20 เมนู อาหารยุโรป จานเด็ด

เรียนรู้วัฒนธรรมจากอาหาร : 20 เมนูอาหารจานเด็ดประเทศยุโรป

ถ้าพูดถึงประเทศในทวีปยุโรป หลาย ๆ ท่านคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยว สถาปัตยกรรม วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละท้องถิ่น รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย เมื่อไปท่องเที่ยวยังประเทศยุโรป ก็คือการได้ลิ้มรส อาหารยุโรป จานเด็ดหรืออาหารประจำชาติของแต่ละประเทศ ไม่เพียงแต่ได้สัมผัสรสชาติความอร่อย แต่อาหารยังบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนและวัฒนธรรมประจำชาติด้วย วันนี้ Allianz Travel ขออาสาพาผู้อ่านทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับ 20 เมนูอาหารจานเด็ดของแต่ละประเทศในยุโรป ขอแนะนำว่า อย่าอ่านบทความนี้ตอนหิวเป็นอันขาด เตือนแล้วนะคะ : )

1. ขนมสตรูเดิ้ล (STRUDEL) ประเทศออสเตรีย

สตรูเดิ้ล เป็นขนมดั้งเดิมของชาวเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยปกติแล้วขนมสตรูเดิ้ลจะใส่ไส้ผลไม้หลากหลายชนิด แต่ที่นิยมอย่างมากคือแอปเปิ้ล ถ้าใครไปเที่ยวออสเตรียแล้ว ให้ลองสั่งด้วยคำว่า “Apfelstrudel” ดู และอย่าลืมเพิ่มความอร่อยด้วยการใส่ท้อปปิ้งเป็นวิปครีมหรือซอสวนิลาด้วยนะคะ

อาหารยุโรป : ขนมสตรูเดิ้ล (STRUDEL) ประเทศออสเตรีย

2. ขนมวาฟเฟิล (WAFFLE) ประเทศเบลเยี่ยม

ถ้านึกถึงวาฟเฟิล ก็ต้องนึกถึงประเทศเบลเยี่ยม เพราะที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดวาฟเฟิล ก่อนที่จะนิยมอย่างแพร่หลายไปยังประเทศอื่น โดยปกติแล้วชาวเบลเยี่ยมจะนิยมกินวาฟเฟิลเป็นอาหารเช้ากัน ราดด้วยท้อปปิ้งอย่างวิปครีม น้ำเชื่อม สตอเบอร์รี่และช็อกโกแลต ไปถึงเบลเยี่ยมแล้ว อย่าลืมแวะกินต้นตำรับวาฟเฟิลกันนะคะ

อาหารยุโรป : ขนมวาฟเฟิล (WAFFLE) ประเทศเบลเยี่ยม

3. ข้าวคลุกหมึกดำ (BLACK RISOTTO) ประเทศโครเอเชีย

ข้าวคลุกหมึกดำ หรือ Black Risotto ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวโครเอเชีย ส่วนผสมหลักของข้าวคลุกหมึกดำก็คือปลาหมึกดองหรือปลาหมึกทั่วไป ผสมด้วยน้ำมันมะกอก กระเทียม ไวน์แดงและหมึกดำ ผัดให้เข้าที่กับข้าวสวยทั่วไป คนโครเอเชียมักจะเรียก Black Risotto ว่า “crnirizot” เพราะเป็นที่รู้กันว่า เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะทำให้สีฟันเปลี่ยนเป็นสีดำ

อาหารยุโรป : ข้าวคลุกหมึกดำ (BLACK RISOTTO) ประเทศโครเอเชีย

4. ขนมปังเกี๊ยว (BREAD DUMPLINGS) ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

ขนมปังเกี๊ยวฉบับดั้งเดิมของชาวเช็ก แตกต่างสิ้นเชิงกับเกี๊ยวจากเอเชีย เพราะขนมปังเกี๊ยวที่นี่ทำจากแป้งต้ม ยีสต์ ไข่ เกลือและนม เป็นหลัก ชาวเช็กทั่วไปจะสั่งขนมปังเกี๊ยวมากินคู่กับกูลาช (ซุปเนื้อ) โดยการจุ่มขนมปังเกี๊ยวเข้าไปในซุปเนื้อ รสชาติจะเข้ากันไหม ต้องลองไปชิมดูค่ะ : )

อาหารยุโรป : ขนมปังเกี๊ยว (BREAD DUMPLINGS) ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

5. แซนวิชหน้าเปิด (SMØRREBRØD) ประเทศเดนมาร์ก

แซนวิชหน้าเปิด ของกินเลืองชื่อของประเทศเดนมาร์ก ตัวแซนวิชจะเป็นขนมปังข้าวไรย์ โปะหน้าแซนวิชด้วยไข่ ชีส เนื้อ และปลา หรือถ้าจะทำให้อลังการขึ้น อาจโปะด้วยกุ้งและไข่ปลาคาเวียร์ ขณะที่วิธีการกินแซนวิชหน้าเปิดแบบคนแดนิช จะใช้ซ้อมและมีดในการหั่นแซนวิชและใช้ซ้อมตักกิน แซนวิชหน้าเปิดถือเป็นอาหารที่ค่อนข้างแปลกสำหรับคนไทย ถ้าใครลองแล้ว มาบอกเราด้วยนะคะว่าอร่อยไหม ^^

อาหารยุโรป : แซนวิชหน้าเปิด (SMØRREBRØD) ประเทศเดนมาร์ก

6. หมูรมควันกับถั่ว (SMOKED PORK WITH BEANS) ประเทศลักแซมเบิร์ก

ถ้าไปเที่ยวประเทศลักแซมเบิร์ก หมูรมควันกับถั่วเป็นอาหารที่จะพบได้ทั่วไปหรือแทบทุกที่ทั่วประเทศ โดยปกติแล้วคนลักแซมเบิร์กจะทานหมูรมควันกับมันฝรั่งทอดเบคอน เสริฟ์คู่กับเบียร์ท้องถิ่นและไวน์ขาว ถ้าจะสั่งแบบคนท้องถิ่นก็อย่าลืมสั่งคู่พร้อมกับมันฝรั่งทอดเบคอนนะคะ

อาหารยุโรป : หมูรมควันกับถั่ว (SMOKED PORK WITH BEANS) ประเทศลักแซมเบิร์ก

7. ชีสฮาลูมี (HALLOUMI CHEESE) ประเทศไซปรัส

ชีสฮาลูมี เป็นอาหารขึ้นชื่อทั่วทั้งแทบตะวันออกกลางและประเทศกรีซ โดยเชื่อกันว่าต้นกำเนิดของชีสชนิดนี้มาจากประเทศไซปรัสเมื่อศตวรรษที่ 16 ส่วนผสมหลักของชีสฮาลูมีคือนมแกะและนมแพะ ทำให้ชีสชนิดนี้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การนำไปย่างกินพร้อมด้วยเครื่องเคียงมากกว่าการอบหรือละลายชีส ในช่วงฤดูร้อน ชาวไซปรัสจะนิยมกินชีสฮาลูมีกับแตงโมเพื่อคลายร้อนกันค่ะ

อาหารยุโรป : ชีสฮาลูมี (HALLOUMI CHEESE) ประเทศไซปรัส

8. ขนมอบเพรทเซิล (PRETZELS) ประเทศเยอรมัน

ขนมเพรทเซิลถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยุคกลางของยุโรป และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในประเทศเยอรมัน ทุกวันนี้ ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เยอรมัน ให้ลองสังเกตตามร้านขนม ร้านอาหาร หรือเบียร์ฮอลล์ จะพบว่าเต็มไปด้วยขนมเพรทเซิลที่เสริฟ์พร้อมกับท้อปปิ้งต่าง ๆ ตั้งแต่แฮมและชีส ไปจนถึงเมล็ดฟักทอง หลาย ๆ คน ไปเที่ยวเยอรมันมักคิดถึงไส้กรอกและเบียร์ แต่ขนมเพรทเซิลก็ถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ

อาหารยุโรป : ขนมอบเพรทเซิล (PRETZELS) ประเทศเยอรมัน

9. ไจรอส (GYROS) ประเทศกรีซ

ไจรอสอาหารประจำชาติเลืองชื่อของชาวกรีซ พบเห็นได้ตามร้านข้างทางทั่วไป ลักษณะของไจรอสจะคล้ายๆกับเคบับ แต่จะม้วนด้วยขนมปังเรียบ ไส้ข้างในขนมปัง จะมีทั้งหมู ไก่ เนื้อวัวและเนื้อแพะ พร้อมใส่เครื่องเคียงอาทิ มะเขือเทศ หัวหอม และที่ขาดไม่ได้ก็คือซอสซัดซีจี (Tzatziki) ซึ่งทำจากโยเกิร์ตและผักต่าง ๆ ใครเบื่อ สตรีทฟู้ดไทยแล้ว อยากลองสตรีทฟู้ดแบบยุโรปบ้าง ต้องลองทานไจรอสเลยค่ะ

อาหารยุโรป : ไจรอส (GYROS) ประเทศกรีซ

10. กูลาช (GOULASH) ของประเทศฮังการี

กูลาชเป็นซุปสตูว์สไตล์โฮมเมด แม่บ้านในอดีตนิยมเคี่ยวหม้อโต ๆ เพื่อเก็บไว้รับประทานหลายวัน ซึ่งเมื่อถึงวันท้าย ๆ เนื้อในซุปแทบจะละลายในปากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่กูลาซปรุงด้วยสัตว์อย่างเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อแกะ โดยเริ่มจากการหั่นเนื้อเป็นลูกเต๋านำไปคลุกเคล้ากับเกลือจากนั้นนำไปทอดกับหอมใหญ่เคี่ยวไฟอ่อน ๆ คลุกเคล้ากับเครื่องเทศและเติมน้ำซุปลงไปเคี่ยวไฟอ่อน จากนั้นปรุงรสเผ็ดด้วยปาปริก้าทั้งแบบสดและแบบป่นแล้วแต่สูตรเพิ่มความหอมมันด้วยครีม กูลาซรสเข้มข้นนิยมรับประทานคู่กับพาสต้า หากไปถึงฮังการีแล้วต้องสั่งมาชิมด่วน

อาหารยุโรป : กูลาช (GOULASH) ของประเทศฮังการี

11. สเกียร์ (SKYR) ประเทศไอซ์แลนด์

สเกียร์เป็นขนมหวานยอดฮิตของชาวไอซ์แลนด์ หลาย ๆ คนเมื่อได้ลองชิมแล้ว จะเข้าใจผิดว่าสเกียร์เป็นโยเกิร์ต เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาและรสชาติคล้ายกับโยเกิร์ตมาก แต่แท้ที่จริงแล้วสเกียร์ทำมาจากชีสค่ะ สเกียร์เป็นขนมหวาน (หรืออาหารเช้า) ที่จะเสิร์ฟพร้อมนมและโรยด้วยท้อปปิ้งหลากหลายชนิด เช่น ขนมและผลไม้

อาหารยุโรป : สเกียร์ (SKYR) ประเทศไอซ์แลนด์

12. ไอริชสตูว์ (IRISH STEW) ประเทศไอร์แลนด์

ถึงแม้ว่าประเทศไอร์แลนด์จะมีชื่อเสียงด้านการเสิร์ฟมันฝรั่งบนมื้ออาหารเป็นหลัก แต่อาหารที่ขึ้นชื่อของชาวไอริชก็คือสตูว์ ซึ่งเป็นซุปที่ประกอบด้วยชิ้นเนื้อแกะ มันฝรั่งหัวหอมและผักชีฝรั่ง และบางครั้งอาจใส่เนย Guinness ลงไปด้วย อย่างไรก็ตามสตูว์ของชาวไอริชได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรจากเดิม เมื่อชาวไอริชจำนวนมากอพยพไปประเทศสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 19 และไม่สามารถหาเนื้อแกะมาใส่ได้ จึงแทนที่ด้วยเนื้อวัว และส่วนผสมอื่น ๆ ถ้าจะสั่งไอริชสตูว์แล้ว ก็อย่าลืมเช็กให้แน่ใจนะคะว่าเป็นแบบดั้งเดิมหรือเปล่า

อาหารยุโรป : ไอริชสตูว์ (IRISH STEW) ประเทศไอร์แลนด์

13. เกี๊ยวเซปเปลินาย (CEPELINAI) ประเทศลิธัวเนีย

เซปเปลินายคือเกี๊ยวชิ้นใหญ่รูปทรงคล้ายไข่ที่ทำจากมันฝรั่งดิบขูดและมันฝรั่งต้ม และมีไส้ในเป็นเนื้อบด เห็ดและลิ่มน้ำนม เซปเปลินายจะเสิร์ฟคู่พร้อมกับซอสครีมเปรี้ยวและเบคอนทอด เซปเปลินายเป็นชื่อของเรือเหาะ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปร่างทรงไข่ ชาวลิธัวเนียจึงเรียกเกี๊ยวชนิดนี้ตามว่า เซปเปลินาย

อาหารยุโรป : เกี๊ยวเซปเปลินาย (CEPELINAI) ประเทศลิธัวเนีย

14. สโตรปวาฟเฟิล (STROOPWAFEL) ประเทศเนเธอร์แลนด์

สโตรปวาฟเฟิลของเนเธอร์แลนด์ค่อนข้างแตกต่างจากวาฟเฟิลของเบลเยี่ยมพอสมควร เพราะวาฟเฟิลที่นี่จะเป็นวาฟเฟิลที่เหมือนแซนวิช มีน้ำเชื่อมคาราเมลเป็นไส้ตรงกลางบาง ๆ นำวาฟเฟิล 2 ชิ้นประกับเข้าด้วยกัน พร้อมใส่ท้อปปิ้งอย่างน้ำผึ้ง ผลเบอร์รี่และช็อกโกแลต สโตรปวาฟเฟิลมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ขนมรังผึ้ง เพราะรูปร่างภายนอกที่คล้ายรังผึ้ง คนเนเธอแลนด์มักจะทานสโตรปวาฟเฟิล พร้อมด้วยชาร้อน ๆ ก่อนที่จะเริ่มมื้ออาหารเช้า

อาหารยุโรป : สโตรปวาฟเฟิล (STROOPWAFEL) ประเทศเนเธอร์แลนด์

15. เกี๊ยวครึ่งวงกลม (PIEROGI) ประเทศโปแลนด์

Pierogi หรือเกี๊ยวขนาดครึ่งวงกลมที่ทำจากเส้นโด เป็นอาหารประจำชาติของชาวโปแลนด์ โดยปกติแล้ว Pierogi จะยัดไส้ด้วยนมสด มันฝรั่งต้มและหัวหอมทอด นอกจากนี้ยังสามารถใส่กระหล่ำปลีเปรี้ยว เนื้อบด และชีสเข้าไปในไส้ได้อีกด้วย ถ้าใครอยากไปลองชิม Pierogi แนะนำให้ไปช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี เพราะจะมีเทศกาล Pierogi ซึ่งชาวโปแลนด์จะมาออกร้านขาย Pierogi กันอย่างครึกครื้น

อาหารยุโรป : เกี๊ยวครึ่งวงกลม (PIEROGI) ประเทศโปแลนด์

16. ทาร์ตไข่โปรตุเกส (PASTEIS DE NATA)

หลาย ๆ คนคงเคยลองทานทาร์ตไข่กันแล้ว แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าทาร์ตไข่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโปรตุเกส ทาร์ตไข่ หรือที่ชาวโปรตุเกสเรียกว่า Pastel de nata ทำมาจากแป้งกรุเป็นขอบแล้วเทไข่ผสมน้ำตาลหยอดในตัวขนม จากนั้นจึงนำไปอบอีกที ทาร์ตไข่มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 19 จากโบสถ์คาทอลิกในเมืองลิสบอน เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี บาทหลวงจึงได้คิดค้นเมนูทาร์ตไข่ขึ้นมาเพื่อขายให้แก่ชาวเมือง และหารายได้เข้าโบสถ์ ถ้ามาถึงโปรตุเกสแล้ว ไม่ได้ลองทานทาร์ตไข่เท่ากับมาไม่ถึงนะคะ ^^

อาหารยุโรป : ทาร์ตไข่โปรตุเกส (PASTEIS DE NATA)

17. กะหล่ำปลีห่อ (CABBAGE ROLLS) ประเทศโรมาเนีย

กะหล่ำปลีห่อเรียกในภาษาโรมาเนียว่า “Sarmale” ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นประจำชาติของชาวโรมาเนีย ถ้าไปเที่ยวที่โรมาเนียแล้ว จะพบเห็นได้ทั่วไปตามภัตตาคารและร้านข้างทาง กะหล่ำปลีห่อไส้ในจะประกอบไปด้วยชิ้นเนื้อ ข้าว เครื่องเทศ และห่อด้วยใบกะหล่ำปลี นำไปต้มในน้ำซอสสูตรพิเศษหลายชั่วโมง เพื่อให้กะหล่ำปลีนุ่มและน่ารับประทานยิ่งขึ้นค่ะ

อาหารยุโรป : กะหล่ำปลีห่อ (CABBAGE ROLLS) ประเทศโรมาเนีย

18. ปาเอญ่า (PAELLA) ประเทศสเปน

ปาเอญ่า อาหารประจำชาติของชาวสเปน คือข้าวผัดหรือข้าวอบสไตล์สเปนที่ใช้ข้าวสารดิบ ๆ ปรุง โดยเมล็ดข้าวที่ใช้ในการปรุงจะมีลักษณะเป็นเม็ดอ้วนป้อม ๆ คล้ายกับข้าวญี่ปุ่นอยู่สักหน่อย นิยมใส่เนื้อไก่และซีฟู้ดอย่างกุ้ง หอย ปลาหมึก โดยเริ่มจากผัดเนื้อสัตว์กับเครื่องเทศจากนั้นปรุงข้าวกับน้ำซุปต้มกระดูกจนได้ที่แล้วตกแต่งหน้าด้วยกุ้งและหอยตัวอ้วน ๆ น่ารับประทาน ข้าวผัดสเปนจะมีเนื้อสัมผัสกรุบ ๆ ไม่เหมือนกับข้าวผัดที่ใช้ข้าวปรุงสุก

อาหารยุโรป : ปาเอญ่า (PAELLA) ประเทศสเปน

19. ซุปบัลกาเรีย (SOUP) ประเทศบัลกาเรีย

ซุปเป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันของคนบัลกาเรีย แต่ “ซุป” ของบัลกาเรีย อาจไม่เหมือนที่ไทยเท่าไหร่นะคะ เพราะเราอาจคุ้นชินกับซุปน้ำใสที่ผ่านการเคี่ยวเป็นเวลานาน แต่ที่บัลกาเรีย ซุปจะทำจากส่วนผสมของโยเกิร์ตเป็นหลัก ใส่แตงกวา กระเทียม ผักชี และวอลนัทเข้าไป ถ้าอยากรู้ว่าซุปที่ทำจากโยเกิร์ตจะเป็นอย่างไร ไปบัลแกเรียแล้ว ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยค่ะ

อาหารยุโรป : ซุปบัลกาเรีย (SOUP) ประเทศบัลกาเรีย

20. ฟองดูต์ (FONDUE) ประเทศสวิซเซอร์แลนด์

ถ้าพูดถึงประเทศสวิซเซอร์แลนด์แล้ว ชีสสวิสต้องเป็นอาหารอย่างแรกที่จะนึกถึงแน่ๆ เพราะที่นี่ มีชีสให้เลือกรับประทานมากมายหลากหลายชนิด ฟองดูต์คือการตั้งหม้อที่มีไฟร้อน ๆ แล้วนำชีสมาละลายลงไปในหม้อ จากนั้นนำขนมปังและเนื้อสัตว์จุ่มลงไป ซึ่งฟองดูต์ถือเป็นอาหารประจำชาติของชาวสวิสเลยก็ว่าได้ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ฟองดูต์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ความสามัคคีของชาวสวิสอีกด้วยค่ะ

อาหารยุโรป : ฟองดูต์ (FONDUE) ประเทศสวิซเซอร์แลนด์

เป็นไงบ้างค่ะ กับ 20 เมนูอาหารจานเด็ดของแต่ละประเทศในทวีปยุโรป อ่านเสร็จแล้ว หิวข้าวเลยใช่ไหมค่ะ เมนูอาหารประจำชาติที่เราพาไปดูในครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติความอร่อยเท่านั้นนะคะ แต่ยังแฝงไปด้วยวัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศอย่างช้านาน การไปลิ้มรสชาติและสัมผัสอาหารประจำชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เราเข้าใจ และเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ได้เร็วยิ่งขึ้นค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : The Best Traditional Food in 30 European Countries

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

ขับรถท่องยุโรป: 5 เส้นทาง ROAD TRIP ในฝัน

ความงดงามของการเดินทาง ไม่ได้รออยู่ที่จุดหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถพบเจอสิ่งสวยงาม คุณค่าของสถานที่และผู้คน วัฒนธรรม และธรรมชาติ รวมถึงประสบการณ์แปลกใหม่ที่หาที่ไหนไม่ได้ในระหว่างการเดินทาง การขับรถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด Allianz Travel จึงขอพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จัก 5 เส้นทาง Road Trip ในประเทศยุโรป ที่บอกเลยว่า ต้องลองไปสัมผัสสักครั้งในชีวิตๆ

1.THE FLOWER ROUTE, NETHERLANDS

The Flower Route หรือที่รู้จักกันในชื่อ Bollenstreek Route เป็นเส้นทาง Road Trip ที่มีความยาวประมาณ 70 กิโลเมตร เริ่มจากจุดเหนือสุดของถนนที่ Harlem และขับรถลงทางใต้ไปยังเมือง Leiden เส้นทาง Road Trip นี้ เหมาะแก่การขับท่องเที่ยวชมความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์ในช่วงเดือนมกราคม เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้กำลังจะผลิบานทั้งดอกแดฟโฟดิล. นาร์ซิซัส, ไฮยาซินธ์ ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมที่ดอกทิวลิปจะผลิบาน เพียงขับรถผ่านถนน Bollenstreek ก็จะเห็นวิวทิวทัศน์สองข้างทางถนนที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีและกังหันลม แค่ขับผ่านก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้มาเนเธอแลนด์แล้วค่ะ

2.CAUSEWAY COASTAL, NORTHERN IRELAND

มาต่อกันที่เส้นทาง Road Trip ที่สอง กับเส้นทาง Causeway Coastal ประเทศไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความยาวประมาณ 321 กิโลเมตร เริ่มต้นจากเมือง Belfast ไปจบที่เมือง Derry-Londonderry ตลอดสองข้างทาง จะผ่านสถานที่สำคัญหรือจุดชมวิวกว่า 24 แห่ง ทั้งชายหาดอันสวยงาม ปราสาทเก่าแก่ตั้งแต่ยุคกลาง และอุทยานป่าไม้ ทั้ง 24 แห่งที่ขับผ่านระหว่างทางนี้ สาวก Game of Thrones ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะส่วนใหญ่แล้ว เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ Game of Thrones อาทิ The Dark Hedges, ชายหาด Cushendun, ท่าเรือ Ballintoy เป็นต้น ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศยุโรปเหนือแบบยุคกลาง พร้อมกลิ่นอายธรรมชาติชายทะเล รับรองว่าเส้นทางนี้ตอบโจทย์แน่นอนค่ะ

3.THE RING ROAD, ICELAND

เส้นทาง 1,332 กิโลเมตรรอบเกาะไอซ์แลนด์ บอกได้คำเดียวเลยว่า ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต! เพราะเส้นทางกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรนี้ เต็มไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของธรรมชาติ ทั้งหิมะ ภูเขาน้ำแข็ง น้ำตก ทะเลสาบ ที่สลับกันไปให้เห็นอยู่สองข้างทาง และไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ ก็คือการขับรถชมแสงเหนือในฤดูหนาว ซึ่งสวยงาม ตระการตรามาก สถานที่สองข้างทางที่ต้องแวะชมให้ได้ อาทิ น้ำตก Skogafoss, ชายหาดสีดำ Reynisfjara, อุทยาน Skaftafell เป็นต้น เส้นทาง The Ring Road เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างทรหด มีถนนเพียงสองเลนเท่านั้น ถ้าไปขับฤดูหนาว (ตุลาคม-พฤษภาคม) ต้องเผื่อเวลาอย่างน้อยสองอาทิตย์ เพราะอาจเจอพายุหิมะ และต้องพักแคมปิ้ง 1-2 วัน เพื่อรอพายุสงบ ที่สำคัญ รถที่ใช้ขับก็ควรเป็นรถโฟร์วีลแบบสมบึกสมบันเท่านั้น

4.AMALFI COAST ROUTE, ITALY

Amalfi Coast Route เป็นเส้นทางลัดเลาะเลียบชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี เริ่มต้นที่เมือง Salerno ขับเลาะชายฝั่งขึ้นเหนือ ผ่านเมือง Ravello-Amalfi-Sorrento ไปจนถึงเมือง Naples เป็นอันจบเส้นทางนี้ นอกจากเส้นทางนี้จะมีชื่อเสียงจากความงามของวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่เป็นทะเลแล้ว ตลอดเมืองที่ผ่าน ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจให้แวะเวียนไปชมไม่น้อย อาทิ Villa d’Este ที่เมือง Tivoli, และภูเขา Vesuvius ที่เมือง Sorrento เป็นต้น

5.GROSSGLOCKNER HIGH ALPINE ROAD, AUSTRIA

Grossglockner เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในออสเตรีย การขับรถผ่านเส้น Grossglockner High Alpine จึงเป็นการขับรถผ่านยอดเขาที่สูงถึง 3,798 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมีความยาวของถนน 48 กิโลเมตร ความสวยงามของถนนเส้นนี้ ไมได้อยู่เพียงแค่การขับบนยอดเขาและมองวิวทิวทัศน์ลงมาข้างล่างเท่านั้น แต่ระหว่างทางที่ขับขึ้นไป ก็จะพบความสวยงามของธรรมชาติมากมาย ทั้งทุ่งดอกไม้สีสันสดใส ลำธารและธารน้ำแข็งขนาดใหญ่และขุนเขาที่โอบล้อมถนน นับว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางสุดโรแมนติกของยุโรปที่คนมีคู่ห้ามพลาดเลยค่ะ

การขับรถไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ หรือที่เราเรียกกันว่า Road Trip นี้ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่สิ่งที่เราได้พบเห็นระหว่างทาง รับรองว่า 5 เส้นทาง Road Trip ในประเทศยุโรป จะทำให้ท่านผู้อ่านพบเจอประสบการณ์แปลกใหม่ ที่ไม่มีวันลืมแน่นอนค่ะ


การขับรถไปในเส้นทางที่เราไม่คุ้นชิน หรือตามเส้นทางทรหดต่าง ๆ ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยและอุบัติเหตุไม่คาดคิดเป็นอย่างยิ่ง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยที่อาจเกิดจากอากาศ อาหารการกิน หรือกับรถที่เช่ามา จะทำให้เราต้องเสียเงินออกจากกระเป๋าเราเองโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการเตรียมพร้อมที่ดีและมีประกันภัยที่ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ย่อมดีกว่า เช่น ความคุ้มครองประกันภัยการเดินทางโดย Allianz Travel ที่มอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมถึงเรื่องความเจ็บป่วยและความช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมถึงการชดเชยความรับผิดชอบส่วนแรกสำหรับรถเช่ากรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพื่อช่วยผ่อนหนักเป็นเบา และลดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิด เพื่อให้คุณได้เดินทางท่องเที่ยวอย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลให้ทริปหมดสนุก

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

6 ประเทศยุโรปค่าเรียนถูก สำหรับคนอยากศึกษาต่อต่างประเทศ

การศึกษาต่อต่างประเทศนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับหลาย ๆ คนที่อยากหาความรู้เพิ่มเติม หรือต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ปัจจุบันประเทศที่คนไทยนิยมไปเรียนต่อมีทั้งยุโรป อเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบางประเทศ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนหลายหลัก แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่คิดค่าเทอมต่อปีสำหรับนักศึกษาต่างชาติในราคาที่ไม่แพงมากนัก และบางประเทศอาจไม่ถึงหลักแสนด้วยซ้ำ วันนี้ Allianz Travel จึงขอพาผู้อ่านไปทำความรู้จัก 6 ประเทศยุโรปที่มีค่าเรียนในราคาที่ไม่สูงนัก เหมาะสำหรับคนงบน้อยที่อยากไปเรียนต่อ

1.GERMANY

ค่าเทอมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ : ประมาณ 150,000 บาทต่อปี

มหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยม : University of Munich, University of Bonn, University of Mannheim, Wismar University

เยอรมนี ถือเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่ได้รับความนิยมจากนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนต่อจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าเทอมของมหาวิทยาลัยในเยอรมนีมีราคาไม่แพงมาก เพียงปีละประมาณ 100,000 – 200,000 บาทเท่านั้น (ก่อนปี 2017 ค่าเทอมฟรี) ที่สำคัญ ประเทศเยอรมนีมีมหาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย ซึ่งล้วนดึงดูดให้นักศึกษาต่างชาติอยากมาเรียนต่อ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เยอรมนีจะเป็นประเทศที่ค่าเล่าเรียนถูก แต่ค่าครองชีพยังค่อนข้างสูง โดยประมาณอยู่ที่ 350,000 บาทต่อปี

2.FRANCE

ค่าเทอมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ : ประมาณ 120,000 ต่อปี

มหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยม : École Polytechnique, Sorbonne University, École Normale Supérieure de Lyon, Sciences Po Paris

นอกเหนือไปจากวัฒนธรรม ผู้คนและสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ประเทศฝรั่งเศสถือเป็นแหล่งบ่มเพาะนักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์ และผู้มีชื่อเสียงมากมาย อีกทั้ง Sorbonne University ก็นับเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปอีกด้วย

ปัจจุบันนักศึกษาต่างชาติเริ่มหันมาให้ความสนใจศึกษาต่อประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น เนื่องจากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยและค่าเทอมการศึกษาที่ถูก (บางที่ฟรี!) ซึ่งเป็นแรงดึงดูดชั้นดีให้นักศึกษาเดินทางมาเรียนต่อที่นี่ โดยค่าเทอมอยู่ที่เพียง 120,000 บาทต่อปีเท่านั้น และบางสถานศึกษาอยู่ที่เพียง 7,000 – 10,000 บาทต่อปี ขณะที่ค่าครองชีพตลอดปี ตกอยู่ที่ราว 350,000 บาทต่อปี

3.FINLAND

ค่าเทอมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ : ประมาณ 200,000 ต่อปี (ฟรีสำหรับนักศึกษาประเทศในกลุ่ม EU)

มหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยม : Tampere University, University of Oulu, University of Jyväskylä, Arcada University of Applied Sciences, University of Helsinki

ฟินแลนด์ ประเทศทางกลุ่มสแกนดิเนเวียที่มีความสวยงามทั้งทางสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้ ฟินแลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ค่าเทอมการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติไม่แพง อยู่ที่ประมาณ 250,000 บาทต่อปีเท่านั้น และฟินแลนด์เองก็มีทุนการศึกษาสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติมากมาย และค่าครองชีพที่ฟินแลนด์ค่อนข้างแพง ตกอยู่ที่ราว 420,000 บาทต่อปี

4.HUNGARY

ค่าเทอมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ : ประมาณ 70,000 ต่อปี (ฟรีสำหรับนักศึกษาประเทศในกลุ่ม EU)

มหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยม : Budapest University of Economic Sciences, Central European University, University of Szeged, Eötvös Loránd University

ฮังการี ประเทศที่มีกลิ่นอายยุโรปแบบย้อนยุค ทั้งทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และอาคารบ้านเรือน นักศึกษาต่างชาตินิยมมาศึกษาต่อที่ประเทศฮังการี ไม่เพียงเพราะหลงเสน่ห์ “Old Europe” เท่านั้น แต่เพราะค่าครองชีพและค่าเทอมที่แสนถูก ทำให้ฮังการีเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลาย ๆ คน โดยที่ค่าเทอมการศึกษาเพียง 35,000 – 70,000 บาทต่อปี และค่าครองชีพตกเพียงเดือนละ ราว 17,500 ปีเท่านั้น (ประมาณ 210,000 บาทต่อปี) สำหรับใครที่มีงบไม่มาก และอยากเรียนต่อต่างประเทศ ฮังการีถือเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เลยค่ะ

5.AUSTRIA

ค่าเทอมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ : ประมาณ 30,000 – 50,000 บาทต่อปี

มหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยม : University of Vienna, Vienna University of Technology, Graz University of Technology, University of Innsbruck

ออสเตรีย ดินแดนแห่งธรรมชาติ โอบล้อมด้วยขุนเขาและทะเลสาบอันแสนโรแมนติก ที่นี่ถือเป็นจุดมุ่งหมายอันดับต้น ๆ ของนักศึกษาต่างชาติ เพราะเพียงแค่มีเงินหลักหมื่น ก็สามารถเข้าเรียนที่นี้ได้แล้ว และเมื่อเทียบกับประเทศยุโรปอื่น ๆ ก็ถือว่าค่าเทอมถูกมาก ๆ เพียงแค่เทอมละ 10,000 – 30,000 บาท เท่านั้น (ถูกว่าค่าเทอมที่ไทยอีก!) และค่าครองชีพของออสเตรียอยู่ที่ราว 420,000 บาทต่อปี

6.SPAIN

ค่าเทอมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ : ประมาณ 70,000 บาทต่อปี

มหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยม : Pompeu Fabra University, University of Barcelona, Autonomous University of Madrid, University of Navarra

สเปน ประเทศในฝันของใครหลาย ๆ คนที่อยากมาสัมผัสสถาปัตยกรรมโบราณและศิลปวัฒนธรรม แต่อาจไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักในหมู่นักศึกษาที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะคิดว่าค่าเทอมต้องแพงแน่ ๆ แต่ที่จริงแล้ว ค่าเทอมของมหาวิทยาลัยรัฐในสเปนถูกมาก เพียงปีละ 50,000 -70,000 บาทเท่านั้น และมหาวิทยาลัยในสเปนเอง หลาย ๆ มหาวิทยาลัยก็มีชื่อเสียงระดับโลก ถ้าใครยังลังเล หรือไม่รู้จะไปเรียนที่ไหนดี สเปนก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ

การเรียนต่อต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากเสมอไป ถ้าเราเลือกประเทศและมหาวิทยาลัยให้ถูก ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้จำนวนมาก ทั้ง 6 ประเทศยุโรปที่แนะนำวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนงบน้อยที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ

และสำหรับใครที่กำลังจะไปเรียนต่อ หลาย ๆ มหาวิทยาลัยจะแนะนำหรือบังคับให้เราทำประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศไปด้วย สาเหตุที่ต้องทำก็เพราะว่าเมื่อเจ็บป่วย และเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว ค่ารักษาพยาบาลแพงเอาเรื่องเลยค่ะ แผนประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care ของ Allianz Travel ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยคุ้มครองครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ที่ทำให้เรามั่นใจ ไร้กังวล มีความสุขกับการเรียนได้อย่างเต็มที่แล้วค่ะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เที่ยวประเทศยุโรป ฉบับคนงบน้อย

เที่ยวประเทศยุโรปฉบับคนงบน้อย (งบไม่เกิน 30,000 – 50,000 บาท)

“ทวีปยุโรป” เป็นทวีปยอดฮิตในฝันของใครหลาย ๆ คน ที่อยากไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต เพราะเต็มไปด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ผู้คน วัฒนธรรม อาหาร และสิ่งบันเทิงต่าง ๆ ที่รอให้ผู้คนได้ไปสัมผัส ท่องเที่ยว และซึมซับบรรยากาศเหล่านั้น แต่บางคนอาจส่ายหน้าหนีเมื่อนึกถึงการเดินทางไปยุโรป เพราะคิดว่าต้องมีเงินอย่างน้อยหลักแสน ทั้งๆ ที่หลายประเทศในยุโรป แค่ใช้งบเพียง 30,000 ถึง 50,000 บาท ก็เที่ยวได้แล้วค่ะ บทความนี้ Allianz Travel จึงขอพาผู้อ่านไปเที่ยว 6 ประเทศในยุโรปฉบับคนงบน้อยกัน จะมีประเทศไหนบ้าง และต้องเตรียมค่าใช้จ่ายกันเท่าไหร่ ไปดูกันค่ะ

1. ตุรกี

ประเทศตุรกีเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินทั้งสองทวีปคือยุโรปและเอเชีย มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน คนตุรกีส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้น สถาปัตยกรรม วัฒนธรรมและประเพณี จึงถูกสร้างและแวดล้อมด้วยศาสนาอิสลาม สำหรับการไปเที่ยวตุรกี มีงบเพียง 30,000 บาท ก็สามารถไปเที่ยวได้แล้ว โดยแบ่งค่าใช้จ่ายตามนี้

งบประมาณ : 30,000 บาท

ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ : 15,000 – 18,000 บาท

ค่าวีซ่า : ไม่ต้องขอวีซ่า

ค่าที่พักและค่าอาหาร : ค่าที่พักเริ่มต้น 500 บาท/คืน (สำหรับโฮสเทล) ค่าอาหาร 200 – 300 บาทต่อมื้อ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ประมาณ 3,000 – 5,000 บาท อาทิ ค่าซื้อประกันภัยการเดินทาง ค่ารถบัสข้ามเมือง ค่ารถเมโทร ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กับว่าไปกี่สถานที่)

สถานที่แนะนำ:

  • สุเหร่าโซเฟีย เมืองอิสตันบูล – ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหศัจรรย์ของโลกยุคกลาง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 360 จุดเด่นคือมีโดมขนาดใหญ่กลางวิหารอายุกว่า 1,500 ปี
  • มัสยิดสีน้ำเงิน เมืองอิสตันบูล – สร้างขึ้นปี ค.ศ. 1606-1615 ข้างในมีการตกแต่งออกแบบภายในด้วยกระเบื้องอิซนิค บนกำแพงชั้นในสีฟ้าสดใสเป็นลายดอกไม้ ทั้งอาคาร มีหอมินาเร็ตหรือหอสวดมนต์ 7 หอ การจัดวางพื้นที่ของอาคารต่างๆ ถูกจัดวางเป็นรูปตัวยูได้อย่างสวยงาม
  • อุทยานแห่งชาติปามุคคาเล่ – สถานที่ยอดฮิตที่มี “บ่อน้ำพุร้อน” หรือแหล่งน้ำพุทางธรรมชาติเป็นจุดเด่น ชื่นชมกับทัศนียภาพของบ่อน้ำพุร้อนที่สวยงามจากการสะสมจนเกิดเป็นภูเขาเกลือขนาดใหญ่
  • พระราชวังทอปกาปี – สร้างขึ้นโดยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ใช้เป็นที่ประทับของสุลต่านหลายพระองค์ต่อเนื่องกันหลายทศวรรษ ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่าของสุลต่านองค์ต่าง ๆ รวมทั้งวัตถุโบราณอื่น ๆ อาทิเครื่องกระเบื้องของจีนกับญี่ปุ่นกว่า 12,000 ชิ้น
  • เมืองคัปปาโดเชีย – ทัวร์บอลลูนชมเมือง เที่ยวนครใต้ดิน ทัวร์พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ ต้องบอกว่ามาตุรกีแล้ว ห้ามพลาดมาเยือนคัปปาโดเชียเด็ดขาด เพราะนี้คือเมืองยอดฮิตที่มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก
ตุรกี
Hot air balloon flying over rock landscape at Cappadocia Turkey

2. รัสเซีย

สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่อยากไปเที่ยวรัสเซีย ข่าวดีคือไม่ต้องทำวีซ่า ก็สามารถเที่ยวได้ถึง 30 วัน รัสเซียเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น วัฒนธรรมหลากหลาย สภาพอากาศก็เหมาะแก่การเที่ยว ไปเที่ยวรัสเซียใครว่าแพง แค่ 30,000 บาท ก็พอแล้วค่ะ

งบประมาณ : 30,000 บาท

ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ : 15,000 – 18,000 บาท

ค่าวีซ่า : ไม่ต้องขอวีซ่า

ค่าที่พักและค่าอาหาร : ค่าที่พักเริ่มต้น 400 บาท/คืน (ราคาโฮสเทล) ค่าอาหารเฉลี่ย 200 บาทต่อมื้อ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ประมาณ 3,000 – 5,000 บาท อาทิ ค่าซื้อประกันภัยการเดินทาง ค่ารถบัสข้ามเมือง ค่ารถเมโทร และค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ (ขึ้นอยู่กับว่าไปกี่สถานที่)

สถานที่แนะนำ:

  • พระราชวังแคทเธอรีน เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก – หนึ่งในพระราชวังที่ห้ามพลาด ภายในพระราชวังมีห้องต่าง ๆ ให้ชมนับร้อย โดยเฉพาะห้องอำพัน ที่ถือว่าแป็นสุดยอดงานศิลป์ศตวรรษที่ 18 สร้างโดยช่างเยอรมัน ถวายให้แก่กษัตริย์ฟรีดริชที่ 1 แห่งปรัสเซีย
  • พระราชวังเครมลิน กรุงมอสโคว์ – มีอายุยืนยาวกว่า 850 ปี ตั้งอยู่บนเนินสูง ริมแม่น้ำมอสโคว์ ตัวพระราชวังถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดง ภายในมีพิพิธภัณฑ์อาร์เมอร์รี่ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดของรัสเซีย ภายในจะมีการเก็บวัตถุโบราณและสมบัติของกษัตริย์รัสเซียไว้มากมาย อาทิ เครื่องเพชร ทองคำ และชุดฉลองพระองค์ เป็นต้น
  • มหาวิหารเซนต์เดอะซาเวียร์ กรุงมอสโคว์ – เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียตั้งอยู่ใจกลางเมืองติดกับแม่น้ำมอสโคว์ รอบ ๆ วิหารจะมีภาพล่อโลหะเป็นรูปนักรบโบราณกับกษัตริย์ที่มีความสวยงามเสมือนจริง มหาวิหารนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1990 หลังจากได้ทุบของเดิมทิ้ง
  • มหาวิหารเซนต์บาซิล กรุงมอสโคว์ – ถือเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวมากที่สุด มหาวิหารเซนต์บาซิลเป็นสถาปัตยกรรมศิลปะแบบรัสเซียโบราณ ประกอบด้วยยอดโดม 9 ยอด ใครมาเที่ยวกรุงมอสโคว์ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะแค่มองโดมทั้ง 9 ยอด ก็จะเห็นถึงความงดงามและอลังการของสถาปัตยกรรมชิ้นนี้แล้ว
  • ทะเลสาบไบคาล – เป็นทะเลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของไซบีเรีย ช่วงหน้าหนาวทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด นักท่องเที่ยวนิยมขับรถเข้าไปถ่ายรูปที่เกาะ Olhkon ความสวยงามของทะเลสาบไบคาล อยู่ที่ปรากฏการณ์น้ำแข็งงอก น้ำแข็งย้อย ที่เกิดขึ้นในบริเวณถ้ำต่าง ๆ บริเวณรอบทะเลสาบ ดูแปลกตาและงดงามอย่างยิ่ง
รัสเซีย
Sunny autumn morning at St. Basil’s Cathedral on Red Square

3. อิตาลี

อิตาลี ประเทศในฝันของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน ที่เต็มไปความงดงามและความอลังการของศิลปะ ประติมากรรม อาคารโบราณ วิหาร และสถาปัตยกรรมอื่น ๆ ซึ่งบางอย่างมีอายุยาวนานมากกว่าพันปี อิตาลีมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เยอะมาก กระจายตัวอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ถ้าใครไปเที่ยวแล้ว ก็ควรเก็บที่เที่ยวเหล่านี้ให้ครบนะคะ

งบประมาณ : 50,000 บาท

ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ : 16,000 – 20,000 บาท

ค่าวีซ่าเชงเก้น : ประมาณ 2,500 – 3,500 บาท

ค่าที่พักและค่าอาหาร : ค่าที่พักเริ่มต้น 800 บาท/คืน (ราคาโฮสเทล) ค่าอ่าหารเฉลี่ย 400 บาทต่อมื้อ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ประมาณ 5,000 – 7,000 บาท อาทิ ค่าซื้อประกันเดินทาง ค่ารถบัสข้ามเมือง ค่ารถเมโทร ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กับว่าไปกี่สถานที่)

สถานที่แนะนำ:

  • Leaning Tower of Pisa – สถานที่ยอดฮิตที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวอิตาลีก็ต้องมาถ่ายรูปทำท่าดันหอเอนปิซ่า เพราะหอเอนปิซ่า เป็นหอที่เอียงออกจาแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ไม่ล้ม และหอนี้ก็สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1173 และยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
  • Colosseum – หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 72 โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ใหญ่โตมโหฬาร สามารถจุคนได้ถึง 80,000 คน ถ้าใครอยากชมความยิ่งใหญ่อลังการของสถาปัตยกรรมโบราณ ห้ามพลาดที่นี่เลยค่ะ
  • St Peter’s Basilica – มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ตั้งอยู่ในเขตนครรัฐวาติกัน เป็นผลงานออกแบบของ ไมเคิล แองเจโล สถาปนิกเลื่องชื่อในอดีต มหาวิหารนี้ถือเป็นศูนย์รวมใจหลักของคริสตชนและเป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และอลังการที่สุดในรัฐวาติกันและอิตาลี
  • Venice Grand Canal – การล่องเรือชมเมืองเวนิสเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะตลอดสองข้างทาง จะพบกับบ้านเรือนสวย ๆ สถานที่เที่ยวระดับโลก พระราชวัง และโบสถ์ที่เรียงรายอยู่ริมฝั่งคลอง
  • Pantheon – มหาวิหารแพนธีออนมีอายุกว่า 2,000 ปี แรกเริ่มสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเทวสถานสำหรับเทพต่าง ๆ ในสมัยโรมันโบราณ โดยมหาวิหารแพนธีออนถือเป็นสถาปัตยกรรมจากสมัยโรมันที่คงสภาพสมบูรณ์ที่สุดในอิตาลี
อิตาลี
Grand Canal and Basilica Santa Maria della Salute in Venice

4. ออสเตรีย

ออสเตรีย ดินแดนสุดโรแมนติกที่รายล้อมไปด้วยขุนเขาและทะเลสาบ ออสเตรียจึงเป็นประเทศที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากไปสัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มปอด แต่ก็ใช่ว่าออสเตรียจะมีเพียงแค่ธรรมชาติเท่านั้น เพราะอาคารเก่าแก่และสถาปัตยกรรมอันงดงามก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลต์ของที่นี้เหมือนกัน เพียงแค่เดินชมเมืองก็จะหลงรักออสเตรียแล้วค่ะ

งบประมาณ : 50,000 บาท

ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ : 17,000 – 19,000 บาท

ค่าวีซ่าเชงเก้น : ประมาณ 2,500 – 3,500 บาท

ค่าที่พักและค่าอาหาร : ค่าที่พักเริ่มต้น 1,000 บาท/คืน (ราคาโฮสเทล) ค่าอาหารเฉลี่ย 400 บาทต่อมื้อ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ประมาณ 5,000 – 7,000 บาท อาทิ ค่าซื้อประกันเดินทาง ค่ารถบัสข้ามเมือง ค่ารถเมโทร ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กับว่าไปกี่สถานที่)

สถานที่แนะนำ:

  • พระราชวังเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace) – เป็นแหล่งเช็กอินต้น ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อมาเวียนนา พระราชวังเชินบรุนน์สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่ได้รับต้นแบบมาจากพระราชวังแวร์ซายส์ในฝรั่งเศส ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
  • เมือง Hallstatt – ถ้าไม่มาเที่ยวเมือง Hallstatt เท่ากับว่ามาไม่ถึงออสเตรีย ! เพราะเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองริมทะเลสาบที่มีวิวทัศน์สวยที่สุดในโลกเลย เสน่ห์ของเมือง Hallstatt คือบ้านเมืองที่เรียงรายกันอยู่ริมทะเลสาบ พร้อมวิวทัศน์ภูเขาสูงและทะเลสาบอยู่ด้านหลัง แค่เดินชมเมืองก็ถือว่าคุ้มที่ได้มาแล้วค่ะ
  • เมือง Salzburg – เมืองมรดกโลกที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน สถานที่เที่ยวยอดฮิตในเมืองนี้ อาทิ สวนมิราเบลล์ ป้อมปราการ Hohensalzburg และ The Eisriesenwelt (ถ้ำน้ำแข็ง ยาว 42 กิโลเมตร) มหาวิหารนี้ถือเป็นศูนย์รวมใจหลักของคริสตชนและเป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และอลังการที่สุดในรัฐวาติกันและอิตาลี
  • เมือง Innsbruck – เมืองเล็ก ๆ ที่บรรยากาศเงียบสงบ อากาศดี เหมาะแก่การพักผ่อน เมืองอินส์บรุคส์ มีเทือกเขาแอลป์เป็นฉากหลัง พร้อมมีแม่น้ำอินส์ไหลผ่าน ภายในเมืองยังเป็นสวรรค์ของนักสกี เพราะมีภูเขาที่มีหิมะขาวโพลนปกคลุมตลอดทั้งปี เหมาะแก่การเล่นสกี และที่นี้ก็เคยได้จัดแข่งโอลิมปิคฤดูหนาวด้วยค่ะ
  • เมือง Zell Am See – อีกหนึ่งเมืองเล็ก ๆ ที่มีวิวทิวทัศน์เป็นภูเขาสูงและทะเลสาบ สำหรับเมืองนี้กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวมักมาทำ คือการเล่นสกีน้ำแข็งบนเนินเขาระหว่างภูเขา 3 ลูก ความยาวกว่า 138 กิโลเมตร หรือถ้าใครไม่ชอบเล่นสกี ก็มีบริการนั่งเคเบิลคาร์เพื่อชมวิวยอดเขา Schmittenhohe
ออสเตรีย
Historical quarters of Hallstatt with tall spire of Evangelical Church and wooden fishing boats’ garages in port on Hallstattersee lake, Salzkammergut, Austria.

5. กรีซ

กรีซ ประเทศแห่งเทพนิยายทางตอนใต้ของยุโรปที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ร้อยเรียงด้วยแหล่งอารยธรรมโบราณ สถาปัตยกรรม ศิลปะ ประติมากรรม และทะเลอันสวยงาม ทำให้กรีซเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและทั่วโลกให้ลองมาสัมผัสแหล่งอารยธรรมของโลก กรีซเป็นอีกหนึ่งประเทศที่งบไม่จำเป็นต้องเยอะ ก็ไปเที่ยวเองได้

งบประมาณ : 50,000 บาท

ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ : 20,000 บาท

ค่าวีซ่าเชงเก้น : ประมาณ 2,500 – 3,500 บาท

ค่าที่พักและค่าอาหาร : ค่าที่พักเริ่มต้น 800 บาท/คืน (ราคาโฮสเทล) ค่าอาหารเฉลี่ย 400 บาทต่อมื้อ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ประมาณ 5,000 – 8,000 บาท อาทิ ค่าซื้อประกันเดินทาง ค่ารถบัส ค่า One Day Trip เกาะ ค่ารถเมโทร ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กับว่าไปกี่สถานที่)

สถานที่แนะนำ:

  • กรุงเอเธนส์ – เมืองเอเธนส์ เมืองโบราณที่มีอายุยืนยาวกว่า 2,000 ปี ภายในเมืองเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียง อาทิ วิหารพาเธนอน และอะโครโปลิส เป็นต้น
  • เกาะซานโตรินี – อยู่ทางตอนใต้ของทะเลอีเจียน เกาะซานโตรินีมีจุดเด่นน่าสนใจคือบ้านเรือนและสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นแปลกตาด้วยสีขาวโล้นเกือบทั้งเกาะ กิจกรรมน่าสนใจบนเกาะ อาทิ การชมพระอาทิตย์ตกที่หมู่บ้านเอีย (Oia)
  • ถ้ำสีน้ำเงิน (Blue Lagoon) – ถ้ำสีน้ำเงิน ถือเป็นหนึ่งความมหัศจรรย์ที่ต้องมาเยือนให้ได้ โดยด้านหน้าของถ้ำเกิดการกัดเซาะของน้ำทะเลจนเกิดเป็นรูปร่างซุ้มประตูที่สวยงาม เมื่อนั่งเรือลอดเข้ามาในถ้ำแล้ว ก็จะพบกับทะเลสีน้ำเงินใสสะอาด นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำ และดำน้ำดูปลาภายในถ้ำได้
  • เกาะซาคินทอส – เป็นเกาะที่อยู่นอกฝั่งตะวันตกของกรีซ มีชื่อเสียงด้านความงามของธรรมชาติ อุดมสมบรูณ์ไปด้วยสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ซาคินทอสได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทะเลที่สวยที่สุดในโลก นอกจากนี้ เมื่อมาถึงซาคินทอสแล้ว อย่าลืมแวะไปหาดนาวาจิโอ ซึ่งเป็นหาดซากเรือแตก และเคยถูกใช้เป็นฉากหลังถ่ายทำซีรีส์เกาหลีด้วยนะ!
  • เกาะมิโคนอส – มาต่อกันอีกเกาะ กับเกาะมิโคนอส ซึ่งขึ้นชื่อเสียงด้านความสวยงามของตัวอาคารที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตัวบ้านจะมีสีขาว ตัดกับประตูหน้าต่างสีฟ้าสดใส บนเกาะมีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก อาทิ การดำน้ำลึก พายเรือ ขี่เจ็ตสกี เป็นต้น
กรีซ
Colorful panoramia of Oia town in Santorini, Greece

6. โปแลนด์

ประเทศสุดท้ายที่เราจะพาไปเที่ยวฉบับคนงบน้อยก็คือประเทศโปแลนด์ค่ะ โปแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ค่าครองชีพไม่ได้สูง ทั้งค่าที่พักและอาหารต่อมื้อ ดังนั้นแล้ว ถ้าจัดการงบประมาณดี ๆ ไม่เกิน 50,000 บาทแน่นอนค่ะ

งบประมาณ : 50,000 บาท

ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ : 20,000 บาท

ค่าวีซ่าเชงเก้น : ประมาณ 2,500 – 3,500 บาท

ค่าที่พักและค่าอาหาร : ค่าที่พักเริ่มต้น 600 บาท/คืน (ราคาโฮสเทล) ค่าอาหารเฉลี่ย 300 บาทต่อมื้อ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ประมาณ 2,000 – 4,000 บาท อาทิ ค่าซื้อประกันเดินทาง ค่ารถบัส ค่ารถเมโทร ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กับว่าไปกี่สถานที่)

สถานที่แนะนำ:

  • วอร์ซอ – เมืองหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโปแลนด์ มีสถานที่เที่ยวน่าสนใจจำนวนมาก แบ่งเป็นสามโซนหลักด้วยกันคือ 1. Old Town 2.Royal Route 3. New Town โดยโซน Old Town ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ในย่านนี้ก็จะมีพระราชวังหลวงตั้งอยู่ด้วยค่ะ
  • มหาวิหารวาเวล – มหาวิหารที่เก่าแก่ในเมืองคราเคา สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 มหาวิหารแห่งนี้เคยเป็นที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกกษัตริย์ และเป็นที่ฝังพระศพกษัตริย์และขุนนางอีกด้วย มหาวิหารแห่งนี้ประกอบไปด้วยโบสถ์ ถึง 18 โบสถ์ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมความงดงาม
  • ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ – เบียร์เคเนา – เป็นค่ายที่นาซีสร้างขึ้นในปี 1940 เพื่อกักกันชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกปี 1979 ภายในค่ายจะแสดงสิ่งของเครื่องใช้ของชาวยิวที่ถูกจับตัวมาในสมัยนั้น ภายในยังมีเปิดให้ชมห้องต่าง ๆ ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ และห้องเผาศพ ถึงแม้ค่ายกักกันแห่งนี้จะไม่ใช่สถานที่ตื่นตาตื่นใจ แต่นับเป็นสถานที่ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความโหดร้ายของสงครามได้เป็นอย่างดี
  • เหมืองเกลือวิเอลิคชกา – เหมืองเกลือที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ภายในเหมืองจะมีอุโมงค์ความยาวกว่า 300 กิโลเมตร และส่วนที่ลึกที่สุดของเหมืองแห่งนี้เทียบเท่ากับตึกสูง 40 ชั้นเลยทีเดียว!
  • ซาโกปาเน – เมืองแห่งขุนเขาและสวรรค์ของนักเล่นสกี นักท่องเที่ยวมักมาเที่ยวที่ซาโกปาเนในฤดูหนาว เพราะเมืองจะมีทิวทัศน์ที่สวยงามโอบล้อมด้วยภูเขาหิมะขาวโพลน
โปแลนด์
Aerial view over Grudziadz, Poland

เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายกับการท่องเที่ยวยุโรปอีกต่อไปแล้ว ถ้าเราวางแผนการท่องเที่ยว และคุมงบประมาณเป็นอย่างดี อีกทั้งปัจจุบันโปรโมชั่นที่พักและสายการบินก็มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง 6 ประเทศที่เราแนะนำไป ถ้าวางแผนท่องเที่ยวและคุมงบอย่างดีแล้ว รับรองว่าเที่ยวได้อย่างสบายใจ ไม่เกินงบแน่นอนค่ะ (เผลอ ๆ ไม่ถึง 30,00 – 50,000 ด้วย)


สำหรับการท่องเที่ยวประเทศยุโรปแบบคนงบน้อย การเสียค่ารักษาพยาบาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด จะทำให้การท่องเที่ยวหมดสนุกไปทันที ดังนั้นการซื้อประกันภัยการเดินทาง ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เพราะเบี้ยประกันแค่หลักร้อย ก็สามารถคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลหลักล้านได้แล้ว ที่ Allianz Travel เรามีประกันการเดินทางรายเที่ยวและรายปี ที่คุ้มครองครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล การพลาดการต่อเที่ยวบิน ความล่าช้าของสัมภาระ เอกสารสำคัญสูญหาย และกรณีอื่น ๆ เพียงเท่านี้ เราก็สามารถเที่ยวยุโรปได้อย่างสบายใจ มั่นใจ และไร้กังวลแล้วค่ะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา