหนึ่งในเครื่องเคียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเมื่อรับประทานกิวด้งหรือข้าวหน้าเนื้อ และเป็นเมนูที่คุณรับประทานได้ไม่อั้น มีขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น และโอซาก้าเป็นเมืองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นในด้านการทำขิงดองและเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนโอซาก้าจะนำเบนิโชกะมาปรุงเป็นอาหารโอซาก้า แบบใหม่ๆ อาหารที่ไม่ธรรมดาที่สุดที่คุณสามารถพบได้ในโอซาก้าเท่านั้นคือเบนิโชงะเทมปุระ โดยนำเบนิโชงะมาหั่นเป็นแผ่นเสียบไม้ แล้วทอดชุบแป้งทอดแบบเทมปุระ คุณสามารถรับประทานเปล่าๆ หรือจิ้มซอสวูสเตอร์ก็ได้ เหมาะสำหรับเป็นอาหารทานเล่นเวลาดื่มเหล้า หากคุณชอบรับประทานเบนิโชงะหรือขิงดองรสเข้มข้น คุณต้องลองเบนิโชงะโนะเทมปุระแสนอร่อยนี้

อาหารโอซาก้า เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

ขอบคุณรูปภาพจาก: kyoudo-ryouri.com, gourmetbclass.travellerspoint.com

แหล่ง ร้านอาหารโอซาก้า ที่คุณห้ามพลาด

1. ย่านนัมบะ

การเดินทางไปยังสถานีนัมบะเรียกได้ว่าสะดวกมาก เพราะเป็นบริเวณที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมหลักของโอซาก้าที่มีทั้งรถไฟจาก JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า รถไฟฟ้านันไค รถไฟฟ้าฮันชิน และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่น จึงมี ร้านอาหารโอซาก้า และร้านอาหารมากมายทั้งในตัวสถานี ตลาด และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ด้านนอก อย่างเช่น ตลาดคุโรมงอิจิบะ (Kuromon Ichiba Market) ศูนย์การค้านัมบะพาร์ค โอซาก้า (Namba Parks Osaka) และศูนย์การค้านัมบะซิตี้ โอซาก้า (Namba City Mall) เป็นต้น

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านนัมบะ

2. ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทุกคนเมื่อมาโอซาก้าคือย่านชินไซบาชิ ซึ่งอยู่สถานีถัดจากนัมบะหากนั่งรถไฟใต้ดิน และโดทงโบริคือถนนช้อปปิ้งที่ยาวเชื่อมระหว่างสถานีนัมบะและสถานีชินไซบาชิ คุณสามารถเดินจากสถานีนัมบะไปโดทงโบริโดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

ระหว่างทางที่เชื่อมระหว่างชินไซบาชิและโดทงโบริ คุณจะพบกับ ร้านอาหารแบบดั้งเดิมและ ร้านอาหารโอซาก้า ยอดนิยมมากมายที่น่าลอง หากมาในย่านนี้ คุณควรต้องมาตอนท้องว่างเท่านั้น!

3. ย่านอุเมดะ

อุเมดะเป็นหนึ่งย่านใจกลางเมืองโอซาก้า และหมายถึงพื้นที่รอบๆ สถานี JR โอซาก้า สถานีโอซาก้า-อุเมดะ สถานีอุเมดะ สถานีฮิกาชิ-อุเมดะ และสถานีนิชิ-อุเมดะ ถือได้ว่าสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายมาก เราสามารถนั่งรถไฟจากอุเมดะไปยังนัมบะหรือชินไซบาชิโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ย่านอุเมดะมีทั้งศูนย์การค้า ร้านอาหาร และร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นและอาหารว่างที่มีขายอยู่ทุกถนน

อาหารที่ต้องลองในย่านนี้มีให้เลือกมากมาย ทั้งทาโกะยากิ ปลาปักเป้า เนื้อโกเบ และเมื่อคุณทาอาหารจนอิ่มแล้ว คุณสามารถเลือกร้านกาแฟที่มีทิวทัศน์สวยงามให้คุณได้นั่งพักผ่อนเช่นกัน

4. ย่านชิน-โอซาก้า

ที่นี่คือสถานีรถไฟชินคันเซ็นที่จอดที่โอซาก้าก่อนมุ่งหน้าไปยังเกียวโต โกเบ นารา โตเกียว หรือจุดหมายปลายทางสำคัญอื่นๆ ในญี่ปุ่น และสถานีนี้ยังมีให้บริการรถไฟ JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า และรถไฟสายอื่นๆ อีกหลายสาย คุณสามารถนั่งรถไฟจากย่านนัมบะมาที่ชิน-โอซาก้าโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือนั่งรถไฟ 5 นาทีจากสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอุเมดะ

ภายในสถานีมีร้านอาหารมากกว่า 30 ร้าน รวมถึงร้านอาหารที่เป็นแบรนด์ของโอซาก้าที่ต้องลอง หรืออาหารสตรีทฟู้ดก็มีให้เลือกมากมาย คุณสามารถหาทานอาหารยอดนิยมของโอซาก้า อย่างโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ หรืออุด้ง ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล หรือหากต้องการอาหารที่มีเฉพาะที่ ก็ซื้ออาหารกล่องบนรถไฟหรือ ‘เอกิเบน’ เมนูที่เราอยากแนะนำก็คือชุดเนื้อโกเบหรือลิ้นวัวที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

5. ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

บริเวณนี้รายล้อมไปด้วยสถานีโดบุทสึเอ็นมาเอะ (Dobutsuen-mae) สถานีเอบิซุโจ (Ebisucho) ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหอคอยสึเต็งกากุ (Tsutenkaku) และสถานีเทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งเป็นสถานีตามเส้นทางของรถไฟใต้ดินโอซาก้า เป็นย่านที่เป็นจุดแวะชิมอีกแห่งหนึ่งแห่งที่ใช้เวลาเดินจากสถานีต่างๆ ประมาณ 10 นาที หากนั่งรถไฟจากนัมบะไปสถานีเอบิซูโชใช้เวลาประมาณ 15 นาที  และจากอุเมดะจะใช้เวลาประมาณ 25 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

ถนนช้อปปิ้งชินเซไกมีความย้อนยุคแบบเต็มรูปแบบ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดุดตาที่สุดในย่านนี้ ที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของคุชิคัตสึ หนึ่งในอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของโอซาก้า คุณสามารถลองชิมรสชาติแบบดั้งเดิมจากร้านค้าต่างๆ หรือร้านอิซากายะราคาไม่แพงแต่อร่อย นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ควรชิมอีกอย่างเช่น ซูชิ แซนด์วิชเนื้อ คุณจะพบร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น หรือร้านกาแฟทันสมัยได้ที่นี่

ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวโอซาก้ามีอะไรบ้าง นอกเหนือจากการลองชิมอาหารอร่อย  คุณอาจลองเข้าคลาสทำอาหารต้นตำรับของโอซาก้า หรือแวะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

อาหารญี่ปุ่นที่ต้องลอง

อาหารท้องถิ่นญี่ปุ่น ไปถึงที่ต้องห้ามพลาด!

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันทั้งที นอกจากเที่ยวกับช๊อป ก็ต้องกินนี่แหละจะได้ครบสูตร ยิ่งญี่ปุ่นแล้วด้วยอาหารการกินก็ดูน่ากินไปซะทุกอย่างจนอยากจัดทริป “ตะลอนกิน” กันเลยทีเดียว แต่จะจัดทั้งทีก็ต้องจัดแบบที่เรียกได้ว่า “ถึง” ที่จริงๆ วันนี้ Allianz Travel จะมาแนะนำเมนูประจำท้องถิ่น ที่เรียกได้ว่าต้องลองเลยหากว่าได้ไปแต่ละภูมิภาค

ภูมิภาคฮอกไกโด (HOKKAIDO)

อาหารทะเล ทั้งปลาสดและอาหารทะเลแปรรูปหลากหลายชนิดเช่น ปู หอยเชลล์ หอยเม่นทะเล ไข่ปลาแซลมอน ปลาแซลมอน ปลาค็อด ปลาหมึกยักษ์ กุ้ง หอยเป๋าฮื้อ หอยปีกนก และผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลอื่นๆ จัดเป็นอาหารทะเลชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะปูที่มีขนาดใหญ่และรสหวาน ไม่ว่าจะนำไปต้มในน้ำเกลือหรือทำเป็นซาชิมิ ไม่ว่าจะเป็นปูราชินี ปูขน หรือปูอลาสก้า และซาชิมิหอยเม่นที่คุณควรจะต้องไปลองสักครั้งในชีวิต

เจงกีสข่าน “เจงกีสข่าน นาเบะ” เป็นคำเรียกถึงตัวของหม้อหรือกระทะที่นำมาใช้ประกอบเมนูนี้ ซึ่งเป็นกระทะทรงหมวกที่ทำจากเหล็กหล่อ นอกจากนี้ยังหมายถึงอาหารที่นำเนื้อแกะสไลด์บางและผักต่างๆ (ถั่วงอก กะหล่ำปลี และฝักทอง) มาทาน้ำมันและย่าง ร้านอาหารหลายแห่งในฮอกไกโดเชี่ยวชาญในการทำเจงกีสข่าน นาเบะ บอกได้เลยว่าเมนูนี้สายดื่มต้องไม่พลาด

ภูมิภาคโทโฮคุ (TOHOKU)

ซาซาคามะโบโกะ ของขึ้นชื่อของจังหวัดมิยะงิที่นิยมซื้อเป็นของขวัญหรือของฝาก ทำจากเนื้อปลาและมีรูปร่างลักษณะเหมือนใบไม้ไผ่ (ซาซา) จากรอยที่เกิดจากการย่าง ซาซาคามะโบโกะที่มีชื่อเสียงที่สุดมาจากเมืองเซ็นไดซึ่งมีร้านทำซาซาคามะโบโกะ แบบโฮมเมดมาเป็นเวลานาน โดยทำจากเนื้อปลาลิ้นหมาที่จับได้ตามฤดูกาลเพื่อเป็นการถนอมอาหาร โดยการนำไปสับและนวดด้วยมือจนเหนียว แล้วนำไปย่าง

คิริทัมโปะ แห่งจังหวัดอะคิตะ ที่ทำมาจากข้าวปรุงร่วมกับส่วนผสมเฉพาะตามสูตรของท้องถิ่นในกระทะ หลังจากนั้นนวดเข้าด้วยกัน และนำไปเสียบไม้ย่างเพื่อเพิ่มความหอม โดยช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการไปลิ้มลองคือ ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงเดือนมีนาคม โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายน รสชาติเฉพาะแบบนี้ต้องไปเองที่อะคิตะ

ภูมิภาคคันโต (KANTO)

นาเมะโร อาหารท้องถิ่นของชาวประมงในแถบชายฝั่งของแหลมโบโซ-ฮันโตทางตอนใต้ของจังหวะจิบะ ส่วนผสมหลักคือปลาต่างๆ โดยหั่นปลาเป็นชิ้นเล็กๆ และสับรวมกับมิโสะ ต้นหอม ขิง และใบโหระพา ให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ต้นหอมและขิงจะเป็นตัวดับกลิ่นคาวปลา นาเมะโรมี 2 แบบ คือย่างและผสมน้ำส้มสายชู โดยแบบย่างจะเรียกว่าซังกะยะกิ และแบบที่ผสมน้ำส้มสายชูจะเรียกว่าสึนาเมะโร

ฟุคะงะวะเมะชิ อาหารยอดนิยมแห่งโตเกียว ทำจากหอยแกะเปลือกและต้นหอมนำไปผัดกับมิโสะ เสิร์ฟพร้อมข้าวและซุปเป็นชุด โดยใช้หอยตัวใหญ่ และน้ำจากหอยที่ผสมกับมิโสะจะสร้างรสชาติที่อร่อยโดดเด่นขึ้นมา

ภูมิภาคจูบุ/โตไก (CHUBU/TOHKAI)

อุนางิ หรือปลาไหล จังหวัดชิซุโอะกะ มีแหล่งเพาะเลี้ยงปลาไหลที่มีคุณภาพสูงและมีชื่อเสียง โดยปลาไหลนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และญี่ปุ่นนิยมกินปลาไหลในฤดูร้อนซึ่งอากาศร้อน และความชื้นทำให้คนไม่อยากอาหาร โดยวิธีที่นิยมนำปลาไหลมาทำอาหารที่สุดคือการย่างถ่าน หรือคะบะยะกิ โดยในแถบคันโตจะนำชิ้นเนื้อปลาไหลมาย่างบนเตาถ่าน แล้วนำไปนึ่ง จากนั้นก็นำมาย่างด้วยความร้อนปานกลางอีกครั้ง และทาน้ำมันขณะที่ย่างด้วย ส่วนในแถบคันไซจะนำปลาไหลทั้งตัว ควักไส้ออก แล้วนำไปเสียบไม้ย่างและทาน้ำมันไปด้วยขณะย่าง

มิโสะคัตสึ “ทงคัตสึ” หรือหมูชิ้นทองราดซอสเป็นเมนูที่นิยมทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น แต่สำหรับจังหวัดไอจินั้นมีเมนูทงคัตสึที่แตกต่างออกไป โดยจะใช้ซอสที่ทำจากมิโสะ ซึ่งเป็นสูตรต้นตำรับที่ทำจากน้ำซุปปลาโอและน้ำตาล และเรียกเมนูนี้ว่า “มิโสะคัตสึ” ซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตในจังหวัดไอจิเลยทีเดียว

ภูมิภาคโฮคุริคุ (HOKURIKU)

โฮตะรุอิกะ แห่งจังหวัดโทะยะมะ หรือปลาหมึกหิ่งห้อย ซึ่งเป็นปลาหมึกพันธุ์เล็กที่พบในอ่าวโทะยะมะ สามารถทานเป็นแบบซาชิมิ หรือแบบชาบู ก็ได้ หรือหากนำไปตากแห้งแล้วย่างเล็กน้อยก็เหมาะกับเป็นกับแกล้มเวลาดื่มได้เช่นกัน ชื่อปลาหมึกหิ่งห้อยมาจากลักษณะเรืองแสงของผิวปลาหมึกสีขาวอมฟ้าคล้ายหิ่งห้อย

จิบุนิ อาหารพื้นเมืองของคะนะซะวะ ทำจากเนื้อเป็ดหั่นบางๆ ชุบแป้งหรือแป้งมัน แล้วนำไปต้ม เห็ดชิตาเกะ หน่อไม้ และผักชีญี่ปุ่นในน้ำซุปที่ทำจากน้ำสต็อก มิริน (เหล้าหวานสำหรับปรุงอาหาร) น้ำตาล เกลือ โชยุ และสาเก โดยแป้งหรือแป้งมันที่อยู่ด้านนอกจะช่วยรักษารสชาติของเนื้อและทำให้น้ำสต็อกข้นขึ้น ใช้วาซาบิเพื่อเพิ่มรสชาติ

ภูมิภาคคันไซ (KANSAI)

ยุโดฟุ หรือเต้าหู้ต้ม ยอดนิยมในฤดูหนาวแห่งเกียวโต เมนูที่จะทำให้คุณรู้สึกอุ่นขึ้น ด้วยรสชาติเบาๆ และผิวสัมผัสที่เรียบเนียนของเต้าหู้ ทำให้ทุกรสสัมผัสที่ได้รับนั้นรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ โดยเมนูนี้ทำจากการนำเต้าหู้ทำมือมาต้มกับซุปสาหร่าย และทานด้วยการจิ้มในเครื่องปรุงรส วิธีการทำดูธรรมดา แต่รสชาติที่ได้มานั้นล้ำลึกอย่างยิ่ง

ทะโกะยะกิ หรือ ขนมครกไส้ปลาหมึก ต้นตำรับจากโอซาก้า แบบกรอบนอกนุ่มใน จากการทำด้วยกระทะแบบหลุม ที่มีหลายๆหลุม จากนั้นทำให้เป็นลูกกลมๆโดยการหมุนไปมาให้สุก ที่ดูเหมือนจะทำได้ง่ายๆ แต่บอกเลยว่ายากมาก นอกจากรูปลักษณ์แล้ว รสชาติต้นตำรับที่ไม่เหมือนใครและเครื่องโรยหน้า พร้อมจิ้มกับมายองเนสอีก บอกได้เลยว่า เคยลองที่ไหนมา รับรองได้ว่าไม่ฟินเท่าต้นตำรับแน่นอน

ภูมิภาคชูโงะคุ (CHUGOKU)

ฟุกุ หรืออาหารจากปลาปักเป้า (จังหวัดยะมะงุจิ) นิยมทานแบบซาชิมิหรือเรียกว่า “ฟุกุซาชิมิ” ที่แล่จนบางบากจนมองทะลุผ่านได้ และจัดเรียงอย่างงดงาม แต่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามเท่านั้น รสชาติแห่งความสดของเนื้อปลาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน นอกจากนั้นปลาปักเป้ายังสามารถนำมาทำเมนูหม้อไฟได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเด็ด แต่อย่างไรก็ตามเมนูจากปลาปักเป้านั้น ก็มีอันตรายมากหากไม่ได้รับการปรุงที่ถูกต้อง เพราะว่าปลาปักเป้าบางชนิดนั้นมีพิษถึงตายได้ ซึ่งพ่อครัวที่จะปรุงเมนูปลาปักเป้าได้นั้น จะต้องมีใบอนุญาติพิเศษซึ่งได้รับการอบรมวิธีการกำจัดส่วนที่มีพิษออกอย่างระมัดระวัง

หอยนางรม ถือได้ว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีรสชาติเป็นเลิศ และในประเทศญี่ปุ่นนั้น จังหวัดฮิโรชิม่าเป็นแหล่งผลิตหอยนางรมชั้นนำ ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงแบบพิเศษที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ได้หอยตัวใหญ่ เนื้อนุ่ม จนอาจทำให้ลืมหอยนางรมจากที่อื่นได้เลย

ภูมิภาคชิโกะคุ (SHIKOKU)

ซะนุกิ-อุด้ง หรืออุด้งที่ใช้เส้นแป้งสาลี แห่งจังหวัดคะงะวะ ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า เป็น “อาณาจักรอุด้ง” เพราะมีผู้ผลิตและร้านอาหารอุด้งที่ใช้เส้นแป้งสาลีจำนวนมาก มีจุดเด่นที่ความแข็งและเนื้อเรียบเนียน วิธีรับประทานคือเทซุปสาหร่ายที่ปรุงรสด้วยโชยุเล็กน้อยลงไปบนเส้น ใส่ต้นหอม ขิง ไข่ หรืองาตามชอบ และโรยด้วยเครื่องโรยที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทำให้เกิดรสชาติหลายรูปแบบจนไม่น่าเบื่อเลยทีเดียว

ภูมิภาคคิวชู (KYUSHU)

มิซุทะกิ หรือไก่ต้มไม่ปรุงรส แห่งจังหวัดฟุกุโอะกะ มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเมจิ จากซุปใสของตะวันตกและอาหารประเภทไก่ของจีน ทานกับน้ำจิ้มพอนสุ และเติมเครื่องปรุงรส นอกจากนี้อาจสามารถใส่ข้าวลงไปหลังทานไก่และผักหมดแล้วเพื่อเพิ่มความอิ่มท้องก็ยังได้

ฮิยะจิรุ อาหารท้องถิ่นของจังหวัดมิยะซะกิ เป็นการนำน้ำซุปที่แช่เย็นราดลงบนข้าวร้อนๆ ทานคู่กับผัก และเครื่องเคียง โดยน้ำซุปนั้นทำมาจากปลาแห้งต้มและปรุงรสด้วยมิโสะ ทำให้ได้เพลิดเพลินกับรสชาติและความสดชื่นจากผักฤดูร้อน เชื่อกันว่าเมนูนี้เกิดขึ้นจากเกษตรกรในมิยะซะกิเพื่อไม่ต้องเสียเวลาเตรียมอาหารในระหว่างทำงานในไร่

นอกจากเมนูท้องถิ่นที่แนะนำไปนั้น ประเทศญี่ปุ่นยังมีอีกหลายเมนูที่รอให้ไปลองลิ้นชิมรสอีกมากมายในแต่ละภูมิภาค แต่อย่างไรก็ตามอาหารแต่ละท้องที่นั้นก็มีความเฉพาะแตกต่างกันไปในเรื่องของส่วนผสม ซึ่งบางอย่างอาจไม่คุ้นชินกับคนไทย และอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ ดังนั้นแล้วหากวางแผนทริปตะลอนกิน เราคงต้องคิดถึงเรื่องความเจ็บป่วยไว้ด้วยการทำประกันการเดินทางที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมความเจ็บป่วยจากการทานอาหารด้วย จะได้ Enjoy Eating กันได้อย่างเต็มที่กันเลย!

ที่มา : https://www.jnto.or.th

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เจ็บป่วยที่ญี่ปุ่น เคลมประกันการเดินทางอย่างไร

ความเจ็บป่วยเกิดได้เสมอ ไม่เลือกที่ เลือกเวลา ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่าความเจ็บป่วยจะมาเยือนเราตอนไหน ถ้าแวะมาช่วงอยู่บ้านรึทำงาน เราก็คงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้าแวะมาช่วงกำลังเที่ยวสนุกๆ นี่สิ โดยเฉพาะถ้าเป็นประเทศญี่ปุ่น ประเทศในฝันของหลายๆคน เงินที่เตรียมไว้สำหรับแผนเที่ยวที่ตั้งใจไว้ว่าจะไป กิจกรรมที่จะทำ อาหารที่อยากลอง ถ่ายรูปชิคๆ อาจต้องสะดุด หมดสนุกอย่างแน่นอน แล้วไปเสียให้กับ ค่ารักษา ค่ายา ค่าบริการ และหากว่าป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลก็จะมี ค่าห้องพัก รวมอีก จ่ายไปจ่ายมาอาจมีเสียเงินมากกว่าค่าเครื่องบินอีก ลองดูค่าใช้จ่ายในการรักษา ประเทศญี่ปุ่น หากเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น เราจะหมดกังวลได้หากเราเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว โดยการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล และมีประกันการเดินทางที่คุ้มครองที่จะช่วยด้านการประสานงานและค่ารักษาได้

หากรู้สึกไม่สบายระหว่างอยู่ที่ญี่ปุ่น ทำอย่างไร

  1. สังเกตุอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็นอะไรบ้าง เพื่อจะสามรถบอกอาการแก่แพทย์ เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้นและรักษาได้ตรงกับอาการ คือเรารู้สึกเจ็บตรงไหน เจ็บแบบไหน บอกให้หมดเพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์ได้วิเคราะห์หาสาเหตุและรักษาได้ถูกต้องตรงจุด
  2. ค้นหาโรงพยาบาลที่รักษาสำหรับชาวต่างชาติในญี่ปุ่น โดยค้นหาจากเว็บไซต์ขององค์กร Medical Excellence Japan ได้จากอาการที่เป็นอยู่ บางคนอาจคิดว่าจำเป็นต้องละเอียดขนาดนั้นเลย แต่เราควรจะทราบด้วยว่าระบบการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างเฉพาะทางในแต่ละโรงพยาบาลหรือแม้แต่คลีนิค และการสื่อสารก็อาจทำได้ยาก ดังนั้นหากเลือกโรงพยาบาลที่มีบริการรักษาชาวต่างชาติด้วยย่อมสะดวกมากกว่า
  3. การรับยา สำหรับประเทศญี่ปุ่น การรับยาหลังการรักษาจะแตกต่างจากบ้านเราอยู่บ้าง โดยสถานพยาบาลบางแห่งนั้นก็สามารถรอรับยาได้เลย แต่บางแห่งก็ไม่สามารถทำได้ และจะต้องรับใบสั่งยาที่ออกให้โดยแพทย์ไปซื้อที่ร้านขายยา

หากเกิดกรณีเจ็บป่วยแบบฉุกเฉินที่ญี่ปุ่นทำอย่างไร

ในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีบริการฉุกเฉิน ที่รวมทั้งการเรียกรถพยาบาลและเรียกรถดับเพลิงด้วยกัน หากว่าเกิดเหตุฉุกเฉินเราสามารถเรียกบริการได้ที่เบอร์ 119 และเนื่องจากเบอร์นี้ใช้เรียกทั้งรถพยาบาลและรถดับเพลิง เราต้องแจ้งให้ชัดเจนด้วยว่าต้องการรถพยาบาล ซึ่งบริการฉุกเฉินนี้เราไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลได้ ต้องไปตามความเห็นของรถพยาบาลเท่านั้น และการสื่อสารนั้นจะเป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก ดังนั้นหากเรามีเพื่อนที่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในระหว่างการรักษาพยาบาล

นอกจากนี้ หากว่าเราได้ซื้อประกันการเดินทางที่มีผลประโยชน์ครอบคลุมการช่วยเหลือฉุกเฉินด้วย ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน โดยทางศูนย์บริการจะคอยช่วยเหลือประสานงานให้ และตรงข้อนี้เราสามารถตัดปัญหาเรื่องภาษาในการสื่อสารได้อีกด้วย

การจัดการค่าใช้จ่ายหลังการรักษา

หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น เรื่องค่ารักษาพยาบาลอาจทำให้เป็นกังวล ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น การประสานงาน หรือขั้นตอน ที่ไม่รู้ว่าเหมือนการเคลมประกันสุขภาพในประเทศหรือไม่ แต่หากเราได้ทำประกันการเดินทางไว้ก่อนเดินทางแล้ว ก็จะช่วยจัดการความกังวลใจนี้ไปได้ เพราะประกันการเดินทางที่เราได้ทำไว้นั้นจะช่วยดูแลในส่วนนี้ โดยขอยกตัวอย่างขั้นตอนที่ทำได้กรณีทำประกันการเดินทางกับ Allianz Travel Thailand ก่อนเดินทาง โดยเราสามารถปฏิบัติได้ดังนี้

  1. ติดต่อบริษัทประกันที่เราซื้อไว้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยประสานงานให้ จนถึงการชำระค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะได้รับความสะดวกสบายมากกว่า และไม่ติดปัญหาเรื่องการสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่สามารถรอได้ หรือการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง
  2. สำรองจ่ายก่อนและกลับมาเคลม วิธีนี้จะรวดเร็วกว่า และสามารถไปทำตามแผนท่องเที่ยวต่อได้ ซึ่งวิธีการเคลมเมื่อกลับมาถึงประเทศไทยก็ทำได้ไม่ยาก โดยติดต่อบริษัทที่เราซื้อประกันไว้ ในกรณีนี้คือ Allianz Travel แจ้งเลขที่เอกสารกรมธรรม์ และส่งเอกสารประกอบ รอการอนุมัติและรับเงินเคลม ดังนั้นเราควรเก็บรวบรวมเอกสารที่จำเป็นดังนี้เพื่อนำไปประกอบการยื่อของเคลมประกันการเดินทาง
    • ตั๋วเครื่องบิน หรือ Boarding pass
    • Passport
    • ใบเสร็จรับเงิน (ตัวจริง)
    • ใบรับรองแพทย์ (ตัวจริง)

พร้อมแล้วก็เดินทางได้อย่างอุ่นใจ

ตอนนี้เราก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจแล้ว เมื่อเรารู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรเมือเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น นอกจากนี้เราจะยังคลายความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นหากเราเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าด้วยประกันการเดินทางก่อนการเดินทาง หากยังเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกซื้อของที่ไหน เราขอแนะนำแผนประกันการเดินทาง Sugoi Japan ของ Allianz Travel ที่ออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ที่มอบความคุ้มครองมากกว่าแค่เรื่องการรักษาพยาบาล แต่ยังมอบผลประโยชน์อื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นอีกด้วย

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เจ็บป่วยที่ญี่ปุ่นทำอย่างไร เสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

สำหรับคนที่กำลังจะเดินทางหรือกำลังวางแผนไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเพื่อเที่ยว ทำงาน เรียนต่อ หรือวัตถุประสงค์อะไรก็ตามแต่ เรื่องสุขภาพนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่กำลังกังวลใจอยู่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาพยาบาลในประเทศนั้นๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นให้เป็นตัวอย่าง เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นเป้าหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนไทยอย่างมาก ดังนั้นรู้ไว้ย่อมมีประโยชน์กว่า

ระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่น

ก่อนอื่นเราขออธิบายเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขและรูปแบบการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นกันก่อน ซึ่งระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นนั้น ได้ถูกจัดอันดับ ในปี 2559 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ติด 1 ใน 10 จาก 190 ประเทศทั่วโลกในด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งถือได้ว่าต้องมีความพร้อมและน่าเชื่อถือสุดๆ แต่อย่างไรก็ตามระบบการรักษาพยาบาลหรือเข้ารับการรักษาในประเทศญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างจากบ้านเราพอสมควรที่เราควรรู้ไว้ด้วยเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น สำหรับกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือไม่สบายที่ญี่ปุ่น เราสามารถซื้อยาจากร้านขายยา โดยร้านขายยาในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

1. ร้านขายยาทั่วไป เป็นร้านขายยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ ที่จะขายยาพื้นฐานหรือที่เราเรียกว่า ยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งจะเป็นร้านขายยาทั่วไปและอาจมีขายเครื่องสำอางค์ร่วมด้วย อันนี้ปกติธรรมดาเหมือบ้านเรา
2. ร้านขายยาจริงๆ ที่ต้องมีใบสั่งยาโดยแพทย์ประกอบด้วย ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวดกว่าร้านขายยาทั่วไปอย่างมาก

นอกจากนี้แล้วคนญี่ปุ่นมักนิยมเข้า คลีนิค ที่จะเป็นคลินิกเฉพาะทางในการรักษาโรคนั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่คลีนิคจะสามารถให้บริการได้หลายโรค ดังนั้นแล้ว หากเลือกที่จะเข้ารักษากับคลีนิคที่ประเทศญี่ปุ่นก็ควรดูให้ดีก่อนว่าคลีนิคที่เราจะเข้ารับบริการนั้นเป็นคลีนิคเฉพาะทางกับความเจ็บป่วยที่เราเป็นหรือไม่ มิเช่นนั้นอาจถูกปฏิเสธการรักษาแล้วจะทำให้รำคาญใจได้ ดังนั้นเราอาจศึกษาเตรียมตัวก่อนการเดินทางโดยศึกษาจาก คู่มือการการใช้บรการหน่วยงานทางการแพทย์ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งออกโดย องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (JNTO)

ค่าใช้จ่ายประมาณการในการรักษาพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่น

อย่างที่ทราบกันว่าประเทศญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศชาตินิยมและเคารพสิทธิมนุษยชนของส่วนรวมมากๆ ดังนั้นเรื่องค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ประชาชนเจ็บป่วย ทางรัฐจะช่วยดูแลสนับสนุนและให้ผ่อนจ่ายได้ โดยถือว่าเป็นระบบสวัสดิการประกันสุขภาพรูปแบบหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โดยประชาชนญี่ปุ่นทุกคนจะต้องเข้าระบบประกันการรักษาพยาบาลจากรัฐ และรวมถึงชาวต่างชาติที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 3 เดือน ก็ต้องเข้าระบบประกันนี้ด้วย เพราะฉะนั้น คนที่เดินทางไปเรียน หรือไปทำงาน ซึ่งอยู่เกิน 3 เดือนขึ้นไป จะสามารถได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะได้จ่ายค่าประกันสุขภาพแก่ประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นไป ส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ที่เข้าระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นนั้น ผู้เอาประกันจะจ่ายเพียงบางส่วน 10-30% ตามอายุ และส่วนที่เหลือรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ คือ

1) ประชาชนจ่าย 30% ของยอดชำระ และที่เหลือประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นรับผิดชอบ
2) ประชาชนจ่าย 20% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 70 ปี ขึ้นไป และไม่ได้ทำงาน
3) ประชาชนจ่าย 10% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 75 ปี ขึ้นไป

จะเป็นว่าผู้ที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพนั้นจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยมากหากเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในระบบ หรือนักท่องเที่ยวที่โดยปกติอัตราค่ารักษาพยาบาลระหว่างพลเมืองญี่ปุ่นกับชาวต่างชาติก็ต่างกันอยู่แล้ว ด้านล่างนี้ค่าค่าใช้จ่ายประมาณการสำหรับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นสำหรับชาวต่างชาติ ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดกับนักท่องเที่ยว โดยเรทการคำนวนเป็นเงินบาท อ้างอิงจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 10 มกราคม 2563 (28.01 บาท / 100 เยน)

1. พบหมอต่อครั้ง ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
2. นอนโรงพยาบาล 1 คืน เริ่มต้นที่ 100,000 เยน หรือ 28,000 บาท
3. หกล้ม ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าหัก ค่าใช้จ่ายระหว่าง 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
4. CT Scan เริ่มต้นที่ 30,000 เยน หรือ 8,400 บาท
5. ถอนฟัน 20,000 เยน หรือ 5,600 บาท
6. เคลื่อนย้ายฉุกเฉินระหว่างเมือง สามารถมีค่าใช้จ่ายสูงสุดถึง 5 ล้านเยน หรือ 1.4 ล้านบาท

โดยที่ค่ารักษาพยาบาลที่ญี่ปุ่น บางรายการอาจราคาถูกกว่าที่ประเทศไทย แต่บางรายการก็แพงกว่า โดยค่ารักษาพยาบาลโดยประมาณในประเทศญี่ปุ่นนั้น โดยทั่วไปจะมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกสำหรับคลินิกท้องถิ่น ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 3,000 ถึง 5,000 เยน และค่าใช่จ่ายสำหรับการนัดติดตามผลอยู่ที่ประมาณ 600 เยนต่อครั้ง หมายความว่าจำเป็นต้องจ่ายค่าที่ปรึกษารวมกับค่าธรรมเนียมสำหรับการนัดติดตามผลในครั้งแรก และหลังจากนั้นก็จะเป็นครั้งละ 600 เยนต่อครั้ง แต่อันนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายสำหรับชาวต่างชาติแต่เป็นสำหรับพลเมืองญี่ปุ่น หากเป็นคลินิกสำหรับชาวต่างชาติ ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น โดยอาจมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกถึง 10,000 เยนเป็นต้นไปได้เลยทีเดียว และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปรึกษาใหม่ทุกครั้งเมื่อพบหมอคนใหม่ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากว่าเราจะพบแพทย์คนเดิมที่เราเคยหามาก่อน จะเห็นได้ว่าแค่มองคร่าวๆ ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาพยาบาลสำหรับพลเมืองและนักท่องเที่ยวนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมากเกือบเท่าตัว

นอกจากเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ต้องคำนึงถึง ประเทศญี่ปุ่นยังมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นหากเดินทางไปท่องเที่ยวในเขตจังหวัดที่มีความเสี่ยงแล้วประสบอุบัติเหตุก็จะต้องมีค่ารักษาพยาบาลด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาท ดังนั้นการทำประกันการเดินทางเอาไว้กับการเดินทางออกนอกประเทศทุกกรณี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเสียเงินกับค่ารักษาพยาบาลสูงๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำไว้ด้วย เพื่อว่าหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้ไม่ต้องกังวล แม้อาจจะมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและอาจจะไม่ได้ใช้ แต่หลายๆเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดังนั้น ไม่ว่าเป็นการเดินทางไปในประเทศไหนๆ จะสั้นหรือจะยาว ก็อย่าได้ประมาทและทำประกันเดินทางไว้ล่วงหน้าเพื่อความสบายใจกันดีกว่า ท่องเอาไว้ “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา