เวียดนามมีทั้งเมืองใหญ่ที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยรถและผู้คน และความงามทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์และน่าทึ่งติดอันดับโลก จากภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกปกคลุม ทุ่งนาเชียวขจี และน้ำตกสูงที่ให้บรรยากาศสดชื่นของเวียดนามตอนเหนือ ไปจนถึงหาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลสีฟ้าครามใสของชายหาดทางตอนใต้ ไฮไลท์ ที่เที่ยวเวียดนาม มีมากมาย จนติดอันดับในประเทศยอดนิยมของนักเดินทาง Allianz Travel ได้รวบรวม 12 สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในเวียดนามมาให้คุณเตรียมตัวเที่ยวเวียดนามกัน รวมทั้งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมสถานที่แต่ละแห่งและวิธีการเดินทาง ไฮไลท์ ที่เที่ยวเวียดนาม มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย
หมายเหตุ: ในช่วงโควิด-19 มีข้อจำกัดในการเดินทางเที่ยวเวียดนามและเวลาทำการของสถานที่อาจแตกต่างจากช่วงเวลาปกติไปบ้าง ตรวจสอบคำแนะนำล่าสุดในเวียดนามก่อนวางแผนการเดินทาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละพื้นที่เสมอ
1. ซาปา (Sapa)
ซาปาตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีน เป็นเมืองเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆท่ามกลางเทือกเขาที่สูงตระหง่านเหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,650 เมตร และล้อมรอบด้วยนาข้าวขั้นบันไดที่เขียวขจี (คุณต้องไปเที่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมของปี!)
นอกจากชื่อเสียงเรื่องทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ซาปายังมีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของตนเอง จากหมู่บ้านเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่บนเนินเขา ซึ่งเป็นบ้านของชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่าพันธุ์
จากการผสมผสานทั้งวัฒนธรรมและความงามตามธรรมชาติทำให้ซาปาควรค่าแก่การเยี่ยมชมหากคุณมีโอกาส แม้ว่าสถานที่ห่างไกลจะทำให้การเดินทางลำบาก แต่ก็เป็นสิ่งที่รักษาความงดงามของทัศนียภาพและมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานไว้เป็นเวลานาน!
ช่วงเวลาเที่ยว:
ช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมเป็นเดือนที่ดีที่สุดในการชมนาขั้นบันได หรือช่วงที่อากาศดีและท้องฟ้าแจ่มใสคือช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม
วิธีการเดินทาง:
ไม่มีเที่ยวบินไปซาปา วิธีที่ดีที่สุดคือนั่งรถไฟข้ามคืนมาลงที่เมืองลาวไค (Lao Cai) และต่อรถตู้ขึ้นเขา หรืออีกทางหนึ่งคือนั่งรถโดยสารประจำทางหรือรถตู้จากฮานอยประมาณ 5-6 ชั่วโมงมาลงที่กลางเมือง
กิจกรรมแนะนำ:
เดินเขาเที่ยวระหว่างหมู่บ้านเพื่อดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันตระการตาและสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของหมู่บ้านชาวเขา หรือหากการเดินเขาไม่ใช่ทางที่คุณชอบ คุณสามารถสำรวจจุดที่สวยงามที่สุดได้ด้วยการเดินทางแบบไปเช้าเย็นด้วยรถยนต์
2. อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay)
คำว่าอ่าวฮาลองเป็นภาษาเวียดนามแปลว่า อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออกประมาณ 170 กิโลเมตร ความสวยงามเกิดจากเกาะหินปูนสูงตระหง่านรูปร่างแปลกตา ตั้งเรียงรายสลับกับเกาะแก่งเล็กๆ กว่า 1,969 เกาะ ท่ามกลางน้ำทะเลสีเขียวมรกต โดยบนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน กลายเป็นความงดงามที่และความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยื่อนทุกปี
อ่าวฮาลอง เป็นอีกสถานที่หนึ่งในเวียดนามที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537
ช่วงเวลาเที่ยว:
ช่วงที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมอ่าวฮาลองคือเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนที่มีท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิกำลังปานกลาง และทะเลสงบ ในช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน อาจมีพายุโซนร้อนเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้ามากนัก ช่วงไฮซีซั่นในฮาลองมักเป็นช่วงตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการท่องเที่ยวภายในประเทศสูงสุด
เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนมักจะอากาศเย็นและมีฝนตกปรอยๆ และหมอกอาจทำให้ทัศนวิสัยต่ำ แม้ว่าจะช่วยเพิ่มบรรยากาศให้สวยงามและโรแมนติก บางครั้งเรือท่องเที่ยวจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง หรืออาจยกเลิกการเดินทางได้โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพทะเล หากคุณกำลังจองเรือ ให้ตรวจสอบนโยบายการคืนเงินให้ดีก่อน
วิธีการเดินทาง:
การเดินทางจากฮานอยไปยังอ่าวฮาลองเบย์มีหลายวิธีดังนี้
- Seaplane (45 นาที) บินออกจากสนามบินนานาชาตินอยไบ (Noi Bai International Airport)ในฮานอยไปยังท่าเรือ Tuan Chau Cruise Port ซึ่งเป็นท่าเรือไปยังฮาลองเบย์
- รถบัส (3-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร) แนะนำให้ใช้บริการรถบัสที่ให้บริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและมีคุณภาพดีกว่ารถเมล์ท้องถิ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมถึงมี Wi-Fi บนรถ
- รถเมล์ท้องถิ่น (4-5 ชั่วโมง) มีราคาถูกที่สุดและยังได้รับประสบการณ์ท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใคร เหมาะกับคนที่ต้องการท่องเที่ยวแบบผจญภัย หรือมีงบประมาณจำกัด หรือคุ้นเคยกับประเทศเวียดนามเป็นอย่างดี
- รถไฟ (6-7 ชั่วโมง) รถไฟมีเพียงวันละ 1 เที่ยวจากสถานี Yen Vien ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองฮานอยประมาณ 10 กม. โดยออกจากฮานอยเวลา 4:55 น. และมาถึงที่สถานีฮาลองเวลา 11:41 น.
กิจกรรมแนะนำ:
ล่องเรือข้ามคืนผ่านอ่าวฮาลองบนเรือสำเภาแบบดั้งเดิมถือเป็นไฮไลท์ คุณจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันแปลกตาขณะล่องไปตามผืนน้ำ ผ่านหมู่บ้านลอยน้ำ เช่น Cua Van, Vung Vieng และ Cong Dam หรือพายเรือคายัคผ่านถ้ำและหุบเขาอันตระการตา ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสำรวจสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม
3. น้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน (Ban Gioc Detian Waterfall)
น้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน อยู่ห่างจากฮานอยประมาณ 360 กิโลเมตร เป็นน้ำตกข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและเป็นอันดับ 4 ของโลก ตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างประเทศจีนและเวียดนาม มีชื่อว่าน้ำตกเต๋อเถียนในประเทศจีน และชื่อน้ำตกบ่านซ่อกในประเทศเวียดนาม มีต้นน้ำมาจากแม่น้ำกุ้ยชุนของจีน น้ำไหลแรงมาในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกนี้มีความกว้างรวมประมาณ 200 เมตร และสูงกว่า 70 เมตร ทัศนียภาพของน้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน ใหญ่โตและน่าเกรงขาม คุณจะได้ยินเสียงของน้ำตกดังมากก่อนที่คุณจะได้เห็นน้ำตกเสียอีก
ช่วงเวลาเที่ยว:
เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูน้ำหลากและน้ำตกไหลแรง นักท่องเที่ยวจะได้เห็นน้ำตกสวยงาม ภูเขาและต้นไม้เขียวขจี หากไปช่วงฤดูแล้ว น้ำตกจะมีปริมาณน้ำน้อยมาก
วิธีการเดินทาง:
นั่งรถบัสจากสถานีขนส่ง My Dinh ในฮานอยไปยังเมืองกาวบ่าง (Cao Bang) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง และต่อรถมินิบัสไปยังน้ำตกบ่านซ่อก เต๋อเถียน อีกประมาณ 2 ชั่วโมง
กิจกรรมแนะนำ:
ชมน้ำตกจากจุดชมวิว หรือล่องแพไม้ไผ่ในแอ่งน้ำที่ด้านล่างของน้ำตกเพื่อสัมผัสน้ำตกอย่างใกล้ชิดและเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังสามารถปีนเข่ขึ้นไปชมวิวน้ำตกแบบพาโนรามาได้อีกด้วย
4. จังหวัด นิญห์ บิ่ญห์ (Ninh Binh)
จังหวัด นิญห์ บิ่ญห์อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงฮานอย เป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่นว่าเป็น ‘ฮาลองเบย์บนบก’ ครอบคลุมพื้นที่ที่มีความงามตามธรรมชาติ ด้วยภูมิทัศน์ของแม่น้ำที่มีมนต์ขลัง มีภูเขาหินปูนสูงชันนับร้อยที่ปกตลุมไปด้วยป่าทึบ ทุ่งนาสีเขียวคดเคี้ยวไปตามแม่น้ำ Ngo Dong วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงนิญห์ บิ่ญห์คือการล่องเรือไปตามแม่น้ำ และปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่เป็นตำนาน ที่นี่เหมาะกับการใช้เวลาพักผ่อนในส่วนที่สวยและบริสุทธิ์ที่สุดของเวียดนาม เมืองนิญห์ บิ่ญห์เหมาะสำหรับทุกคนที่สนใจในธรรมชาติ มีสิ่งต่างๆ ให้สำรวจมากมาย เช่น ถ้ำโบราณ เจดีย์ที่สวยงาม เขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Van Long และอุทยานแห่งชาติ Cuc Phuong อุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนามที่มีเส้นทางเดินป่าที่ยอดเยี่ยม
ช่วงเวลาเที่ยว:
เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมนิญห์ บิ่ญห์คือตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนกรกฎาคม และตั้งแต่เดือนกันยายนถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรในท้องถิ่นเก็บเกี่ยวข้าว หากคุณมาในช่วงฤดูแล้ง (พฤศจิกายนถึงมีนาคม) การเก็บเกี่ยวข้าวจะสิ้นสุดลง ทำให้ทุ่งนามีสีเหลืองขุ่น แม้ว่าคุณจะไม่เห็นความเขียวขจีมากนัก แต่ทิวทัศน์ก็ยังน่าประทับใจ
วิธีการเดินทาง:
สามารถเดินทางไปเมือง นิญห์ บิ่ญห์ ได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงโดยรถยนต์ส่วนตัวจากฮานอย หรือประมาณ 3 ชั่วโมงจากอ่าวฮาลอง
5. จังหวัด ฮ่า ซาง (Ha Giang)
ฮ่า ซาง เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ถือเป็นจุดเหนือสุดของประเทศโดยมีพรมแดนร่วมกับมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีน จึงเป็นที่รู้จักในฐานะเขตแดนสุดท้ายของเวียดนาม คุณจะได้ดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของภูมิทัศน์และบรรยากาศของเมืองที่ห่างไกลและหมู่บ้านชนกลุ่มน้อย มีภูเขาเป็นป่า ถ้ำลึกลับ และหุบเขา Quan Ba ที่มีจุดชมวิวที่เรียกว่า Quan Ba Pass หรือที่รู้จักกันในชื่อประตูสวรรค์ (Heaven’s Gate) ให้ทัศนียภาพตระการตาของนาขั้นบันได เนินเขา และแม่น้ำคดเคี้ยว
ช่วงเวลาเที่ยว:
ฮ่าซางเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่อุณหภูมิจะดีที่สุดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน และตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ฤดูแล้งทำให้เกิดสภาพอากาศหนาวเย็น ในขณะที่ฤดูร้อนจะมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม
วิธีการเดินทาง:
วิธีที่ง่ายที่สุดในการไปฮ่าซางคือการขับรถจากฮานอยประมาณ 6 ชั่วโมง หรือนั่งรถโดยสารแบบนอนจากฮานอยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง
6. ฮอยอัน (Hoi An)
ฮอยอัน (Hoi An) คือเมืองในจังหวัดกว๋างนาม (Quang Nam) เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็น ที่เที่ยวเวียดนาม ที่มีบรรยากาศและมีเสน่ห์ที่สุดของเวียดนาม มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่มากมาย คุณจะสนุกกับการสำรวจย่านเมืองเก่าที่เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งเวียดนาม จีน และญี่ปุ่น เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงพีคที่สุดของฮอยอันคือราวศตวรรษที่ 16-17 เพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานเต็มไปหมด นอกจากหลักๆ ที่เป็นคนจีน ญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังมีชาวดัตช์และอินเดียที่เข้ามาเยอะมาก
เมืองฮอยอันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 1999 เหมาะสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ย่านเมืองเก่ายังคงอนุรักษ์มรดกอันน่าทึ่งไว้ในสภาพเดิมได้อย่างดี ทั้งบ้านพ่อค้าญี่ปุ่น ตึกแถวสไตล์จีน อาคารยุคอาณานิคมฝรั่งเศส และโกดังชาโบราณ แถมยังทาสีสันสดใส ประดับตกแต่งด้วยโคมไฟกระดาษแบบเวียดนาม
แม้ว่าร้านค้าเก่าหลายแห่งจะเปลี่ยนเป็นธุรกิจสมัยใหม่ เช่น ร้านตัดเสื้อ หอศิลป์ ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร แต่เมืองนี้ยังคงเสน่ห์และบรรยากาศที่ล้าสมัยไว้ ทุกคืนไฟฟ้าในเมืองเก่าจะถูกปิดและโคมไฟไหมแบบดั้งเดิมจะถูกแขวนไว้ที่หน้าร้านทุกแห่ง ตะเกียงหลากสีสว่างไสวไปตามถนนและส่องแสงระยิบระยับสุดโรแมนติกเหนือแม่น้ำทูโบน
ช่วงเวลาเที่ยว:
ช่วงที่ดีที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวฮอยอันคือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน คุณจะพบกับอุณหภูมิที่อุ่นสบายและมีฝนตกเล็กน้อย หากต้องการชมพระจันทร์เต็มดวงในช่วงเวลาที่สวยที่สุดแห่งปีควรไปช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม แต่ก็ต้องแลกกับอากาศที่ร้อนมาก
วิธีการเดินทาง:
วิธีที่ง่ายที่สุดในการไปถึงฮอยอันคือบินมาที่ดานัง ซึ่งอยู่ห่างจากฮอยอันเพียง 40 นาที แล้วเดินทางต่อด้วยรถไฟหรือรถยนต์ส่วนตัว
7. อุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่าง (Phong Nha-Ke Bang National Park)
อุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่างได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประกอบด้วยภูเขาหินปูนที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งมีอายุระหว่าง 400 ถึง 450 ล้านปี แม่น้ำใต้ดิน สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ถ้ำที่กว้างใหญ่ และป่าที่ยังไม่ถูกทำลาย คุณสามารถสนุกกับกิจกรรมมากมาย ทั้งการปีนเขา ปั่นจักรยาน พายเรือ หรือพักผ่อนในภูมิภาคที่งดงามและน่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม
ที่นี่เป็นที่ตั้งของถ้ำเซินด่อง (Hang Son Doong) ซึ่งถูกค้นพบในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และได้รับการยืนยันว่าเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2009 ถ้ำนี้มีความยาวกว่า 5 กิโลเมตร โดยมีส่วนสูง 200 เมตรและกว้าง 150 เมตร และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักเดินทางที่ชื่นชอบการผจญภัย
ช่วงเวลาเที่ยว:
เดือนที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติฟองญา-แก๋บ่างคือระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายและมีฝนตกน้อย ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ก็ไม่มีฝนเช่นกัน แต่อากาศค่อนข้างเย็น เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ในขณะที่เดือนสิงหาคมและธันวาคมควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากฝนตกหนักและน้ำท่วม
วิธีเดินทาง:
คุณสามารถโดยสารเที่ยวบินภายในประเทศไปยังสนามบิน Dong Hoi จากนั้นนั่งรถต่อไปที่อุทยานเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ระยะทางประมาณ 50 กม.) นอกจากนี้คุณยังสามารถเช่ารถพร้อมคนขับได้จากทุกพื้นที่ในเมือง เช่น ฮานอย นิญห์บิญห์ อ่าวฮาลอง และฮอยอัน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงอุทยานค่อนข้างเข้มงวด (อุทยานยังเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด) อุทยานไม่อนุญาตให้นักท่องเที่นวเดินเขากันเอง คุณต้องไปกับบริษัททัวร์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
8. ดานัง (Da Nang)
ดานังเป็นอดีตหมู่บ้านชาวประมง เมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลาง ที่นี่เป็น ที่เที่ยวเวียดนาม ที่มีความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุดของเวียดนามกลาง เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หาดทรายขาวที่ขึ้นชื่อ วิวที่สวยงามของภูเขาหินอ่อน งานศิลปะผ้าไหมปัก สถานบันเทิงยามค่ำคืน สตรีทฟู้ด รวมถึงร้านอาหารทะเลสดและอร่อย ทำให้ดานังดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกไว้ได้
บรรยากาศของเมืองดานังคึกคักไปด้วยผู้คน เรือสินค้าที่จอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งน้ำ กับเรือประมงเล็กๆ ของชาวบ้านใช้ออกหาปลา ตลอดจนตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่สีสันสดใส นอกจากนี่ ยังมีหาดหมีเคว (My Khe) หาดทรายสีขาวที่สวยงามพร้อมกีฬาทางน้ำมากมาย หรือแวะเยี่ยมชมบานาฮิลส์ เมืองท่องเที่ยวที่เคยเป็นสถานที่ตากอากาศของชาวฝรั่งเศสมาตั้งแต่ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และกลับมาบูรณะเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกครั้งในปี ค.ศ.2009 พร้อมกระเช้าลอยฟ้า 5,801 เมตรที่ต้องใช้เวลาถึง 50 นาที นับว่าเป็นการนั่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย
คุณไม่ควรพลาดสะพานทองคำยาว 150 เมตรที่คุณจะได้เห็นมือหินยักษ์สองมือโผล่ออกมาจากภูเขาเพื่อประคองสะพานสีทอง สะพานแห่งนี้สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร ที่คุณจะได้ชมทิวทัศน์มุมกว้างของเมือง ตลอดจนภูมิทัศน์ธรรมชาติโดยรอบ
ช่วงเวลาเที่ยว:
สภาพอากาศในดานังจะดีที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าแจ่มใส เดือนที่ร้อนที่สุดคือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ในขณะที่ฤดูฝนจะมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนกันยายนถึงกุมภาพันธ์
วิธีเดินทาง:
คุณสามารถหาเที่ยวบินจากกรุงเทพไปลงที่สนามบินนานาชาติดานัง (DAD) หรือเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ดานังอยู่บนเส้นทางรถไฟสายหลักที่ให้บริการจากฮานอย เว้ และโฮจิมินห์ซิตี้ หรือใช้บริการรถโดยสารประจำทางหรือรถส่วนตัว
9. เกาะฟูโกว๊ก (Phu Quoc Island)
เกาะฟูก๊วกอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนใต้ของเวียดนามประมาณ 45 กิโลเมตร เป็นสวรรค์เขตร้อนที่มีหาดทรายสีขาวและน้ำทะเลเป็นประกาย ป่าเขียวชอุ่มและน้ำตกที่มีมนต์ขลัง ที่นี่เป็นเกาะเงียบสงบ และมีขนาดเล็กพอที่จะสำรวจชายหาดกว่าสิบแห่งได้ด้วยจักรยานหรือสกู๊ตเตอร์ ทางด้านตะวันตกของเกาะจะมีหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าคราม และชมวิวอันสวยงามตอนพระอาทิตย์ตกดิน
นอกจากกิจกรรมการดำน้ำตื้น พายเรือคายัค และล่องเรือนี้ คุณยังสามารถเข้าไปในป่าเพื่อสำรวจเส้นทางเดินป่าและชมสัตว์ป่า หรือแวะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมืองดวงดง (Duong Dong) ที่มีชีวิตชีวามากมาย มีขายทั้งงานฝีมือและอาหารทะเลสด
ช่วงเวลาเที่ยว:
พฤศจิกายนถึงมีนาคมเป็นฤดูท่องเที่ยวของฟู้โกว๊ก โดยมีอากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสีคราม ตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายนยังเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเยี่ยมชมโดยมีนักท่องเที่ยวน้อยลงและป่าไม้ที่สวยงามหลังจากฝนตกหนักตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน
วิธีเดินทาง:
เกาะฟูก๊วกสามารถเข้าถึงได้ด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ๆ เช่น ฮานอย โฮจิมินห์ และดานัง หรือบริการรับส่งส่วนตัวและเรือข้ามฟากความเร็วสูงไปยังเกาะ
10. ดาลัด (Da Lat)
ดาลัดเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนบนของประเทศเวียดนาม จุดเด่นคือเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงและถูกโอบล้อมไปด้วยทิวเขา ทะเลสาบ น้ำตก ป่าไม้ จึงทำให้ดาลัดเป็นเมืองที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 17 องศาเซลเซียสเท่านั้น และด้วยอากาศที่ดีและมีสภาพแวดล้อมที่สวยงามนี่เอง ดาลัดจึงได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิที่โรแมนติกที่สุดในเวียดนามใต้จนขึ้นชื่อว่าเป็น “ปารีสแห่งเวียดนาม”
คุณจะพบว่าดาลัดเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ซึ่งเต็มไปด้วยวิลล่าสไตล์อาณานิคมฝรั่งเศส รถม้า หอวิทยุรูปหอไอเฟล และหุบเขาแห่งความรักอันงดงาม ประดับประดาด้วยประติมากรรมรูปหัวใจ โดยรอบเมืองรายล้อมไปด้วยไร่กาแฟ สตรอเบอร์รี่ และดอกไม้ที่งดงาม อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญของดาลัดก็คือ Doha Cafe เป็น Cafe ที่มีลักษณะรูปทรงเหมือนดอก Atiso ซึ่งเป็นดอกไม้เมืองหนาวที่ปลูกในดาลัด อากาศที่เย็นกว่าและอากาศบนภูเขาที่มีหมอกปกคลุมทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง และคุณสามารถไปเดินป่า ปั่นจักรยานเสือภูเขา ล่องแก่ง และล่องแก่งบนเนินเขาโดยรอบ
ช่วงเวลาเที่ยว:
ดาลัดมีความสวยงามที่สุดระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงเบ่งบานเต็มที่ สภาพอากาศแห้งและมีแดดจัด และอุณหภูมิก็เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมผจญภัยกลางแจ้ง
วิธีเดินทาง:
คุณสามารถบินตรงจากกรุงเทพไปยังเมืองดาลัดได้ โดยใช้เวลาแค่ 1.45 ชม. หรือเดินทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากฮานอยหรือโฮจิมินห์ไปยังสนามบินเลียนเคือง (Lien Khuong) ซึ่งอยู่ห่างจากดาลัดไปทางใต้ 30 กิโลเมตร หรือนั่งรถโดยสารจากโฮจิมินห์ มุยเน่ หรือญาจาง
11. ญาจาง (Nha Trang)
เมืองญาจางอยู่บริเวณริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม อดีตเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรจามปามาก่อน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ก่อเกิดมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 2 และรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 9-10 โดยพื้นที่ของอาณาจักรจามปาจะครอบคลุมอยู่บริเวณเวียดนามกลางและเวียดนามใต้แถบแนวฝั่งทะเลจีนใต้ สิ่งที่บ่งบอกว่าญาจางเคยเป็นอาณาจักรเก่าแก่มาก่อนก็คือปราสาทโปนาคา (Po Nagar Cham Towers) มีลักษณะเป็นปราสาทที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบขอมและฮินดู สันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 7-12 เลยทีเดียว
ปัจจุบันญาจางเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ด้วยฉากหลังของภูเขาที่สวยงาม ชายหาดพระจันทร์เสี้ยวที่กว้างใหญ่และสวยสะอาดตา และอ่าวสีฟ้าครามที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวรองรับหลากหลายแบบทั้งที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ วัดวาอาราม รวมไปถึงสวนสนุกขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีค่าครองชีพไม่แพง ครบครันไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีสนามบินในเมืองใกล้ๆ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไมญาจางจึงเป็นรีสอร์ทริมชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวียดนาม
ช่วงเวลาเที่ยว:
เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมญาจางคือเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายและไม่ค่อยมีฝน ทัศนวิสัยในการดำน้ำก็ดีที่สุดเช่นกันในช่วงเดือนนี้ และผู้ชื่นชอบการดำน้ำจะหลงรักแหล่งปะการังที่อุดมสมบูรณ์ของทะเลในเมืองญาจาง
วิธีเดินทาง:
เมืองญาจางอยู่ใกล้ไทยเพียงนิดเดียว ถ้าหากเดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ก็จะใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ราว ๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติกามซัญ (Cam Ranh International Airport) ที่ห่างจากญาจางประมาณ 30 กิโลเมตร หากคุณไปเที่ยวเมืองอื่นด้วย คุณสามารถเดินทางไปญาจางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากเมืองใหญ่ๆ ในเวียดนาม เช่น ฮานอย โฮจิมินห์ และดานัง หรือเดินทางโดยรถไฟหรือรถยนต์ส่วนตัว
12. มุยเน่ (Mui Ne)
มุยเน่ เป็นเมืองทางชายฝั่งทะเลในจังหวัดบิ่ญถ่วน (Binh Thuan) ทางภาคกลางตอนใต้ของเวียดนาม และเป็นหนึ่งในเมืองพักตากอากาศยอดฮิตสำหรับชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ แหล่งรวมพิกัดคูลๆ ที่ไม่ต้องบินไปเที่ยวไกลๆ ถึงแม้จะไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะเท่าเมืองใหญ่ๆ แต่ที่เที่ยวธรรมชาติของที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้เมืองอื่น ใครที่วางแผนจะไปเที่ยวเวียดนาม จดมุยเน่ลงในลิสต์ รับรองไม่มีผิดหวัง
ไฮไลท์ของมุยเน่ก็คือเนินทราย (Sand Dunes) ที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนินทรายเป็นเกราะป้องกันพายุและการกัดเซาะชายหาด และเป็นที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ทำให้เกิดความหลากหลายทางธรรมชาติ เนินทรายที่มุยเน่มีทั้งหมด 18 เฉดสีด้วยกันค่ะ และเนินทรายที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่สุดคือทะเลทรายขาว (White Sand Dunes) ที่กินพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและสวยงามมากเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และเนินทรายแดง (Red Sand Dunes) ที่ประกอบด้วยเนินเขาสีทองแดงที่เปล่งประกายเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
นอกจากนี้สถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือลำธารนางฟ้า (Fairy Stream) ที่เกิดจากภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำและลม จนกลายเป็นร่องหินไล่เฉดสีเข้มอ่อนอย่างน่าอัศจรรย์ ยาว 20 เมตร และมีลำธารไหลผ่าน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเดินลุยน้ำไปตามลำธารค่ะ ดังนั้นต้องเตรียมชุดมาให้พร้อมนะคะ
ช่วงเวลาเที่ยว:
มุยเน่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่วิเศษสุดในเวียดนาม คุณจะเพลิดเพลินไปกับสภาพอากาศที่สบายตลอดทั้งปี ถ้าต้องการเล่นเซิร์ฟและใช้เวลาที่ชายหาด ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายน
วิธีเดินทาง:
ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะเครื่องบินไปลงที่โฮจิมินห์ซิตี้ก่อน แล้วค่อยนั่งรถบัสเดินทางไปที่มุยเน่ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นอกจากนี้การเรียกแท็กซี่จากโฮจิมินห์ซิตี้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี แม้ราคาอาจจะแพงหน่อย แต่คุณสามารถจองแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังมุยเน่เวลาใดก็ได้ (ใช้เวลาขับรถ 4 ชั่วโมง) ถ้าจะเดินทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปมุยเน่ มีเที่ยวบินประมาณ 1 เที่ยวต่อวัน หรือเดินทางด้วยเรือเร็วจากโฮจิมินห์ซิตี้มี 2 เที่ยวต่อวัน คือรอบเช้าและรอบบ่าย หากคุณต้องการใช้เวลาบนเนินทรายมากขึ้น คุณสามารถพักในหมู่บ้านชาวประมงมุยเน่ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเรียงรายไปด้วยหาดทรายสีทองสวยงาม ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นว่าวและวินด์เซิร์ฟ
นักท่องเที่ยวที่ถือหนังสือเดินทางประเทศไทยสามารถเที่ยวเวียดนามได้นานถึง 30 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า (พาสปอร์ตต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน) และในปัจจุบันนี้การเดินทางเข้าประเทศเวียดนามก็ไม่ต้องใช้ผลตรวจโควิด-19 และเอกสารการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม แจ้งไว้ว่าคุณจะต้องมีประกันสุขภาพหรือประกันภัยการเดินทางที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มครองรวมถึงโควิด-19 ขั้นต่ำ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,500,000 บาท
นอกจากเรื่องการเจ็บป่วยที่อาจทำให้คุณกังวลและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากระหว่างการเดินทางเที่ยวเวียดนามแล้ว อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ เกิดขึ้นที่ทำให้คุณต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ขอบคุณข้อมูลจาก : wayfairertravel.com, lonelyplanet.com
เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel