เจ็บป่วยที่ญี่ปุ่นทำอย่างไร เสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

สำหรับคนที่กำลังจะเดินทางหรือกำลังวางแผนไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเพื่อเที่ยว ทำงาน เรียนต่อ หรือวัตถุประสงค์อะไรก็ตามแต่ เรื่องสุขภาพนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่กำลังกังวลใจอยู่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาพยาบาลในประเทศนั้นๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นให้เป็นตัวอย่าง เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นเป้าหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนไทยอย่างมาก ดังนั้นรู้ไว้ย่อมมีประโยชน์กว่า

ระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่น

ก่อนอื่นเราขออธิบายเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขและรูปแบบการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นกันก่อน ซึ่งระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นนั้น ได้ถูกจัดอันดับ ในปี 2559 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ติด 1 ใน 10 จาก 190 ประเทศทั่วโลกในด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งถือได้ว่าต้องมีความพร้อมและน่าเชื่อถือสุดๆ แต่อย่างไรก็ตามระบบการรักษาพยาบาลหรือเข้ารับการรักษาในประเทศญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างจากบ้านเราพอสมควรที่เราควรรู้ไว้ด้วยเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น สำหรับกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือไม่สบายที่ญี่ปุ่น เราสามารถซื้อยาจากร้านขายยา โดยร้านขายยาในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

1. ร้านขายยาทั่วไป เป็นร้านขายยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ ที่จะขายยาพื้นฐานหรือที่เราเรียกว่า ยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งจะเป็นร้านขายยาทั่วไปและอาจมีขายเครื่องสำอางค์ร่วมด้วย อันนี้ปกติธรรมดาเหมือบ้านเรา
2. ร้านขายยาจริงๆ ที่ต้องมีใบสั่งยาโดยแพทย์ประกอบด้วย ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวดกว่าร้านขายยาทั่วไปอย่างมาก

นอกจากนี้แล้วคนญี่ปุ่นมักนิยมเข้า คลีนิค ที่จะเป็นคลินิกเฉพาะทางในการรักษาโรคนั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่คลีนิคจะสามารถให้บริการได้หลายโรค ดังนั้นแล้ว หากเลือกที่จะเข้ารักษากับคลีนิคที่ประเทศญี่ปุ่นก็ควรดูให้ดีก่อนว่าคลีนิคที่เราจะเข้ารับบริการนั้นเป็นคลีนิคเฉพาะทางกับความเจ็บป่วยที่เราเป็นหรือไม่ มิเช่นนั้นอาจถูกปฏิเสธการรักษาแล้วจะทำให้รำคาญใจได้ ดังนั้นเราอาจศึกษาเตรียมตัวก่อนการเดินทางโดยศึกษาจาก คู่มือการการใช้บรการหน่วยงานทางการแพทย์ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งออกโดย องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (JNTO)

ค่าใช้จ่ายประมาณการในการรักษาพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่น

อย่างที่ทราบกันว่าประเทศญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศชาตินิยมและเคารพสิทธิมนุษยชนของส่วนรวมมากๆ ดังนั้นเรื่องค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ประชาชนเจ็บป่วย ทางรัฐจะช่วยดูแลสนับสนุนและให้ผ่อนจ่ายได้ โดยถือว่าเป็นระบบสวัสดิการประกันสุขภาพรูปแบบหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โดยประชาชนญี่ปุ่นทุกคนจะต้องเข้าระบบประกันการรักษาพยาบาลจากรัฐ และรวมถึงชาวต่างชาติที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 3 เดือน ก็ต้องเข้าระบบประกันนี้ด้วย เพราะฉะนั้น คนที่เดินทางไปเรียน หรือไปทำงาน ซึ่งอยู่เกิน 3 เดือนขึ้นไป จะสามารถได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะได้จ่ายค่าประกันสุขภาพแก่ประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นไป ส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ที่เข้าระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นนั้น ผู้เอาประกันจะจ่ายเพียงบางส่วน 10-30% ตามอายุ และส่วนที่เหลือรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ คือ

1) ประชาชนจ่าย 30% ของยอดชำระ และที่เหลือประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นรับผิดชอบ
2) ประชาชนจ่าย 20% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 70 ปี ขึ้นไป และไม่ได้ทำงาน
3) ประชาชนจ่าย 10% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 75 ปี ขึ้นไป

จะเป็นว่าผู้ที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพนั้นจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยมากหากเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในระบบ หรือนักท่องเที่ยวที่โดยปกติอัตราค่ารักษาพยาบาลระหว่างพลเมืองญี่ปุ่นกับชาวต่างชาติก็ต่างกันอยู่แล้ว ด้านล่างนี้ค่าค่าใช้จ่ายประมาณการสำหรับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นสำหรับชาวต่างชาติ ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดกับนักท่องเที่ยว โดยเรทการคำนวนเป็นเงินบาท อ้างอิงจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 10 มกราคม 2563 (28.01 บาท / 100 เยน)

1. พบหมอต่อครั้ง ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
2. นอนโรงพยาบาล 1 คืน เริ่มต้นที่ 100,000 เยน หรือ 28,000 บาท
3. หกล้ม ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าหัก ค่าใช้จ่ายระหว่าง 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
4. CT Scan เริ่มต้นที่ 30,000 เยน หรือ 8,400 บาท
5. ถอนฟัน 20,000 เยน หรือ 5,600 บาท
6. เคลื่อนย้ายฉุกเฉินระหว่างเมือง สามารถมีค่าใช้จ่ายสูงสุดถึง 5 ล้านเยน หรือ 1.4 ล้านบาท

โดยที่ค่ารักษาพยาบาลที่ญี่ปุ่น บางรายการอาจราคาถูกกว่าที่ประเทศไทย แต่บางรายการก็แพงกว่า โดยค่ารักษาพยาบาลโดยประมาณในประเทศญี่ปุ่นนั้น โดยทั่วไปจะมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกสำหรับคลินิกท้องถิ่น ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 3,000 ถึง 5,000 เยน และค่าใช่จ่ายสำหรับการนัดติดตามผลอยู่ที่ประมาณ 600 เยนต่อครั้ง หมายความว่าจำเป็นต้องจ่ายค่าที่ปรึกษารวมกับค่าธรรมเนียมสำหรับการนัดติดตามผลในครั้งแรก และหลังจากนั้นก็จะเป็นครั้งละ 600 เยนต่อครั้ง แต่อันนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายสำหรับชาวต่างชาติแต่เป็นสำหรับพลเมืองญี่ปุ่น หากเป็นคลินิกสำหรับชาวต่างชาติ ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น โดยอาจมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกถึง 10,000 เยนเป็นต้นไปได้เลยทีเดียว และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปรึกษาใหม่ทุกครั้งเมื่อพบหมอคนใหม่ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากว่าเราจะพบแพทย์คนเดิมที่เราเคยหามาก่อน จะเห็นได้ว่าแค่มองคร่าวๆ ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาพยาบาลสำหรับพลเมืองและนักท่องเที่ยวนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมากเกือบเท่าตัว

นอกจากเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ต้องคำนึงถึง ประเทศญี่ปุ่นยังมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นหากเดินทางไปท่องเที่ยวในเขตจังหวัดที่มีความเสี่ยงแล้วประสบอุบัติเหตุก็จะต้องมีค่ารักษาพยาบาลด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาท ดังนั้นการทำประกันการเดินทางเอาไว้กับการเดินทางออกนอกประเทศทุกกรณี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเสียเงินกับค่ารักษาพยาบาลสูงๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำไว้ด้วย เพื่อว่าหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้ไม่ต้องกังวล แม้อาจจะมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและอาจจะไม่ได้ใช้ แต่หลายๆเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดังนั้น ไม่ว่าเป็นการเดินทางไปในประเทศไหนๆ จะสั้นหรือจะยาว ก็อย่าได้ประมาทและทำประกันเดินทางไว้ล่วงหน้าเพื่อความสบายใจกันดีกว่า ท่องเอาไว้ “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

จู่ๆต้องยกเลิกทริปที่จ่ายแล้ว ประกันภัยการเดินทางคุ้มครองการเดินทาง

ทำอย่างไรดีเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยจนเดินทางไม่ได้ ประกันภัยการเดินทางคุ้มครองไหม?

กระเป๋าเดินทางพร้อม วีซ่าพร้อม อีกไม่กี่วันก่อนเดินทางต้องมาเกิดเหตุลื่นตกบันไดขาหัก หมอสั่งให้นอนนิ่งๆ 2 อาทิตย์ ทำยังไงดีกับเงินที่จ่ายไปแล้ว ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักที่จ่ายเงินล่วงหน้าไปบางส่วน ค่าแพคเกจทัวร์ระยะสั้นที่จองไว้ล่วงหน้า ขอคืนไม่ได้เสียด้วย โอ๊ย อดไปเที่ยว แล้วต้องเสียเงินก้อนไปอีกหรือนี่

แต่ช้าก่อน เราซื้อประกันภัยการเดินทางของ Allianz Travel ไว้แล้วนี่ รีบไปเปิดกรมธรรม์เช็คความคุ้มครอง โชคดีจริงๆ เพราะ Allianz Travel ประกันภัยการเดินทางคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันภัยเกิดเหตุไม่ได้คาดหมาย ที่อยู่เหนือการควบคุม จนต้องแจ้งยกเลิกการเดินทางภายใน 30 วันก่อนเริ่มการเดินทาง บริษัทจะจ่ายเงินคืนให้เราทั้งเงินมัดจำล่วงหน้าที่ถูกยึดสำหรับค่าตั๋วเครื่องบินที่ไม่ได้ใช้ ค่าที่พักและค่าการท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ ทั้งนี้ต้องไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ได้ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์นะ

นอกจากเรื่องบาดเจ็บจนต้องเข้าพักรักษาตัวโรงพยาบาลจนเดินทางไปเที่ยวไม่ได้แล้ว ALLIANZ TRAVEL ยังคุ้มครองไปถึงเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เราเดินทางไม่ได้ อย่างเช่น

1. การเสียชีวิต การบาดเจ็บสาหัส การป่วยรุนแรงของคุณเอง หรือญาติสนิท หรือผู้ใกล้ชิดทางธุรกิจ หรือ
2. การยกเลิกตารางการเดินทางของผู้ขนส่งสาธารณะ เนื่องจากการจลาจล การนัดหยุดงาน การประท้วง การก่อความวุ่นวาย พายุหรือใต้ฝุ่น หรือ
3. การถูกเรียกเพื่อไปให้การเป็นพยานในศาล

คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 270 บาท แต่ได้รับการคุ้มครองกรณียกเลิกการเดินทางสูงสุดถึง 50,000 บาท

ซื้อเลยตอนนี้

ดู Infographic พร้อมคำอธิบายเอกสารที่ต้องจัดเตรียมในการเคลมกรณีบอกเลิกการเดินทาง

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

แค่แขนหักที่อเมริกา ค่ารักษา 1.3 ล้านบาท

น้องๆ หลายคนมีความฝันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เพื่อนใหม่ๆ ได้ฝึกภาษา ประเทศยอดฮิตจะหนีไม่พ้น อเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งผู้ปกครองต้องจัดเตรียมค่าเทอม ค่าหอพัก ค่าใช้จ่ายประจำวัน แล้วค่ารักษาพยาบาลล่ะเตรียมไว้พอหรือยัง?

วันนี้ขอยกเคสจริงของนักเรียนที่ไปศึกษาต่อในอเมริกาแล้วเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มแขนหัก ต้องผ่าตัดและรักษาตัวในโรงพยาบาล แค่ 4 วัน ค่ารักษาสูงถึง 1.3 ล้านบาท ถ้าต้องจ่ายเองคงแย่แน่ แต่โชคดีที่น้องเค้ามีประกันภัยการเดินทาง Overseas Student Care จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ เคสนี้จ่ายค่าเบี้ยประกันเพียง 26,799 บาทเอง

อย่าคิดว่าเรื่องเจ็บป่วยเป็นเรื่องไกลตัว ถึงแม้สุขภาพจะแข็งแรง แต่เรื่องอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยมันกำหนดไม่ได้ มีประกันภันภัยการเดินทางสำหรับนักเรียนไว้ อุ่นใจกว่า

ALLIANZ TRAVEL ขอแนะนำประกันภัยการเดินทาง OVERSEAS STUDENT CARE เบี้ยประกันเริ่มต้นแค่ 4,789 บาท ได้ค่ารักษาตั้ง 2 ล้าน!! ซื้อเถอะ ดีกว่าไม่ซื้อแล้วเห็นบิลมาน้ำตาไหล ความคุ้มครองหลักๆ ได้แก่

  • ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุและเจ็บป่วยในต่างประเทศ สูงสุด 5,500,000 บาท
  • ค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย (ภายใน 12 ชั่วโมง) สูงสุด 550,000 บาท
  • ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย กรณีเดินทางกลับบ้านเป็นการชั่วคราว สูงสุด 200,000 บาท
  • การเคลื่อนย้ายฉุกเฉินทางการแพทย์ สูงสุด 5,500,000 บาท
  • ผลประโยชน์ชดเชยการสูญเสียค่าเล่าเรียน สูงสุด 300,000 บาท

ซื้อเลยวันนี้ รับฟรีกระเป๋า Travel Mate วันนี้ – 30 ก.ย. 2562

อย่าลืมกลับมาลงทะเบียนรับกระเป๋าที่นี้ – HTTP://BIT.LY/TRAVELSET2

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

[UK] เปรียบเทียบประกันสวัสดิการสุขภาพรัฐสำหรับนักเรียนนักศึกษา VS ประกันภัยการเดินทาง

เทียบกันเห็นๆ ระหว่างสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับนักเรียนของรัฐบาลอังกฤษกับประกันภัยการเดินทาง OVERSEAS STUDENT CARE

ประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักเรียนไทยที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ในระหว่างการศึกษา อาจมีการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ถึงแม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะมีสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับนักเรียน แต่มันยังไม่ครอบคลุมทุกความต้องการของนักเรียนต่างชาติที่ไปศึกษาต่อ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะไม่รวมถึงค่ายา โรงพยาบาลที่เข้าได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐเท่านั้น รอคิวนาน

1. ค่ารักษาพยาบาล

2. ค่าชดเชย

3.สิทธิประโยชน์อื่นๆเพิ่มเติม

อุ่นใจเมื่อไปศึกษาต่ออังกฤษ เพียงคุณมีประกันภัยการเดินทางนักเรียน OVERSEAS STUDENT CARE ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเรียน ไม่ว่าจะเป็น ความคุ้มครองทั้งอุบัติเหตุและเจ็บป่วย เข้าโรงพยาบาลได้ทั้งของรัฐและเอกชน ชดเชยค่าเล่าเรียนระหว่างเจ็บป่วย และอื่นๆ อีกมากมาย เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 4,789 บาท

รายละเอียดเปรียบเทียบสวัสดิการด้านสุขภาพของรัฐและประกันภัยการเดินทางนักเรียน OVERSEAS STUDENT CARE
ALLIANZ TRAVEL “เดินทางอุ่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวลตลอด 24 ชั่วโมง ทั่วโลก”สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร: 02 305 8512 (จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.30น.)
EMERGENCY ASSISTANCE: 0-2342-3237 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
WWW.ALLIANZTRAVELTHAILAND.COM
#OVERSEASSTUDENTCARE #ALLIANZTRAVELTHAILAND
== ติดตาม FACEBOOK FAN PAGE ของ ALLIANZ TRAVEL THAILAND ได้ที่นี่ ==

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

7 จุดยอดนิยมชมซากุระในญี่ปุ่น

ฤดูหนาวในญี่ปุ่นกำลังพ้นผ่าน ฤดูกาลถัดไปเริ่มเข้ามาแทนที่ นั่นคือฤดูใบไม้ผลิ หากพูดถึงกิจกรรมประจำฤดูกาล คือการชมดอกไม้หลากสายพันธุ์ โดยเฉพาะการชมดอกซากุระผลิบาน ซึ่งการชมดอกไม้ ชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า “ฮานามิ” (ฮานา แปลว่า ดอกไม้, มิ แปลว่า ดู ชม) เป็นประเพณีดั้งเดิม ซึ่งคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เฝ้ารอเพื่อจะได้เพลิดเพลินกับความงามของดอกซากุระ ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นริมแม่น้ำ สวนสาธารณะ รวมถึงรอบปราสาททั่วญี่ปุ่น จะเต็มไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 100 สายพันธุ์ เช่น พันธุ์ Yamazakura, Somei Yoshino, Ichiyo เป็นต้น รวมถึงสายพันธุ์หาชมได้ยาก จะบานสะพรั่งอวดโฉมกันอย่างงดงาม โดยเริ่มผลิใบจากเกาะโอกินาวาทางใต้สุดไล่ขึ้นไปยังเกาะฮอกไกโด และเริ่มบานตั้งแต่เดือนมีนาคมไปถึงเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละปีด้วย เพื่อให้ซึมซับวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นและสัมผัสความงามของดอกซากุระ เราจึงได้รวบรวม 7 จุดชมซากุระจากทั่วญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมาให้ชมกัน

1.สวนทากาโตะโฮโจชิ (TAKATO JOSHI KOEN)

ตั้งอยู่เมืองอินะ จังหวัดนากาโนะ สวนแห่งนี้เป็นจุดชมซากุระที่สวยงามติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น มีต้นซากุระสายพันธุ์โคอิกัง ซึ่งหาชมได้ยาก ราว 1,500 ต้น ที่ปลูกตั้งแต่สมัยเมจิเบ่งบานให้ชมความสวยงาม ในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายน ภายในสวนมีอุโมงค์ซากุระสวยงามอลังการ ส่วนไฮไลท์อยู่ที่สะพานโค้งโออุนเคียวเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายภาพและชมซากุระที่กำลังบานสะพรั่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของสวน ในตอนค่ำตั้งแต่เวลา 18:00-22:00 น. จะมีการประดับไฟตามแนวต้นซากุระเพิ่มสีสันสร้างความตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น

  • การเดินทาง จากสถานี Inashi นั่งรถบัสจากหน้าสถานีไปลงป้าย Takato Castle Ruins Park ใช้เวลา 25 นาที จากนั้นเดินต่อไปอีกเล็กน้อย
  • ค่าเข้าชม 500 เยน
  • เวลา เปิด-ปิด 06:00-22:00 น.

2.สวนชินจูกุเงียวเอน (SHINJUKU GYOEN)

สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Shinjuku เป็นสถานที่ผ่อนคลาย หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองโตเกียว สวนเดิมสร้างขึ้นในช่วงเอโดะ หลังได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในปี ค.ศ. 1949 ภายในสวนแบ่งออกเป็น 3 โซน หลักๆ ได้แก่สวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สวนสไตล์ฝรั่งเศส และสวนสไตล์อังกฤษเป็นบริเวณที่รายล้อมไปด้วยต้นซากุระจาก 12 สายพันธุ์ รวมแล้วกว่า 400 ต้น ซึ่งจะเบ่งบานให้ชมกันในช่วงต้นเดือนเมษายน ของทุกปี ซึ่งที่นี่ถือเป็นจุดชมดอกซากุระยอดนิยมติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น

  • การเดินทาง จากสถานี Shinjuku ใช้ทางออก South Exit เดินไปทางทิศตะวันออกอีกประมาณ 600 เมตร จากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinjukugyoenmae ใช้ทางออก 1 เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร จากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinjuku Sanchome ใช้ทางออก C1 หรือ C5 เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร
  • ค่าเข้าชม 200 เยน
  • เวลาเปิด-ปิด 09:00-16:00 น.

3.สวน KASAI RINKAI

สวนสาธารณะริมอ่าวโตเกียวขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับโตเกียวดิสนีย์แลนด์ สวนแห่งนี้เกิดจากการถมทะเลขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการรักษาและฟื้นฟูที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ในอ่าวโตเกียว และยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนในย่านนั้น ภายในสวนยังมีชิงช้าสวรรค์ยักษ์สูง 117 เมตร ตั้งโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ มีพื้นที่ให้ได้นั่งปิกนิก ทำกิจกรรมต่างๆ หากใครไปตรงกับช่วงซากุระประมาณปลายมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน จะได้เจอกับทิวแถวของต้นซากุระราว 760 ต้น ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ Somei Yoshino,Oshima zakura และ Sato-zakura ทยอยกันบานสะพรั่งโอดโฉมให้ได้สัมผัสความงดงาม นอกจากนี้ยังพิพิธภัณฑ์สัตว์นํ้าโตเกียวซีไลฟ์ (Tokyo Sealife Aquarium) จัดแสดงปลาทะเลชนิดต่างๆ เช่น ปลาฉลาม ปลาทูน่า และเต่าทะเล รวมทั้งนกเพนกวินชนิดต่างๆ ให้ได้ชมความน่ารักอีกด้วย

  • การเดินทาง จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟสาย JR Keiyo Line ลงที่สถานี Kasai Rinkai Koen
  • ค่าเข้าชม บริเวณสวนฟรี, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ 700 เยน
  • เวลาเปิด-ปิด 09:30-17:00 น.

4.เมืองคาวาซุ (KAWAZU)

ตั้งอยู่เมืองคาวาซุ จังหวัดชิซูโอกะ นับเป็นจุดชมซากุระบานที่แรกๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม บริเวณเลียบแม่น้ำคาวาซุ ตั้งแต่สถานี Kawazu ไปถึงมิเนะออนเซน ระยะทางราว 4 กม. ใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลคาวาซุซากุระ หรือคาวาซุมัตสึริ ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศจะหลั่งไหลมาชมความสวยงามของดอกซากุระสายพันธุ์พิเศษที่มีชื่อเรียกว่า Kawazu-zakura จะบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นประมาณ 1 เดือน บริเวณงานจะมีซุ้มดอกซากุระกว่า 800 ต้น ที่ปลูกตามแนวยาวเลียบแม่น้ำคาวาซุ เพิ่มสีสันด้วยการประดับไฟตามต้นซากุระในยามค่ำคืน และทั่วเมืองคาวาซุยังเต็มไปด้วยต้นซากุระราว 8,000 ต้น

  • การเดินทาง จากสถานี Atami นั่งรถไฟด่วนของ JR มาลงที่สถานี Kawazu จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร จะเจอแม่น้ำคาวาซุ
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

5.ภูเขาโยชิโนะ (MOUNT YOSHINO)

ตั้งอยู่เมืองโยชิโนะ จังหวัดนารา เป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่โบราณ เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ตื่นตาตื่นใจกับภาพซากุระกว่า 30,000 ต้น จาก 200 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ Yamazakura จะเบ่งบานปกคลุมไปทั่วบริเวณภูเขาโยชิโนะ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน โดยจะบานไล่จากตีนเขาไปจนถึงยอดเขา ด้านบนยังมีจุดชมวิวอีกหลายจุด ให้ได้หยุดเก็บภาพประทับใจพร้อมกับชมซากุระเบ่งบานแบบละลานตา

  • การเดินทาง จากสถานี Yamatosaidaiji สาย KintetsuKyoto/Kashihara Line Exp. ไปลงสถานี Kashiharajingumae แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย Kintetsu Minami-osaka/YoshinoLine Exp. ไปลงสถานี Yoshino จากนั้นนั่งรถชัตเติลบัสไปลงป้าย Naka Senbon
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

6.สวนมาอิซูรุ (MAIZURU PARK)

สวนมาอิซูรุ ตั้งอยู่ภายในซากปราสาทฟูกุโอกะ ในเมืองฟูกุโอกะ จังหวัดฟูกุโอกะ อดีตเคยเป็นหนึ่งในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในเกาะคิวชู สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันเหลือเพียงแนวกำแพงบางส่วน ส่วนของฐานป้อมปราการปรับให้เป็นลานโล่งและเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวเมืองมุมสูง สวนแห่งนี้จะคึกคักและสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระออกดอกบานสะพรั่งในช่วงต้นเดือนเมษายน ชาวญี่ปุ่นนิยมมานั่งปิกนิกชมความงามของซากุระสายพันธุ์ดอกย้อยที่ค่อยๆ ไหวเอนเมื่อยามต้องลม รับรองว่าสวยงามไม่แพ้ที่อื่น

  • การเดินทาง จากสถานี Hakata นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Ohori Koen ทางออก 5 เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาที่ 3 แยก ตรงไปอีก 300 เมตร ทางเข้าอยู่ซ้ายมือ
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด เปิดตลอดเวลา

7. ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (KAWAGUCHIKO)

ทะเลสาบชื่อดังและยังเป็นสถานทีท่องเที่ยวยอดฮิต ตั้งอยู่จังหวัดยามานาชิ ที่นี่เป็นจุดชมฟูจิซังหรือภูเขาไฟฟูจิสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น รอบๆ ทะเลสาบมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวกระจายอยู่หลายจุด และในช่วงกลางเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวจะได้เห็นภาพทิวแถวของต้นซากุระที่หาชมได้ทั่วบริเวณทะเลสาบ เช่นบริเวณสวนสาธารณะยางิซากิ ตั้งอยู่ฝั่งทิศใต้ของทะเลสาบ รวมถึงบริเวณทิศเหนือของทะเลสาบ ยังมีแนวต้นซากุระให้ได้ชมความงามไปพร้อมกับได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของฟูจิซังอีกด้วย

  • การเดินทาง จากสถานี Shinjuku ให้นั่งรถไฟ ขบวน Ltd. Exp Kaiji มาลงที่สถานี Otsuki แล้วเปลี่ยนไปนั่งขบวน Fujikyu Railway ลงสถานี Kawaguchiko หรือนั่งรถบัสของบริษัท Keio Bus จากหน้าห้าง Keio (บริเวณสถานี Shinjuku วิ่งตรงมายังสถานี Kawaguchiko)
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

ก่อนแพลนไปชมซากุระสามารถตรวจสอบพยากรณ์การบานของซากุระได้ที่เว็บพยากรณ์และการท่องเที่ยวญี่ปุ่นโดยตรง www.jnto.go.jp/sakura/eng/index.php (ภาษาอังกฤษ) และ http://sakura.weathermap.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

การเตรียมชุดกันหนาวให้พร้อมสำหรับความหนาวเย็นในทริปต่างประเทศ

ผู้ที่รักในการท่องเที่ยวที่เลือกไปท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงฤดูหนาวเพราะต้องการสัมผัสอากาศหนาวแบบที่บ้านเราไม่มี และแน่นอน อยากสัมผัสหิมะที่เย็นยะเยือกสักครั้งรวมทั้งเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมบนหิมะยกตัวอย่างเช่น การเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ด รวมไปถึงผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยในการเดินเขาหรือขึ้นเขาในแถบประเทศที่หนาวเย็นด้วย แน่นอนว่าอากาศที่นั่นต้องแตกต่างจากบ้านเราแน่นอนเพราะบ้านเรามีเพียงฤดูฝน ฤดูร้อนและฤดูร้อนมากเท่านั้นและไม่เคยมีหิมะตกเลยนี่สิ แล้วเราควรจะเตรียมเสื้อผ้าอย่างไรกันดีล่ะ

ก่อนอื่นต้องสำรวจก่อนว่าประเทศที่เราจะไปนั้นอยู่ในฤดูอะไร อุณหภูมิโดยประมาณเท่าไหร่ และนอกจากอากาศที่หนาวเย็นแล้วยังมีหิมะหรือลมฝนร่วมด้วยหรือไม่ เพื่อเตรียมเสื้อผ้าไปให้พร้อมกับทุกสถานการณ์เพราะถ้าป่วยขึ้นมาก็เที่ยวไม่สนุกกันพอดีน่ะสิจริงมั้ย

ประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นระดับเบเบี๋ (15-25 องศาเซลเซียส)

อุณหภูมิระดับนี้ก็ใกล้เคียงกับอากาศทางภาคเหนือของประเทศเราในหน้าหนาว ซึ่งอากาศแบบนี้จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของประเทศทางฝั่งยุโรปและประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลี ก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาว การจัดกระเป๋าก็ไม่ยากเลย

  • ชุดชั้นใน เลือกชุดชั้นในที่ใส่ปกติหรือหนาสักนิดก็ใช้ได้
  • เสื้อผ้า เสื้อเลือกที่สวมใส่สบาย สาว ๆ อาจเลือกเลกกิ้งมาปกป้องเรียวขาจากอากาศเย็นแล้วสวมมินิสเกิร์ตทับส่วนหนุ่ม ๆ ใส่ยีนส์สักตัวก็เอาอยู่
  • เสื้อกันหนาว เลือกเสื้อกันหนาวที่ช่วยกันลมอย่าง เสื้อแจ็คเก็ต หรือเสื้อโค้ทที่ไม่หนามากนักเป็นสไตล์แฟชั่นมาใส่ก็ได้
  • รองเท้า สวมถุงเท้าหนากับรองเท้าหุ้มส้นหรือผ้าใบที่ใส่สบาย

ประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นระดับประถม (0-15 องศาเซลเซียส)

ยกระดับความหนาวเย็นขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง อุณหภูมิขนาดนี้เป็นช่วงฤดูหนาวของต่างประเทศซึ่งหนาวกว่าบ้านเรามาก ยิ่งกับผู้ที่เคยชินกับอากาศ 20 องศาปลาย ๆ ของภาคกลางแล้วล่ะก็อาจป่วยได้ ที่อุณหภูมิขนาดนี้ควรติดผ้าพันคอและเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ศีรษะของคุณด้วยหมวกไหมพรม สวมถุงมือไหมพรมเพื่อป้องกันลมช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับมือของคุณได้เป็นอย่างดี

  • ชุดชั้นใน จุดนี้ควรเลือกชุดชั้นในที่มีความหนาเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายแล้วสวมลองจอนทับอีกชั้น
  • เสื้อผ้า แนะนำเป็นเสื้อวูล, เสื้อฮีทเทค หรือเป็นสเวตเตอร์ที่หนาสักนิดมีแขนยาวและปิดคอเพื่อเก็บความร้อนและให้ความอบอุ่น ส่วนท่อนล่างควรสวมลองจอนวูลเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ขาของคุณ และสวมกางเกงยีนส์หนา ๆ ทับอีกชั้น
  • เสื้อกันหนาว ควรเลือกเสื้อโค้ทที่มีความหนาและมีฮู้ดไว้ป้องกันความหนาวเย็นจากลมหากคุณต้องยืนตากลมนาน ๆ อาจทำให้รู้สึกไม่สบายได้ และเสื้อกันหนาวหรือโค้ทควรมีความยาวเลยสะโพกลงไปยิ่งถ้าได้เสื้อขนเป็ดก็จะดีมาก
  • รองเท้า ควรเตรียมถุงเท้าวูลและรองเท้าบูทไปด้วย

ประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นระดับมหาวิทยาลัย ( -15 ถึง -1 องศาเซลเซียส)

ความหนาวระดับนี้เป็นระดับที่มีหิมะตกนอกจากความหนาวเย็นแล้วคุณอาจต้องพบกับความชื้นของหิมะด้วย ต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าที่สามารถระบายความชื้นได้ดี เก็บความอบอุ่นได้ดีและกันเปียก หากเสื้อโค้ทที่คุณเตรียมไปไม่มีฮู้ดควรเตรียมหมวกไหมพรมหนา ๆ ที่ปิดหูและถุงมือไหมพรมวูล รวมถึงถุงเท้าไหมพรมวูลไปด้วย

  • ชุดชั้นใน เลือกชุดชั้นในที่มีความหนาเพื่อรักษาความอบอุ่นแล้วสวมลองจอนทับอีกชั้นหนึ่ง ควรเลือกแบบที่ระบายความชื้นได้เร็วแล้วสวมไทต์เลกกิ้งหนาและแพนตี้โฮสด้านล่าง
  • เสื้อผ้า สวมแจ็คเกตบาง ๆ หรือเสวตเตอร์ผสมขนสัตว์เพิ่มความอบอุ่นแขนยาวไว้ด้านใน ท่อนล่างใส่ลองจอนวูลที่สามารถระบายความชื้นได้ดีหากคุณต้องเจอกับหิมะสวมยีนห์หนาที่มีเนื้อผ้าสามารถกันลมได้ดีหรือกางเกงผ้าร่มบุด้านในที่สามารถกันเปียกได้ดี
  • เสื้อกันหนาว เสื้อกันหนาวควรเลือกเป็นวูลขนเป็ดและผ้าด้านนอกกันเปียก หากเป็นโค้ทควรเลือกตัวยาว ยาวถึงเขาเลยยิ่งดี มีความหนามาก ๆ แต่แนะนำเป็นเสื้อวูลขนเป็ดที่มีความหนาแน่นมากดีกว่าเพื่อเก็บความอบอุ่นให้กับคุณ และหากคุณมั่นใจว่าต้องเจอหิมะแน่ ๆ ไม่ควรเลือก Down Jacket มาใส่เพราะถึงแม้จะเบาและอบอุ่นแต่โดนความชื้นเข้าไปแจ็คเก็ตจะเปียกและไม่อุ่นอีกต่อไปจ้า
  • รองเท้า ควรเตรียมถุงเท้าวูลและรองเท้าบูทที่ยาวถึงเข่าและสามารถเดินบนหิมะได้ไปด้วย

สำหรับจำนวนนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาของทริปนี้ด้วยหากไปเพียง 2-3 วันเตรียมเสื้อกันหนาวไปตัวเดียวและชุดชั้นในและเสื้อผ้าตามจำนวนวันและรองเท้าบูทและผ้าใบอย่างละคู่ก็เพียงพอแล้วแต่หากไป 7 วันขึ้นไปควรตระเตรียมเสื้อหนาวไปเผื่ออีกสักหนึ่งตัวหรือไปซื้อเพิ่มที่ประเทศนั้น ๆ ก็ได้คุณจะได้เสื้อที่เหมาะเหม็งกับสภาพอากาศทีเดียวเชียว สำหรับผู้ที่ตั้งใจไปสกีหรือปีนเขาต้องเตรียมอุปกรณ์เซฟตี้แขนขา แว่นกันลมรวมถึงถุงมือที่เหมาะสำหรับปีนเขาและเล่นสกีไปด้วยนะ

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา