เที่ยวญี่ปุ่น ไปได้ทั้งปี สัมผัสความงามได้ทุกฤดู

เที่ยวญี่ปุ่น ไปได้ทั้งปี สัมผัสความงามได้ทุกฤดู

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คุณควรไปอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีการผสมผสานที่น่าทึ่งของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความสะดวกสบายที่ทันสมัย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวที่ไป เที่ยวญี่ปุ่น ยังนิยมไปเที่ยวพร้อมกับการหาแหล่งร้านอาหารยอดนิยมเพื่อชิมอาหารต้นตำรับ เพราะที่ญี่ปุ่นมีอาหารอร่อยที่นักชิมทุกประเภทจะต้องหลงรัก และยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกอีกด้วย

ใครที่กำลังคิดวางแผนไป เที่ยวญี่ปุ่น แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะเดินทางไปช่วงเวลาไหนของปีดี คำถามแรกที่เราต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากไปในช่วงที่อากาศดี หรือช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไปมากนัก แต่ละคนอาจมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน บางคนอาจชอบช่วงที่อากาศหนาวเย็น หรือไม่ชอบหน้าร้อนที่อากาศร้อนชื้น เหงื่อออก และบางคนอยากไปช่วงไหนก็ได้ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว

ถ้าจะถามว่าช่วงเวลาไหนที่อากาศดีเหมาะไปเที่ยวญี่ปุ่น คำตอบก็น่าจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม หรือช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ในช่วงเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน หรือบางคนอาจจะเลือกจากช่วงเวลาที่มีเทศกาลก็ได้ อย่างเช่น ช่วงเทศกาลฤดูร้อน หรือช่วงหนาวเย็นหิมะตก ที่เราสามารถไปเล่นสกี หรือสโนว์บอร์ดได้

Allianz Travel รวบรวมช่วงเวลาน่าเที่ยวญี่ปุ่น ที่รวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับฤดูกาล อากาศ และเทศกาลวันหยุดเอาไว้ให้เพื่อนๆ พิจารณาตามความชอบของตัวเองได้เลยค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่น ตามฤดูกาล

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ผลิ (กลางเดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม)

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ผลิ Spring in Japan

เป็นช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นปกคลุมไปด้วยต้นซากุระที่บานสะพรั่ง เราจะเจอทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไป เที่ยวญี่ปุ่น เพื่อชมดอกซากุระตามสวนสาธารณะหรือจุดชมซากุระดังๆ อาทิเช่น ปราสาทฮิเมจิ ปราสาทโอซาก้า และมีบางแห่งที่จัดเทศกาลสำหรับชมซากุระโดยเฉพาะขึ้นมา อย่างที่ปราสาทฮิโรซากิ จังหวัดอาโอโมริ จะมีเทศกาลชมดอกซากุระที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และช่วงเวลานี้ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกที่สุดของปี แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับความงามก็คือ นักท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่พักเต็มและราคาแพง และต้องวางแผนเที่ยวล่วงหน้านานกว่าปกติ

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-กลางเดือนกันยายน)

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูร้อน Summer in Japan

อากาศร้อนและชื้น เดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี และมีกลางวันที่ยาวนาน แต่ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยสีสันของเทศกาลทั่วประเทศ มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย และยังมีเทศกาลชมดอกไม้ไฟอีกด้วย นอกจากนี้ในฤดูร้อนของญี่ปุ่นก็จะเป็นช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นที่นำพาฝนมาในช่วงกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคมด้วย ข้อดีของการเที่ยวในฤดูร้อนก็คือค่าใช้จ่ายไม่แพง ทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พัก นอกจากนี้นักท่องเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างๆ ก็ไม่เยอะด้วย

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ร่วง (กลางเดือนกันยายน-ต้นเดือนธันวาคม)

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ร่วง Autumn in Japan

เสน่ห์ของฤดูใบไม้ร่วงนั้น อยู่ที่สีสันของใบไม้ที่ต่างก็ออกมาอวดสีสันกันพรรณไม้ต่างๆ ในสวนและอุทยานจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีสันเฉดแดง เหลือง ส้ม และทอง นอกจากใบไม้แสนสวยแล้ว อากาศช่วงนี้ก็สบาย ๆ และเหมาะสำหรับการเดินเที่ยวชมสถานที่น่าสนใจต่างๆ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกแห่แหนกันมา เที่ยวญี่ปุ่น เพื่อชมความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีกันอย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเกียวโตซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าที่มีวัดและศาลเจ้าอยู่มากมาย รวมทั้งยังมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากมายอีกด้วย

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-กลางเดือนมีนาคม)

เที่ยวญี่ปุ่น ฤดูหนาว Winter in Japan

เป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็น และนักท่องเที่ยวน้อยเราต้องเตรียมเครื่องแต่งกายให้พร้อมเพื่อสู้กับอากาศหนาวและหิมะ ดังนั้นเครื่องแต่งกายชั้นนอก อาทิเช่น รองเท้า กางเกง และเสื้อกันหนาว ต้องเป็นแบบกันน้ำและกันลม แต่ฤดูหนาวก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่ง เราจะได้เห็นทิวทัศน์รอบตัวเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน และเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการแช่บ่อน้ำพุร้อนท่ามกลางหิมะ หรือสนุกกันการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด และได้สัมผัสกับบรรยากาศของเทศกาลปีใหม่ในช่วงปลายเดือนธันวาคมอีกด้วย

สัมผัสการ เที่ยวญี่ปุ่น ในแต่ละเดือน

เดือนมกราคม

อากาศในเดือนมกราคมค่อนข้างเย็น โดยอุณหภูมิจะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียสและมีหิมะตกในหลายพื้นที่ของประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีไม่มากบวกกับสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามน่าประทับใจทำให้ควรค่าแก่การฝ่าลมหนาวไปเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียวและเกียวโต แต่ขอให้จำไว้สักนิดว่าร้านรวงและสถานที่หลายแห่งปิดทำการในช่วงปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคมถึง 4 มกราคม

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมกราคม - Girl in Winter

กิจกรรม: เที่ยวชมเทศกาลฤดูหนาวต่างๆ การแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน เล่นกีฬาฤดูหนาว อย่างเช่น สกี หรือสโนว์บอร์ด

เทศกาลน่าเที่ยว: เทศกาลศิลปะจากหิมะ ที่มีประติมากรรมน้ำแข็งรูปสัตว์ในตำนานอันสวยงามซึ่งประดับประดาด้วยไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน

เดือนกุมภาพันธ์

อากาศหนาวเย็นต่อเนื่องมาจากเดือนมกราคม ยังมีหิมะตก แต่มีแสงแดดมากขึ้นและอุณหภูมิก็อุ่นขึ้น สภาพอากาศค่อนข้างแห้ง อากาศตอนกลางวันประมาณ 10 องศาเซลเซียส แต่ช่วงค่ำอุณหภูมิอาจตกลงมาถึงประมาณ 2 องศาเซลเซียส นักท่องเที่ยวน้อย จึงเหมาะกับการเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ที่ปกติมีการต่อแถวกันเป็นเวลานาน

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนกุมภาพันธ์ - Shirakawago, Japan

กิจกรรม: เที่ยวชมความสวยงามของทัศนียภาพในฤดูหนาว อย่างเช่น ชมธารน้ำแข็งหรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า “ริวเฮียว (Ryuhyo)” ที่ทะเลโอคอตสค์ (Okhotsk) เลียบฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) หรือไปชมเทศกาลฤดูหนาวที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ เพื่อชมบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปีและได้รับการประกาศจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน และจัดงานประดับแสงไฟยามค่ำคืน ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนกุมภาพันธ์ - Otaru, Japan

เทศกาลน่าเที่ยว: เทศกาลหิมะประจำปีของซัปโปโร ที่มีการแข่งขันแกะสลักน้ำแข็ง ลานสเก็ตน้ำแข็ง และสไลเดอร์หิมะสำหรับเด็ก Otaru Snow Light Path Festival เป็นงานเทศกาลประจำฤดูหนาวที่จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ทั่วทั้งบริเวณริมคลองและในตัวเมืองจะประดับไปด้วยแสงไฟท่ามกลางหิมะเป็นระยะเวลาทั้งหมด 10 วัน เวลาประมาณ 17.00-21.00 น.ค่ะ ไฮไลท์เด็ดจะอยู่ที่ถนนริมคลองโอตารุ (Unga Kaijo) ความยาว 300 เมตรสวยงามมากๆ เหมือนอยู่ในโลกเทพนิยายทีเดียว

เดือนมีนาคม

อุณหภูมิเฉลี่ยช่วงกลางวันอยู่ในระดับสบายๆ ที่ 13 องศาเซลเซียส ทำให้ช่วงนี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือนประเทศญี่ปุ่น หากท่านจะออกไปเที่ยวข้างนอกทั้งวัน อย่าลืมเตรียมเสื้อโค้ทที่อุ่นพอควรหรือเสื้อจัมเปอร์ไว้สวมใส่ในช่วงค่ำที่อากาศจะเย็นขึ้นเล็กน้อย ช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงที่ชาวญี่ปุ่นเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิของเด็กนักเรียน

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมีนาคม - Cherry Blossoms in Japan

เทศกาลน่าเที่ยว: เทศกาลฮานามิ ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่าการชมดอกไม้ เราจะได้เห็นต้นซากุระมากมายผลิบานทั้งในสวน ริมถนน และริมแม่น้ำ สีสันของซากุระจะเริ่มโดดเด่นที่สุดในช่วงต้นเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงที่เฉดสีออกแดงแผ่กระจายจากทางตอนใต้ไล่ขึ้นไปทางเหนือ และช่วงใกล้สิ้นเดือนก็จะได้เห็นแนวต้นไม้สีชมพูบานเต็มที่ หากต้องการไปชมดอกซากุระในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ควรติดตามตรวจสอบข้อมูลพยากรณ์ซากุระบานทั่วประเทศญี่ปุ่นล่วงหน้าที่ออกมาในช่วงมกราคมและกุมภาพันธ์ 

เดือนเมษายน

นอกจากช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว เดือนเมษายนก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่ดอกซากุระบานในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น และอากาศก็อุ่นกำลังดีด้วย นอกจากนี้ช่วงปลายเดือนเมษายนก็เป็นช่วงต้นของวันหยุดยาวประจำชาติญี่ปุ่น หรือ Golden Week ซึ่งผู้คนจะเดินทางกลับบ้านหรือไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ทุกที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว และเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่คนหนาแน่นที่สุด ราคาที่พักและบัตรโดยสารมีราคาแพงด้วย หากจะวางแผนจะไปญี่ปุ่นช่วงนี้จะต้องเตรียมใจกันไว้ก่อนเลย

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนเมษายน - Cherry Blossoms Festival in Japan

กิจกรรม: เที่ยวชมความงามของฤดูซากุระในช่วงที่บานอย่างเต็มที่ตามเมืองต่างๆ อย่างเช่น โตเกียว โอซาก้า และเกียวโต นอกจากนี้ผู้คลั่งไคล้กีฬาฤดูหนาวยังสามารถไปเล่นสกีที่สถานตากอากาศบางแห่งอย่างที่นิเซโกะ ซึ่งพร้อมให้บริการสำหรับการเล่นสกีในฤดูใบใม้ผลิ

เดือนพฤษภาคม

ช่วงต้นเดือนยังมีเทศกาลโกลเด้นวีคต่างๆ และในภูมิภาคทางเหนืออย่างฮอกไกโดก็ได้ชมซากุระที่ผลิบานเป็นสีชมพูสดเต็มที่ และอุณหภูมิเฉลี่ยที่ค่อยๆ เพิ่มไปอยู่ที่ระดับสบายๆ อย่าง 23 องศาเซลเซียส และหลังจากผ่านเทศกาลไปแล้ว ช่วงกลางเดือนจะเป็นช่วงที่น่าเที่ยว เพราะผู้คนและนักท่องเที่ยวเริ่มลดน้อยลง เราสามารถเที่ยวชมเมืองสำคัญต่างๆ เช่น โตเกียว โอซาก้า และเกียวโตในแบบที่ไม่ต้องเบียดเสียดนัก 

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนพฤษภาคม - Asakusa Shrine, Japan

เทศกาลน่าเที่ยว: ช่วงสุดสัปดาห์กลางเดือนพฤษภาคมจะมีเทศกาลซันจะมัตสึริ (Sanja Matsuri) ซึ่งเป็นงานเทศกาลประจำศาลเจ้าอาซากุสะ (Asakusa Shrine) ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะของโตเกียว โดยเอกลักษณ์ของงานเทศกาลซันจะอยู่ที่ขบวนแห่เกี้ยวในวันที่ 2 ที่เป็นขบวนแห่เกี้ยวกว่า 100 หลังออกมาจากตามมุมเมืองต่างๆโดยรอบ เพื่อมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าอาซากุสะ ส่วนวันที่ 3 เป็นขบวนแห่เกี้ยวขนาดใหญ่ 3 หลังจากศาลเจ้าอาซากุสะตระเวนไปรอบเมือง โดยทั้งหมดล้วนมีไฮไลท์เป็นบรรยากาศการแห่เกี้ยวอันยิ่งใหญ่ของเหล่าชายในชุดงานเทศกาลท่ามกลางผู้คนมากมายมหาศาล

เดือนมิถุนายน

เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน “ทสึยุ” ที่ส่งผลต่อเกือบทุกภาคในประเทศญึ่ปุ่น ยกเว้นเกาะทางเหนือสุดอย่างฮอกไกโด หากใครจะไปญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็ควรเตรียมเสื้อโค้ตที่กันน้ำได้และร่มไปด้วย ถึงแม้ว่าจะมีฝนในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศญี่ปุ่น แต่เมืองใหญ่หลายเมืองก็ยังมีหลายอย่างให้เที่ยวชม

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนมิถุนายน - Onsen in Japan

กิจกรรม: ช่วงนี้เหมาะสำหรับใช้บริการบ่อน้ำพุร้อนแบบดั้งเดิมหรือที่เรียกกันว่าออนเซ็น ซึ่งท่านสามารถแช่ตัวในน้ำที่ได้รับความร้อนจากใต้ผิวโลกและเต็มไปด้วยแร่ธาตุ

เดือนกรกฎาคม

เป็นช่วงเวลาที่ทางตอนเหนือและตอนใต้มีอากาศแจ่มใส เหมาะสำหรับเที่ยวชมเทือกเขาหรือดำน้ำตื้นรอบหมู่เกาะโอกินาว่า ขณะที่อากาศในฮอนชูและตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นนั้นชื้นกว่าเนื่องจากยังคงเป็นฤดูฝน ถึงแม้ว่าในภูมิภาคส่วนใหญ่ของประเทศยังคงร้อนและชื้นอย่างมาก แต่ท่านก็สามารถสัมผัสอากาศที่เย็นกว่าในภูมิภาคทางเหนืออย่างฮอกไกโดซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 21 องศาเซลเซียส

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนกรกฎาคม - Okinawa, Japan

กิจกรรม: ฤดูกาลปีนเขาเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ผู้คนจะหลั่งไหลกันไปพิชิตภูเขาฟูจิซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศด้วยความสูง 3,776 เมตร

เทศกาลน่าเที่ยว: เทศกาลดนตรีกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น Fuji Rock Festival ในเทศกาลชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมี 3 งานเทศกาลของญี่ปุ่นที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมของทุกปี ได้แก่ เทศกาลกิอง (Gion Matsuri) เทศกาลใหญ่ที่สืบทอดมานับพันปี และเมืองเกียวโตทั้งเมืองเหมือนเป็นเวทีการแสดง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของฤดูร้อนในเกียวโต เทศกาลเทนจิน (Tenjin Matsuri) โอซาก้า ที่มีทั้งขบวนผู้คนในชุดย้อนยุค เรือไฟที่ล่องไปตามแม่น้ำโอคาวะใจกลางโอซาก้า และเทศกาลดอกไม้ไฟ เท็นจินมัตสึริโฮโน (Tenjin Matsuri Hono Firework Festival) และเทศกาลคันดะ (Kanda Matsuri) ในโตเกียว ที่มีไฮไลท์อยู่ที่ขบวนพาเหรดของผู้คนในชุดญี่ปุ่นดั้งเดิมสมัยเฮียวอันกว่า 500 คน

เดือนสิงหาคม

การเดินทางไป เที่ยวญี่ปุ่น ในช่วงเดือนสิงหาคมมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าว อุณหภูมิอาจสูงถึง 35 องศา ชาวญี่ปุ่นจะออกไปพักผ่อนกันที่ชายหาด มีงานเทศกาลฤดูร้อนและงานรื่นเริงเกิดขึ้นมากมาย แถมเด็กๆ ยังอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอีกด้วย

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนสิงหาคม - Obon Festival, Japan

เทศกาลน่าเที่ยว: เทศกาลโอบ้ง (Obon Festival) เป็นเทศกาลหยุดยาวในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น ที่เปรียบไปก็คล้ายๆ เทศกาลสงกรานต์ของไทย เพราะเป็นวันหยุดยาวในช่วงฤดูร้อน เป็นช่วงเวลาที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะกลับมา บุตรหลานจึงมักจะมีการเคารพหลุมศพบรรพบุรุษในช่วงนี้ ในส่วนของเทศกาลนั้นก็นับว่ามีความน่าสนใจ มีการรำวงบงโอโดริ เพื่ออุทิศส่วนกุศลและต้อนรับวิญญาณบรรพบุรุษ

เดือนกันยายน

สภาพอากาศที่ค่อนข้างเลวร้ายและตัวเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีจำกัดทำให้เดือนกันยายนเป็นเดือนที่ควรหลีกเหลี่ยงในการไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าสภาพอากาศโดยทั่วไปจะมีความร้อนชื้นน้อยลง แต่จะย่างเข้าฤดูไต้ฝุ่นที่มักส่งผลกระทบต่อบริเวณชายฝั่งของโอกินาว่า คิวชู และชิโกกุด้วยฝนตกหนักและลมแรง หากไปเที่ยวญี่ปุ่นชวงนี้ก็ควรพกร่มติดตัวไว้เสมอ และเช็คพยากรณ์อากาศก่อนออกไปข้างนอก ทางภาคเหนือในอุทยานแห่งชาติของฮอกไกโดจะเริ่มมีใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงและสีส้มอันสวยงาม

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนกันยายน : Kishiwada, Japan

เทศกาลน่าเที่ยว: หากโชคดีได้อยู่ในโอซาก้าในช่วงสุดสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกันยายน จะได้ชมเทศกาลคิชิวะดะดันจิริมัตสึริ ซึ่งเป็นเทศกาลขบวนแห่ดันจิริที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยมีขบวนแห่แยกกัน 35 ขบวนและผู้เข้าร่วมงาน 500,000 คนในแต่ละปี งานเทศกาลนี้เป็นจุดแวะเที่ยวชมที่ห้ามพลาดระหว่างการท่องเที่ยว

เดือนตุลาคม

เดือนตุลาคมเป็นหนึ่งในช่วงที่ดีที่สุดในการไปเยือนประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วงซึ่งมีทิวทัศน์อันสวยงาม รวมถึงอากาศอบอุ่นในระหว่างวัน และช่วงค่ำที่มีอากาศสบายๆ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14-22 องศาเซลเซียสทุกภูมิภาค ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้นเมื่อออกไปเที่ยว

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนตุลาคม - Kamikochi, Japan

เทศกาลน่าเที่ยว: สภาพอากาศที่น่าออกไปเดินเล่น ทำให้มีเทศกาลมากมายทั่วทุกมุมประเทศ อย่างเช่น มัตสึเอะซุยโทโร (เทศกาลแห่งน้ำและแสงสว่าง) ในเมืองมัตสึเอะ เทศกาลศิลปะการแสดงประจำปีของโตเกียว (Festival/Tokyo) และอ็อกโทเบอร์เฟสต์ของโยโกฮาม่า

เดือนพฤศจิกายน

สัมผัสอากาศของฤดูใบไม้ร่วงและบรรยากาศที่สวยงาม แต่ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมสีสันที่สวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเดือนพฤศจิกายน สภาพอากาศแจ่มใสและทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอันสวยงาม อากาศจะเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ดังนั้นจึงต้องเตรียมเสื้อผ้าเผื่อไว้หลายชั้นเพื่อรับมือกับอากาศที่หนาวขึ้นในช่วงค่ำ 

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนพฤศจิกายน - Shici-Go-San, Japan

เทศกาลน่าเที่ยว: กลางเดือนพฤศจิกายนจะมีงานเทศกาลดั้งเดิมอย่างงานฉลองรับขวัญเด็กอายุ 7-5-3 ปี (Shici-Go-San) โดยเหล่าเด็กหญิงอายุ 3 และ 7 ปี กับเด็กชายอายุ 5 ปี จะสวมใส่ชุดกิโมโนสีสันสดใสและมารับพรที่ศาลเจ้าชินโต นอกจากนี้ก็สามารถชมการแข่งขันซูโม่รายการสุดท้ายของปีซึ่งจะจัดขึ้นที่ฟุกุโอกะ นอกจากนี้เกียวโตก็ควรค่าแก่การไปเยือนในช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน เพราะวัดวาและสวนต่างมีทิวทัศน์อันสวยงามราวกับภาพโปสการ์ด

เดือนธันวาคม

อากาศเหมาะสำหรับคนที่ชอบอากาศเย็น เริ่มมีหิมะ อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4-12 องศาเซลเซียส และเวลาช่วงกลางวันจะสั้นลง ช่วงกลางเดือนจนถึงปลายเดือนก็จะเริ่มมีคนมากมายออกมาต้อนรับเทศกาลปีใหม่กัน ถึงแม้ว่าจะมีเทศกาลรื่นเริงมากมาย แต่ก็อย่าลืมว่าช่วงนี้เป็นหนึ่งในสามฤดูกาลท่องเที่ยวหลักของประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นธุรกิจจำนวนมากอาจปิดทำการหรือจำกัดเวลาเปิดให้บริการ และระบบขนส่งก็อาจมีผู้คนหนาแน่นขึ้นด้วยเช่นกัน

เที่ยวญี่ปุ่น เดือนธันวาคม - Japan in December

เทศกาลน่าเที่ยว: ศาลเจ้าหลายแห่งจัดงานพิธีส่งท้ายปีเก่าขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม และการทานโซบะก็เป็นประเพณีที่เต็มไปด้วยความอร่อยซึ่งเรียกกันว่า “โทชิโคชิโซบะ” โดยเชื่อกันว่าจะนำโชคดีมาให้และมีอายุยืนโดยเฉพาะผู้ที่ได้ทานเส้นโซบะที่ยาวที่สุด เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนจะมีการตีระฆังในวัดทั่วประเทศ 108 ครั้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโจยะโนะคาเนะหรือพิธีชำระล้างประจำปี

ประเทศญี่ปุ่นมีความสวยงามในทุกช่วงเวลาของปี หากอ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงพอได้คำตอบกันบ้างแล้วว่าชอบเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูกาลไหนหรือช่วงเดือนไหน แต่ถ้าใครไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก ก็ควรเลื่อกช่วงฤดูที่เราชอบและอยากไปมากที่สุดไว้ก่อน จะได้สร้างความประทับใจและสนุกกับการท่องเที่ยวค่ะ

ไม่ว่าจะเที่ยวช่วงเวลาไหน ก็ต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าและสิ่งของจำเป็นที่เหมาะกับฤดูกาล เที่ยวญี่ปุ่น แต่ละช่วง และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : boutiquejapan.com, japan-guide.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด

9 ที่เที่ยวญี่ปุ่น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี สวยจนห้ามพลาด!

ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่สวยงามที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ อุณหภูมิที่เย็นขึ้นและสภาพอากาศที่สดใสทำให้เรารู้สึกสดชื่น สิ่งที่ทำให้ผู้คนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็คือสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ที่เรียกว่า koyo ในภาษาญี่ปุ่น ทำให้ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ในหลายๆ สถานที่กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่มีเฉดสีสดใส สร้างทิวทัศน์อันตระการตาของใบไม้สีแดง สีส้ม และสีเหลืองในป่าหลายแห่งของประเทศ

เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำกับความงดงามของฤดูกาล Allianz Travel จะพาคุณไปยัง 9 สถานที่เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่ดีที่สุด รวมถึงช่วงเวลาและวิธีเดินทางไปที่นั่นด้วย เตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเลยค่ะ!

1. ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) – จังหวัดยามานาชิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) ที่เที่ยวญี่ปุ่น สุดฮิตของนักท่องเที่ยว โดย ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้งห้า (ทะเลสาบคาวากุจิ ทะเลสาบยามานากะ ทะเลสาบโมโตสึ ทะเลสาบโชจิ และทะเลสาบไซโกะ) ที่อยู่เชิงภูเขาไฟฟูจิ ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิมากที่สุดจนเรียกได้ว่าเป็นประตูสู่ฟูจิ เป็นจุดชมความงามของภูเขาไฟฟูจิในหลากหลายวิว บริเวณทะเลสาบจะเน้นชมวิวแนวธรรมชาติ โดยการนั่งรถ Retro bus เพื่อชมวิวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ โดยรอบ หรือจะเลือกที่จะขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชมวิวและล่องเรือในทะเลสาบคาวากุจิ

ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko)

สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยสุดโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งในแถบภูเขาไฟฟูจิโดดเด่นที่สุดคืออุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko เป็นไฮไลท์หลักที่หากมาเที่ยวคาวากุจิโกะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็นจุดที่ห้ามพลาดเลย ที่นี่เป็นถนนเลียบคลองสายเล็กๆ ที่มีต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่นเรียงรายตลอดสองข้างทางจนดูเหมือนอุโมงค์ที่ยาวเกือบ 1.5 กม. คุณจะได้เห็นภาพใบไม้แดงร่วงหล่นลงมาย้อมทางน้ำจนปกคลุมเป็นสีแดงไปทั่ว ในตอนกลางคืนยังมีการประดับไฟตามทางเดินไปตลอดแนว ต้นเมเปิลญี่ปุ่นสีสันสดใสจะสว่างไสวสวยงามมากๆ ค่ะ

อุโมงค์ใบเมเปิ้ล Momiji Kairo Kawaguchiko

นอกจากนี้ จะมีเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่ทะเลสาบคาวากุจิ (Fuji Kawaguchiko Autumn Leaves Festival) จัดขึ้นทุกปีบนชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบ บริเวณนี้เต็มไปด้วยแผงขายอาหารและของที่ระลึกซึ่งมีงานฝีมือในท้องถิ่นและอีกมากมาย ทะเลสาบคาวากุจิเป็นจุดที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสความงามของสีสันในฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น โดยมีภูเขาไฟฟูจิตระหง่านเป็นฉากหลัง

Fuji Kawaguchiko Autumn

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: ขึ้นรถบัสจากสาถนชินจูกูหรือสถานีชิบูย่า (2.3 ชม.) หรือนั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวไปยังสถานีโอสึกิ (สายหลักชูโอ ประมาณ 1 ชั่วโมง 16 นาที); จากสถานี Ōtsuki ถึงสถานี Kawaguchiko (สาย Fujikyuko ประมาณ 43 นาที)

พิกัด: https://goo.gl/maps/e9woio6u4ZvPKJV96

2. เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ที่เที่ยวญี่ปุ่น อีกแห่งหนึ่งในโตเกียวที่เราอยากแนะนำคือสวนเมจิจิงงูไกเอ็น (สวนด้านนอกของศาลเจ้าเมจิ) ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน คุณจะได้เห็นต้นแปะก๊วย 146 ต้นที่ปลูกเรียงรายอยู่ตามถนนกว้างเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใสและใบไม้ที่ร่วงหล่นทำให้ถนนยาว 300 เมตรแห่งนี้กลายเป็นถนนที่เต็มไปด้วยสีเหลืองทองที่สวยงามมาก

เมจิจิงงูไกเอ็น (Meijijingu Gaien) – โตเกียว

วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เป็นช่วงเวลาที่ดีในการชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น เนื่องจากบริเวณนี้ห้ามยานพาหนะทุกคันผ่านและกลายเป็นสวรรค์สำหรับคนเดินถนน ให้คุณเดินเล่นสบาย ๆ ผ่านปรากฏการณ์อันน่าประทับใจนี้

คุณสามารถแวะนั่งที่ร้านกาแฟในพื้นที่ นั่งชมทัศนียภาพอันน่ามหัศจจรย์ของต้นแปะก๊วยสีทอง และทุกปีจุดชมใบไม้ร่วงแห่งนี้ดึงดูดผู้คนได้ประมาณ 1,800,000 คน ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟมาลงสถานีชินาโนะมาจิ  JR Shinamomachi (JR สายชูโอ-โซบุ) หรือสถานีรถไฟใต้ดิน รือ สถานีรถไฟใต้ดิน Gaiemmae และ Aoyama-itchome แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/oLzA2F5u2y1AGtfE6

3. ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

ทะเลสาบโทวาดะเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่อยู่ระหว่างจังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ ธรรมชาติที่เขียวชอุ่มและทิวทัศน์ตามฤดูกาลของทะเลสาบก็น่าทึ่งมาก ต้นไม้ผลัดใบ เช่น บีช เมเปิล และโรแวนญี่ปุ่น เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนชายฝั่งของทะเลสาบโทวาดะ ซึ่งจะสร้างสีสันไปพร้อมๆ กันเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง

ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) – จังหวัดอาโอโมริและอาคิตะ

สีแดงและสีเหลืองอันตระการตาตัดกับผืนน้ำสีฟ้าของทะเลสาบ ทำให้เกิดทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ร่วงที่สดใสและอุดมสมบูรณ์จนเกือบจะดูเหมือนภาพวาด จุดชมวิวโคงาคุได (Kogakudai) และจุดอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้คุณสามารถชมวิวได้จากหลายมุม

นอกจากชื่นชมความงามจากจุดชมวิวแล้ว คุณสามารถเลือกนั่งเรือล่องไปตามน่านน้ำของทะเลสาบนอกฤดูหนาวและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงของทะเลสาบโทวาดะจากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร!

Lake Towada

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง (ชินคันเซ็น/รถไฟ): จากสถานีโตเกียวไปยังสถานี Shin-Aomori (Tohoku Shinkansen ประมาณ 3 ชั่วโมง); จากสถานี Shin-Aomori ถึงป้ายรถประจำทาง Yasumiya (รถบัสประจำทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง)

พิกัด: ใกล้ Towadakohanyasumiya-486 Okuse, Towada, Aomori 034-0301

4. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) จังหวัดยามากาตะ

วัดยามาเดระแปลตามตัวได้ว่า “วัดภูเขา” หากเรียกชื่ออย่างเป็นทางการก็คือวัดริชาคุจิ (Risshakuji Temple) เป็นวัดพุทธเก่าแก่ของนิกาย Tendai ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 860 ในสมัยคามาคุระ ซึ่งนับว่ามีอายุมากกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่บนเขาในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku)

Yamadera, Yamagata

วัดนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบด้วยธรรมชาติ เป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยมีบันไดหินเรียงรายกว่า 1,000 ขั้นที่นำพาผู้มาเยือนขึ้นไปสู่ไฮไลท์ของวัดคือวิหารโกไดโด (Godaido) ที่อยู่ด้านบนสุดชวนให้สัมผัสถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน สำหรับผู้มาเยือนวัดยามาเดระ นอกจากจะได้รับพรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้ามาในฤดูใบไม้ร่วงจะได้เห็นวิวต้นไม้และภูเขาที่เปลี่ยนไปเป็นสีส้มปนแดง สวยจับใจเลยล่ะ

Yamadera

แต่บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่มีผู้ร่วมทางอายุเยอะหรือเจ็บข้อเข่า ควรพิจารณาให้ดีก่อนขึ้น เพราะการเดินขึ้นมีบันไดไปยังชั้นบนสุด ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีลิฟต์หรือกระเช้าใดๆ ช่วยทั้งสิ้นนะคะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: จากสถานีโตเกียว ให้นั่งรถสายไฟโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) ไปลงสถานีเซนได (Sendai Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR สาย เซนซัน (Senzan Line) ไปลงสถานียามาเดระ (Yamadera Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และเดินต่ออีก 5 นาที

พิกัด: 4456-1, Yamadera, Yamagata-shi, Yamagata, 999-3301

5. มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) คือสันเขาที่อยู่เลียบทางหลวงหมายเลข 273 ซึ่งเป็นถนนทางหลวงที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsusan National Park) เชื่อมระหว่างเมืองคามิคาวะ (Kamikawa) และเมืองโทคาชิ (Tokachi)

เส้นทางขับรถสายนี้ถือเป็นจุดชมวิวยอดนิยม มีทัศนียภาพสวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีราวกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ต้นไม้นานาพันธุ์ในป่าอันกว้างใหญ่ที่รายล้อมโดยรอบจะพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีเหลืองสลับส้ม แต่งแต้มสีสันให้ทั่วทั้งพื้นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

มิคุนิพาส (Mikuni Pass) – ฮอกไกโด

จุดที่เป็นไฮไลต์สำคัญคือสะพานมัตสึมิ (Matsumi Bridge) สะพานสีแดงที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ราวกับกำลังลอยอยู่เหนือทะเลใบไม้เปลี่ยนสี และถ้ามองจากสะพานเรียวคุชิน (Ryokushin Bridge) ก็จะเห็นทิวทัศน์ของสะพานมัตสึมิที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติตระการตา สมกับที่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 มุมถ่ายรูปสวยของฮอกไกโด

บนเส้นทางนี้ยังมีจุดชมวิว Mikuni Pass Observation Deck ซึ่งอยู่ตรงจุดแวะพักรถบริเวณหน้าอุโมงค์ (Mikuni Tunnel) สามารถดื่มด่ำชมวิวพาโนรามาสุดปังของแนวทิวป่าได้อย่างเต็มอิ่ม และยังมีคาเฟ่ (Mikuni Café) ที่ให้นั่งพัก จิบกาแฟ หรือทานอาหาร เพื่อเติมพลังระหว่างเที่ยวกันด้วย

*คาเฟ่เปิดให้บริการช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม

การเข้าถึง (เที่ยวบิน+เช่า): จากสนามบินนาริตะ (โตเกียว) ไปยังสนามบินอาซาฮิกาวะ (ฮอกไกโด ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที); จากสนามบินอาซาฮิคาวะถึงมิคุนิพาส (โดยรถยนต์ ประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที)

จากโซอุนเคียว ออนเซ็น (Sounkyo Onsen) แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดัง ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึง มิคุนิพาส หรือหากมาจากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ขับรถยนต์ไปตามเส้นทางด่วน Hokkaido Expressway Pippu JCT ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที 

พิกัด: https://goo.gl/maps/sTRGCzy5KgADvAy26

6. วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

วัดบิชามอนโด เป็นวัดในนิกายเทนได (Tendai) ถือเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในวันสำคัญต่างๆ มักมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้ขอพร ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองและครอบครัวมีความสุขปลอดภัยจากอัตรายต่างๆ เพราะมีเทพเจ้าประจำวัดคือบิชามอนเทน (Bishamonten) หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น

วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) จังหวัดเกียวโต

ผู้ตนมากมายมุ่งหน้ามายังวัดบิชามอนโด วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในแถบยามาชินะแห่งนี้ เพราะชื่อเสียงเรื่องความงดงามในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และเมื่อต้นเมเปิลสีแดงสดผลัดใบลงสู่พื้นดิน เราจะได้เห็นภาพอันงดงามของอุโมงค์ต้นเมเปิลที่ดูราวกับมีพรมสีแดงปูตลอดทางเข้าสู่บริเวณวัด อีกทั้งยังมีต้นซากุรอายุกว่า 150 ปีคอยต้อนรับผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติอีกด้วย ทำให้วัดบิชามอนโดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงของเกียวโต

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถไฟทั้งสายรถไฟใต้ดินโทไซ (Tozai Subway Line) และสายเคย์ฮัน เคย์ชิน (Keihan Keishin Line) โดยลงที่สถานียามาชินะ (Yamashina Station) และเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที

เวลาเปิดปิด: 8:30 – 17:00 น.

พิกัด: 18, Anshuinariyamacho, Yamashina-Ku, Kyoto-Shi, Kyoto, 607-8003

7. ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ภูมิภาคคันโตเป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่มีจุดชมใบไม้ร่วงที่สวยงามและโดดเด่นหลายแห่ง เช่น น้ำตกโอดาชิโรกาฮาระ (Odashirogahara) และน้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall) และอีกแห่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้ที่ใดก็คือถนนอิโรฮาซากะที่มีความยาวประมาณ 15.8 กิโลเมตร เชื่อมเมืองนิกโกกับทะเลสาบชูเซ็นจิ (ทะเลสาบในอุทยานแห่งชาตินิกโก) ซึ่งขึ้นชื่อด้านโค้งกิ๊บปิ่นโตทั้งหมด 48 โค้งทั้งสองทิศทาง

น้ำตกริวซุ (Ryuzu Fall)

ถนนอิโรฮาซากะสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1954 และ 1965 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สดใสในทุกโค้ง และไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้เช่ารถ การลดหน้าต่างลงและเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์โดยตรง ช่วงที่สวยขั้นสุดจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม ใบไม้จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ส้ม และแดงสลับกันไป

ถนนอิโรฮาซากะ (Irohazaka) นิกโก จังหวัดโทจิงิ

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือความคดเคี้ยวของถนนที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถ เราสามารถซื้อทัวร์รถบัสแบบไปเช้าเย็นกลับที่มีอยู่มากมายจากโตเกียวที่ให้บริการผ่านตัวแทนท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยให้เราได้เพลิดเพลินไปกับสีสันของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ที่สำคัญหากใครที่มีปัญหาเรื่องเมารถ ขอแนะนำให้ทานยาป้องกันการเมารถไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ป่วยจนต้องหมดสนุกค่ะ

Irohazaka

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนตุลาคม

การเดินทาง: นั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวถึงสถานี Utsunomiya (Tohoku Shinkansen) ประมาณ 50 นาที และจากสถานี Utsunomiya ไปถึงที่หมายโดยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือจาก JR หรือ Tobu Nikko Station โดยสารรถบัส Tobu bus ที่ไปยัง Chuzenjiko Onsen หรือ Yumoto Onsen ลงที่ Akechidaira bus stop ใช้เวลา 35 นาที (รถบัสไม่จอดที่สถานี Akechidaira ในเส้นทางขากลับ) 

พิกัด: Chuguushi, Nikko-shi, Tochigi, 321-1661

8. เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

เกาะอิทสึคุชิมะเป็นชื่อที่เป็นทางการของเกาะมิยาจิมะ (Miyajima) ที่คนทั่วไปนิยมเรียกกัน เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ที่เมืองฮะสึไกชิทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองฮิโรชิม่า ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “เกาะแห่งเทพเจ้า” เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกไม่แพ้ภูเขาไฟฟูจิเลย ได้รับการจดทะเบียนให้เป็มรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก มิชลีนไกด์ยังให้คะแนนแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ถึงสามดาว และยังเป็นหนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) จังหวัดฮิโรชิม่า

จุดเด่นของเกาะนี้คือเสาแดงโทริอิไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าเกาะในทะเลเซโตะ เราสามารถเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆ ในช่วงเวลาน้ำลงได้ด้วย และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนักท่องเที่ยวก็นิยมพากันมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park) สวนสาธารณะที่อยู่ตรงเชิงเขาของป่ามิเซ็นบนเกาะอิทสึคุชิมะ มีต้นเมเปิ้ลประมาณ 700 ต้น เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการตระเวนชมใบไม้เปลี่ยนสี โดยเฉพาะบริเวณสะพานไม้สีแดงที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีดูสวยงามราวกับภาพวาดเลยค่ะ

สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park)

นอกจากนี้ คุณห้ามพลาดขึ้นกระเช้าชมวิว (Miyajima Ropeway) เพื่อไปชมวิวบนยอดเขามิเซ็น (Mt. Misen) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากเช่นกัน 

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย JR Sanyo จากสถานี Hiroshima มาลงที่สถานี Miyajimaguchi ใช้เวลาประมาณ 25 นาที  และเดินต่ออีกนิดหน่อยไปที่ท่าเรือให้นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก (ใช้ JR Pass ได้) โดยใช้เวลาประมาณอีก 15 นาทีก็จะถึงเกาะมิยาจิม่า

พิกัด: Miyajima-cho, Hatsukaichi-shi, Hiroshima 739-0588

9. วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

วัดคิโยะมิซุหรือที่เรารู้จักกันในชื่อวัดน้ำใส เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ที่มาของชื่อวัดน้ำใสมาจากการที่วัดแห่งนี้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัด จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างโดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆ ทั้งสิ้น เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) – จังหวัดเกียวโต

และเมื่อมาถึงวัดคิโยมิซุแล้ว อย่าพลาดไปต่อคิวดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านวัดกันด้วยนะคะ นอกจากนี้บริเวณทางเข้าวัดก็ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าพื้นเมืองและขนมอร่อยๆ มากมาย ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคนจะเยอะมาก เผื่อเวลาเที่ยวกันดีๆ ใครอยากไปแบบคนน้อยๆ แนะนำว่าให้ไปตั้งแต่เช้าเลยค่ะ

ช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง: รถบัสสาย 100, 206 ลงที่ป้ายรถบัส Gojo-zaka หรือป้ายรถบัส Kiyomizu-michi และเดินประมาณ 10-15 นาที หรือขึ้นรถไฟสาย Keihan ไปลงสถานี Kiyomizu-Gojo Station และเดินต่อประมาณ 20 นาที

พิกัด: https://goo.gl/maps/ZnoJ7crLPTZ3CNk97

ใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี รีบวางแผนการเดินทางกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ เพราะถ้ารอใกล้ๆ ช่วงนั้น ทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พักก็อาจราคาพุ่งสูงขึ้น หรืออาจหายากแล้วค่ะ แต่ก่อนจะออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมสีสันของฤดูใบไม้ร่วง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเอกสาร เสื้อผ้า ยาประจำตัว และ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวญี่ปุ่น ได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

วิธีเดินทางเที่ยวเวียดนาม กับตัวเลือกการเดินทางที่เหมาะกับคุณ

วิธีการเดินทาง เที่ยวเวียดนาม ตัวเลือกการเดินทางที่เหมาะกับคุณ

เวียดนามอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ง่ายที่สุดในการวางแผนการเดินทาง เพราะลักษณะประเทศผอมยาวและประเทศที่เป็นจุดหมายไปทางอยู่คนละด้านกันของประเทศ นักท่องเที่ยวมักวางแผน เที่ยวเวียดนาม ด้วยการเดินทางเข้าประเทศที่ฮานอยทางตอนเหนือและเดินทางลงใต้มายังโฮจิมินห์ซิตี้ หรือทำตรงกันข้ามด้วยการเข้าประเทศที่โฮจิมินห์ซิตี้ และเดินทางขึ้นเหนือไปฮานอย ทั้งนี้วิธีที่สะดวกที่สุดในการเดินทางเที่ยวเวียดนามคือนั่งรถโดยสารประจำทางหรือเดินทางด้วยรถไฟที่วิ่งเลียบชายฝั่งทะเลพร้อมชมทิวทัศน์ที่สวยงาม

การขี่มอเตอร์ไซค์แนวผจญภัยก็อาจมีบ้าง หากอยากไปในพื้นที่ที่ไม่ใด้อยู่ในลิสต์ของนักท่องเที่ยวทั่วไป หรือขึ้นเรือข้ามฟากไปยังเกาะที่ห่างไกล ไม่ว่าคุณจะวางแผน เที่ยวเวียดนาม ในเส้นทางใด Allianz Travel ได้รวบรวมวิธีการเดินทางในเวียดนามมาให้แล้ว ไปดูกันเลยค่ะ

1. การเดินทางโดยรถไฟที่ให้บริการทุกวันระหว่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย

ผู้ที่เดินทางไป เที่ยวเวียดนาม เป็นครั้งแรกและอยากไปเที่ยวเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเวียดนาม วิธีที่ดีที่สุดคือการเดินทางด้วยรถไฟ รถไฟสายหลักของเวียดนามจะวิ่งเลียบตามแนวชายฝั่งทะเลจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปฮานอย และหยุดเกือบทุกเมืองที่อาจอยู่ในลิสต์ของคุณ

รถไฟขบวนที่มีรหัส SE จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุดและเร็วที่สุด ในขณะที่รถไฟที่มีรหัส TN นั้นช้ากว่าและเก่ากว่า รถไฟจะมีระดับชั้นโดยสารให้เลือก 4 ระดับตามรูปแบบของที่นั่ง เรียงลำดับตามราคาที่เพิ่มขึ้น (และความสะดวกสบาย) ได้แก่ ที่นั่งแบบแข็ง ที่นั่งแบบนุ่ม ที่นอนเตียงแข็ง และที่นอนเตียงนุ่ม และระดับชั้นที่นั่งเหล่านี้ก็มักมีตัวเลือกแบบตู้มีเครื่องปรับอากาศและแบบตู้ไม่มีเครื่องปรับอากาศอีกด้วย

รถนอนแบบเตียงแข็งจะจัดเป็นเตียง 3 ชั้น (หกเตียงต่อห้อง) ที่นอนที่อยู่บนสุดจะถูกที่สุดและเตียงล่างจะแพงที่สุด รถนอนแบบเตียงนุ่มส่วนใหญ่จะจัดเป็นเตียง 2 ชั้น (4 เตียงต่อห้อง) และทุกเตียงมีราคาเท่ากัน ที่นั่งแบบเบาะนุ่มเป็นเก้าอี้นั่งสบายที่ปรับเอนได้ โดยปกติแล้วจะจัดเรียงเป็นแถวละสี่ตัว แบ่งเป็นข้างละ 2 ตัวมีทางเดินอยู่ตรงกลาง ที่นั่งแบบแข็งมักเป็นม้านั่งไม้ คนค่อนข้างพลุกพล่าน และอาจมีคนสูบบุหรี่อยู่ด้วย ปัจจุบัน รถไฟบางขบวนมี Wi-Fi บริการด้วย (แม้ว่าความเร็วในการเชื่อมต่ออาจไม่เร็วนัก)

การเดินทางเที่ยวเวียดนามโดยรถไฟ

ค่าโดยสารรถไฟมีราคาไม่แพงและขึ้นอยู่กับเส้นทาง ชั้นโดยสารที่เราเลือก และประเภทรถไฟ รถไฟที่วิ่งจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปยังฮานอย หรือจากฮานอยไปโฮจิมินห์ซิตี้ มีหลายขบวนในแต่ละวัน การจองตั๋วรถไฟในเวียดนามทำได้ง่ายๆ ค่ะ จองที่สถานีรถไฟได้ล่วงหน้า 2-3 วันก่อนเดินทาง หรือจองออนไลน์ล่วงหน้าได้ถึง 60-90 วัน คุณสามารถซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ทางการของการรถไฟเวียดนาม หรือถ้าจะให้ง่ายก็จองผ่านเว็บ Bao Lau ที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้ ค่าตั๋วอาจแพงกว่านิดหน่อย แต่ก็ง่ายต่อการใช้งานกว่ามาก

นอกจากเส้นทางหลักที่เชื่อมระหว่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอยแล้ว ยังมีเส้นทางรถไฟอีก 3 สายที่เชื่อมระหว่างฮานอยกับเมืองอื่นๆ ของเวียดนามตอนเหนือ สายที่หนึ่งวิ่งไปทางตะวันออกไปยังเมืองท่าของเมืองไฮฟอง (Haiphong) เป็นการท่องเที่ยวระยะสั้นรอบอ่าวฮาลอง สายที่สองวิ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่เมืองลางซอน (Lang Son) และข้ามพรมแดนไปยังเมืองหนานหนิง (Nanning) ประเทศจีน สายที่สามวิ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่เมืองหล่าวกาย (Lao Cai) และนั่งรถต่อไปอีกประมาณ1 ชั่วโมงก็จะถึงเมืองซาปา ซึ่งเป็นเมืองปีนเขายอดนิยม

2. การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยรถโดยสารประจำทาง

รถโดยสารประจำทางเป็นวิธีเดินทางที่ถูกที่สุดวิธีหนึ่งในการ เที่ยวเวียดนาม จึงทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางสะดวกมาก เพราะเชื่อมโยงทั้งเมืองหลักและเมืองรองทั่วเวียดนาม

ทุกเมืองจะมีสถานีขนส่งอย่างน้อยหนึ่งแห่ง หลายแห่งมีสำนักงานขายตั๋วพร้อมราคา และเวลาออกเดินทางแสดงไว้อย่างชัดเจน คุณควรซื้อตั๋วล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อให้แน่ใจว่าได้ที่นั่งแน่นอน อีกทางเลือกหนึ่งคือการซื้อตั๋วออนไลน์โดยตรงผ่านบริษัทรถโดยสารประจำทาง เช่น Sinh Tourist หรือซื้อที่โฮสเทลหรือโรงแรมที่พัก

รถโดยสารประจำทางที่เดินทางระหว่างเมืองใหญ่มักจะเป็นรถที่ทันสมัย มีที่นั่งแบบปรับเอนนั่งสบายหรืออาจปรับนอนราบเป็นเตียงบุนวมสำหรับการเดินทางระยะไกลข้ามคืน แต่ข้อเสีย (สำหรับบางคน) คือมีทีวีที่เปิดมิวสิกวิดีโอเป็นเวลาหลายชั่วโมง) และบางคันก็เปิดเพลงคาราโอเกะเสียงดังมาก แนะนำให้เตรียมที่อุดหูและที่ปิดตาไปด้วย และอาจมีการแวะรับส่งผู้โดยสารให้ได้มากที่สุดตลอดเส้นทาง

การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยรถโดยสารประจำทาง

นอกจากนี้ยังมีบริการรถโดยสารที่ให้บริการโดยเอกชน ที่เรียกกันว่าการซื้อตั๋วแบบ “Open Tour” ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องไปขึ้นรถที่บริษัทที่จัดจำหน่ายตั๋ว มักจะเป็นเส้นทางที่เดินทางระหว่างโฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย คนที่ซื้อตั๋วแบบนี้สามารถขึ้นลงระหว่างทางที่เมืองไหนก็ได้ อย่างเช่น ดาลัด มุยเน่ ญาจาง ฮอยอัน ดานัง เว้ และนิญห์บิญห์ เป็นต้น รถโดยสารแบบ Open Tour มีเครื่องปรับอากาศ ที่นั่งจำกัด และตารางเวลาที่แน่นอน ไม่แวะรับผู้โดยสารเพิ่มระหว่างทางทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น และราคาก็ไม่ได้แพงกว่าไปกว่าตั๋วธรรมดามากนัก เหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบเหนือรถโดยสารประจำทางเป็นอย่างมาก

แต่ไม่ว่าคุณจะโดยสารรถโดยสารประจำทางประเภทใด คุณควรวางแผนการเดินทางด้วยรถบัสในอัตราความเร็วเพียง 50 กม./ชม. ในเส้นทางหลัก หรือ 70 กม./ชม. บนทางหลวง เนื่องจากบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถจักรยานยนต์ รถบรรทุก คนเดินถนน และสัตว์เลี้ยง ที่ใช้ถนนร่วมทางกัน

3. การเดินทางโดยการเช่ารถมอเตอร์ไซด์เพื่อเดินทางระหว่างเมือง

คุณสามารถหาเช่ามอเตอร์ไซค์ได้ในเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเป็นประจำ และการชี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวชมรอบเมืองก็เป็นวิธีที่สนุก ราคาไม่แพง และประหยัดเวลาในการเที่ยวชม แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์ในการขี่มอเตอร์ไซค์ควรคิดให้ดีก่อนที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ทางไกล เนื่องจากการใช้ท้องถนนของผู้ขับขี่ในเวียดนามอาจเป็นอันตรายอย่างมาก มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสำหรับผู้ไม่ชินทาง และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงหากเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกล โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบครันอยู่ห่างไกล และอาจไม่มีบริการรถพยาบาล

ในทางกลับกัน ก็มีผู้คนจำนวนมากที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปมาโดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่เราแนะนำให้เป็นทริปแบบไปเช้าเย็นกลับและท่องเที่ยวระยะสั้น พื้นที่ที่เหมาะกับการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวคือแถบภูเขาทางตอนเหนือ ที่ราบสูงตอนกลาง และบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ในขณะที่ทางหลวงโฮจิมินห์ก็มีทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นกัน บางคนเดินทางระยะไกลจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปยังฮานอย (หรือกลับกัน) โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณสองสัปดาห์ หรือเฉลี่ย 150 กม. ต่อวัน

การเดินทางเที่ยวเวียดนามโดยการเช่ารถมอเตอร์ไซด์เพื่อเดินทางระหว่างเมือง

อัตราค่าเช่ามอเตอร์ไซค์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน แต่ถ้าเช่าระยะเวลานานก็จะได้ส่วนลดเพิ่มขึ้น บางครั้งคุณอาจต้องชำระเงินล่วงหน้า ลงนามในสัญญาเช่า และ/หรือทิ้งบัตรประจำตัวหรือสำเนาหนังสือเดินทางของคุณไว้ หากคุณเช่าตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ขึ้นไป คุณอาจต้องวางเงินมัดจำที่คำนวณจากมูลค่าของมอเตอร์ไซค์ และอาจรวมถึงตั๋วเครื่องบินหรือบัตรขาออกของคุณด้วย 

ไม่ว่าคุณจะเช่าหรือซื้อ อย่าลืมตรวจสอบทุกอย่างอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเบรก ไฟ และแตร การสวมหมวกนิรภัยเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายในขณะนี้ และร้านเช่าส่วนใหญ่มีหมวกกันน็อคที่คุณสามารถยืมได้ในบางครั้งโดยมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่ได้คุณภาพสูงสุดก็ตาม

โปรดทราบว่าใบขับขี่สากลใช้ไม่ได้ในเวียดนาม แต่คุณจะต้องมีใบขับขี่จากเมืองไทยและเอกสารการจดทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ คุณต้องมีประกันบุคคลที่สามเป็นอย่างน้อย 

แม้ว่าสภาพถนนในเวียดนามจะดีขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่นอกทางหลวงสายหลักก็ยังคงเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ บางครั้งอาจเต็มไปด้วยหลุมบ่อหรือเศษหินมากมายที่ด้านข้างถนน ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์มีอยู่มากมาย หากต้องการซ้อมรถให้พูดว่า sua chua xe may (ซ่อมมอเตอร์ไซค์) แต่คุณควรพกชุดปะยาง ปั๊ม และหัวเทียนสำรองติดรถไว้ น้ำมัน (xang) มีราคาถูกและหาได้ตามริมถนน มักขายเป็นขวด คุณควรเดินทางไปกับรถคันอื่นอย่างน้อยหนึ่งคัน เผื่อในกรณีที่คุณมีปัญหา

4. การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการเช่ารถพร้อมคนขับที่ทำหน้าทีมัคคุเทศก์ด้วย

คุณไม่ควรขับรถเองในการ เที่ยวเวียดนาม การหาเช่ารถพร้อมคนขับที่ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ด้วยนั้นเป็นที่นิยมและมีที่ให้เช่าอยู่มากมาย และการเช่ารถก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีและเป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัดหากคุณเดินทางเป็นกลุ่มและมีตัวหารมากพอที่จะแบ่งค่าใช้จ่ายกัน นอกจากนี้คุณยังสามารถวางแผนการเดินทางได้ตามใจชอบอีกด้วย

การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการเช่ารถ

ราคาค่าเช่าของแต่ละที่อาจแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นจึงควรถามราคาจากหลายๆ แห่งก่อน แต่ค่าเช่าโดยประมาณอยู่ที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันสำหรับรถยนต์ และ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันสำหรับรถจี๊ปหรือรถ 4WD ขึ้นอยู่กับขนาด อายุของรถ และระดับความสะดวกสบายของรถ เมื่อต่อรองราคา ควรคุยให้ชัดเจนว่าราคาที่ต้องจ่ายรวมอะไรบ้าง อย่างเช่น ค่าที่พักและอาหารของคนขับ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วนและเรือข้ามฟาก ค่าจอดรถและค่าซ่อมแซมหากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือรถเสีย ควรมีสัญญาที่จะลงนามแสดงรายละเอียดทั้งหมด รวมทั้งกำหนดการเดินทางที่ตกลงกันไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเช่ามากกว่าหนึ่งวัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนขับได้รับสำเนาเป็นภาษาเวียดนาม ในบางกรณี คุณจะต้องชำระเงินล่วงหน้า แต่หากเป็นไปได้ ควรต่อรองให้คุณชำระเงินแค่ครึ่งหนึ่งก่อนและจ่ายยอดคงเหลือในตอนท้ายทริป

หากคุณเลือกใช้บริการรถท่องเที่ยวพร้อมคนขับ บริษัทรถเช่าจะจัดการเรื่องประกันภัยให้ แต่ถ้าคุณเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ให้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยการเดินทางก่อน เพราะส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครองคุณในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากคุณไม่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ นักเดินทางหลายคนไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ หากมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอาจมากจนแทบหมดตัวได้ และที่สำคัญคุณต้องสวมหมวกกันน็อคขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ตลอดเวลา

5. การเดินทางโดยเที่ยวบินภายในประเทศ

การบินช่วยให้คุณเดินทางได้ไกลขึ้นและสามารถประหยัดเวลาอันมีค่าในการเดินทางได้ ตัวอย่างเช่น การบินระหว่างฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับการนั่งรถไฟที่อาจใช้เวลาถึง 30-40 ชั่วโมง ตั๋วของสายการบิน Jetstar มีราคาที่เหมาะสม และเพิ่มเงินอีกเล็กน้อยหากเดินทางกับ Vietnam Airlines หรืออาจใช้บริการการบินจากฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ไปยังเว้ (Hué) ดานัง (Da Nang) ญาจาง (Nha Trang) และเกาะฟูโกว๊ก (Phu Quoc Island) ได้อีกด้วย คุณต้องมีหนังสือเดินทางติดตัวไว้ด้วยเมื่อโดยสารเที่ยวบินภายใน

การเดินทางเที่ยวเวียดยนาม โดยเที่ยวบินภายในประเทศ

สายการบินแห่งชาติของเวียดนามคือ Vietnam Airlines มีเครือข่ายเที่ยวบินภายในประเทศที่มีราคาถูก มีประสิทธิภาพ และครอบคลุม บริษัทมีสำนักงานให้จองตั๋วทุกเมือง สายการบินมักมีเส้นทางบินเปิดใหม่ภายในประเทศตลอดเวลาและราคาที่ไม่แพงมาก (หากคุณจองล่วงหน้า) คุณสามารถซื้อตั๋วสายการบินได้ด้วยบัตรเครดิตและเดบิตระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม การยกเลิกเที่ยวบินก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน คุณไม่ควรวางแผนที่จะบินจากสนามบินภูมิภาคขนาดเล็กเพื่อไปต่อเครื่องระหว่างประเทศในวันเดียวกัน  พยายามเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวันถ้าเป็นไปได้

6. การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการปั่นจักรยานเที่ยวชมเมือง

การปั่นจักรยานเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเที่ยวชมรอบในราคาถูก ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณจะหาซื้อจักรยานที่ผลิตในญี่ปุ่นคุณภาพดีในเวียดนามได้ แต่หากคุณวางแผนปั่นจักรยานทางไกลในวันหยุด คุณควรนำจักรยานของตัวเองติดตัวไปด้วย อย่าลืมอะไหล่และเครื่องมือที่จำเป็นทั้งหมด จักรยานเสือภูเขารับมือได้ดีที่สุดกับพื้นผิวถนนหลากหลายรูปแบบของเวียดนาม ที่สำคัญต้องพกหมวกกันน็อคและกระดิ่งที่เสียงดัง กระจกมองหลังก็มีประโยชน์มากด้วย

การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม โดยการปั่นจักรยานเที่ยวชมเมือง

ถ้าคุณคิดว่าเหนื่อยพอแล้ว หรือกำลังจะเดินทางข้ามเมือง คุณสามารถนำจักรยานขึ้นรถไฟ (สอบถามก่อนว่าขบวนไหนที่สามารถนำจักรยานไปด้วยได้) โดยมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย คุณต้องนำจักรยานไปที่สถานีก่อนเวลาเพื่อนำไปเก็บไว้ในตู้บรรทุกสัมภาระ รถโดยสารประจำทางบางคันก็ยอมให้นำจักรยานไปด้วยได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากนำไปไว้ในช่องเก็บสัมภาระ (ต้องใส่หีบห่อมา) ไม่เช่นนั้นคุณจะต้องจ่ายค่าที่นั่งเพิ่ม

หากคุณอยากขี่จักรยานชมเวียดนามกับผู้เชี่ยวชาญหรือมีไกด์นำทาง มีหลายบริษัทที่เชี่ยวชาญการให้บริการทัวร์ปั่นจักรยานที่หาได้ไม่ยากในเมืองท่องเที่ยว

7. การเดินทางโดยเรือ แบบไปเช้าเย็นกลับ

เวียดนามมีแม่น้ำหลายแห่งที่สามารถเดินเรือได้ แม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา คุณสามารถล่องเรือชมทัศนียภาพในแม่น้ำได้ในเมืองฮอยอัน (Hoi An) ญาจาง (Nha Trang) ดานัง (Danang) เว้ (Hue) นินห์ บินห์ (Ninh Binh) และแม้แต่โฮจิมินต์ซิตี้

การเดินทางเที่ยวเวียดนามโดยเรือ

ทริปล่องเรือในทะเลก็เป็นที่นิยม อย่างเช่น การล่องเรือไปตามเกาะต่างๆ ของอ่าวฮาลองเบย์ ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนเวียดนามตอนเหนือทุกคน การเที่ยวชมหมู่เกาะจาม ทางตอนกลางของเวียดนาม (ไปจากฮอยอัน) และทางตอนใต้ก็มีทริปไปยังเกาะต่างๆ นอกญาจางและรอบ ๆ เกาะฟู้โกว๊ก (Phu Quoc)

การเดินทางไป เที่ยวเวียดนาม สามารถไปได้ง่ายมาก และปัจจุบันก็สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องตรวจโควิด-19 ไม่ต้องแสดงเอกสารการรับวัคซีน และไม่ต้องกักตัว เวียดนามมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เราแวะไปเยี่ยมชมด้วยวิธีการเดินทางที่เหมาะกับแผนการเดินทางของคุณ 

และเพื่อให้คุณเดินทางแบบไร้กังวล หมดห่วงกับการที่ต้องมาแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : roughguides.com, lonelyplanet.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

12 ที่เที่ยวเวียดนาม ไฮไลท์ที่ควรเก็บใส่ลิสต์

12 ที่เที่ยวเวียดนาม 2022 ที่ควรเก็บไว้ในลิสต์

เวียดนามมีทั้งเมืองใหญ่ที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยรถและผู้คน และความงามทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์และน่าทึ่งติดอันดับโลก จากภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกปกคลุม ทุ่งนาเชียวขจี และน้ำตกสูงที่ให้บรรยากาศสดชื่นของเวียดนามตอนเหนือ ไปจนถึงหาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลสีฟ้าครามใสของชายหาดทางตอนใต้ ไฮไลท์ ที่เที่ยวเวียดนาม มีมากมาย จนติดอันดับในประเทศยอดนิยมของนักเดินทาง Allianz Travel ได้รวบรวม 12 สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในเวียดนามมาให้คุณเตรียมตัวเที่ยวเวียดนามกัน รวมทั้งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมสถานที่แต่ละแห่งและวิธีการเดินทาง ไฮไลท์ ที่เที่ยวเวียดนาม มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย

หมายเหตุ: ในช่วงโควิด-19 มีข้อจำกัดในการเดินทางเที่ยวเวียดนามและเวลาทำการของสถานที่อาจแตกต่างจากช่วงเวลาปกติไปบ้าง ตรวจสอบคำแนะนำล่าสุดในเวียดนามก่อนวางแผนการเดินทาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละพื้นที่เสมอ

1. ซาปา (Sapa)

ซาปาตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีน เป็นเมืองเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆท่ามกลางเทือกเขาที่สูงตระหง่านเหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,650 เมตร และล้อมรอบด้วยนาข้าวขั้นบันไดที่เขียวขจี (คุณต้องไปเที่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมของปี!)

Sapa in Vietnam

นอกจากชื่อเสียงเรื่องทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ซาปายังมีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของตนเอง จากหมู่บ้านเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่บนเนินเขา ซึ่งเป็นบ้านของชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่าพันธุ์ 

จากการผสมผสานทั้งวัฒนธรรมและความงามตามธรรมชาติทำให้ซาปาควรค่าแก่การเยี่ยมชมหากคุณมีโอกาส แม้ว่าสถานที่ห่างไกลจะทำให้การเดินทางลำบาก แต่ก็เป็นสิ่งที่รักษาความงดงามของทัศนียภาพและมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานไว้เป็นเวลานาน!

Sapa in Vietnam

ช่วงเวลาเที่ยว:

ช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมเป็นเดือนที่ดีที่สุดในการชมนาขั้นบันได หรือช่วงที่อากาศดีและท้องฟ้าแจ่มใสคือช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 

วิธีการเดินทาง:

ไม่มีเที่ยวบินไปซาปา วิธีที่ดีที่สุดคือนั่งรถไฟข้ามคืนมาลงที่เมืองลาวไค (Lao Cai) และต่อรถตู้ขึ้นเขา หรืออีกทางหนึ่งคือนั่งรถโดยสารประจำทางหรือรถตู้จากฮานอยประมาณ 5-6 ชั่วโมงมาลงที่กลางเมือง

กิจกรรมแนะนำ:

เดินเขาเที่ยวระหว่างหมู่บ้านเพื่อดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันตระการตาและสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของหมู่บ้านชาวเขา หรือหากการเดินเขาไม่ใช่ทางที่คุณชอบ คุณสามารถสำรวจจุดที่สวยงามที่สุดได้ด้วยการเดินทางแบบไปเช้าเย็นด้วยรถยนต์

2. อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay)

คำว่าอ่าวฮาลองเป็นภาษาเวียดนามแปลว่า อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออกประมาณ 170 กิโลเมตร ความสวยงามเกิดจากเกาะหินปูนสูงตระหง่านรูปร่างแปลกตา ตั้งเรียงรายสลับกับเกาะแก่งเล็กๆ กว่า 1,969 เกาะ ท่ามกลางน้ำทะเลสีเขียวมรกต โดยบนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน กลายเป็นความงดงามที่และความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยื่อนทุกปี

อ่าวฮาลอง เป็นอีกสถานที่หนึ่งในเวียดนามที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537

Ha Long Bay

ช่วงเวลาเที่ยว:

ช่วงที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมอ่าวฮาลองคือเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนที่มีท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิกำลังปานกลาง และทะเลสงบ ในช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน อาจมีพายุโซนร้อนเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้ามากนัก ช่วงไฮซีซั่นในฮาลองมักเป็นช่วงตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการท่องเที่ยวภายในประเทศสูงสุด

เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนมักจะอากาศเย็นและมีฝนตกปรอยๆ และหมอกอาจทำให้ทัศนวิสัยต่ำ แม้ว่าจะช่วยเพิ่มบรรยากาศให้สวยงามและโรแมนติก บางครั้งเรือท่องเที่ยวจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง หรืออาจยกเลิกการเดินทางได้โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพทะเล หากคุณกำลังจองเรือ ให้ตรวจสอบนโยบายการคืนเงินให้ดีก่อน

วิธีการเดินทาง:

การเดินทางจากฮานอยไปยังอ่าวฮาลองเบย์มีหลายวิธีดังนี้

  • Seaplane (45 นาที) บินออกจากสนามบินนานาชาตินอยไบ (Noi Bai International Airport)ในฮานอยไปยังท่าเรือ Tuan Chau Cruise Port ซึ่งเป็นท่าเรือไปยังฮาลองเบย์
  • รถบัส (3-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร) แนะนำให้ใช้บริการรถบัสที่ให้บริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและมีคุณภาพดีกว่ารถเมล์ท้องถิ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมถึงมี Wi-Fi บนรถ
  • รถเมล์ท้องถิ่น (4-5 ชั่วโมง) มีราคาถูกที่สุดและยังได้รับประสบการณ์ท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใคร เหมาะกับคนที่ต้องการท่องเที่ยวแบบผจญภัย หรือมีงบประมาณจำกัด หรือคุ้นเคยกับประเทศเวียดนามเป็นอย่างดี
  • รถไฟ (6-7 ชั่วโมง) รถไฟมีเพียงวันละ 1 เที่ยวจากสถานี Yen Vien ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 10 กม. โดยออกจากฮานอยเวลา 4:55 น. และมาถึงที่สถานีฮาลองเวลา 11:41 น. 

กิจกรรมแนะนำ:

ล่องเรือข้ามคืนผ่านอ่าวฮาลองบนเรือสำเภาแบบดั้งเดิมถือเป็นไฮไลท์ คุณจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันแปลกตาขณะล่องไปตามผืนน้ำ ผ่านหมู่บ้านลอยน้ำ เช่น Cua Van, Vung Vieng และ Cong Dam หรือพายเรือคายัคผ่านถ้ำและหุบเขาอันตระการตา ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสำรวจสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม

3. น้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน (Ban Gioc Detian Waterfall)

น้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน อยู่ห่างจากฮานอยประมาณ 360 กิโลเมตร เป็นน้ำตกข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและเป็นอันดับ 4 ของโลก ตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างประเทศจีนและเวียดนาม มีชื่อว่าน้ำตกเต๋อเถียนในประเทศจีน และชื่อน้ำตกบ่านซ่อกในประเทศเวียดนาม มีต้นน้ำมาจากแม่น้ำกุ้ยชุนของจีน น้ำไหลแรงมาในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกนี้มีความกว้างรวมประมาณ 200 เมตร และสูงกว่า 70 เมตร ทัศนียภาพของน้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน ใหญ่โตและน่าเกรงขาม คุณจะได้ยินเสียงของน้ำตกดังมากก่อนที่คุณจะได้เห็นน้ำตกเสียอีก 

Ban Gioc Detian Waterfall

ช่วงเวลาเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูน้ำหลากและน้ำตกไหลแรง นักท่องเที่ยวจะได้เห็นน้ำตกสวยงาม ภูเขาและต้นไม้เขียวขจี หากไปช่วงฤดูแล้ว น้ำตกจะมีปริมาณน้ำน้อยมาก

วิธีการเดินทาง:

นั่งรถบัสจากสถานีขนส่ง My Dinh ในฮานอยไปยังเมืองกาวบ่าง (Cao Bang) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง และต่อรถมินิบัสไปยังน้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน อีกประมาณ 2 ชั่วโมง

กิจกรรมแนะนำ:

ชมน้ำตกจากจุดชมวิว หรือล่องแพไม้ไผ่ในแอ่งน้ำที่ด้านล่างของน้ำตกเพื่อสัมผัสน้ำตกอย่างใกล้ชิดและเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังสามารถปีนเข่ขึ้นไปชมวิวน้ำตกแบบพาโนรามาได้อีกด้วย

4. จังหวัด นิญห์ บิ่ญห์ (Ninh Binh)

จังหวัด นิญห์ บิ่ญห์อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงฮานอย เป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่นว่าเป็น ‘ฮาลองเบย์บนบก’ ครอบคลุมพื้นที่ที่มีความงามตามธรรมชาติ ด้วยภูมิทัศน์ของแม่น้ำที่มีมนต์ขลัง มีภูเขาหินปูนสูงชันนับร้อยที่ปกตลุมไปด้วยป่าทึบ ทุ่งนาสีเขียวคดเคี้ยวไปตามแม่น้ำ Ngo Dong วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงนิญห์ บิ่ญห์คือการล่องเรือไปตามแม่น้ำ และปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่เป็นตำนาน ที่นี่เหมาะกับการใช้เวลาพักผ่อนในส่วนที่สวยและบริสุทธิ์ที่สุดของเวียดนาม เมืองนิญห์ บิ่ญห์เหมาะสำหรับทุกคนที่สนใจในธรรมชาติ มีสิ่งต่างๆ ให้สำรวจมากมาย เช่น ถ้ำโบราณ เจดีย์ที่สวยงาม เขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Van Long และอุทยานแห่งชาติ Cuc Phuong อุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนามที่มีเส้นทางเดินป่าที่ยอดเยี่ยม

Ninh Binh
ขอบคุณรูปภาพจาก : Đằng Nguyễn on Unsplash

ช่วงเวลาเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมนิญห์ บิ่ญห์คือตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนกรกฎาคม และตั้งแต่เดือนกันยายนถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรในท้องถิ่นเก็บเกี่ยวข้าว หากคุณมาในช่วงฤดูแล้ง (พฤศจิกายนถึงมีนาคม) การเก็บเกี่ยวข้าวจะสิ้นสุดลง ทำให้ทุ่งนามีสีเหลืองขุ่น แม้ว่าคุณจะไม่เห็นความเขียวขจีมากนัก แต่ทิวทัศน์ก็ยังน่าประทับใจ

วิธีการเดินทาง:

สามารถเดินทางไปเมือง นิญห์ บิ่ญห์ ได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงโดยรถยนต์ส่วนตัวจากฮานอย หรือประมาณ 3 ชั่วโมงจากอ่าวฮาลอง

5. จังหวัด ฮ่า ซาง (Ha Giang)

ฮ่า ซาง เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ถือเป็นจุดเหนือสุดของประเทศโดยมีพรมแดนร่วมกับมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีน จึงเป็นที่รู้จักในฐานะเขตแดนสุดท้ายของเวียดนาม คุณจะได้ดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของภูมิทัศน์และบรรยากาศของเมืองที่ห่างไกลและหมู่บ้านชนกลุ่มน้อย มีภูเขาเป็นป่า ถ้ำลึกลับ และหุบเขา Quan Ba ​​ที่มีจุดชมวิวที่เรียกว่า Quan Ba Pass หรือที่รู้จักกันในชื่อประตูสวรรค์ (Heaven’s Gate) ให้ทัศนียภาพตระการตาของนาขั้นบันได เนินเขา และแม่น้ำคดเคี้ยว

Ha Giang
ขอบคุณรูปภาพจาก : Minh Bách Trương on Unsplash

ช่วงเวลาเที่ยว:

ฮ่าซางเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่อุณหภูมิจะดีที่สุดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน และตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ฤดูแล้งทำให้เกิดสภาพอากาศหนาวเย็น ในขณะที่ฤดูร้อนจะมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม

วิธีการเดินทาง:

วิธีที่ง่ายที่สุดในการไปฮ่าซางคือการขับรถจากฮานอยประมาณ 6 ชั่วโมง หรือนั่งรถโดยสารแบบนอนจากฮานอยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง

6. ฮอยอัน (Hoi An)

ฮอยอัน (Hoi An) คือเมืองในจังหวัดกว๋างนาม (Quang Nam) เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็น ที่เที่ยวเวียดนาม ที่มีบรรยากาศและมีเสน่ห์ที่สุดของเวียดนาม มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่มากมาย คุณจะสนุกกับการสำรวจย่านเมืองเก่าที่เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งเวียดนาม จีน และญี่ปุ่น เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงพีคที่สุดของฮอยอันคือราวศตวรรษที่ 16-17 เพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานเต็มไปหมด นอกจากหลักๆ ที่เป็นคนจีน ญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังมีชาวดัตช์และอินเดียที่เข้ามาเยอะมาก

เมืองฮอยอันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 1999 เหมาะสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ย่านเมืองเก่ายังคงอนุรักษ์มรดกอันน่าทึ่งไว้ในสภาพเดิมได้อย่างดี ทั้งบ้านพ่อค้าญี่ปุ่น ตึกแถวสไตล์จีน อาคารยุคอาณานิคมฝรั่งเศส และโกดังชาโบราณ แถมยังทาสีสันสดใส ประดับตกแต่งด้วยโคมไฟกระดาษแบบเวียดนาม 

แม้ว่าร้านค้าเก่าหลายแห่งจะเปลี่ยนเป็นธุรกิจสมัยใหม่ เช่น ร้านตัดเสื้อ หอศิลป์ ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร แต่เมืองนี้ยังคงเสน่ห์และบรรยากาศที่ล้าสมัยไว้ ทุกคืนไฟฟ้าในเมืองเก่าจะถูกปิดและโคมไฟไหมแบบดั้งเดิมจะถูกแขวนไว้ที่หน้าร้านทุกแห่ง ตะเกียงหลากสีสว่างไสวไปตามถนนและส่องแสงระยิบระยับสุดโรแมนติกเหนือแม่น้ำทูโบน

Hoi An

ช่วงเวลาเที่ยว:

ช่วงที่ดีที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวฮอยอันคือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน คุณจะพบกับอุณหภูมิที่อุ่นสบายและมีฝนตกเล็กน้อย หากต้องการชมพระจันทร์เต็มดวงในช่วงเวลาที่สวยที่สุดแห่งปีควรไปช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม แต่ก็ต้องแลกกับอากาศที่ร้อนมาก

วิธีการเดินทาง:

วิธีที่ง่ายที่สุดในการไปถึงฮอยอันคือบินมาที่ดานัง ซึ่งอยู่ห่างจากฮอยอันเพียง 40 นาที แล้วเดินทางต่อด้วยรถไฟหรือรถยนต์ส่วนตัว

7. อุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่าง (Phong Nha-Ke Bang National Park)

อุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่างได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประกอบด้วยภูเขาหินปูนที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งมีอายุระหว่าง 400 ถึง 450 ล้านปี แม่น้ำใต้ดิน สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ถ้ำที่กว้างใหญ่ และป่าที่ยังไม่ถูกทำลาย คุณสามารถสนุกกับกิจกรรมมากมาย ทั้งการปีนเขา ปั่นจักรยาน พายเรือ หรือพักผ่อนในภูมิภาคที่งดงามและน่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม

ที่นี่เป็นที่ตั้งของถ้ำเซินด่อง (Hang Son Doong) ซึ่งถูกค้นพบในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และได้รับการยืนยันว่าเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2009 ถ้ำนี้มีความยาวกว่า 5 กิโลเมตร โดยมีส่วนสูง 200 เมตรและกว้าง 150 เมตร และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักเดินทางที่ชื่นชอบการผจญภัย 

Phong Nha-Ke Bang National Park

ช่วงเวลาเที่ยว:

เดือนที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่างคือระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายและมีฝนตกน้อย ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ก็ไม่มีฝนเช่นกัน แต่อากาศค่อนข้างเย็น เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ในขณะที่เดือนสิงหาคมและธันวาคมควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากฝนตกหนักและน้ำท่วม

วิธีเดินทาง:

คุณสามารถโดยสารเที่ยวบินภายในประเทศไปยังสนามบิน Dong Hoi จากนั้นนั่งรถต่อไปที่อุทยานเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ระยะทางประมาณ 50 กม.) นอกจากนี้คุณยังสามารถเช่ารถพร้อมคนขับได้จากทุกพื้นที่ในเมือง เช่น ฮานอย นิญห์บิญห์ อ่าวฮาลอง และฮอยอัน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงอุทยานค่อนข้างเข้มงวด (อุทยานยังเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด) อุทยานไม่อนุญาตให้นักท่องเที่นวเดินเขากันเอง คุณต้องไปกับบริษัททัวร์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

8. ดานัง (Da Nang)

ดานังเป็นอดีตหมู่บ้านชาวประมง เมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลาง ที่นี่เป็น ที่เที่ยวเวียดนาม ที่มีความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุดของเวียดนามกลาง เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หาดทรายขาวที่ขึ้นชื่อ วิวที่สวยงามของภูเขาหินอ่อน งานศิลปะผ้าไหมปัก สถานบันเทิงยามค่ำคืน สตรีทฟู้ด รวมถึงร้านอาหารทะเลสดและอร่อย ทำให้ดานังดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกไว้ได้

บรรยากาศของเมืองดานังคึกคักไปด้วยผู้คน เรือสินค้าที่จอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งน้ำ กับเรือประมงเล็กๆ ของชาวบ้านใช้ออกหาปลา ตลอดจนตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่สีสันสดใส นอกจากนี่ ยังมีหาดหมีเคว (My Khe) หาดทรายสีขาวที่สวยงามพร้อมกีฬาทางน้ำมากมาย หรือแวะเยี่ยมชมบานาฮิลส์ เมืองท่องเที่ยวที่เคยเป็นสถานที่ตากอากาศของชาวฝรั่งเศสมาตั้งแต่ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และกลับมาบูรณะเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกครั้งในปี ค.ศ.2009 พร้อมกระเช้าลอยฟ้า 5,801 เมตรที่ต้องใช้เวลาถึง 50 นาที นับว่าเป็นการนั่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย

คุณไม่ควรพลาดสะพานทองคำยาว 150 เมตรที่คุณจะได้เห็นมือหินยักษ์สองมือโผล่ออกมาจากภูเขาเพื่อประคองสะพานสีทอง สะพานแห่งนี้สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร ที่คุณจะได้ชมทิวทัศน์มุมกว้างของเมือง ตลอดจนภูมิทัศน์ธรรมชาติโดยรอบ

Da Nang

ช่วงเวลาเที่ยว:

สภาพอากาศในดานังจะดีที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าแจ่มใส เดือนที่ร้อนที่สุดคือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ในขณะที่ฤดูฝนจะมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนกันยายนถึงกุมภาพันธ์

วิธีเดินทาง:

คุณสามารถหาเที่ยวบินจากกรุงเทพไปลงที่สนามบินนานาชาติดานัง (DAD) หรือเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ดานังอยู่บนเส้นทางรถไฟสายหลักที่ให้บริการจากฮานอย เว้ และโฮจิมินห์ซิตี้ หรือใช้บริการรถโดยสารประจำทางหรือรถส่วนตัว

9. เกาะฟูโกว๊ก (Phu Quoc Island)

เกาะฟูก๊วกอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนใต้ของเวียดนามประมาณ 45 กิโลเมตร เป็นสวรรค์เขตร้อนที่มีหาดทรายสีขาวและน้ำทะเลเป็นประกาย ป่าเขียวชอุ่มและน้ำตกที่มีมนต์ขลัง ที่นี่เป็นเกาะเงียบสงบ และมีขนาดเล็กพอที่จะสำรวจชายหาดกว่าสิบแห่งได้ด้วยจักรยานหรือสกู๊ตเตอร์ ทางด้านตะวันตกของเกาะจะมีหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าคราม และชมวิวอันสวยงามตอนพระอาทิตย์ตกดิน 

นอกจากกิจกรรมการดำน้ำตื้น พายเรือคายัค และล่องเรือนี้ คุณยังสามารถเข้าไปในป่าเพื่อสำรวจเส้นทางเดินป่าและชมสัตว์ป่า หรือแวะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมืองดวงดง (Duong Dong) ที่มีชีวิตชีวามากมาย มีขายทั้งงานฝีมือและอาหารทะเลสด

Phu Quoc Island

ช่วงเวลาเที่ยว:

พฤศจิกายนถึงมีนาคมเป็นฤดูท่องเที่ยวของฟู้โกว๊ก โดยมีอากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสีคราม ตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายนยังเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเยี่ยมชมโดยมีนักท่องเที่ยวน้อยลงและป่าไม้ที่สวยงามหลังจากฝนตกหนักตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

วิธีเดินทาง:

เกาะฟูก๊วกสามารถเข้าถึงได้ด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ๆ เช่น ฮานอย โฮจิมินห์ และดานัง หรือบริการรับส่งส่วนตัวและเรือข้ามฟากความเร็วสูงไปยังเกาะ

10. ดาลัด (Da Lat)

ดาลัดเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนบนของประเทศเวียดนาม จุดเด่นคือเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงและถูกโอบล้อมไปด้วยทิวเขา ทะเลสาบ น้ำตก ป่าไม้ จึงทำให้ดาลัดเป็นเมืองที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 17 องศาเซลเซียสเท่านั้น และด้วยอากาศที่ดีและมีสภาพแวดล้อมที่สวยงามนี่เอง ดาลัดจึงได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิที่โรแมนติกที่สุดในเวียดนามใต้จนขึ้นชื่อว่าเป็น “ปารีสแห่งเวียดนาม”

คุณจะพบว่าดาลัดเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ซึ่งเต็มไปด้วยวิลล่าสไตล์อาณานิคมฝรั่งเศส รถม้า หอวิทยุรูปหอไอเฟล และหุบเขาแห่งความรักอันงดงาม ประดับประดาด้วยประติมากรรมรูปหัวใจ โดยรอบเมืองรายล้อมไปด้วยไร่กาแฟ สตรอเบอร์รี่ และดอกไม้ที่งดงาม อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญของดาลัดก็คือ Doha Cafe เป็น Cafe ที่มีลักษณะรูปทรงเหมือนดอก Atiso ซึ่งเป็นดอกไม้เมืองหนาวที่ปลูกในดาลัด อากาศที่เย็นกว่าและอากาศบนภูเขาที่มีหมอกปกคลุมทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง และคุณสามารถไปเดินป่า ปั่นจักรยานเสือภูเขา ล่องแก่ง และล่องแก่งบนเนินเขาโดยรอบ

Da Lat

ช่วงเวลาเที่ยว:

ดาลัดมีความสวยงามที่สุดระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงเบ่งบานเต็มที่ สภาพอากาศแห้งและมีแดดจัด และอุณหภูมิก็เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมผจญภัยกลางแจ้ง

วิธีเดินทาง:

คุณสามารถบินตรงจากกรุงเทพไปยังเมืองดาลัดได้ โดยใช้เวลาแค่ 1.45 ชม. หรือเดินทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากฮานอยหรือโฮจิมินห์ไปยังสนามบินเลียนเคือง (Lien Khuong) ซึ่งอยู่ห่างจากดาลัดไปทางใต้ 30 กิโลเมตร หรือนั่งรถโดยสารจากโฮจิมินห์ มุยเน่ หรือญาจาง

11. ญาจาง (Nha Trang)

เมืองญาจางอยู่บริเวณริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม อดีตเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรจามปามาก่อน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ก่อเกิดมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 2 และรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 9-10 โดยพื้นที่ของอาณาจักรจามปาจะครอบคลุมอยู่บริเวณเวียดนามกลางและเวียดนามใต้แถบแนวฝั่งทะเลจีนใต้ สิ่งที่บ่งบอกว่าญาจางเคยเป็นอาณาจักรเก่าแก่มาก่อนก็คือปราสาทโปนาคา (Po Nagar Cham Towers) มีลักษณะเป็นปราสาทที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบขอมและฮินดู สันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 7-12 เลยทีเดียว

ปัจจุบันญาจางเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ด้วยฉากหลังของภูเขาที่สวยงาม ชายหาดพระจันทร์เสี้ยวที่กว้างใหญ่และสวยสะอาดตา และอ่าวสีฟ้าครามที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวรองรับหลากหลายแบบทั้งที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ วัดวาอาราม รวมไปถึงสวนสนุกขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีค่าครองชีพไม่แพง ครบครันไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีสนามบินในเมืองใกล้ๆ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไมญาจางจึงเป็นรีสอร์ทริมชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวียดนาม

The towers of Po Nagar near Nha Trang in Vietnam

ช่วงเวลาเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมญาจางคือเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายและไม่ค่อยมีฝน ทัศนวิสัยในการดำน้ำก็ดีที่สุดเช่นกันในช่วงเดือนนี้ และผู้ชื่นชอบการดำน้ำจะหลงรักแหล่งปะการังที่อุดมสมบูรณ์ของทะเลในเมืองญาจาง

วิธีเดินทาง:

เมืองญาจางอยู่ใกล้ไทยเพียงนิดเดียว ถ้าหากเดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ก็จะใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ราว ๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติกามซัญ (Cam Ranh International Airport) ที่ห่างจากญาจางประมาณ 30 กิโลเมตร หากคุณไปเที่ยวเมืองอื่นด้วย คุณสามารถเดินทางไปญาจางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ๆ ในเวียดนาม เช่น ฮานอย โฮจิมินห์ และดานัง หรือเดินทางโดยรถไฟหรือรถยนต์ส่วนตัว

12. มุยเน่ (Mui Ne)

มุยเน่ เป็นเมืองทางชายฝั่งทะเลในจังหวัดบิ่ญถ่วน (Binh Thuan) ทางภาคกลางตอนใต้ของเวียดนาม และเป็นหนึ่งในเมืองพักตากอากาศยอดฮิตสำหรับชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ แหล่งรวมพิกัดคูลๆ ที่ไม่ต้องบินไปเที่ยวไกลๆ ถึงแม้จะไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะเท่าเมืองใหญ่ๆ แต่ที่เที่ยวธรรมชาติของที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้เมืองอื่น ใครที่วางแผนจะไปเที่ยวเวียดนาม จดมุยเน่ลงในลิสต์ รับรองไม่มีผิดหวัง

ไฮไลท์ของมุยเน่ก็คือเนินทราย (Sand Dunes) ที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนินทรายเป็นเกราะป้องกันพายุและการกัดเซาะชายหาด และเป็นที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ทำให้เกิดความหลากหลายทางธรรมชาติ เนินทรายที่มุยเน่มีทั้งหมด 18 เฉดสีด้วยกันค่ะ และเนินทรายที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่สุดคือทะเลทรายขาว (White Sand Dunes) ที่กินพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและสวยงามมากเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และเนินทรายแดง (Red Sand Dunes) ที่ประกอบด้วยเนินเขาสีทองแดงที่เปล่งประกายเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน 

นอกจากนี้สถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือลำธารนางฟ้า (Fairy Stream) ที่เกิดจากภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำและลม จนกลายเป็นร่องหินไล่เฉดสีเข้มอ่อนอย่างน่าอัศจรรย์ ยาว 20 เมตร และมีลำธารไหลผ่าน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเดินลุยน้ำไปตามลำธารค่ะ ดังนั้นต้องเตรียมชุดมาให้พร้อมนะคะ

Mui Ne

ช่วงเวลาเที่ยว:

มุยเน่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่วิเศษสุดในเวียดนาม คุณจะเพลิดเพลินไปกับสภาพอากาศที่สบายตลอดทั้งปี ถ้าต้องการเล่นเซิร์ฟและใช้เวลาที่ชายหาด ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายน

วิธีเดินทาง:

ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะเครื่องบินไปลงที่โฮจิมินห์ซิตี้ก่อน แล้วค่อยนั่งรถบัสเดินทางไปที่มุยเน่ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นอกจากนี้การเรียกแท็กซี่จากโฮจิมินห์ซิตี้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี แม้ราคาอาจจะแพงหน่อย แต่คุณสามารถจองแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังมุยเน่เวลาใดก็ได้ (ใช้เวลาขับรถ 4 ชั่วโมง) ถ้าจะเดินทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปมุยเน่ มีเที่ยวบินประมาณ 1 เที่ยวต่อวัน หรือเดินทางด้วยเรือเร็วจากโฮจิมินห์ซิตี้มี 2 เที่ยวต่อวัน คือรอบเช้าและรอบบ่าย หากคุณต้องการใช้เวลาบนเนินทรายมากขึ้น คุณสามารถพักในหมู่บ้านชาวประมงมุยเน่ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเรียงรายไปด้วยหาดทรายสีทองสวยงาม ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นว่าวและวินด์เซิร์ฟ

นักท่องเที่ยวที่ถือหนังสือเดินทางประเทศไทยสามารถเที่ยวเวียดนามได้นานถึง 30 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า (พาสปอร์ตต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน) และในปัจจุบันนี้การเดินทางเข้าประเทศเวียดนามก็ไม่ต้องใช้ผลตรวจโควิด-19 และเอกสารการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม แจ้งไว้ว่าคุณจะต้องมีประกันสุขภาพหรือประกันภัยการเดินทางที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มครองรวมถึงโควิด-19 ขั้นต่ำ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,500,000 บาท 

นอกจากเรื่องการเจ็บป่วยที่อาจทำให้คุณกังวลและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากระหว่างการเดินทางเที่ยวเวียดนามแล้ว อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ เกิดขึ้นที่ทำให้คุณต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : wayfairertravel.com, lonelyplanet.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

สิงคโปร์เป็นเมืองที่คึกคักเต็มไปด้วยตึกระฟ้าสมัยใหม่และสถาปัตยกรรมล้ำยุค เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความแตกต่างอันงดงาม คุณจะเห็นอาคารยุคอาณานิคมตั้งอยู่เคียงข้างห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัย หรือพื้นที่อันเขียวชอุ่มที่โอบล้อมด้วยความเป็นเมือง และนอกจากแกลเลอรีศิลปะสุดเก๋ ร้านอาหารระดับโลก และสถานที่ท่องเที่ยวสิงคโปร์สุดฮิต ที่โด่งดังระดับโลก หากคุณได้มาเที่ยวสิงคโปร์ เราแนะนำให้คุณลองออกไปสำรวจพื้นที่ต่างๆ ของสิงคโปร์ให้มากขึ้น คุณอาจจะได้พบ ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่เป็นร้านเก๋ๆ ตั้งอยู่ภายในสวนสวย สถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี รวมถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงาม Allianz Travel ได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในสิงคโปร์ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้จัก รอให้คุณได้ไปสำรวจความลับที่เก็บไว้อย่างดี และถ้าได้ไปเที่ยวสิงคโปร์ ก็ให้หาโอกาสไปเยี่ยมเยียนสถานที่เหล่านี้กัน

1. Johor Strait Lighthouse

หากคุณเดินทางไปยังด้านตะวันตกปลายสุดของเกาะสิงคโปร์ (Taus) ซึ่งเป็นบริเวณที่ทางหลวง Tuas Second Link เชื่อมระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซียที่เมืองยะโฮร์บาห์รูที่ปลายด้านใต้ของคาบสมุทรมาเลเซีย และบริเวณเชิงสะพานก็เป็นที่ตั้งของคลับราฟเฟิลส์
มารีน่า ซึ่งคุณจะได้เห็นประภาคารช่องแคบยะโฮร์ (Johor Strait Lighthouse) ซึ่งส่องสว่างให้กับเรือยอทช์เข้าและออกจากท่าจอดเรือ

Johor Strait Lighthouse

ประภาคารช่องแคบยะโฮร์ตั้งอยู่ที่ปลายเขื่อนกันคลื่นของคลับ สร้างขึ้นในปี 1994 สูง 12 เมตร และกระพริบทุกๆ 10 วินาทีด้วยลำแสงที่สูงถึง 15 เมตร ประภาคารแห่งนี้ดูแลโดยสโมสรและเป็นประภาคารแห่งเดียวที่ไม่ได้เป็นเจ้าของและดำเนินการโดยการท่าเรือทางทะเลของสิงคโปร์

บนทางเดินริมน้ำ คุณจะเพลิดเพลินกับวิวทะเล ทิวทัศน์ของสะพาน Tuas Second Link ยาวเกือบ 2 กม. ที่ทอดข้ามน้ำ ชื่นชมเรือยอทช์สุดหรูที่จอดอยู่ที่ท่าจอดเรือ และประภาคารตั้งตะหง่ายอยู่ปลายสุดทางเดิน  และหากคุณไปที่ประภาคารในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน
เป็นหนึ่งใน ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่คุณจะได้ชมทิวทัศน์ที่ชวนฝันและโรแมนติกมาก

ที่ตั้ง: 10 Tuas West Drive สิงคโปร์ 638404

เวลาทำการ: เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 8.00 น. – 22.00 น. (ในกรณีที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จะมีการจำกัดการเข้าถึงบริเวณเขื่อนกันคลื่น)

2. Yunnan Garden

สวนยูนนานตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของสิงคโปร์ เป็นอีกหนึ่งสถาน ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่น่าสนใจ โดยสวนยูนนานนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากสวนแบบจีนดั้งเดิมที่เขียวชอุ่มและมีภูมิทัศน์สวยงาม เริ่มต้นจากทางเดินริมทะเลที่ทะเลสาบนันยางซึ่งจะพาคุณข้ามทะเลสาบที่ใสสะอาด จุดเด่นคือน้ำตกสูง 5.6 เมตรที่อยู่ใจกลางสวนสาธารณะ มีจุดชมวิวบนที่สูงซึ่งคุณสามารถมองเห็นน้ำตกและบริเวณสวนสาธารณะได้อย่างชัดเจน แต่คุณยังสามารถเดินเข้าไปใกล้น้ำตกและพื้นที่ชุ่มน้ำได้อีกด้วย

Yunnan Garden

สวนสาธารณะยูนนานปัจจุบันมีต้นไม้ใหม่ 1,000 ต้นจาก 80 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่และเด็กในการสำรวจและเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ โดยสามารถเลือกเส้นทางเดินชมได้ถึง 19 เส้นทาง ตั้งแต่เส้นทางชมสวนสมุนไพร ไปจนถึงเส้นทางศิลปะและวรรณกรรม สำรวจพืช สมุนไพร และดอกไม้ต่างๆ ที่จัดแต่งตามประเภทของเส้นทาง แต่หากคุณต้องการเดินสบายๆ ไปรอบสวนสาธารณะอั คุณจะได้พบกับความเงียบสงบ และชมประติมากรรมหิน สระน้ำเล็กๆ และศาลาที่อยู่รอบสวน พร้อมกับแวะถ่ายรูปที่ซุ้มประตู Nantah ที่อยู่ตรงทางเข้าสวน

ที่ตั้ง: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง 12 Nanyang Drive,  Singapore 637721

การเดินทางโดยรถสาธารณะ: ขึ้น MRT สายสีเขียวไปที่สถานี Boon Lay หรือ Pioneer และต่อรถยบัสสาย 179 ไปลงตรงหน้าสวน
ยูนนานเลย

3. Jurong Eco Garden

จูล่ง อีโค่ การ์เดน ซ่อนตัวอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง เป็นสวนสาธารณะที่เป็นส่วนหนึ่งของ CleanTech Park ซึ่งเป็นพื้นที่กลางแจ้งสำหรับผู้ที่ทำงานในอาคารโดยรอบ

สวนสาธารณะแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 50 เฮกตาร์ โดยมีพื้นที่สีเขียวขนาด 5 เฮกตาร์อยู่ตรงกลาง ที่ออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนและระบบนิเวศวิทยาของพื้นที่ กลุ่มอาคารจัดให้ด้านหนึ่งหันเข้าหาเมือง และด้านหลังเป็นป่า ที่อนุรักษ์พื้นที่เชิงนิเวศที่มีอยู่เอาไว้ รวมทั้งทุ่งหญ้า ป่าไม้ และป่าพรุ มีการบันทึกชนิดของสัตว์ป่าที่มีอยู่และทางเดินของสัตว์ป่าตามธรรมชาติที่เชื่อมต่อพื้นที่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยสำหรับสัตว์เหล่านั้น 

Jurong Eco Garden

นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะวางอยู่รอบๆ สวนที่แสดงให้เห็นแนวคิดทางนิเวศวิทยา เช่น การนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ การทำปุ๋ยหมัก เป็นต้น เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองสีเขียว

สวนจูล่ง อีโค่ การ์เดน นำเสนอพื้นที่เปิดโล่งที่เขียวชอุ่ม มีเส้นทางที่สวยงามสำหรับเดินเล่นหรือวิ่งออกกำลังกาย จุดชมวิวบนยอดเขาสูง 23 เมตรเหนือพื้นดิน เพื่อชมทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของสวนสาธารณะทั้งหมด คุณสามารถออกกำลังกายด้วยการขึ้นบันได 58 ขั้นสู่จุดชมวิว ประติมากรรมที่สวยงามหลายแห่งตั้งกระจายอยู่ทั่วสวน ซึ่งช่วยเสริมความงามตามธรรมชาติของสวน

ที่ตั้ง: 1 Cleantech Loop, Western Water Catchment, Singapore

เวลาทำการ: จันทร์-อาทิตย์ 7.00 น. – 19.00 น.

4. The Mill

สิงคโปร์ขึ้นชื่อในด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงามน่าทึ่ง ตั้งแต่ Marina Bay Sand ที่มีชื่อเสียงระดับโลกไปจนถึงซูเปอร์ทรีล้ำยุคที่ Gardens by The Bay และ The Mil ก็เป็นอีกหนึ่งอาคารที่อยู่ในลิสต์ที่ไม่ควรพลาด

The Mill
ขอบคุณรูปภาพจาก : The Mill

The Mill เป็นอาคารสีดำที่ด้านหน้าอาคารดูเหมือนตึก LexCorp สำนักงานใหญ่ของศัตรูตัวฉกาจของซูเปอร์แมน ด้านในยังมีร้านกาแฟกว้างขวางสำหรับจิบกาแฟ และระเบียงสวนอันเงียบสงบบนชั้นที่ 6 ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินกับอากาศบริสุทธิ์และทิวทัศน์
ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการนอนหรืออ่านหนังสือบนม้านั่งไม้สำหรับนั่งเล่นพักผ่อน The Mill ทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองสไตล์วินเทจของยุโรป 

ไม่ว่าคุณจะกำลังมองสถานที่นั่งเล่นพักผ่อนในบรรยากาศแบบมินิยุโรปในสิงคโปร์ หรือหาจุดถ่ายภาพเก๋ๆ กับสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาคาร The Mill ที่เก๋ทั้งภายนอกและการตกแต่งภายในที่สวยงามช่วยให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม

ที่ตั้ง: No. 5 Jalan Kilang, Singapore 159405

5. Clementi Forest

Clementi Forest คือพื้นที่สีเขียวที่เป็น ที่เที่ยวสิงคโปร์ อีกแห่งที่มีเนื้อที่ประมาณ 85 เฮกตาร์ใจกลางย่านที่อยู่อาศัยทางทิศตะวันตก เส้นทางเดินป่าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และพงหญ้ารกสูงท่วมหัว พื้นดินเป็นโคลนที่จะทำให้รองเท้าเดินป่าของคุณสกปรก แม่น้ำ 2 สายไหลผ่านที่ริมตลิ่งเป็นพื้นดินโคลนและหญ้ารก ด้านบนมีนกหลากหลายสายพันธุ์ที่บินวนเวียนอยู่รอบตัวคุณ เกือบจะรู้สึกเหมือนอยู่ใน
จูราสสิคพาร์ค

Clementi Forest
ขอบคุณรูปภาพจาก : Steve Pham on Unsplash

หากคุณจะไปเดินป่าใน Clementi Forest ให้เผื่อเวลาไว้สักหนึ่งหรือสองชั่วโมงเพื่อสำรวจ ควรเตรียมรองเท้าเดินป่าดีๆ นำน้ำ ขนม ยากันแมลง ครีมกันแดด รองเท้าและเสื้อผ้าที่เหมาะสมมาด้วย ป่า Clementi Forest ไม่มีเส้นทางลาดยางหรือทางซีเมนต์ ไม่มีทางเข้าที่เป็นทางการ ต้องหาเส้นทางที่นำไปสู่ป่าเอง พื้นดินค่อนข้างเป็นโคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝนตกในคืนก่อนหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย นอกจากนี้ทางเดินก็ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้นคุณจะต้องหาทางของคุณเอง คุณอาจเจอรางรถไฟร้าง สัตว์ป่า ลำธารเขียวชอุ่มที่คดเคี้ยวผ่านป่า หรือแม้แต่น้ำตกที่ลดหลั่นกันโดยฝีมือมนุษย์ คุณควรไปกับเพื่อนร่วมทางอย่างน้อยหนึ่งคน
หลังพระอาทิตย์จะตกดิน ป่าจะมืดสนิท และไม่มีแสงไฟ ดังนั้นควรระมัดระวังและอย่าเข้าไปในป่าในตอนเย็น

ตามรายงานของ Nature Society Singapore (NSS) ป่านี้เป็นที่อยู่ของกลุ่มพืชที่มีท่อลำเลียงถึง 98 สายพันธุ์ รวมถึงกล้วยไม้ดินหายากที่ชื่อ Dienia Ophrydis อีกด้วย

ที่ตั้ง: Clementi Forest Singapore

การเดินทาง: นั่ง MRT ไปต่อสาย Downtown Line และเมื่อคุณอยู่บนสาย Downtown แล้ว ก็ให้ไปลงที่สถานี King Albert Park (DT6)

6. Bollywood Veggies

ฟาร์มบอลลีวูดเวจจีส์ (Bollywood Veggies) เป็นฟาร์มออร์แกนิกที่ใช้แนวปฏิบัติทางการเกษตรแบบยั่งยืนเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์สดใหม่ที่ปราศจากยาฆ่าแมลงและสารเคมี ครอบคลุมพื้นที่ 10 เอเคอร์ ตั้งอยู่ในเมือง Kranji บนเกาะสิงคโปร์ ที่นี่ปลูกพืชมากกว่า 100 สายพันธุ์ และเป็นผู้จัดจำหน่ายกล้วยรายใหญ่ที่สุดของประเทศ เหมาะสำหรับการพักผ่อนและผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สมบูรณ์แบบจากความพลุกพล่านของป่าในเมือง

Bollywood Veggies
ขอบคุณรูปภาพจาก : Facebook Bollywood Veggies

การเดินทางไปฟาร์มบอลลีวูดเวจจีส์ก็นับว่าเป็นการผจญภัยไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะเราต้องเดินทางผ่านชนบทของสิงคโปร์ที่คุณอาจรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ในประเทศสิงคโปร์ ทัวร์ฟาร์มบอลลีวูดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเที่ยวชมที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จะมีผู้นำชมพาเดินดูผัก เครื่องเทศ ผลไม้ พืชสมุนไพรต่างๆ ที่เติบโตอยู่ในฟาร์ม คุณจะได้รับประสบการณ์แบบองค์รวมในการได้สัมผัส
ดมกลิ่น และลิ้มรสพืชที่น่าสนใจเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ทั้งสนุกและให้ความรู้ ที่คุณสามารถมีส่วนร่วมได้ อย่างเช่น เรียนการปลูกสมุนไพร การทำงานศิลปะจากวัสดุรีไซเคิล เรียนรู้การปลูกข้าว เรียนการทำอาหารจากผักและผลไม้ในฟาร์ม

เมื่อคุณเดินเที่ยวจนทั่วแล้ว คุณอาจคลายร้อนด้วยชามะเดื่อหรือชาตะไคร้ที่ทำมาจากผลผลิตในฟาร์ม เราขอแนะนำให้ทานขนมที่ทำจากกล้วยในฟาร์ม เลือกซื้อของที่ร้านขายของที่มีกล้วย เห็ด และผักท้องถิ่นนานาชนิดจากฟาร์ม ก่อนที่คุณจะเดินทางกลับสู่เมืองสิงคโปร์อีกครั้ง

ที่ตั้ง: 100 Neo Tiew Road, Kranji, Singapore 

วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT จากสถานี Woodlands ไปสถานี Kranji และนั่งรถชัทเทิลบัสจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Kranji มาที่ฟาร์ม ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ค่ารถ 3 เหรียญสิงคโปร์ต่อเที่ยว และรถบัสจอดที่ฟาร์มอื่นสองสามแห่งระหว่างทาง

เวลาทำการ:

วันพุธ – วันศุกร์: 7:00-17:30 น.

วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์: 7:00-18:30 น.

วันจันทร์ – วันอังคาร: ปิดทำการยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์

ค่าเข้าสถานที่: ผู้ใหญ่ (12-60 ปี): 2 เหรียญสิงคโปร์

7. Hampstead Wetlands Park

สวน Hampstead Wetlands ขนาด 3 เฮกตาร์แห่งนี้เป็นโอเอซิสที่เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด เป็นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพืชและสัตว์นานาชนิด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนอย่างเงียบสงบด้วยการเดินเล่นรอบสวน และแม้จะอยู่ใกล้กับสนามบิน แต่ก็มีนกจำนวนมากแม้กระทั่งนกอพยพที่เห็นได้ในพื้นที่ จนเป็นจุดที่คนนิยมมาดูนกอีกแห่งหนึ่ง คุณสามารถเดินเล่นริมทะเลเพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามของสระน้ำ พกกล้องหรือกล้องส่องทางไกลมาดูนกหายาก

Hampstead Wetlands Park

สวนแห่งนี้มีทิวทัศน์อันเงียบสงบของสนามบิน Selator เป็นแบ็คกราวด์ ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นนักบินฝึกหัดนำเครื่องบินของพวกเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า หากคุณอยากมาสูดอากาศบริสุทธิ์และชื่นชมความงามที่เขียวชอุ่มรอบตัวเรา 

Hampstead Wetlands Park with Lotus and Bird

ที่ตั้ง: 1 Baker Street, Singapore 799977

การเดินทาง: นั่งรถประจำทางหมายเลข 102, 103 และ 117 และลงที่ Seletar Aerospace Dr ก่อนถึง Baker Street (ป้ายรถเมล์: 68099) หรือหลัง Baker Street (ป้ายรถเมล์: 68091) MRT ที่ใกล้ที่สุดคือสถานี MRT Punggol หรือสถานี Sengkang จากนั้นขึ้นรถบัสหมายเลข 117/102 และลงที่ถนน Bef Baker

8. Japanese Cemetery Park

สวนสุสานญี่ปุ่น (Japanese Cemetery Park) ตั้งอยู่ในย่านที่พักอาศัยอันเงียบสงบในเขตโหวกัง (Hougang) เป็นสุสานญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กินอาณาเขตกว้างขวางถึง 30,000 ตารางเมตรแห่งนี้ มีหลุมศพจำนวนกว่า 1,000 หลุมศพ
ซึ่งฝังร่างพลเรือนญี่ปุ่นและยังเป็นที่เก็บอัฐิของทหารบก นาวิกโยธิน และทหารอากาศญี่ปุ่นที่จบชีวิตลงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงอัฐิของอาชญากรสงครามชาวญี่ปุ่น ซึ่งถูกประหารชีวิตที่ Changi Prison (เรือนจำชางงี) นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงปี ค.ศ. 1947 และได้รับการประกาศเป็นอนุสรณ์สถานในปี ค.ศ. 1987 โดยมีสมาคมชาวญี่ปุ่นแห่งสิงคโปร์ (Japanese Association of Singapore) เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการและบำรุงรักษาสถานที่แห่งนี้

Japanese Cemetery Park

ถ้าคุณอยากได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่น ให้แวะมาที่นี่ในช่วงเทศกาลดอกไม้และตื่นตาตื่นใจไปกับซุ้มดอกไม้สีชมพูชวนให้นึกถึงฤดูซากุระในญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามหากคุณแวะมาเที่ยวและโพสต์ท่าเพื่อลง Instagram หรือโซเชียลมีเดียอื่น ก็อย่าลืมให้ความเคารพหลุมฝังศพและสถานที่ด้วยค่ะ

ที่อยู่: 825B Chuan Hoe Avenue, Singapore 549853

เวลาทำการ: ตลอดทั้งวัน

9. CapitaSpring Sky Garden & Green Oasis

หากคุณต้องการพักผ่อนและเพลิดเพลินกับการชมทัศนียภาพของเกาะสิงคโปร์ อาคาร CapitaSpring สูง 280 เมตรตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ที่ไม่เพียงแต่ให้คุณเข้าไปเยี่ยมชมเพื่อชมทิวทัศน์ที่งดงามของเมือง ยังเปิดให้คุณได้เข้าชมได้ฟรีอีกด้วย

จุดแรกที่คุณควรขึ้นไปคือสวนลอยฟ้า Sky Garden บนชั้น 51 ของอาคาร ประกอบด้วยสวนดาดฟ้าและหอชมวิวที่สูงที่สุดในสิงคโปร์ ดังนั้นคุณแน่ใจได้เลยว่าคุณจะได้ชมวิวที่สวยงามอย่างแน่นอน ช่วงเวลานาทีทองที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพคือช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน หรือช่วงเวลากลางคืนที่คุณจะได้เห็นวิวเส้นขอบฟ้าของสิงคโปร์อันงดงาม ที่นี่เป็นจุดแฮงเอาท์ที่เหมาะกับการร่วมกลุ่มกับเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งการออกเดท!

CapitaSpring Sky Garden
ขอบคุณรูปภาพจาก : avenuueone.sg

อีกจุดที่คุณสามารถไปในเยี่ยมชมได้นี้คือกรีนโอเอซิส (Green Oasis) ทางเดินชมสวนที่วนเป็นรูปวงกลมจากชั้น 17 ไปจนถึงชั้น 20 ตลอดทางตกแต่งด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มกว่า 38,000 ชนิดจากกว่า 70 สายพันธุ์ บริเวณนี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าสวนดาดฟ้า Sky Garden โดยมีพื้นที่พักผ่อนและพื้นที่ทำงานที่กว้างขวาง ถ้าคุณต้องการทำงานที่นี่แทนที่พื้นที่ขนาดเล็กในสำนักงานของคุณ

Green Oasis
ขอบคุณรูปภาพจาก : avenuueone.sg

นอกจากวิวที่สวยงามแล้ว CapitaSpring ยังมีร้านอาหารมากมายให้แวะเยี่ยมชม หรือจะทานอาหารที่ศูนย์อาหาร Market Street ซึ่งอยู่ภายในอาคารเช่นกัน และมีร้านอาหารให้เลือกถึง 56 ร้าน

ที่อยู่: 88 Market Street, Singapore 048948

เวลาทำการของกรีนโอเอซิส

วันจันทร์ – วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ชั้น 17: 7.30 – 22.30 น.

ชั้น 18 – 20: 7.30 – 18.00 น.

เวลาทำการของสวนลอยฟ้า

วันจันทร์ – วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ชั้น 51: 7.30 น. – 22.30 น.

วิธีเดินทาง: หากเดินทางมาด้วย MRT ให้ออกจากสถานี Raffles Place ทางออก A และเลี้ยวซ้ายเมื่อถึงชั้นพื้นดิน มุ่งหน้าไปตามถนนมะละกา เดินตรงไปที่อาคาร CapitaSpring คุณจะเห็นลิฟต์สองตัวที่มุ่งหน้าไปยัง Green Oasis และ Sky Garden

10. Marina East Breakwater

เมื่อพูดถึงแนวสันเขื่อนอาจฟังดูธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่แนวเขื่อนกันคลื่นที่ Marina East เป็นโครงสร้างที่ทำจากหินและคอนกรีตกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนมาอย่างมากมายเพื่อมานั่งชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

Marina East Breakwater
ขอบคุณรูปภาพจาก : Instagram @mamonn

เขื่อนกันคลื่นถูกสร้างให้ยื่นออกไปในทะเลเพื่อป้องกันแนวชายฝั่ถูกกัดเซาะจากคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง เลยกลายเป็นพื้นที่เปิดดล่งที่ผู้คนสามารถชื่นชมทัศนียภาพท้องน้ำของช่องแคบสิงคโปร์ที่เป็นประกายระยิบระยับ นอกจากนี้เมื่อมองกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมในการชมสถาปัตยกรรมที่เรียงรายไปตามแนวเส้นขอบฟ้าของอ่าวมารีน่า อย่างเช่น อาคาร Marina Bay Sands และอาคารอื่นๆ

คุณสามารถเดินหรือขี่จักรยานไปยังเขื่อนกันคลื่น Marina East โดยสถานี MRT ที่ใกล้ที่สุดคือ Bayfront ทางออก C จากนั้นให้เดินไปยัง Bay East Garden เดินข้ามเขื่อนเขื่อนมารีน่า และคุณจะเห็นจุดหมายปลายทางห่างออกไปทางขวาเพียงไม่กี่เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที

ที่นี่จะมีคนมากันเยอะจนค่อนข้างแออัดในช่วงเย็น เป็นจุดปิกนิกยอดนิยมสำหรับวัยรุ่น และคนที่มาออกเดทกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ดังนั้นเวลาที่ดีที่สุดที่จะแวะมาคือช่วงกลางวัน

ที่ตั้ง: Marina East Dr, Singapore

สิงคโปร์เต็มไปด้วยความลับที่อาจทำให้เราประหลาดใจรอให้เราได้ไปสำรวจ หากคุณไปเที่ยวสิงคโปร์ และได้แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ให้เจาะลึกและค้นหากิจกรรมทางเลือกอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งเราหวังว่าจะช่วยให้คุณเห็นเสน่ห์ของเกาะสิงคโปร์จากมุมมองที่ต่างออกไป

วางแผนเที่ยวสิงคโปร์ทั้งที อย่าลืมลิสต์สิ่งของและเอกสารที่จำเป็นจำหรับการเดินทาง และสิ่งสำคัญที่จะช่วยใหคุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมีประกันภัยการเดินทางติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้
ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : timeout.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 tips for travel in singapore on budget

7 เคล็ดลับ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของเอเชีย เป็นจุดหมายปลายทางที่ไปได้ง่าย แต่ค่าครองชีพค่อนข้างมีราคาแพงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกัน จนบางครั้งนักเดินทางที่มีงบจำกัดก็ต้องจำใจที่เอาลิสต์เที่ยวสิงคโปร์ออกไปจากรายการประเทศที่อยากไปเที่ยว เพราะไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายที่มากเกินจำเป็น แต่หากเราพิจารณาดีๆ ก็มีหลายเหตุผลที่ควรไปเที่ยวสิงคโปร์กันสักครั้ง ด้วยเอกลักษณ์ของสิงคโปร์ที่มีความทันสมัย การผสมผสานวัฒนธรรมของหลายชาติที่น่าสนใจ อาหารอร่อย มีสถานที่ธรรมชาติที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย (ที่เที่ยวในสิงคโปร์มีที่ไหนบ้างที่น่าสนใจ อ่านได้จากบทความนี้เลยค่ะ : 10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ สุดฮิต ที่ไม่ควรพลาด!) ก็ทำให้การเดินทางไปยังเกาะแห่งนี้จึงคุ้มค่าอย่างยิ่ง! แต่คุณไม่ต้องกังวล เพราะ Allianz Travel ได้รวมเคล็ดลับ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด ด้วยงบประมาณจำกัด เพื่อให้คุณได้วางแผนการเดินทางเที่ยวสิงคโปร์ในราคาที่ช่วยให้คุณไม่ต้องจ่ายจนกระเป๋าฉีกได้ มาเริ่มกันเลย

1. เลือกที่พักราคาไม่แพง

อันดับแรกเรื่องที่จะต้องใส่เข้าไปในลิสต์ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด ก็คือเรื่องของที่พัก ที่พักในสิงคโปร์มีราคาแพง แต่นักเดินทางแบบประหยัดก็มี 3 ทางเลือกที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ก็คือ โฮสเทลสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ จองที่พักจาก AirBnB หรือหาโรงแรมราคาประหยัด แต่เนื่องจากพื้นที่ในสิงคโปร์มีน้อย ห้องพักจึงมักเป็นเตียงนอนที่มีพื้นที่น้อย และห้องน้ำขนาดกะทัดรัด โรงแรมแคปซูลก็เริ่มเป็นที่นิยมเช่นกัน 

Hostel in Singapore
ขอบคุณรูปภาพจาก : Danist Soh on Unsplash

เมื่อเลือกที่พัก ให้ดูที่ตั้งของที่พักในแผนที่ ปกติถ้าอยู่ใกล้สถานี MRT ก็น่าจะโอเค สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในสิงคโปร์สามารถเข้าถึงได้โดยรถไฟใต้ดิน และหลายพื้นที่ในสิงคโปร์ที่มีที่พักราคาถูก แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยความพลุกพล่าน หรือบางแห่งอย่างเช่น ย่านเกลัง (Geylang) ก็เป็นย่านเที่ยวกลางคืนเหมือนพัฒน์พงษ์ที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ จะมีผู้หญิงกลางคืนและโสเภณีแบบถูกกฏหมายยืนอยู่เรียงราย และยังมีร้านอาหารที่เปิดดึกๆ อยุ่เต็มสองข้างถนน มีโรงแรมราคาถูกที่เปิดให้บริการรายชั่วโมง หรือค้างคืนอยู่ในย่านนั้น แต่ในแง่ความปลอดภัย ย่านนั้นถือว่าปลอดภัย เพราะมีการติดกล้อง CCTV อยู่เต็มไปหมด แต่นักเดินทางหญิงก็ควรเลือกพื้นที่อื่น

คุณสามารถหาโฮสเทลสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ได้ในละแวกย่านไชน่าทาวน์ ลิตเติลอินเดีย คลาร์กคีย์ บูกิส และเกลัง ส่วนใหญ่มีเตียงรวมและห้องคู่ โรงแรมราคาประหยัดส่วนใหญ่อยู่ในเกลัง ลิตเติลอินเดีย และบาเลสเทียร์

(1) ย่านเกลัง (Geylang)

ย่าน Geylang ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Handy Wicaksono on Unsplash

มีสถานีรถไฟหลักๆ คือสถานี Aljunied และสถานี Kallang เป็นย่านที่มีโรงแรมราคาประหยัดสไตล์ Business Hotel ค่อนข้างใหม่ สภาพห้องดี สะอาด ตกแต่งแบบเรียบง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครัน แต่ราคาประหยัดพอๆกับ Hostel คือราคาเริ่มต้นประมาณ 60-70 เหรียญต่อคืนต่อห้อง แต่ข้อเสียคือย่านนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 500 เมตรขึ้นไป อยู่ไกลจากตัวเมืองมากกว่าย่านอื่นๆ และยังเป็นย่านที่ค่อนข้างเสื่อมโทรมของประเทศสิงคโปร์ แต่ก็ปลอดภัยมากอยู่ดี แต่ถ้างบค่อนข้างจำกัดและไม่ชอบที่พักสไตล์โฮสเทล หรือคิดว่าการเสียเวลาในการเดินทางนิดหน่อยไม่มีผลอะไร การเลือกพักย่านเกลังจะตอบโจทย์ได้ดีมาก

(2) ย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown)

Chinatown in Singapore

เดินทางมาง่ายมากๆ โดยลงที่สถานีรถไฟใต้ดิน Chinatown ซึ่งจะมีอยู่ 2 สายที่ผ่านสถานีนี้คือ Downtown Line สีน้ำเงิน และ North East Line สีม่วงย่านไชน่าทาวน์ถือเป็นย่านท่องเที่ยวชื่อดัง ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องแหล่งอาหารการกินหลากหลายรูปแบบ แหล่งซื้อของฝาก และเป็นแหล่งรวมที่พักราคาประหยัดสำหรับนักเดินทาง ย่านแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่สไตล์โคโลเนียลที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี และทาสีสันสดใสดูมีชีวิตชีวา ทั้งยังมีการแขวนโคมสีแดงประดับตามท้องถนน ซึ่งช่วยเสริมบรรยากาศสไตล์จีนได้เป็นอย่างดี

(3) ย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India)

ย่าน Little India ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Christian Chen on Unsplash

การเดินค่อนข้างสะดวก สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Little India ทางออก C จากนั้นก็เดินต่อไปอีก 15-20 นาทีก็จะเข้าเขตของย่าน Little India สังเกตง่าย ๆ คือรูปแบบของตึกข้าง ๆ ถนนเริ่มเปลี่ยนสีสันสไตล์ไม่เหมือนที่อื่น ได้กลิ่อายแบบอินเดียแสดงว่าเราเดินมาไม่ผิดที่ย่างแน่นอน ที่นี่เป็นย่านราคาประหยัดที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง อยู่ห่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอ่าวมารีน่าประมาณ 2 กม. ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งในด้านราคาและวัฒนธรรม นอกจากนี้คุณยังหาอาหารอินเดียที่ดีที่สุดในสิงคโปร์ได้ที่นี่ อย่างเช่น แกงหัวปลา เป็นต้น

(4) ย่านบูกิส ( Bugis)

ย่าน Bugis ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Singapore Stock Photos on Unsplash

เดินทางสะดวกสบาย ไปสนามบินได้โดยง่ายอีกด้วย แค่ขึ้น MRT สายสีเขียวลงที่สถานที Bugis ตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสิงคโปร์  เป็นย่านที่มีที่พักราคาไม่แพง รวมถึงมีร้านอาหารราคาถูกมากมายที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม อย่างเช่น Haji Lane พร้อมทั้งยังเป็นที่ตั้งของวัดกวนอิมตงฮุดโช ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในประเทศสิงคโปร์ที่มักมีนักท่องเที่ยวไปสักการะและขอพรจากเจ้าแม่กวนอิมอย่างไม่ขาดสายอีกด้วย

(5) ย่านคลาร์กคีย์ (Clarke Quay)

ย่าน Clarke Quay ในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Paras Kapoor on Unsplash

สถานีรถไฟ Clarke Quay เป็นท่าเทียบเรือเก่าแก่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ ที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแหล่งไนท์ไลฟ์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งแฮงก์เอาท์ยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องราตรีในมาเยือน ที่พักจะเป็นแนวชิคๆ สุดเก๋ ราคาถูกและ ประหยัด

การเดินทางภายในเมืองในสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายสูงหากต้องจ่ายค่าเดินทางเมื่อขึ้นรถบัสหรือรถไฟเป็นรายเที่ยว แต่คุณจะสามารถ เที่ยวสิงคโปร์ราคาประหยัด ได้ ถ้าซื้อบัตร EZ-Link เมื่อมาถึงสิงคโปร์ตั้งแต่แรก บัตร EZ Link เป็นบัตรสารพัดประโยชน์ สามารถใช้ขึ้นรถไฟฟ้า MRT, รถเมล์, Taxi มีส่วนลดสำหรับค่าโดยสารในการเดินทาง และใช้ซื้อสินค้าต่างๆ ได้ ใช้งานเหมือนเป็นบัตรเงินสดที่สามารถซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ หรือร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ เรียกได้ว่าใบเดียวใช้ซื้อของได้เกือบทุกอย่าง แทบไม่ต้องพกเงินสดกันเลยทีเดียว แถมยังมีส่วนลดต่างๆ ตามร้านค้าเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรอีกด้วย เราซื้อบัตร EZ-Link ได้ที่จุดขายในสถานีรถไฟ MRT ทุกสถานี ราคา 12 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 300 บาท) ซึ่งแบ่งเป็นค่าบัตร 5 เหรียญ และเงินที่ใช้ได้อีก 7 เหรียญ และสามารถเติมเงินได้ครั้งละ 10-100 เหรียญ

EZ-Link Card for travel in Singapore
ขอบคุณรูปภาพจาก : EZ-Link

คำแนะนำ: 

  • อย่าลืมแตะบัตรบนเครื่องอ่านเมื่อคุณออกจากรถบัส มิฉะนั้น คุณจะต้องจ่ายมากกว่าที่ควรเป็น!
  • เมื่อซื้อบัตรครั้งแรก เราจะเหลือเงินที่ใช้ได้อยู่ในบัตร 7 เหรียญ ดังนั้นเราควรเติมเงินเพิ่มอีกสัก 10 เหรียญ ไว้เลย อาจจะเพียงพอสำหรับการเดินทางทริปสั้นๆ 3 วัน จะได้ไม่ต้องเติมเงินบ่อยๆ หรือถ้าเงินเหลือก็เอาไว้ใช้ซื้อของได้
  • บัตร EZ Link นอกจากจะช่วยให้เราเที่ยวได้สะดวกสบายแล้ว ลายบนบัตรยังน่ารักด้วยนะ ใครมาจังหวะดีๆ อาจจะได้บัตรเป็นลวดลายสุดพิเศษต่างๆ ที่จะมีโปรโมชั่นเป็นช่วงๆ ใช้เสร็จก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วย
  • บัตรมีอายุการใช้งาน 5 ปี สามารถเก็บไว้ใช้ทริปสิงคโปร์รอบหน้าได้เลย

3. ดื่มน้ำก๊อกแทนที่จะซื้อน้ำขวด

Free drinking water

ประเทศสิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ซึ่งของที่มีราคาแพงอย่างเหลือเชื่อ ก็คือ “น้ำขวด” ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ราคาเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 1-2 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 25-50 บาท แต่น้ำประปาในสิงคโปร์นั้นบริสุทธิ์ ปลอดภัย และที่แน่นอนคือฟรี ดังนั้น แทนที่จะซื้อขวดน้ำแบบใช้ครั้งเดียว ให้นำขวดน้ำแบบเติมและพกติดตัวไปด้วยในขณะที่คุณสำรวจสิงคโปร์ นอกจากว่าจะดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นหนึ่งในเคล็ดลับที่ดีที่สุดสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด เนื่องจากสามารถช่วยประหยัดเงินได้มากในช่วงวันหยุดของคุณ และถึงแม้จะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ช่วยให้คุณสำรวจและเยี่ยมชมสิงคโปร์ในราคาประหยัดได้จริงๆ

4. ทานอาหารที่ศูนย์อาหาร

สิงคโปร์เป็นสวรรค์ของคนรักอาหาร อิทธิพลของวัฒนธรรมอันหลากหลายที่มีสิงคโปร์ทำให้คุณมีตัวเลือกมากมายในการลองชิมอาหารที่แตกต่างกัน ที่นี่มีทุกอย่างตั้งแต่อาหารนานาชาติหรูหราราคาแพง อาหารฟิวชั่นสิงคโปร์ มาเลย์และจีน ไปจนถึงอาหารท้องถิ่นแท้ๆ หากคุณมาเที่ยวสิงคโปร์แบบประหยัดและอยากลิ้มลองอาหารรสเลิศ คุณสามารถหาได้จากศูนย์อาหารที่มีอยู่ทั่วไปหรือแผงลอยขายอาหารริมถนน ตั้งแต่อาหารว่าง อาหารคาว ไปจนถึงของหวาน การได้ลองลิ้มรสอาหารข้างทางเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ในสิงคโปร์ คุณสามารถหาอาหารอร่อยๆ ได้ในราคาประมาณ 4-6 เหรียญ หรือหากอยากทานก๋วยเตี๋ยวในราคาต่ำกว่า 3 เหรียญสิงคโปร์ก็อยังมีอยู่

ศูนย์อาหารในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Ethan Hu on Unsplash

ศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าหรูและตามตึกระฟ้าเกือบทุกแห่งจะราคาสูงกว่าศูนย์อาหารทั่วไปเล็กน้อย คุณสามารถหาศูนย์อาหารที่มีอาหารอร่อยมากมายได้ที่ย่านไชน่าทาวน์ ลิตเติ้ลอินเดีย หรือกัมปงกลาม (Kampong Glam) หรือศูนย์อาหาร Lau Pa Sat ที่อยู่บนถนน Cross ใกล้กับสถานี MRT Raffles ศูนย์อาหาร Newton หรือศูนย์อาหารย่านสนามบินเก่า (Old Airport Hawker) ซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่น สิงคโปร์มีศูนย์อาหารกว่า 100 แห่งทั่วเกาะ และคุณอาจได้ไปทานอาหารราคาถูกในที่ที่คนในท้องถิ่นไปกัน อาหารที่ห้ามพลาดอย่างเช่น ข้าวมันไก่ ปูผัดพริก สะเต๊ะ ติ่มซำ ซุปลักซา หรือนาซิเลอมัก (ไก่ทอดมะพร้าว)

5. หาที่เที่ยวฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

สิงคโปร์มีอะไรให้ทำแบบไม่ต้องเสียเงินอยู่มากมาย คุณสามารถเพลิดเพลินกับงานศิลปะ การชมภาพยนตร์กลางแจ้ง นักแสดงข้างถนนริมแม่น้ำ เอสพลานาด และใจกลางเมือง มีตัวเลือกสำหรับความบันเทิงฟรีเกือบทุกครั้งโดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือจะไปเที่ยวสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามจากระดับสูงเหนือยอดไม้ที่เส้นทางเดินป่าและอุทยานอ่างเก็บน้ำแม็คริตชี่ (MacRitchie Nature Trail & Reservoir Park) การเดินป่าบนแนวสันเขาทางตอนใต้ และการเล่นว่าวรอบๆ Marina Barrage เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในสิงคโปร์ อย่าพลาดที่จะไปตลาด Free Market แม้ว่าจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่คุณสามารถได้ของจากที่นี่แบบที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย

สถานที่ท่องเที่ยวฟรีในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Aparna Johri on Unsplash

ถึงแม้ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในสิงคโปร์จะมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม ก็จะมีวันที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับนิทรรศการพิเศษเป็นเวลาหลายวันหรือช่วงเย็นในแต่ละเดือน ตรวจสอบวันที่มีโปรโมชั่นได้จากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของพิพิธภัณฑ์ และตามนิตยสารแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและนิทรรศการฟรีที่มีแจกอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีบัตรสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งที่มีส่วนลดค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย บัตรเหล่านี้จะช่วยให้คุณประหยัดค่าเข้าชมได้อย่างมากหากคุณมีแผนที่จะเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องซื้อบัตรหลายต่อหลายแห่ง

ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์:

กิจกรรมสนุกระหว่างวัน

  • เดินชมย่านยอดฮิต – เดินเล่นรอบๆ ไชน่าทาวน์, กัมปงกลาม (Kampong Glam), ลิตเติลอินเดีย, เตียง บาห์รู (Tiong Bahru), หมู่บ้านฮอลแลนด์, เดมป์ซีย์ฮิลล์ (Dempsey Hill) และกาตง (Katong) ค้นพบวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น เมอไลออน (The Merlion) 
  • อุทยานและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ – สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์, สวน Fort Canning, Southern Ridges, Treetop Walk ที่อ่างเก็บน้ำ MacRitchie และการ์เดนส์ บาย เดอะ เบย์

กิจกรรมท่องราตรีในตอนกลางคืน

  • เดินเล่นรอบอ่าวมารีน่าและชมสถาปัตยกรรมที่เปิดไฟสว่างไสวสวยงาม
  • ชมภายนอกของวัดและมัสยิดที่เปิดไฟส่องสว่างเป็นภาพที่สวยงามแตกต่างจากตอนกลางวัน เช่น มัสยิดสุลต่าน วัดพระเขี้ยวแก้ว เป็นต้น
  • ชมการแสดงแสงสีฟรีที่ Gardens the Bay, Marina Bay Sands และเกาะ Sentosa
  • ชมพระอาทิตย์ตกเหนือเขื่อนมาริน่า
  • เพลิดเพลินกับการแสดงหรือคอนเสิร์ตฟรีที่โรงละครเอสพลานาดออนเดอะเบย์

6. ชอปปิ้งตามตลาดริมถนนในท้องถิ่น

หากคุณเป็นนักชอป และไม่อยากพลาดการชอปปิ้งในสิงคโปร์ ถึงแม้ว่างบประมาณการเดินทางจะมีข้อจำกัดก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือการสำรวจตลาดริมถนนในท้องถิ่นเพื่อหาของที่ดีในราคาถูก การซื้อของแบบประหยัดในสิงคโปร์เป็นก็ทางออกที่ดีที่สุดในการประหยัดเงินไปพร้อมกับการช้อปปิ้ง แม้ว่าสินค้าในสิงคโปร์จะไม่ได้มีราคาถูกเท่าการช้อปปิ้งในเมืองอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สิงคโปร์ก็มีย่านที่นำเสนอสินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้

สถานที่ชอปปิ้งตามตลาดริมถนนในสิงคโปร์
ขอบคุณรูปภาพจาก : Izz Danial on Unsplash

ย่านถนนบูกิส ย่านไชน่าทาวน์ ตลาดโซกาเล็ม (So Galem) และย่านลิตเติ้ลอินเดีย คุณสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่ชุดเก๋ๆ กระเป๋าถือ เครื่องประดับ รองเท้า และของที่ระลึกที่ไม่เหมือนใคร ในราคาที่ไม่แพง คุณหาของได้เกือบทุกอย่างในตลาดท้องถิ่นเหล่านี้ แถมยังต่อรองราคาได้อีกด้วย 

นอกจากนี้ ถ้าคุณอยากเดินดูของแค่พอให้เพลินสายตา สิงคโปร์มีห้างสรรพสินค้ามากมาย ที่แม้แต่สนามบินชางงีอันล้ำสมัยก็ยังเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งด้วย

หากคุณต้องการซื้อขนม เครื่องดื่ม และของใช้ทั่วไป คุณควรไปซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง แทนที่จะซื้อจากในมินิมาร์ทที่มีราคาแพงกว่า อย่างเช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต VivoMart ที่อยู่ใต้ห้างสรรพสินค้า VivoCity มักจะมีอาหารและเครื่องดื่มในราคาพิเศษอยู่เสมอ

7. อย่าทำผิดกฎหมายจนต้องโดนจับหรือถูกปรับ

ป้ายสัญลักษณ์ห้ามทำสิ่งต่างๆ ตามที่ป้ายกำหนด

ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และยังเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับกฎหมายมากด้วยเช่นกัน แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินตามถนนหนทาง แต่คนจำนวนมากก็โดนปรับจากกิจกรรมที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย การกระทำบางอย่างในบ้านเราอาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าไปสิ่งคโปร์คุณอาจถูกจับและโดนปรับได้ ตู้ชำระเงินค่าปรับที่เรียงรายอยู่รอบ ๆ เพื่อความสะดวกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน ดังนั้นหากคุณอยากเที่ยวสิงคโปร์ด้วยความสบายใจ และไม่อยากเสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น แถมยังต้องเผชิญความยุ่งยากอีกด้วย เราก็ควรทราบกฎพื้นฐานของประเทศสิงคโปร์ว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลย

  • การไม่ข้ามถนนตรงทางม้าลายเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งที่จะถูกปรับในสิงคโปร์
  • ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเมื่ออยู่ในรถ และคนขับไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ
  • ห้ามขี่จักรยานบนทางเดินเท้าโดยเฉพาะบริเวณใกล้แม่น้ำ
  • ไม่อนุญาตให้เคี้ยวหมากฝรั่ง ของว่าง และเครื่องดื่มบนรถไฟ MRT หรือระบบขนส่งสาธารณะ
  • การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ รวมถึงการบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
  • การไม่กดน้ำหลังใช้ห้องน้ำสาธารณะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
  • การถ่มน้ำลายลงพื้นก็ทำให้คุณโดนปรับราคาแพง
  • การทิ้งขยะบนท้องถนน ถ้าเป็นชิ้นเล็กๆ จะโดนค่าปรับ 300 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 6,900 บาท) แต่ถ้าเป็นขยะชิ้นใหญ่อย่างกระป๋องหรือขวดน้ำ อาจจะทำให้ต้องขึ้นศาลได้ 
  • การให้อาหารนกพิราบในสวนสาธารณะ ถูกปรับ 500 ดอลลาร์สิงคโปร์!
  • สิงคโปร์เข้มงวดเรื่องยาเสพติดมาก รวมถึงกัญชาด้วย หากคุณถูกจับได้ คุณต้องถูกจำคุกแน่นอน!

ถึงแม้ว่านักเดินทางหลายคนจะให้คำจำกัดความของสิงคโปร์ว่าราคาแพง แต่ไม่ได้หมายความว่าการเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์แบบประหยัดจะเป็นไปไม่ได้ มีหลายวิธีในการลดค่าใช้จ่ายหากคุณรู้ว่าจะไปที่ไหน และเคล็ดลับที่เราบอกก็จะช่วยเป็นแนวทางให้คุณวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้

นอกจากในสิงคโปร์จะมีค่าครองชีพสูงแล้ว หากคุณเกิดเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันอย่างเช่น การเจ็บป่วยกระทันหัน หรือเกิดอุบัติเหตุ คุณอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่ไม่ได้เตรียมมาเพื่อการนี้อีกด้วย สิ่งสำคัญที่จะช่วยใหคุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมีประกันภัยการเดินทางติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : tripsavvy.com, traveltriangle.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel