10 อันดับเมือง น่าไปเรียนต่อต่างประเทศ

10 อันดับเมืองน่าไปเรียนต่อต่างประเทศ

น้องๆ ที่กำลังวางแผนไป เรียนต่อต่างประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี ทางเลือกหนึ่งที่ Allianz Travel นำมาให้น้องๆ ใช้พิจารณาก็คือการเลือกจากเมืองที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ที่มีสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและสังคมที่ดี และเป็นที่ที่เราจะต้องไปพักอาศัยอยู่ตลอดระยะเวลาที่เราศึกษาในต่างประเทศ ลองดู 10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศ ปี 2567 ที่จัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds หรือ QS สถาบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สถาบันอุดมศึกษาจากทั่วโลกที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง

เกณฑ์ในการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไป เรียนต่อต่างประเทศ

QS ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาเมืองที่น่าไปเรียนต่อต่างประเทศที่สุดในโลก โดยเปรียบเทียบจากเมืองต่างๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางในการไปศึกษาต่อกว่า 160 แห่ง และมีคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ เป็นเมืองที่มีประชากรมากกว่า 250,000 คน และเป็นเที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 2 แห่งที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกที่จัดอันดับโดย QS เพื่อเป็นการรับประกันว่าเมืองนี้จะให้ความสำคัญกับการศึกษาขั้นสูงและนักศึกษาจะได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยใช้เกณฑ์หลักๆ ในการจัดอันดับดังนี้

  1. อันดับของมหาวิทยาลัย (University rankings) พิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของมหาวิทยาลัยในแต่ละเมือ
  2. ความหลากหลายของนักศึกษา (Student mix) พิจารณาจากสัดส่วนความหลากหลายของนักเรียน
  3. ความพึงพอใจของนักศึกษา (Desirability) พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ระดับมลภาวะ และความน่าสนใจโดยรวมของเมือง
  4. การจ้างงานหลังจบการศึกษา (Employer activity) พิจารณาจากชื่อเสียงของเมืองในหมู่นายจ้างและการจ้างงานของผู้สำเร็จการศึกษาล่าสุด
  5. ความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย (Affordability) พิจารณาจากค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพทั่วไป
  6. ความคิดเห็นของนักศึกษา (Student voice) พิจารณาคะแนนรวมจากนักศึกษาในเรื่องความเป็นมิตร ความยั่งยืน และความหลากหลายของเมือง

10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ เรียนต่อต่างประเทศ ปี 2024

1. ลอนดอน สหราชอาณาจักร

ลอนดอนเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก โดยมีพลเมืองและนักเรียนจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้คุณได้พบกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ตามย่านต่างๆ ลอนดอนเป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยมากที่สุดในสหราชอาณาจักร โดยมี 3 มหาวิทยาลัยติดอันดับท็อป 50 ของโลก เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก รวมถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พิพิธภัณฑ์สงครามจักรวรรดิ และพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต ซึ่งทุกที่เข้าได้ฟรี เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองลอนดอนจัดอยู่ในประเภท ‘พื้นที่สีเขียว’ ซึ่งประกอบด้วยสวนสาธารณะ พื้นที่ส่วนกลาง ลานกีฬากลางแจ้ง และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นในขณะที่คุณอยู่ในเมืองใหญ่ คุณยังคงสามารถเชื่อมต่อกับโลกธรรมชาติได้อย่างดี หากพูดถึงค่าเล่าเรียนในลอนดอน ที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกสำหรับนักเรียนต่างชาติ นอกจากนี้ค่าเช่าและค่าครองชีพในลอนดอนยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในสหราชอาณาจักรอีกด้วย แต่ผู้ที่จบจากที่นี่ก็มีอัตราการจ้างงานสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในลอนดอนเป็นที่ต้องการของผู้จ้างงาน บริษัทต่างชาติหลายแห่งรับสมัครงานในลอนดอน เช่น Google, Amazon และ Unilever

Imperial College London

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 100 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 18 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Imperial College London (อันดับ 6 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 24,400 เหรียญสหรัฐ
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยประมาณ: 1,470-1,740 เหรียญสหรัฐ (รวมค่าที่พัก ค่าเดินทาง และการเข้าสังคม)

2. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เป็นเมืองที่ดีที่สุดในเอเชียสำหรับเรียนต่อต่างประเทศที่จัดอันดับโดย QS ปี 2024 และอยู่ในอันดับที่ 2 รองจากลอนดอนจากเมืองทั่วโลก ถึงแม้โตเกียวจะมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับระดับนานาชาติถึง 18 แห่ง แต่ก็ยังมีสัดส่วนนักศึกษาที่ต่ำมาก ข้อดีของเมืองใหญ่แบบโตเกียวคือมีสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แถมยังเป็นหนึ่งในสามศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก ควบคู่ไปกับนิวยอร์กและลอนดอน มหาวิทยาลัยยังมอบโอกาสให้นักศึกษาในการฝึกงานและทำงาน โดยมีความโดดเด่นในเรื่องการจ้างงานหลังจบการศึกษา ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนั้น โตเกียวยังได้รับคะแนนที่ดีเป็นพิเศษในด้านความพึงพอใจของนักศึกษา ซึ่งพิจารณาทั้งคุณภาพชีวิตโดยรวมในเมือง และความเป็นเมืองที่นักศึกษาต่างชาติต้องการมาศึกษาต่อด้วย

Tokyo University

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 98 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 18 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Tokyo University (อันดับที่ 28 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 8,600 เหรียญสหรัฐ

3. โซล ประเทศเกาหลีใต้

โซลเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่น เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มีสิ่งต่างๆ มากมายให้คุณค้นพบเมื่อไม่ได้อยู่ในห้องเรียน ย่านของโชซอนใจกลางเมืองเป็นหัวใจดั้งเดิมของเมืองและเป็นที่ตั้งของตลาดกลางแจ้งและวัดเก่าแก่มากมาย คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองได้โดยการเยี่ยมชมหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ 115 แห่ง โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลีและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ หากคุณต้องการหลีกหนีจากฝูงชนและเพลิดเพลินไปกับพื้นที่สีเขียวที่เปิดโล่ง กรุงโซลเต็มไปด้วยสวนสาธารณะให้คุณได้ผ่อนคลาย หากคุณต้องการเวลาพักผ่อนจากการเรียนมากขึ้น คุณสามารถไปที่วัดพุทธแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือในห้องซาวน่า หรือสปาแบบดั้งเดิม คุณจะพบกับความเงียบสงบเพิ่มเติมได้โดยออกนอกเมืองไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อสำรวจภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของเกาหลีใต้และหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์

นอกจากจะเป็นที่ตั้งของบริษัท Fortune Global 500 กว่าสิบแห่งแล้ว โซลยังเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับนวัตกรรม โดยมีบริษัทเทคโนโลยีรวมตัวกันอยู่ในสองสถานที่หลัก ได้แก่ กังนัม และ Digital Media City โซลเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการแข่งขันทางการเงินมากที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของตลาดค้าส่ง ค้าปลีก และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้อีกด้วย

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 97.6 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 20 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Seoul National University (SNU) (อันดับ 41 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 6,300 เหรียญสหรัฐ

4. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

เมลเบิร์นเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายมากที่สุดในออสเตรเลีย ที่นี่มีนักศึกษาต่างชาติประมาณ 94,000 คนจากทั่วโลก นอกจากนี้ ประชากรเมลเบิร์นประมาณร้อยละ 40 ยังเกิดในต่างประเทศ เมลเบิร์นมีชื่อเสียงในฐานะเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมและอาหารของออสเตรเลีย โดยมีร้านกาแฟและวัฒนธรรมอาหารมื้อสายที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงอาหารเอเชียที่ดีที่สุดที่อยู่นอกเอเชีย เมืองนี้มีเครือข่ายรถไฟ รถราง และรถประจำทางที่ครอบคลุมซึ่งทำให้การเดินทางในเมืองเป็นเรื่องง่าย แต่หากพูดถึงค่าใช้จ่าย ทั้งค่าธรรมเนียมและค่าครองชีพถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก แต่สำหรับมาตรฐานการครองชีพที่สูงและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่น่าทึ่ง เมลเบิร์นยังคงติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอยู่เสมอ และเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงชายหาดที่สวยงาม สถานบันเทิงยามค่ำคืน และวันที่มีแสงแดดสดใส ปฏิทินวัฒนธรรมของเมืองอัดแน่นตลอดทั้งปี ครอบคลุมทั้งศิลปะ การแสดงตลก ดนตรี ภาพยนตร์ แฟชั่น และงานเฉลิมฉลองหลากวัฒนธรรม

University of Melbourne

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 98.4 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 7 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: University of Melbourne (อันดับ 14 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 29,400 เหรียญสหรัฐ
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยประมาณ: 1,400 ถึง 3,920 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับว่าเลือกพักอาศัยในวิทยาเขตหรือพักในที่พักส่วนตัว รวมค่าที่พัก ค่าสาธารณูปโภค ค่าเข้าสังคม ค่าของชำ ค่าขนส่ง และอื่นๆ)

5. มิวนิค ประเทศเยอรมนี

มิวนิก เมืองหลวงของแคว้นบาวาเรียซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของเยอรมนี มอบมาตรฐานการครองชีพระดับสูงให้กับนักศึกษาในราคาที่เอื้อมถึง แม้ว่าค่าครองชีพอาจดูสูงกว่าเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก แต่ก็สมส่วนกับคุณภาพชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นในตัวบ่งชี้ความพึงพอใจ ซึ่งมิวนิกอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก มิวนิกมีสถานที่ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในประเทศ ตั้งแต่สวนพฤกษศาสตร์ไปจนถึงเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ เทือกเขาแอลป์ ป่าไม้ และทะเลสาบ เหมาะสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยและให้ความสำคัญกับธรรมชาติ หลีกหนีจากชีวิตในเมืองที่จอแจ ทุกปีจะมีนักศึกษาต่างชาติกว่า 17,400 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของนักเรียนทั้งหมด เดินทางไปที่มิวนิกเพื่อเริ่มต้นเส้นทางการศึกษา ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีไปจนถึงระดับสูง ทำให้เมืองนี้ได้รับคะแนนที่ดีเยี่ยมสำหรับความหลากหลายของนักศึกษาที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและวัฒนธรรมที่แตกต่างที่มีอยู่ทั่วทั้งเมือง

Technical University of Munich

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 97.1 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 2 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Technical University of Munich (อันดับ 37)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 300 เหรียญสหรัฐ (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ)

6. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ปารีสเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติที่สำคัญและเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย 9 แห่งที่อยู่ในการจัดอันดับของ QS มหาวิทยาลัยชั้นนำของปารีสและโรงเรียนเฉพาะทางหลายแห่งได้ผลิตนักปรัชญา นักทฤษฎี นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ผู้นำทางธุรกิจ และนักคณิตศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ในวรรณคดี ภาพยนตร์ และศิลปะ สถานที่สำคัญและพิพิธภัณฑ์ที่น่าประทับใจที่สุดของยุโรปบางแห่งตั้งอยู่ในปารีส รวมถึงหอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประตูชัยฝรั่งเศส และถนนช็องเซลีเซ ปารีสยังเป็นเมืองแห่งแสงสี แฟชั่น อาหาร ศิลปะ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมที่คึกคัก แม้ว่าปารีสจะมีเรื่องค่าครองชีพที่สูง แต่ก็มีความสมดุลอย่างมากกับค่าเล่าเรียนที่ค่อนข้างต่ำสำหรับนักศึกษาต่างชาติ

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 96.3 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 9 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Université PSL (อันดับ 24)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 2,400 เหรียญสหรัฐ

7. ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเศรษฐกิจของออสเตรเลียแล้ว ซิดนีย์ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกเท่านั้นและเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย นอกจากนี้ ซิดนีย์ยังมีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพอันงดงามของท่าเรือ โรงละครโอเปร่าอันเป็นเอกลักษณ์ อากาศไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป มีกิจกรรมกลางแจ้งมาก พื้นที่สีเขียวที่มีให้เลือกหลายแห่งภายในเมือง และอยู่ไม่ไกลจากชายหาดซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามที่สุดโลก และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจากทั้ง Mercer และ The Economist ซิดนีย์ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายและเป็นมิตรมากที่สุดในโลก ช่วยให้นักศึกษาต่างชาติได้เพลิดเพลินกับวิถีชีวิตแบบออสเตรเลีย

University of Sydney

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 96.2 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 5 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: University of Sydney และ University of New South Wales (UNSW) (อันดับ 19 เท่ากัน)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 29,000 เหรียญสหรัฐ

8. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

เบอร์ลินนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ถือว่าทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นทั้งศูนย์กลางด้านการออกแบบ แฟชั่น ดนตรี และศิลปะที่สำคัญเทียบเท่านิวยอร์กหรือลอนดอน เบอร์ลินมีทั้งวัฒนธรรมที่ไม่มีใครเทียบได้และตลาดการเงินที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เบอร์ลินครองอันดับหนึ่งจากความคิดเห็นของนักศึกษา เนื่องจากคุณภาพชีวิตที่ดี ค่าใช้จ่ายที่เอื้อมถึง บรรยากาศเสรี ตลอดจนการจัดงานเทศกาลและวงการดนตรีที่เป็นที่นิยม เมืองหลวงของเยอรมนีแห่งนี้จึงมีความพร้อมมากมายสำหรับนักศึกษาต่างชาติจากทุกมุมโลก เบอร์ลินมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพชีวิตระดับสูง พร้อมด้วยที่อยู่อาศัยและการเดินทางราคาไม่แพง รวมถึงการดูแลสุขภาพที่เป็นเลิศ ที่สำคัญคือค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีทั้งหมดฟรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ และผู้สำเร็จการศึกษามีโอกาสได้งานที่ดี เนื่องจากบริษัทต่างชาติต้องการจ้างผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเยอรมนี

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 95 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 3 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Freie Universitäet Berlin (อันดับ 98 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 500 เหรียญสหรัฐ (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ)

9. ซูริก สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงด้านการศึกษาระดับโลก ในปี 2567 มหาวิทยาลัยในเมืองซูริก 2 แห่งอยู่ใน 100 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ETH Zurich และมหาวิทยาลัยซูริก ซูริกเป็นศูนย์กลางระดับนานาชาติ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และเป็นหนึ่งในเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ความมั่งคั่งทำให้ซูริกเป็นเมืองที่สะอาด ปลอดภัย และได้รับการดูแลอย่างไม่มีที่ติ มีภูมิประเทศทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของยุโรป และมักติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าซูริกจะเป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าครองชีพที่สูง แต่ก็ชดเชยด้วยค่าเล่าเรียนสำหรับนักศึกษาต่างประเทศที่ไม่แพงนักเมื่อเที่ยบกับเมืองอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา หรือออสเตรเลีย เป็นต้น นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลกในการทำงาน โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและโอกาสในการทำงานที่ดีสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 95 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 2 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: ETH Zurich (อันดับ 7 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 2,100 เหรียญสหรัฐ

10. บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

บอสตันเป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตัวเมืองมีทั้งส่วนผสมของความเร่งรีบและความคึกคักของมหานครใหญ่ที่เข้ากับฉากศิลปะ การเมือง และวัฒนธรรม เข้ากับพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งของสวนสาธารณะขนาดใหญ่ นอกจากนี้ บอสตันยังเป็นศูนย์กลางทางวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แถมยังอยู่ไม่ไกลจากเพื่อนบ้านอย่างเมือง Cambridge ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันเก่าแก่และมีชื่อเสียงอย่าง Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ Harvard University ทำให้บอสตันอยู่ในอันดับที่สูงที่สุดในด้านที่นักศึกษาได้รับการจ้างงานหลังจบการศึกษา สะท้อนให้เห็นถึงชื่อเสียงในระดับนานาชาติของสถาบันต่างๆ ในหมู่ผู้จ้างงานระดับบัณฑิตศึกษาทั่วโลก

Massachusetts Institute of Technology (MIT)

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 92.3 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 8 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Massachusetts Institute of Technology (MIT) (อันดับ 1 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 59,000 เหรียญสหรัฐ

การเลือกเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศของคุณ

แน่นอนว่าการตัดสินใจเลือกที่เรียนต่อต้องมีหลายปัจจัยที่มากกว่าแค่ดูจากการจัดอันดับการเลือกเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไป เรียนต่อต่างประเทศ คุณอาจเริ่มดูจากการจัดอันดับตามความสำคัญของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอยากไปอยู่เมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือเรื่องค่าใช้จ่ายมีความสำคัญต่อการเลือกเมืองของคุณมากกว่า สิ่งนี้จะเป็นแนวทางในการตัดสินใจเบื้องต้นของคุณ และคุณก็อาจหาข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ชีวิตจริงของนักศึกษาที่อยู่ที่นั่น รวมถึงไลฟ์สไตล์ และโอกาสพิเศษที่คุณจะได้รับ

คุณอาจจะต้องพิจารณาโอกาสระยะยาวของการเรียนในเมืองใดเมืองหนึ่งอีกด้วย อย่างเช่น โอกาสในการจ้างงานหลังจากสำเร็จการศึกษา และคุณภาพชีวิตโดยรวม ที่ช่วยส่งผลต่อการเติบโตทางอาชีพและส่วนบุคคลของคุณในระยะยาว 

การไป เรียนต่อต่างประเทศ เป็นสิ่งที่คุณต้องคิดและเตรียมตัวอย่างรอบคอบ ไม่เพียงแต่เรื่องที่เรียน ที่พัก และองค์ประกอบอื่นๆ ประกันเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ทั้งตัวคุณและคนที่อยู่ทางบ้านอุ่นใจว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองหากคุณเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ ระหว่างที่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งเรื่องการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ เหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นขณะไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุด หรือค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยขณะกลับมาเยี่ยมบ้าน ประกันสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel มีให้คุณเลือกถึง 3 แผน ที่คุณสามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : Best Student Cities | Top Universities

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทางสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ จาก Allianz Travel

9 สิ่งที่คุณควรรู้ ในการ เตรียมตัวศึกษาต่อต่างประเทศ

9 สิ่งที่คุณควรรู้ การเตรียมตัว ศึกษาต่อต่างประเทศ

การศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นหนึ่งในการเดินทางออกไปผจญภัยครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อคุณสมัครเข้าเรียนในโปรแกรมที่ตรงกับความต้องการหรือเป้าหมายของคุณแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางครั้งใหญ่ของคุณ คุณเริ่มมีคำถามมากมาย อย่างเช่น ต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องมีประกันภัยการเดินทางหรือไม่ ควรจัดการกับเงินและโทรศัพท์อย่างไรขณะอยู่ต่างประเทศ Allianz Travel พร้อมให้ความช่วยเหลือและแนะนำแนวทางเบื้องต้น อ่าน 9 สิ่งที่คุณต้องรู้ ในการเตรียมตัว ศึกษาต่อต่างประเทศ เพื่อให้คุณเดินทางได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้นค่ะ

1. ทำหนังสือเดินทางและขอวีซ่า

คุณต้องมีหนังสือเดินทางเพื่อเดินทางและศึกษาต่อต่างประเทศ หากคุณมีอยู่แล้ว ตรวจเช็คว่าหมดอายุหรือยัง และถ้ายังไม่หมดอายุ ก็ควรมีอายุมากกว่า 6 เดือนก่อนวันที่ออกเดินทาง นอกจากนี้ หากคุณเคยเดินทางไปต่างประเทศบ่อย คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีหน้าว่างในหนังสือเดินทางของคุณ ดูสถานที่ทำพาสปอร์ตในกรุงเทพและปริมณฑลได้ที่นี่

การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - ทำหนังสือเดินทางและขอวีซ่า

นอกจากหนังสือเดินทางแล้ว คุณอาจต้องขอวีซ่าเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ละประเทศมีข้อกำหนดในการขอวีซ่าที่แตกต่างกัน อ่านระเบียบข้อบังคับของประเทศที่คุณต้องการไปศึกษาจากเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศหรือสถานทูตของประเทศนั้นๆ หรือติดต่อขอข้อมูลเกี่ยวกับข้อกำหนดของวีซ่าและข้อจำกัดการเดินทางจากสถานทูตหรือสถานกงสุลที่ใกล้ที่สุดของประเทศที่คุณวางแผนจะไป การยื่นคำร้องขอวีซ่าอาจใช้เวลาหลายวันไปจนถึงหลายเดือนในการดำเนินการ ดังนั้นอย่ารอช้า! คุณอาจจำเป็นต้องตรวจร่างกายและประวัติ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละประเทศ

2. ไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ

วางแผนไปพบแพทย์และตรวจร่างกายก่อนออกเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีสุขภาพที่ดี นำประวัติทางการแพทย์ของคุณติดตัวไปด้วยเผื่อเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินในต่างประเทศ เช็คข้อกำหนดการฉีดวัคซีนของประเทศปลายทาง และจองเวลาฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะแจ้งประเภทของวัคซีนที่คุณต้องฉีดมาให้คุณทราบล่วงหน้า (ถ้ามี) แต่หากคุณอยากได้ข้อมูลล่าสุด คุณอาจต้องติดต่อศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค

การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - ไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ

ถ้าคุณมีโรคประจำตัวที่ต้องทานยาตามใบสั่งแพทย์เป็นประจำ คุณต้องการนำยาติดตัวไปให้เพียงพอสำหรับการอยู่ต่างประเทศตลอดระยะเวลาที่ศึกษาต่อ (ถ้าเป็นไปได้) ยาที่นำติดตัวไปต้องบรรจุในภาชนะที่มีฉลากถูกต้อง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่าเป็นยาที่ผิดกฎหมาย คุณควรนำใบสั่งยาหรือบันทึกที่ลงนามโดยแพทย์ของคุณมาด้วย

3. ดูเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาเพื่อหาตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพง

ปัจจุบัน การหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกจะเป็นเรื้องของช่วงเวลาและโชคช่วย ค่าตั๋วอาจมีราคาแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับวันและเวลาที่คุณต้องการบินและสถานที่ที่คุณซื้อตั๋ว เข้าเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาเพื่อหาเที่ยวบินที่ราคาถูกที่สุดสำหรับวันที่คุณต้องการ นอกจากนี้ คุณอาจสอบถามจากตัวแทนที่จัดการเรื่องการศึกษาต่อต่างประเทศ เพราะพวกเขาสามารถจัดหาตั๋วที่มีความยืดหยุ่นและราคาไม่แพงสำหรับนักเรียนที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศให้ได้

การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - ดูเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาเพื่อหาตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพง

ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ สอบถามไว้ก่อนว่าตั๋วสามารถเปลี่ยนแปลงวันเดินทางได้หรือไม่ เพราะคุณคงไม่อยากซื้อตั๋วใหม่ทั้งใบ หากคุณตัดสินใจที่จะอยู่ต่างประเทศนานขึ้นอีกหน่อย! สายการบินส่วนใหญ่จะมีค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนวันเดินทางบวกกับส่วนต่างของราคา แต่ตั๋วบางประเภทสามารถเปลี่ยนวันได้โดยไม่ต้องสียค่าใช้จ่าย

เราขอแนะนำให้คุณเดินทางไปถึงล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วันก่อนวันเปิดเทอม เพื่อช่วยให้คุณปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่หรืออาการเจ็ทแล็ก

4. ศึกษาประเพณีท้องถิ่นของประเทศจุดหมายปลายทาง

การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - ศึกษาประเพณีท้องถิ่นของประเทศจุดหมายปลายทาง

ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ใช้เวลาศึกษาทำความคุ้นเคยกับประเทศปลายทางของคุณให้ดียิ่งขึ้น อย่างเช่น เรื่องวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ รัฐบาล และสิ่งอื่นๆ พูดคุยกับคนอื่นๆ ที่เคยอยู่ที่นั่นและหาโอกาสชมภาพยนตร์และอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศและวัฒนธรรมของประเทศนั้น เรียนรู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ

5. ฝึกฝนทักษะทางภาษาของคุณ

ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศไหน หากไม่ใช่ประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ คุณควรเรียนรู้คำพูดหรือวลีพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไปในภาษาของประเทศนั้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสื่อสารกับเพื่อนนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ง่ายขึ้น ความพยายามที่จะสื่อสารกับใครสักคนในภาษาของพวกเขา แสดงว่าคุณกำลังให้ความสนใจกับวัฒนธรรมของพวกเขา และช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้ในระยะยาว

การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - ฝึกฝนทักษะทางภาษาของคุณ

ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดง่ายๆ ยังช่วยให้คุณเอาตัวรอดในสถานการณ์ประจำวัน เช่น การสั่งอาหารหรือการสอบถามเส้นทาง ช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจและมั่นใจในสิ่งรอบตัว เนื่องจากคุณจะสามารถพูดจาโต้ตอบง่ายๆ ได้มากขึ้น

คุณอาจเตรียมพร้อมสำหรับประสบการณ์การเรียนในต่างประเทศด้วยการลงทะเบียนเรียนภาษา ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่พูดภาษานั้นๆ ได้ ดาวน์โหลดแอปภาษา เพื่อใช้ในการพูดคุยในชีวิตประจำวันของคุณ เป็นต้น

6. เตรียมการเงินของคุณสำหรับการไป ศึกษาต่อต่างประเทศ

การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - เตรียมการเงินของคุณ

ตั้งค่าบัญชีออนไลน์

จัดการเปิดบัญชีธนาคารออนไลน์และตั้งค่าให้เรียบร้อย เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการเงินของคุณในขณะที่อยู่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่คุณสามารถใช้บัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต เพื่อกดเงินสดในสกุลเงินท้องถิ่น นอกจากนี้ สอบถามให้แน่ใจว่าบัตรเครดิตของคุณไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ มิฉะนั่นคุณต้องเสียเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก หากคุณใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้ารายวัน

แจ้งธนาคารและผู้ให้บริการบัตรของคุณว่าคุณจะไป ศึกษาต่อต่างประเทศ

คุณต้องแจ้งธนาคารและผู้ให้บริการบัตรเครดิตของคุณเกี่ยวกับแผนการศึกษาต่อในต่างประเทศ มิฉะนั้น คุณอาจเสี่ยงที่จะถูกล็อคบัญชีของคุณขณะอยู่ต่างประเทศได้ เพราะพวกเขาอาจตั้งค่าสถานะว่าเป็นการฉ้อโกง

นำเงินสดสำรองไปด้วย

นำเงินสดสำรองไปใช้สำหรับ 2-3 วันแรก และในกรณีฉุกเฉิน แลกเงินในสกุลเงินของประเทศปลายทางของคุณประมาณ 5,000-10,000 บาท หากคุณไม่สามารถแลกสกุลเงินนั้นๆ ได้ที่ประเทศไทย ให้นำดอลลาร์สหรัฐติดตัวไปหรือกดถอนเงินสดที่ตู้ ATM ในสนามบินปลายทางทันทีที่คุณมาถึง

7. การจัดเตรียมของที่จะนำไปด้วย

พยายามนำของไปให้น้อยที่สุด สอบถามสายการบินเรื่องน้ำหนักสัมภาระที่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่องและถือขึ้นเครื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมของสัมภาระที่น้ำหนักเกิน สายการบินส่วนใหญ่จะอนุญาตจำนวนสัมภาระดังต่อไปนี้:

  • กระเป๋าใบใหญ่ที่โหลดใต้ท้องเครื่องไม่เกิน 2 ใบ
  • กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง เช่น เป้สะพายหลัง 1 ใบ
  • กระเป๋าใส่ของใช้ส่วนตัว เช่น กระเป๋าเงิน  1 ใบ

เคล็ดลับการจัดกระเป๋าสำหรับการไป ศึกษาต่อต่างประเทศ

  • นำอุปกรณ์อาบน้ำขนาดพกพาติดตัวไปด้วยเพื่อใช้ในช่วงสองสัปดาห์แรกของคุณ
  • ทิ้งผ้าเช็ดตัวหรือผ้าปูที่นอนไว้ที่บ้าน เพราะจะทำให้เปลืองพื้นที่ในกระเป๋า ควรไปหาซื้อที่ประเทศปลายทาง
  • นำรองเท้ามาสัก 3-4 คู่ (ถ้าจำเป็น)
  • นำหัวแปลงปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคุณติดไปด้วย
  • นำภาพถ่ายครอบครัวหรือภาพความทรงจำของครอบครัมมาด้วยเพื่อช่วยแก้อาการคิดถึงบ้าน
  • หากคุณสวมแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ อย่าลืมนำแว่นสำรองติดตัวไปด้วย
การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - การจัดเตรียมของที่จะนำไปด้วย

ขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลนักเรียนหรือนักศึกษาต่างประเทศว่าควรนำของใช้จำเป็นอะไรไปบ้าง ซึ่งของบางอย่างสามารถหาซื้อได้ในต่างประเทศและราคาไม่แพง ศึกษาสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง ถ้าคุณกำลังเดินทางไปประเทศที่อยู่ทางใต้ของเส้นศูนย์สูตรในเดือนมกราคม คุณก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย

อย่าลืมนำรูปถ่าย สูตรอาหาร และของที่ระลึกจากที่บ้านมาด้วย เพราะของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยได้ในช่วงเวลาที่คิดถึงบ้าน นำสมุดบันทึกมาจดประสบการณ์การศึกษาต่อในต่างประเทศของคุณ นอกจากนี้ ของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ จากประเทศไทย ยังเป็นของขวัญที่ดีสำหรับเพื่อนใหม่หรือครอบครัวอุปถัมภ์

8. หาข้อมูลแพคเกจผู้ให้บริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต

การเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ - หาข้อมูลแพคเกจผู้ให้บริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต

การใช้โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเมื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ คุณอาจต้องโทรติดต่อคนที่มารับที่สนามบิน ค้นหาสถานที่สำคัญหรือดูเส้นทางการเดินทางผ่าน Google Maps หาข้อมูลรถรับส่งก่อนที่คุณจะเดินทาง ใช้แอปหรือโซเชียลมีเดียเพื่อโทรและส่งข้อความถึงคนที่บ้านได้โดยไม่เสียค่าบริการระหว่างประเทศ ก่อนซื้อแพคเกจการใช้งานอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ระหว่างประเทศจากผู้ให้บริการในประเทศไทย คุณควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบกับราคาแพคเกจโทรศัพท์มือถือในประเทศปลายทาง นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ ให้เตรียมโทรศัพท์สำรองราคาถูกไว้ด้วย เผื่อมีเหตุเกิดขึ้นกับโทรศัพท์ของคุณ!

9. ทำประกันภัยการเดินทางสำหรับ ศึกษาต่อต่างประเทศ

การมีประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่เชื่อถือได้ในขณะที่คุณกำลังศึกษาในต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงความคุ้มครองสำหรับการเคลื่อนย้ายฉุกเฉินและการส่งตัวกลับประเทศ (แต่หวังว่าจะไม่เกิดเหตุเช่นนั้น!) ประกันสุขภาพของคุณอาจคุ้มครองคุณในต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์อื่นๆ* ที่คุณจะได้รับเพิ่มเติมจากประกันภัยสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น:

  • เที่ยวบินล่าช้า
  • กระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัวสูญหาย
  • การพลาดการต่อเที่ยวบิน
  • ความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก
  • ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย เมื่อเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านชั่วคราว

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่เราควรมีติดตัวไว้ระหว่าง ศึกษาต่อต่างประเทศ คือ ประกันภัยสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ที่จะช่วยให้คุณและครอบครัวอุ่นใจ ยามที่คุณต้องอยู่ไกลบ้าน ให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นขณะไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุด หรือค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยขณะกลับมาเยี่ยมบ้าน อ่านรายละเอียดความคุ้มครองของ ประกันภัยสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel ได้ที่นี่*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Preparing for Study Abroad: 9 Things You Need to Know | Go Overseas

เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

ประกันเดินทางสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ จำเป็นหรือไม่?

ประกันเดินทางสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ จำเป็นหรือไม่

นักเรียนหรือนักศึกษาที่กำลังจะเริ่มต้นผจญภัยครั้งใหม่กับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ต้องเตรียมตัวรับมือกับวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย และบางครั้งอาจทำอะไรไม่ถูก หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่ออยู่ไกลบ้าน อย่างเช่น เจ็บป่วยกะทันหันจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ประสบอุบัติเหตุ ปัญหาทรัพย์สินหรือกระเป๋าเดินทางสูญหายหรือเสียหายระหว่างเดินทางกับขนส่งสาธารณะ เที่ยวบินเกิดการล่าช้าและต้องติดอยู่ที่สนามบินเป็นเวลานาน เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เสียเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นเพื่อความอุ่นใจ และมั่นใจได้ว่าจะมีตัวช่วยยามเกิดปัญหา สิ่งหนึ่งที่จำเป็นและควรเตรียมพร้อมไปจากเมืองไทยก็คือประกันภัยสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ที่ช่วยคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากเหตุดังกล่าว

ความแตกต่างระหว่างประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศและประกันสุขภาพสำหรับนักเรียนต่างชาติ

ประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมตั้งแต่วินาทีที่เดินทางออกจากประเทศไทยสูงสุด 2 ปี นอกจากความคุ้มครองขณะที่กำลังเรียนอยู่ต่างประเทศ ยังให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินขณะกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราวกรณีศึกษาระยะยาวมากกว่า 1 ปี ซึ่งแตกต่างกับประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติที่คุ้มครองคุณเฉพาะในช่วงเวลาระหว่างการศึกษาในต่างประเทศเท่านั้น

ประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศประกันสุขภาพสำหรับนักเรียนต่างชาติ
ให้ความคุ้มครองตั้งเริ่มต้นออกเดินทางจากประเทศไทยจนถึงช่วงระหว่างการศึกษา และยังมีความคุ้มครองรวมถึงค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินขณะกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และต้องเดินทางกลับไปศึกษาต่อให้ความคุ้มครองในช่วงเวลาระหว่างศึกษาต่อและสามารถต่ออายุได้ตลอดการศึกษาในต่างประเทศ
ต้องทำประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศก่อนเดินทางจากประเทศไทยสามารถทำประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติได้ทั้งก่อนออกเดินทางจากประเทศไทยหรือหลังจากเดินทางไปถึงต่างประเทศ
คุ้มครองการสูญเสียค่าเล่าเรียน หากเกิดเหตุที่ไม่สามารถศึกษาต่อได้ในภาคเรียนที่จ่ายเงินไปแล้วไม่คุ้มครองการสูญเสียค่าเล่าเรียน
คุ้มครองการสูญหาย หรือความเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัวไม่คุ้มครองการสูญหาย การโจรกรรม หรือความเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัว
คุ้มครองการเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉินและการส่งกลับประเทศคุ้มครองการเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉินและการส่งกลับประเทศ
เหมาะสำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาต่อระยะสั้นและต้องการความคุ้มครองระหว่างช่วงเวลาการเดินทางเหมาะสำหรับนักเรียนและนักศึกษาที่จะพำนักอยู่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 24 เดือน

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ เหมาะสำหรับใครบ้าง?

  • นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนคอร์สภาษาระยะสั้น
  • นักเรียนหรือนักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาต่อในหลักสูตรระยะยาวกับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
  • เดินทางเพื่อทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ

หมายเหตุ:

ข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้เอาประกันภัยขึ้นอยู่กับบริษัทที่คุณซื้อประกัน ดูรายละเอียดประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ครอบคลุมอะไรบ้าง?

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care ของ Allianz Travel ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางและช่วงเวลาที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงค่ารักษาพยาบาลสำหรับอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยกะทันหัน การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน การสูญเสียหรือเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินระหว่างใช้บริการขนส่งสาธารณะ เป็นต้น

ตัวอย่างความคุ้มครอง*

  • ชดเชยค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุสูงสุด 5,500,000 บาท
    • ค่าแพทย์ ค่ายา ค่ารถพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน ค่าห้องพักผู้ป่วยหนัก
    • ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินขณะกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และต้องเดินทางกลับไปศึกษาต่อ
    • ค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย หากมีความจำเป็นต้องได้รับการติดตามผลการรักษาต่อเนื่อง
  • ชดเชยการสูญเสียค่าเล่าเรียนสูงสุด 300,000 บาท หากเกิดเหตุที่ไม่สามารถศึกษาต่อได้ในภาคเรียนที่จ่ายเงินไปแล้ว
  • ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหาร เพื่อให้ญาติสนิทเดินทางไปเยี่ยมผู้เอาประกันภัย กรณีผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาตัวในฐานะผู้ป่วยในขณะอยู่ต่างประเทศนานกว่า 5 วัน ในการเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือต้องเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉินกลับประเทศไทย
  • ค่าเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน กรณีผู้เอาประกันภัยได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยกระทันหัน รวมถึงการเคลื่อนย้ายเพื่อนำผู้เอาประกันภัยกลับสู่ประเทศไทย
  • คุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายอันเกิดจากการบาดเจ็บทางร่างกายโดยอุบัติเหตุ จนทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สูญเสียการมองเห็นหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง
  • ชดเชยการสูญหายหรือเสียหายของกระเป๋าเดินทางหรือทรัพย์สินส่วนตัว ขณะเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะ
  • ประกันความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองสำหรับความรับผิดตามกฎหมายที่ผู้เอาประกันภัยต้องชดใช้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างเดินทางในต่างประเทศ 

เลือกประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ แผนไหนดี?

ประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศแต่ละแผนมีความคุ้มครองและวงเงินผลประโยชน์ความคุ้มครองที่มากน้อยแตกต่างกัน ควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไข ข้อกำหนด เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ และรายละเอียดกรมธรรม์อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อประกันภัย

ขั้นตอนการซื้อประกันสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ

Allianz Travel นำเสนอประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศผ่านทางหน้าเว็บไซต์ ซึ่งคุณสามารถซื้อได้อย่างสะดวกและง่ายดาย เพียงเลือกประเทศจุดหมายปลายทาง ระยะเวลาในการเดินทางนับตั้งแต่วันที่ออกเดินทางไปจนถึงวันที่เดินทางกลับ หลังจากนั้นคุณจะได้เห็นตัวเลือกของแต่ละแผนที่มีสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองที่แตกต่างกัน อ่านและทำความเข้ารายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองก่อนทำการชำระเงิน เพียงแค่ไม่กี่นาที คุณก็จะได้รับกรมธรรม์ประกันภัยทางที่อยู่อีเมลที่คุณแจ้งไว้

ข้อควรทราบก่อนซื้อประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ

  • ไม่ควรซื้อแผนที่ถูกที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายตอนซื้อ แต่แผนประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศที่ราคาถูกอาจไม่ได้ให้ความคุ้มครองครบในสิ่งที่คุณต้องการในยามฉุกเฉิน
  • เลือกแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในระดับที่เหมาะสม เหมาะกับค่าใช้จ่ายในประเทศที่กำลังจะไปศึกษา
  • อ่านเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างละเอียด ดูว่าสิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับครอบคลุมอะไรบ้าง และมีเงื่อนไขเพิ่มเติมหรือข้อยกเว้นอะไรบ้าง
  • ตรวจเช็คว่าแผนที่คุณเลือกเป็นไปตามข้อกำหนดของโรงเรียนหรือข้อกำหนดของวีซ่านักเรียนหรือไม่
  • ศึกษาวิธีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หากเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้เตรียมเอกสารและดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
  • เลือกบริษัทที่มีเบอร์โทรติดต่อ และให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง 

ประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ มีระยะเวลาคุ้มครองนานแค่ไหน?

ประกันสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศของ Allianz Travel สามารถเลือกระยะเวลาความคุ้มครองให้ตรงตามระยะเวลาที่คุณจะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศได้ตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 24 เดือน และความคุ้มครองจะเริ่มต้นตั้งแต่วินาทีที่คุณเดินทางออกจากประเทศไทย

ควรทำประกันเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ตอนไหน?

เงื่อนไขสำคัญของการทำประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศคือคุณจะต้องซื้อก่อนออกเดินทางจากประเทศไทยอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หากคุณเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว คุณจะไม่สามารถซื้อประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศจากบริษัทในประเทศไทยได้ แต่ในบางกรณี คุณอาจต้องซื้อประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบในการยื่นขอวีซ่า หรือแสดงต่อสถาบันการศึกษาที่คุณสมัครตามข้อกำหนด เพื่อให้ได้เอกสารยืนยันการรับคุณเข้าเรียน

ประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?

ราคาของประกันภัยสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศขึ้นอยู่กับ:

  • ระยะเวลาที่คุณต้องการความคุ้มครอง หากคุณเดินทางนาน ค่าเบี้ยก็จะสูงขึ้น
  • วงเงินผลประโยชน์ความคุ้มครอง หากคุณเลือกแผนประกันที่มีวงเงินสูง คุณจะต้องจ่ายค่าเบี้ยในราคาที่แพงขึ้น

ประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นข้อบังคับหรือไม่?

ในกระบวนการขอวีซ่าสำหรับบางประเทศ อาจมีข้อกำหนดให้ยื่นประกันภัยการเดินทางหรือประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศสำหรับนักเรียนที่กำลังจะไปศึกษาต่อต่างประเทศร่วมกับการขอวีซ่านักเรียน เพื่อแสดงให้สถานทูตเห็นว่าคุณมีประกันภัยการเดินทางเพียงพอสำหรับช่วงเริ่มต้นของการศึกษา แต่ถึงแม้ว่าคุณจะไปศึกษาในประเทศที่ไม่ได้กำหนดให้ต้องมีประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ ก็ไม่ควรประมาท การซื้อประกันการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศไว้จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจไร้กังวลหากต้องเจอกับประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างเดินทางอยู่ต่างประเทศ เช่น การเจ็บป่วยหรือการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งการมีประกันภัยศึกษาต่อต่างประเทศไว้ ช่วยให้คุณและครอบครัวอุ่นใจ แม้ยามที่คุณต้องอยู่ไกลบ้าน อ่านรายละเอียดความคุ้มครองของประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel ได้ที่นี่*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

มหาวิทยาลัยในอเมริกา

10 อันดับ มหาวิทยาลัยในอเมริกา 2023

ช่วงนี้เป็นช่วงที่นิสิตนักศึกษากำลังจะเริ่มเปิดเทอม หรือบางคนก็กำลังหาข้อมูลที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ และประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ละที่ก็มีคุณภาพคับแก้ว มีการเรียนการสอนที่ดี มีศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมากมาย  ทำให้ยากที่จะตัดสินว่าจะเลือกสมัครที่ไหนดี วันนี้ Allianz Travel รวบรวมข้อมูล 10 อันดับ มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่ดีที่สุดในปี 2023 (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2565) จัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds (QS) หรือ QS World University Rankings ซึ่งเป็นองค์กรการให้ข้อมูลในด้านการศึกษาและการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เรามาทำความรู้จักมหาวิทยาลัยเหล่านั้นกันเลยค่ะ

1. Massachusetts Institute of Technology (MIT)

Massachusetts Institute of Technology (MIT)

มหาวิทยาลัยที่ได้อันดับ 1 จากการจัดอันดับของ QS ในปีนี้คือ “สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์” ก่อตั้งขึ้นในปี 1861 เป็นสถาบันชั้นนำทางเทคโนโลยี ดังนั้นสาขาวิชาชื่อดังของที่นี่ย่อมหนีไม่พ้นวิศวกรรมศาสตร์ในสาขาต่างๆ และยังมีสาขาเคมีและฟิสิกส์อีกด้วยเช่นกัน เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นที่รู้กันว่ามีเด็กได้เหรียญโอลิมปิค (International Olympic Medals, IOM) มากมายโดยเฉพาะทางด้าน Science และ Math จึงมีนักเรียนทุนรัฐบาลไทยไปเรียนที่นี่จำนวนไม่น้อย รับรองว่าทั้งการเรียนการสอน และการวิจัยของที่นี่เข้มข้นแน่นอน

ที่ตั้ง: เมือง Cambridge รัฐ Massachusetts อยู่ห่างจากสนามบิน Boston Logan 8 กิโลเมตร ขับรถเพียง 12 นาที 

ค่าเทอมต่อปี: 55,878 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับเข้าเรียน: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://web.mit.edu/

2. Stanford University

Standford University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Standford University

มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดก่อตั้งขึ้นในปี 1891 และได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 3 สถาบันชั้นนำทางเทคโนโลยีในอเมริกา สาขาวิชาที่ดังมากๆ คือ วิทยาศาสตร์การแพทย์ ฟิสิกส์ และเศรษฐศาสตร์ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเท่านั้นที่ดีนะคะ เพราะด้านกีฬาก็เด่นมากด้วยเหมือนกัน ทั้งเรื่องอเมริกันฟุตบอล เทนนิส และกอล์ฟ แสตนฟอร์ดเคยได้รับถ้วยรางวัล Director’s Cup ที่มอบให้กับมหาวิทยาลัยที่ประสบความสำเร็จด้านกีฬามากที่สุดเป็นเวลาถึง 11 ปีติดต่อกัน!

ที่ตั้ง: เมือง Stanford รัฐ California อยู่ห่างสนามบิน San Francisco International Airport (SFO) เพียง 38 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาทีเท่านั้น

ค่าเทอมต่อปี: 56,169 เหรียญ

อัตราการตอบรับเข้าเรียน: 5% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.stanford.edu/

3. Harvard University

Harvard University

เราเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก “มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด” อย่างแน่นอน เพราะเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงในระดับโลก และ เป็น มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่เก่าแก่ที่สุด ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1636 มีชื่อเสียงทุกด้านจนแทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ซึ่งมาจากคุณภาพทางวิชาการ คุณภาพของคณาจารย์ที่สอน และคุณภาพของนักศึกษา เป็นมหาวิทยาลัยที่ปั้นประธานาธิบดีของอเมริกามาถึง 8 คน มหาเศรษฐีหมื่นล้าน 188 คน ได้รางวัลโนเบล 160 คน นักกีฬาได้เหรียญโอลิมปิค 108 คน (ข้อมูลจาก Wikipedia) ความยากในการเข้า Harvard เป็นที่รู้กันดีว่ายากมากๆ แต่ก็มีคนไทยหลายคนที่เรียนจบจากที่นี่กันนะคะ สาขาวิชาที่โดดเด่นของที่นี่ได้แก่ การแพทย์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสังคมศาสตร์

ที่ตั้ง: เมือง Cambridge รัฐ Massachusetts อยู่ห่างจาก Boston Logan International Airport เพียง 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 10-15 นาที

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 55,587 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 5% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.harvard.edu/

4. California Institute of Technology (Caltech)

California Institute of Technology (Caltech)
ขอบคุณรูปภาพจาก : Caltech

“สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย” หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า “แคลเทค” ได้รับการจัดอันดับว่ามีความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยี เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะด้านจากแหล่งอุตสาหกรรมด้านเทคโนโล ถือเป็นอีกสถาบันที่มีผลงานวิจัยโดดเด่นและมีคุณภาพมากๆ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาแบบเจ๋งๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะห้องวิจัยพลังงานขับดัน (Jet propulsion laboratory) ของนาซ่า เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาโครงการวิจัยของตนเองร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา ใครที่อยากเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ขอบอกเลยว่าจะพลาดที่นี่ไม่ได้ โดยเฉพาะสาขาวิศวกรรมอากาศยาน วิศวกรรมโยธา และวิศวกรรมเครื่องยนต์

ที่ตั้ง: เมือง Pasadena รัฐ California

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 58,680 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.caltech.edu/

5. University of Chicago

University of Chicago
ขอบคุณรูปภาพจาก : The University of Chicago

มหาวิทยาลัยชิคาโก เป็น มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่เน้นการวิจัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาและของโลก ก่อตั้งในปี ค.ศ.1890 โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก ‘จอห์น ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์’ (John D. Rockefeller) มหาเศรษฐีน้ำมันชาวอเมริกัน เน้นให้นักศึกษาเรียนจากตำราคลาสสิก ต้นฉบับต่าง ๆ (The Great Books) การเน้นการอภิปรายในชั้นเรียนมากกว่าจากการบรรยาย นอกจากนี้ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็น “อาจารย์ของเหล่าอาจารย์” (Teacher of Teachers)อีกด้วย เนื่องจากศิษย์เก่าที่จบจากที่นี่ประมาณหนึ่งในเจ็ด ไปประกอบอาชีพเป็นครูอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ มหาวิทยาลัยชิคาโกได้ให้กำเนิดสำนักความคิด (School of Thought) ในหลายสาขาวิชา อาทิ สำนักเศรษฐศาสตร์ชิคาโก (The Chicago School of Economics) สำนักวรรณคดีวิจารณ์ชิคาโก (The Chicago School of Literary Criticism) สำนักสังคมวิทยาชิคาโก (The Chicago School of Sociology) และการบุกเบิกในด้านกฎหมายกับเศรษฐศาสตร์ (Law and Economics) ในทางวิทยาศาสตร์ ได้มีการคิดค้นปฏิกิริยานิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในโลกในบริเวณมหาวิทยาลัย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการแมนฮัตตัน ส่วนใครที่อยากเรียนสาขาสังคมวิทยา ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่เปิดสอนเลยนะคะ

ที่ตั้ง: เมือง Chicago รัฐ Illinois อยู่ในชุมชนไฮด์พาร์ก (Hyde Park) ห่างจากใจกลางเมืองชิคาโกไปทางใต้ประมาณ 12 กิโลเมตร

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 60,963 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.uchicago.edu/

6. University of Pennsylvania

University of Pennsylvania
ขอบคุณรูปภาพจาก : Penn Today

มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยเอกชนชั้นนำของอเมริกาก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1740 เก่าแก่เป็นอันดับที่ 4 ของอเมริกา โดยผู้ก่อตั้งสถาบันคือเบนจามิน แฟรงคลิน หนึ่งในบิดาแห่งการสร้างชาติอเมริกานั่นเองค่ะ ที่นี่เปิดสอนระดับปริญญาตรีทั้งหมด 4 คณะ ระดับปริญญาโทและเอก 12 คณะ ที่ดังที่สุดของที่นี่คือ หลักสูตรปริญญาตรีด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ที่ติดอันดับ 1 ของประเทศมายาวนาน นอกจากนี้ยังมีคณะที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกคือ แพทย์ศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ มีคนไทยที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เรียนจบจากที่นี่ แต่การจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้นั้นค่อนข้างยาก เรียกว่าเป็นอีกสถาบันที่มีการแข่งขันเข้าเรียนสูงที่สุดเลยล่ะ

ที่ตั้ง: เมือง Philadelphia รัฐ Pennsylvania อยู่ระหว่าง New York City และ Washington DC โดยห่างจากสนามบิน New York JFK 180 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมง ห่างจาก เมือง Baltimore 150 กิโลเมตร และห่างจากเมือง Washington DC 225 กิโลเมตร

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 61,710 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 9% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.upenn.edu/

7. Princeton University

Princeton University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Princeton University

มหาวิทยาลัยพรินซ์ทัน หนึ่งในมหาวิทยาลัยในกลุ่มIvy League ก่อตั้งเมื่อปี 1746 และเปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอก ที่นี่มีชื่อเสียงมากทางด้านศิลปะและมนุษย์ศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยด้วย

ที่ตั้ง: เมือง Princeton รัฐ New Jersey อยู่ห่างจากสนามบิน John F. Kennedy ระยะทาง 105 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถ 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือ สนามบิน Newark Liberty ระยะทาง 65 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถ 50-60 นาที

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 56,060 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 6% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.princeton.edu/

8. Yale University

Yale University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Yale University

มหาวิทยาลัยเยลก่อตั้งขึ้นในปี 1701 เป็นอีกหนึ่ง มหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่อยู่ในกลุ่มสมาชิก Ivy League และเป็นสถาบันที่เก่าแก่เป็นอันดับที่ 3 ของอเมริกา มหาวิทยาลัยจัดขึ้นตามหลักการทางวิชาการของการศึกษาเสรีนิยม มุ่งมั่นที่จะมีความโดดเด่นในด้านการสอนและการมีส่วนร่วมของนักเรียน และในการเพิ่มพูนประสบการณ์ของนักเรียน โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกและร้านอาหาร ร้านค้า และสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมายภายในมหาวิทยาลัยและรอบๆ เมือง New Haven เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทางด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และชีววิทยา

ที่ตั้ง: เมือง New Haven รัฐ Connecticut สามารถเดินทางได้ทั้งจาก Boston และ New York แต่ถ้ามาจากสนามบิน John F. Kennedy International Airport จะใกล้กว่า ระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร ขับรถประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาทีถึง 2 ชั่วโมง

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 59,950 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 7% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.yale.edu/

9. Cornell University

Cornell University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Cornell University

มหาวิทยาลัย Cornell ก่อตั้งเมื่อปี 1865 เป็น Ivy ที่มีอัตรการตอบรับสูงสุด ซึ่งอาจเป็นเพราะมีขนาดคลาสเรียนที่ใหญ่กว่ามหาวิทยาลัย Ivy อื่นๆ ซึ่งรับนักศึกษาปีละ 1-3 พันคน แต่ที่นี่รับนักศึกษาได้ถึงปีละ 5 พันกว่าคน Cornell มีชื่อเสียงทางด้านวิศวกรรมศาสต์ ธุรกิจ ศึกษาศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ ส่วนคณะฮอตฮิตของที่นี่คือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่ระดับปริญญาตรีติดอันดับ 1 ของอเมริกาติดต่อกันหลายปี และคณะการจัดการโรงแรม ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร CEOWORLD ให้เป็นอันดับ 1 ของโลก

ที่ตั้ง: เมือง Itaca รัฐ New York

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 61,015 เหรียญสหรัฐ

อัตราการตอบรับ: 11% (ข้อมูลจาก www.usnews.com)

เว็บไซต์: https://www.cornell.edu/

10. Columbia University

Columbia University
ขอบคุณรูปภาพจาก : Columbia University

ก่อตั้งเมื่อปี 1754 ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในนครนิวยอร์ก  และเก่าแก่เป็นอันดับ 5 ของอเมริกา มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำระดับโลก มีศิษย์เก่าและอาจารย์ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมาย ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ มากถึง 102 คน และยังมีศิษย์เก่าที่เป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการจากที่นี่ล้วนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ อย่างเช่น เลเซอร์ที่เราใช้กันในปัจจุบันก็มาจากการค้นพบของของโคลัมเบียค่ะ นอกจากด้านวิทยาศาสตร์แล้ว สาขาที่มีชื่อเสียงคือ นิติศาสตร์ ศิลปะ วิศวกรรมศาสตร์ ศัลยศาสตร์ และสาธารณสุข

ที่ตั้ง: New York City รัฐ New York อยู่ห่างจากสนามบิน John F. Kennedy International Airport เพียง 31 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 30 นาที

ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ: 63,530 เหรียญ

อัตราการตอบรับ: 5.1% (ข้อมูลจาก ivycoach.com)

เว็บไซต์: https://www.columbia.edu/

การเดินทางเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศในแต่ละครั้ง เราจะเดินทางเป็นระยะเวลาที่นานหลายเดือน หรือบางคนอาจอยู่ยาวเป็นปีๆ ทำให้ความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นก็มีมากขึ้นตามไปเช่นกัน การเลือกทำประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถเพิ่มความอุ่นใจให้กับเราตลอดระยะเวลาที่เราเรียนอยู่ที่ต่างประเทศได้
ประกันภัยการเดินทางสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel คุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าเคลื่อนย้ายกรณีเกิดอุบัติเหตุ การชดเชยค่าเล่าเรียน หรือความคุ้มครองอื่น ๆ มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนต่อที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : ivycoach.com , www.usnews.com , QS World University Rankings 2023: Top global universities


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

เรียนต่อประเทศอังกฤษ

เรียนต่อประเทศอังกฤษ ต้องเตรียมตัวอย่างไร

คนที่เรียนจบจากประเทศไทยและกำลังวางแผนไปเรียนต่อต่างประเทศต้องมีประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มาแรงติดอยู่ในอันดับท๊อป  5 ของใครหลายคน เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมายหลายแห่ง และประเทศก็สวยงาม หลายๆ คนเลยเลยตัดสินใจเลือก เรียนต่อประเทศอังกฤษ

United Kingdom - UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศจะต้องมีการเตรียมตัวที่มากกว่าการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ นอกจากเรื่องการสมัครเรียนและจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวกับการศึกษาแล้ว เรายังต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับการไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่น ความแตกต่างทางด้านภาษา วัฒนธรรม อาหาร อากาศ เวลา ระบบการศึกษา กฎหมายและกฎของนักเรียนต่างชาติที่พักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ วันนี้ Allianz Travel รวบรวมสิ่งที่ต้องทำและเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับการไปเรียนต่อประเทศยอดนิยมอย่างประเทศอังกฤษมาแชร์ค่ะ ไปดูกันเลยมีหัวข้ออะไรบ้าง

1. ค้นหาหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่สนใจ

เริ่มแรกเลย เราอาจต้องดูจากสาขาวิชาที่เราสนใจก่อน เมืองที่ต้องการอยู่ หรือมหาวิทยาลัยที่สนใจ เพื่อสมัครเรียน และหาข้อมูลของข้อกำหนดในการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรนั้นๆ ซึ่งอาจมีบางข้อที่แตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัย ดังนั้นเราจึงควรหาข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ได้มหาวิทยาลัยที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

Cambridge University

2. เอกสารที่ใช้ในกาสมัครเรียน

หลังจากเลือกมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษได้แล้ว เราก็ต้องเตรียมเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่เราเลือก โดยเอกสารสำคัญขั้นต้นที่ควรรวบรวมไว้มีดังต่อไปนี้

  • ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
  • ใบรับรองหรือประกาศนียบัตรที่แสดงการจบหลักสูตรจากสถาบันการศึกษา (Graduation Certificate)
  • ผลสอบ IELTS ที่มีคะแนนตามความต้องการของมหาวิทยาลัย
  • หนังสือรับรอง หรือจดหมายแนะนำจากอาจารย์หรือที่ทำงานอย่างน้อย 2 ฉบับ (Letters of Recommendation)
  • จดหมายแนะนำตัว เขียนเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการเข้าศึกษา สิ่งที่หวังว่าจะได้รับหลังจบหลักสูตร และเหตุผลการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย (Statement of Purpose)
  • เอกสารที่ผ่านการอบรม หรือฝึกงานอื่นๆ เพื่อช่วยประกอบในการพิจารณา
  • รูปถ่ายหน้าตรง สวมชุดสุภาพ ขนาด 1 นิ้ว หรือ 1 นิ้วครึ่ง (ขึ้นอยู่กับสถาบันที่สมัคร)
  • สำเนาหนังสือเดินทาง
  • ใบสมัครที่ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง
  • หนังสือรับรองการทำงาน สำหรับบางคณะที่ต้องมีประสบการณ์การทำงานด้วย
Document Preparation

3. ช่วงเวลาที่ต้องทำการสมัครเรียน

สำหรับการ เรียนต่อประเทศอังกฤษ ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยที่อังกฤษจะมีการเปิดเรียน 2 ช่วงในแต่ละปี ส่วนใหญ่เปิดช่วงเดือนกันยายน และบางหลักสูตร (ตัวเลือกไม่มาก) จะไปเปิดช่วงมกราคม การสมัครเรียนต้องเริ่มสมัคร 1 ปีล่วงหน้าก่อนปีที่เราจะไปเรียนค่ะ เช่น ถ้าเราสนใจจะเรียนหลักสูตรที่เปิดเทอมเดือนกันยายนปี 2022 เราก็ต้องเริ่มสมัครตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 เลย

ทั้งนี้เราจะต้องอ่านรายละเอียดของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วย เพราะแต่ละหลักสูตรจะมีวันที่ปิดรับสมัครไม่เหมือนกัน บางหลักสูตรอาจปิดรับสมัครปลายเดือนมิถุนายน แต่บางหลักสูตรก็ให้เวลาไปถึงเดือนสิงหาคม สำหรับนักเรียนไทยควรสมัครไปอย่างช้าที่สุดไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่จะเริ่มเรียน เพราะหากล่าช่าไป เราก็อาจจะเตรียมเอกสารและเตรียมตัวไม่ทันได้

ถ้าเป็นปริญญาตรี เราต้องศึกษากำหนดการของ UCAS (Universities and Colleges Admissions Service) ซึ่งเป็นกระบวนการสมัครเรียนหลักสูตรระดับปริญญาตรีในอังกฤษผ่านระบบส่วนกลางให้ดีเสียก่อน โดยกำหนดการเปิดรับสมัครจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ช่วงเวลาดังนี้

  • เดือนตุลาคม – สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครเรียนใน University of Oxford และ University of Cambridge หรือหลักสูตรทางการแพทย์ สัตวแพทย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ และทันตแพทย์
  • 15 มกราคม – วันสุดท้ายของการรับใบสมัครเรียนปริญญาตรีของหลักสูตรอื่นๆ
  • เดือนมีนาคม – วันสุดท้ายของการสมัครเรียนหลักสูตรด้านศิลปะและการออกแบบ
  • 30 มิถุนายน – ใบสมัครที่มาในช่วงนี้จะเรียกว่ากลุ่ม clearing ซึ่งผู้สมัครอาจไม่ได้มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้ในอันดับต้นๆ
Time to apply

4. ค่าใช้จ่ายสำหรับ เรียนต่อประเทศอังกฤษ

โดยทั่วไปค่าเทอม ค่าที่พัก และค่าใช่จ่ายต่างๆ ในการไปเรียนต่อที่อังกฤษจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าเล่าเรียน ประมาณ 10,000-20,000 ปอนด์ต่อปี (400,000 – 800,000 บาท) ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายส่วนตัวจะใช้ค่าเฉลี่ยจากทางสถานทูตในการคำนวนคือ 1,265 ปอนด์ (ประมาณ 50,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่ในลอนดอน และ 1,015 ปอนด์ (ประมาณ 40,600 บาท) สำหรับสถาบันที่ตั้งอยู่นอกลอนดอน นอกจากค่าเทอม และค่าดำรงชีพแล้ว หากเราเดินทางไปเรียนที่ประเทศอังกฤษระยะเวลาเกิน 6 เดือน ผู้เดินทางไปเรียนจะต้องเสียค่าบริการที่เรียกว่า Immigration Health Surcharge สำหรับการเข้าสู่ระบบดูแลสุขภาพ NHS หรือ National Health Service ของประเทศอังกฤษ ซึ่งคล้ายๆ ประกันสังคมของบ้านเรา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 470 ปอนด์ หรือประมาณ 20,200 บาท ต่อปี

Budget for study in UK

การไปเรียนต่อต่างประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าเราจะจ่ายค่า Immigration Health Surcharge เพื่อเข้าสู่ระบบ NHS แล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้ารักษาพยาบาลอย่างเช่น NSH จะไม่ครอบคลุมค่ายาที่จะต้องจ่ายเพิ่มเองประมาณ 6.85 ปอนด์ (ประมาณ 300 บาท) ต่อชนิดของยาต่อครั้ง และไม่ครอบคลุมกรณีต้องขอใบรับรองแพทย์ด้วย

ดังนั้นการทำประกันภัยการเดินทางเพิ่มเติมเพื่อให้คุ้มครองครอบคลุมสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปเรียนทั้งหมดไม่ว่าค่ารักษาพยาบาล ค่าเคลื่อนย้ายกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือความคุ้มครองอื่นๆ ซึ่งประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ “Overseas Student Care” จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการของแต่ละบุคคล และมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้สามารถเรียนต่อที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : gov.uk , efluk.net , siuk-thailand.com, tonyeducation.com , wegoabroad.com


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel

8 ประเทศยอดนิยม เรียนต่อคอร์สภาษาอังกฤษ

8 ประเทศยอดนิยม เรียนภาษาอังกฤษ

การไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือไป เรียนภาษาอังกฤษ ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษกันในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้เราได้ฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ และได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ จะทำให้เราได้ฝึกสำเนียงที่ถูกต้องและมีความกล้าพูดกับผู้ที่ใช้ภาษานั้นๆ และอาจช่วยให้เราพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่เราต้องตัดสินใจอีกอย่างคือการเลือกประเทศที่เราจะไปเรียนให้เหมาะกับทุนทรัพย์ ระยะเวลา และความคุ่มค่ากับสิ่งที่เราจะได้รับ โดยเราสามารถเลือกคอร์สที่เราสนใจได้ ตัวอย่างเช่น

· General English เรียนพูด อ่าน เขียน เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
· Academic English เรียนเพื่อนำไปใช้ในการเรียนระดับปริญญา
· Business English เรียนเพื่อนำไปใช้ในการทำธุรกิจ

Allianz Travel ขอรวบรวมประเทศที่คนนิยมไปเรียนต่อภาษาอังกฤษกัน มาให้เพื่อนๆ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจกันค่ะ

1. สหราชอาณาจักร (United Kingdom)

ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ จะมีที่ไหนที่ดีไปกว่าการไปเรียนต่อที่ประเทศต้นฉบับเจ้าของภาษาอย่างสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วย 4 ประเทศ คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ และไม่เพียงแต่มีมหาวิทยาลัยที่ผลัดกันรั้งตำแหน่งอันดับ 1 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก อย่างเช่น Oxford หรือ Cambridge แล้ว ก็ยังมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่ติด Top 100 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกด้วย

สหราชอาณาจักร (United Kingdom)

เพื่อนๆ สามารถเลือกเมืองที่จะไปเรียนภาษาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันได้เลย เพราะเราอาจจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่หลายเดือน จนถึงอาจเป็นปีเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นถ้าชอบเมืองการศึกษา ก็ต้องเลีอกมหาวิทยาลัยใน Oxford หรือ Cambridge ถ้าชอบกีฬา ก็มีให้เลือกทั้ง Liverpool, Manchester หรือ Leicester หรือถ้าชอบอยู่ในเมืองที่มีกิจกรรมมากมายที่สามารถ่ออกไปใช้ชีวิตในยากว่างก็อาจจะต้องเลือกเรียนใน  London เป็นต้น

จุดเด่น

· เรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาในสำเนียงภาษาอังกฤษแบบบริติช

· มีหลักสูตรภาษาอังกฤษให้เลือกเรียนมากมาย

· มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม มีโรงเรียนสอนภาษามากมายที่มีคุณภาพระดับโลก

· เป็นประเทศที่สามารถผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี

· สามารถเดินทางท่องเที่ยวประเทศในยุโรปได้สะดวก

· มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ และเทศกาลประจำปีชื่อดังมากมาย

· มีชื่อเสียงด้านกีฬาโดยเฉพาะสโมสรฟุตบอลดังๆ เช่น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี อาร์เซลนอล เป็นต้น

· มีระบบคมนาคมยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถไฟ

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับคอร์สเรียนประมาณ 6 เดือน จะมีค่าเรียนตั้งแต่ 120,000 – 260,000 บาทขึ้นอยู่กับสถาบัน

2. ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA)

หลายคนคงมีชื่อประเทศอเมริกาติดอันดับสถานที่ที่อยากไปเรียนต่อเพื่อฝึกภาษากันอยู่แล้ว เพราะมีชื่อเสียงด้านคุณภาพการศึกษาที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้นำการศึกษาโลก มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่คุณภาพอเมริกา และเป็นจุดหมายของนักศึกษาต่างชาติทั่วโลก

ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA)

อเมริกาเป็นประเทศใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง แต่ละรัฐแต่ละเมืองก็จะมีความหลากหลาย วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม หรือกิจกรรมการท่องเที่ยวก็มีให้เลือกมากมาย หากจะเลือกเมืองที่สนใจจะไปเรียนภาษาก็อาจจะต้องคำนึงถึงค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปตามขนาดของเมือง ซึ่งเราขอยกตัวอย่างค่าที่พักของแต่ละเมืองดังนี้

· เมืองขนาดใหญ่ เช่น New York, San Francisco, Chicago, Miami ค่าที่พักประมาณเดือนละ 1,360 – 1,680 USD หรือประมาณ 44,880 – 55,440 บาท)

· เมืองขนาดกลาง เช่น San Diego, Seattle, Portland ค่าที่พักประมาณเดือนละ 1,180 – 1360 USD หรือประมาณ 38,940 – 44,880 บาท

· เมืองขนาดเล็ก เช่น St Louis, Oklahoma, Thousand Oak, Orlando, Richmond ค่าที่พักประมาณเดือนละ 900 – 1200 USD หรือประมาณ 29,700 – 39,600 บาท

จุดเด่น

· ได้เรียนภาษาสำเนียง American ซึ่งเป็นสำเนียงที่คนไทยคุ้นเคยกัน

· เป็นประเทศทันสมัย และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

· มีจำนวนมหาวิทยาลัยให้เลือกมากมายหลังคุณจบคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

· ผู้คนมีความหลากหลาย พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

· มีโอกาสเที่ยวและเก็บประสบการณ์ชีวิตได้อย่างมากมาย

· ได้เรียนรู้และสัมผัสวัฒนธรรมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับการเรียนภาษา 24 สัปดาห์ หรือประมาณ 6 เดือน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

· กลุ่มที่ 1 โรงเรียนแบบประหยัด (กลุ่ม Budget): ประมาณ 3800 – 4800 USD (120,000 – 150,000 บาท)

· กลุ่มที่ 2 โรงเรียนแบบจริงจัง (กลุ่ม Specialist): ประมาณ 5,300 – 6,300 USD (170,000 – 200,000 บาท)

· กลุ่มที่ 3 ศูนย์สอนภาษาของมหาวิทยาลัย (University): ประมาณ 7,200  -8,400 USD (230,000 – 270,000 บาท)

3. ประเทศออสเตรเลีย (Australia)

ประเทศออสเตรเลียเป็นตัวเลือกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประเทศไทย ค่าใช้จ่ายไม่แพง สภาพภูมิอากาศดีไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมชายหาดที่ล้อมรอบประเทศ ไม่ว่าจะเลือกเรียนที่เมืองอะไรก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองอื่น ๆ ได้สะดวก เป็นประเทศที่ต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ ผู้คนเป็นกันเอง มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีถึง 5 เมืองติด 10 อันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2021 (โดย Economist Intelligence Unit) ได้แก่ Adelaide, Perth, Melbourne, และ Brisbane

เรียนภาษา ประเทศออสเตรเลีย

ออสเตรเลียถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการไป เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะทางด้านภาษา เพราะนอกเหนือจากค่าเงินที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษแล้ว ออสเตรเลียยังเปิดโอกาสให้นักเรียนต่างชาติสามารถทำงานควบคู่ไประหว่างเรียนอีกด้วย โดยผู้ถือวีซ่านักเรียนจะสามารถทำงานได้ถึง 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ตามกฎหมาย ออสเตรเลียมีโรงเรียนสอนภาษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับโลก เมืองที่มีโรงเรียนภาษาเยอะๆ และติดอันดับยอดนิยมที่เด็กไทยมักเลือกไปเรียนกัน ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น บริสเบน และโกลด์โคสต์ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเลื่อกได้ตามความชอบและ Lifestyle ของแต่ละคน

· ซิดนีย์ (Sydney) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย คนเยอะ มีแหล่งชอปปิ้งและของกินมากมาย ค่าที่พักแพง แต่มีให้เลือกหลายรูปแบบ

· เมลเบิร์น (Melbourne) เมืองสวยออกแนวอาร์ทๆ เมืองใหญ่ คนเยอะ แต่อากาศเปลี่ยนไปมา โดยที่เราอาจจะเจอทั้งร้อน หนาว และฝนในวันเดียวกัน ค่าที่พักราคาพอๆ กับซิดนีย์

· บริสเบน (Brisbane) เป็นเมืองกิจกรรมสำหรับคนที่ชอบกิจกรรม Outdoor และกีฬา อากาศคล้ายเมืองไทย มีแดดตลอดทั้งปี ค่าครองชีพถูก ค่าที่พักไม่แพง

· โกลด์โคสต์ (Gold Coast) อีกหนึ่งเมืองใหญ่ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษในบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยลมทะเลและชายหาดอันสวยงาม มีร้านอาหารและร้านค้าต่างๆมากมาย มีสวนสนุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมีกิจกรรมกีฬาทางน้ำอย่าง การโต้คลื่น หรือ Surfing

จุดเด่น

· เป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร

· อยู่ใกล้กับประเทศไทย ไป-กลับ สะดวก

· มีสถาบันสอนภาษามีคุณภาพระดับสากลมากมาย

· เปิดโอกาสให้นักเรียนที่มาเรียนภาษาทำงาน Part time ได้

· ภูมิประเทศสวยงาม อาหารการกินสมบูรณ์ และสภาพอากาศเหมาะสมกับคนไทย

· กิจกรรมเยอะ ได้ท่องเที่ยวกับธรรมชาติอย่างเต็มที่

· คนไทยเยอะ ไม่เหงา มีเพื่อนแน่นอน

· มีระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถท่องเที่ยวเมืองอื่น ๆ ได้ง่าย

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

สำหรับการเรียนภาษา 24 สัปดาห์ จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 140,000 – 300,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรียนและประเภทของคอร์สที่จะเรียน

4. ประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand)

นิวซีแลนด์ถูกจัดอันดับให้เป็นเป็นประเทศที่ปลอดภัยอันดับต้น ๆ ของโลกจากหลายองค์กรเชื่อถือได้ และเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ อาทิเช่น World Population Review, U.S. News, Condé Nast Traveler, Worldpackers, Vision of Humanity เป็นต้น นอกจากนี้นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศที่น่าจับตามองมาก ๆ ในช่วงโควิด-19 เพราะที่นิวซีแลนด์สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ยอดเยี่ยมจนทำให้เมือง Auckland ขึ้นอันดับหนึ่งเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2021 (โดย Economist Intelligence Unit) ที่นิวซีแลนด์ยังมุ่งมั่นพัฒนาด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี การศึกษาของที่นิวซีแลนด์มุ่งเน้นทักษะเพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต แถมที่นี่ดูแลนักเรียนต่างชาติดีมากๆ

ประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand)

จุดเด่น

· นิวซีแลนด์ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ

· ระบบการศึกษาของนิวชีแลนด์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในระดับการศึกษาที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก

· สำหรับนักเรียนต่างชาติที่สมัครเรียนตั้งแต่ 14 สัปดาห์ขึ้นไป และอายุ 18 ปีขั้นไปสามารถทำงาน Part-time ได้ถึง 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

· ผู้คนเป็นมิตร ยินดีต้อนรับและช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติ

· สามารถท่องเที่ยวในประเทศได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะไปเดินป่า เที่ยวภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ หรือชายหาด

· ค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพ ที่ไม่สูงจนเกินไป สมเหตุ สมผล

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

ค่าเรียนภาษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องการเรียน ส่วนมากสถาบันสอนภาษาอังกฤษจะคิดค่าเรียนเป็นรายสัปดาห์ เริ่มต้นที่ NZD 250 หรือประมาณ 5,000 บาทต่อสัปดาห์ แต่ถ้าเรียนศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัย ค่าเรียนอาจจะสูงถึง NZD 450 หรือประมาณ 9,000 บาทต่อสัปดาห์

นอกจากค่าเรียนภาษาอังกฤษแล้ว เราจะต้องเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่มให้กับสถาบันอย่างเช่น ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่า resource fee เป็นต้น โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน ซึ่งจะเรียกเก็บไม่เท่ากัน อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 15,000 บาท

5. ประเทศแคนาดา (Canada)

แคนาดาคืออีกหนึ่งประเทศของโลกในทวีปอเมริกา ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของการศึกษาที่มีศักยภาพดีเยี่ยม มาตรฐานการศึกษายอดเยี่ยม หลักสูตรและการสอนมีความทันสมัย ภาษาอังกฤษมีสำเนียงคล้ายอเมริกัน แต่ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า นอกจากนี้  แคนาดายังเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัย อัตราการก่ออาชญากรรมต่ำมาก และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในปี 2021 (โดย U.S. News and World Report) มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่หลากหลายและสวยงาม เช่น Rocky Mountains, Banff National Park, Niagara Falls เป็นต้น นอกจากนี้ 3 เมืองใหญ่ของแคนาดายังมีมหาวิทยาลัยติดอันดับ Top 50 QS World University Rankings 2021 ซึ่งได้แก่ Toronto, Montreal และ Vancouver

ประเทศแคนาดา (Canada)

จุดเด่น

· มีมาตราฐานการศึกษาดี เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

· เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในปี 2021 และมีความปลอดภัยสูง

· คุณภาพชีวิตดีอันดับ 1 ของโลก (2019 US News’ world report)

· สัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แบบวิวหลักล้าน

· มีภาษาราชการ 2 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ไปเรียนภาษาอังกฤษอาจจะได้ภาษาฝรั่งเศสกลับมาด้วย

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

· สำหรับการเรียนภาษา 20 สัปดาห์ (ประมาณ 5 เดือน) ค่าเรียนประมาณ 130,000-160,000 บาท

· สำหรับการเรียนภาษา 36 สัปดาห์ (ประมาณ 9 เดือน) ค่าเรียนประมาณ 210,000-260,000 บาท

· สำหรับการเรียนภาษา 48 สัปดาห์ (ประมาณ 1 ปี) ค่าเรียนประมาณ 280,000-340,000 บาท

6. ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)

สิงคโปร์ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีหลักสูตรการศึกษาที่ดี เศรษฐกิจดี และเป็นประเทศในเอเชียที่มีการศึกษาติดอันดับต้นๆ ของโลก สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าไทย บ้านเมืองสะอาด ผู้คนตรงต่อเวลาและมีระเบียบวินัยสูง เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีผู้คนสนใจเดินทางเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี การไปเรียนต่อที่สิงคโปร์จึงได้พบกับเพื่อนๆจากหลากหลายประเทศ แถมไม่ต้องเดินทางไปไกลจากไทย ที่พักดี เมืองปลอดภัย  นักเรียนไทยปรับตัวเข้ากับ อาหาร เพื่อนต่างชาติ และวัฒนธรรรมได้ไม่ยากนัก

เรียนภาษา ประเทศสิงคโปร์

จุดเด่น

· อยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดเดินทางสะดวก เวลาต่างจากที่ไทยไม่กี่ชั่วโมง

· เป็นประเทศในเอเชียที่มีความอินเตอร์สูง มากกว่า 40% เป็นชาวต่างชาติ

· มีระบบการเรียนการสอนตามมาตราฐานสากล

· มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและกิจกรรมให้ทำมากมาย

· อาหารมีให้เลือกหลากหลายทั้ง มาเลย์ จีน อินเดีย ตะวันตก และยุโรป

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

· หลักสูตร 2 เดือน ประมาณ 1,145-1,980 SGD

· หลักสูตร 4 เดือน ประมาณ 3,585-4,024 SGD

· หลักสูตร 6 เดือน ประมาณ 5,190-6,592 SGD

7. ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)

ไอร์แลนด์เป็นประเทศเล็ก อยู่ติดกับประเทศอังกฤษ ภาษาราชการของชาวไอริชคือ ภาษาไอริช และภาษาอังกฤษ ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีอันดับต้นๆของโลก รัฐบาลไอร์แลนด์มุ่งมั่นสร้างประเทศให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และทันสมัย ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านการศึกษาและเทคโนโลยีสูงไม่แพ้ประเทศอื่นในแถบยุโรป เป็นประเทศที่สวยงาม และที่สำคัญอุปนิสัยอันเป็นมิตรของชาวไอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ให้ความสำคัญในการศึกษาจึงทำให้คุณภาพการศึกษามีคุณภาพสูง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักเรียนและนักศึกษาเลือกประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทางในการศึกษาต่อ

ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)

จุดเด่น

· ระบบการศึกษาในประเทศไอร์แลนด์ได้รับการยกย่องให้เป็นระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา

· ประเทศไอร์แลนด์ลงทุนให้กับการศึกษาทั้งในระดับงานวิจัย และการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

· มีหลักสูตรต่างๆ มากมาย ได้รับการยอมรับจากองค์กรนานาชาติ

· การเข้าถึงโอกาสที่จะได้ศึกษาระบบงานวิจัยที่ดีที่สุดในโลก

· วีซ่านักเรียนสามารรถทำงานพาร์ทไทม์ได้ 20 ช.ม./สัปดาห์ หรือทำงานเต็มเวลา 40 ชม /สัปดาห์ ช่วงปิดเทอม

· มีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาในประเทศไอร์แลนด์มากกว่า 161 ประเทศทั่วโลก

· เป็นประเทศที่ถือได้ว่ามีมิตรสัมพันธ์ดี และปลอดภัยที่สุดในโลก

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

เริ่มต้นที่ 200,000 บาทต่อการเรียน 25 สัปดาห์

8. ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีประชาการพูดภาษาอังกฤษมากเป็นอันดับ 3 รองจากอเมริกาและอังกฤษ และมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ 2 ประเทศนี้ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ที่ฟิลิปปินส์จึงมีนักเรียนชาวต่างชาติมาเรียนต่อเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ หรือเรียนในมหาวิทยาลัยที่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมาก เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเรียนภาษาอังกฤษนอกประเทศแบบเข้มข้น แต่มีงบประมาณไม่มาก

ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)

เมืองเซบูเป็นเมืองยอดนิยมที่มีนักเรียนชาวต่างชาติอย่าง เกาหลี, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีน รวมทั้งอิหร่าน ลิเบีย บราซิล และรัสเซีย มาเรียนภาษาอังกฤษอยู่เสมอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร มีความปลอดภัย มีรถสาธารณะที่สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดาย และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวดังๆอยู่หลายแห่ง

จุดเด่น

· ค่าใช้จ่ายไม่แพง ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ

· โรงเรียนมีมาตรฐานในการคัดเลือกครูที่จบระดับปริญญาตรีด้านการสอนหรือด้านภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ และจะผ่านการอบรม TESOL ซึ่งเป็นการรับรองด้านการสอนภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

· มีนักเรียนจากหลากหลายประเทศ ทำให้มีโอกาสเจอเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย

· ง่ายต่อการปรับตัว เพราะสภาพแวดล้อมและอุปนิสัยของชาวฟิลิปปินส์ใกล้เคียงกับคนไทยมาก

· คนฟิลิปปินส์เกือบทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้เราใช้ชีวิตได้ไม่ยากและได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษตลอดเวลา

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน

บางสถาบันเริ่มต้นที่ราคาประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน (ค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าคอร์สเรียน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และส่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น Wifi เป็นต้น)

ทั้ง 8 ประเทศข้างต้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าเราจะเลือกประเทศไหน เราก็จะได้ความรู้และประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ ค่าเรียนและค่าใช้จ่ายของแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับเมือง ที่พัก และระยะเวลาของหลักสูตรการเรียนที่เราเลือก

นอกจากเลือกประเทศที่เหมาะกับเราแล้ว การเลือกซื้อประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศที่มีความคุ้มครองครอบคลุมก็เป็นสิ่งสำคัญ ประกันภัยเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel มีให้เลือกถึง 3 แผน เริ่มตั้งแต่ Basic, Intermediate, Advance ที่สามารถเลือกได้ตามงบประมาณ ระยะเวลาและความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้สามารถเรียนได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


เลือกแผนประกันเรียนต่อต่างประเทศที่ใช่สำหรับคุณ ประกันเรียนต่อต่างประเทศ Overseas Student Care จาก Allianz Travel