อาหารญี่ปุ่นที่ต้องลอง

อาหารท้องถิ่นญี่ปุ่น ไปถึงที่ต้องห้ามพลาด!

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันทั้งที นอกจากเที่ยวกับช๊อป ก็ต้องกินนี่แหละจะได้ครบสูตร ยิ่งญี่ปุ่นแล้วด้วยอาหารการกินก็ดูน่ากินไปซะทุกอย่างจนอยากจัดทริป “ตะลอนกิน” กันเลยทีเดียว แต่จะจัดทั้งทีก็ต้องจัดแบบที่เรียกได้ว่า “ถึง” ที่จริงๆ วันนี้ Allianz Travel จะมาแนะนำเมนูประจำท้องถิ่น ที่เรียกได้ว่าต้องลองเลยหากว่าได้ไปแต่ละภูมิภาค

ภูมิภาคฮอกไกโด (HOKKAIDO)

อาหารทะเล ทั้งปลาสดและอาหารทะเลแปรรูปหลากหลายชนิดเช่น ปู หอยเชลล์ หอยเม่นทะเล ไข่ปลาแซลมอน ปลาแซลมอน ปลาค็อด ปลาหมึกยักษ์ กุ้ง หอยเป๋าฮื้อ หอยปีกนก และผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลอื่นๆ จัดเป็นอาหารทะเลชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะปูที่มีขนาดใหญ่และรสหวาน ไม่ว่าจะนำไปต้มในน้ำเกลือหรือทำเป็นซาชิมิ ไม่ว่าจะเป็นปูราชินี ปูขน หรือปูอลาสก้า และซาชิมิหอยเม่นที่คุณควรจะต้องไปลองสักครั้งในชีวิต

เจงกีสข่าน “เจงกีสข่าน นาเบะ” เป็นคำเรียกถึงตัวของหม้อหรือกระทะที่นำมาใช้ประกอบเมนูนี้ ซึ่งเป็นกระทะทรงหมวกที่ทำจากเหล็กหล่อ นอกจากนี้ยังหมายถึงอาหารที่นำเนื้อแกะสไลด์บางและผักต่างๆ (ถั่วงอก กะหล่ำปลี และฝักทอง) มาทาน้ำมันและย่าง ร้านอาหารหลายแห่งในฮอกไกโดเชี่ยวชาญในการทำเจงกีสข่าน นาเบะ บอกได้เลยว่าเมนูนี้สายดื่มต้องไม่พลาด

ภูมิภาคโทโฮคุ (TOHOKU)

ซาซาคามะโบโกะ ของขึ้นชื่อของจังหวัดมิยะงิที่นิยมซื้อเป็นของขวัญหรือของฝาก ทำจากเนื้อปลาและมีรูปร่างลักษณะเหมือนใบไม้ไผ่ (ซาซา) จากรอยที่เกิดจากการย่าง ซาซาคามะโบโกะที่มีชื่อเสียงที่สุดมาจากเมืองเซ็นไดซึ่งมีร้านทำซาซาคามะโบโกะ แบบโฮมเมดมาเป็นเวลานาน โดยทำจากเนื้อปลาลิ้นหมาที่จับได้ตามฤดูกาลเพื่อเป็นการถนอมอาหาร โดยการนำไปสับและนวดด้วยมือจนเหนียว แล้วนำไปย่าง

คิริทัมโปะ แห่งจังหวัดอะคิตะ ที่ทำมาจากข้าวปรุงร่วมกับส่วนผสมเฉพาะตามสูตรของท้องถิ่นในกระทะ หลังจากนั้นนวดเข้าด้วยกัน และนำไปเสียบไม้ย่างเพื่อเพิ่มความหอม โดยช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการไปลิ้มลองคือ ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงเดือนมีนาคม โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายน รสชาติเฉพาะแบบนี้ต้องไปเองที่อะคิตะ

ภูมิภาคคันโต (KANTO)

นาเมะโร อาหารท้องถิ่นของชาวประมงในแถบชายฝั่งของแหลมโบโซ-ฮันโตทางตอนใต้ของจังหวะจิบะ ส่วนผสมหลักคือปลาต่างๆ โดยหั่นปลาเป็นชิ้นเล็กๆ และสับรวมกับมิโสะ ต้นหอม ขิง และใบโหระพา ให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ต้นหอมและขิงจะเป็นตัวดับกลิ่นคาวปลา นาเมะโรมี 2 แบบ คือย่างและผสมน้ำส้มสายชู โดยแบบย่างจะเรียกว่าซังกะยะกิ และแบบที่ผสมน้ำส้มสายชูจะเรียกว่าสึนาเมะโร

ฟุคะงะวะเมะชิ อาหารยอดนิยมแห่งโตเกียว ทำจากหอยแกะเปลือกและต้นหอมนำไปผัดกับมิโสะ เสิร์ฟพร้อมข้าวและซุปเป็นชุด โดยใช้หอยตัวใหญ่ และน้ำจากหอยที่ผสมกับมิโสะจะสร้างรสชาติที่อร่อยโดดเด่นขึ้นมา

ภูมิภาคจูบุ/โตไก (CHUBU/TOHKAI)

อุนางิ หรือปลาไหล จังหวัดชิซุโอะกะ มีแหล่งเพาะเลี้ยงปลาไหลที่มีคุณภาพสูงและมีชื่อเสียง โดยปลาไหลนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และญี่ปุ่นนิยมกินปลาไหลในฤดูร้อนซึ่งอากาศร้อน และความชื้นทำให้คนไม่อยากอาหาร โดยวิธีที่นิยมนำปลาไหลมาทำอาหารที่สุดคือการย่างถ่าน หรือคะบะยะกิ โดยในแถบคันโตจะนำชิ้นเนื้อปลาไหลมาย่างบนเตาถ่าน แล้วนำไปนึ่ง จากนั้นก็นำมาย่างด้วยความร้อนปานกลางอีกครั้ง และทาน้ำมันขณะที่ย่างด้วย ส่วนในแถบคันไซจะนำปลาไหลทั้งตัว ควักไส้ออก แล้วนำไปเสียบไม้ย่างและทาน้ำมันไปด้วยขณะย่าง

มิโสะคัตสึ “ทงคัตสึ” หรือหมูชิ้นทองราดซอสเป็นเมนูที่นิยมทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น แต่สำหรับจังหวัดไอจินั้นมีเมนูทงคัตสึที่แตกต่างออกไป โดยจะใช้ซอสที่ทำจากมิโสะ ซึ่งเป็นสูตรต้นตำรับที่ทำจากน้ำซุปปลาโอและน้ำตาล และเรียกเมนูนี้ว่า “มิโสะคัตสึ” ซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตในจังหวัดไอจิเลยทีเดียว

ภูมิภาคโฮคุริคุ (HOKURIKU)

โฮตะรุอิกะ แห่งจังหวัดโทะยะมะ หรือปลาหมึกหิ่งห้อย ซึ่งเป็นปลาหมึกพันธุ์เล็กที่พบในอ่าวโทะยะมะ สามารถทานเป็นแบบซาชิมิ หรือแบบชาบู ก็ได้ หรือหากนำไปตากแห้งแล้วย่างเล็กน้อยก็เหมาะกับเป็นกับแกล้มเวลาดื่มได้เช่นกัน ชื่อปลาหมึกหิ่งห้อยมาจากลักษณะเรืองแสงของผิวปลาหมึกสีขาวอมฟ้าคล้ายหิ่งห้อย

จิบุนิ อาหารพื้นเมืองของคะนะซะวะ ทำจากเนื้อเป็ดหั่นบางๆ ชุบแป้งหรือแป้งมัน แล้วนำไปต้ม เห็ดชิตาเกะ หน่อไม้ และผักชีญี่ปุ่นในน้ำซุปที่ทำจากน้ำสต็อก มิริน (เหล้าหวานสำหรับปรุงอาหาร) น้ำตาล เกลือ โชยุ และสาเก โดยแป้งหรือแป้งมันที่อยู่ด้านนอกจะช่วยรักษารสชาติของเนื้อและทำให้น้ำสต็อกข้นขึ้น ใช้วาซาบิเพื่อเพิ่มรสชาติ

ภูมิภาคคันไซ (KANSAI)

ยุโดฟุ หรือเต้าหู้ต้ม ยอดนิยมในฤดูหนาวแห่งเกียวโต เมนูที่จะทำให้คุณรู้สึกอุ่นขึ้น ด้วยรสชาติเบาๆ และผิวสัมผัสที่เรียบเนียนของเต้าหู้ ทำให้ทุกรสสัมผัสที่ได้รับนั้นรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ โดยเมนูนี้ทำจากการนำเต้าหู้ทำมือมาต้มกับซุปสาหร่าย และทานด้วยการจิ้มในเครื่องปรุงรส วิธีการทำดูธรรมดา แต่รสชาติที่ได้มานั้นล้ำลึกอย่างยิ่ง

ทะโกะยะกิ หรือ ขนมครกไส้ปลาหมึก ต้นตำรับจากโอซาก้า แบบกรอบนอกนุ่มใน จากการทำด้วยกระทะแบบหลุม ที่มีหลายๆหลุม จากนั้นทำให้เป็นลูกกลมๆโดยการหมุนไปมาให้สุก ที่ดูเหมือนจะทำได้ง่ายๆ แต่บอกเลยว่ายากมาก นอกจากรูปลักษณ์แล้ว รสชาติต้นตำรับที่ไม่เหมือนใครและเครื่องโรยหน้า พร้อมจิ้มกับมายองเนสอีก บอกได้เลยว่า เคยลองที่ไหนมา รับรองได้ว่าไม่ฟินเท่าต้นตำรับแน่นอน

ภูมิภาคชูโงะคุ (CHUGOKU)

ฟุกุ หรืออาหารจากปลาปักเป้า (จังหวัดยะมะงุจิ) นิยมทานแบบซาชิมิหรือเรียกว่า “ฟุกุซาชิมิ” ที่แล่จนบางบากจนมองทะลุผ่านได้ และจัดเรียงอย่างงดงาม แต่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามเท่านั้น รสชาติแห่งความสดของเนื้อปลาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน นอกจากนั้นปลาปักเป้ายังสามารถนำมาทำเมนูหม้อไฟได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเด็ด แต่อย่างไรก็ตามเมนูจากปลาปักเป้านั้น ก็มีอันตรายมากหากไม่ได้รับการปรุงที่ถูกต้อง เพราะว่าปลาปักเป้าบางชนิดนั้นมีพิษถึงตายได้ ซึ่งพ่อครัวที่จะปรุงเมนูปลาปักเป้าได้นั้น จะต้องมีใบอนุญาติพิเศษซึ่งได้รับการอบรมวิธีการกำจัดส่วนที่มีพิษออกอย่างระมัดระวัง

หอยนางรม ถือได้ว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีรสชาติเป็นเลิศ และในประเทศญี่ปุ่นนั้น จังหวัดฮิโรชิม่าเป็นแหล่งผลิตหอยนางรมชั้นนำ ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงแบบพิเศษที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ได้หอยตัวใหญ่ เนื้อนุ่ม จนอาจทำให้ลืมหอยนางรมจากที่อื่นได้เลย

ภูมิภาคชิโกะคุ (SHIKOKU)

ซะนุกิ-อุด้ง หรืออุด้งที่ใช้เส้นแป้งสาลี แห่งจังหวัดคะงะวะ ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า เป็น “อาณาจักรอุด้ง” เพราะมีผู้ผลิตและร้านอาหารอุด้งที่ใช้เส้นแป้งสาลีจำนวนมาก มีจุดเด่นที่ความแข็งและเนื้อเรียบเนียน วิธีรับประทานคือเทซุปสาหร่ายที่ปรุงรสด้วยโชยุเล็กน้อยลงไปบนเส้น ใส่ต้นหอม ขิง ไข่ หรืองาตามชอบ และโรยด้วยเครื่องโรยที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทำให้เกิดรสชาติหลายรูปแบบจนไม่น่าเบื่อเลยทีเดียว

ภูมิภาคคิวชู (KYUSHU)

มิซุทะกิ หรือไก่ต้มไม่ปรุงรส แห่งจังหวัดฟุกุโอะกะ มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเมจิ จากซุปใสของตะวันตกและอาหารประเภทไก่ของจีน ทานกับน้ำจิ้มพอนสุ และเติมเครื่องปรุงรส นอกจากนี้อาจสามารถใส่ข้าวลงไปหลังทานไก่และผักหมดแล้วเพื่อเพิ่มความอิ่มท้องก็ยังได้

ฮิยะจิรุ อาหารท้องถิ่นของจังหวัดมิยะซะกิ เป็นการนำน้ำซุปที่แช่เย็นราดลงบนข้าวร้อนๆ ทานคู่กับผัก และเครื่องเคียง โดยน้ำซุปนั้นทำมาจากปลาแห้งต้มและปรุงรสด้วยมิโสะ ทำให้ได้เพลิดเพลินกับรสชาติและความสดชื่นจากผักฤดูร้อน เชื่อกันว่าเมนูนี้เกิดขึ้นจากเกษตรกรในมิยะซะกิเพื่อไม่ต้องเสียเวลาเตรียมอาหารในระหว่างทำงานในไร่

นอกจากเมนูท้องถิ่นที่แนะนำไปนั้น ประเทศญี่ปุ่นยังมีอีกหลายเมนูที่รอให้ไปลองลิ้นชิมรสอีกมากมายในแต่ละภูมิภาค แต่อย่างไรก็ตามอาหารแต่ละท้องที่นั้นก็มีความเฉพาะแตกต่างกันไปในเรื่องของส่วนผสม ซึ่งบางอย่างอาจไม่คุ้นชินกับคนไทย และอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ ดังนั้นแล้วหากวางแผนทริปตะลอนกิน เราคงต้องคิดถึงเรื่องความเจ็บป่วยไว้ด้วยการทำประกันการเดินทางที่มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมความเจ็บป่วยจากการทานอาหารด้วย จะได้ Enjoy Eating กันได้อย่างเต็มที่กันเลย!

ที่มา : https://www.jnto.or.th

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เจ็บป่วยที่ญี่ปุ่น เคลมประกันการเดินทางอย่างไร

ความเจ็บป่วยเกิดได้เสมอ ไม่เลือกที่ เลือกเวลา ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่าความเจ็บป่วยจะมาเยือนเราตอนไหน ถ้าแวะมาช่วงอยู่บ้านรึทำงาน เราก็คงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้าแวะมาช่วงกำลังเที่ยวสนุกๆ นี่สิ โดยเฉพาะถ้าเป็นประเทศญี่ปุ่น ประเทศในฝันของหลายๆคน เงินที่เตรียมไว้สำหรับแผนเที่ยวที่ตั้งใจไว้ว่าจะไป กิจกรรมที่จะทำ อาหารที่อยากลอง ถ่ายรูปชิคๆ อาจต้องสะดุด หมดสนุกอย่างแน่นอน แล้วไปเสียให้กับ ค่ารักษา ค่ายา ค่าบริการ และหากว่าป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลก็จะมี ค่าห้องพัก รวมอีก จ่ายไปจ่ายมาอาจมีเสียเงินมากกว่าค่าเครื่องบินอีก ลองดูค่าใช้จ่ายในการรักษา ประเทศญี่ปุ่น หากเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น เราจะหมดกังวลได้หากเราเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว โดยการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล และมีประกันการเดินทางที่คุ้มครองที่จะช่วยด้านการประสานงานและค่ารักษาได้

หากรู้สึกไม่สบายระหว่างอยู่ที่ญี่ปุ่น ทำอย่างไร

  1. สังเกตุอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็นอะไรบ้าง เพื่อจะสามรถบอกอาการแก่แพทย์ เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้นและรักษาได้ตรงกับอาการ คือเรารู้สึกเจ็บตรงไหน เจ็บแบบไหน บอกให้หมดเพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์ได้วิเคราะห์หาสาเหตุและรักษาได้ถูกต้องตรงจุด
  2. ค้นหาโรงพยาบาลที่รักษาสำหรับชาวต่างชาติในญี่ปุ่น โดยค้นหาจากเว็บไซต์ขององค์กร Medical Excellence Japan ได้จากอาการที่เป็นอยู่ บางคนอาจคิดว่าจำเป็นต้องละเอียดขนาดนั้นเลย แต่เราควรจะทราบด้วยว่าระบบการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างเฉพาะทางในแต่ละโรงพยาบาลหรือแม้แต่คลีนิค และการสื่อสารก็อาจทำได้ยาก ดังนั้นหากเลือกโรงพยาบาลที่มีบริการรักษาชาวต่างชาติด้วยย่อมสะดวกมากกว่า
  3. การรับยา สำหรับประเทศญี่ปุ่น การรับยาหลังการรักษาจะแตกต่างจากบ้านเราอยู่บ้าง โดยสถานพยาบาลบางแห่งนั้นก็สามารถรอรับยาได้เลย แต่บางแห่งก็ไม่สามารถทำได้ และจะต้องรับใบสั่งยาที่ออกให้โดยแพทย์ไปซื้อที่ร้านขายยา

หากเกิดกรณีเจ็บป่วยแบบฉุกเฉินที่ญี่ปุ่นทำอย่างไร

ในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีบริการฉุกเฉิน ที่รวมทั้งการเรียกรถพยาบาลและเรียกรถดับเพลิงด้วยกัน หากว่าเกิดเหตุฉุกเฉินเราสามารถเรียกบริการได้ที่เบอร์ 119 และเนื่องจากเบอร์นี้ใช้เรียกทั้งรถพยาบาลและรถดับเพลิง เราต้องแจ้งให้ชัดเจนด้วยว่าต้องการรถพยาบาล ซึ่งบริการฉุกเฉินนี้เราไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลได้ ต้องไปตามความเห็นของรถพยาบาลเท่านั้น และการสื่อสารนั้นจะเป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก ดังนั้นหากเรามีเพื่อนที่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในระหว่างการรักษาพยาบาล

นอกจากนี้ หากว่าเราได้ซื้อประกันการเดินทางที่มีผลประโยชน์ครอบคลุมการช่วยเหลือฉุกเฉินด้วย ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน โดยทางศูนย์บริการจะคอยช่วยเหลือประสานงานให้ และตรงข้อนี้เราสามารถตัดปัญหาเรื่องภาษาในการสื่อสารได้อีกด้วย

การจัดการค่าใช้จ่ายหลังการรักษา

หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น เรื่องค่ารักษาพยาบาลอาจทำให้เป็นกังวล ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น การประสานงาน หรือขั้นตอน ที่ไม่รู้ว่าเหมือนการเคลมประกันสุขภาพในประเทศหรือไม่ แต่หากเราได้ทำประกันการเดินทางไว้ก่อนเดินทางแล้ว ก็จะช่วยจัดการความกังวลใจนี้ไปได้ เพราะประกันการเดินทางที่เราได้ทำไว้นั้นจะช่วยดูแลในส่วนนี้ โดยขอยกตัวอย่างขั้นตอนที่ทำได้กรณีทำประกันการเดินทางกับ Allianz Travel Thailand ก่อนเดินทาง โดยเราสามารถปฏิบัติได้ดังนี้

  1. ติดต่อบริษัทประกันที่เราซื้อไว้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยประสานงานให้ จนถึงการชำระค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะได้รับความสะดวกสบายมากกว่า และไม่ติดปัญหาเรื่องการสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่สามารถรอได้ หรือการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง
  2. สำรองจ่ายก่อนและกลับมาเคลม วิธีนี้จะรวดเร็วกว่า และสามารถไปทำตามแผนท่องเที่ยวต่อได้ ซึ่งวิธีการเคลมเมื่อกลับมาถึงประเทศไทยก็ทำได้ไม่ยาก โดยติดต่อบริษัทที่เราซื้อประกันไว้ ในกรณีนี้คือ Allianz Travel แจ้งเลขที่เอกสารกรมธรรม์ และส่งเอกสารประกอบ รอการอนุมัติและรับเงินเคลม ดังนั้นเราควรเก็บรวบรวมเอกสารที่จำเป็นดังนี้เพื่อนำไปประกอบการยื่อของเคลมประกันการเดินทาง
    • ตั๋วเครื่องบิน หรือ Boarding pass
    • Passport
    • ใบเสร็จรับเงิน (ตัวจริง)
    • ใบรับรองแพทย์ (ตัวจริง)

พร้อมแล้วก็เดินทางได้อย่างอุ่นใจ

ตอนนี้เราก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจแล้ว เมื่อเรารู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรเมือเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น นอกจากนี้เราจะยังคลายความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นหากเราเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าด้วยประกันการเดินทางก่อนการเดินทาง หากยังเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกซื้อของที่ไหน เราขอแนะนำแผนประกันการเดินทาง Sugoi Japan ของ Allianz Travel ที่ออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ที่มอบความคุ้มครองมากกว่าแค่เรื่องการรักษาพยาบาล แต่ยังมอบผลประโยชน์อื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นอีกด้วย

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เจ็บป่วยที่ญี่ปุ่นทำอย่างไร เสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

สำหรับคนที่กำลังจะเดินทางหรือกำลังวางแผนไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเพื่อเที่ยว ทำงาน เรียนต่อ หรือวัตถุประสงค์อะไรก็ตามแต่ เรื่องสุขภาพนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่กำลังกังวลใจอยู่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาพยาบาลในประเทศนั้นๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นให้เป็นตัวอย่าง เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นเป้าหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนไทยอย่างมาก ดังนั้นรู้ไว้ย่อมมีประโยชน์กว่า

ระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่น

ก่อนอื่นเราขออธิบายเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขและรูปแบบการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นกันก่อน ซึ่งระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นนั้น ได้ถูกจัดอันดับ ในปี 2559 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ติด 1 ใน 10 จาก 190 ประเทศทั่วโลกในด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งถือได้ว่าต้องมีความพร้อมและน่าเชื่อถือสุดๆ แต่อย่างไรก็ตามระบบการรักษาพยาบาลหรือเข้ารับการรักษาในประเทศญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างจากบ้านเราพอสมควรที่เราควรรู้ไว้ด้วยเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น สำหรับกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือไม่สบายที่ญี่ปุ่น เราสามารถซื้อยาจากร้านขายยา โดยร้านขายยาในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

1. ร้านขายยาทั่วไป เป็นร้านขายยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ ที่จะขายยาพื้นฐานหรือที่เราเรียกว่า ยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งจะเป็นร้านขายยาทั่วไปและอาจมีขายเครื่องสำอางค์ร่วมด้วย อันนี้ปกติธรรมดาเหมือบ้านเรา
2. ร้านขายยาจริงๆ ที่ต้องมีใบสั่งยาโดยแพทย์ประกอบด้วย ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวดกว่าร้านขายยาทั่วไปอย่างมาก

นอกจากนี้แล้วคนญี่ปุ่นมักนิยมเข้า คลีนิค ที่จะเป็นคลินิกเฉพาะทางในการรักษาโรคนั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่คลีนิคจะสามารถให้บริการได้หลายโรค ดังนั้นแล้ว หากเลือกที่จะเข้ารักษากับคลีนิคที่ประเทศญี่ปุ่นก็ควรดูให้ดีก่อนว่าคลีนิคที่เราจะเข้ารับบริการนั้นเป็นคลีนิคเฉพาะทางกับความเจ็บป่วยที่เราเป็นหรือไม่ มิเช่นนั้นอาจถูกปฏิเสธการรักษาแล้วจะทำให้รำคาญใจได้ ดังนั้นเราอาจศึกษาเตรียมตัวก่อนการเดินทางโดยศึกษาจาก คู่มือการการใช้บรการหน่วยงานทางการแพทย์ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งออกโดย องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (JNTO)

ค่าใช้จ่ายประมาณการในการรักษาพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่น

อย่างที่ทราบกันว่าประเทศญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศชาตินิยมและเคารพสิทธิมนุษยชนของส่วนรวมมากๆ ดังนั้นเรื่องค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ประชาชนเจ็บป่วย ทางรัฐจะช่วยดูแลสนับสนุนและให้ผ่อนจ่ายได้ โดยถือว่าเป็นระบบสวัสดิการประกันสุขภาพรูปแบบหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โดยประชาชนญี่ปุ่นทุกคนจะต้องเข้าระบบประกันการรักษาพยาบาลจากรัฐ และรวมถึงชาวต่างชาติที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 3 เดือน ก็ต้องเข้าระบบประกันนี้ด้วย เพราะฉะนั้น คนที่เดินทางไปเรียน หรือไปทำงาน ซึ่งอยู่เกิน 3 เดือนขึ้นไป จะสามารถได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะได้จ่ายค่าประกันสุขภาพแก่ประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นไป ส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ที่เข้าระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นนั้น ผู้เอาประกันจะจ่ายเพียงบางส่วน 10-30% ตามอายุ และส่วนที่เหลือรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ คือ

1) ประชาชนจ่าย 30% ของยอดชำระ และที่เหลือประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นรับผิดชอบ
2) ประชาชนจ่าย 20% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 70 ปี ขึ้นไป และไม่ได้ทำงาน
3) ประชาชนจ่าย 10% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 75 ปี ขึ้นไป

จะเป็นว่าผู้ที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพนั้นจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยมากหากเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในระบบ หรือนักท่องเที่ยวที่โดยปกติอัตราค่ารักษาพยาบาลระหว่างพลเมืองญี่ปุ่นกับชาวต่างชาติก็ต่างกันอยู่แล้ว ด้านล่างนี้ค่าค่าใช้จ่ายประมาณการสำหรับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นสำหรับชาวต่างชาติ ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดกับนักท่องเที่ยว โดยเรทการคำนวนเป็นเงินบาท อ้างอิงจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 10 มกราคม 2563 (28.01 บาท / 100 เยน)

1. พบหมอต่อครั้ง ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
2. นอนโรงพยาบาล 1 คืน เริ่มต้นที่ 100,000 เยน หรือ 28,000 บาท
3. หกล้ม ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าหัก ค่าใช้จ่ายระหว่าง 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
4. CT Scan เริ่มต้นที่ 30,000 เยน หรือ 8,400 บาท
5. ถอนฟัน 20,000 เยน หรือ 5,600 บาท
6. เคลื่อนย้ายฉุกเฉินระหว่างเมือง สามารถมีค่าใช้จ่ายสูงสุดถึง 5 ล้านเยน หรือ 1.4 ล้านบาท

โดยที่ค่ารักษาพยาบาลที่ญี่ปุ่น บางรายการอาจราคาถูกกว่าที่ประเทศไทย แต่บางรายการก็แพงกว่า โดยค่ารักษาพยาบาลโดยประมาณในประเทศญี่ปุ่นนั้น โดยทั่วไปจะมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกสำหรับคลินิกท้องถิ่น ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 3,000 ถึง 5,000 เยน และค่าใช่จ่ายสำหรับการนัดติดตามผลอยู่ที่ประมาณ 600 เยนต่อครั้ง หมายความว่าจำเป็นต้องจ่ายค่าที่ปรึกษารวมกับค่าธรรมเนียมสำหรับการนัดติดตามผลในครั้งแรก และหลังจากนั้นก็จะเป็นครั้งละ 600 เยนต่อครั้ง แต่อันนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายสำหรับชาวต่างชาติแต่เป็นสำหรับพลเมืองญี่ปุ่น หากเป็นคลินิกสำหรับชาวต่างชาติ ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น โดยอาจมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกถึง 10,000 เยนเป็นต้นไปได้เลยทีเดียว และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปรึกษาใหม่ทุกครั้งเมื่อพบหมอคนใหม่ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากว่าเราจะพบแพทย์คนเดิมที่เราเคยหามาก่อน จะเห็นได้ว่าแค่มองคร่าวๆ ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาพยาบาลสำหรับพลเมืองและนักท่องเที่ยวนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมากเกือบเท่าตัว

นอกจากเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ต้องคำนึงถึง ประเทศญี่ปุ่นยังมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นหากเดินทางไปท่องเที่ยวในเขตจังหวัดที่มีความเสี่ยงแล้วประสบอุบัติเหตุก็จะต้องมีค่ารักษาพยาบาลด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาท ดังนั้นการทำประกันการเดินทางเอาไว้กับการเดินทางออกนอกประเทศทุกกรณี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเสียเงินกับค่ารักษาพยาบาลสูงๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำไว้ด้วย เพื่อว่าหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้ไม่ต้องกังวล แม้อาจจะมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและอาจจะไม่ได้ใช้ แต่หลายๆเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดังนั้น ไม่ว่าเป็นการเดินทางไปในประเทศไหนๆ จะสั้นหรือจะยาว ก็อย่าได้ประมาทและทำประกันเดินทางไว้ล่วงหน้าเพื่อความสบายใจกันดีกว่า ท่องเอาไว้ “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

7 จุดยอดนิยมชมซากุระในญี่ปุ่น

ฤดูหนาวในญี่ปุ่นกำลังพ้นผ่าน ฤดูกาลถัดไปเริ่มเข้ามาแทนที่ นั่นคือฤดูใบไม้ผลิ หากพูดถึงกิจกรรมประจำฤดูกาล คือการชมดอกไม้หลากสายพันธุ์ โดยเฉพาะการชมดอกซากุระผลิบาน ซึ่งการชมดอกไม้ ชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า “ฮานามิ” (ฮานา แปลว่า ดอกไม้, มิ แปลว่า ดู ชม) เป็นประเพณีดั้งเดิม ซึ่งคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เฝ้ารอเพื่อจะได้เพลิดเพลินกับความงามของดอกซากุระ ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นริมแม่น้ำ สวนสาธารณะ รวมถึงรอบปราสาททั่วญี่ปุ่น จะเต็มไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 100 สายพันธุ์ เช่น พันธุ์ Yamazakura, Somei Yoshino, Ichiyo เป็นต้น รวมถึงสายพันธุ์หาชมได้ยาก จะบานสะพรั่งอวดโฉมกันอย่างงดงาม โดยเริ่มผลิใบจากเกาะโอกินาวาทางใต้สุดไล่ขึ้นไปยังเกาะฮอกไกโด และเริ่มบานตั้งแต่เดือนมีนาคมไปถึงเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละปีด้วย เพื่อให้ซึมซับวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นและสัมผัสความงามของดอกซากุระ เราจึงได้รวบรวม 7 จุดชมซากุระจากทั่วญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมาให้ชมกัน

1.สวนทากาโตะโฮโจชิ (TAKATO JOSHI KOEN)

ตั้งอยู่เมืองอินะ จังหวัดนากาโนะ สวนแห่งนี้เป็นจุดชมซากุระที่สวยงามติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น มีต้นซากุระสายพันธุ์โคอิกัง ซึ่งหาชมได้ยาก ราว 1,500 ต้น ที่ปลูกตั้งแต่สมัยเมจิเบ่งบานให้ชมความสวยงาม ในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายน ภายในสวนมีอุโมงค์ซากุระสวยงามอลังการ ส่วนไฮไลท์อยู่ที่สะพานโค้งโออุนเคียวเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายภาพและชมซากุระที่กำลังบานสะพรั่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของสวน ในตอนค่ำตั้งแต่เวลา 18:00-22:00 น. จะมีการประดับไฟตามแนวต้นซากุระเพิ่มสีสันสร้างความตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น

  • การเดินทาง จากสถานี Inashi นั่งรถบัสจากหน้าสถานีไปลงป้าย Takato Castle Ruins Park ใช้เวลา 25 นาที จากนั้นเดินต่อไปอีกเล็กน้อย
  • ค่าเข้าชม 500 เยน
  • เวลา เปิด-ปิด 06:00-22:00 น.

2.สวนชินจูกุเงียวเอน (SHINJUKU GYOEN)

สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Shinjuku เป็นสถานที่ผ่อนคลาย หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองโตเกียว สวนเดิมสร้างขึ้นในช่วงเอโดะ หลังได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในปี ค.ศ. 1949 ภายในสวนแบ่งออกเป็น 3 โซน หลักๆ ได้แก่สวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สวนสไตล์ฝรั่งเศส และสวนสไตล์อังกฤษเป็นบริเวณที่รายล้อมไปด้วยต้นซากุระจาก 12 สายพันธุ์ รวมแล้วกว่า 400 ต้น ซึ่งจะเบ่งบานให้ชมกันในช่วงต้นเดือนเมษายน ของทุกปี ซึ่งที่นี่ถือเป็นจุดชมดอกซากุระยอดนิยมติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น

  • การเดินทาง จากสถานี Shinjuku ใช้ทางออก South Exit เดินไปทางทิศตะวันออกอีกประมาณ 600 เมตร จากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinjukugyoenmae ใช้ทางออก 1 เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร จากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinjuku Sanchome ใช้ทางออก C1 หรือ C5 เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร
  • ค่าเข้าชม 200 เยน
  • เวลาเปิด-ปิด 09:00-16:00 น.

3.สวน KASAI RINKAI

สวนสาธารณะริมอ่าวโตเกียวขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับโตเกียวดิสนีย์แลนด์ สวนแห่งนี้เกิดจากการถมทะเลขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการรักษาและฟื้นฟูที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ในอ่าวโตเกียว และยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนในย่านนั้น ภายในสวนยังมีชิงช้าสวรรค์ยักษ์สูง 117 เมตร ตั้งโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ มีพื้นที่ให้ได้นั่งปิกนิก ทำกิจกรรมต่างๆ หากใครไปตรงกับช่วงซากุระประมาณปลายมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน จะได้เจอกับทิวแถวของต้นซากุระราว 760 ต้น ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ Somei Yoshino,Oshima zakura และ Sato-zakura ทยอยกันบานสะพรั่งโอดโฉมให้ได้สัมผัสความงดงาม นอกจากนี้ยังพิพิธภัณฑ์สัตว์นํ้าโตเกียวซีไลฟ์ (Tokyo Sealife Aquarium) จัดแสดงปลาทะเลชนิดต่างๆ เช่น ปลาฉลาม ปลาทูน่า และเต่าทะเล รวมทั้งนกเพนกวินชนิดต่างๆ ให้ได้ชมความน่ารักอีกด้วย

  • การเดินทาง จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟสาย JR Keiyo Line ลงที่สถานี Kasai Rinkai Koen
  • ค่าเข้าชม บริเวณสวนฟรี, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ 700 เยน
  • เวลาเปิด-ปิด 09:30-17:00 น.

4.เมืองคาวาซุ (KAWAZU)

ตั้งอยู่เมืองคาวาซุ จังหวัดชิซูโอกะ นับเป็นจุดชมซากุระบานที่แรกๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม บริเวณเลียบแม่น้ำคาวาซุ ตั้งแต่สถานี Kawazu ไปถึงมิเนะออนเซน ระยะทางราว 4 กม. ใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลคาวาซุซากุระ หรือคาวาซุมัตสึริ ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศจะหลั่งไหลมาชมความสวยงามของดอกซากุระสายพันธุ์พิเศษที่มีชื่อเรียกว่า Kawazu-zakura จะบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นประมาณ 1 เดือน บริเวณงานจะมีซุ้มดอกซากุระกว่า 800 ต้น ที่ปลูกตามแนวยาวเลียบแม่น้ำคาวาซุ เพิ่มสีสันด้วยการประดับไฟตามต้นซากุระในยามค่ำคืน และทั่วเมืองคาวาซุยังเต็มไปด้วยต้นซากุระราว 8,000 ต้น

  • การเดินทาง จากสถานี Atami นั่งรถไฟด่วนของ JR มาลงที่สถานี Kawazu จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร จะเจอแม่น้ำคาวาซุ
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

5.ภูเขาโยชิโนะ (MOUNT YOSHINO)

ตั้งอยู่เมืองโยชิโนะ จังหวัดนารา เป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่โบราณ เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ตื่นตาตื่นใจกับภาพซากุระกว่า 30,000 ต้น จาก 200 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ Yamazakura จะเบ่งบานปกคลุมไปทั่วบริเวณภูเขาโยชิโนะ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน โดยจะบานไล่จากตีนเขาไปจนถึงยอดเขา ด้านบนยังมีจุดชมวิวอีกหลายจุด ให้ได้หยุดเก็บภาพประทับใจพร้อมกับชมซากุระเบ่งบานแบบละลานตา

  • การเดินทาง จากสถานี Yamatosaidaiji สาย KintetsuKyoto/Kashihara Line Exp. ไปลงสถานี Kashiharajingumae แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย Kintetsu Minami-osaka/YoshinoLine Exp. ไปลงสถานี Yoshino จากนั้นนั่งรถชัตเติลบัสไปลงป้าย Naka Senbon
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

6.สวนมาอิซูรุ (MAIZURU PARK)

สวนมาอิซูรุ ตั้งอยู่ภายในซากปราสาทฟูกุโอกะ ในเมืองฟูกุโอกะ จังหวัดฟูกุโอกะ อดีตเคยเป็นหนึ่งในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในเกาะคิวชู สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันเหลือเพียงแนวกำแพงบางส่วน ส่วนของฐานป้อมปราการปรับให้เป็นลานโล่งและเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวเมืองมุมสูง สวนแห่งนี้จะคึกคักและสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระออกดอกบานสะพรั่งในช่วงต้นเดือนเมษายน ชาวญี่ปุ่นนิยมมานั่งปิกนิกชมความงามของซากุระสายพันธุ์ดอกย้อยที่ค่อยๆ ไหวเอนเมื่อยามต้องลม รับรองว่าสวยงามไม่แพ้ที่อื่น

  • การเดินทาง จากสถานี Hakata นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Ohori Koen ทางออก 5 เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาที่ 3 แยก ตรงไปอีก 300 เมตร ทางเข้าอยู่ซ้ายมือ
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด เปิดตลอดเวลา

7. ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (KAWAGUCHIKO)

ทะเลสาบชื่อดังและยังเป็นสถานทีท่องเที่ยวยอดฮิต ตั้งอยู่จังหวัดยามานาชิ ที่นี่เป็นจุดชมฟูจิซังหรือภูเขาไฟฟูจิสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น รอบๆ ทะเลสาบมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวกระจายอยู่หลายจุด และในช่วงกลางเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวจะได้เห็นภาพทิวแถวของต้นซากุระที่หาชมได้ทั่วบริเวณทะเลสาบ เช่นบริเวณสวนสาธารณะยางิซากิ ตั้งอยู่ฝั่งทิศใต้ของทะเลสาบ รวมถึงบริเวณทิศเหนือของทะเลสาบ ยังมีแนวต้นซากุระให้ได้ชมความงามไปพร้อมกับได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของฟูจิซังอีกด้วย

  • การเดินทาง จากสถานี Shinjuku ให้นั่งรถไฟ ขบวน Ltd. Exp Kaiji มาลงที่สถานี Otsuki แล้วเปลี่ยนไปนั่งขบวน Fujikyu Railway ลงสถานี Kawaguchiko หรือนั่งรถบัสของบริษัท Keio Bus จากหน้าห้าง Keio (บริเวณสถานี Shinjuku วิ่งตรงมายังสถานี Kawaguchiko)
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

ก่อนแพลนไปชมซากุระสามารถตรวจสอบพยากรณ์การบานของซากุระได้ที่เว็บพยากรณ์และการท่องเที่ยวญี่ปุ่นโดยตรง www.jnto.go.jp/sakura/eng/index.php (ภาษาอังกฤษ) และ http://sakura.weathermap.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา