10-beaches-resort-vietnam

รวม 10 ที่พักเวียดนามติดชายทะเล บรรยากาศดี เดินเล่นชิลๆ

สำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ หลบหนีความวุ่นวาย ไปเดินเล่นชิล ๆ ริมชายหาดทะเล “เวียดนาม” ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยค่ะ เพราะด้วยลักษณะภูมิประเทศที่มีชายหาดทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร ทำให้เวียดนามมีหลากหลายหาดให้เราได้ไปเที่ยวกัน แถมที่พักรีสอร์ทก็มีให้เลือกมากมายและมีวิวสวยงามระดับห้าดาวเลยทีเดียว บทความนี้ Allianz Travel เลยขอพาผู้อ่านเปลี่ยนบรรยากาศมานอนเล่นริมชายทะเล กับ 10 ที่พักเวียดนามติดทะเล จะสวยงามน่าเช็คอินแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

1. INTERCONTINENTAL NHA TRANG

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 4,000 บาท

สำหรับใครที่กำลังมองหาที่พักติดชายทะเล บรรยากาศดีระดับ 5 ดาว แต่ราคาไม่แพงมากนัก และอยู่ที่เมืองญาจาง InterContinental ญาจาง เป็นโรงแรมหรูที่เพิ่งเปิดไม่นาน ซึ่งดีไซน์การตกแต่งมีความสวยงาม เรียบหรู สำหรับตัวห้องพักจะเห็นวิวชายหาดทะเลโค้งสวยงามซึ่งสามารถมองเห็นน้ำทะเลสีฟ้ากว้างไกล นอกจากนี้ที่พักยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องสปา สระว่ายน้ำกลางแจ้งวิวทะเล ห้องอาหารสุดหรู หรือกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ

เมืองญาจางได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีสำหรับการดำน้ำ ด้วยความสวยงามของแนวปะการังขนาดใหญ่ และธรรมชาติที่ยังคงความสวยงามอยู่ ใครที่ชื่นชอบการดำน้ำและดูปะการัง ญาจางถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลยค่ะ

2. SALINDA RESORT PHU QUOC ISLAND

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 4,000 บาท

ถ้าไปเที่ยวทะเลบนเกาะฟู้ก๊วกแล้ว ต้องมาพักที่ Salinda Resort เลยค่ะ เพราะรีสอร์ทแห่งนี้มีความสงบ ไม่วุ่นวาย มีห้องพัก 121 ห้อง พร้อมด้วยชายหาดส่วนตัวเฉพาะผู้เข้าพักเท่านั้น แถมใครที่ชอบสระว่ายน้ำส่วนตัว ที่นี่ก็มีห้องพักแบบพูลวิลล่าด้วยค่ะ และรีสอร์ทยังอยู่ติดกับหมู่บ้าน Duong Dong ซึ่งเป็นตลาดที่มีอาหารทะเลสด ๆ มาขายทั้งตอนเช้าและกลางคืนเลยค่ะ

เกาะฟู้ก๊วกตั้งอยู่ติดชายแดนประเทศกัมพูชาบนอ่าวไทย ซึ่งเกือบครึ่งเกาะยังคงมีสภาพสมบูรณ์ตามธรรมชาติอยู่ ทำให้รัฐบาลเวียดนามประกาศให้เกาะฟู้ก๊วกเป็นอุทยานแห่งชาติด้วยค่ะ

SALINDA RESORT PHU QUOC ISLAND

3. LAPOCHINE BEACH RESORT

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 3,400 บาท

สำหรับใครที่อยากเดินเล่นริมชายหาดทะเล พร้อมกับการเดินเที่ยวย่านเมืองเก่า ต้องมาเที่ยวที่ Thuan An เลยค่ะ เพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเว้ เมืองมรดกโลก ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม และยังคงมีแหล่งโบราณสถานที่ให้ชมมากมาย โดยห้องพักที่เราจะแนะนำก็คือ Lapochine Beach Resort ซึ่งตั้งอยู่บนชายหาดทะเล Thuan An ค่ะ

Lapochine Beach Resort เป็นรีสอร์ทที่มีดีไซน์แบบทรอปปิคอล มีห้องพักเพียง 78 ห้องเท่านั้น ซึ่งห้องส่วนใหญ่ก็จะมีวิวสระว่ายน้ำหรือชายทะเลด้วยค่ะ รีสอร์ทแห่งนี้เหมาะแก่การพาครอบครัวมาพักผ่อน เพราะมีห้องสำหรับครอบครัวที่พักได้ถึง 6 คนอยู่หลายห้อง แถมยังมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันสำหรับครอบครัวอีกด้วยค่ะ อาทิ การเข้าคอร์สทำอาหาร การปั่นจักรยานริมชายหาด เป็นต้น

LAPOCHINE BEACH RESORT

4. PANDANUS RESORT

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 3,200 บาท

Pandanus Resort รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนเมืองมุยเน่ ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ตัวรีสอร์ทเน้นการตกแต่งให้ร่มรื่นด้วยต้นไม้ และการจัดสวน พร้อมด้วยสระว่ายน้ำขนาดใหญ่กลางรีสอร์ท ขณะที่ชายหาดมุยเน่ ก็มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่เรียงรายตามชายหาดเช่นเดียวกัน นักท่องเที่ยวทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างประเทศ นิยมมาเล่นกิจกรรมทางน้ำกันที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการแล่นเรือใบ หรือวินด์เซิร์ฟค่ะ

PANDANUS RESORT

5. LEMAN CAP RESORT & SPA

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 3,200 บาท

ลงใต้มาอีกนิดจากชายหาดทะเล Thuan An จะพบกับเมืองหวุงเต่า (Vung Tau) เมืองติดชายทะเลที่อยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศเวียดนาม ห่างจากเมืองไซ่ง่อนไม่ไกลมากนัก เมืองหวุงเต่ายังคงมีกลิ่นอายยุคอาณานิคมสไตล์ฝรั่งเศสผ่านทางอาคารบ้านเรือน และวัฒนธรรมต่าง ๆ Leman Cap Resort & Spa เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ติดชายทะเลเมืองหวุงเต่า ตัวรีสอร์ทออกแบบอาคารและห้องพักสไตล์ฝรั่งเศสแบบยุคเก่า พร้อมด้วยสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ เห็นวิวทะเลแบบไกลสุดลูกหูลูกตา และสำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารฝรั่งเศส ถ้ามาเที่ยวแล้วก็อย่าลืมสั่งเด็ดขาด เพราะเป็นอาหารขึ้นชื่อของรีสอร์ทเลยค่ะ

LEMAN CAP RESORT & SPA

6. HYATT REGENCY DANANG RESORT SPA

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 6,000 บาท

Hyatt Regency Danang Resort Spa หนึ่งในรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดของเมืองดานัง และถือเป็นรีสอร์ทที่เหมาะแก่การพักผ่อนทั้งครอบครัวมากที่สุดด้วยค่ะ โดยตัวรีสอร์ทออกแบบห้องพักหลากหลายรูปแบบให้ตรงกับความต้องการของทั้งครอบครัว มีทั้งห้องหนึ่งเตียง ไปจนถึงห้องวิลล่าสามเตียงนอนค่ะ ตัวรีสอร์ทยังออกแบบสระว่ายน้ำแยกออกจากกันถึงห้าสระด้วยกัน มีทั้งสระว่ายน้ำหลัก สระว่ายน้ำเด็ก หรือสระว่ายน้ำลากูนพร้อมด้วยสไลเดอร์

ในส่วนของกิจกรรมสำหรับเด็ก รีสอร์ทมีโปรแกรมกิจกรรมเฉพาะชื่อว่า “Camp Hyatt all-day kids” หรือถ้าลูกอยากเรียนว่ายน้ำ ที่รีสอร์ทก็มีเปิดสอนทั้งวันเลยค่ะ และสำหรับกิจกรรมผู้ใหญ่ ทางรีสอร์ทก็มีกิจกรรมกลางแจ้งให้เล่นมากมาย อาทิ โยคะ, ปีนเขา หรือเทนนิส เป็นต้น

HYATT REGENCY DANANG RESORT SPA

7. PREMIER VILLAGE DANANG RESORT

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 14,000 บาท

นอกเหนือจาก Hyatt Regency แล้ว อีกหนึ่งที่พักรีสอร์ทสุดหรูติดชายหาดทะเลเมืองดานังที่เราอยากแนะนำก็คือ Premier Village Danang Resort ซึ่งเป็นรีสอร์ที่ตั้งอยู่บนชายหาด Xuan Thieu ทางตอนเหนือของเมืองดานัง ด้วยความห่างไกลจากชายหาดหลัก ชายหาดแห่งนี้จึงเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการความวุ่นวาย และต้องการพักผ่อนอย่างสงบ Premier Village Resort มีห้องพักให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งพูลวิลล่า บ้านพักเดี่ยวพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว หรือห้องขนาดใหญ่สำหรับ 10 คน

PREMIER VILLAGE DANANG RESORT

8. FOUR SEASONS RESORT THE NAM HAI, HOI AN

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 26,000 บาท

เปลี่ยนบรรยากาศจากห้องพักหลักพัน มาถึงห้องพักหลักหมื่นชื่อดังกันบ้างค่ะ กับโฟร์ซีซั่นรีสอร์ท รีสอร์ทสุดหรูระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่บนชายหาดทะเล Nam Hai ระหว่างเมืองดานังและฮอยอัน โดยชายหาด Nam Hai ถือเป็นหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดในเวียดนามตอนใต้ และยังเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ลองทำ อาทิ การตกปลาแบบชาวประมงพื้นถิ่น หรือการลองทำอาหารท้องถิ่น

โฟร์ซีซั่นรีสอร์ทเป็นที่พักแบบห้องวิลล่าวิวทะเลและมีสระว่ายน้ำส่วนตัวทุกห้อง พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สำหรับใครที่อยากลองสัมผัสประสบการณ์ระดับห้าดาวแบบส่วนตัวสุด ๆ มาพักที่โฟร์ซีซัน รับรองว่าคุ้มแน่นอนค่ะ

FOUR SEASONS RESORT THE NAM HAI, HOI AN

9. SIX SENSES CON DAO

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 25,000 บาท

Six Senses Con Dao อีกหนึ่งรีสอร์ทหรูระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่บนเกาะ Con Dao ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเวียดนาม ต้องเดินทางโดยเครื่องบินอีก 40 นาทีจากเมืองโฮจิมินห์ รีสอร์ทแห่งนี้จึงเหมาะสำหรับคู่รักและครอบครัวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง เพราะมีรีสอร์ทเพียงไม่กี่แห่งบนเกาะนี้ และมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก ขณะที่ชายหาดเอง ก็มีความสวยงามเป็นสีเขียวมรกต เหมาะแก่การว่ายน้ำดูปะการังและเต่าทะเลเป็นอย่างมาก
สำหรับตัวรีสอร์ทเป็นห้องพักแบบวิลล่า มีจำนวน 50 ห้อง ตกแต่งห้องด้วยสไตล์พื้นถิ่นผสมผสานกับดีไซน์แบบโมเดิร์น แต่ละห้องพักจะมีสระว่ายน้ำอินฟินนิตี้ที่สามารถมองเห็นทะเลได้อย่างกว้างไกลอีกด้วยค่ะ

SIX SENSES CON DAO

10. SIX SENSE NIHN VAN BAY

ราคาห้องเริ่มต้นคืนละ 25,000 บาท

Six Sense Nihn Van Bay อีกหนึ่งรีสอร์ทหรูระดับห้าดาวในเครือ Six Sense ตั้งอยู่บนอ่าว Ninh Van ซึ่งเป็นคาบสมุทรที่ไม่สามารถเดินทางมาได้ทางรถยนต์ ต้องนั่งเรือสปีดโบ้ทจากท่าเรือที่เมืองญาจางเท่านั้น ตัวรีสอร์ทจึงมีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมาก ๆ เพราะมีเพียงแค่แขกที่พักบนรีสอร์ทเท่านั้น ตัวรีสอร์ทออกแบบห้องพักด้วยสไตล์โมเดิร์น ห้องพักเป็นแบบวิลล่ามีทั้งหมด 58 หลัง พร้อมด้วยสระว่ายน้ำอินฟินิตี้ทุกห้อง
สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจเมื่อมาพักยัง Six Sense Nihn Van Bay มีตั้งแต่ การดำน้ำลึกดูปะการัง การทำสปาระดับห้าวดาว การลองทานอาหารท้องถิ่น และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย

SIX SENSE NIHN VAN BAY

เวียดนามเป็นประเทศที่มีชายหาดยาวมากถึงสามพันกว่ากิโลเมตร ทำให้มีรีสอร์ทมากมายให้เลือกพักผ่อนตามสไตล์ที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นแล้ว การเลือกรีสอร์ทจึงขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการไปทำกิจกรรมอะไรบ้าง หรือต้องการห้องพักแบบไหน หวังว่าทั้ง 10 ที่พักติดชายทะเลที่แนะนำไป จะเป็นตัวช่วยวางแพลนห้องพัก เมื่อไปเที่ยวเวียดนามนะคะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
11 Top-Rated Beach Resorts in Vietnam

Blog Disclaimer

All content provided on this blog is for informational purposes only. The content of this blog neither makes representations as to the accuracy or completeness of any information on this site, nor is construed as Allianz Travel’s offering of travel insurance, unless explicitly stated. Details of benefits, limits, policy exclusions, terms and conditions of Allianz Travel insurance can be found under Allianz Travel Policy Wording.

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

พาเที่ยว อเมริกาใต้ 17 สถานที่ยอดนิยมจากเหนือจรดใต้

พาเที่ยวอเมริกาใต้ : 17 สถานที่ยอดนิยมจากเหนือจรดใต้

“อเมริกาใต้” ทวีปสุดขอบแดนโลกที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย ทั้ง ๆ ที่ภูมิภาคแห่งนี้ เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ทั้งแหล่งอารยธรรมโบราณ เขตพื้นที่สัตว์ป่า ทะเล และแหล่งธรรมชาติอื่น ๆ ด้วยภูมิประเทศที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 มหาสมุทรใหญ่ มีเทือกเขาแอนดีสทอดยาว และลุ่มแม่น้ำอเมซอนที่ไหลผ่านหลายประเทศ ทำให้ภูมิภาคแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก บทความนี้ Allianz Travel เลยขอพาผู้อ่านไปเที่ยวอเมริกาใต้กัน กับ 17 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่เราจะไล่เรียงกันตั้งแต่เหนือจรดใต้ จะน่าเที่ยวแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

1. LOS ROQUES, VENEZUELA

มาเริ่มกันที่แรก กับประเทศที่อยู่เหนือสุดของทวีปอเมริกาใต้อย่างเวเนซุเอลา หมู่เกาะ Los Roques ตั้งอยู่ห่างจากเมืองการากัสทางตอนเหนือของประเทศ ประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งหมู่เกาะจะประกอบด้วยเกาะเล็กใหญ่กว่า 350 เกาะด้วยกัน ไฮไลต์สำคัญของหมู่เกาะ Los Roques คงหนีไม่พ้นปะการังที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ โดยนักท่องเที่ยวชาวยุโรป นิยมมาล่องเรือ และดำน้ำดูปะการังกันที่หมู่เกาะค่ะ นอกจากนี้ ภายในหมู่เกาะ มีสัตว์น้ำและนกทะเลจำนวนมาก รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงประกาศให้บริเวณหมู่เกาะเป็นอุทยานแห่งชาติด้วยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ LOS ROQUES, VENEZUELA

2. ANGEL FALLS, VENEZUELA

นอกเหนือจากหมู่เกาะ Los Roques แล้ว น้ำตกเอนเจลนับเป็นอีกสถานที่ที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวเวเนซุเอลา น้ำตกเอนเจล เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงกว่าน้ำตกไนแอการาถึง 15 เท่า โดยน้ำที่ไหลมาจากภูเขา Auyantepu มีความสูงกว่า 950 เมตร น้ำตกเอนเจล ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเกียนา ติดกับประเทศกายอานา สำหรับการเดินทางมายังน้ำตกค่อนข้างทุลักทุเล เพราะต้องนั่งเครื่องบิน แล้วต่อด้วยเรือ จากนั้นก็เดินขึ้นที่ราบสูง ใครที่ชื่นชอบการผจญภัย ห้ามพลาดเลยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ ANGEL FALLS, VENEZUELA

3. TAYRONA NATIONAL PARK, COLOMBIA

อุทยานแห่งชาติ Tayrona ประเทศโคลอมเบีย แหล่งรักษาพันธุ์สัตว์ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลแคริเบียน มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ครอบคลุมทั้งทางน้ำและทางบก มีความหลากหลายทางชีวภาพ และสายพันธุ์สัตว์กว่า 300 สายพันธุ์ ทั้งนกทะเล สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และค้างคาว โดยจุดไฮไลต์สำคัญที่นอกเหนือการชมสายพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ แล้ว ก็คือการมาเดินเล่นริมชายหาดทะเล ที่มีความสวยงามด้วยพื้นหลังภูเขาและต้นมะพร้าว

เที่ยวอเมริกาใต้ TAYRONA NATIONAL PARK, COLOMBIA

4. THE AMAZON VIA QUITO, ECUADOR

กีโตเป็นทั้งเมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ และประตูสู่ป่าอเมซอน ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นิยมเข้าสู่ป่าอเมซอนผ่านทางเมืองกีโต เพราะว่าพื้นที่ป่าอเมซอนของประเทศเอกวาดอร์ มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและสัตว์ป่าเป็นอย่างมาก โดยรัฐบาลมีการจัดสรรพื้นที่ระหว่างเขตอุทยานแห่งชาติ และเขตสงวนแห่งชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าเที่ยวชมความสวยงามของธรรมชาติ และสัตว์หายากที่หาดูที่ไหนไม่ได้ค่ะ นอกจากนี้ ด้วยความที่เมืองกีโต เป็นเมืองหลวงของประเทศ สำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ภายในเมืองก็มีอาคารเก่าแก่ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติให้เข้าเยี่ยมชมด้วยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ THE AMAZON VIA QUITO, ECUADOR

5. GALAPAGOS ISLAND, ECUADOR

นอกเหนือจากป่าอเมซอนแล้ว สำหรับสายรักธรรมชาติ ที่อยากชมสัตว์หายากหลากหลายสายพันธุ์ หมู่เกาะกาลาปากอส ประเทศเอกวาดอร์ ถือเป็น “Must Bucket List” ที่ต้องไปให้ได้เลยค่ะ เพราะหมู่เกาะแห่งนี้ มีเต่ายักษ์ อิกัวนายักษ์ และสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์อื่น ๆ ที่หาชมที่ไหนไม่ได้ และถ้าใครเคยอ่านงานของชาร์ล ดาวิน ที่ว่าด้วยวิวัฒนาการทางธรรมชาติด้วยแล้วละก็ ต้องคุ้นเคยกับชื่อเกาะกาลาปากอสแน่ ๆ สำหรับหมู่เกาะกาลาปากอส เกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟลาวา ประกอบไปด้วยเกาะหลัก 18 เกาะ ตัวหมู่เกาะอยู่ห่างไกลจากชายฝั่งประเทศเอกวาดอร์ ประมาณ 900 กิโลเมตร

เที่ยวอเมริกาใต้ GALAPAGOS ISLAND, ECUADOR

6. MACHU PICCHU, PERU

จากประเทศเอกวาดอร์ ลงใต้มาต่อกันที่ประเทศเปรู สถานที่แรกที่เราจะพาเที่ยวก็คือ มาชูปิกชู แหล่งอารยธรรมโบราณที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของชนเผ่าอินคา ก่อนที่จะเกิดการล่าอาณานิคมโดยชาวสเปน มาชูปิกชูเป็นพระราชวังของจักรพรรดิอินคา และเป็นสถานที่สำหรับพิธีกรรมทางศาสนาของชาวอินคา โดยตัวโบราณสถานตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีสเปรู สาเหตุที่มาชูปิกชูยังคงมีสภาพดี ก็เพราะว่า เมื่อชาวสเปนเข้ามายังประเทศเปรูแล้ว มาชูปิกชูถูกทิ้งร้างโดยชาวสเปนมาโดยตลอด จนกระทั่งศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีชาวอเมริกาค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ในศตวรรษที่ 20 นับตั้งแต่นั่นมา มาชูปิกชูได้รับการบูรณะ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศเปรูจนถึงปัจจุบันค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ MACHU PICCHU, PERU

7. RAINBOW MOUNTAIN, AUSANGATE, PERU

ถัดจากมาชูปิกชู ภูเขาสายรุ้งบนเทือกเขาแอนดีส นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่หากไปเปรูแล้วต้องแวะไปให้ได้ ภูเขาสายรุ้งเกิดขึ้นตามธรรมชาติจากแร่ธาตุและทรายแดงที่สะสมนานหลายร้อยปี ทำให้เกิดเป็นภูเขาที่มีหลากสีสันไล่เรียงเฉดกันไปเหมือนสายรุ้งนั่นเอง ภูเขาสายรุ้งตั้งอยู่ที่ความสูงกว่า 5,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศจึงบางเบา อาจทำให้เหนื่อยง่ายและหายใจลำบาก การเดินทางไปนั้นอาจยากสักนิดเพราะไม่มีรถยนต์เข้าไปถึง ทำให้ต้องอาศัยการเดินหรือขี่ม้าขึ้นไป แต่รับรองว่าระหว่างทางเดินจะพบกับวิวทิวทิศน์ที่สวยงามไม่แพ้ภูเขาสายรุ้งเลยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ RAINBOW MOUNTAIN, AUSANGATE, PERU

8. LAGUNA VERDE, BOLIVIA

เขยิบลงมาใต้อีกนิด กับประเทศโบลิเวีย Laguna Verde ทะเลสาบสีเขียวมรกต ที่มีภูมิทัศน์ข้างหลังเป็นภูเขาไฟลาวา Licancabur ตัวทะเลสาบตั้งอยู่บนเขตสวงนแห่งชาติโบลิเวีย กลางเทือกเขาแอนดีส สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร มีพื้นที่อาณาบริเวณประมาณ 5.2 กิโลเมตร Laguna Verde ไม่ได้มีดีเพียงแค่ทะเลสาบสีเขียวมรกตเท่านั้น เพราะภูเขาไฟลาวา Licancabur ยังถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ โดยเฉพาะการปีนขึ้นจุดสูงสุด แล้วมองลงมายังทะเลสาบสีเขียวมรกต นอกจากนี้ ภายในเขตสงวนแห่งชาติยังมีสัตว์หายากอย่างนก ฟลามิงโกให้ชมกันด้วยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ LAGUNA VERDE, BOLIVIA

9. LAKE TITICACA, BOLIVIA

ทะเลสาบ Titicaca ประเทศโบลิเวีย ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ครอบคลุมอาณาบริเวณสองประเทศคือ โบลิเวียและเปรู ทะเลสาบอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,800 เมตร ประกอบไปด้วยเกาะเล็กใหญ่กว่า 41 เกาะ ซึ่งมีผู้คนพักอาศัยอยู่จริง ๆ ภายในทะเลสาบ Titicaca มีสัตว์น้ำอาศัยและดำรงชีพ มากกว่า 500 สายพันธุ์ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและชีวภาพเป็นอย่างมาก

เที่ยวอเมริกาใต้ LAKE TITICACA, BOLIVIA

10. SALAR DE UYUNI, BOLIVIA

มาถึงสถานที่สุดท้ายของประเทศโบลิเวีย กับ Salar de Uyuni ซึ่งเป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร สูงจากระดับน้ำทะเล 3,500 เมตร ไฮไลต์สำคัญของทะเลเกลือแห่งนี้คือ สีขาวละลานตาของเม็ดเกลือ ตัดกับ สีฟ้าใสของนภา เกิดเป็นภาพสวยงามจับตา โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน มวลทรายปกคลุมทั่วผืนน้ำ เปรียบเสมือนกระจกบานใหญ่ส่องแสงระยิบระยับ สะท้อนมนต์เสน่ห์แห่งทะเลเกลือ รับรองว่ามาเที่ยวแล้ว ต้องได้ภายสวย ๆ ไปอวดเพื่อนแน่นอนค่ะ ^^

เที่ยวอเมริกาใต้ SALAR DE UYUNI, BOLIVIA

11. FERNANDO DE NORONHA, BRAZIL

Fernando de Noronha เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล ห่างจากชายฝั่งบราซิลประมาณ 354 กิโลเมตร หมู่เกาะแห่งนี้ ประกอบไปด้วย 21 เกาะย่อย แต่มีเพียงแค่เกาะเดียวเท่านั้นที่มีคนอาศัยอยู่ค่ะ โดยมีพื้นที่ขนาดประมาณ 18.4 กิโลเมตร และในแต่ละวัน จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามายังหมู่เกาะ เพียงแค่ 420 คนเท่านั้น เพื่ออนุรักษ์ให้ชายหาด ปะการัง และสัตว์น้ำมีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งปัจจุบัน ถ้าใครมาเที่ยวที่หมู่เกาะแห่งนี้ จะพบกับฝูงโลมาที่แหวกว่ายเคียงข้างกับเรือท่องเที่ยวเลยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ FERNANDO DE NORONHA, BRAZIL

12. IGUAZU FALLS, BRAZIL

น้ำตกอิกวาซู น้ำตกที่สามารถมองเห็นได้ทั้งจากฝั่งบราซิลและอาร์เจนตินา โดยคำว่า “อีกวาซู” มาจากภาษากวารานี (Guarani) ของชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม แปลว่าน้ำที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งก็ใหญ่สมชื่อจริง ๆ เพราะมีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูง 269 ฟุต ใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาถึง 30 เท่า และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติอีกด้วยค่ะ
น้ำตกอิกวาซูได้รับสมญานามว่าน้ำตกสองสัญชาติ หรือน้ำตกสองแผ่นดิน ฝั่งอาร์เจนตินาจะมีพื้นที่ใหญ่กว่าประมาณ 80% ส่วนฝั่งบราซิลพื้นที่น้อยกว่า เดินแค่ 2 ชั่วโมงก็ทั่วแล้วค่ะ วิวที่เห็นจะเป็นวิวแบบพาโนรามา และยังมีจุดชมวิวและสะพานทอดยาวไปถึงตัวน้ำตก ให้เราได้สัมผัสความชุ่มช่ำกันได้เต็มๆ หรือจะล่องเรือเพื่อชมความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกอย่างใกล้ชิดก็ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ IGUAZU FALLS, BRAZIL

13. TORRES DEL PAINE NATIONAL PARK, CHILE

จากบราซิล มาต่อกันที่ประเทศชิลี กับอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine อุทยานแห่งชาติที่โอบล้อมด้วยขุนเขา ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ และแม่น้ำ โดยตัวอุทยานตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศชิลิกินอาณาบริเวณประมาณ 1,800 กิโลเมตร อุทยานแห่งชาติ Torres del Paine นับเป็นอุทยานที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในประเทศชิลี โดยเฉลี่ยแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่า 252,000 คน
สำหรับกิจกรรมภายในอุทยานแห่งชาติ มีทั้งการเดินเขา เดินป่า ซึ่งมีหลากหลายเส้นทางให้เลือกเดิน หรือใครอยากชมความงามของทะเลสาบ ก็สามารถล่องเรือชมทะเลสาบและธารน้ำแข็งได้ค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ TORRES DEL PAINE NATIONAL PARK, CHILE

14. EASTER ISLANDS, CHILE

เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) เป็นเกาะที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิคอย่างโดดเดี่ยว ห่างจากชายฝั่งประเทศชิลีกว่า 3,600 กิโลเมตร ขนาดของเกาะมีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร และมีความยาวเพียง 25 กิโลเมตรเท่านั้น ก่อนที่จะมีคนมาอยู่อาศัย ที่นี่ก็มีแค่นกทะเล และแมลงปอเท่านั้นเองค่ะ ส่วนพระเอกตัวจริงที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนก็คือเจ้ารูปปั้นยักษ์แกะสลักเป็นหน้าคน ที่เรียกว่า “โมอาย” เจ้าโมอายนี้ กระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะประมาณ 887 ตัว รวมทั้งตัวที่ยังแกะสลักไม่เสร็จ และเสียหายระหว่างการขนย้ายด้วย บางตัวมีแค่ส่วนหัว บ้างก็มีส่วนลำตัวที่ส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน ขนาดของตัวโมอายที่ใหญ่ที่สุดนั้นสูงถึง 10 เมตรน้ำหนักกว่า 82 ตัน
ปัจจุบัน รูปปั้นโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก โดยองค์กร UNESCO ประกอบกับในปี ค.ศ.1888 เกาะแห่งนี้ถูกผนวกรวมเข้ากับประเทศชิลีและมีการสร้างสนามบินขึ้น เกาะอีสเตอร์จึงกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศชิลีเลยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ EASTER ISLANDS, CHILE

15. VALLE DE LA LUNA AND ATACAMA DESERT, CHILE

ทะเลทรายอาตากามา เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศชิลี โดยตัวทะเลทรายอาตากามาตั้งอยู่ติดกับคาบสมุทรแปซิฟิกทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส มีความยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร เป็นทะเลทรายที่มีค่าเฉลี่ยของน้ำฝนต่อปีอยู่ที่ประมาณ 15 มิลลิเมตร แต่จะมีค่าความชื้นเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม หรือ ฤดูหนาว เพราะลมที่ถูกพัดมาจากขั้วโลกใต้ได้พาหิมะพัดผ่านเงาฝนมาด้วยนั่นเอง หิมะและลมเหล่านั้นนำพาเกลือมาจากคาบสมุทรแอนตาร์กติกา มีผลให้ปริมาณเกลือที่ตกค้างเกิดผลึกก่อตัวกับพื้นดิน ทำให้เกิดพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายกับพื้นผิวบนดวงจันทร์ ที่มีชื่อว่า El Valle de la Luna

เที่ยวอเมริกาใต้ VALLE DE LA LUNA AND ATACAMA DESERT, CHILE

16. LOS GLACIARES NATIONAL PARK, ARGENTINA

มาถึงประเทศสุดท้ายกับประเทศอาร์เจนติน่า ที่แรกที่เราจะพาไปเที่ยวก็คือ อุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส สวรรค์ของเหล่านักผจญภัย เพราะนอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีเส้นทางการเดินป่าติดอันดับต้น ๆ ของโลก คนที่ชอบปีนเขา ตั้งแคมป์ ลุยป่า จะต้องหลงรักที่นี่แน่นอนค่ะ
อุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรสได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปี ค.ศ. 1981 และถูกจัดให้เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของอาร์เจนตินา พื้นที่ 1 ใน 3 ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ แม่น้ำ และภูเขารูปทรงแปลกตามากมายที่เกิดจากการกัดกร่อนของลมมากว่าหลายพันล้านปี เหมือนได้หลุดไปในโลกน้ำแข็งเลยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ LOS GLACIARES NATIONAL PARK, ARGENTINA

17. MENDOZA WINE REGION, ARGENTINA

มาถึงสถานที่สุดท้าย กับเมืองเมนโดซา เมืองแห่งไวน์ ประเทศอาร์เจนติน่า เพียงแค่ย่างก้าวเข้าเมืองเมนโดซากลิ่นไวน์ก็ลอยมาแตะจมูกแล้วค่ะ เพราะที่นี่เป็นเมืองผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงของโลก มีไวน์ชั้นดี รสชาติเยี่ยม และยังโดดเด่นเรื่องทิวทัศน์ที่งดงาม เหมาะแก่การท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ทั้งเมืองจะมีสวนไวน์ ที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้และไร่องุ่น สามารถทำกิจกรรมได้หลากหลาย ทั้งปีนเขา เดินป่า ขี่ม้า ล่องเรือ และชมโรงบ่มไวน์ ถ้าใครมาช่วงมีนาคม-เมษายน จะมีเทศกาลเก็บเกี่ยวองุ่นซึ่งเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของเมนโดซา เป็นเหมือนการเลี้ยงฉลองประจำปี มีทั้งการเต้นรำและจุดพลุ นอกจากนี้ ภายในเมืองยังมีร้านอาหาร ร้านค้า พิพิธภัณฑ์ และอาคารสวยงามต่าง ๆ ให้เที่ยวชมอย่างจุใจเลยค่ะ

เที่ยวอเมริกาใต้ MENDOZA WINE REGION, ARGENTINA

เป็นอย่างไรบ้างคะ กับ 17 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของทวีปอเมริกาใต้ ต้องบอกเลยว่า สถานที่ที่เราแนะนำ เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น เพราะแต่ละประเทศ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าไปอีกเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบอุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ หรือสัตว์หายาก ไปเที่ยวประเทศแถบอเมริกาใต้ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Best Places to Visit South America

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

best-unique-cafe-restaurant-tokyo

10 ร้านอาหารและคาเฟ่สุดแนวเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

โตเกียว นับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ด้วยความทันสมัยของเมือง แหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งสุดฮิตใจกลางเมือง ทั้งชิบูย่า กินซ่า ชินจูกู หรือใครที่ชื่นชอบอาหารทะเล ก็มีตลาดปลาซึกิจิให้เลือกซื้อทานกัน ซึ่งนอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่กล่าวไปแล้ว โตเกียวยังมีร้านอาหารและคาเฟ่สุดแปลกและแหวกแนวซ่อนตัวอยู่เพียบ บทความนี้ Allianz Travel เลยขอพาผู้อ่านไปเที่ยวชม 10 ร้านอาหารและคาเฟ่สุดแนวในเมืองโตเกียวกันค่ะ

1. NINJA CASTLE AKASUKA

Ninja Akasuka ร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านอาซากุสะ ด้วยธีมการตกแต่งร้านแบบ “นินจา” ทำให้ร้านมีความโดดเด่น และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมาก เมื่อเข้ามาในร้านแล้ว จะพบกับห้องที่แต่งให้คล้ายกับกระท่อมของนินจาและมีน้ำตกบ่อเล็ก ๆ ซึ่งเราสามารถโยนเหรียญเพื่อบริจาคเงินให้กับศาลเจ้า Hiseda และขอพรให้ตัวเองและครอบครัวได้ค่ะ

สำหรับเมนูอาหารที่นี่ ราคาค่อนข้างแพงกว่าร้านอาหารทั่วไปนิดนึงค่ะ ซึ่งมี 11 เมนคอร์สให้เลือกกัน หรือใครสนใจจะทานแบบเมนูเดี่ยวก็ได้เช่นกัน โดยราคาอาหารเริ่มที่ประมาณ 350 บาท ต่อเมนูค่ะ

Address: Tokyo Plaza 1st Floor, 2-14-3 Nagataoho, Chiyoda-ku, Akasuka, Tokyo

Phone: +81 3-5157-3936

Hours: 17.00 PM – 22.30 PM

NINJA CASTLE AKASUKA

2. SENGOKU BUYUDEN

Sengoku Buyuden ร้านอาหารญี่ปุ่นย่านชินจูกุที่จะพาเราย้อนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไปช่วงยุคสมัย “เซ็นโกคุ” ราวศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นแตกแยกและแบ่งการปกครองเป็นแคว้นต่าง ๆ ภายในร้านจะตกแต่งด้วยธีมชุดเกราะและซามูไร ผนังภายในร้านจะมีธงผ้าชื่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในยุคสมัยเซ็นโกคุติดประดับไว้เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้ดูขลังขึ้น และที่นี่ก็ไม่ได้มีดีแค่การตกแต่งร้านเท่านั้นค่ะ เพราะว่าอาหารหลากหลายชนิดก็ขึ้นชื่อด้านความอร่อยเหมือนกัน อาทิ เนื้อปลาลนไฟ, ไก่ทอดคาราเกะ, ซูชิ, สุกี้หม้อไฟญี่ปุ่น โดยราคาเฉลี่ยต่อคนจะตกอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาทค่ะ

Address: T-wing building 4F, 1-6-2, Kabukicho, Shinjuku-ku, Tokyo

Phone: +81 3-6778-5470

Hours: Mon-Thu 17:00 PM – 24:00 PM
Fri, Sat, Before Holiday 17:00 PM – 04:30 AM
Sun & Holiday 17:00 PM -23:30 PM

SENGOKU BUYUDEN

3. VAMPIRE CAFE

Vampire Cafe ร้านอาหารย่านกินซ่าที่มีธีมการตกแต่งร้านด้วยศิลปะสไตล์ปราสาทแดร็กคูล่า ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะอาหาร เฟอนิเจอร์ เชิงเทียน โลงศพ หรือหัวกะโหลก คละเคล้าด้วยโทนสีแดงสด และมีรอยเลือดในบางจุดเป็นกิมมิค รวมถึงมีพนักงานเสิร์ฟแต่งตัวเป็นแวมไพร์เมด มาเสิร์ฟอาหารให้กับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

ในส่วนของเมนูอาหารนั้นก็จะตั้งชื่อเกี่ยวกับแวมไพร์ รวมไปถึงการออกแบบเมนูอาหารเครื่องดื่มที่หน้าตาดูเข้ากับบรรยากาศร้านได้เป็นอย่างดี ทั้งเครื่องดื่มที่เหมือนเลือดสด ๆ และเมนูต่าง ๆ ก็ได้มีการตกแต่งสีแดงให้คล้ายเลือดมากที่สุด โดยที่นี่จะมีให้เลือกแบบเป็นเมนคอร์สหรือว่าจะเป็นแบบจานเดี่ยว สนนราคาต่อคอร์สอยู่ที่ประมาณ 3,000 – 4,000 เยน (800 – 1,200 บาท) ใครที่อยากลองอะไรแปลก ๆ ดูบ้าง ก็สามารถไปลองกันได้ค่ะ

Address: 104-0061 Tokyo-to, Chuo City, Ginza, 6-chome 7-6, 7F.

Phone: +81 3-3289-5360

Hours: 17.00 PM – 23.30 PM
Fri, Sat, Before Holiday 17:00 PM – 04:30 AM
Sun & Holiday 17:00 PM -23:30 PM

VAMPIRE CAFE

4. KAWAII MONSTER CAFE

Kawaii Monster Cafe คาเฟ่สุดชิค สีแสบสัน ที่ใครเห็นเป็นต้องอยากเข้าไปถ่ายรูป ตัวคาเฟ่ตั้งอยู่บนย่านชิบูย่า ออกแบบภายในโดยดีไซเนอร์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง Sebastian Masuda เจ้าพ่อแห่งวัฒนธรรมคาวาอิ

ภายในร้านตกแต่งได้อย่างสวยงามและมหัศจรรย์กับแต่ละไอเดียสุดล้ำ มาพร้อมกับ สีสัน ความสดใส และความสนุกสนาน ในคอนเซปต์ Sweets Go Round ที่มีทั้งหมด 4 มุม ได้แก่ Mushroom Disco, Milk Stand, Bar Experiment และ Mel-Tea Room ซึ่งใครที่เข้ามาก็จะได้ชมงานอาร์ทพร้อมกับสาว ๆ สุดน่ารักที่มาเสิร์ฟอาหารในชุดของ Monster Girl ค่ะ

Kawaii Monster Cafe ถือเป็นร้านที่ค่อนข้างฉีกแนวมาก โดยค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยจะตกอยู่คนละประมาณ 2,500 เยน หรือประมาณ 750 บาท สำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่ม ใครอยากสัมผัสแฟชั่นญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนใคร และได้ฉากถ่ายรูปแปลกใหม่ ต้องแวะมาร้านนี้ให้ได้เลยค่ะ

Address: YM square building 4F, 4-31-10, Jingumae, Shibuya, Tokyo

Phone: +81 3-5413-6142

Hours: Lunch 11.30 AM – 16.30 PM (Last Entry 15.30 PM)
Dinner 18.00 PM – 22.30 PM (Last order 22.00 PM)

KAWAII MONSTER CAFE

5. KICHIJOJI YUREI, GHOST BAR

คิชิโจจิ ยูเร ร้านอิซากายะที่แปลกแหวกแนวด้วยธีมการตกแต่งร้านและเมนูอาหารแบบ “ผีๆ” ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบสัมผัสประสบการณ์ทานอาหารแปลกใหม่ และชอบเรื่องผี เพราะตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน จะพบกับพนักงานเสิร์ฟที่แต่งตัวเป็นผีญี่ปุ่นรอต้อนรับ เมื่อเดินเข้ามาข้างในแล้ว จะได้ยินเสียงเพลงที่ชวนขนลุก พร้อมการแต่งห้องและโต๊ะให้มืดสลัวและน่าขนลุก ทั้งโลงศพ เลือด หรือมือคนที่ขาด

ส่วนเมนูอาหารภายในร้านก็จะมาในธีมผีญี่ปุ่นด้วยค่ะ อาทิ วาระนิงเกียวคุง เมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตุ๊กตาผีวาระนิงเกียว หรือคาราคคะสะคุง เมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผีร่ม นอกจากนี้ ภายในร้านยังมีของให้เราเล่นและถ่ายรูปด้วยค่ะ เช่น การเข้าไปนอนในโลงศพแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

Address: 1-8-11 Minami-cho, Kichijoji, Musashino City

Phone: 04-22-41-0194

Hours: 17.00 PM – Last train

KICHIJOJI YUREI, GHOST BAR

6. PENGUIN BAR

เพนกวินบาร์ บาร์สุดเกร๋ที่เราสามารถทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มสุดเย็นฉ่ำ พร้อมกับชมเพนกวินตัวเป็นๆ เมื่อเดินเข้ามาภายในร้าน จะพบการตกแต่งและบรรยากาศภายในร้านที่อิงกับเพนกวินแบบสุด ๆ ทั้งเมนูอาหาร รูปภาพติดผนัง โต๊ะและเครื่องใช้ต่าง ๆ ขณะที่ตัวเพนกวินจะถูกแบ่งไว้เป็นสัดส่วนภายในร้าน ซึ่งเราสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ใกล้ๆ เลยค่ะ

Address: 171-0014 Tokyo, Toshima City, Ikebukuro, 2 Chome−38−2 COSMY1

Phone: +81 3-5927-1310

Hours: 11.30 AM – 15.00 PM – 16.00 PM – 22.00 PM

PENGUIN BAR

7. 8-BIT CAFE

8 bit คาเฟ่ คาเฟ่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่โหยหากลิ่นอายของเกมเก่าย้อนสมัยอย่างเกม 8 bit จากเครื่อง Family Computer หรือที่เรียกติดปากว่า Famicom ภายในร้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายเกม 8 bit ไม่ว่าจะเป็นเครื่องตู้เกมเก่าโบราณไปจนถึงมังงะเก่า ตุ๊กตาและของสะสมต่าง ๆ แม้กระทั่งเพลงในร้านก็ยังเป็นเพลงจากเกมสมัยเก่า นอกจากนี้ เรายังสามารถเข้ามานั่งเล่นเกม 8 bit ระหว่างรออาหารเสิร์ฟได้อีกด้วยค่ะ

Address: Q Bld. 5F, 3-8-9 Shinjuku, Tokyo 160-0022

Phone: +81 3-3358-0407

Hours: Sun-Mon, Wed-Thu 18.00 PM – 24.00 PM | Fri-Sat 18.00 PM – 05.00 AM | Closed Tue

8-BIT CAFE

8. EORZEA CAFE

มาต่อกันอีกหนึ่งคาเฟ่เกม กับคาเฟ่ Final Fantasy Eorzea ซึ่งเป็นคาเฟ่ที่แต่งด้วยธีม Final Fantasy นั่นเองค่ะ โดยที่ชื่อร้าน Eorzea มาจากชื่อทวีปภายในเกม และเมื่อเดินเข้ามาภายในร้าน ก็จะพบกับการตกแต่งด้วยตัวละครภายในเกม Final Fantasy รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ เมนูอาหาร และหุ่นฟิกเกอร์ต่าง ๆ Eorzea Cafe ถือเป็นคาเฟ่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ถ้าใครอยากมาลองทานอาหารและถ่ายรูปที่นี่แนะนำให้จองล่วงหน้ากันก่อนนะคะ

Address: 1-1-10, Soto Kanda Pasela Resort AKIBA Multi Entertainment 2F, Chiyoda Tokyo Prefecture

Phone: +81 120-192-759

Hours: 11.30 AM – 10.00 PM

EORZEA CAFE

9. ALICE IN FANTASY BOOK RESTAURANT

Alice in Fantasy Book ร้านอาหารยอดนิยมที่จะพาเราเข้าสู่โลกแห่งเทพนิยาย ซึ่งร้านอลิซได้รับความนิยมล้นหลามจากทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวญี่ปุ่น ก่อนเดินเข้าร้านจะมีกิมมิค ให้เราเคาะลงไปบนปกแข็งของหนังสือยักษ์แล้วจะร้านจะเปิดประตูให้เราเดินเข้าไป พอเข้ามาแล้วก็เหมือนได้ร่วงลงโพรงกระต่ายเข้าสู่โลกของอลิซเลย ภายในร้านจะมีโซนหลักใต้โคมระย้าระยิบระยับที่ตกแต่งด้วยภาพวาดฝาผนังขนาดใหญ่ในธีมอลิซแดนมหัศจรรย์ โต๊ะอื่น ๆ รอบโซนหลักถูกแบ่งออกจากกันโดยหนังสือของอลิซเล่มมหึมา ทำให้แต่ละโซนดูเป็นสัดส่วนและส่วนตัวยิ่งขึ้นค่ะ

Address: 1-6-2 T-wing Bldg. B2, Kabukicho, Shinjuku 160-0021 Tokyo Prefecture

Phone: +81 3-3207-9055

Hours: Mon – Fri 16.00 PM – 23.30 PM
Sat – Sun 11.00 AM – 15.00 PM, 16.00 PM – 23.30 PM

ALICE IN FANTASY BOOK RESTAURANT

10. THE LOCKUP, SHINJUKU

The Lockup เป็นร้านอาหารอิซากายะชื่อดังย่านชินจูกุที่ตกแต่งร้านด้วยธีม “ห้องขัง” ภายในร้านจะมีการตกแต่งบรรยากาศให้คล้ายเหมือนคุก โดยแต่ละห้องจะถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องขัง และพนักงานเสิร์ฟก็จะแต่งตัวคล้ายกับคนคุมนักโทษ นอกจากนี้ ระหว่างทานอาหาร ทางร้านจะมีการแสดงโชว์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับธีมของร้านให้ดูกันด้วยค่ะ

ในส่วนของอาหารจะมีราคาค่อนข้างแพงกว่าข้างนอก ร้านอาหาร The Lockup จึงเหมาะกับการเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษ หรือการลองเปลี่ยนบรรยากาศจากร้านอาหารปกติค่ะ

Address: 1-16-3 6/7F Shinjuku Square Bldg., Kabukicho, Shinjuku 160-0021, Tokyo

Phone: +81 3-5292-5516

Hours: 17.00 PM – 1.00 AM

THE LOCKUP, SHINJUKU

สำหรับใครที่มาเที่ยวโตเกียว และอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศการทานอาหาร หรืออยากหามุมใหม่ ๆ ในการถ่ายรูปเกร๋ ๆ 10 ร้านอาหารและคาเฟ่สุดแนวที่แนะนำไปข้างต้น รับรองว่าจะต้องถูกใจแน่นอนค่ะ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก :
Lose Yourself at Tokyo’s Top 12 Themed Restaurants

Blog Disclaimer

All content provided on this blog is for informational purposes only. The content of this blog neither makes representations as to the accuracy or completeness of any information on this site, nor is construed as Allianz Travel’s offering of travel insurance, unless explicitly stated. Details of benefits, limits, policy exclusions, terms and conditions of Allianz Travel insurance can be found under Allianz Travel Policy Wording.

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

best-hiking-trails-europe

ตะลุยธรรมชาติ: 12 เส้นทางเดินเขาทวีปยุโรป

การท่องเที่ยวด้วยการเดินเขาถือเป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวสายผจญภัยที่ชื่นชอบความท้าทายและความทรหด ความสนุกของการเดินเขา นอกเหนือจากการได้ท้าทายขีดจำกัดตัวเองแล้ว ก็คือการค้นพบธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทาง และประสบการณ์แปลกใหม่ที่หาที่ไหนไม่ได้ ประเทศแถบยุโรป นับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเดินเขาและเดินป่าเป็นอย่างมาก เพราะมีแนวเทือกเขาแอลป์และอุทยานแห่งชาติทอดยาวในหลายประเทศ บทความนี้ Allianz Travel เลยขอเอาใจคนรักการผจญภัย พาไปดู 12 สถานที่เดินเขายอดนิยมทวีปยุโรป จะสวยงามแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

1. THE KING’S TRAIL, SWEDEN

ระยะทาง: 440 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 8-10 วัน

ระดับความยาก: ยาก

มาเริ่มกันที่เส้นทางแรกกันเลยค่ะ กับ The Kings Trail เส้นทางเดินเขาที่สวยงามที่สุดในประเทศสวีเดน ด้วยระยะทางเดินกว่า 440 กิโลเมตร เริ่มเดินเท้าจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Abisko ไปจนถึง Kebnekaise ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุดในสวีเดน และวิวทิวทัศน์จุดนี้ก็มีความสวยงามมากจนแทบลืมหายใจเลยค่ะ

ตลอดสองข้างทางเดินเขา จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางบ่อยครั้ง เนื่องจากทางมีความซับซ้อนและทรหดพอสมควร The Kings Trail จึงเหมาะกับนักเดินเขามืออาชีพมากกว่ามือสมัครเล่น หรือคนที่ไม่เคยเดินเขาเลยค่ะ

THE KING’S TRAIL, SWEDEN

2. HAUTE ROUTE, FRANCE & SWITZERLAND

ระยะทาง: 180 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 14 วัน

ระดับความยาก: ยาก

Haute Route เป็นเส้นทางเดินเขาที่พาดผ่านสองประเทศคือฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ Haute Route มีความสวยงามอยู่ที่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางเดินที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยเฉพาะการต้องเดินขึ้นภูเขาธารน้ำแข็งสูง 4,000 เมตร จากนั้นก็เดินลงผ่านหุบเขาป่าไม้สีเขียว ซึ่งทัศนียภาพที่แตกต่างกันนี้ เป็นเอกลักษณ์ของ Haute Route เลยค่ะ

Haute Route เริ่มเดินจากเมือง Chamonix ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ไปยังเมือง Zermatt ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับใครที่อยากมาเดินเขาที่นี้ ช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด เพราะจะเห็นทัศนียภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนค่ะ

HAUTE ROUTE, FRANCE & SWITZERLAND

3. TOUR DE MONTE ROSA, SWITZERLAND

ระยะทาง: 163 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 9 วัน

ระดับความยาก: ยาก

Tour de Monte Rosa เป็นเส้นทางเดินเขาบนเทือกเขาแอลป์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีจุดชมวิวมากมายที่ทำให้นักเดินเขาหลงใหล และมายังสถานที่แห่งนี้กันทุกปี เส้นทางเดินเขาเริ่มที่ Zermatt ผ่านไปยัง Cervinia และจบเส้นทางที่ Saas-Fee and Grachen

ถึงแม้ว่าการมาเดินเขา Monte Rosa หน้าหนาว จะทำให้เห็นวิวทิวทัศน์แบบ “เมืองหิมะ” แต่เพื่อความปลอดภัย ควรมาเดินขึ้นเขาในช่วงฤดูร้อนมากกว่าค่ะ

TOUR DE MONTE ROSA, SWITZERLAND

4. TOUR DE MONT BLANC, FRANCE, SWITZERLAND, AND ITALY

ระยะทาง: 170 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 11 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง – ยาก

Tour de Mont Blanc เส้นทางเดินเขาที่ได้รับขนานนามว่า “ราชาขุนเขาแห่งยุโรป” เนื่องด้วยทัศนียภาพที่โดดเด่นและสวยงามระดับห้าดาว รอให้นักเดินเขาได้สัมผัสและซึมซับบรรยากาศอย่างเต็มอิ่มตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ โดยเส้นทาง Tour de Mont Blanc จะเริ่มจากเมือง Chamonix ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ไปจบลงที่ Courmayeur หมู่บ้านในประเทศอิตาลี

TOUR DE MONT BLANC, FRANCE, SWITZERLAND, AND ITALY

5. HARDANGERVIDDA TRANSVERSE, NORWAY

ระยะทาง: 67 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 7 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง

Hardangervidda เป็นเส้นทางเดินเขาบนที่ราบสูง ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งนักเดินเขามือสมัครเล่น หรือคนที่ไม่เคยเดินเขามาก่อนเลย ก็สามารถมาเดินเส้นทางนี้ได้ เพราะไม่ต้องเดินผ่านเขาสูงชันนัก ที่สำคัญ ตลอดสองข้างทางจะพบกับทัศนียภาพที่สวยงามทั้งธารน้ำแข็ง ทะเลสาบและแม่น้ำ

HARDANGERVIDDA TRANSVERSE, NORWAY

6. CINQUE TERRE MOUNTAIN TRAIL, ITALY

ระยะทาง: 40 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 2-5 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง

Clinque Terre เส้นทางเดินเขายอดนิยมของประเทศอิตาลี และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเขาที่สวยที่สุดในประเทศยุโรป โดยเฉพาะถ้าเป็นนักเดินเขาที่ชื่นชอบทัศนียภาพริมชายหาด เพราะเส้นทางเดินเขาติดชายฝั่งทะเล และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินสะท้อนกับผิวน้ำ ภาพทิวทัศน์มีความสวยมากจนต้องหยุดดูเลยค่ะ

สำหรับใครที่ไม่ชอบเดินเขาแบบคนพลุกพล่าน แนะนำให้หลีกเลี่ยงเส้นทางติดทางรถไฟ และควรมีไกด์ท้องถิ่นที่ชำนาญทางให้คำแนะนำในการเดินทางด้วยค่ะ

CINQUE TERRE MOUNTAIN TRAIL, ITALY
Vernazza in Cinque Terre, Liguria, Italy, on sunset

7. ALPE ADRIA TRAIL, AUSTRIA, SLOVENIA, ITALY

ระยะทาง: 750 กิโลเมตร (แบ่งเป็น 43 Section, Section ละ 20 กิโลเมตร)

ระยะเวลา: 32 วัน

ระดับความยาก: ยาก

Alpe Adria Trail เส้นทางเดินเขาที่มีระยะทางยาวกว่า 750 กิโลเมตร พาดผ่านสามประเทศคือ ออสเตรีย สโลวีเนีย และอิตาลี ซึ่งตลอดเส้นทางจะพบกับความสวยงามของเทือกเขาแอล์ปสโลวีเนีย และหุบเขาที่เคยเป็นสถานที่รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ตลอดเส้นทาง Alpe Adria มีทั้งการเดินผ่านเขาสูงชันที่มีความท้าทาย และเขาที่มีความชันไม่มากนัก โดยเราสามารถเลือกเส้นทางที่จะเดินได้ ไม่จำเป็นต้องเดินจนจบระยะ 750 กิโลเมตรก็ได้ค่ะ

ALPE ADRIA TRAIL, AUSTRIA, SLOVENIA, ITALY

8. CENTRAL PICOS CIRCUIT, SPAIN

ระยะทาง: 79 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 5 วัน

ระดับความยาก: ยาก

เส้นทาง Central Picos Circuit เป็นเส้นทางผ่านภูเขา Picos de Europa ซึ่งพาดผ่านสามจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศสเปน ได้แก่ Cantabria, Asturias และ Leon เส้นทางบริเวณนี่เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหุบเขา ป่าไม้ หรือทะเลสาบธารน้ำแข็ง ซึ่งตลอดเส้นทางจะมีป้ายบอกทางเดินและจุดพักชมวิวที่จัดทำโดยทางอุทยานด้วยค่ะ

CENTRAL PICOS CIRCUIT, SPAIN

9. EAGLES WALK, AUSTRIA

ระยะทาง: 412 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 1-10 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง – ยาก

“Eagles Walk” เส้นทางเดินเขาที่มีภูมิประเทศคล้ายกับนกอินทรีที่กำลังกางปีกบิน โดยเส้นทางจะเริ่มจากเมือง Tirol ทางตะวันออกไปยังตะวันตกของออสเตรีย และพาดผ่านภูเขาสองลูกคือ Arlberg และ Kaiser โดยมีระยะทางรวม 412 กิโลเมตร แบ่งเป็นทั้งหมด 33 Sections ด้วยกัน ซึ่งตลอดทางก็จะผ่านทั้งเทือกเขาที่มีความสูงชัน หุบเขา ป่าไม้ ทะเลสาบ และที่ราบ ซึ่งแต่ละสถานที่ ล้วนมีธรรมชาติที่สวยงาม รอให้นักเดินทางไปสัมผัสกันค่ะ

EAGLES WALK, AUSTRIA

10. LAUGAVEGURINN – ICELAND

ระยะทาง: 54 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 3-5 วัน

ระดับความยาก: ง่าย

Laugavegurinn เป็นเส้นทางเดินป่าเขาที่ผสมผสานธรรมชาติมาไว้ที่นี่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภูเขาหลากสี ภูเขาไฟลาวาที่เพิ่งมอด แคนยอน ถ้ำน้ำแข็ง ทะเลสาบสีดำ และโขดหินทรงประหลาด โดยเส้นทางเดินจะเริ่มจากป่าในไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้จากแหล่งน้ำพุร้อน Landmannalaugar ไปยังหุบเขาน้ำแข็ง Porsmork ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 3-5 วันค่ะ

LAUGAVEGURINN – ICELAND

11. ENGLAND’S COAST TO COAST, UNITED KINGDOM

ระยะทาง: 309 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 8-10 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง

England’s Coast to Coast เส้นทางเดินเลียบชายฝั่งจากทะเลไอริชไปยังทะเลเหนือ เริ่มจากอ่าว St. Bees Head และไปจบเส้นทางที่อ่าว Robin Hood รวมระยะทางกว่า 309 กิโลเมตร ตลอดสองข้างทาง เต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะซากปรักหักพังสไตล์โรมัน อาคารบ้านเรือนโบราณ รวมถึงทัศนียภาพอันสวยงามจากริมผาและชายทะเลที่สำคัญ เส้นทางยาวกว่า 309 กิโลเมตรนี้ พาดผ่านอุทยานแห่งชาติถึง 3 อุทยานด้วยกันคือ Yorkshire Dales National Park, The Lake District National Park และ The North York Moors National Park

ENGLAND’S COAST TO COAST, UNITED KINGDOM

12. TRANSYLVANIAN MOUNTAIN TRAIL – ROMANIA

ระยะทาง: 80 – 130 กิโลเมตร

ระยะเวลา: 7-10 วัน

ระดับความยาก: ปานกลาง – ยาก

เส้นทางเดินเขา Transylvanian เป็นจุดหมายปลายทางของใครหลาย ๆ คน ด้วยความสวยงามของภูเขา Carpathian บวกกับภาพวิวทิวทัศน์ปราสาท Bran ปราสาทที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และตั้งตระหง่าอยู่กลางภูเขาล้อมรอบด้วยป่าไม้

เส้นทาง Transylvanian เป็นเส้นทางที่นักเดินเขามืออาชีพชอบมาเดิน สำหรับใครที่เป็นมือสมัครเล่น หรือไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เส้นทางนี้อาจไม่เหมาะเท่าไหร่ค่ะ

TRANSYLVANIAN MOUNTAIN TRAIL – ROMANIA

หลายๆ เส้นทางเดินเขาที่เราแนะนำข้างต้น ล้วนเต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติและทัศนียภาพระหว่างทาง แต่ละเส้นทางก็จะมีลักษณะภูมิประเทศเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นภูเขาธารน้ำแข็ง ภูเขาป่าไม้ หรือที่ราบสูง เราหวังว่าทั้ง 12 เส้นทางเดินเขาธรรมชาติในทวีปยุโรปที่แนะนำวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนเดินเขาในครั้งหน้านะคะ : )

ขอบคุณข้อมูลจาก:
50 best hikes in Europe (Single & multi-day trails)

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เช็คอิน 20 สถานที่น่าเที่ยว ประเทศในอาเซียน

เช็คอินอาเซียน : 20 สถานที่น่าเที่ยว ไปแล้วจะหลงรัก

ใครที่อยากเริ่มเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองดูสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ไหนดี หรือมีงบประมาณในการท่องเที่ยวไม่มากนัก กลุ่มประเทศอาเซียนถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะใช้เวลาเดินทางจากประเทศไทยไม่มากนัก และที่สำคัญบางประเทศไม่จำเป็นต้องยื่นขอวีซ่าก็ไปเที่ยวได้ บทความนี้ Allianz Travel เลยอยากพาผู้อ่านทุกท่านไปเช็คอิน 20 สถานที่น่าเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียน รับรองว่าไปเที่ยวแล้วต้องตกหลุมรักแน่นอนค่ะ ^^

1. สิงคโปร์

จุดเช็คอินแรก เริ่มที่ประเทศสิงคโปร์กันค่ะ สิงคโปร์เป็นเมืองที่มีกลิ่นอายความเป็นจีนผสมตะวันตกผ่านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ผู้คนและอาหารการกิน แถมเมืองสิงคโปร์ก็ยังมีกิจกรรมมากมายรอให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสประสบการณ์สนุกๆ กัน อย่างเช่น สวนสนุก Universal Studio การเดินเที่ยวชมพื้นที่ชิคๆ ในตัวเมือง หรือเซลฟี่กับร้านคาเฟ่ชื่อดัง และเมื่อสิงคโปร์เปิดตัวน้ำตกในร่มสุดอลังการภายในสนามบินชางกี สถานที่นี้ก็กลายเป็นแหล่งถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเลยค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: เดินเล่นที่ Gardens By The Bay, นั่งเรือทัวร์เกาะบินตัน, เที่ยวเซนโตซา, ช้อปปิ้งที่ถนนบูกิส

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 4-6 วัน

สิงคโปร์

2. บรูไน

บรูไน ประเทศเล็ก ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่รวยที่สุดในโลก บรูไนมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะใครที่เป็นสายธรรมชาติ เพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติให้ชมเยอะมาก ทั้งอุทยานแห่งชาติ ป่าดงดิบ และเขตป่าฝน

ปัจจุบัน การท่องเที่ยวในประเทศบรูไนยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก ถ้าใครไม่ชอบไปเที่ยวแบบคนเยอะ ๆ บรูไนถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: เที่ยวหมู่บ้านลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก, นั่งเรือชมป่าดงดิบ, แวะชมอุทยานแห่งชาติ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: มกราคม – กันยายน

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 5-7 วัน

บรูไน

3. เกาะปูเลา เปอร์ฮันเตียน ประเทศมาเลเซีย

ปูเลา เปอร์ฮันเตียน หมายถึง ‘เกาะแวะพัก’ เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าเที่ยวสำหรับประเทศมาเลเซีย เกาะปูเลาเปอร์ฮันเตียนอยู่ห่างจากชายฝั่งตรังกานูประมาณ 21 กม. เป็นเกาะแฝดที่ประกอบด้วยเกาะปูเลาเปอร์ฮันเตียนเบซาร์และเกาะปูเลาเปอร์ฮันเตียนเคซิล บนเกาะปกคลุมด้วยป่าธรรมชาติที่ยังไม่ถูกรบกวนด้วยฝีมือมนุษย์ มีต้นปาล์มเรียงรายอย่างสวยงาม หาดทรายมีสีขาวละเอียด และน้ำทะเลสีฟ้าใส

เกาะปูเลา เปอร์ฮันเตียนยังตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานทางทะเลปูเลาเรดัง มีแนวปะการังและภูมิประเทศใต้น้ำที่สวยงาม เหมาะกับการดำน้ำตื้นและการดำน้ำลึกเป็นอย่างมากค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: ดำน้ำลึก – ดำน้ำตื้น, ปืนผา, แคมปิ้ง, เดินเล่นชายหาด

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: มีนาคม – พฤศจิกายน

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3 วัน

เกาะปูเลา เปอร์ฮันเตียน ประเทศมาเลเซีย

4. เกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย

เกาะบอร์เนียวเป็นเกาะใหญ่อันดับที่สามของโลก ครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 ประเทศด้วยกัน คือ มาเลเซีย บรูไน และอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียวถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติเลย เพราะมีทั้งชายหาด ป่าดงดิบ และภูเขามากมายรอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัส และพักผ่อนหย่อนใจไปกับธรรมชาติอันสวยงาม

กิจกรรมน่าทำ: ปีนเขา Kilabanu, ค้างแรมกลางเกาะร้าง, ดำน้ำที่เกาะ Sipadan

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: มีนาคม – ตุลาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3-4 วัน

เกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย

5. บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

บาหลี หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมที่สุดในประเทศกลุ่มอาเซียน บาหลี “สวรรคแห่งการพักผ่อน” เมืองเรียบง่ายในประเทศอินโดนีเซียที่มีธรรมชาติสมบูรณ์และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งทะเล ภูเขา ทะเลสาบ น้ำตก ผสมผสานกับประเพณีและวัฒนธรรมแบบฉบับดั้งเดิม วัด พิธีกรรม และศิลปวัฒนธรรม ทั้งหมดนี้ทำให้บาหลีมีเสน่ห์เหลือล้น เหมาะกับสายเที่ยวที่ชื่นชอบประสบการณ์แปลกใหม่

กิจกรรมน่าทำ: เดินเล่นที่วิหารทานาต์ลอต, ดำน้ำลึก – น้ำตื้น, ทัวร์บาหลีซาฟาราและสวนน้ำ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: เมษายน – ตุลาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 4-5 วัน

บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

6. หมู่เกาะกิลิ ประเทศอินโดนีเซีย

หมู่เกาะกิลิ อยู่ไม่ไกลจากบาหลีมากนัก นั่งเรือจากบาหลีเพียง 2-3 ชม. เท่านั้น หมู่เกาะกิลิแบ่งเป็น 3 เกาะเล็ก ๆ ด้วยกัน ได้แก่ เกาะกิลีมิโน่ (Gili Mino) เกาะกิลีแอร์ (Gili Air) และเกาะกิลีทราวังกัน (Gili Trawangan) โดยเกาะกิลี่มิโน่ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลาง มีขนาดเล็กที่สุด หาดทรายขาวที่สุด และเงียบสงบเป็นธรรมชาติที่สุด ส่วนเกาะกิลี่แอร์อยู่ทางตะวันออก เป็นเกาะขนาดกลาง ๆ รูปร่างกลม ๆ และมีผู้คนไม่พลุกพล่านนัก หรือถ้าใครชอบปาร์ตี้ต้องไปที่เกาะกิลี่ทราวังกัน ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด และเป็นแหล่งรวมความเจริญของทั้งหมู่เกาะค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: ดำน้ำลึก – ดำน้ำตื้น, ขี่ม้าสำรวจเกาะ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: มิถุนายน – กันยายน

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2 – 3 วัน

หมู่เกาะกิลิ ประเทศอินโดนีเซีย

7. เกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย

ถ้าเบื่อสถานที่เที่ยวคนเยอะอย่างบาหลี เกาะลอมบอกถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ และอยู่ไม่ไกลจากบาหลีมากค่ะ ที่นี่มีธรรมชาติสมบูรณ์และสวยงามไม่แพ้บาหลีเลย ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา ป่าไม้ และน้ำตก สำหรับใครที่ชอบความเงียบสงบ คนไม่เยอะ และต้องการพักผ่อนหย่อนใจกับธรรมชาติ ต้องมาที่เกาะลอมบอกเลยค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: เล่นน้ำตก Tiu Kelep, ปีนเขา Rinjani, สำรวจหมู่เกาะ Sekotong

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: กรกฏาคม – สิงหาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2 วัน

เกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย

8. โบโรบูดูร์ ประเทศอินโดนีเซีย

โบโรบูดูร์ หรือที่คนไทยรู้จักในนาม บุโรพุทโธ เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของเกาะชวา โดยบุโรพุทโธเป็นศาสนาสถานทางพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 1393 ในด้านสถาปัตยกรรม บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 121 เมตร สูง 123 เมตร เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั้นลดหลั่นกัน 8 ชั้น สามวงกลมยอดโดมกลางและบนลานกลมชั้งสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นกันไป มหาสถูปมีการตกแต่งด้วยภาพสลัก 2672 ชิ้น และ รูปปั้นพระพุทธรูป 504 องค์ โดมกลางล้อมรอบด้วย 72 รูปปั้น พระพุทธรูปแต่ละองค์นั่งอยู่ภายในสถูปเจาะรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ที่รอบล้อมสถูปเจดีย์ประธานด้านบนสุด

ถ้าใครยังนึกไม่ออกว่าบุโรพุทโธจะอลังการและสวยงามแค่ไหน ต้องลองไปสัมผัสด้วยตาตัวเองเลยค่ะ ^^

กิจกรรมน่าทำ: นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินที่โบโรบูดูร์

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: เมษายน – ตุลาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2-3 วัน

โบโรบูดูร์ ประเทศอินโดนีเซีย

9. เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

เสียมเรียบ เมืองแห่งอารยธรรมโบราณที่มีนครวัดและนครธม เป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือนเป็นล้าน ๆ คนต่อปี เสียมเรียบถือได้ว่าเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่สำคัญของชาวกัมพูชามาก ๆ เสน่ห์ของการมาเที่ยวเสียมเรียบคือได้ย้อนเวลาสัมผัสกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ในอดีตของ อารยธรรมเขมรยุครุ่งเรือง

ปัจจุบันเสียมเรียบได้มีการพัฒนาเมืองจนทันสมัย มีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า รวมถึงผับและบาร์ต่าง ๆ ที่ปลุกให้เมืองนี้ตื่นขึ้นจากความหลับใหล เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ามาเที่ยวเสียมเรียบ รับรองว่าไม่ได้มีแค่โบราณสถานอย่างเดียวแน่นอนค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: เที่ยวนครวัด นครธรม และปราสาทตาพรหม, นั่งเรือชมวิวโตนเลสาบ , ช้อปปิ้งตลาดกลางคืน, เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3 วัน

เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

10. สีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา

สีหนุวิลล์ เมืองติดทะเลของประเทศกัมพูชาที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ความโดดเด่นของสีหนุวิลล์คือการเป็นเมืองคาสิโน และการมีชายหาดทะเลสวยงามอันดับต้น ๆ ของกัมพูชา ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวและนักแสวงโชค ต่างหลั่งไหลมายังสีหนุวิลล์กันอย่างมาก โรงแรม ร้านอาหาร ร้านคา รวมถึงผับและบาร์ต่าง ๆ จึงถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและจำนวนมาก

กิจกรรมน่าทำ: นอนอาบแดดที่ชายหาด, เล่นน้ำตก Kbal Chhay, ทานอาหารท้องถิ่น

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2-3 วัน

สีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา

11. อ่าวฮาลอง ประเทศเวียดนาม

อ่าวฮาลอง หรือฮาลอง เบย์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมีโอกาสไปเยือนเวียดนาม เพราะนอกจากจะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์กรยูเนสโกแล้ว ที่นี่ยังมีความมหัศจรรย์อันงดงามของธรรมชาติอยู่อีกมากมาย

อ่าวฮาลองมีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสาไม้ (Grotte des Merveilles) ซึ่ง ตั้งชื่อโดยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเยี่ยมชมอ่าวเมื่อปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 19 ภายในถ้ำประกอบไปด้วยโพรงกว้าง 3 โพรง มีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกัดบา และเกาะตวนเจา ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร บนเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่นๆ บางเกาะก็มีชายหาดที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมกันค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: ดำน้ำตื้น – ดำน้ำลึก, พายเรือคายัค, ช้อปปิ้งตลาดกลางคืน, ทานอาหารท้องถิ่น

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: มีนาคม – พฤษภาคม และตุลาคม – ธันวาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2 วัน

อ่าวฮาลอง ประเทศเวียดนาม

12. ฮานอย ประเทศเวียดนาม

ฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม หนึ่งในเมืองหลวงที่เรียกได้ว่ามีเสน่ห์มากที่สุุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บ้านเมืองที่นี้เต็มไปด้วยอาคารสไตล์โคโลเนียลเรียงรายทั้งสองข้างทาง บ่งบอกถึงร่องรอยที่เคยเป็นเมืองอาณานิคมของฝรั่งเศสและจีน การมาเที่ยวฮานอยจึงเหมือนกับการได้มาสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมของย่านเมืองเก่าและความทันสมัยของเมืองหลวงที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

กิจกรรมน่าทำ: เดินเล่นที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม, ชมความสวยงามของวัดเนินหยก, แวะช้อปปิ้งที่ถนน 36 สายเก่า

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: กันยายน – พฤศจิกายน และ มีนาคม – เมษายน

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3-4 วัน

ฮานอย ประเทศเวียดนาม

13. ซาปา ประเทศเวียดนาม

ซาปา “สวิตเซอร์แลนด์แห่งเวียดนาม” เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นบนภูเขาโดยชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2465 หลังจากนั้นก็เริ่มมีชาวต่างชาติซึ่งอยู่ในฮานอย มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดเป็นประจำ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ ปัจจุบันที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนเวียดนามเอง ไฮไลต์ของซาปาอยู่ที่บริเวณโดยรอบ ซึ่งเต็มไปด้วยนาขั้นบันไดมากมายท่ามกลางลาดไหล่เขาที่ทอดตัวอย่างมีเสน่ห์ หรือถ้าชอบเดินป่าก็มียอดเขาฟานสีปัน ให้พิชิตบนความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,143 เมตร ซึ่งสูงสุดในละแวกอินโดจีน

กิจกรรมน่าทำ: ปีนเขา, สำรวจหมู่บ้านพื้นเมือง, ช้อปปิ้งผ้าพื้นเมือง, เล่นน้ำตกซิลเวอร์, ชมถ้ำนางฟ้า

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: มีนาคม – พฤษภาคม, กันยายน – พฤศจิกายน

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2-3 วัน

ซาปา ประเทศเวียดนาม

14. เกาะโบราไคย์ ประเทศฟิลิปปินส์

เกาะโบราไคย์ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล Malay จังหวัด Aklan อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากของกรุงมะนิลาประมาณ 315 กิโลเมตร มีขนาดแค่เพียง 10 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น แม้จะขนาดเล็กแต่เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังไม่แพ้เมือง Cebu เลยทีเดียว โดยในปี 2012 เกาะโบราไคย์ได้รับการโหวตจากนิตยสารทราเวลให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก และมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องหาดทรายที่เป็นสีขาวสะอาด พร้อมด้วยวิวทิวทัศน์อันสวยงามยามพระอาทิตย์ตกดินค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: ดำน้ำตื้น – ดำน้ำลึก, พายเรือคายัค, เล่นสกี

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: พฤศจิกายน – พฤษภาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2-3 วัน

เกาะโบราไคย์ ประเทศฟิลิปปินส์

15. โบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์

เกาะโบฮอล ได้ชื่อว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ และมีความงดงามตามธรรมชาติที่สมบูรณ์ เกาะโบฮอลตั้งอยู่ทางภาคกลางของหมู่เกาะวิซายาส์ ประเทศฟิลิปปินส์ มีสถานที่น่าสนใจให้ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตฮิลล์ เนินเขารูปร่างทรงแปลก หมู่เกาะปะการังที่สวยงามใต้ท้องทะเล หรือถ้ำกลางทะเล

กิจกรรมน่าทำ: เดินเล่นชายหาดเกาะปังเลา, แวะเที่ยวช็อกโกแลตฮิลล์, ผจญภัยที่ Danao Adventure Park, ทัวร์ดูปลาโลมาและปลาวาฬ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: พฤศจิกายน – เมษายน

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3 วัน

โบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์

16. ปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์

เกาะปาลาวัน “เพรชเม็ดงามแห่งเอเชีย” เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเกาะหนึ่งในจังหวัดปาลาวัน ทางชายฝั่งตอนเหนือของเกาะตั้งขนานกับทะเลจีนใต้ ขณะที่ชายฝั่งตอนใต้ติดกับทิศเหนือของทะเลซูลู ทำให้สีของน้ำทะเลรอบเกาะนั้นมีทั้งสีฟ้าผสมกับสีเขียวมรกต ซึ่งมีความใสจนมองเห็นสาหร่ายทะเล ปะการัง และโขดหินด้านล่าง ยิ่งเวลาที่ท้องฟ้าโปร่งด้วยแล้ว เงาของปุยเมฆสีขาวบวกกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าที่สะท้อนลงมาในน้ำ ยังก่อให้เกิดภาพที่สวยงามและโรแมนติกมากเลยค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: ดำน้ำลึกที่เอลนิโด, สำรวจถ้ำตาบง, ทานอาหารพื้นเมือง, เดินช้อปปิ้งที่ตลาดซานโฮเซ่

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: ตุลาคม – กลางเดือนมิถุนายน

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3 วัน

ปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์

17. วังเวียง ประเทศลาว

วังเวียงได้ชื่อว่าเป็น “กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว” วังเวียงเป็นมืองท่องเที่ยวในแขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างประเทศอย่างมาก เมืองวังเวียงตั้งอยู่ห่างจากเวียงจันทน์ ประมาณ 160 กิโลเมตร โดยตัวเมืองจะอยู่ติดริมแม่น้ำซอง ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งแม่น้ำ ป่าไม้ และภูเขา

สำหรับวังเวียง เป็นสถานที่ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชอบทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์และชื่นชมธรรมชาติเป็นหลัก ถ้าใครมีงบประมาณไม่เยอะ ไม่อยากไปเที่ยวไกล แนะนำให้ลองมาเที่ยววังเวียงเลยค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: พายเรือคายัคล่องแม่น้ำซอง, นั่งห่วงยางลอดถ้ำ, โดดน้ำที่บลูลากูน, พิชิตผาเงิน

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: พฤศจิกายน – มีนาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3 วัน

วังเวียง ประเทศลาว

18. หลวงพระบาง ประเทศลาว

หลวงพระบาง เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ล้นเหลือ ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ทางตอนเหนือของประเทศลาว โอบล้อมด้วยแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำคานและแม่น้ำโขง ภายในเมืองมีบรรยากาศที่เงียบสงบ มากมายด้วยวัดวาอาราราม และอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบล้านช้างและสไตล์โคโลเนียล ทั้งหมดนี้ทำให้หลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ. 2540

กิจกรรมน่าทำ: เดินเล่นชมวัดเก่าแก่, ช้อปปิ้งที่ตลาดกลางคืน, ชมพระอาทิตย์ตกดินที่พระธาตุภูศรี

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: พฤศจิกายน – มกราคม (สำหรับล่องเรือ), ตุลาคม – เมษายน (อากาศดี)

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2 วัน

หลวงพระบาง ประเทศลาว

19. ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์

เมื่อพูดถึงเมืองย่างกุ้งแล้ว หลาย ๆ คน คงนึกมหาเจดีย์ชเวดากอง แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมียนมาร์ ย่างกุ้งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเมียนมาร์มาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงเนปิดอว์เมื่อปี พ.ศ. 2548 อย่างไรก็ตาม ย่างกุ้งยังเต็มไปด้วยผู้คน นักท่องเที่ยว วัดวาอาราม นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมยุคล่าอาณานิคมให้ได้แชะรูปกันรัว ๆ อีกด้วยค่ะ และถ้าไปเที่ยวย่างกุ้งแล้ว อย่าลืมแวะซื้อของฝากเลื่องชื่อของย่างกุ้งอย่างอัญมณีและงานฝีมือท้องถิ่นกันด้วยนะคะ

กิจกรรมน่าทำ: ไหว้พระที่มหาเจดีย์ชเวดากอง, ช้อปปิ้งที่ตลาดโบยกอองซาน, เดินเล่นริมทะเลสาบกันดอว์จี

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 3-4 วัน

ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์

20. พุกาม ประเทศเมียนมาร์

พุกามเมืองที่มีความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์อย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 พุกามได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางด้านประวัติศาสตร์ที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของประเทศพม่า โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่ของเจดีย์จำนวนมากกว่า 4,446 องค์ จนได้รับสมญาว่าเป็นเมืองแห่งเจดีย์สี่พันองค์ ไฮไลต์ของการมาเที่ยวพุกาม จึงหนีไม่พ้นการไปชมทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ตกดินค่ะ

กิจกรรมน่าทำ: ชมพระอาทิตย์ตกดินที่แม่น้ำอิรวดี, ขึ้นบอลลูนชมทะเลเจดีย์, ปั่นจักรยานรอบเมือง

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเที่ยว: มิถุนายน – ตุลาคม

จำนวนวันเที่ยวที่แนะนำ: 2 วัน

พุกาม ประเทศเมียนมาร์

หลาย ๆ สถานที่ที่เราแนะนำข้างต้นเต็มไปด้วยความสวยงามของวิวทิวทัศน์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาที่ไหนไม่ได้ อีกทั้งไม่ได้ใช้ระยะเวลาการเดินทางมากนะ นั่งเครื่องบินเพียงแค่ 2-4 ชม. เท่านั้น เราหวังว่าทั้ง 20 สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศอาเซียนที่แนะนำวันนี้จะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนเที่ยวในทริปหน้าของผู้อ่านทุกท่านนะคะ ^^

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

10 Asia Universities

แนะนำ 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของเอเชียปี 2020

ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยหลาย ๆ แห่งในภูมิภาคเอเชียได้พัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนก้าวขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยระดับต้น ๆ ของโลกทั้งด้านวิชาการและการวิจัย รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มีให้อย่างครบครัน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ บทความนี้ Allianz Travel จึงขอพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของภูมิภาคเอเชียปี 2020 จะมีที่ไหนบ้าง และจะน่าเรียนแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

1. NATIONAL UNIVERSITY OF SINGAPORE (NUS), SINGAPORE

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของสิงคโปร์ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1980 ในช่วงแรกของการก่อตั้งนั้นมีฐานะเป็นเพียงวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ก่อนจะเริ่มขยายไปสอนสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และสาขาอื่นๆ ในเวลาต่อมา ปัจจุบันมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์มีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาล เปิดสอนทั้งสิ้น 17 คณะ มีนักศึกษาที่มาจาก 100 ประเทศทั่วโลก

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 11 (อันดับ 1 ของเอเชีย)

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 35,908 คน

ระดับปริญญาตรี: 27,604 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 8,304 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: วิศวกรรมศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นโยบายรัฐและการจัดการ สถาปัตยกรรมศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ สิ่งแวดล้อมศึกษา

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: 392,000 ถึง 1,400,000 บาทต่อปี ขึ้นกับสาขาวิชาที่เรียน

NATIONAL UNIVERSITY OF SINGAPORE (NUS), SINGAPORE
รูปภาพจาก The strait times

2. NANYANG TECHNOLOGY UNIVERSITY (NTU), SINGAPORE

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง มหาวิทยาลัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศสิงคโปร์ ภายหลังจากที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์และมหาวิทยาลัยนันยางรวมกัน สถาบันเทคโนโลยีนันยางจึงแยกตัวออกมา และพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางในปี ค.ศ. 1991

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางถือเป็นมหาวิทยาลัยน้องใหม่ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยระดับต้น ๆ ของโลกด้านวิชาการและวิจัยในระยะเวลาไม่ถึง 20 ปี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางเปิดสอน 8 คณะด้วยกัน ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ แพทยศาสตร์ มนุยศาสตร์ ศิลปศาสตร์สังคมศาสตร์ และครุศาสตร์

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 11 (อันดับ 2 ของเอเชีย)

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 31,687 คน

ระดับปริญญาตรี: 23, 665 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 8,022 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: วิทยาศาสตร์ข้อมูล วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: 396,000 ถึง 865,165 บาทต่อปี ขึ้นกับสาขาวิชาที่เรียน

3. TSINGHUA UNIVERSITY, CHINA

ถ้าพูดถึงมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมศาสตร์ในประเทศจีนและระดับโลก คงหนีไม่พ้นมหาวิทยาลัยชิงหวา เพราะที่นี้ได้ชื่อว่าเป็น “MIT ของประเทศจีน”

มหาวิทยาลัยชิงหวาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911 ในฐานะสถาบันที่เตรียมนักศึกษาจีนไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีวิทยาลัยย่อยกว่า 20 วิทยาลัย และมีภาคสาขาวิชากว่า 57 สาขา อาทิ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วรรณกรรม สังคมศาสตร์ แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิงหวาได้รับการจัดอันจากหลายเว็บไซต์ให้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศจีน มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง นอกจากนี้ยังมีคนมีชื่อเสียงระดับโลกมาเป็นอาจารย์บรรยายพิเศษ อาทิ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน หรืออดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เฮนรี คิสซิงเจอร์

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 16

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 50,394 คน

ระดับปริญญาตรี: 16,037 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 34,357 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: สถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมโยธา ฟิสิกส์และดาราศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: 110,000 ถึง 1,110,000 บาทต่อปี ขึ้นกับสาขาวิชาที่เรียน

TSINGHUA UNIVERSITY, CHINA

4. PEKING UNIVERSITY, CHINA

มหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1898 ก่อนที่ในช่วงทศวรรษ 1920 จะมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นแหล่งรวมนักศึกษาหัวก้าวหน้าในขบวนการปฏิวัติจีน มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีชื่อเสียงทางวิชาการและการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และการสอน ปัจจุบันเปิดสอนใน 30 วิทยาลัยย่อย และ 12 ภาควิชา มีหลักสูตรระดับปริญาตรี 93 หลักสูตร ระดับปริญญาโท 199 หลักสูตร และระดับปริญญาเอกอีก 173 หลักสูตร

นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันแล้ว ภายในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งให้เยี่ยมชมด้วย อาทิ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ศิลปะและโบราณคดี ซึ่งนักศึกษาสามารถเข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติจีนเป็นระยะเวลาหลายพันปีผ่านสิ่งของที่จัดแสดง

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 22

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 39,575 คน

ระดับปริญญาตรี: 15, 628 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 27,027 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เคมี วิทยาศาสตร์วัสดุ โบราณคดี มนุษยศาสตร์

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: 120,718 ถึง 873,281 บาทต่อปี ขึ้นกับสาขาวิชาที่เรียน

PEKING UNIVERSITY, CHINA

5. THE UNIVERSITY OF HONG KONG, HONG KONG

มหาวิทยาลัยฮ่องกงแรกเริ่มเป็นวิทยาลัยแพทยศาสตร์สำหรับคนจีน ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1911 นับว่าเป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดของฮ่องกง และเป็นมหาวิทยาลัยแรกที่ก่อตั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยประเทศเจ้าอาณานิคมอังกฤษ

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 25

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 29,791 คน

ระดับปริญญาตรี: 17,106 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 12,685 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: วิทยาศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ ชีวการแพทย์ ครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: ประมาณ 708,322 บาทต่อปี

THE UNIVERSITY OF HONG KONG, HONG KONG

6. HONG KONG UNIVERSITY OF SCIENCE AND TECHNOLOGY (HKUST), HONG KONG

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ฮ่องกง ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1991 ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยบนเกาะฮ่องกงที่อายุน้อยและมีพลังขับเคลื่อนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นผู้บุกเบิกในการทำวิจัยที่ทันสมัย และได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำที่มีคุณภาพติดอันดับโลก โดยเฉพาะสาขาวิชาวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ธุรกิจ และการบริหารจัดการ ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก

สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในบรรยากาศสบาย ๆ ต้องมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ฮ่องกง เพราะที่นี้ติดทะเล และมีทัศนียภาพที่สวยงามมากค่ะ

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 32

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 16,054 คน

ระดับปริญญาตรี: 10,148 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 7,664 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธุรกิจและการบริหารจัดการ

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: ประมาณ 579,913 บาทต่อปี

HONG KONG UNIVERSITY OF SCIENCE AND TECHNOLOGY (HKUST), HONG KONG

7. FUDAN UNIVERSITY, CHINA

มหาวิทยาฟูตันเป็นมหาวิทยาลัยยอดนิยมของนักศึกษาจีน เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางเมืองท่องเที่ยวเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยฟูตันก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1905 เกิดจากการรวมตัวมหาวิทยาลัยฟูตันและมหาวิทยาลัยแพทย์เซี่ยงไฮ้ โดยอยู่ภายใต้กฎกระทรวงศึกษาธิการและเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับต้น ๆ ของจีนทุกปีในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยฟูตันประกอบไปด้วย 43 คณะ หลักสูตรปริญญาตรี 57 สาขา หลักสูตรปริญญาโท 148 สาขา หลักสูตรปริญญาเอก 103 สาขา และ 22 สาขาของหลักสูตรต่อเนื่องปริญญาเอกด้านการสื่อสาร ทางมหาวิทยาลัยยังมีสถาบันวิจัยและศูนย์กลางวิจัยการศึกษาและการร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลและหน่วยแพทย์การสอนเกี่ยวกับคลินิกและการวินิจฉัย

นอกจากความมีชื่อเสียงด้านวิชาการและงานวิจัยแล้ว มหาวิทยาลัยฟูตันยังมีชมรมให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างบุคคลิกภาพตัวเองกว่า 300 ชมรม ซึ่งบางชมรมมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเกือบร้อยปี อาทิ ชมรมโอเปร่า หรือชมรมวาดพู่กันจีน เป็นต้น

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 40

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 28,900 คน

ระดับปริญญาตรี: 14,100 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 14,800 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: เคมี ภาษาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ รัฐศาสตร์

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: 106,752 ถึง 348,349 บาทต่อปี ขึ้นกับสาขาวิชาที่เรียน

FUDAN UNIVERSITY, CHINA

8. KAIST – KOREA ADVANCED INSTITUTE OF SCIENCE AND TECHNOLOGY, SOUTH KOREA

Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST) หรือชื่อภาษาไทยคือ สถาบันชั้นสูงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกาหลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1971 ณ เมืองแทจอน โดยรัฐบาลเกาหลีใต้จัดให้เป็นสถาบันวิจัยแห่งแรกของประเทศที่มุ่งเน้นงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์

KAIST เป็นสถาบันอุดมศึกษาเดียวที่รัฐบาลเกาหลีให้ดูแลโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทนที่จะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ KAIST ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเกาหลี ได้รับการพิจารณาว่าทัดเทียมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา โดย KAIST มีชื่อเสียงด้านวิจัยและวิชาการในหลากหลายสาขา

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 41

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 11,109 คน

ระดับปริญญาตรี: 3,879 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 7,230 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์วัสดุ เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: ประมาณ 224,741 บาทต่อปี

KAIST – KOREA ADVANCED INSTITUTE OF SCIENCE AND TECHNOLOGY, SOUTH KOREA

9. THE CHINESE UNIVERSITY OF HONG KONG (CUHK), HONG KONG

มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1963 ตั้งอยู่ในเขตชาทิน บนเกาะฮ่องกง มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกงเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัย โดยเน้นการวิจัยในสี่สาขาเป็นหลักได้แก่จีนศึกษา การปลูกถ่ายและชีวการแพทย์ เทคโนโลยีสารสนเทศและหุ่นยนอัตโนมัติ และการพัฒนายั่งยืนและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกงยังมีหลักสูตรการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทให้เลือกเรียนกว่า 300 หลักสูตรการศึกษา ซึ่งออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสูงเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้แก่นักศึกษา ควบคู่ไปกับการเรียนรู้วิชาการเฉพาะทางในแต่ละด้าน และนอกจากนี้ยังมีบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่เคยได้รับรางวัลโนเบลอีกด้วยค่ะ

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 46

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 20,608 คน

ระดับปริญญาตรี: 17,038 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 3,570 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: นิเทศศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ ปรัชญา การเงิน ภาษาศาสตร์

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: ประมาณ 497,068 บาทต่อปี

THE CHINESE UNIVERSITY OF HONG KONG (CUHK), HONG KONG

10. ZHEJIANG UNIVERSITY, CHINA

มหาวิทยาเจ้อเจียง ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1897 ตั้งอยู่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน ปัจจุบันมีวิทยาลัยกว่า 37 สาขา และมีหลักสูตรระดับปริญาตรี 140 หลักสูตร และหลักสูตรปริญาโทกว่า 300 หลักสูตร โดย 53 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยจะเป็นนักศึกษาระดับปริญาโท

มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีชื่อเสียงด้านวิชาการและการวิจัยด้านนวัตกรรม มีการทำวิจัยอย่างต่อเนื่องหลากหลายสขา อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีเครื่องบิน พลังงานสะอาด เป็นต้น นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีชื่อเสียงด้านสตาร์ทอัพ เนื่องจากศิษย์เก่าจำนวนมากที่จบจากที่นี้เป็นเจ้าของสตาร์ทอัพมากกว่า 100 แห่งในประเทศจีน

อันดับมหาวิทยาลัยโลก: 54

จำนวนนักศึกษาทั้งหมด: 54,614 คน

ระดับปริญญาตรี: 25,425 คน

ระดับปริญญาโทและเอก: 29,216 คน

สาขาที่มีชื่อเสียง: วิศวกรรมศาสตร์และเทคโลยี สิ่งแวดล้อมศึกษา ดาราศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์

ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรี: ประมาณ 139,275 บาทต่อปี ขึ้นกับสาขาวิชาที่เรียน

ZHEJIANG UNIVERSITY, CHINA

สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่สนใจที่จะศึกษาต่อต่างประเทศ ต้องพิจารณาสถาบันการศึกษาอย่างรอบคอบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงมหาวิทยาลัย สาขาวิชา สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หรือค่าเทอมต่อปีการศึกษา ทั้ง 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของเอเชียที่เราแนะนำวันนี้ หวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้ผู้อ่านได้พิจารณาและเป็นแนวทางในการเลือกที่ที่จะเรียนต่อได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก :
QS World Ranking 2020

Blog Disclaimer

All content provided on this blog is for informational purposes only. The content of this blog neither makes representations as to the accuracy or completeness of any information on this site, nor is construed as Allianz Travel’s offering of travel insurance, unless explicitly stated. Details of benefits, limits, policy exclusions, terms and conditions of Allianz Travel insurance can be found under Allianz Travel Policy Wording.

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา