ประกันเดินทางสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ จำเป็นหรือไม่?

ประกันเดินทางสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ จำเป็นหรือไม่

นักเรียนหรือนักศึกษาที่กำลังจะเริ่มต้นผจญภัยครั้งใหม่กับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ต้องเตรียมตัวรับมือกับวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย และบางครั้งอาจทำอะไรไม่ถูก หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่ออยู่ไกลบ้าน อย่างเช่น เจ็บป่วยกะทันหันจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ประสบอุบัติเหตุ ปัญหาทรัพย์สินหรือกระเป๋าเดินทางสูญหายหรือเสียหายระหว่างเดินทางกับขนส่งสาธารณะ เที่ยวบินเกิดการล่าช้าและต้องติดอยู่ที่สนามบินเป็นเวลานาน เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เสียเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นเพื่อความอุ่นใจ และมั่นใจได้ว่าจะมีตัวช่วยยามเกิดปัญหา สิ่งหนึ่งที่จำเป็นและควรเตรียมพร้อมไปจากเมืองไทยก็คือประกันภัยสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ที่ช่วยคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากเหตุดังกล่าว

ความแตกต่างระหว่างประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศและประกันสุขภาพสำหรับนักเรียนต่างชาติ

ประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมตั้งแต่วินาทีที่เดินทางออกจากประเทศไทยสูงสุด 2 ปี นอกจากความคุ้มครองขณะที่กำลังเรียนอยู่ต่างประเทศ ยังให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินขณะกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราวกรณีศึกษาระยะยาวมากกว่า 1 ปี ซึ่งแตกต่างกับประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติที่คุ้มครองคุณเฉพาะในช่วงเวลาระหว่างการศึกษาในต่างประเทศเท่านั้น

ประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศประกันสุขภาพสำหรับนักเรียนต่างชาติ
ให้ความคุ้มครองตั้งเริ่มต้นออกเดินทางจากประเทศไทยจนถึงช่วงระหว่างการศึกษา และยังมีความคุ้มครองรวมถึงค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินขณะกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และต้องเดินทางกลับไปศึกษาต่อให้ความคุ้มครองในช่วงเวลาระหว่างศึกษาต่อและสามารถต่ออายุได้ตลอดการศึกษาในต่างประเทศ
ต้องทำประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศก่อนเดินทางจากประเทศไทยสามารถทำประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติได้ทั้งก่อนออกเดินทางจากประเทศไทยหรือหลังจากเดินทางไปถึงต่างประเทศ
คุ้มครองการสูญเสียค่าเล่าเรียน หากเกิดเหตุที่ไม่สามารถศึกษาต่อได้ในภาคเรียนที่จ่ายเงินไปแล้วไม่คุ้มครองการสูญเสียค่าเล่าเรียน
คุ้มครองการสูญหาย หรือความเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัวไม่คุ้มครองการสูญหาย การโจรกรรม หรือความเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัว
คุ้มครองการเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉินและการส่งกลับประเทศคุ้มครองการเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉินและการส่งกลับประเทศ
เหมาะสำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาต่อระยะสั้นและต้องการความคุ้มครองระหว่างช่วงเวลาการเดินทางเหมาะสำหรับนักเรียนและนักศึกษาที่จะพำนักอยู่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 24 เดือน

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ เหมาะสำหรับใครบ้าง?

  • นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนคอร์สภาษาระยะสั้น
  • นักเรียนหรือนักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาต่อในหลักสูตรระยะยาวกับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
  • เดินทางเพื่อทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ

หมายเหตุ:

ข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้เอาประกันภัยขึ้นอยู่กับบริษัทที่คุณซื้อประกัน ดูรายละเอียดประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ครอบคลุมอะไรบ้าง?

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care ของ Allianz Travel ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางและช่วงเวลาที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงค่ารักษาพยาบาลสำหรับอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยกะทันหัน การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน การสูญเสียหรือเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินระหว่างใช้บริการขนส่งสาธารณะ เป็นต้น

ตัวอย่างความคุ้มครอง*

  • ชดเชยค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุสูงสุด 5,500,000 บาท
    • ค่าแพทย์ ค่ายา ค่ารถพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน ค่าห้องพักผู้ป่วยหนัก
    • ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินขณะกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และต้องเดินทางกลับไปศึกษาต่อ
    • ค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย หากมีความจำเป็นต้องได้รับการติดตามผลการรักษาต่อเนื่อง
  • ชดเชยการสูญเสียค่าเล่าเรียนสูงสุด 300,000 บาท หากเกิดเหตุที่ไม่สามารถศึกษาต่อได้ในภาคเรียนที่จ่ายเงินไปแล้ว
  • ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหาร เพื่อให้ญาติสนิทเดินทางไปเยี่ยมผู้เอาประกันภัย กรณีผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาตัวในฐานะผู้ป่วยในขณะอยู่ต่างประเทศนานกว่า 5 วัน ในการเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือต้องเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉินกลับประเทศไทย
  • ค่าเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน กรณีผู้เอาประกันภัยได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยกระทันหัน รวมถึงการเคลื่อนย้ายเพื่อนำผู้เอาประกันภัยกลับสู่ประเทศไทย
  • คุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายอันเกิดจากการบาดเจ็บทางร่างกายโดยอุบัติเหตุ จนทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สูญเสียการมองเห็นหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง
  • ชดเชยการสูญหายหรือเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัว ขณะเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะ
  • ประกันความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองสำหรับความรับผิดตามกฎหมายที่ผู้เอาประกันภัยต้องชดใช้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างเดินทางในต่างประเทศ 

เลือกประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ แผนไหนดี?

ประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศแต่ละแผนมีความคุ้มครองและวงเงินผลประโยชน์ความคุ้มครองที่มากน้อยแตกต่างกัน ควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไข ข้อกำหนด เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ และรายละเอียดกรมธรรม์อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อประกันภัย

ขั้นตอนการซื้อประกันสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ

Allianz Travel นำเสนอประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศผ่านทางหน้าเว็บไซต์ ซึ่งคุณสามารถซื้อได้อย่างสะดวกและง่ายดาย เพียงเลือกประเทศจุดหมายปลายทาง ระยะเวลาในการเดินทางนับตั้งแต่วันที่ออกเดินทางไปจนถึงวันที่เดินทางกลับ หลังจากนั้นคุณจะได้เห็นตัวเลือกของแต่ละแผนที่มีสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองที่แตกต่างกัน อ่านและทำความเข้ารายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองก่อนทำการชำระเงิน เพียงแค่ไม่กี่นาที คุณก็จะได้รับกรมธรรม์ประกันภัยทางที่อยู่อีเมลที่คุณแจ้งไว้

ข้อควรทราบก่อนซื้อประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ

  • ไม่ควรซื้อแผนที่ถูกที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายตอนซื้อ แต่แผนประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศที่ราคาถูกอาจไม่ได้ให้ความคุ้มครองครบในสิ่งที่คุณต้องการในยามฉุกเฉิน
  • เลือกแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในระดับที่เหมาะสม เหมาะกับค่าใช้จ่ายในประเทศที่กำลังจะไปศึกษา
  • อ่านเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างละเอียด ดูว่าสิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับครอบคลุมอะไรบ้าง และมีเงื่อนไขเพิ่มเติมหรือข้อยกเว้นอะไรบ้าง
  • ตรวจเช็คว่าแผนที่คุณเลือกเป็นไปตามข้อกำหนดของโรงเรียนหรือข้อกำหนดของวีซ่านักเรียนหรือไม่
  • ศึกษาวิธีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หากเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้เตรียมเอกสารและดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
  • เลือกบริษัทที่มีเบอร์โทรติดต่อ และให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง 

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ มีระยะเวลาคุ้มครองนานแค่ไหน?

ประกันสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศของ Allianz Travel สามารถเลือกระยะเวลาความคุ้มครองให้ตรงตามระยะเวลาที่คุณจะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศได้ตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 24 เดือน และความคุ้มครองจะเริ่มต้นตั้งแต่วินาทีที่คุณเดินทางออกจากประเทศไทย

ควรทำประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ตอนไหน?

เงื่อนไขสำคัญของการทำประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศคือคุณจะต้องซื้อก่อนออกเดินทางจากประเทศไทยอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หากคุณเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว คุณจะไม่สามารถซื้อประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศจากบริษัทในประเทศไทยได้ แต่ในบางกรณี คุณอาจต้องซื้อประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบในการยื่นขอวีซ่า หรือแสดงต่อสถาบันการศึกษาที่คุณสมัครตามข้อกำหนด เพื่อให้ได้เอกสารยืนยันการรับคุณเข้าเรียน

ประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?

ราคาของประกันภัยสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศขึ้นอยู่กับ:

  • ระยะเวลาที่คุณต้องการความคุ้มครอง หากคุณเดินทางนาน ค่าเบี้ยก็จะสูงขึ้น
  • วงเงินผลประโยชน์ความคุ้มครอง หากคุณเลือกแผนประกันที่มีวงเงินสูง คุณจะต้องจ่ายค่าเบี้ยในราคาที่แพงขึ้น

ประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นข้อบังคับหรือไม่?

ในกระบวนการขอวีซ่าสำหรับบางประเทศ อาจมีข้อกำหนดให้ยื่นประกันภัยการเดินทางหรือประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศสำหรับนักเรียนที่กำลังจะไปศึกษาต่อต่างประเทศร่วมกับการขอวีซ่านักเรียน เพื่อแสดงให้สถานทูตเห็นว่าคุณมีประกันภัยการเดินทางเพียงพอสำหรับช่วงเริ่มต้นของการศึกษา แต่ถึงแม้ว่าคุณจะไปศึกษาในประเทศที่ไม่ได้กำหนดให้ต้องมีประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ก็ไม่ควรประมาท การซื้อประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศไว้จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจไร้กังวลหากต้องเจอกับประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างเดินทางอยู่ต่างประเทศ เช่น การเจ็บป่วยหรือการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งการมีประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศไว้ ช่วยให้คุณและครอบครัวอุ่นใจ แม้ยามที่คุณต้องอยู่ไกลบ้าน อ่านรายละเอียดความคุ้มครองของประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel ได้ที่นี่*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง

วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง

นักท่องเที่ยวชาวไทยที่อยากไป เที่ยวแคนาดา สามารถเดินทางได้ง่ายขึ้นแล้ว เมื่อรัฐบาลแคนาดาปรับเงื่อนใขในการเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 13 ประเทศ ที่รวมถึงประเทศไทยด้วย สามารถเดินทางเข้าแคนาดาได้โดยไม่ขอวีซ่าและพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน เพียงแค่สมัครขออนุมัติการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ eTA ซึ่งสามารถทำออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายและไม่ยากเลยค่ะ Allianz Travel จะนำ วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง มาแนะนำแบบทุกขั้นตอนเพื่อให้เป็นแนวทางกันค่ะ

เงื่อนไขในการลงทะเบียน eTA แคนาดา

eTA ของแคนาดา หรือ Electronic Travel Authorization คือเอกสารอนุมัติการเดินทางเข้าประเทศผ่านระบบออนไลน์ เป็นข้อกำหนดสำหรับชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า และมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. เคยมีวีซ่าแคนาดาในช่วงไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา หรือเป็นผู้ถือวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุ
  2. มีวัตถุประสงค์ในการเดินทางไปแคนาดาเพื่อการท่องเที่ยวหรือธุรกิจไม่เกิน 6 เดือน
  3. เดินทางเข้าแคนาดาทางเครื่องบินหรือเปลี่ยนเครื่องที่แคนาดา โดยถือพาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุของประเทศที่สามารถลงทะเบียน eTA ได้

*หากไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะต้องยื่นขอวีซ่านักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางไปแคนาดาตามปกติ

สิ่งที่ต้องใช้สำหรับการสมัคร eTA แคนาดา

ผู้สมัคร eTA แคนาดาจะต้องเตรียมข้อมูลในการกรอกใบสมัครดังนี้

  • เลขที่หนังสือเดินทาง วันที่ออก วันหมดอายุ (หนังสือเดินทางควรมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน)
  • ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ สถานที่เกิด วันเดือนปีเกิด
  • อีเมล (ผลการสมัคร eTA แจ้งผ่านทางอีเมล)
  • บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตสำหรับชำระค่าธรรมเนียม 7 ดอลล่าร์แคนาดา

หมายเหตุ

  • คุณสามารถสมัครและชำระเงินได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น หากคุณต้องการสมัครให้สมาชิกในครอบครัวหรือบุคคลอื่น คุณจะต้องกรอกและส่งแบบฟอร์มทีละคน
  • คุณมีเวลาจำกัดในการกรอกแบบฟอร์ม และระบบไม่สามารถบันทึกข้อมูลของคุณเพื่อกรอกในภายหลังได้ แต่คุณสามารถขยายระยะเวลาได้ หากต้องการเวลาเพิ่มอีก เมื่อคุณเห็นข้อความ ‘Session timeout warning (คำเตือนการหมดเวลา)’ ปรากฏขึ้น ให้คลิกปุ่ม ‘Continue session (ดำเนินการต่อ)’ เพื่อขยายเวลาเพิ่ม
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา

การกรอกใบสมัคร eTA ออนไลน์

  1. เริ่มสมัครโดยเข้าเว็บไซต์ https://onlineservices-servicesenligne.cic.gc.ca/eta/welcome
  2. เข้าสู่หน้า การสมัครขออนุมัติการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (eTA)
  3. คุณสมัครในนามบุคคลอื่นหรือไม่

ในบทความนี้จะแนะนำวิธีลงทะเบียนสำหรับผู้ที่สมัครด้วยตนเอง ดังนั้นสำหรับคำถามนี้ จะต้องตอบ No (ไม่ใช่) หากคุณเป็นพ่อแม่/ผู้ปกครอง หรือตัวแทนที่สมัครขอ eTA ให้กับบุคคลอื่น คุณต้องตอบ ใช่ (Yes) และต้องกรอกรายละเอียดเพิ่มเติม

วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - สิ่งที่ต้องใช้สำหรับการสมัคร eTA แคนาดา
  1. เริ่มกรอกใบสมัคร คุณต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและถูกต้อง ถ้าข้อมูลไม่ตรงตามหนังสือเดินทางคุณจะไม่สามารถเดินทางได้ ใบสมัครมีแค่ภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น 
  2. คุณใช้เอกสารเดินทางอะไรในการเดินทางไปแคนาดา – ให้เลือกประเภทหนังสือเดินทางของคุณ
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - เริ่มกรอกใบสมัคร
  1. เลือกรหัสประเทศในหนังสือเดินทาง – สำหรับหนังสือเดินทางไทยให้เลือก THA (Thailand)
  2. คุณเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรโดยชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐอเมริกา โดยมีหมายเลขประประจำตัวที่แสดงสัญชาติและการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา (USCIS) ที่ถูกต้องหรือไม่
  • ถ้ามี ตอบ ใช่  – ไม่จำเป็นต้องสมัคร  eTA เมื่อเดินทางเข้าแคนาดา สามารถใช้แสดงเอกสารยืนยันการมีถิ่นที่อยู่ถาวรในสหรัฐอเมริกาได
  • ถ้าไม่มี ตอบ ไม่ใช่ และกรอกข้อมูลต่อ
  1. เลือกสัญชาติที่ระบุไว้ในหนังสือเดินทาง – สัญชาติไทยเลือก Thailand
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - กรอกข้อมูลรหัสประเทศ, ข้อมูลถิ่นที่อยู่ถาวรโดยชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐอเมริกา (USCIS) และสัญชาติ
  1. คุณเดินทางไปแคนาดาทางเครื่องบินหรือไม่

คุณต้องเดินทางไปแคนาดาทางเครื่องบินเท่านั้น ถึงสามารถสมัคร eTA ได้ หากเดินทางด้วยวิธีการอื่น คุณไม่สามารถสมัคร eTA และต้องไปขอวีซ่าเข้าประเทศแคนาดาตามปกติ

  1. ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คุณเคยมีวีซ่าแคนาดาแบบพำนักชั่วคราวหรือไม่ – ถ้าเคยมี ตอบ ใช่  ถ้าไม่เคยมี ตอบ ไม่ใช่
  2. ปัจจุบันคุณมีวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกาหรือไม่
  • ถ้าคุณไม่มีวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกา และไม่เคยมีวีซ่าแคนาดาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  คุณไม่สามารถสมัคร eTA ได้
  • ถ้าคุณไม่มีวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกา แต่เคยมีวีซ่าแคนาดาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คุณสามารถสมัคร eTA ได้
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - กรอกข้อมูลรหัสประเทศ, ข้อมูลถิ่นที่อยู่ถาวรโดยชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐอเมริกา (USCIS) และสัญชาติ

12. ถ้ามีวีซ่าสหรัฐอเมริกา กรอกรายละเอียดเพิ่มเติม – หมายเลขวีซ่าของสหรัฐอเมริกา และวันหมดอายุ

วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - กรอกรายละเอียดเพิ่มเติม ถ้ามีวีซ่าสหรัฐอเมริกา

13. ข้อมูลหนังสือเดินทาง – หมายเลขหนังสือเดินทาง ชื่อ-นามสกุล วันเกิด เพศ ประเทศเกิด เมืองเกิดวันที่ออกหนังสือเดินทาง วันที่หนังสือเดินทางหมดอายุ

กรอกข้อมูลหนังสือเดินทางของผู้สมัคร
  1. ข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัคร
  • สัญชาติ – เลือกประเทศที่คุณเป็นพลเมืองอยู่
  • คุณเคยยื่นขอวีซ่าหรือมีวีซ่า/eTA หรือมีใบอนุญาตให้ไปเยี่ยมเยียน อยู่อาศัย ทำงาน หรือศึกษาในแคนาดาหรือไม่
  1. ข้อมูลการติดต่อ
  • เลือกภาษาที่ต้องการใช้ในการติดต่อ – อังกฤษ/ฝรั่งเศส
  • อีเมล – ใส่อีเมลที่สามารถติดต่อได้ อีเมลนี้จะใช้ในการแจ้งผลการสมัคร
กรอกข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการติดต่อ
  1. รายละเอียดที่อยู่ – ใส่ที่อยู่ถาวรเท่านั้น ห้ามใส่ที่อยู่ชั่วคราวหรือตู้ไปรษณีย์
  2. รายละเอียดการเดินทาง
  • ถ้าทราบว่าจะเดินทางไปแคนาดาเมื่อไหร่ ตอบ Yes
  • ถ้ายังไม่ทราบตอบ No
กรอกรายละเอียดที่อยู่ และรายละเอียดการเดินทาง

18. การยืนยันของผู้สมัคร – อ่านคำประกาศหรือยืนยันว่ากรอกข้อมูลตามความเป็นจริง คลิกยอมรับ และพิมพ์ชื่อให้ตรงกับหนังสือเดินทาง

ทำการให้คำยินยอมและการยืนยันข้อมูลการลงทะเบียน
  1. หลังจากลงชื่อเรียบร้อยแล้วให้คลิก Proceed to Payment เพื่อดำเนินการจ่ายค่าธรรมเนียมการสมัคร
  2. พิมพ์ใบเสร็จค่าธรรมเนียมทันทีที่สมัครเสร็จ คุณจะไม่สามารถพิมพ์หรือขอสำเนาใหม่ในภายหลังได้
  3. คุณจะได้รับอีเมลยืนยันการสมัคร eTA ทางอีเมล หากไม่ได้รับอีเมล ให้ตรวจสอบโฟลเดอร์ Junk Mail ของคุณด้วย
  4. เมื่อได้รับอีเมลยืนยัน คุณสามารถตรวจสอบสถานะการสมัครได้ที่ https://onlineservices-servicesenligne.cic.gc.ca/eta/applicationQuery โดยกรอกหมายเลขใบสมัครที่ขึ้นต้นด้วยตัว V ดูจากอีเมลที่คุณได้รับหลังจากส่งใบสมัครแล้ว และกรอกหมายเลขหนังสือเดินทาง ประเทศที่ออกหนังสือเดินทาง

วันออกหนังสือเดินทาง และวันที่หนังสือเดินทางหมดอายุให้ตรงกับที่คุณกรอกในใบสมัคร

หลังจากชำระค่าธรรมเนียม ผู้ลงทะเบียนจะได้รับอีเมลยืนยัน
  1. เมื่อใบสมัครได้รับอนุมัติ คุณจะได้รับแจ้งผลทางอีเมล

**คุณควรตรวจสอบชื่อ นามสกุล และหมายเลขหนังสือเดินทางให้ตรงตามหนังสือเดินทางของคุณทันทีที่คุณได้รับอีเมลแจ้งผลอนุมัติ หากรายละเอียดดังกล่าวไม่ถูกต้อง คุณจะไม่สามารถเดินทางไปแคนาดาได้ ดังนั้นคุณจะต้องดำเนินการสมัครและขำระเงินใหม่ นอกจากนี้ถ้าคุณสมัครในเวลากระชั้นชิด คุณอาจไม่ได้รับอนุมัติ eTA ได้ทัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ

เมื่อใบสมัครได้รับการอนุมัติ ผู้ลงทะเบียนจะได้รับแจ้งทางอีเมล

eTA แคนาดาใช้เวลาในการพิจารณานานแค่ไหน

การสมัคร eTA เป็นการกรอกข้อมูลออนไลน์ ผู้สมัครส่วนใหญ่ได้รับการอนุมัติ eTA (ทางอีเมล) ในเวลาไม่นาน แต่บางกรณี อาจใช้เวลาดำเนินการหลายวัน ซึ่งจะมีอีเมลแจ้งให้ทราบถึงขึ้นตอนต่อไปที่คุณต้องดำเนินการต่อ ดังนั้น คุณควรรีบสมัคร eTA ทันทีที่คุณทราบกำหนดการเดินทาง และควรรอให้ได้รับอนุมัติก่อนที่จะจองเที่ยวบินไปแคนาดา

หลังจากคุณได้รับการอนุมัติแล้ว ข้อมูลหนังสือเดินทางของคุณจะถูกบันทึกอยู่ในระบบ และ eTA มีอายุ 5 ปี หรือจนกว่าหนังสือเดินทางจะหมดอายุ แล้วแต่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใดถึงก่อน คุณสามารถเดินทางเข้าประเทศแคนาดาได้ตลอดเวลาภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ระยะเวลาที่อยู่ในแคนาดาแต่ละครั้งต้องไม่เกิน 6 เดือน และหากคุณต้องทำหนังสือเดินทางใหม่ คุณจะต้องดำเนินการสมัครขออนุมัติ eTA ใหม่

เราหวังว่า วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง แบบละเอียดทุกขั้นตอน  จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวแคนาดา อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขการสมัครก่อนนะคะ หากมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข ก็สามารถดำเนินการสมัครได้เลยค่ะ ขอให้ทุกท่านผ่านการอนุมัติและเดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ

สิ่งสำคัญที่ควรมีในการเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Electronic Travel Authorization (eTA) – Canada.ca, Final Instructions Apply eTA – Canada.ca

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

8 สิ่งที่ควรรู้ สำหรับการเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง

8 สิ่งที่ควรรู้ สำหรับ การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวหรือต้องเดินทางบ่อย ๆ กระเป๋าเดินทางเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ใช้บรรจุเสื้อผ้า ของใช้จำเป็น หรืออุปกรณ์เสริมสำหรับการเดินทาง การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง ดี ๆ ซักใบ จะช่วยให้การเดินทางของคุณสะดวกสบายเพิ่มขึ้นหลายสเต็ป ไม่ต้องเหนื่อยกับการลากกระเป๋าเดินทางหรือกังวลว่าจะขนย้ายกระเป๋านเดินทางยังไง ทำให้ทริปของคุณสนุก เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจตามที่วางแผนไว้ Allianz Travel อยากให้คุณเริ่มต้นเดินทางได้อย่างถูกต้อง โดยเริ่มจากการเลือกกระเป๋าเดินทางที่เหมาะสมกับการเดินทางของคุณ เรามาดูกันว่า 8 สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง มีอะไรบ้าง

1. การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง จากรูปแบบของกระเป๋าเดินทาง

นักท่องเที่ยวมีหลายสไตล์ ทั้งสายชิลล์ สายเที่ยวในเมือง นอนโรงแรม หรือสายธรรมชาติ ชอบกางเต็นท์หรือนอนโฮสเทล ดังนั้น การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง ก็ต้องเลือกให้เหมาะกับรูปแบบการท่องเที่ยวของตนเอง เพื่อความสะดวกสบายในการท่องเที่ยวมากที่สุด

หากจัดทริปแบบที่มีการเดินทางหลายรูปแบบ ก็ควรใช้กระเป๋าเดินทางที่มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย การยกเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระบนเครื่องบิน บนรถไฟ รวมถึงบนรถบัสอีกด้วย และถ้าเป็นทริปที่มีการเดินเป็นส่วนมาก ควรเลือกกระเป๋าที่สามารถยกและเคลื่อนย้ายได้สะดวกในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินข้ามถนน การขึ้นบันได การขึ้นลิฟต์ การขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถไฟ เป็นต้น จึงควรเลือกกระเป๋าเป้แบบสะพายหลัง หรือเพิ่มฟังก์ชั่นแบบมีล้อในตัว เพราะสามารถเลือกสะพายหรือใช้ล้อลากก็ได้

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - รูปแบบของกระเป๋าเดินทาง

หากเดินทางด้วยเครื่องบิน ก็ต้องเช็คเรื่องการจำกัดน้ำหนักของกระเป๋า ทั้งกระเป๋าที่โหลดลงใต้เครื่องและกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง จึงควรเลือกกระเป๋าเดินทางที่สามารถถือได้ด้วยตนเอง สามารถยกขึ้นรถ เดินทางไปสนามบิน และเช็คอินได้อย่างสะดวก รวมถึงกระเป๋าใบที่ถือขึ้นเครื่อง ควรยกขึ้นเก็บบนช่องเก็บสัมภาระเหนือหัวได้อย่างสะดวก

หากเดินทางด้วยเรือ กระเป๋ามักจะถูกกองรวมกันไว้ในท้องเรือ ฉะนั้นจึงควรเลือกกระเป๋าที่มีความแข็งแรง เมื่อถูกวางทับด้วยกระเป๋าใบอื่น ๆ กระเป๋าจะไม่เปลี่ยนรูปและช่วยป้องกันของภายในกระเป๋าไม่ให้รับน้ำหนักมากเกินไป จนเกิดความเสียหายได้

2. การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง จากขนาดของกระเป๋าเดินทาง

เลือกขนาดของกระเป๋าเดินทางให้เหมาะสมกับสิ่งของที่จะใส่และระยะเวลาที่เราจะไปเที่ยว ที่สำคัญคือคุณควรเลือกกระเป๋าเดินทางที่มีขนาดโดยรวมที่คุณสามารถรับมือกับมันได้ เพราะบางครั้งอาจไม่มีใครช่วยคุณยกขึ้นลงและลากไปไหนต่อไหน เราไม่อยากให้คุณต้องปวดหลังหรือปวดแขนระหว่างเดินทาง คุณควรตรวจสอบขนาดและน้ำหนักของสัมภาระที่สายการบินที่คุณจะเดินทางอนุญาตให้นำไปด้วย เพราะแต่ละสายการบินมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - ขนาดของกระเป๋าเดินทาง
  • ขนาด 18-20” เป็นกระเป๋าขนาดมาตรฐานที่สามารถถือขึ้นเครื่องเมื่อเดินทางระหว่างประเทศ เหมาะอย่างยิ่งหากคุณต้องใช้บริการสายการบินยุโรปราคาประหยัด เช่น easyJet หรือ Ryanair ซึ่งมีกฎที่เข้มงวดมาก แต่สายการบินในประเทศสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้กระเป๋าขนาด 22 นิ้วขึ้นเครื่องได้ แต่ถ้าในทริปนั้น คุณวางแผนเดินทางขึ้นเครื่องเป็นหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ กระเป๋าใบเล็กอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
  • ขนาด 23-24” เป็นขนาดที่ต้องเริ่มโหลดลงใต้ท้องเครื่องบิน เหมาะสำหรับนักเดินทางที่เดินทาง 4-6 วัน และต้องการพื้นที่เพิ่มสำหรับซื้อของฝากหรือของที่ระลึก
  • ขนาด 25-27” กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ สำหรับเดินทางหลายวัน หรือต้องการเช็คอินกระเป๋าหนึ่งใบสำหรับสองคนหรือสำหรับครอบครัว คุณยังสามารถใส่สิ่งของของทุกคนลงในกระเป๋าเดินทางเหล่านี้หนึ่งหรือสองใบเพื่อให้หยิบจับได้ง่ายก็ได้ค่ะ
  • ขนาด 28-32” เป็นกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่มาก ซึ่งอาจดูใหญ่เทอะทะ และควบคุมยากเกินไปสำหรับการเดินทางแบบมาตรฐาน แต่ขอเตือนก่อนว่าอาจเกินข้อจำกัดด้านขนาดและน้ำหนักของสายการบิน ฉะนั้นอย่าลืมเช็คข้อกำหนดก่อนค่ะ

3. การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง จากวัสดุของกระเป๋าเดินทาง

กระเป๋าเดินทางแบบล้อลากโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ชนิด แบบ Soft Case (แบบผ้า) กับแบบ Hard Case (แบบแข็งที่ทำจากพลาสติก ABS, PC, PP หรืออลูมิเนียม) เราจะมาเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของกระเป๋าทั้ง 2 แบบให้ดูกัน

3.1 กระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case หรือแบบผ้า

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - กระเป๋าเดินทางแบบผ้า

ข้อดี: มีน้ำหนักเบากว่าและยืดหยุ่นต่อการใช้งาน ไม่เป็นรอยง่าย สามารถยัดใส่ช่องเก็บสัมภาระที่แคบและจำกัดได้ เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนไปช้อปปิ้งหรือมีเสื้อผ้าสิ่งของเยอะมาก เพราะกระเป๋าสามารถเพิ่มพื้นที่ความจุได้มากขึ้น นอกจากนี้บางรุ่นยังผลิตจากผ้าที่สามารถกันน้ำได้ด้วย

ข้อเสีย: ป้องกันการกระแทกได้น้อยกว่าแบบแข็ง หากถูกโยนหรือกระแทกแรง ๆ สัมภาระด้านในอาจเกิดการแตกหักได้ ถ้าถูกกดทับมาก ๆ รูปทรงกระเป๋าอาจเสียหายได้ง่าย หากฝนตกแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก นอกจากกระเป๋าจะเปียกโชกแล้ว ยังทำความสะอาดได้ยากอีกด้วย และอาจฉีกขาดได้หากทำมาจากวัสดุที่คุณภาพไม่ดีพอ บางรุ่นไม่สามารถกันน้ำได้

3.2 กระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case ที่ผลิตจากวัสดุพลาสติก ABS, PC, PP หรืออลูมิเนียม

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - กระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case

ข้อดี: รูปทรงสวยงาม ดีไซน์ได้หลายรูปแบบ มีความแข็งแรงทนทาน มีโครงสร้างกันกระแทก บางรุ่นอาจผลิตจากวัสดุพิเศษที่ทำให้กระเป๋ามีน้ำหนักเบาแต่ยังคงทนแข็งแรง มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขีดข่วนและแรงกระแทกได้ดีกว่ารุ่นก่อน ๆ ทำให้ของภายในไม่เสียทรงหรือเสียหาย หากเกิดแรงกดทับหรือการกระแทกแรง ๆ สามารถกันน้ำได้ และยังสามารถป้องกันขโมยได้ระดับหนึ่งเพราะกรีดเปิดได้ยาก

ข้อเสีย: ยากต่อการเก็บ เป็นรอยขีดข่วนได้ง่ายกว่าแบบผ้า นอกจากนี้หากกระเป๋าทำมาจากวัสดุที่คุณภาพไม่ดีหรือถูกมาก ๆ ก็อาจเกิดการแตกหักได้

3.3 กระเป๋าเป้แบ็คแพค

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - กระเป๋าเป้แบ็คแพค

ควรเลือกที่ทำจากผ้าที่ทนทานต่อการฉีกขาด มีรอยเย็บที่แข็งแรง น้ำหนักเบา แต่รับน้ำหนักได้ดี และมีโครงสร้างที่ซัพพอร์ตหลัง สะพายนาน ๆ แล้วไม่ปวดหลัง ไม่เมื่อย บางรุ่นกันน้ำกันฝนได้ ระบายอากาศได้ดี

4. ลักษณะของล้อลาก

กระเป๋าเดินทางแบบมีล้อลาก ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้ายกระเป๋า กระเป๋าเดินทางล้อลากรุ่นแรก ๆ มักมีสองล้อ แต่ปัจจุบันกระเป๋าหลายยี่ห้อทำแบบสี่ล้อ ที่ช่วยให้คุณมีทางเลือกในการเข็นและดึงกระเป๋าของคุณในหลายทิศทางได้อย่างง่ายดาย

4.1 กระเป๋าลากแบบ 2 ล้อ

ข้อดี: สะดวกมากหากต้องลากกระเป๋าไปบนทางที่ขรุขระไม่สม่ำเสมอ ควรเลือกล้อที่สามารถหมุนไปได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง นอกจากนี้เมื่อวางกระเป๋าตั้งตรง กระเป๋าจะไม่เลื่อนไหล มีประโยน์เมืองยืนอยู่บนทางลาดชัน 

ข้อเสีย: ต้องใช้กำลังแขนในการลากมากกว่าแบบ 4 ล้อ เพราะกระเป๋าต้องถูกลากอยู่ด้านหลังเท่านั้น ซึ่งหากกระเป๋าหนักมากและต้องลากเป็นเวลานานอาจทำให้ปวดข้อมือและไหล่ได้

4.2 กระเป๋าลากแบบ 4 ล้อ

ข้อดี: ประหยัดแรงในการลากกระเป๋า ไม่ทำให้ปวดข้อมือหรือไหล่ หากเป็นล้อที่สามารถหมุนได้ 360 องศา จะทำให้เคลื่นย้ายกระเป๋าได้ง่ายแม้ในพื้นที่ที่จำกัด เช่น บนรถไฟ บนทางเดินในเครื่องบิน และในลิฟต์

ข้อเสีย : ล้อลากที่ยื่นออกมานอกกระเป๋า อาจพังเสียหายได้ง่าย และด้วยความที่มี 4 ล้อ กระเป๋าจึงไม่สามารถวางบนทางลาดได้ นอกจากนี้การนำกระเป๋าขึ้นเครื่องบิน สายการบินจะวัดขนาดกระเป๋ารวมทั้งตัวกระเป๋าและล้อด้วย จึงควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระเป๋าของเราจะไม่มีขนาดที่ใหญ่เกิดข้อกำหนด

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - กระเป๋าเดินทางแบบมีล้อลาก

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • ควรเลือกล้อที่เป็นยางทั้งลูก มีตลับลูกปืน ล้อที่ฝังอยู่ในกระเป๋าจะพังยากกว่าล้อที่ยื่นออกมานอกกระเป๋า และล้อแบบคู่จะแข็งแรงทนทานกว่า 
  • เมื่อลองใช้กระเป๋าล้อลากบนพื้นเรียบ ๆ ของร้าน  ก็ต้องจำไว้ว่าคุณอาจต้องการใช้บนพื้นขรุขระหรือก้อนกรวด ซึ่งมันจะแข็งพอสำหรับสิ่งนั้นด้วยหรือไม่
  • เลือกกระเป๋าที่ล้อหมุนได้แบบ 360 องศา ซึ่งสามารถหมุนได้ฟรีสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นเดินหน้า ถอยหลัง หรือการเลี้ยวซ้ายขวาก็จะสะดวกกว่าล้อแบบธรรมดา ยิ่งต้องลากเดินระยะทางไกล ๆ จะช่วยผ่อนแรงได้ดีมาก ๆ สามารถลากแบบแนบลำตัวหรือลากแบบ 2 ล้อก็ได้ เพื่อความสะดวกในการลากมากที่สุด

5. เช็คน้ำหนักของตัวกระเป๋า

น้ำหนักสัมภาระจำกัดโดยเฉลี่ยสำหรับเที่ยวบินระยะไกลชั้นประหยัดคือ 23 กก. และสายการบินเริ่มเข้มงวดมากขึ้นกับน้ำหนักสัมภาระที่คุณต้องการโหลดลงเครื่อง ดังนั้นน้ำหนักของตัวกระเป๋าจึงเป็นสิ่งสำคัญ  หากตัวกระเป๋าเดินทางของคุณมีน้ำหนักมาก นั่นหมายความว่าคุณสามารถนำสิ่งของติดตัวไปได้น้อยลง หรือคุณต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อเพิ่มน้ำหนักของสัมภาระ ดังนั้นเมื่อคุณเลือกซื้อกระเป๋า นอกจากเรื่องความสวยงามถูกใจแล้ว ควรเช็คน้ำหนักของกระเป๋าเปล่าเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วยค่ะ

6. ซิป หูหิ้วและคันชัก

อย่าลืมตรวจดูซิปกระเป๋าให้ดีว่ามีความแข็งแรง เปิดง่ายไม่กินเนื้อผ้า กระเป๋าบางรุ่นจะมีซิป 2 ทิศทางทำให้สะดวกต่อการเปิดใช้งานอีกด้วย ควรเลือกกระเป๋าเดินทางที่มีซิปแบบ 2 ชั้น ช่วยป้องกันการโดนกรีดหรือซิปแตก

หูหิ้วกระเป๋าต้องมีความแข็งแรงสุด ๆ เพราะมันเป็นส่วนที่รับน้ำหนักของกระเป๋าทั้งใบเวลายก หูหิ้วควรเป็นแบบยึดเกาะติดกับตัวกระเป๋า ยืดหดได้เป็นอย่างดี จับได้ถนัดมือ 

กระเป๋าลากจะมีหูคันชักเพื่อให้สะดวกต่อการลาก ควรเลือกแบบที่สามารถปรับระดับความยาวได้เหมาะกับความสูงของเรา ควรเป็นคันชักที่ติดตั้งอยู่ในกระเป๋าเพราะพังยากกว่า และมีความแข็งแรงทนทาน อย่าลืมทดลองจับและลาก หากกระเป๋ายังชนกับขาของเราแสดงว่าความยาวของคันชักยังไม่สัมพันธ์กับความสูง และต้องลองดึงขึ้น เก็บลงจนมั่นใจว่าแข็งแรง ไม่มีปัญหาว่าจะพังเสียหายได้ง่าย ๆ

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - คันชักของกระเป๋าเดินทาง

7. ตัวล็อก

เลือกกระเป๋าเดินทางที่มีตัวล็อก TSA ซึ่งเป็นการล็อกด้วยรหัส เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันไม่ให้ใครก็ตามเปิดกระเป๋าของเราได้ ป้องกันการขโมยหรือการเปิดกระเป๋าเดินทางของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงปลอดภัยกว่ากระเป๋าที่ไม่มีตัวล็อกเลย แต่หากกระเป๋าเดินทางที่ใช้อยู่ไม่มีตัวล็อก ก็สามารถหาซื้อตัวล็อกกุญแจมาล็อกป้องกันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรมีขนาดใหญ่หรือสะดุดตามมากจนเกินไป เนื่องจากจะล่อตาล่อใจเหล่ามิจฉาชีพซึ่งอาจคาดเดาไปว่าของในกระเป๋าน่าจะมีมูลค่ามากมาย และเสี่ยงต่อการถูกขโมยได้

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - ตัวล็อกของกระเป๋าเดินทาง

8. การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง จากสีของกระเป๋า

คุณเคยสังเกตไหมว่ากระเป๋าเดินทางเกือบทั้งหมดเป็นสีดำ เพราะเป็นสีที่ไม่เห็นคราบสกปรกมากเท่ากับสีอื่น ๆ แต่เนื่องจากเป็นสีที่คนนิยมใช้กันมาก จึงอาจทำให้สับสนกับกระเป๋าของคนอื่น แต่หากเลือกกระเป๋าที่สีที่โดดเด่นสะดุดตา (หรือแท็กกระเป๋าที่โดดเด่น) จะช่วยให้เรามองหากระเป๋าตัวเองได้ง่ายขึ้นเวลากระเป๋าอยู่รวมกับกระเป๋าใบอื่น ๆ บนสายพาน และยังช่วยให้ไม่ถูกหยิบสลับสับเปลี่ยนไป ป้องกันการถูกขโมยได้ระดับหนึ่ง

การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - กระเป๋าเดินทางสีต่างๆ

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับ การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง

  • เก็บของมีค่าและเอกสารการเดินทางไว้ในกระเป๋าถือที่คุณสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา
  • ติดป้ายกันน้ำบนกระเป๋าแต่ละใบพร้อมข้อมูลติดต่อล่าสุดของคุณ หากกรณีที่กระเป๋าของคุณสูญหาย ก็จะมีโอกาสสูงที่คุณจะได้รับกระเป๋าคืนอย่างรวดเร็ว และอย่าลืมลบข้อมูลของทริปที่แล้วออกด้วย!
  • ตรวจเช็คกระเป๋าเดินทางของคุณทันทีที่คุณรับกระเป๋าลงจากสายพาน หากพบความเสียหาย ให้คุณถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน และติดต่อสายการบินหรือบริษัทประกันภัยของคุณ
  • ซื้อประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ ที่ครอบคลุมสัมภาระสูญหายหรือเสียหาย หรือสัมภาระล่าช้า
การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง - รับกระเป๋าเดินทางจากสายพาน

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องกระเป๋าเดินทางแล้ว แต่เราก็ยังต้องเตรียมตัวและข้าวของจำเป็นให้พร้อมก่อนเดินทางเพื่อให้การเดินทางของเราราบรื่น เที่ยวสนุก ปลอดภัย และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติมจากที่วางแผนไว้ และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ การซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ ที่จะช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่น ๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่



*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : traveladdicts.net, travelfashiongirl.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

วิธีเที่ยวไอซ์แลนด์ในราคาประหยัด Allianz Travel

21 วิธี เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

ไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักเดินทางทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทางที่มีประสบการณ์การเดินทางมาหลากหลายประเทศ นักเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรก หรือครอบครัวที่รักการผจญภัย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถเที่ยวรอบถนนวงแหวนของไอซ์แลนด์ ดำน้ำลึกตรงบริเวณแผ่นเปลื่อกโลกที่แยกตัวออกจากกัน ชิมอาหารทะเลท้องถิ่นในเรคยาวิก พักผ่อนในบลูลากูน และบ่อน้ำพุร้อนอื่นๆ รอบเกาะ เป็นเหตุผลที่คุณควรไปสัมผัสไอซ์แลนด์อย่างน้อยสักครั้งในชีวิต ทุกการเดินทางในไอซ์แลนด์จะนำสิ่งใหม่ๆ มาให้คุณเสมอ แต่ก็มีราคาแพงเช่นกัน Allianz Travel จึงได้รวบรวมเคล็ดลับการ เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด เริ่มตั้งแต่การวางแผนเที่ยว การหาข้อมูลการเดินทาง การจัดการค่าใช้จ่าย และการตั้งงบประมาณสำหรับการเดินทางของคุณ ที่รวมถึงเที่ยวบิน ที่พัก รถเช่า ร้านอาหาร การตั้งแคมป์ ซื้อของใช้จำเป็น การเติมน้ำมันรถ และการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในราคาถูก เรามีคำแนะนำที่ช่วยให้คุณใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนี่คือสิ่งที่เราเตรียมมาให้คุณ!

เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

1. เที่ยวไอซ์แลนด์นอกฤดูท่องเที่ยว

ฤดูร้อนเป็นช่วงที่วุ่นวายและแพงที่สุดในไอซ์แลนด์ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม โรงแรม กิจกรรม รถเช่า และบริการอื่นๆ มักจะมีราคาสูงขึ้นในช่วงเวลานี้ ถ้าคุณอยากจ่ายในราคาที่ถูกลงและเลี่ยงช่วงเวลาที่แออัดที่สุดในไอซ์แลนด์ คุณควรวางแผนเดินทางในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม

ที่เที่ยวไอซ์แลนด์

แต่ข้อดีของการไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อนก็คือช่วงนี้ไอซ์แลนด์มีสภาพอากาศดีที่สุด สถานที่ท่องเที่ยวและบริการต่างๆ เปิดให้บริการมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุดในแง่ของการขับรถ เดินป่า และตั้งแคมป์ และเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการชมสัตว์ป่าในไอซ์แลนด์ ดังนั้นคุณอาจต้องเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียก่อนที่จะตัดสินใจค่ะ

เที่ยวไอซ์แลนด์ฤดูร้อน

2. จองตั๋วเครื่องบินราคาถูก

หากวันเดินทางของคุณสามารถยืดหยุ่นได้ คุณก็จะได้เที่ยวบินในราคาที่ไม่แพง ตัวอย่างสายการบินราคาประหยัดไปยังไอซ์แลนด์ ได้แก่ Icelandair (สายการบินหลักของไอซ์แลนด์) และ Play (สายการบินที่เน้นราคาประหยัด) หากคุณไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศหรือใกล้เมืองที่ Icelandair หรือ Play ให้บริการ คุณอาจลองจองเที่ยวบินที่เชื่อมต่อไปยังเมืองเหล่านี้เพื่อใช้ประโยชน์จากค่าโดยสารราคาถูกก็ได้ค่ะ

สายการบิน IcelandAir

นอกจากนี้คุณควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสัมภาระและสิ่งที่รวมอยู่ในค่าตั๋วเครื่องบินด้วย เนื่องจากสายการบินราคาประหยัดส่วนใหญ่มีข้อกำหนดน้ำหนักและสัมภาระที่เข้มงวด คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสัมภาระเพิ่มเติมจากค่าตั๋วของคุณ ตัวอย่างเช่น ตั๋ว Iceland Air Economy Light ไม่อนุญาตให้โหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่อง เป็นต้น

หากคุณมีสัมภาระเยอะ ให้ซื้อน้ำหนักเพิ่มพร้อมกับตั๋วของคุณ คุณควรวางแผนจัดเตรียมของที่จะนำไปด้วยไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ทราบน้ำหนักโดยประมาณ จะได้ทราบค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มในส่วนนี้ มีหลายคนที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นจำนวนมากสำหรับค่าธรรมเนียมสัมภาระเพิ่มเติมที่สนามบิน เนื่องจากไม่ได้ว่างแผนไว้และไม่ได้ชำระเงินล่วงหน้า

3. เปรียบเทียบที่พักหลายๆ ตัวเลือก

หากคุณจองที่พักเอง อย่าลืมเปรียบเทียบตัวเลือกและพิจารณาตัวเลือกอื่นนอกเหนือจากที่คุณจองตามปกติ คุณสามารถประหยัดเงินได้โดยการเปรียบเทียบตัวเลือกที่พักจากในเว็บไซต์ที่ให้บริการการเปรียบเทียบต่างๆ อย่างเช่น  Booking.com, Hostel World, Vrbo หรือตรวจสอบเว็บไซต์ของโรงแรมเพื่อดูว่ามีข้อเสนอที่ดีกว่าหรือไม่

จองที่พักกับ Booking.com
ขอบคุณรูปภาพจาก : Booking.com

ในไอซ์แลนด์มีที่พักให้เลือกมากมาย ตั้งแต่โฮสเทล เกสต์เฮ้าส์ อพาร์ตเมนต์ เบดแอนด์เบรกฟาสต์ ไปจนถึงโรงแรม เรคยาวิกมีที่พักให้เลือกตั้งแต่ราคาประหยัดไปจนถึงหรูหรา แต่หากไปในเมืองที่มีประชากรน้อยของประเทศก็จะมีตัวเลือกน้อยกว่า

4. จองที่พักล่วงหน้า

การจองที่พักล่วงหน้าไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณประหยัดเงิน แต่คุณมีโอกาสเลือกได้หลากหลาย และได้ห้องพักที่อยู่ในงบประมาณของคุณ การจองที่พักในนาทีสุดท้าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอาจมีราคาแพงมาก และการขับรถวนหาที่พักไม่เคยสนุกเลย!

จองที่พักล่วงหน้า

แม้ว่าคุณจะยังไม่มั่นใจในแผนของคุณ 100% ก็ควรจองที่พักไว้ก่อน โดยเลือกจองในเว็บไซต์โรงแรมออนไลน์ที่ส่วนใหญ่อนุญาตให้คุณจองห้องพักในโรงแรม เกสต์เฮาส์ หรืออพาร์ตเมนต์ แล้วยกเลิกได้ เช่น Booking.com หากแผนของคุณเปลี่ยนแปลง คุณเพียงแค่ต้องยกเลิกภายในวันที่กำหนดตามที่ระบุไว้ในการจอง (โดยปกติจะแจ้งล่วงหน้า 24 ชั่วโมงถึง 1 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับที่พัก)

5. การตั้งแคมป์เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ราคาไม่แพง

การกางเต๊นท์ก็เป็นหนึ่งในที่พักที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ทำให้เราสามารถ เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด มากขึ้น ราคาจุดตั้งแคมป์อยู่ที่ประมาณ 250-650 บาทต่อคน/คืน บวกภาษีประมาณ 80 บาทต่อเต็นท์หรือรถตู้ และอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้บริการพิเศษ เช่น บริการซักรีด การกำจัดขยะ และห้องอาบน้ำ เป็นต้น

ที่ตั้งแคมป์ส่วนใหญ่ไม่รับจองล่วงหน้า และมักจะดำเนินการแบบมาก่อนได้ก่อน หากเดินทางในฤดูท่องเที่ยวที่คนเดินทางเยอะ ก็ไม่ควรไปถึงเย็นจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีจำกัดบางอย่าง เช่น คาราวานขนาดใหญ่ที่ต้องการน้ำและไฟฟ้า ที่ตั้งแคมป์บางแห่งอนุญาตให้ลงทะเบียนและเช็คอินระหว่างเวลาที่กำหนดได้ สถานที่ตั้งแคมป์หลายแห่งในไอซ์แลนด์ปิดให้บริการในฤดูหนาว ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบวันเวลาทำการและรายละเอียดของที่ตั้งแคมป์โดยละเอียดก่อนออกเดินทาง

เที่ยวไอซ์แลนด์โดยการตั้งแคมป์

คุณสามารถหาข้อมูลที่ตั้งแคมป์ในไอซ์แลนด์ได้จากเว็บ Camping หรือเว็บ Utilegukortid แต่ยังมีที่ตั้งแคมป์ขนาดเล็กอีกหลายแห่งทั่วประเทศที่ไม่ได้อยู่ในเว็บไซต์นี้คุณสามารถสอบถามเพิ่มเคิมได้จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในท้องถิ่นในพื้นที่เฉพาะของไอซ์แลนด์ หรือขอรายละเอียดและข้อมูลที่ตั้งแคมป์ได้จากบริษัทเช่ารถแคมป์ที่คุณเช่าในไอซ์แลนด์ 

หมายเหตุ: หากคุณมีบัตร Camping Card คุณสามารถพักค้างคืนที่จุดตั้งแคมป์กว่า 40 แห่ง แต่ละแห่งพักได้สูงสุด 4 วัน และใช้ได้นานถึง 28 คืน บัตร 1 ใบใช้ได้สำหรับผู้ใหญ่สูงสุด 2 คน รวมเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีสูงสุด 4 คน บัตรนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้อย่างมากหากคุณตั้งแคมป์เป็นเวลาหลายวัน

6. เปรียบเทียบวิธีท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ก่อนตัดสินใจ

การ เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด นอกจากเรื่องวิธีการเดินทางที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้แล้ว การลดค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ ยังขึ้นอยู่กับอีกหลายสิ่ง เช่น จำนวนคนในกลุ่มเดินทาง ช่วงเวลาของปี และจำนวนวันที่อยู่ในไอซ์แลนด์ เป็นต้น ถึงแม้ว่างบประมาณจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่คุณยังต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายในการเดินทาง จำนวนวันในการเดินทาง ระยะเวลาในการวางแผน และปัจจัยสำคัญอื่นๆ ด้วย เรามีตัวเลือกสำหรับการวางแผนการท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ให้กับคุณค่ะ

เช่ารถขับเที่ยวในไอซ์แลนด์

เที่ยวกับทัวร์

ซื้อทัวร์พร้อมไกด์ไปยังสถานที่ที่คุณต้องการไป อย่างเช่น ทริปถนนวงแหวน 6 วัน หรือ 10 วัน คุณจะมีคนมาช่วยดูแลเรื่องกำหนดการเดินทาง โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และวิธีการเดินทาง วิธีนี้จะช่วยให้คุณสะดวกสบาย และถึงแม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าการวางแผนทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่การซื้อทัวร์จะช่วยให้คุณประมาณการค่าใช้จ่ายหลักทั้งหมดได้ก่อนที่จะเริ่มการเดินทาง 

เที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับ

เริ่มจากไปหาที่พักที่เมืองใดเมืองหนึ่งก่อน แล้วเดินทางจากที่นั่น คุณสามารถเช่ารถและขับเองหรือจองทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับก็ได้ ตัวอย่างเช่น พักที่เรคยาวิก แล้วไปเที่ยวทางตะวันตกและทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์แบบไปเช้าเย็นกลับ หรือพักที่อาคูเรย์รี แล้วไปเก็บที่เที่ยวทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์

เช่ารถขับเอง

วางแผนการเดินทาง เลือกกิจกรรม จองที่พักเอง และควบคุมงบประมาณของคุณเอง

ขับรถเที่ยวเองในไอซ์แลนด์

แพ็คเกจขับรถเที่ยวเอง

หากคุณต้องการขับรถด้วยตัวเอง แต่ไม่อยากเหนื่อยวางแผน คุณสามารถจองแพ็คเกจขับเที่ยวเองที่ให้บริการจองรถเช่า โรงแรม และทัวร์ต่างๆ ไว้ให้คุณ โดยที่คุณแจ้งกำหนดการเดินทางที่คุณต้องการไปให้กับทางบริษัทจัดการไว้ให้ล่วงหน้า คลิกที่นี่ เพื่อดูไอเดียของแพคเกจทัวร์แบบนี้ค่ะ

7. เดินทางโดยใช้การขนส่งสาธารณะ

ผู้ที่ต้องการเดินทางรอบไอซ์แลนด์ เครือข่ายการขนส่งสาธารณะ จะเชื่อมต่อเมืองใหญ่ทุกเมือง เส้นทางรถประจำทางในเมืองเรคยาวิกและส่วนใหญ่ในประเทศให้บริการโดยบริษัท Strateo ที่มีเส้นทางครอบคลุมได้เป็นอย่างดี และราคาไม่แพงนักเมื่อเทียบกับแท็กซี่หรือรถเช่า เช็คราคาค่าโดยสารได้จากที่นี่ คุณสามารถตรวจสอบตารางเวลาและวางแผนเส้นทางได้ด้วยการดาวน์โหลดแอป straeto หรือถ้าคุณมี Reykjavik City Card คุณสามารถนำมาโช้เพื่อขึ้นรถเมล์ฟรีได้

เที่ยวโดยรถประจำทางในไอซ์แลนด์ Iceland

8. ซื้อตั๋วรถบัส Hop-on Hop-off

คุณสามารถทัวรไอซ์แลนด์ได้โดยขึ้นรถบัส Hop-On Hop-Off ตั๋วเหมาสุดคุ้มที่ใช้ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว ให้บริการทั่วประเทศ รับและส่งผู้โดยสารที่จุดเดินป่ายอดนิยมและสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ แวะสถานที่ที่คุณชื่นชอบและสำรวจสิ่งมหัศจรรย์ของไอซ์แลนด์ตามตารางเวลาของคุณเอง เป็นวิธีที่ดีและประหยัดที่สุดในการสำรวจไอซ์แลนด์อย่างเต็มที่ คุณสามารถเลือกเส้นทางที่คุณชอบและจัดกระเป๋าออกไปผจญภัยกันได้เลย!

นอกจากนี้ยังมีบริการบัตรโดยสารรถบัสสำหรับปีนเขาแบบพิเศษและบริการต่างๆ ที่นำเสนอผ่าน Trex และ Thule Travel ในช่วงฤดูร้อน หากคุณวางแผนที่จะเดินทางด้วยรถบัสหลายวันหรือมากกว่านั้น ตรวจสอบเส้นทางและตารางเวลาเพื่อดูว่าคุ้มค่าสำหรับการเดินทางของคุณหรือไม่ คุณสามารถซื้อบัตรโดยสารเหล่านี้ได้ทางออนไลน์หรือเมื่อคุณอยู่ในเรคยาวิก

9. เดินทางเป็นหมู่คณะ

การเดินทางเป็นกลุ่มเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณต้องการประหยัดเงินในการเดินทาง เพราะคุณสามารถแชร์ค่าใช้จ่ายได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่การทำอาหาร ที่พัก รถเช่า ไปจนถึงการซื้อทัวร์ส่วนตัวได้ในราคาถูกลง หากคุณยังหาคนร่วมเดินทางไปไม่ได้ และไม่รังเกียจที่จะเดินทางกับคนแปลกหน้า คุณอาจไปหาจากกลุ่มต่างๆ ที่พูดคุยกันเรื่องเที่ยวไอซ์แลนด์ เพื่อดูว่ามีใครกำลังมองหาเพื่อนเดินทางไปเที่ยวไอซ์แลนด์อยู่หรือไม่ โฮสเทลเป็นอีกสถานที่ที่เหมาะในการหาคนที่มีความสนใจเหมือนกีน และอยากแชร์ค่ารถเช่าหรือค่าที่พักด้วย

เดินทางเป็นหมู่คณะ เป็นกลุ่ม ท่องเที่ยวใน Iceland

หากคุณหาเพื่อนร่วมเดินทางที่ถูกใจไม่ได้ คุณอาจลองดูทัวร์รถบัสแบบกลุ่มที่อาจดูเหมือนแพงเกินงบประมาณของคุณ แต่ราคามักจะรวมค่าใช้จ่ายหลักเกือบทั้งหมดในการเดินทางของคุณ ซึ่งรวมถึงค่าเดินทาง ไกด์ ที่พัก การขนส่งกระเป๋า ค่าเที่ยวชมสถานที่ และอาหารเช้า สิ่งเหล่านี้อาจจบลงด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า (หรือประมาณราคาเดียวกัน) กว่าการทำเองทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเดินทางคนเดียว

หมายเหตุ: หากคุณเดินทางเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป คุณจะมีตัวเลือกที่จำกัดมากขึ้นทั้งในด้านการเดินทางและที่พัก สิ่งนี้สามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อคนได้

เที่ยวใน Iceland

10. หาข้อมูลเกี่ยวกับรถเช่า

หากคุณตัดสินใจว่าต้องการเช่ารถขับในไอซ์แลนด์ คุณสามารถประหยัดเงินได้โดยการเปรียบเทียบราคารถ จองรถล่วงหน้า ลดจำนวนวันเช่าโดยวางแผนใช้รถเฉพาะวันที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลือกประกันรถยนต์ของคุณ และคุณต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้รถของคุณเสียหาย เนื่องจากบริการและค่าซ่อมรถในไอซ์แลนด์มีราคาแพงมาก

นอกจากนี้คุณควรตรวจสอบสภาพอากาศในวันเดินทางเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากอากาศในไอซ์แลนด์เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและคาดเดาไม่ได้ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณปลอดภัยบนท้องถนนเท่านั้น แต่การหลีกเลี่ยงสภาพอากาศเลวร้ายและสภาพถนนที่ย่ำแย่สามารถป้องกันไม่ให้คุณสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อค่าเช่าของคุณ คุณสามารถเช็คได้จากเว็บ Safetravel.is หรือ road.is

11. แชร์ค่าใช้จ่ายแบบคาร์พูล

รถเช่าหรือรถบัสนำเที่ยวอาจแพงเกินกว่างบประมาณที่คุณตั้งไว้ แต่คุณสามารถใช้การเดินทางแบบ Car Pool โดยไปกับผู้ที่มีรถและกำลังมองหาผู้โดยสารคนอื่นเพิ่มเพื่อแชร์ค่าใช้จ่าย หรือคุณจะประกาศหาเพื่อนร่วมทางที่จะแชร์ค่าใช้จ่ายกับคุณก็ได้ คุณสามารถหาเพื่อนร่วมเดินทางแบบคาร์พูลได้จากเว็บไซต์ชื่อ Samferda โดยแจ้งขอโดยสารไปกับคนอื่น (คุณไม่มีรถยนต์แต่ต้องการเข้าร่วมคาร์พูล) หรือประกาศหาผู้ร่วมเดินทางไปสถานที่เดียวกันในไอซ์แลนด์ก็ได้ (คุณมีรถยนต์ แต่ต้องการผู้โดยสารไปกับคุณ) คุณควรคุยเรื่องค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนว่าจะแชร์ค่าใช้จ่ายกันอย่างไรก่อนออกเดินทาง คุณอาจใช้ตัวเลือกนี้สำหรับการเดินทางครั้งเดียวสั้นๆ เช่นการไปสนามบิน หรือการเดินทางทั้งทริปก็ได้

12. เตรียมของไปให้พร้อมเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

การเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณเตรียมพร้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณประหยัดเงินอีกด้วย โดยคุณควรมีอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น กระเป๋ากันความชื้นหรือผ้าคลุมกันน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ของราคาแพง เช่น กล้อง โทรศัพท์ เกิดความเสียหาย เสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวคุณภาพสูง และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ เช่น กระติกน้ำ ผ้าขนหนู เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ตั้งแคมป์ และอื่นๆ เพราะของในไอซ์แลนด์มีราคาแพงกว่าประเทศอื่นๆ

สิ่งของที่ต้องเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวต่างประเทศ, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

ผู้ที่เดินทางในฤดูหนาวจะต้องเตรียมพร้อมเป็นพิเศษสำหรับฝน หิมะ ลม และอากาศที่หนาวเย็น และถึงแม้ในฤดูร้อน โดยทั่วไปจะไม่หนาวจัด คุณจึงไม่ต้องการอุปกรณ์กันหนาวเต็มรูปแบบ แต่หากคุณไม่ชินกับอากาศหนาวก็อาจหนาวได้ ดังนั้นคุณยังคงต้องเตรียมพร้อมสำหรับสภาพอากาศหนาวเย็นที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ นอกจากนี้คุณจะต้องเตรียมแว่นกันแดด (หรือหมวก) และผ้าปิดตา เพราะพระอาทิตย์เที่ยงคืน (ที่ดวงอาทิตย์จะตกเพียงช่วงเวลาสั้นๆ) อาจทำให้นอนหลับยากในตอนกลางคืน 

ดังนั้นจึงควรวางแผนและหาข้อมูลล่วงหน้า เช่น ตรวจสอบสภาพอากาศ กิจกรรมที่คุณต้องการทำ เพื่อให้ทราบว่าคุณต้องเตรียมอะไรสำหรับการเดินทางไปบ้าง คุณคงไม่อยากเช่าหรือซื้อของ เช่น กล้องส่องทางไกล ถุงมือ ชุดว่ายน้ำ ไม้เท้าเดินป่า หรือแว่นตาเล่นสกี หากคุณมีอยู่แล้ว

13. หาร้านอาหารที่ราคาไม่แพง

ไอซ์แลนด์ไม่มีที่รับประทานอาหารที่เรียกได้ว่า “ราคาถูก” แต่คุณอาจหาที่ที่สามารถจ่ายเงินน้อยกว่าที่อื่นได้ ราคาอาหารเรียกน้ำย่อยและอาหารจานหลักมื้อค่ำสำหรับ 1 คนในร้านอาหารทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท และยังไม่รวมเครื่องดื่ม

อาหารราคาถูกในไอซ์แลนด์หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น แซนวิช สลัด ขนมขบเคี้ยว ร้านฟาสต์ฟู้ด เช่น Subway ร้านอาหารท้องถิ่น และร้านอาหารในปั๊มน้ำมัน พิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งมีร้านกาแฟหรือร้านอาหาร ที่มีอาหารที่ราคาสมเหตุสมผล เช่น แซนด์วิช ซุป วาฟเฟิล และเค้ก

ร้านอาหารในปั๊มนำ้มัน Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

อาหาร 3 มื้อ / วัน / คนสำหรับงบประมาณที่ไม่จำกัดมากนักจะอยู่ที่ประมาณ 1,500-1,800 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการเดินทางอย่างไรและคุณชอบกินที่ไหน และแบบไหน

14. ทำอาหารทานเอง

ถ้าคุณจองที่พักที่มีส่วนที่ทำอาหารเองได้ คุณจะประหยัดเงินได้มากหากคุณไปซื้อของมาทำอาหารทานเองเมื่อเทียบกับการรับประทานอาหารที่ร้าน ซูเปอร์มาร์เก็ตในไอซ์แลนด์มีราคาแพงกว่าสถานที่ส่วนใหญ่ในยุโรป หากคุณอยากทราบราคาคร่าวๆ ของสินค้าพื้นฐานในเมืองเรคยาวิก เช่น กล้วย กางเกงยีนส์ น้ำมัน ราคาอาหารในร้านอาหาร ไวน์ เป็นต้น คุณสามารถตรวจสอบราคาสินค้าโดยเฉลี่ยได้จากเว็บไซต์ Numbeo

ทำอาหารทานเอง ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

ซูเปอร์มาร์เก็ตราคาประหยัดในไอซ์แลนด์ ได้แก่ Bónus, Nettó, Kronan ซึ่งมีแบรนด์ราคาประหยัดสำหรับของใช้จำเป็น เช่น มัสตาร์ด กาแฟ หรือกระดาษเช็ดมือ เช่น แบรนด์ราคาประหยัดของ Bónus คือ Euro Shopper และที่ Nettó คือแบรนด์ Coop และ X-tra

Supermarket ใน Iceland เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

15. เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไอซ์แลนด์มีราคาแพงมาก วิธีประหยัดเงินที่ดีที่สุดคือการไม่ดื่มเลย แต่ถ้านั่นไม่ใช่คำตอบของคุณ คุณก็อาจหาตัวเลือกการดื่มที่ถูกที่สุด อย่างเช่นซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินนานาชาติเคฟลาวิกเมื่อคุณมาถึง หรือหากคุณต้องการทานที่ร้าน ลองเช็คช่วง Happy Hours ที่อาจลดราคาได้ถึง 50% แต่ส่วนใหญ่มักจะมีในเมืองใหญ่ๆ เช่น Reykjavík หรือ Akureyri 

ท่องเที่ยว Iceland

16. ดื่มน้ำประปา

เราสามารถดื่มน้ำประปาได้ฟรีและปลอดภัยทั่วประเทศไอซ์แลนด์ น้ำดื่มในไอซ์แลนด์มีคุณภาพสูงมาก ในร้านกาแฟ ปั๊มน้ำมัน และร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดหลายแห่งมักมีเหยือกน้ำวางอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อให้ลูกค้าเทดื่ม หรือยกไปที่โต๊ะได้เอง แต่ถ้าไม่มีวางไว้ให้ คุณก็ขอได้ค่ะ

ดื่มน้ำประปาแทนการซื้อน้ำที่มีราคาแพง, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

คุณควรนำขวดน้ำที่ใช้ได้ซ้ำติดตัวไปด้วย เพื่อที่คุณจะได้นำไปเติมน้ำจากก๊อกได้ คุณจะไต้ไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องดื่มหรือซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด 

เพิ่มเติม: น้ำร้อนบางแห่งในไอซ์แลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรคยาวิก เป็นน้ำร้อนใต้พิภพที่สูบขึ้นมาจากพื้นดินโดยตรง ดังนั้นจึงมีกลิ่นและรสชาติของกำมะถัน คุณสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัยแต่รสชาติไม่ดีนัก และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ดื่ม อย่างไรก็ตาม น้ำเย็นมาจากแหล่งอื่นและดื่มได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีกลิ่นหรือรสไม่ดี

17. ใช้บัตรส่วนลดสำหรับเติมน้ำมัน

หากคุณอยู่ในเมืองที่มีสถานีบริการน้ำมันหลายแห่ง คุณสามารถเลือกเติมน้ำมันที่ที่ราคาถูกกว่าที่อื่น แบรนด์หลักที่เห็นบ่อยในไอซ์แลนด์คือ Olis และ N1 แต่ก็มีแบรนด์อื่นๆ เช่น Shell, Skeljungur และ Orkan อย่างไรก็ตาม คุณมักจะไม่มีตัวเลือกมากนักในเมืองเล็กๆ

ปั๊มน้ำมันใน Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

อีกวิธีในการประหยัดเงินคือใช้บัตรส่วนลดสำหรับปั๊มน้ำมันที่มีหลายสาขา ถ้าคุณเช่ารถ กุญแจรถของคุณมักจะมาพร้อมกับบัตรส่วนลดของสถานีบริการน้ำมัน หากไม่มีก็สามารถรับได้ที่สถานีบริการน้ำมันเลย เช่น ที่ปั๊ม Olis คุณจะได้ส่วนลดน้ำมัน 3% และส่วนลดร้านอาหารสูงสุด 10% ส่วนลดใช้ได้กับเกือบทุกอย่างในปั๊มน้ำมัน ซึ่งมักจะมีของเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนม อุปกรณ์ตกแต่งรถ ของใช้ทั่วไป ของที่ระลึก อุปกรณ์การเดินทาง (แผนที่ หนังสือนำเที่ยว) และอาหาร 

เพิ่มเติม: ในเมืองเล็กๆ และนอกเวลาทำการปกติ ปั๊มน้ำมันหลายแห่งไม่มีพนักงาน ดังนั้นคุณต้องมีบัตรเครดิตที่มีรหัส PIN 4 หลัก หากคุณไม่มีบัตรเครดิตหรือไม่ได้ตั้งค่า PIN (แนะนำให้ทำก่อนการเดินทาง) บางปั๊มจะมีบัตรเติมเงินที่คุณสามารถเติมเงินไว้ก่อนได้ เช่น ปั๊ม N1

18. เข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งของไอซ์แลนด์สามารถเข้าได้ฟรี เช่น น้ำตก ชายหาด สวน งานศิลปะสาธารณะ โบสถ์ อนุสาวรีย์ น้ำพุร้อน และทุ่งลาวา นอกจากนี้ ในเมืองเรคยาวิกก็มีกิจกรรมมากมายให้เข้าร่วมได้ฟรี ตัวอย่างเช่น ทัวร์เดินชมเมือง ชมโบสถ์ Hallgrímskirkja (เสียค่าธรรมเนียมขึ้นไปบนหอคอยโบสถ์อีกเล็กน้อย) ชมสวนพฤกษศาสตร์ เดินป่ารอบๆ เนินเขา Öskjuhlíð เที่ยวตลาดนัด Kolaportið ในวันหยุดสุดสัปดาห์ และเข้าใช้สระน้ำร้อนฟรีในฤดูร้อน

สถานที่ท่องเที่ยว น้ำตก Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

อย่าลืมเช็ควันเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรี เทศกาล คอนเสิร์ต หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของคุณ โดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ฤดูร้อนในเมืองอย่างเรคยาวิกและอาคูเรย์รีที่มักจะมีกิจกรรมฟรีเกิดขึ้นเสมอ!

สถานที่ท่องเที่ยว ชายหาด Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

19. ใช้ประโยชน์จากบัตรส่วนลดและคูปอง

เช็คบัตรโดยสารลดราคา ข้อเสนอพิเศษ และคูปองต่างๆ ในเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของคุณ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณซื้อตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง คุณจะได้ส่วนลดสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงด้วย

ตัวอย่างบัตรส่วนลดและคูปองที่ควรเช็คดูในไอซ์แลนด์:

  • Reykjavík City Card – เข้าชมพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งภายในเมืองเรคยาวิกได้ฟรี รวมถึง Árbæjarsafn (พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง) สวนสัตว์และสวนสาธารณะเรคยาวิก พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะไอซ์แลนด์ นอกจากนี้ยังเข้าใช้บริการสระน้ำร้อนและซาวน่าสาธารณะของเมืองฟรี บริการรถบัสฟรีภายในเมือง รวมถึงส่วนลดร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยว คุณจะประหยัดเงินได้ไม่น้อย หากคุณวางแผนที่จะขึ้นรถบัสและเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในเมือง
Reykjavík City Card 24 hours, Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด
ขอบคุณรูปภาพจาก : reykjavikcityguide.is
Reykjavík City Card 48 hours, Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด
Reykjavík City Card 72 hours, Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด
  • คูปองไอซ์แลนด์ – คูปองที่มาเป็นเล่มหรือจะดาวน์โหลดจากแอพก็ได้ คุณจะได้ส่วนลดมากมายที่ใช้ได้กับสถานที่ท่องเที่ยวและบริการต่างๆ ในไอซ์แลนด์ รวมถึงร้านอาหาร บริการรถเช่า สปา บาร์ และทัวร์ คูปองเล่มละประมาณ 350 บาท ซึ่งบางครั้งใช้คูปองเพียงใบเดียวก็คุ้มค่าแล้ว ข้อดีคือคุณสามารถเช็ครายละเอียดคูปองทางออนไลน์ได้ก่อนที่จะซื้อ เพื่อดูว่าคุณจะประหยัดเงินได้หรือไม่
Icelandic Coupons, Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด
ขอบคุณรูปภาพจาก : coupons.is
Discount Coupon in Icelandic Coupons Application, Iceland
More Discount Coupon in Icelandic Coupons Application, Iceland
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะเรคยาวิก – ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ 3 แห่ง หากคุณซื้อบัตรเข้าชม 1 แห่ง คุณจะได้เข้าชมอีก 2 แห่งฟรี บัตรเข้าชมมีอายุ 24 ชั่วโมงสำหรับ Hafnarhús, Kjarvalsstaðir และพิพิธภัณฑ์ประติมากรรม Ásmundur Sveinsson ซึ่งเป็นราคาที่คุ้มค่าสำหรับคนรักศิลปะเลยค่ะ

20. ใช้เงินบ้างเพื่อประสบการณ์ที่น่าจดจำ

โชคดีที่มีสิ่งให้ทำฟรีมากมายในไอซ์แลนด์! แต่เราขอแนะนำให้คุณเลือกสิ่งพิเศษสักหนึ่งหรือสองอย่างเพื่อดื่มด่ำไปกับประสบการณ์พิเศษในขณะที่อยู่ในไอซ์แลนด์ ตัวอย่างเช่น ไปแช่น้ำร้อนที่บลูลากูน สปาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก การปีนธารน้ำแข็ง การดำน้ำตื้นระหว่างแผ่นเปลือกทวีปโลก ซาฟารีกวางเรนเดียร์ ทัวร์ล่องเรือชมวาฬและนกพัฟฟิน ทัวร์ล่าแสงเหนือด้วยรถจี๊ป ทัวร์เดินดื่มเบียร์ หรือสำรวจถ้ำน้ำแข็ง หรืออาจจะเป็นวันสำรวจพิพิธภัณฑ์ในเรคยาวิก การแสดงยามเย็นที่ Harpa นอนค้างในกระสวยอวกาศที่ Galaxy Pod Hostel หรือออกไปรับประทานอาหารค่ำสุดหรูนอกบ้านสักมื้อหนึ่ง

Ice Cave in Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด
Northern Light in Iceland, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

21. เตรียมตัวให้พร้อม!

สุดท้ายนี้คือคุณต้องหาข้อมูล และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางของคุณ สิ่งที่ทำให้หลายคนต้องจ่ายเงินมากกว่าที่คาดไว้เพราะพวกเขาไม่ได้หาข้อมูลการเดินทางมากนักก่อนการเดินทาง ถ้าคุณวางแผน เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด คุณไม่จำเป็นต้องวางแผนการเดินทางทุกวัน แต่อย่างน้อยทำการบ้านสักเล็กน้อย เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์ไว้บ้าง รู้ว่าที่ไหนที่คุณอยากไปอย่างแน่นอน เข้าใจอัตราการแปลงสกุลเงินและราคาของสิ่งต่างๆ จองทัวร์ล่วงหน้า ตรวจสอบพยากรณ์อากาศและสภาพถนน และเตรียมของใช้จำเป็นไปด้วย จะช่วยให้คุณประหยัดเงินและท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ได้อย่างสนุกมากขึ้น

วางแผนการเดินทาง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง, เที่ยวไอซ์แลนด์ราคาประหยัด

การเดินทางไปในประเทศที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน ก็อาจทำให้เราเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน อาจทำให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายจนทำให้งบประมาณของเราบานปลาย สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Independenttravelcats.com, lonelyplanet.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

ทำความรู้จักกับซูชิ อาหารญี่ปุ่น ยอดนิยม

ทำความรู้จักกับซูชิ อาหารญี่ปุ่น ยอดนิยม

เมื่อพูดถึงอาหารญี่ปุ่น เกือบจะทุกคนต้องนึกถึงซูชิมาก่อนเป็นอันดับแรกๆ นอกจากเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษแล้ว ซูชิยังเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมสำหรับคนไทยและอีกหลาย ๆ ชาติทั่วโลก 

ซูชิเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และกรดโอเมก้าสูง การทำซูชิเกือบจะเหมือนกับงานศิลปะที่ผ่านการฝึกฝนมาหลายทศวรรษ วันนี้ Allianz Travel จะพาไปรู้จักกับซูชิกันให้มากขึ้น ทั้งประเภทของซูชิ รวมถึงเคล็ดลับและมารยาทในการรับประทานซูชิที่ถูกต้องด้วย เพื่อให้คุณได้ทั้งความอร่อยและอิ่มเอมกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปพร้อม ๆ กัน

ประวัติของซูชิ

ต้นกำเนิดของ “ซูชิ” มาจากความต้องการที่จะถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น เริ่มจากรูปแบบของการเก็บรักษาปลาที่นำเข้ามาในญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 8 จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการห่อปลาที่ควักไส้ออกหมดในข้าวหมัก ทำให้สามารถเก็บปลาไว้ได้นานหลายเดือน และภายหลังก็ได้มีการพัฒนารูปแบบมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นซูชิที่มีลักษณะและรูปแบบที่หลากหลายตามวัฒนธรรมและรูปแบบการทำอาหารของแต่ละภูมิภาคในประเทศญี่ปุ่น

อาหารญี่ปุ่น ซูชิ แซลมอน

ประเภทของซูชิ

ซูชิในญี่ปุ่นมีหลากหลายประเภทจนยากที่จะบอกจำนวนที่แน่ชัดได้ เพราะมีวิธีการปรุงซูชิที่แตกต่างกันมากมาย และยังมีซูชิระดับภูมิภาคทั่วประเทศที่ใช้อาหารพื้นเมืองมาใส่ประกอบกันด้วย เช่น อาหารทะเลบางชนิดที่มีอยู่แค่ในบางพื้นที่

1. นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi)

นิงิริซูชิ เป็นซูชิหน้าตามาตรฐานที่คนส่วนใหญ่รู้จัก มีความหมายว่า “ซูชิแบบใช้มือปั้น” นิงิริซูชิทําจากข้าวปั้นก้อนเล็กๆ โปะหน้าด้วยปลาดิบที่โชว์สีสันสดใสน่าทาน นอกจากใช้ปลาหลากหลายชนิดแล้ว ยังใช้วัตถุดิบอื่นๆ อย่างเช่น กุ้ง ปลาหมึก ไข่หวานญี่ปุ่น (ทามาโกะยากิ) เนื้อดิบหรือเนื้อที่จี่พอสุก และอาจป้ายวาซาบิไว้ระหว่างข้าวและหน้าที่โปะอยู่ด้านบนเพื่อเพิ่มรสชาติเข้าไปด้วยก็ได้ นิงิริซูชิทีดีนั้นจะมีสมดุลย์ของปริมาณข้าว รสชาติของข้าว วาซาบิ และปริมาณเนื้อปลา เป็นศาสตร์อาหารที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างเข้มงวด นิงิริซูชิที่เป็นที่นิยมได้แก่

• แซลมอนนิงิริ ประกอบด้วยปลาแซลมอนดิบชิ้นหนาโปะบนข้าวที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู หรือคนที่ไม่ชอบกินเนื้อปลาดิบ ก็อาจรับประทานในรูปแบบ “อาบูริ” ที่เอาปลาแซลมอนไปย่างไฟเร็วๆ ก่อนเสิร์ฟ 

• มากุโระนิงิริ หรือ ปลาทูน่านิงิริ เป็นหนึ่งในปลาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีหลายประเภทตามสายพันธุ์และเนื้อปลาส่วนต่างๆ ทําให้ปลาทูน่านิงิริมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย เช่น ปลาทูน่านิกิริที่ผอมที่สุดเรียกว่า “อาคามิ” ซึ่งโดยทั่วไปจะมีสีแดงและเนื้อสัมผัสเหนียว “Chutoro” เป็นปลาทูน่าที่อ้วนกว่าและมีสีอ่อนกว่าเล็กน้อย การตัดไขมันที่สุดเรียกว่า “otoro” ซึ่งมักจะเป็นสีชมพูอ่อนและนุ่มพอที่จะละลายในปาก

อาหารญี่ปุ่น : นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi)

2. มากิซูชิ (Maki Sushi)

มากิซูชิหมายถึง “ซูชิม้วน” หรือ “Sushi Roll” ซึ่งเรียกจากวิธีที่ทำซูชิชนิดนี้ โดยเริ่มจากการวางส่วนผสมต่างๆ จัดเรียงบนข้าวปั้นซูชิและชั้นล่างสุดเป็นสาหร่ายแผ่นที่เรียกว่า “โนริ” วางบนเสื่อไม้ไผ่ จากนั้นก็ม้วนให้เป็นแท่งยาวๆ แล้วหั่นเป็นชิ้นเท่าๆ กัน ปัจจุบันมากิซูชิมีหลากหลายประเภท เราจะยกตัวอย่างแบบที่เป็นที่นิยมค่ะ

ฟุโตมากิ (Futomaki) มีความหมายว่า “ซูชิที่ม้วนหนา” และ.ใส่ไส้รวมหลากหลายชนิด โดยปกติจะใส่แตงกวา หัวไชเท้าดอง ไข่ม้วน และเห็ดหอม ฟุโตมากิเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น ที่มักจะนำไปรับประทานในงานเทศกาล หรือเป็นส่วนหนึ่งของอาหารในกล่องเบนโตะ

อาหารญี่ปุ่น : Futomaki

โฮโซมากิ (Hosomaki) มีความหมายว่า “ซูชิที่ม้วนบาง” มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของฟุโตมากิ ถือเป็นมากิซูชิแบบพื้นฐานที่สุดที่ใส่ไส้เพียงแค่ 1-2 อย่าง อย่างเช่น แตงกวา ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือปูอัด เป็นมากิซูชิที่ขนาดเล็กที่สุดและเรียบง่ายที่สุด

อาหารญี่ปุ่น : มากิซูชิ (Maki Sushi) - โฮโซมากิ (Hosomaki)

3. อุรามากิซูชิ (Uramaki Sushi)

อุรามากิซูชิมีความคล้ายมากิซูชิหลายอย่าง แต่ความแตกต่างที่สำคัญคืออุรามากิจะม้วนด้านในออกด้านนอก โดยมีข้าวอยู่ด้านนอก ตามด้วยแผ่นโนริและซูชิไส้ตรงกลาง อุรามากิมีให้เลือกหลากหลายไส้ ตั้งแต่อาหารทะเลปรุงสุกและดิบ ผัก และบางครั้งก็อาจมีอะไรพิเศษวางประดับอยู่ด้านบนด้วย

อาหารญี่ปุ่น : อุรามากิซูชิ (Uramaki Sushi)

4. เทมากิซูชิ (Temaki Sushi)

เทมากิ มีความหมายว่า “ม้วนด้วมือ” ในภาษาญี่ปุ่น สามารถทำได้ง่ายมาก ด้วยการใส่ข้าวบนแผ่นโนริ แล้วใส่อาหารทะเล 1-2 ประเภท เช่น ปลาแซลมอนหรือทูน่า รวมทั้งผักอย่างอะโวคาโด แตงกวา และใบผักกาดหอม จากนั้นนำแผ่นโนริมาม้วนด้วยมือโดยไม่ต้องใช้เสื่อมากิสุให้เป็นรูปทรงกรวยและรับประทานได้เลย โดยทั่วไปแล้วหลังจากทำเทมากิเสร็จ ควรจะรับประทานในทันที

อาหารญี่ปุ่น : เทมากิซูชิ (Temaki Sushi)

5. กุงกังมากิซูชิ (Gunkanmaki Sushi)

กุงกัง แปลว่า ‘เรือ’ ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเปรียบเหมือนลักษณะของซูชิประเภทนี้ที่คล้ายกับเรือรบ กุงกังมากิเป็นซูชิที่ใช้สาหร่ายห่อข้าวที่วางเป็นฐานไว้ แล้วโรยหน้าด้านบนด้วยหน้าที่ไม่สามารถวางบนนิงิริซูชิได้ อย่างเช่น ไข่หอยเม่น (อุนิ) ไข่ปลาแซลมอน (อิคุระ) ปลาทูน่าปรุงรส หรือสลัดต่าง ๆ

อาหารญี่ปุ่น : กุงกังมากิซูชิ (Gunkanmaki Sushi)

6. ชิราชิซูชิ (Chirashi-zushi)

ชิราชิซูชิ แปลตรงตัวว่า ‘ซูชิที่กระจัดกระจาย’ ประกอบด้วยชามซูชิที่มีข้าวคลุกน้ำส้มสายชู ปลาดิบและส่วนผสมอื่นๆ ด้านบน ชนิดของปลาดิบที่ใช้แตกต่างกันไปและที่นิยมมากที่สุดคือปลาแซลมอนและปลาทูน่า นอกจากนี้มักจะโรยหน้าด้วยไข่ฝอย โนริ และไข่ปลาแซลมอนด้านบน เพื่อรสชาติที่ชวนน้ำลายสอและมีสีสัน อาหารจานนี้ง่ายต่อการเตรียมและเป็นที่นิยมในฐานะอาหารสำหรับงานปาร์ตี้ เนื่องจากสามารถทำจานใหญ่และแชร์ได้ง่าย เราแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลองปลาหลากหลายชนิดหรือหลายชนิดในราคาถูก

อาหารญี่ปุ่น : ชิราชิซูชิ (Chirashi-zushi)

7. อินาริซูชิ (Inari Sushi)

แทนที่จะห่อซูชิด้วยแผ่นสาหร่ายหรือโนริ อินาริซูชิทำจากเต้าหู้ทอดแผ่นบางหรือที่เรียกว่าอาบูเระอาเกะ ปรุงรสด้วยมิริน เกลือ น้ำตาล และดาชิ แล้วยัดไส้ซูชิเข้าไป ซึ่งมีทั้งข้าว ปลาดิบและผัก บางที่ก็นำไข่บางๆ มาทำเป็นตัวห่อแทนแผ่นเต้าหู้ แต่รสชาติจะหวานกว่า ในร้านอาหารญี่ปุ่นบางแห่ง อินาริซูชิจะทำจากอาบุระอาเกะยัดไส้ด้วยชิราชิซูชิเป็นอาหารสั่งกลับบ้าน ที่น่าสนใจคืออินาริซูชิเป็นที่รู้จักกันในชื่อต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ ของญี่ปุ่น ขึ้นอยู่กับรูปร่างและประเภทของส่วนผสมที่ใช้

อาหารญี่ปุ่น : อินาริซูชิ (Inari Sushi)

8. นาเระซูชิ (Nare Sushi)

นาเระซูชิ เป็นซูชิแบบโบราณที่เกิดจากการถนอมอาหารเพื่อให้เก็บไว้ได้เป็นเวลานาน เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 ถือเป็นต้นกำเนิดของซูชิ โดยการหมักปลากับข้าวและเกลือเป็นเวลาหลายเดือนถึงหลายปีจนมีรสเปรี้ยว (คล้ายกับการทำปลาส้ม) ก่อนที่จะนำออกมารับประทาน สมัยก่อนเมื่อดองเสร็จจะทิ้งข้าวไป และบริโภคแต่ปลาเท่านั้น ปัจจุบัน นาเระซูชิมักไม่ค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากมีรสชาติที่พิเศษมาก อย่างไรก็ตามฟูนะซูชิ (Funazushi) ของจังหวัดชิงะยังคงได้รับความนิยม ซึ่งทำจากปลานิโกโรบุนะจากทะเลสาบบิวะที่อยู่ใกล้เคียง หมักด้วยเทคนิคการแปรรูปอาหารที่ซับซ้อนมาช้านาน และใช้เวลาถึง 5 ปี แม้จะมีกลิ่นเหม็นมาก แต่ถือเป็นอาหารหรู ราคาต่อจานมีราคาแพง

อาหารญี่ปุ่น : นาเระซูชิ (Nare Sushi)
ขอบคุณรูปภาพจาก : thefirstultimate.com

9. โอชิซูชิ (Oshi-zushi)

คำว่าโอชิ (押し) แปลว่า กดหรืออัด ซึ่งเรียกตามกรรมวิธีที่ใช้ทำซูชิชนิดนี้ โดยการนำเอาข้าวผสมน้ำส้มสายชูอัดลงในกล่องทรงสี่เหลี่ยม วางด้านบนด้วยเนื้อปลาแล้วกดให้แน่นติดกัน มีลักษณะตามทรงของกล่องที่อัดข้าวลงไป ก่อนรับประทานจะตัดเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำตามรูปทรงที่ต้องการ เช่น ตัดเป็นสี่เหลี่ยม หรือสามเหลี่ยม โอชิซูชิมีหลายประเภท เช่น โคเคระซูชิ (Kokera sushi) ของแถบจังหวัดโคจิ จะใส่ปลา แครอทและเห็ดหอมซ้อนกันหลายชั้นแล้วตัดเป็นชิ้นเล็กทีละชั้น หรือฮาโกะซูชิ (Hako sushi) ของแถบโอซาก้าที่นำมาซ้อนกัน 2-4 ชั้น เป็นต้น

อาหารญี่ปุ่น : โอชิซูชิ (Oshi-zushi)

วิธีรับประทานซูชิที่ถูกต้อง

เราสามารถรับประทานซูชิได้ 2 แบบ คือการใช้ตะเกียบหรือรับประทางด้วยมือ

• วิธีรับประทานซูชิด้วยตะเกียบ

จับตะเกียบสบายๆ เหมือนจับดินสอ แล้วพลิกด้านบนที่เป็นเนื้อปลาลงไปจิ้มโชยุ โดยใช้ตะเกียบคีบซูชิจากตรงกลาง แล้วพลิกด้านข้างก่อนจะนำลงไปจิ้มบนโชยุประมาณหนึ่งในสามหรือครึ่งหนึ่งของชิ้นปลา

• วิธีรับประทานซูชิด้วยมือ

การพลิกซูชิด้วยตะเกียบจะค่อนข้างยากสำหรับผู้เริ่มต้น สำหรับผู้ที่ยังไม่เชี่ยวชาญการใช้ตะเกียบ คุณสามารถใช้มือได้หยิบซูชิได้ ด้วยการพลิกซูชิด้วยนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางเพื่อให้ส่วนของปลาสัมผัสกับลิ้นของคุณ

สิ่งที่มาคู่กับซูชิ

ซูชิมักจะมากับเครื่องเคียง 3 อย่างดังนี้

โชยุ – ซูชิเกือบทุกประเภทรับประทานกับโชยุ หรือซอสถั่วเหลือง เราควรเทโชบุลงในจานกลมเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยคีบซูชิมาจิ้มก่อนรับประทาน
วาซาบิ – นิกิริซูชิส่วนใหญ่มาพร้อมกับวาซาบิ เพื่อช่วยเพิ่มความอร่อยของซูชิโดยใส่ลงไปเล็กน้อย และเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาหารเป็นพิษด้วย บางครั้งคนที่ไม่คุ้นชินเมื่อรับประทานวาซาบิเข้าไปก็อาจทำให้ฉุนขึ้นจมูกเลยก็ได้ค่ะ
ขิงดอง – ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าโชกะหรือวาการิ ทำจากขิงหั่นบาง ๆ ดองในน้ำส้มสายชูหวาน มีรสเปรี้ยวอมหวาน มันจะช่วยล้างรสชาติของสิ่งที่คุณรับประทานไปล่าสุด เพื่อให้ต่อมรับรสในปากของคุณพร้อมรับรับรสชาติใหม่จากซูชิชิ้นต่อไป คุณสามารถรับประทางซูชิกับขิงดองจิ้มโชยุให้คำเดียวกันก็ได้ นอกจากนี้ขิงดองยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและช่วยป้องกันอาหารเป็นพิษ โดยปกติแล้วจะเสิร์ฟมาพร้อมกับซูชิด้วย

เคล็ดลับและมารยาทในการรับประทานซูชิ

• อย่าใส่น้ำหอมมากเกินไป เพราะจะทำให้รสชาติของซูชิเพี้ยนไป
• เราสามารถรับประทานซูชิโดยใช้มือหรือตะเกียบก็ได้ ยกเว้นซาซิมิที่ใช้เฉพาะตะเกียบคีบเท่านั้น
• เพื่อให้การรับประทานซูชิมีอรรถรสขึ้น จะต้องเรียงลำดับจากปลารสอ่อนไปยังรสจัด โดยสามารถเรียงจากสีปลาที่อ่อนสุดไปจนเข้มสุด จากนั้นจึงตามด้วยซูชิหน้าไข่ปลา หรือไข่หอยต่าง ๆ ต่อด้วยของย่าง และจบที่ไข่หวาน
• การรับประทานซูชิหน้าปลาหมึกหรือทาโกะซูชิให้ไม่เสียรสชาติ เราจะไม่นำไปจิ้มกับโชยุ แต่จะบีบมะนาว แล้วจิ้มเกลือแทน เพื่อรสชาติที่กลมกล่อม
• หลายคนมักเจอปัญหาการจิ้มซูชิหน้าไข่ปลา (Gunkan sushi) บนโชยุ เพราะไข่ปลามักจะตกลงในโชยุ เราควรใช้ขิงดองจิ้มโชยุ แล้วนำมาทาบนซูชิไข่ปลาก่อนรับประทาน
• ดื่มชาหรือโชกะเพื่อทำความสะอาดเพดานปากและทำให้ปากสดชื่น ซึ่งชายังทำหน้าที่เป็นสารต้านแบคทีเรียด้วย
• ควรรับประทานซูชิให้หมดในคำเดียว เพื่อรับรสชาติที่กลมกล่อมของข้าวและส่วนผสมไปพร้อมกัน ถ้าคิดว่าไม่สามารถทานในคำเดียวได้ ให้แจ้งพนักงานเพื่อขอข้าวน้อยลงได้ ไม่ควรรับประทานปลาและข้าวแยกกัน
• ควรรับประทานซูชิทันทีที่เสิร์ฟ เพื่อรักษารสชาติใหม่สดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูชิที่มีสาหร่าย
• ถ้าคุณไม่ชอบวาซาบิ ควรแจ้งเชฟไว้ล่วงหน้า เพราะซูชิเกือบทุกชิ้นจะแต้มวาซาบิไว้ระหว่างข้าวกับปลา และในทางกลับกัน หากคุณชอบวาซาบิจริงๆ คุณสามารถขอเพิ่มได้
• อย่าลืมพูดว่า “อิตาดากิมัส (ขอรับประทานแล้วนะ)” ก่อนรับประทานอาหาร และพูดว่า “โกะจิโซซามะ (ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร) หลังรับประทานอาหารด้วย

หากเดินทางไปญี่ปุ่น ซูชิเป็นเมนูที่ต้องลองเป็นอย่างยิ่ง เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรมีอยู่ในลิสต์สิ่งที่ควรทำเมื่อไปถึงญี่ปุ่น คุณไม่จำเป็นต้องกังวลกับกฎและพิธีการมากเกินไป แค่สนุกกับการลองเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่แตกต่างไปจากประเทศไทย สัมผัสกับบรรยากาศและให้รางวัลตัวเองด้วยซูชิที่น่าตื่นตาตื่นใจและสนุกไปกับมัน

ใครที่วางแผน เที่ยวญี่ปุ่น ก็ควรเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com, byfood.com, masterclass.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

ทำความรู้จัก JR Pass ตัวช่วยการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น

ทำความรู้จัก JR Pass ตัวช่วย การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น

ใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่น คงวุ่นวายกับการวางแผนการเดินทางเพื่อเก็บให้ได้ทุกเมืองที่อยากไปและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด แต่ค่าเดินทางในประเทศญี่ปุ่นมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นใครที่อยากไปครั้งเดียวเที่ยวให้ครบจบทุกไฮไลท์ ก็อาจจะต้องเสียค่าตั๋วรถไฟจนกระเป๋าฉีกแน่ สิ่งที่จะมาช่วยเราเรื่อง การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ได้ก็คือเจ้าตั๋ว JR Pass หรือชื่อเต็มคือ Japan Rail Pass ซึ่งเป็นตั๋วรถไฟแบบเหมาจ่ายสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ JR ซึ่งไปได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น (Shinkansen) ด้วย

Allianz Travel รวบรวมเรื่องควรรู้ก่อนซื้อตั๋ว JR Pass เพื่อให้ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด และหากคุณไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มตรงไหนดี ลองอ่านดูเลยค่ะ!

Shinkansen

JR Pass คืออะไร

JR Pass หรือชื่อเต็มคือ Japan Rail Pass เป็นบัตรโดยสารรถไฟที่คุ้มค่ามากสำหรับการเดินทางโดยรถไฟทางไกลในญี่ปุ่น และใช้ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้อง การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น ผู้ถือ JR Pass สามารถใช้บริการบริษัทรถไฟในเครือ JR ได้ถึง 6 แห่ง (JR ฮอกไกโด, JR ตะวันออก, JR ส่วนกลาง, JR ตะวันตก, JR ชิโคคุ และ JR คิวชู) สามารถใช้โดยสารรถไฟ JR รวมถึงรถไฟชินคันเซ็น และที่นั่งแบบจองล่วงหน้า (Reserved Seat) ในรถไฟด่วนพิเศษ รถบัสประจำทาง และเรือเฟอร์รี่ได้เกือบทั้งหมดทั่วญี่ปุ่นโดยไม่จำกัดเที่ยว ยิ่งเราเดินทางด้วยรถไฟของ JR เยอะ เราก็จะยิ่งประหยัดค่าเดินทางได้มากในราคาที่คนญี่ปุ่นเองต้องอิจฉา

JR Pass ใช้กับการเดินทางประเภทไหนบ้าง

คุณสามารถใช้ JR Pass ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้งบนเครือข่ายต่อไปนี้:

รถไฟในเครือ JRรถไฟในเครือข่าย JR (การรถไฟญี่ปุ่น) ทั่วประเทศรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) เกือบทุกขบวน (ไม่รวมขบวน Nozomi และ Mizuho) รถด่วนพิเศษ (Limited Express) รถด่วน (Express) รถเร็ว (Rapid) และรถไฟธรรมดา (Local)
โตเกียวโมโนเรล (Tokyo Monorail)เดินทางไปกลับระหว่างสนามบินฮาเนดะกับโตเกียว
เรือเฟอร์รี่ JR Miyajimaนั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะมิยาจิมะ
รถไฟบางขบวนที่ไม่ใช่ของ JR(เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR)ผู้ถือบัตร JR Pass สามารถขึ้นรถไฟที่ไม่ใช่ของ JR บางสายเพื่อไปเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟ JR เท่านั้น ได้แก่
– รถไฟสาย Aoimori เมื่อขึ้นที่ Aomori, Noheji และ Hachinohe เท่านั้น เพื่อไปต่อ JR Ominato ไปยังคาบสมุทร Shimokita
– รถไฟสาย IR Ishikawa ที่วิ่งระหว่าง Kanazawa และ Tsubata เพื่อไปต่อสาย JR Nanao ไปยังคาบสมุทร Noto
– รถไฟสาย Ainokaze Toyama ที่วิ่งระหว่าง Toyama และ Takaoka เพื่อไปต่อสาย JR Himi Line และ JR Johana Line
รถบัสประจำทาง JRรถบัสประจำทางที่ดำเนินการโดยบริษัท JRดังต่อไปนี้:
– ยามากุจิ – ฮางิ
– สถานีเกียวโต – เรียวอันจิ – ทาคาโอะ
– สถานีคานาซาว่า – เค็นโรคุเอ็น
– สถานีโตเกียว – ศูนย์นิทรรศการนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Exhibition Center)
– รถบัส JR ไปทะเลสาบโทวาดะ
– รถบัสท่องเที่ยว JR ในฮิโรชิมา
– รถบัส JR ที่วิ่งรอบซัปโปโร
– รถบัสประจำทาง JR ไปคุซัตสึ ออนเซ็น (Kusatsu Onsen) ในจังหวัดกุนมะ

JR Pass มีแบบไหนบ้าง

JR Pass มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่เดินทางเดินทางไม่จำกัดได้ทั่วประเทศ ในบางพื้นที่ หรือในภูมิภาคที่กำหนด นอกจากนี้ยังแยกประเภทออกตามจำนวนวันและคลาสที่นั่งอีกด้วย ตารางด้านล่างเป็นราคาสำหรับ JR Pass ที่เดินทางได้ทั่วประเทศ

จำนวนวันเดินทางOrdinaryGreen Car
ผู้ใหญ่เด็กผู้ใหญ่เด็ก
7 วัน29,650 เยน14,820 เยน39,600 เยน19,800 เยน
14 วัน47,250 เยน23,620 เยน64,120 เยน32,060 เยน
21 วัน60,450 เยน30,220 เยน83,390 เยน41,690 เยน

ตามตารางจะเห็นได้ว่า JR Pass แบบ All Area จะแบ่งตัวออกเป็น 2 ประเภท คือแบบ Green และ Ordinary โดยแบบ Green จะเปรียบเสมือนที่นั่ง First Class ที่อำนวยความสะดวกให้มากกว่า รวมถึงขนาดที่นั่งใหญ่กว่า ระยะห่างระหว่างขาเพิ่มขึ้น ความแออัดบนขบวนน้อยลง และมีที่ชาร์จ USB ในแต่ละที่นั่ง และมี 3 ช่วงเวลาเดินทางให้เลือก (7 วัน, 14 วัน, 21 วัน)

ซื้อ JR Pass ยังไง

1. ซื้อผ่านเว็บไซต์ของ JR

  • เวลาทำการของเว็บไซต์คือตั้งแต่ 04:00 น. ถึง 23:30 น. (เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น UTC+9:00)
  • ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น โดยชื่อบนบัตรเครดิตจะต้องตรงกับชื่อผู้ซื้อ สำหรับผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิต สามารถซื้อ JR Pass ได้หากกำหนดการเดินทางเหมือนกับของผู้ชำระเงิน
  • คุณสามารถซื้อ JR Pass สำหรับผู้เดินทางพร้อมกับผู้ซื้อได้สูงสุด 6 คน โดยกรอกชื่อ อีเมล และหมายเลขหนังสือเดินทางของแต่ละคน
  • หลังจากซื้อ JR Pass แล้ว คุณสามารถจองที่นั่งสำหรับชินคันเซ็นและรถไฟด่วนพิเศษในเว็บ JR ได้เลย
  • ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อ JR Pass  ได้

2. ซื้อกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย

การซื้อ JR Pass กับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยจะมีราคาถูกกว่าการซื้อผ่านเว็บไซต์ของ JR หรือซื้อที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วในประเทศญี่ปุ่น คลิกที่นี่ เพื่อเช็คที่อยู่และเบอร์ติดต่อตัวแทนจำหน่าย JR Pass ในประเทศไทย ตัวแทนจำหน่ายบางเจ้าสามารถซื้อออนไลน์ได้ หรือบางครั้งก็มีส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกด้วย

3. ซื้อที่สำนักงานขายตั๋ว JR ในประเทศญี่ปุ่น

JR Pass มีจำหน่ายที่สำนักงานขายบางแห่งในญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566 อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ซื้อตั๋ว JR Pass จะต้องเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเท่านั้น (ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถใช้ได้) และราคาของ JR Pass ที่ซื้อในประเทศญี่ปุ่นจะแพงกว่าซือจากตัวแทนในต่างประเทศ

วิธีรับ JR Pass เมื่อไปถึงญี่ปุ่น

คนที่ซื้อ JR Pass ล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือซื้อกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย คุณจะได้รับ Exchange Order (เวาเชอร์) ซึ่งคุณจะต้องนำไปแลกเป็น JR Rail Pass ตัวจริงเมื่อไปถึงญี่ปุ่น ที่สำนักงานขายตั๋ว JR ที่สถานี JR เท่านั้น และต้องแสดงหนังสือเดินทางด้วย

  • คุณไม่สามารถรับ JR Pass ได้ หากชื่อในหนังสือเดินทางไม่ตรงกับ Exchange Order
  • คุณไม่สามารถรับ JR Pass ได้ หากคุณไม่มีหนังสือเดินทางมายืนยันตัวตน (ใช้สำเนาไม่ได้) หรือมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด
  • คุณไม่สามารถใช้ Exchange Order แทนบัตร JR Pass เมื่อคุณเดินทางด้วยรถไฟ JR 
  • เวลาทำการของสำนักงานตั๋ว JR (รับตั๋ว/เปลี่ยนตั๋ว/ซื้อตั๋ว) ในญี่ปุ่นตั้งแต่ 4.30 น. – 23.30 น. (เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น UTC+9:00)
  • ตรวจสอบเวลาทำการและวันหยุดของสำนักงานตั๋ว JR ได้ที่นี่
  • ประเภทของตั๋วที่ระบุใน Exchange Order ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
  • หาก Exchange Order สูญหาย จะไม่สามารถออก JR Pass ได้
  • คุณจะต้องเปลี่ยน Exchange Order เป็น JR Pass ภายในสามเดือนนับจากวันที่ออกใบสั่งซื้อ
  • ควรเผื่อเวลาไว้เมื่อต้องไปเปลี่ยน Exchange Order เป็น JR Pass เพราะบางครั้งเคาน์เตอร์ที่ให้บริการอาจมีคนหนาแน่น
japanese subway system passenger information display screen

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ JR Pass

  • วันที่รับและวันที่เริ่มต้นใช้ JR Pass ไม่จำเป็นต้องเป็นวันเดียวกัน คุณสามารถเริ่มต้นใช้ JR Pass ได้นานถึง 30 วันหลังจากการแลกเวาเชอร์
  • บัตร JR Pass สามารถใช้เป็นตั๋วขึ้นได้ทุกขบวนตามที่กำหนดไว้ข้างต้น ยกเว้นเมื่อคุณสำรองที่นั่ง คุณจะต้องไปรับตั๋วแบบระบุหมายเลขที่นั่งที่เครื่องจำหน่ายตั๋ว หรือที่เคาน์เตอร์ให้บริการก่อนโดยสารขบวนรถไฟ (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการสำรองที่นั่ง) 
  • รถไฟ JR ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องจองที่นั่ง แต่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนและช่วงการเดินทางที่คับคั่ง ขอแนะนำให้จองที่นั่งเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางเป็นกลุ่มและต้องการนั่งด้วยกัน
  • รถไฟ JR บางขบวนมีเฉพาะที่นั่งแบบที่ต้องจอง ได้แก่ขบวนด้งต่อไปนี้:
  • Narita Express (โตเกียว – สนามบินนาริตะ)
  • รถไฟ Hayabusa และ Hayate สาย Tohoku/Hokkaido Shinkansen
  • รถไฟ Komachi สาย Akita Shinkansen
  • รถไฟ Tsubasa สาย Yamagata Shinkansen
  • รถไฟ Kagayaki สาย Hokuriku Shinkansen
  • รถไฟกลางคืน Sunrise Seto และ Sunrise Izumo
  • หากไม่สามารถขึ้นรถไฟที่จองที่นั่งไว้แล้ว ควรรีบแจ้งยกเลิกการจองที่สำนักงานขายตั๋ว เพื่อให้สิทธิ์กับผู้โดยสารคนอื่น จากนั้นคุณสามารถขึ้นรถไฟขบวนอื่นได้แบบที่ไม่ต้องจองล่วงหน้า หรือเพื่อความอุ่นใจ คุณสามารถจองที่นั่งขบวนใหม่ได้
  • คุณควรเลือกซื้อจำนวนวันเดินทางของ JR Pass ให้ครอบคลุมเฉพาะระยะเวลาที่คุณกำลังเดินทางบนรถไฟจริงๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เวลา 17 วันในญี่ปุ่นแต่ต้องพักในโตเกียวเป็นเวลาสามวัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ JR Pass สำหรับการเดินทางในโตเกียว ดังนั้น การซื้อบัตร 14 วันจะดีกว่าตัวเลือก 21 วันที่แพงกว่า

คำแนะนำสำหรับ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยถไฟ JR

  • สถานี JR หลายแห่งใช้ประตูทางเข้าอัตโนมัติ เมื่อจะเข้าสถานี ให้ใส่ JR Pass เข้าไปในช่องใส่ตั๋ว และพอผ่านประตูเข้าไปแล้ว สังเกตให้ดีถ้าประตูทางเข้าระบุว่า “IC เท่านั้น” แสดงว่าคุณไม่สามารถใช้ JR Pass ผ่านประตูนี้ได้

วิธีใส่ตั๋วในประตูทางเข้าอัตโนมัติ

ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • เมื่อนำสัมภาระที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดที่กำหนดขึ้นรถไฟชินคันเซ็นสาย Tokaido, Sanyo และ Kyushu (เส้นทาง: โตเกียว – นาโกย่า – เกียวโต – ชิน – โอซาก้า – ฮิโรชิมา – ฮากาตะ – คาโกชิม่า – ชูโอะ) ผู้โดยสารจะต้องจองที่นั่งและพื้นที่วางสัมภาระล่วงหน้า อ่านละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • สถานี JR จะมีชื่อสถานีทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษบนชานชาลา ชื่อสถานีที่จะอยู่ด้านบนตรงกลางป้ายด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ และชื่อสถานีก่อนหน้าและสถานีถัดไปจะอยู่ที่ด้านล่างของป้ายด้วยตัวอักษรขนาดเล็ก
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • ตู้ล็อคเกอร์สำหรับฝากกระเป๋าแบบหยอดเหรียญมีอยู่ทั่วไป หากไม่ต้องการถือของไปเยอะเกินไป ก็ควรเตรียมเหรียญร้อยเยนไว้สำหรับหยอดตู้ฝากกระเป๋าด้วย
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • มีบริการ WiFi ฟรีในบริเวณสถานี JR
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • บนรถไฟชินคันเซ็น รถด่วนพิเศษ และรถไฟสายอื่นๆ ของ JR มีขายอาหารกลางวันแบบกล่องหรือ “เอกิเบ็น” (มักเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อในท้องถิ่น) รวมทั้งของว่างและเครื่องดื่มด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถหาซื้อได้ที่ซุ้มจำหน่ายอาหารและร้านค้าที่สถานี ซึ่งบางสถานีอาจมีทั้งร้านอาหารและเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net
  • หากเดินทางในเมืองใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วนในช่วงเช้าและเย็น (ระหว่าง 7:30-9:30 น. และ 17:00-20:00 น.) เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่คนหนาแน่นและเร่งรีบ
ขอบคุณรูปภาพจาก : japanrailpass.net

ซื้อ JR Pass สำหรับ การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น คุ้มไหม

หากถามว่าซื้อ JR Pass คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ คำตอบคือความคุ้มหรือไม่คุ้มขึ้นอยู่กับแผน การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น ของคุณ! ถ้าคุณเที่ยวแค่ในเมืองไม่คุ้มแน่นอนค่ะ แต่ถ้าวางแผนเดินทางไกลไปหลายเมืองแบบข้ามภูมิภาค อย่างเช่น วางแผนเที่ยวทั้งโตเกียวและโอซาก้าในทริปเดียวกัน บอกเลยว่าคุ้มมาก เพราะต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงและขึ้นรถไฟหลายสาย 

การใช้ JR Pass นอกจากประหยัดเงินค่าเดินทางได้เยอะแล้ว ยังสะดวกและสามารถยืดหยุ่นได้ตามแผนเดินทางค่ะ ตัวอย่างเช่น คนที่มี JR Pass ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วรถไฟทุกครั้งที่เดินทาง และสามารถแวะเที่ยวระหว่างทางได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มอีกด้วย นอกจากนี้ ทั้ง 2 เมืองยังมีบริการรถไฟ JR ครอบคลุมไปทั่วเมืองด้วย อย่างเช่น เมืองโตเกียวมี JR สาย Yamanote หรือเมืองโอซาก้ามี JR สาย Loop ตั๋ว JR Pass ก็ยิ่งดับเบิลมูลค่าขึ้นไปอีก และในทางกลับกัน ถ้าไปเมืองอื่น อย่างเช่น เกียวโต ซึ่งใช้รถไฟของบริษัทอื่นที่ไม่ใช่ของ JR หรือรถไฟใต้ดิน หรือรถประจำทางสะดวกกว่า ทำให้ไม่สามารถใช้บัตร JR Pass ได้

loop line train morinomiya station osaka japan

คุณสามารถลองคำนวณค่าตั๋วรายเที่ยวโดยประมาณ เพื่อนำมาเปรียบเที่ยบกับราคาของ JR Pass ว่าคุ้มไหมได้จาก Ekispert หรือ Jorudan

ตัวอย่างเปรียบเทียบการซื้อตั๋วแบบรายเที่ยวกับการเดินทางด้วยบัตร JR Pass แบบ 7 วัน และเดินทางเที่ยวข้ามเมือง 3 ทริป

ทริป 1 โตเกียว – เกียวโต – ฮิโรชิมา/มิยาจิมะ – ฮิเมจิ – เกียวโต – ชินโอซาก้า

ทริป 2 ฮาชิโมโตะ – นารา – ทาคายามะ

ทริป 3 ทานาซาว่า – โตเกียว

เส้นทางOrdinary CarGreen Car
สนามบินนาริตะ – เกียวโต15,660 เยน23,010 เยน
เกียวโต – ฮิโรชิมา – เกียวโต21,140 เยน30,000 เยน
เกียวโต – ชินโอซาก้า1,420 เยน3,780 เยน
ฮาชิโมโตะ – นารา1,140 เยน1,140 เยน
นารา – ทาคายามา9,820 เยน15,530 เยน
ทานาซาว่า – โตเกียว13,600 เยน26,970 เยน
รวมค่าตั๋วรถไฟรายเที่ยว52,960 เยน84,900 เยน
ราคา JR Pass 7 วัน29,110 เยน38,880 เยน
ค่าตั๋วที่ประหยัดได้23,850 เยน46,020 เยน

การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นให้สนุก และประหยัดค่าใช้จ่าย ต้องเริ่มจากการวางแผนล่วงหน้าให้ดี ถ้าเรารู้ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ไปยังไง เราก็สามารถคำนวณวัน เวลา จัดเตรียมแผนการใช้บัตร JR Pass ให้คุ้มที่สุดได้ แต่ความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ อย่างเช่น กระเป๋าหาย หรือเที่ยวบินดีเลย์ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจ ไร้กังวลก็คือการมี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ติดตัวไว้ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : japan-guide.com, japanrailpass.net

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel