เจ็บป่วยที่ญี่ปุ่นทำอย่างไร เสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

สำหรับคนที่กำลังจะเดินทางหรือกำลังวางแผนไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเพื่อเที่ยว ทำงาน เรียนต่อ หรือวัตถุประสงค์อะไรก็ตามแต่ เรื่องสุขภาพนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่กำลังกังวลใจอยู่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาพยาบาลในประเทศนั้นๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นให้เป็นตัวอย่าง เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นเป้าหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนไทยอย่างมาก ดังนั้นรู้ไว้ย่อมมีประโยชน์กว่า

ระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่น

ก่อนอื่นเราขออธิบายเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขและรูปแบบการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นกันก่อน ซึ่งระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นนั้น ได้ถูกจัดอันดับ ในปี 2559 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ติด 1 ใน 10 จาก 190 ประเทศทั่วโลกในด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งถือได้ว่าต้องมีความพร้อมและน่าเชื่อถือสุดๆ แต่อย่างไรก็ตามระบบการรักษาพยาบาลหรือเข้ารับการรักษาในประเทศญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างจากบ้านเราพอสมควรที่เราควรรู้ไว้ด้วยเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น สำหรับกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือไม่สบายที่ญี่ปุ่น เราสามารถซื้อยาจากร้านขายยา โดยร้านขายยาในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

1. ร้านขายยาทั่วไป เป็นร้านขายยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ ที่จะขายยาพื้นฐานหรือที่เราเรียกว่า ยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งจะเป็นร้านขายยาทั่วไปและอาจมีขายเครื่องสำอางค์ร่วมด้วย อันนี้ปกติธรรมดาเหมือบ้านเรา
2. ร้านขายยาจริงๆ ที่ต้องมีใบสั่งยาโดยแพทย์ประกอบด้วย ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวดกว่าร้านขายยาทั่วไปอย่างมาก

นอกจากนี้แล้วคนญี่ปุ่นมักนิยมเข้า คลีนิค ที่จะเป็นคลินิกเฉพาะทางในการรักษาโรคนั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่คลีนิคจะสามารถให้บริการได้หลายโรค ดังนั้นแล้ว หากเลือกที่จะเข้ารักษากับคลีนิคที่ประเทศญี่ปุ่นก็ควรดูให้ดีก่อนว่าคลีนิคที่เราจะเข้ารับบริการนั้นเป็นคลีนิคเฉพาะทางกับความเจ็บป่วยที่เราเป็นหรือไม่ มิเช่นนั้นอาจถูกปฏิเสธการรักษาแล้วจะทำให้รำคาญใจได้ ดังนั้นเราอาจศึกษาเตรียมตัวก่อนการเดินทางโดยศึกษาจาก คู่มือการการใช้บรการหน่วยงานทางการแพทย์ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งออกโดย องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (JNTO)

ค่าใช้จ่ายประมาณการในการรักษาพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่น

อย่างที่ทราบกันว่าประเทศญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศชาตินิยมและเคารพสิทธิมนุษยชนของส่วนรวมมากๆ ดังนั้นเรื่องค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ประชาชนเจ็บป่วย ทางรัฐจะช่วยดูแลสนับสนุนและให้ผ่อนจ่ายได้ โดยถือว่าเป็นระบบสวัสดิการประกันสุขภาพรูปแบบหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โดยประชาชนญี่ปุ่นทุกคนจะต้องเข้าระบบประกันการรักษาพยาบาลจากรัฐ และรวมถึงชาวต่างชาติที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 3 เดือน ก็ต้องเข้าระบบประกันนี้ด้วย เพราะฉะนั้น คนที่เดินทางไปเรียน หรือไปทำงาน ซึ่งอยู่เกิน 3 เดือนขึ้นไป จะสามารถได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะได้จ่ายค่าประกันสุขภาพแก่ประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นไป ส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ที่เข้าระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นนั้น ผู้เอาประกันจะจ่ายเพียงบางส่วน 10-30% ตามอายุ และส่วนที่เหลือรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ คือ

1) ประชาชนจ่าย 30% ของยอดชำระ และที่เหลือประกันสุขภาพแห่งชาติของญี่ปุ่นรับผิดชอบ
2) ประชาชนจ่าย 20% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 70 ปี ขึ้นไป และไม่ได้ทำงาน
3) ประชาชนจ่าย 10% หากเป็นพลเมืองญี่ปุ่นที่อายุ 75 ปี ขึ้นไป

จะเป็นว่าผู้ที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพนั้นจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยมากหากเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในระบบ หรือนักท่องเที่ยวที่โดยปกติอัตราค่ารักษาพยาบาลระหว่างพลเมืองญี่ปุ่นกับชาวต่างชาติก็ต่างกันอยู่แล้ว ด้านล่างนี้ค่าค่าใช้จ่ายประมาณการสำหรับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นสำหรับชาวต่างชาติ ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดกับนักท่องเที่ยว โดยเรทการคำนวนเป็นเงินบาท อ้างอิงจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 10 มกราคม 2563 (28.01 บาท / 100 เยน)

1. พบหมอต่อครั้ง ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
2. นอนโรงพยาบาล 1 คืน เริ่มต้นที่ 100,000 เยน หรือ 28,000 บาท
3. หกล้ม ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าหัก ค่าใช้จ่ายระหว่าง 10,000 – 50,000 เยน หรือ 2,800 – 14,000 บาท
4. CT Scan เริ่มต้นที่ 30,000 เยน หรือ 8,400 บาท
5. ถอนฟัน 20,000 เยน หรือ 5,600 บาท
6. เคลื่อนย้ายฉุกเฉินระหว่างเมือง สามารถมีค่าใช้จ่ายสูงสุดถึง 5 ล้านเยน หรือ 1.4 ล้านบาท

โดยที่ค่ารักษาพยาบาลที่ญี่ปุ่น บางรายการอาจราคาถูกกว่าที่ประเทศไทย แต่บางรายการก็แพงกว่า โดยค่ารักษาพยาบาลโดยประมาณในประเทศญี่ปุ่นนั้น โดยทั่วไปจะมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกสำหรับคลินิกท้องถิ่น ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 3,000 ถึง 5,000 เยน และค่าใช่จ่ายสำหรับการนัดติดตามผลอยู่ที่ประมาณ 600 เยนต่อครั้ง หมายความว่าจำเป็นต้องจ่ายค่าที่ปรึกษารวมกับค่าธรรมเนียมสำหรับการนัดติดตามผลในครั้งแรก และหลังจากนั้นก็จะเป็นครั้งละ 600 เยนต่อครั้ง แต่อันนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายสำหรับชาวต่างชาติแต่เป็นสำหรับพลเมืองญี่ปุ่น หากเป็นคลินิกสำหรับชาวต่างชาติ ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น โดยอาจมีค่าที่ปรึกษาครั้งแรกถึง 10,000 เยนเป็นต้นไปได้เลยทีเดียว และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปรึกษาใหม่ทุกครั้งเมื่อพบหมอคนใหม่ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากว่าเราจะพบแพทย์คนเดิมที่เราเคยหามาก่อน จะเห็นได้ว่าแค่มองคร่าวๆ ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาพยาบาลสำหรับพลเมืองและนักท่องเที่ยวนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมากเกือบเท่าตัว

นอกจากเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ต้องคำนึงถึง ประเทศญี่ปุ่นยังมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นหากเดินทางไปท่องเที่ยวในเขตจังหวัดที่มีความเสี่ยงแล้วประสบอุบัติเหตุก็จะต้องมีค่ารักษาพยาบาลด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาท ดังนั้นการทำประกันการเดินทางเอาไว้กับการเดินทางออกนอกประเทศทุกกรณี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเสียเงินกับค่ารักษาพยาบาลสูงๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำไว้ด้วย เพื่อว่าหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้ไม่ต้องกังวล แม้อาจจะมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและอาจจะไม่ได้ใช้ แต่หลายๆเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดังนั้น ไม่ว่าเป็นการเดินทางไปในประเทศไหนๆ จะสั้นหรือจะยาว ก็อย่าได้ประมาทและทำประกันเดินทางไว้ล่วงหน้าเพื่อความสบายใจกันดีกว่า ท่องเอาไว้ “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

7 จุดยอดนิยมชมซากุระในญี่ปุ่น

ฤดูหนาวในญี่ปุ่นกำลังพ้นผ่าน ฤดูกาลถัดไปเริ่มเข้ามาแทนที่ นั่นคือฤดูใบไม้ผลิ หากพูดถึงกิจกรรมประจำฤดูกาล คือการชมดอกไม้หลากสายพันธุ์ โดยเฉพาะการชมดอกซากุระผลิบาน ซึ่งการชมดอกไม้ ชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า “ฮานามิ” (ฮานา แปลว่า ดอกไม้, มิ แปลว่า ดู ชม) เป็นประเพณีดั้งเดิม ซึ่งคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เฝ้ารอเพื่อจะได้เพลิดเพลินกับความงามของดอกซากุระ ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นริมแม่น้ำ สวนสาธารณะ รวมถึงรอบปราสาททั่วญี่ปุ่น จะเต็มไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 100 สายพันธุ์ เช่น พันธุ์ Yamazakura, Somei Yoshino, Ichiyo เป็นต้น รวมถึงสายพันธุ์หาชมได้ยาก จะบานสะพรั่งอวดโฉมกันอย่างงดงาม โดยเริ่มผลิใบจากเกาะโอกินาวาทางใต้สุดไล่ขึ้นไปยังเกาะฮอกไกโด และเริ่มบานตั้งแต่เดือนมีนาคมไปถึงเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละปีด้วย เพื่อให้ซึมซับวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นและสัมผัสความงามของดอกซากุระ เราจึงได้รวบรวม 7 จุดชมซากุระจากทั่วญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมาให้ชมกัน

1.สวนทากาโตะโฮโจชิ (TAKATO JOSHI KOEN)

ตั้งอยู่เมืองอินะ จังหวัดนากาโนะ สวนแห่งนี้เป็นจุดชมซากุระที่สวยงามติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น มีต้นซากุระสายพันธุ์โคอิกัง ซึ่งหาชมได้ยาก ราว 1,500 ต้น ที่ปลูกตั้งแต่สมัยเมจิเบ่งบานให้ชมความสวยงาม ในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายน ภายในสวนมีอุโมงค์ซากุระสวยงามอลังการ ส่วนไฮไลท์อยู่ที่สะพานโค้งโออุนเคียวเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายภาพและชมซากุระที่กำลังบานสะพรั่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของสวน ในตอนค่ำตั้งแต่เวลา 18:00-22:00 น. จะมีการประดับไฟตามแนวต้นซากุระเพิ่มสีสันสร้างความตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น

  • การเดินทาง จากสถานี Inashi นั่งรถบัสจากหน้าสถานีไปลงป้าย Takato Castle Ruins Park ใช้เวลา 25 นาที จากนั้นเดินต่อไปอีกเล็กน้อย
  • ค่าเข้าชม 500 เยน
  • เวลา เปิด-ปิด 06:00-22:00 น.

2.สวนชินจูกุเงียวเอน (SHINJUKU GYOEN)

สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Shinjuku เป็นสถานที่ผ่อนคลาย หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองโตเกียว สวนเดิมสร้างขึ้นในช่วงเอโดะ หลังได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในปี ค.ศ. 1949 ภายในสวนแบ่งออกเป็น 3 โซน หลักๆ ได้แก่สวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สวนสไตล์ฝรั่งเศส และสวนสไตล์อังกฤษเป็นบริเวณที่รายล้อมไปด้วยต้นซากุระจาก 12 สายพันธุ์ รวมแล้วกว่า 400 ต้น ซึ่งจะเบ่งบานให้ชมกันในช่วงต้นเดือนเมษายน ของทุกปี ซึ่งที่นี่ถือเป็นจุดชมดอกซากุระยอดนิยมติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น

  • การเดินทาง จากสถานี Shinjuku ใช้ทางออก South Exit เดินไปทางทิศตะวันออกอีกประมาณ 600 เมตร จากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinjukugyoenmae ใช้ทางออก 1 เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร จากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinjuku Sanchome ใช้ทางออก C1 หรือ C5 เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร
  • ค่าเข้าชม 200 เยน
  • เวลาเปิด-ปิด 09:00-16:00 น.

3.สวน KASAI RINKAI

สวนสาธารณะริมอ่าวโตเกียวขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับโตเกียวดิสนีย์แลนด์ สวนแห่งนี้เกิดจากการถมทะเลขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการรักษาและฟื้นฟูที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ในอ่าวโตเกียว และยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนในย่านนั้น ภายในสวนยังมีชิงช้าสวรรค์ยักษ์สูง 117 เมตร ตั้งโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ มีพื้นที่ให้ได้นั่งปิกนิก ทำกิจกรรมต่างๆ หากใครไปตรงกับช่วงซากุระประมาณปลายมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน จะได้เจอกับทิวแถวของต้นซากุระราว 760 ต้น ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ Somei Yoshino,Oshima zakura และ Sato-zakura ทยอยกันบานสะพรั่งโอดโฉมให้ได้สัมผัสความงดงาม นอกจากนี้ยังพิพิธภัณฑ์สัตว์นํ้าโตเกียวซีไลฟ์ (Tokyo Sealife Aquarium) จัดแสดงปลาทะเลชนิดต่างๆ เช่น ปลาฉลาม ปลาทูน่า และเต่าทะเล รวมทั้งนกเพนกวินชนิดต่างๆ ให้ได้ชมความน่ารักอีกด้วย

  • การเดินทาง จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟสาย JR Keiyo Line ลงที่สถานี Kasai Rinkai Koen
  • ค่าเข้าชม บริเวณสวนฟรี, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ 700 เยน
  • เวลาเปิด-ปิด 09:30-17:00 น.

4.เมืองคาวาซุ (KAWAZU)

ตั้งอยู่เมืองคาวาซุ จังหวัดชิซูโอกะ นับเป็นจุดชมซากุระบานที่แรกๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม บริเวณเลียบแม่น้ำคาวาซุ ตั้งแต่สถานี Kawazu ไปถึงมิเนะออนเซน ระยะทางราว 4 กม. ใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลคาวาซุซากุระ หรือคาวาซุมัตสึริ ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศจะหลั่งไหลมาชมความสวยงามของดอกซากุระสายพันธุ์พิเศษที่มีชื่อเรียกว่า Kawazu-zakura จะบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นประมาณ 1 เดือน บริเวณงานจะมีซุ้มดอกซากุระกว่า 800 ต้น ที่ปลูกตามแนวยาวเลียบแม่น้ำคาวาซุ เพิ่มสีสันด้วยการประดับไฟตามต้นซากุระในยามค่ำคืน และทั่วเมืองคาวาซุยังเต็มไปด้วยต้นซากุระราว 8,000 ต้น

  • การเดินทาง จากสถานี Atami นั่งรถไฟด่วนของ JR มาลงที่สถานี Kawazu จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร จะเจอแม่น้ำคาวาซุ
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

5.ภูเขาโยชิโนะ (MOUNT YOSHINO)

ตั้งอยู่เมืองโยชิโนะ จังหวัดนารา เป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่โบราณ เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ตื่นตาตื่นใจกับภาพซากุระกว่า 30,000 ต้น จาก 200 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ Yamazakura จะเบ่งบานปกคลุมไปทั่วบริเวณภูเขาโยชิโนะ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน โดยจะบานไล่จากตีนเขาไปจนถึงยอดเขา ด้านบนยังมีจุดชมวิวอีกหลายจุด ให้ได้หยุดเก็บภาพประทับใจพร้อมกับชมซากุระเบ่งบานแบบละลานตา

  • การเดินทาง จากสถานี Yamatosaidaiji สาย KintetsuKyoto/Kashihara Line Exp. ไปลงสถานี Kashiharajingumae แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย Kintetsu Minami-osaka/YoshinoLine Exp. ไปลงสถานี Yoshino จากนั้นนั่งรถชัตเติลบัสไปลงป้าย Naka Senbon
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

6.สวนมาอิซูรุ (MAIZURU PARK)

สวนมาอิซูรุ ตั้งอยู่ภายในซากปราสาทฟูกุโอกะ ในเมืองฟูกุโอกะ จังหวัดฟูกุโอกะ อดีตเคยเป็นหนึ่งในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในเกาะคิวชู สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันเหลือเพียงแนวกำแพงบางส่วน ส่วนของฐานป้อมปราการปรับให้เป็นลานโล่งและเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวเมืองมุมสูง สวนแห่งนี้จะคึกคักและสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระออกดอกบานสะพรั่งในช่วงต้นเดือนเมษายน ชาวญี่ปุ่นนิยมมานั่งปิกนิกชมความงามของซากุระสายพันธุ์ดอกย้อยที่ค่อยๆ ไหวเอนเมื่อยามต้องลม รับรองว่าสวยงามไม่แพ้ที่อื่น

  • การเดินทาง จากสถานี Hakata นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Ohori Koen ทางออก 5 เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาที่ 3 แยก ตรงไปอีก 300 เมตร ทางเข้าอยู่ซ้ายมือ
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด เปิดตลอดเวลา

7. ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (KAWAGUCHIKO)

ทะเลสาบชื่อดังและยังเป็นสถานทีท่องเที่ยวยอดฮิต ตั้งอยู่จังหวัดยามานาชิ ที่นี่เป็นจุดชมฟูจิซังหรือภูเขาไฟฟูจิสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น รอบๆ ทะเลสาบมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวกระจายอยู่หลายจุด และในช่วงกลางเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวจะได้เห็นภาพทิวแถวของต้นซากุระที่หาชมได้ทั่วบริเวณทะเลสาบ เช่นบริเวณสวนสาธารณะยางิซากิ ตั้งอยู่ฝั่งทิศใต้ของทะเลสาบ รวมถึงบริเวณทิศเหนือของทะเลสาบ ยังมีแนวต้นซากุระให้ได้ชมความงามไปพร้อมกับได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของฟูจิซังอีกด้วย

  • การเดินทาง จากสถานี Shinjuku ให้นั่งรถไฟ ขบวน Ltd. Exp Kaiji มาลงที่สถานี Otsuki แล้วเปลี่ยนไปนั่งขบวน Fujikyu Railway ลงสถานี Kawaguchiko หรือนั่งรถบัสของบริษัท Keio Bus จากหน้าห้าง Keio (บริเวณสถานี Shinjuku วิ่งตรงมายังสถานี Kawaguchiko)
  • ค่าเข้าชม ฟรี
  • เวลาเปิด-ปิด ตลอดเวลา

ก่อนแพลนไปชมซากุระสามารถตรวจสอบพยากรณ์การบานของซากุระได้ที่เว็บพยากรณ์และการท่องเที่ยวญี่ปุ่นโดยตรง www.jnto.go.jp/sakura/eng/index.php (ภาษาอังกฤษ) และ http://sakura.weathermap.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา