เที่ยวสกอตแลนด์ 9 ที่เที่ยวบนเกาะสกาย

เที่ยวสกอตแลนด์ กับ 9 สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสกาย มงกุฎเพชรแห่งสกอตแลนด์

เกาะสกายหรือ The Isle of Skye เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสกอตแลนด์ เป็นที่ เที่ยวสกอตแลนด์ และเกาะที่สวยงามที่อยู่ในลิสต์สถานที่ที่ต้องไปของนักท่องเที่ยวมากมาย ทั้งเนินหญ้ากว้างใหญ่ที่ดูลึกลับ ยอดเขารูปทรงแปลกประหลาด ทะเลสาบ และหน้าผาริมทะเลสูงตระหง่าน เป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่ไม่ธรรมดา เหมือนกับหลุดออกไปอยู่ที่โลกอื่น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมภาพยนตร์เรื่อง เกาะที่เป็นสถานที่ในฝันของช่างภาพสายแลนด์สเคปทั่วโลก และเป็นสถานที่ถ่ายทำของภาพยนต์ดังมากมาย เช่น Transformer, James Bond หลายภาค, Snow White and the Huntsman, Prometheus, Made of Honour, 47 Ronin และ Harry Potter

การเข้าถึงเกาะสกายสะดวกมาก ไม่ว่าจะเป็นการเช่ารถขับมาจากแผ่นดินใหญ่ของสกอตแลนด์ เรือข้ามฟากก็เป็นตัวเลือกยอดนิยม หรือขึ้นรถไฟแล้วต่อรถประจำทางจากเมืองใกล้เคียงก็ได้ 

Allianz Travel จะพาคุณไปสัมผัสกับความสวยงามน่ามหัศจรรย์ของ 9 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของเกาะสกาย: มงกุฎเพชรแห่งสกอตแลนด์! ไม่ว่าคุณจะใช้เวลาไม่กี่วัน หรืออยู่นานเป็นสัปดาห์ คุณจะหลงเสน่ห์ความงดงามของเกาะสกายอย่างแน่นอน

1. Old Man of Storr

หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเกาะสกายที่นักปีนป่ายห้ามพลาดกันเลยก็คือ Old Man of Storr ซึ่งเป็นภูเขาที่มีแท่งหินตั้งตระหง่านโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินด้านบนของภูเขา ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศของคาบสมุทร Trotternish ถือเป็นแลนด์มาร์กที่ดังที่สุดบนเกาะนี้ที่มีคนแวะมาถ่ายรูปกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ สถานที่นี้ถูกใช้เป็นฉากหลังของภาพยนตร์หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์ชื่อดังที่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คนคือภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter รวมถึงภาพยนตร์ไซไฟระทึกขวัญเรื่อง Prometheus

เที่ยวสกอตแลนด์ Old Man of Storr

หากอยากได้มุมมองที่ดีที่สุด ก็ต้องใช้แรงเดินขึ้นเขากันมากสักหน่อย โดยเริ่มเดินจากที่จอดรถของ Old Man of Storr ไต่ขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปประมาณ 20 นาที คุณจะเห็นแท่งหิน Old Man of Storr โผล่ขึ้นมาต่อหน้าคุณ แต่จุดชมวิวหลักที่สวยที่สุดนั้นต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อย เดินผ่าน Old Man ไปเรื่อย ๆ จนถึงลานหินสูงที่อยู่สูงขึ้นไปบนเนินเขา ซึ่งอยู่ห่างจากที่จอดรถประมาณ 2.1 กิโลเมตร และใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง คุณจะได้เห็นความงดงามของ Old Man of Storr ที่มีทะเลเป็นฉากหลัง เป็นภาพที่คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง

หากคุณไม่อยากเดินไกล คุณสามารถแวะชมความงามของ Old Man of Storr จากทะเลสาบฟาดา (Loch Fada) ซึ่งอยู่ริมถนน ห่างจากที่จอดรถของ Old Man of Storr ไปประมาณ 5 กิโลเมตร

2. Portree

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Portree

เมืองพอร์ทรี (Portree) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะสกายและตั้งอยู่ในอ่าวทางฝั่งตะวันออกของเกาะ หมู่บ้านชาวประมงสีสันสดใสแห่งนี้มีมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันได้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของเกาะสกายที่มีท่าเรือที่พลุกพล่านทั้งเรือประมงและเรือท่องเที่ยว และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมในสกอตแลนด์ ในเมืองเต็มไปด้วยร้านกาแฟเล็กๆ ผับ ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้า และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นสถานที่ที่เหมาะในการแวะซื้อเสบียง ดื่มกาแฟ รับประทานอาหารกลางวัน และเพลิดเพลินกับบ้านหลากสีสันก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ

3. Quiraing

Quiraing อยู่เหนือสุดของ เทือกเขา Trotternish Ridge ซึ่งเกิดจากแผ่นดินถล่มหลายครั้ง เป็นพื้นที่หุบเขาติดกับมหาสมุทรซึ่งมีลมแรงลอดเวลา Quiraing เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนบนเกาะสกาย คุณจะได้เห็นหินรูปร่างแปลกตาคดเคี้ยวไปตามเนินหญ้าที่เป็นลูกคลื่น มีแท่งหินรูปทรงบิดเบี้ยวโปล่ขึ้นมาตามเส้นทาง วิธีที่ดีที่สุดในการชม Quiraing คือการเดินที่มีความยากระดับปานกลางไปตามทางเดินที่ยาว 6.5 กิโลเมตร แบ่งออกเป็นเจ็ดช่วง ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง (ในหน้าร้อน) คุณจะได้เห็นภูมิประเทศที่น่าทึ่ง ภาพพาโนรามาทางธรณีวิทยาที่สวยงาม และถึงแม้ว่าคุณไม่อยากเดินไปตามเส้นทางทั้งหมด เพียงแค่เดินจากที่จอดรถไปไม่กี่ร้อยเมตร คุณก็จะได้เห็นภาพวิวจากมุมมองที่เปิดกว่าขึ้น

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Quiraing

แต่หากคุณไม่มีเวลาเพียงพอ ให้ขับรถไปที่จุดชมวิวที่อยู่ติดกับที่จอดรถหลัก คุณก็สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามเหนือพื้นที่ลาดชัด เพื่อชมทิวทัศน์ที่แปลกตาของ Quiraing ที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดแห่งหนึ่ง

4. Kilt Rock & Mealt Falls

คุณจะได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามที่สุดสองแห่งที่สามารถมองเห็นได้จากจุดชมวิวเดียวกัน ประกอบด้วยน้ำตกมีลท์ (Mealt Falls) สูง 55 เมตรที่มีน้ำจากทะเลสาบมีลท์ (Loch Mealt) ไหลลงมาเหนือคิลท์ร็อค (Kilt Rock) ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเสาหินบะซอลต์บนยอดหินทราย มีลักษณะเป็นแท่งๆ ต่อกันเหมือนระลอกคลื่นที่คล้ายกับรอยพับของกระโปรงคิลต์แบบดั้งเดิม ซึ่งความพิเศษของน้ำตกนี้คือเป็นน้ำตกที่ไหลลงไปในทะเล เป็นการผสมผสานกันระหว่างน้ำตกและหน้าผาสูงชันที่ทอดตัวยาวตามแนวชายทะเล กลายเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Kilt Rock & Mealt Falls

คุณสามารถขับรถมาชมน้ำตกมีลท์ได้อย่างสะดวก มีที่จอดรถที่มีป้ายบอกทางเห็นได้อย่างชัดเจน และเดินเข้าถึงพื้นที่ชมวิวได้อย่างสะดวก นอกจากนี้บริเวณชายฝั่ยยังทำหนหน้าที่เป็นแหล่งวางไข่ของนกทะเลจำนวนมาก ทำให้บริเวณโดยรอบเป็นเขตห้ามใช้โดรนในช่วงฤดูนกทำรังในเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนกรกฎาคม

5. Fairy Glen

Fairy Glen หรือหุบเขานางฟ้าเป็นพื้นที่ที่มีการก่อตัวของหินตามธรรมชาติ รายล้อมไปด้วยโขดหิน ทุงหญ้ากว้างใหญ่ หุบเขา แอ่งน้ำใหญ่ ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย เส้นทางเดินที่คดเคี้ยวเข้าและออกจากเนินหญ้าและสระน้ำเล็กๆ และมีทางเดินหลายเส้นทางให้คุณออกไปสำรวจตามพื้นที่ต่างๆ จุดเด่นของหุบเขานี้อยู่ที่ภูเขาหินขนาดเล้กที่มีหน้าตาคล้ายปราสาท หรือรู้จักกันในชื่อปราสาทอีเวน (Castle Ewen) นักท่องเที่ยวนิยมปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามของพื้นที่

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Fairy Glen

บางคนบอกว่า Fairy Glen เปรียบเสมือนเป็น Quiraing ขนาดเล็ก เพราะรูปร่างหน้าตาของภูเขานั้นคล้ายกัน แต่มีขนาดย่อส่วนลงมามากในระยะที่เราเดินเล่นได้หมดภายในเวลาไม่นานนัก

6. Sligachan

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Sligachan

สลิกัคฮัน (Sligachan) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Black Cuillin และเป็นศูนย์กลางสำหรับนักปีนเขาและผู้ที่เดินทางมาสู่เกาะสกายตั้งแต่ปี 1830 ก่อนที่จะแยกไปยังส่วนอื่นๆ ของเกาะ สะพานหินเก่าแก่ที่หมู่บ้านสลิกัคฮันไม่ได้ให้รถขับผ่าน ดังนั้นเราสามารถเดินเล่นชมวิว ถ่ายรูปกับเทือกเขาสวยงามที่อยู่ด้านหลังได้อย่างสบายใจ และจุดนี้น่าจะเป็นจุดที่มีคนมาแวะถ่ายรูปมากที่สุดบนเกาะสกาย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีตำนานเล่าว่าน้ำเย็นที่อยู่ใต้สะพานมอบความงามอันเป็นนิรันดร์ให้กับใครก็ตามที่จุ่มหน้าลงไปในเวลา 7 วินาที และปล่อยให้แห้งโดยที่ไม่ต้องเช็ด ใครที่เป็นสายมูก็สามารถลองทำกันได้เลยค่ะ

7. Fairy Pools

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Fairy Pools

แฟรี่พูลส์ (Fairy Pools) หรือสระนางฟ้า เป็นแอ่งน้ำตกที่ตั้งอยู่ในหุบเขา Glen Brittle ทางใต้ของเกาะสกาย เป็นสระน้ำธรรมชาติที่สวยงามดุจดังในเทพนิยาย ธารน้ำที่มีความต่างระดับกัน ทำให้น้ำใสสะอาดเหมือนคริสตัวไหลเป็นน้ำตกเตี้ยๆ ลงมาสู่แอ่งด้านล่าง ก่อนจะถูกบีบให้กลายเป็นลำธารสายเล็กๆ สีฟ้าสดใส ที่นี่เป็นหนึ่งในสระว่ายน้ำที่มีผู้คนเยี่ยมชมมากที่สุดในเกาะสกาย ภูมิทัศน์ส่วนใหญ่เป็นหินโดยมีพื้นที่เป็นที่ลุ่ม หากคุณอยากลงไปว่ายน้ำ คุณสามารถกระโดดลงไปตรงไหนก็ได้ แต่ให้เตรียมใจรับมือกับน้ำที่เย็นจัดเนื่องจากเป็นน้ำที่ไหลผ่านภูเขา นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากที่จอดรถลงมาที่แพรี่พูลส์ได้ผ่านทางเดินเท้าที่โรยด้วยหินกรวด หญ้า ไม้พุ่ม ระยะทางไปยังน้ำตกหลักและแอ่งน้ำคือ 2.4 กิโลเมตร เฉลี่ยเวลาในการเดินคือ 40 นาที (โดยไม่มีการหยุดพัก) คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการเดินขึ้นไปตามแม่น้ำจากน้ำตกในการสำรวจแอ่งน้ำต่างๆ

8. Neist Point

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Neist Point

นีสท์พอยท์ (Neist Point) ตั้งอยู่ริมขอบปลายสุดทางด้านซ้ายของเกาะสกาย เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายภาพที่ดีที่สุดบนเกาะ ถ้าหากได้ไป เที่ยวสกอตแลนด์ แล้วห้ามพลาด! ประภาคารซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนีสพอยท์ตั้งอยู่ที่ปลายหน้าผาสูงชัน ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล เมื่อพระเอาทิตย์ตกดิน วิวจะงดงามยิ่งขึ้น คุณสามารถเดินลงไปที่ประภาคารตามเส้นทางที่จัดไว้ให้เป็นเส้นทางเดียวกันทั้งขาไปและขากลับ ครอบคลุมระยะทาง 2.2 กม. ใช้เวลาเดินโดยไม่หยุดเลยประมาณ 45 นาที ดังนั้นหากอยากเดินลงไปสำรวจประภาคาร ควรเผื่อเวลาไว้ขณะเดินกลับด้วย เพราะต้องเดินกลับขึ้นไปบนเส้นทางที่สูงชัน ที่อาจต้องหยุดพักระหว่างทาง

9. Dunvegan Castle

อีกสถานที่ท่อง เที่ยวสกอตแลนด์ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยี่ยมชมเกาะสกายก็คือปราสาทดันเวแกน (Dunvegan Castle) ที่ตั้งอยู่บนเนินหินบะซอลท์ริมทะเลสาบดันเวแกน ที่นี่เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในสกอตแลนด์ที่ยังมีคนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องของครอบครัวหัวหน้าแคลน แมคลาวด์ (Chiefs of Clan MacLeod) ตระกูลไฮแลนด์ที่มีชื่อเสียงนานกว่า 800 ปี สิ่งปลูกสร้างปัจจุบันส่วนมากเป็นผลมาจากการพัฒนาและฟื้นฟูมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ถึง 19 ภายในปราสาทมีภาพวาดที่สวยงามและมรดกตกทอดที่สำคัญอยู่มากมาย

เที่ยวสกอตแลนด์ เกาะสกาย Dunvegan Castle

หนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมที่ปราสาทดันวีแกนคือการนั่งเรือออกไปดูแมวน้ำในทะเลสาบ เป็นทริปที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว การนั่งเรือ 25 นาทีจะทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับฝูงแมวน้ำ และถ้าคุณโชคดี คุณก็อาจได้เห็นนกกระสาทำรังหรือนกอินทรีหางขาว (นกอินทรีทะเล) ซึ่งเป็นนกล่าเหยื่อที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร การเดินทางมีค่าใช้จ่าย 12 ปอนด์ (พร้อมตั๋วปราสาท) และไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า

การไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อม สิ่งสำคัญที่จะช่วยคุณรับมือหากเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดระหว่างการเดินทาง ที่อาจทำให้คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : anywhereweroam.com, inspiredbymaps.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง

วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง

นักท่องเที่ยวชาวไทยที่อยากไป เที่ยวแคนาดา สามารถเดินทางได้ง่ายขึ้นแล้ว เมื่อรัฐบาลแคนาดาปรับเงื่อนใขในการเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 13 ประเทศ ที่รวมถึงประเทศไทยด้วย สามารถเดินทางเข้าแคนาดาได้โดยไม่ขอวีซ่าและพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน เพียงแค่สมัครขออนุมัติการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ eTA ซึ่งสามารถทำออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายและไม่ยากเลยค่ะ Allianz Travel จะนำ วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง มาแนะนำแบบทุกขั้นตอนเพื่อให้เป็นแนวทางกันค่ะ

เงื่อนไขในการลงทะเบียน eTA แคนาดา

eTA ของแคนาดา หรือ Electronic Travel Authorization คือเอกสารอนุมัติการเดินทางเข้าประเทศผ่านระบบออนไลน์ เป็นข้อกำหนดสำหรับชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า และมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. เคยมีวีซ่าแคนาดาในช่วงไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา หรือเป็นผู้ถือวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุ
  2. มีวัตถุประสงค์ในการเดินทางไปแคนาดาเพื่อการท่องเที่ยวหรือธุรกิจไม่เกิน 6 เดือน
  3. เดินทางเข้าแคนาดาทางเครื่องบินหรือเปลี่ยนเครื่องที่แคนาดา โดยถือพาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุของประเทศที่สามารถลงทะเบียน eTA ได้

*หากไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะต้องยื่นขอวีซ่านักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางไปแคนาดาตามปกติ

สิ่งที่ต้องใช้สำหรับการสมัคร eTA แคนาดา

ผู้สมัคร eTA แคนาดาจะต้องเตรียมข้อมูลในการกรอกใบสมัครดังนี้

  • เลขที่หนังสือเดินทาง วันที่ออก วันหมดอายุ (หนังสือเดินทางควรมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน)
  • ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ สถานที่เกิด วันเดือนปีเกิด
  • อีเมล (ผลการสมัคร eTA แจ้งผ่านทางอีเมล)
  • บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตสำหรับชำระค่าธรรมเนียม 7 ดอลล่าร์แคนาดา

หมายเหตุ

  • คุณสามารถสมัครและชำระเงินได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น หากคุณต้องการสมัครให้สมาชิกในครอบครัวหรือบุคคลอื่น คุณจะต้องกรอกและส่งแบบฟอร์มทีละคน
  • คุณมีเวลาจำกัดในการกรอกแบบฟอร์ม และระบบไม่สามารถบันทึกข้อมูลของคุณเพื่อกรอกในภายหลังได้ แต่คุณสามารถขยายระยะเวลาได้ หากต้องการเวลาเพิ่มอีก เมื่อคุณเห็นข้อความ ‘Session timeout warning (คำเตือนการหมดเวลา)’ ปรากฏขึ้น ให้คลิกปุ่ม ‘Continue session (ดำเนินการต่อ)’ เพื่อขยายเวลาเพิ่ม
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา

การกรอกใบสมัคร eTA ออนไลน์

  1. เริ่มสมัครโดยเข้าเว็บไซต์ https://onlineservices-servicesenligne.cic.gc.ca/eta/welcome
  2. เข้าสู่หน้า การสมัครขออนุมัติการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (eTA)
  3. คุณสมัครในนามบุคคลอื่นหรือไม่

ในบทความนี้จะแนะนำวิธีลงทะเบียนสำหรับผู้ที่สมัครด้วยตนเอง ดังนั้นสำหรับคำถามนี้ จะต้องตอบ No (ไม่ใช่) หากคุณเป็นพ่อแม่/ผู้ปกครอง หรือตัวแทนที่สมัครขอ eTA ให้กับบุคคลอื่น คุณต้องตอบ ใช่ (Yes) และต้องกรอกรายละเอียดเพิ่มเติม

วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - สิ่งที่ต้องใช้สำหรับการสมัคร eTA แคนาดา
  1. เริ่มกรอกใบสมัคร คุณต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและถูกต้อง ถ้าข้อมูลไม่ตรงตามหนังสือเดินทางคุณจะไม่สามารถเดินทางได้ ใบสมัครมีแค่ภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น 
  2. คุณใช้เอกสารเดินทางอะไรในการเดินทางไปแคนาดา – ให้เลือกประเภทหนังสือเดินทางของคุณ
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - เริ่มกรอกใบสมัคร
  1. เลือกรหัสประเทศในหนังสือเดินทาง – สำหรับหนังสือเดินทางไทยให้เลือก THA (Thailand)
  2. คุณเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรโดยชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐอเมริกา โดยมีหมายเลขประประจำตัวที่แสดงสัญชาติและการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา (USCIS) ที่ถูกต้องหรือไม่
  • ถ้ามี ตอบ ใช่  – ไม่จำเป็นต้องสมัคร  eTA เมื่อเดินทางเข้าแคนาดา สามารถใช้แสดงเอกสารยืนยันการมีถิ่นที่อยู่ถาวรในสหรัฐอเมริกาได
  • ถ้าไม่มี ตอบ ไม่ใช่ และกรอกข้อมูลต่อ
  1. เลือกสัญชาติที่ระบุไว้ในหนังสือเดินทาง – สัญชาติไทยเลือก Thailand
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - กรอกข้อมูลรหัสประเทศ, ข้อมูลถิ่นที่อยู่ถาวรโดยชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐอเมริกา (USCIS) และสัญชาติ
  1. คุณเดินทางไปแคนาดาทางเครื่องบินหรือไม่

คุณต้องเดินทางไปแคนาดาทางเครื่องบินเท่านั้น ถึงสามารถสมัคร eTA ได้ หากเดินทางด้วยวิธีการอื่น คุณไม่สามารถสมัคร eTA และต้องไปขอวีซ่าเข้าประเทศแคนาดาตามปกติ

  1. ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คุณเคยมีวีซ่าแคนาดาแบบพำนักชั่วคราวหรือไม่ – ถ้าเคยมี ตอบ ใช่  ถ้าไม่เคยมี ตอบ ไม่ใช่
  2. ปัจจุบันคุณมีวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกาหรือไม่
  • ถ้าคุณไม่มีวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกา และไม่เคยมีวีซ่าแคนาดาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  คุณไม่สามารถสมัคร eTA ได้
  • ถ้าคุณไม่มีวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกา แต่เคยมีวีซ่าแคนาดาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คุณสามารถสมัคร eTA ได้
วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - กรอกข้อมูลรหัสประเทศ, ข้อมูลถิ่นที่อยู่ถาวรโดยชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐอเมริกา (USCIS) และสัญชาติ

12. ถ้ามีวีซ่าสหรัฐอเมริกา กรอกรายละเอียดเพิ่มเติม – หมายเลขวีซ่าของสหรัฐอเมริกา และวันหมดอายุ

วิธีลงทะเบียน eTA แคนาดา - กรอกรายละเอียดเพิ่มเติม ถ้ามีวีซ่าสหรัฐอเมริกา

13. ข้อมูลหนังสือเดินทาง – หมายเลขหนังสือเดินทาง ชื่อ-นามสกุล วันเกิด เพศ ประเทศเกิด เมืองเกิดวันที่ออกหนังสือเดินทาง วันที่หนังสือเดินทางหมดอายุ

กรอกข้อมูลหนังสือเดินทางของผู้สมัคร
  1. ข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัคร
  • สัญชาติ – เลือกประเทศที่คุณเป็นพลเมืองอยู่
  • คุณเคยยื่นขอวีซ่าหรือมีวีซ่า/eTA หรือมีใบอนุญาตให้ไปเยี่ยมเยียน อยู่อาศัย ทำงาน หรือศึกษาในแคนาดาหรือไม่
  1. ข้อมูลการติดต่อ
  • เลือกภาษาที่ต้องการใช้ในการติดต่อ – อังกฤษ/ฝรั่งเศส
  • อีเมล – ใส่อีเมลที่สามารถติดต่อได้ อีเมลนี้จะใช้ในการแจ้งผลการสมัคร
กรอกข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการติดต่อ
  1. รายละเอียดที่อยู่ – ใส่ที่อยู่ถาวรเท่านั้น ห้ามใส่ที่อยู่ชั่วคราวหรือตู้ไปรษณีย์
  2. รายละเอียดการเดินทาง
  • ถ้าทราบว่าจะเดินทางไปแคนาดาเมื่อไหร่ ตอบ Yes
  • ถ้ายังไม่ทราบตอบ No
กรอกรายละเอียดที่อยู่ และรายละเอียดการเดินทาง

18. การยืนยันของผู้สมัคร – อ่านคำประกาศหรือยืนยันว่ากรอกข้อมูลตามความเป็นจริง คลิกยอมรับ และพิมพ์ชื่อให้ตรงกับหนังสือเดินทาง

ทำการให้คำยินยอมและการยืนยันข้อมูลการลงทะเบียน
  1. หลังจากลงชื่อเรียบร้อยแล้วให้คลิก Proceed to Payment เพื่อดำเนินการจ่ายค่าธรรมเนียมการสมัคร
  2. พิมพ์ใบเสร็จค่าธรรมเนียมทันทีที่สมัครเสร็จ คุณจะไม่สามารถพิมพ์หรือขอสำเนาใหม่ในภายหลังได้
  3. คุณจะได้รับอีเมลยืนยันการสมัคร eTA ทางอีเมล หากไม่ได้รับอีเมล ให้ตรวจสอบโฟลเดอร์ Junk Mail ของคุณด้วย
  4. เมื่อได้รับอีเมลยืนยัน คุณสามารถตรวจสอบสถานะการสมัครได้ที่ https://onlineservices-servicesenligne.cic.gc.ca/eta/applicationQuery โดยกรอกหมายเลขใบสมัครที่ขึ้นต้นด้วยตัว V ดูจากอีเมลที่คุณได้รับหลังจากส่งใบสมัครแล้ว และกรอกหมายเลขหนังสือเดินทาง ประเทศที่ออกหนังสือเดินทาง

วันออกหนังสือเดินทาง และวันที่หนังสือเดินทางหมดอายุให้ตรงกับที่คุณกรอกในใบสมัคร

หลังจากชำระค่าธรรมเนียม ผู้ลงทะเบียนจะได้รับอีเมลยืนยัน
  1. เมื่อใบสมัครได้รับอนุมัติ คุณจะได้รับแจ้งผลทางอีเมล

**คุณควรตรวจสอบชื่อ นามสกุล และหมายเลขหนังสือเดินทางให้ตรงตามหนังสือเดินทางของคุณทันทีที่คุณได้รับอีเมลแจ้งผลอนุมัติ หากรายละเอียดดังกล่าวไม่ถูกต้อง คุณจะไม่สามารถเดินทางไปแคนาดาได้ ดังนั้นคุณจะต้องดำเนินการสมัครและขำระเงินใหม่ นอกจากนี้ถ้าคุณสมัครในเวลากระชั้นชิด คุณอาจไม่ได้รับอนุมัติ eTA ได้ทัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ

เมื่อใบสมัครได้รับการอนุมัติ ผู้ลงทะเบียนจะได้รับแจ้งทางอีเมล

eTA แคนาดาใช้เวลาในการพิจารณานานแค่ไหน

การสมัคร eTA เป็นการกรอกข้อมูลออนไลน์ ผู้สมัครส่วนใหญ่ได้รับการอนุมัติ eTA (ทางอีเมล) ในเวลาไม่นาน แต่บางกรณี อาจใช้เวลาดำเนินการหลายวัน ซึ่งจะมีอีเมลแจ้งให้ทราบถึงขึ้นตอนต่อไปที่คุณต้องดำเนินการต่อ ดังนั้น คุณควรรีบสมัคร eTA ทันทีที่คุณทราบกำหนดการเดินทาง และควรรอให้ได้รับอนุมัติก่อนที่จะจองเที่ยวบินไปแคนาดา

หลังจากคุณได้รับการอนุมัติแล้ว ข้อมูลหนังสือเดินทางของคุณจะถูกบันทึกอยู่ในระบบ และ eTA มีอายุ 5 ปี หรือจนกว่าหนังสือเดินทางจะหมดอายุ แล้วแต่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใดถึงก่อน คุณสามารถเดินทางเข้าประเทศแคนาดาได้ตลอดเวลาภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ระยะเวลาที่อยู่ในแคนาดาแต่ละครั้งต้องไม่เกิน 6 เดือน และหากคุณต้องทำหนังสือเดินทางใหม่ คุณจะต้องดำเนินการสมัครขออนุมัติ eTA ใหม่

เราหวังว่า วิธีสมัคร eTA แคนาดา ทำได้ง่ายด้วยตนเอง แบบละเอียดทุกขั้นตอน  จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวแคนาดา อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขการสมัครก่อนนะคะ หากมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข ก็สามารถดำเนินการสมัครได้เลยค่ะ ขอให้ทุกท่านผ่านการอนุมัติและเดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ

สิ่งสำคัญที่ควรมีในการเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Electronic Travel Authorization (eTA) – Canada.ca, Final Instructions Apply eTA – Canada.ca

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

12 ที่เที่ยวแคนาดา ดินแดนแห่งความงดงามของธรรมชาติ

12 ที่เที่ยวแคนาดา ดินแดนแห่งความงดงามของธรรมชาติ

ประเทศแคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่หลายคนอยากไปเยือน ด้วยเป็นประเทศที่กว้างใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก มีแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ ให้ได้ผจญภัยได้หลากหลายรูปแบบ ที่เที่ยวแคนาดาหลายแห่งก็ติดอันดับที่เที่ยวที่สวยที่สุดในโลก หากใครกำลังมองหาที่เที่ยวต่างประเทศที่คุ้มค่าต่อการไปเยือน การไปเที่ยวแคนาดาจะทำให้คุณประทับใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการชมธรรมชาติอันงดงาม สัตว์ป่า วัฒนธรรม และอาหาร Allianz Travel จะพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ กับ 12 ที่เที่ยวแคนาดา ต้องมาสักครั้งในชีวิต

1. เทือกเขาร็อกกี้ของแคนาดา (The Canadian Rockies)

หากคุณอยากเห็นวิวภูเขาที่สวยงามที่สุด เทือกเขาร็อกกี้ของแคนาดาเป็นเทือกเขาที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่มากที่สุดในประเทศแคนาดา ทอดตัวเป็นแนวพรมแดนตั้งแต่ทางด้านเหนือสุดของรัฐบริติชโคลัมเบีย (British Columbia) ประเทศแคนาดา ยาวไปจนถึงรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวชมเทือกเขาร็อกกี เมาน์เทน จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) และอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) ซึ่งมีเส้นทางขับรถชมยอดเขาที่สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะบนเส้นทาง Icefields Parkway และ Trans-Canada Highway ช่วงเมืองแจสเปอร์

ที่เที่ยวแคนาดา เทือกเขาร็อกกี้ของแคนาดา (The Canadian Rockies)

ในเขตอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ คุณจะได้สัมผัสผืนป่าเขียวขจีผ่านเส้นทางเดินเขา (Sulphur Mountain Boardwalk) ที่ทำจากไม้กระดานทอดเป็นบันไดยาวสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2,281 เมตร เพื่อชมวิวของอุทยาน ชมเมืองแบมฟ์จากมุมสูง รวมถึงทะเลสาบ Minnewanka กันอย่างจุใจ หรือเลือกขึ้นกระเช้าไฟฟ้า (Gondola) ไปยังจุดชมวิวด้านบนยอดเขา Sulphur Mountain หากคุณชอบเล่นสกี หรือกิจกรรมฤดูหนาว ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมในแคนาดา แต่ก็มีการผจญภัยกลางแจ้งมากมายในช่วงฤดูร้อนเช่นกัน

ที่เที่ยวแคนาดา เทือกเขาร็อกกี้ของแคนาดา

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

ถ้าคุณอยากชื่นชมธรรมชาติแบบสโลว์ไลฟ์ คุณสามารถเลือกขึ้นรถไฟ และสัมผัสความยิ่งใหญ่จากหน้าต่างเปิดกว้างชมวิวพาโนราม่าบนที่นั่งแสนสบายของคุณ ขณะที่เจ้ารถเหล็กเคลื่อนตัวผ่านภูเขา ป่ากว้าง และแม่น้ำระหว่างทาง นอกจากนี้คุณอาจมีโอกาสได้เห็นหมีดำกริซลี่ เหยี่ยว นกอินทรีสีทอง กวางเอลค์ และแม้แต่เสือคูการ์ในขณะที่คุณเดินทางด้วยความเร็ว 35 ไมล์ต่อชั่วโมงอีกด้วย

2. เมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver)

เมืองแวนคูเวอร์เป็น ที่เที่ยวแคนาดา แห่งหนึ่ง ที่คุณจะได้เห็นเมืองและธรรมชาติอยู่ด้วยกันอย่างสวยงามและลงตัว คุณจะเห็นความงามของน้ำทะเลจรดท้องฟ้าล้อมรอบมหานครใหญ่ ทั้งภูเขาที่เล่นสกีได้ในบริเวณรอบนอก ชายหาดริมชายฝั่ง และต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุนับ 100 ปีในสวนสาธารณะสแตนลีย์ (Stanley Park) ที่มีพื้นที่กว้างขวางถึง 4 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งพักผ่อนยอดนิยมของชาวเมืองและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์และนกหลายชนิด เพียงไม่กี่ก้าวจากตึกสูงในย่านดาวน์ทาวน์

ที่เที่ยวแคนาดา เมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver)

นอกจากธรรมชาติอันหลากหลายของแวนคูเวอร์ เมืองชายฝั่งแห่งนี้ยังมีอาหารและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และกับย่านต่างๆ ที่ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นประตูสู่การผจญภัยกลางแจ้งด้วย การเดินป่า ขี่จักรยาน และพายเรือ สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากใจกลางเมือง หากสภาพอากาศเป็นใจ นักท่องเที่ยวสามารถจับจ่ายซื้อของ เล่นสกี และว่ายน้ำได้ในวันเดียว

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

เกาะแวนคูเวอร์เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในแคนาดาที่ควรไปเยี่ยมชมในช่วงฤดูร้อน ด้วยสภาพอากาศที่อบอุ่นและชายหาดที่สวยงาม คุณสามารถซื้ออาหารและเครื่องดื่มเย็นๆ ไปนั่งปิกนิกที่สวนสาธารณะสักแห่งในเมือง หรือเดินเล่นช้อปปิ้งเมือง คุณอาจพบเห็นคนดังระหว่างทาง เพราะแวนคูเวอร์เป็นที่รู้จักในนาม “ฮอลลีวูดเหนือ” ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายเรื่องที่ถ่ายทำตลอดทั้งปี

3. เกาะมานิทูลิน (Manitoulin Island)

เกาะมานิทูลินมีพื้นที่ 2,766 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยุ่บนอ่าวจอร์เจียกลางทะเลสาบฮูรอน เป็นเกาะน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในเกาะยังมีทะเลสาบน้ำจืดอีก 108 แห่ง ที่ใหญ่ที่สุดคือทะเลสาบ Manitou ทะเลสาบ Kagawong และทะเลสาบ Mindemoya ที่ล้วนแต่มีเกาะเป็นของตัวเองเช่นกัน คุณสามารถพายเรือเล่นในทะเลสาบหรือแม่น้ำ ชมความงามของน้ำตกไบรดัลเวล (Bridal Veil) ไหลลดหลั่นลงมาเหนือหุบเขาใกล้ทะเลสาบ Kagawong

ที่เที่ยวแคนาดา เกาะมานิทูลิน (Manitoulin Island)

นอกจากนี้เกาะมานิทูลินยังเป็นที่ตั้งถิ่นฐานแห่งแรกของของชาวยุโรปในแคนาดาอีกด้วย บนเกาะมีเขตอนุรักษ์ของชนพื้นเมือง 6 แห่ง และเต็มไปด้วยหลักฐานทางโบราณคดีที่ย้อนไปได้ถึง 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล ไฮไลท์คือการที่คุณได้ใช้เวลากับชนพื้นเมือง ผ่านการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและมรดกของพวกเขา อย่างเช่น พักกับคนในท้องถิ่น ชิมอาหาร ผจญภัยเชิงอนุรักษ์ (พายเรือแคนู ขี่ม้า เดินป่า) เข้าเวิร์คชอปทำคบเพลิงหรือกลอง หรือชมการแสดงดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิม

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการตกปลา เดินป่า พายเรือ และเล่นบนชายหาด  หากคุณชอบการเดินป่าที่เงียบสงบและสีสันสวยงามของฤดูใบไม้ร่วง ช่วงสุด cideries สัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมจะเป็นวันหยุดยาวที่ชาวเมืองเฉลิมฉลองเทศกาล Haweater คุณจะได้พบกับงานหัตถกรรม ขบวนพาเหรด การเต้นรำตามท้องถนน ล่องเรือรถคลาสสิก การแข่งขันในชนบทแบบเก่า เช่น การดึงม้า และดอกไม้ไฟ ฤดูหนาวจะเป็นช่วงเวลาชมแสงเหนือเต้นรำบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เล่นสกีแบบครอสคันทรี หรือตกปลาในน้ำแข็ง

4. เกาะแวนคูเวอร์ (Vancouver Island)

ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเพียง 90 นาทีนั่งเรือข้ามฟากจากเมืองแวนคูเวอร์อันวุ่นวายมาสู่เมืองวิคตอเรีย เมืองหลวงของบริติชโคลัมเบียที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ อยู่บนปลายสุดทางตอนใต้ของเกาะแวนคูเวอร์ คุณจะรู้สึกราวกับย้อนไปสู่ยุคอาณานิคมอังกฤษตั้งแต่ทศวรรษที่ 1840 คุณจะได้เห็นบบรยากาศที่แปลกตาออกไป มีร้านค้าสไตล์โบฮีเมียน บาร์กาแฟที่ปูพื้นด้วยไม้ และวัฒนธรรมแบบอังกฤษ อย่างเช่น การดื่มชายามบ่าย สวนอังกฤษที่ตกแต่งอย่างสวยงาม

ที่เที่ยวแคนาดา เกาะแวนคูเวอร์ (Vancouver Island)

เกาะแวนคูเวอร์ทอดยาวเป็นระยะทาง 460 กิโลเมตร นอกจากเมืองวิคตอเรีย ยังมีเมืองอื่นหรือกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจ อย่างเช่น เมือง Sooke และชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ หุบเขาโควิชาน (Cowichan) หรือสำรวจหมู่เกาะในอ่าว ชมพื้นที่ชายฝั่งที่มีระบบนิเวศน์ที่หลากหลายทีสุดแห่งหนึ่งของโลกทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ เขตสงวนอุทยานแห่งชาติแปซิฟิกริม (Pacific Rim) ส้มผัสประสบการณ์การดูวาฬ ดูนก ตกปลา เล่นกระดานโต้คลื่น หรือผ่อนคลายไปกับวิวทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิก

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

หากคุณเป็นนักชิม ให้มุ่งหน้าไปที่โควิชาน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนทางทะเลเพียงแห่งเดียวของแคนาดา และเป็นที่ที่มีอุณหภูมิอบอุ่นที่สุดตลอดทั้งปี ดังนัน เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่โควิชานผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสชาติดีเยี่ยมจากฟาร์ม โรงบ่มไวน์ โรงงานผลิตเครื่องดื่มไซเดอร์ และโรงกลั่น นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเทศกาลและกิจกรรมกลางแจ้งสนุกๆ อีกมากมายตลอดทั้งปี เช่น ขี่จักรยาน เดินป่า ตกปลา พายเรือคายัค และอื่นๆ

5. เมืองวิสต์เลอร์ (Whistler)

เมืองวิสต์เลอร์ (Whistler) ในรัฐบริติชโคลัมเบียอยู่ห่างจากใจกลางเมืองแวนคูเวอร์เพียง 90 นาทีโดยรถยนต์ ที่เที่ยวแคนาดา แห่งนี้มีภูมิทัศน์ที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้เมืองแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าประทับใจตลอดทั้งปี หมู่บ้านบนเทือกเขาแห่งนี้เป็นสถานที่จัดงานโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2010 เป็นหนึ่งในสกีรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุด มีอุปกรณ์ครบครันและเป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีทางสกีว่า 200 เส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามภูเขาสูงตระหง่านสองลูก ได้แก่ ภูเขาวิสต์เลอร์และภูเขาแบล็คคอมบ์

ที่เที่ยวแคนาดา เมืองวิสต์เลอร์ (Whistler)

จุดหมายปลายทางแห่งนี้คือสวรรค์สำหรับนักเล่นสกีและกีฬาฤดูหนาวทุกระดับ แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนเช่นกัน ทั้งปั่นจักรยานเสือภูเขา เล่นแพดเดิลบอร์ด และการเดินป่า นอกเหนือจากกิจกรรมกลางแจ้ง เมืองวิสต์เลอร์ยังมีเทศกาลต่างๆ สปา ร้านอาหาร และบาร์มากมาย ปัจจุบันวิสต์เลอร์ได้พัฒนาสถานที่ทางศิลปะและวัฒนธรรมให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีไฮไลท์อย่างพิพิธภัณฑ์ศิลปะออแด็ง (Audain Art Museum) และศูนย์วัฒนธรรมสควอมิช ลิลวัต (Squamish Li’lwat Cultural Centre) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่แพ้กิจกรรมอื่นๆ

6. เกาะแบฟฟิน (Baffin Island)

เกาะแบฟฟิน เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแคนาดา และเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะกรีนแลนด์ ติดกับอ่าวแบฟฟิน คาบสมุทรคัมเบอร์แลนด์ ช่องแคบฮัดสันและช่องแคบเดวิส มีหิมะอยู่ทางเหนือของเกาะ และทางใต้ที่ติดกับอ่าวฟรอบิสเซอร์ มีเมืองสำคัญคืออีคาลูต (Iqaluit) เมืองหลวงของดินแดนนูนาวุต (Nunavut) ที่ประชากรกว่าครึ่งของเกาะแบฟฟินอาศัยอยู่ที่นั่น

ที่เที่ยวแคนาดา เกาะแบฟฟิน (Baffin Island)

ภูมิประเทศของเกาะแบฟฟินเป็นที่ตั้งของภูเขาที่มียอดสูงชัน ธารน้ำแข็งรูปทรงประหลาด มีหมู่บ้านชาวพื้นเมืองอยู่ตามแนวชายฝั่งเบียดกันอยู่บนหน้าผาเหนือแผ่นน้ำแข็งที่ลอยละล่อง ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการท่องซาฟารีในอาร์กติก ซึ่งคุณจะได้เห็นนาร์วาฬ เบลูกา และหมีในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมัน ไฮไลต์สำคัญของเกาะนี้คืออุทยานแห่งชาติโอยูวีทูค (Auyuittuq National Park) ซึ่งชื่อมีความหมายว่า “ดินแดนที่ไม่มีวันละลาย” ที่มีธารน้ำแข็ง ฟยอร์ด และหน้าผาสูงชันเติมเต็มพื้นที่ทางทิศตะวันออก ที่นี่เป็นเป้าหมายของนักเดินป่าและนักปีนเขาแบบฮาร์ดคอร์ 

เกาะแบฟฟินยังเป็นศูนย์กลางของศิลปะชาวเอสกิโม สตูดิโอสำหรับการแกะสลัก ภาพพิมพ์ และการทอผ้าคุณภาพสูงสามารถพบได้ในเมืองเล็กๆ หลายแห่งที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่

7. เมืองมอนทรีออล (Montréal)

มอนทรีออล เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของแคนาดา ตั้งอยู่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐควิเบค และเป็นเมืองที่ผู้คนพูดภาษาฝรั่งเศสมากที่สุดในโลกอีกด้วย (นอกเหนือจากประเทศฝรั่งเศสเอง) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองที่มีความหลากหลายแห่งนี้ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ระดับโลก และตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คน เริ่มต้นทัวร์ของคุณไปตามถนนหินโบราณในเมืองเก่ามอนทรีออล (Vieux-Montréal) เดินสำรวจอาสนวิหารเก่าแก่ หรือจิบคาปูชิโน่ที่ร้านกาแฟสไตล์ฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมบนถนน Boulevard Saint-Laurent หากประวัติศาสตร์ไม่ทำให้คุณตื่นเต้น ให้มุ่งหน้าไปยังย่านดาวน์ทาวน์ที่พลุกพล่านเพื่อช้อปปิ้งในช่วงบ่าย หรือไปเดินป่าชื่นชมธรรมชาติที่ Parc du Mont-Royal

ที่เที่ยวแคนาดา เมืองมอนทรีออล (Montréal)

อีกอย่างที่พลาดไม่ได้เลยคือการแวะเข้าร้านอาหารเล็กๆ น่ารัก แล้วลองชิม Poutine (มันฝรั่งทอดราดชีสและเกรวี่) ที่เป็นอาหารท้องถิ่นที่เป็นที่นิยมของที่นี่ หรือเบเกิลอบร้อนๆ จากเตาถ่านแบบดั้งเดิม มอนทรีออลยังมีอาหารให้เลือกชมและชิมอีกมากมาย เพราะเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ร้านขนม และบาร์แบบฮิปสเตอร์ของแคนาดาเลยทีเดียว

มอนทรีออลมักจะมีการจัดเทศกาลกว่า 100 ครั้งต่อปี เพราะคนที่นี่รักศิลปะและวัฒนธรรมเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าชอบเทศกาลหรือกิจกรรม ก็ให้ลองแวะไปแถวๆ Plateau Mont-Royal เพื่อชมร้านค้าและคาเฟ่ต่างๆ ที่มักจะมีสิ่งแปลกใหม่มาให้เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจเสมอ หรือเดินทางเข้าเมืองไปยัง Golden Square Mile ที่เป็นแหล่งรวมสถาปัตยกรรมและสถานที่แสดงศิลปะจำนวนมากของเมือง อย่างเช่น Montreal Museum of Fine Art เป็นต้น

8. ย่านเมืองเก่าควิเบก (Old Québec City)

รัฐควิเบก (คนท้องถิ่นเรียกตามภาษาฝรั่งเศสว่าเกแบ็ก) ค้นพบครั้งแรกโดยนักสำรวจชาวฝรั่งเศส และถูกสร้างเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสใหม่ คนส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาตั้งรกรากเมื่อ 400 ปีก่อน ดังนั้นผู้คนที่นี่จะใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร เมืองควิเบกซิตี้เป็นเมืองหลวงของรัฐควิเบก และเป็นหนึ่งในการตั้งพิ่นฐานของชาวยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ ใจกลางเมืองควิเบกเป็นย่านประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันในชื่อย่านเมืองเก่าควิเบก (Old Quebec หรือ Vieux-Québec) และเป็นมรดกโลกของ UNESCO ที่นำเสนอการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของเสน่ห์และความมีชีวิตชีวาของชุมชนสไตล์ยุโรปยุคเก่าที่เป็นมิตร และวัฒนธรรมของแคนาดาเข้าไว้ด้วยกัน

ย่านเมืองเก่าควิเบก (Old Québec City)

ย่านเมืองเก่าควิเบกเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากอาคารเก่าแก่สไตล์ยุโรป อาคารหินสีเทา และถนนที่ปูด้วยหิน บ้านและอาคารหลายหลังที่คุณเห็นมีอายุย้อนไปถึงช่วงต้นทศวรรษ 1600 ถนนแคบๆ ของเมืองเก่าส่วนใหญ่ยังคงปูด้วยหิน คุณจะได้เห็นกำแพงหินโบราณ ป้อมปราการแห่งควิเบก วิหารที่มียอดแหลม และคาเฟ่ที่มีเสียงดนตรีแจ๊ส อบอวลไปด้วยบรรยากาศความโรแมนติก วิธีที่ดีที่สุดในการสัมผัสประสบการณ์ของเมืองเก่าควิเบกคือการเดินไปตามตรอกซอกซอย และชมการแสดงของนักแสดงข้างถนน และชมความงามของโรงแรมขนาดเล็กที่มีอยู่มากมาย

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

คุณสามารถขับรถไปตามเส้นทางถนนชมวิวหมายเลข 132 ที่วิ่งคดเคี้ยวเลียบชายฝั่งทางใต้ของแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ ไปตามคาบสมุทรแกสเป (Gaspé) ชมวิวทะเลและภูเขา รวมถึงหมู่บ้านสวยงามน่ารักที่อยู่ริมข้างทาง

9. เมืองโตรอนโต (Toronto)

เมืองโทรอนโตเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในแคนาดา มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ภายในเมืองเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า และอาคารสุดทันสมัย มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติต่างแวะเวียนมาอยู่อาศัยและเที่ยวชม ตัวเมืองอยู่ติดกับทะเลสาบออนแทรีโอ (Lake Ontario) ที่นี่จึงมีบรรยากาศที่น่าหลงใหล ไม่ว่าใครได้มาเยือนก็ต้องหลงรักเมืองโตรอนโต คุณจะตื่นตาตื่นใจกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเมืองใหญ่ ลิ้มรสอาหารหลากหลายเชื้อชาติ ชมแกลเลอรีศิลปะยุคใหม่ โรงละครชั้นนำ ห้องแสดงดนตรีร็อค และความคลั่งไคล้ในกีฬาฮอกกี้ที่ช่วยเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้กับมหานครแห่งนี้

ที่เที่ยวแคนาดา เมืองโตรอนโต (Toronto)

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในโตรอนโต ได้แก่ CN Tower พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พิพิธภัณฑ์ Ripley’s แห่งแคนาดา พิพิธภัณฑ์ Royal Ontario และสวนสัตว์โตรอนโต ระหว่างที่คุณอยู่ในเมือง อย่าลืมไปสำรวจตลาดเซนต์ลอว์เรนซ์ ตลาดสดที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของแคนาดา เป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับอาหารอร่อยในโตรอนโต

10. อุทยานไดโนเสาร์แห่งรัฐ (Dinosaur Provincial Park)

อุทยานไดโนเสาร์แห่งรัฐ เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่สำคัญมากของแคนาดา จนได้รับการคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ตั้งอยู่ในหุบเขา Red Deer River ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐอัลเบอร์ตา เป็นดินแดนซากฟอสซิลในพื้นที่กว่า 73 ตารางกิโลเมตร หรือ 45,625 ไร่ มีทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม  เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งรวบรวมฟอสซิลที่มีชื่อเสียงและมีคอลเล็กชันฟอสซิลไดโนเสาร์ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก คุณจะได้เห็นดินและหินรูปร่างแปลกๆ ที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในยุคดำดำบรรพ์

อุทยานไดโนเสาร์แห่งรัฐ (Dinosaur Provincial Park)

ที่นี่มีการค้นพบไดโนเสาร์กว่า 58 สายพันธุ์ โครงกระดูกไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์กว่า 150 ตัว นอกจากนี้ยังมีการขุดพบซากกระดูกรวมถึงซากดึกดำบรรพ์สิ่งมีชีวิตอีก 450 ชนิด รวมทั้งสัตว์มีกระดูสันหลังน้ำจืดหลากหลายกลุ่ม เช่น ฉลาม กบ ซาลาแมนเดอร์ สัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ ฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และฟอสซิลพืช เช่น เฟิร์น ใบไม้ เกสรดอกไม้ และสปอร์ของพืช เป็นต้น นอกจากนี้ตัวอย่างมากกว่า 500 ตัวอย่างที่ค้นพบที่นี่ได้ถูกนำออกไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก

ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบประวัติศาสตร์ ซากดึกดำบรรพ์หรือธรณีวิทยา หรือเป็นเพียงกลุ่มนักล่าฟอสซิล การเดินทางไปเที่ยวอุทยานไดโนเสาร์แห่งรัฐ ก็คุ้มค่ากับการเดินทางเป็นอย่างมาก

11. น้ำตกไนแองการ่า (Niagara Falls)

น้ำตกไนแองการ่าอาจไม่ได้สูงจนติดอันดับความสูง 500 อันดับแรกของโลก แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และรัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ซึ่งน้ำตกแห่งนี้จะประกอบด้วย 3 น้ำตกด้วยกัน คือน้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls) อยู่ทางฝั่งแคนาดา, น้ำตกอเมริกา (American Falls) อยู่ทางฝั่งสหรัฐอเมริกา และน้ำตก Bridal Veil อยู่ทางฝั่งอเมริกาเช่นกัน

น้ำตกไนแองการ่า (Niagara Falls)

ถ้าอยากเห็นน้ำตกทั้ง 3 แห่งในมุมสูง สามารถที่จะขึ้นหอคอยชมวิวได้จากทางฝั่งแคนาดา และทางฝั่งนี้ยังสามารถมองเห็นน้ำตกไนแอการาในวิวพาโนรามาได้แบบสวยสุด ๆ อีกด้วย หากใครมาเที่ยวชมในช่วงหน้าหนาว ก็จะเห็นน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง ยามค่ำคืนจะมีการแสดงแสงไฟที่สวยงามส่องไปที่น้ำตก ถือได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ห้ามพลาดของแคนาดา นอกจากนี้หากคุณอยากใกล้ชิดน้ำตกมากยิ่งขึ้น คุณสามารถนั่งเรือเข้สาไปใกล้น้ำตกเพื่อสัมผัสกับละอองน้ำที่กระเซ็นมาจากน้ำตกอย่างใกล้ชิด เป็นภาพที่สวยงามตระการตาและสร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก 

นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงน้ำตกไนแอการา ยังมีไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ให้เข้าไปเยี่ยมชมหลายแห่ง โดยไร่องุ่นส่วนใหญ่จะพาชมไร่องุ่น กระบวนการผลิต โรงเก็บไวน์ใต้ดิน และการชิมไวน์ เป็นกิจกรรมยอดฮิตที่ต้องบอกว่าห้ามพลาดเลยทีเดียว หรือผจญภัยด้วยจักรยานไปตามเส้นทาง Greater Niagara Circle หรือไปที่เครื่องเล่น Wildplay Zipline to the Falls ซึ่งเป็นเครื่องเล่นที่ทำให้คุณใจเต้นแรง และเห็นทัศนียภาพของน้ำตกเบื้องล่างจากมุมสูงขณะที่พุ่งตัวไปข้างหน้า

12. เมืองเชอร์ชิลล์ (Churchill)

เมืองเชอร์ชิล เป็นเมืองเล็กๆ ของแคนาดาที่อยู่ติดกับอ่าวฮัดสัน อยู่ในรัฐมานิโตบา ตอนกลางของประเทศ เมืองนี้เดิมเคยเป็นเมืองท่าขนส่งในอ่าวฮัดสัน แต่ปัจจุบันหมีขาวขั้วโลกได้นำนักท่องเที่ยวมาที่นี่จนกลายเป็นกึ่งเมืองท่องเที่ยวของแคนาดา จนเมืองเชอร์ชิลล์ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงของหมีขั้วโลก หมีขั้วโลกจะอาศัยอยู่ละแวกอ่าวฮัดสันซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงราวเดือนมิถุนายน เพื่อจับแมวน้ำกินเป็นอาหารหลัก แต่พอเข้าหน้าร้อนอ่าวฮัดสันจะละลาย พวกมันก็เลยต้องกลับมาขึ้นฝั่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เราจะมีโอกาสได้เจอกับหมีขั้วโลกเหล่านี้

ที่เที่ยวแคนาดา เมืองเชอร์ชิลล์ (Churchill)

เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่เหมาะที่สุดในการไปดูหมีขั้วโลก คุณควรจองทัวร์ล่วงหน้า เพราะเป็นช่วง Polar Bear Season ซึ่งนักท่องเที่ยวจะมาเป็นจำนวนมาก และทัวร์เต็มเร็วมาก

หมีที่เมืองเชอร์ชิลล์ (Churchill)

สิ่งที่คุณควรทราบก่อนวางแผนเที่ยวแคนาดา

1) แคนาดาเป็นประเทศที่ใหญ่มาก

ถ้าคุณมีเวลาไปเที่ยวเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ คุณควรเลือก 2-3 เมืองที่คุณสนใจ และวางแผนเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเหล่านั้น

2) เตรียมพร้อมสำหรับสภาพอากาศ

สภาพอากาศของแคนาดาไม่ได้หนาวจัดตลอดเวลา ส่วนใหญ่ของประเทศอาจมีหน้าร้อนที่เราต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนแผดเผา สภาพอากาศและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดีงนั้นเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเยี่ยมชมพื้นที่ที่คุณสนใจ

3) ศึกษาข้อกำหนดและข้อยกเว้นการเดินทาง

ปัจจุบันรัฐบาลแคนาดาประกาศให้นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถยื่นขอใบอนุญาตการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (eTA) แทนการขอวีซ่าได้ ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยในการช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากในการขอวีซ่าเข้าแคนาดา และมีโอกาสเดินทางไปแคนาดาได้ง่ายขึ้น อ่านรายละเอียดที่นี่

ตอนนี้คุณรู้จัก 12 ที่เที่ยวแคนาดา กันแล้ว เตรียมตัวจัดกระเป๋าและวางแผนการเดินทางไปแคนาดาเพื่อชมสถานที่ ที่ยิ่งใหญ่และความงดงามของธรรมชาติในแต่ละแห่ง แต่การเดินทางไป เที่ยวแคนาดา การที่เราไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : lonelyplanet.com, travel.destinationcanada.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

ฟรีวีซ่าแคนาดา สำหรับคนไทย หากมีคุณสมบัติตามเงื่อนไข

ข่าวดี! คนไทยไม่ต้องขอ วีซ่าแคนาดา หากมีคุณสมบัติตามเงื่อนไข

รัฐบาลแคนาดาประกาศเพิ่ม 13 ประเทศที่นักท่องเที่ยวเดิมต้องขอ วีซ่าแคนาดา สามารถยื่นขออนุมัติการอนุญาตการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (eTA) ได้ ทั้งนี้รวมถึงผู้ที่ถือหนังสือเดินทางประเทศไทยด้วย มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2023 เป็นต้นไป

ผู้เดินทางที่สามารถลงทะเบียน eTA ได้ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. เคยมีวีซ่าแคนาดาในช่วงไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา หรือเป็นผู้ถือวีซ่าชั่วคราวของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
  2. ต้องพำนักอยู่ในแคนาดาเพื่อการท่องเที่ยวหรือธุรกิจไม่เกิน 6 เดือน
  3. ต้องเดินทางเข้าแคนาดาทางเครื่องบินเท่านั้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวคุณสมบัติและเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศแคนาดาได้ที่นี่

การอนุญาตการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (eTA) คืออะไร

การอนุญาตการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (eTA) เป็นข้อกำหนดในการเข้าประเทศสำหรับชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าที่เดินทางเข้าประเทศแคนาดาโดยเครื่องบิน โดย eTA จะเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์กับหนังสือเดินทางของผู้เดินทาง มีอายุไม่เกิน 5 ปี หรือจนกว่าหนังสือเดินทางจะหมดอายุ แล้วแต่ว่าจะถึงอย่างใดก่อน หากคุณต้องทำหนังสือเดินทางใหม่ คุณต้องทำการยื่นสมัคร eTA ใหม่

หากคุณได้รับอนุมัคิ eTA คุณสามารถเดินทางไปแคนาดาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง สำหรับการพำนักระยะสั้น (สูงสุดครั้งละไม่เกิน 6 เดือน) คุณไม่จำเป็นต้องใช้ eTA สำหรับการเดินทางภายในแคนาดา

ถึงแม้ว่าคุณจะได้รับการอนุมัติ eTA แต่ไม่ได้รับประกันการเข้าประเทศแคนาดา เมื่อคุณเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่จะขอดูหนังสือเดินทางและเอกสารอื่นๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณเดินทางมาแคนาดาเพื่อพำนักระยะสั้นเท่านั้น

รายละเอียดการสมัคร eTA เพื่อเดินทางไปแคนาดา

eTA Canada
ขอบคุณรูปภาพจาก : Government of Canada
  • ผู้เดินทางต้องสมัคร eTA บนเว็บไซต์ อย่างเป็นทางการของรัฐบาลแคนาดาเท่านั้น
  • การสมัคร eTA ออนไลน์ใช้เวลาตอบคำถามเพียงไม่กี่ข้อ ผู้สมัครส่วนใหญ่ได้รับการอนุมัติทางอีเมลภายในไม่กี่นาที แต่ผู้สมัครบางรายการอาจต้องส่งเอกสารเพิ่มเติม มีผลให้ใช้เวลาดำเนินการหลายวัน ดังนั้น คุณคนทำการสมัคร eTA ก่อนที่คุณจะจองเที่ยวบินไปแคนาดา
  • eTA มีค่าใช้จ่าย 7 ดอลลาร์แคนาดา (ประมาณ 180 บาท) คุณสามารถสมัครและชำระเงินได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น
  • ในการกรอกแบบฟอร์ม คุณจะต้องใช้หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานเหลือมากกว่า 6 เดือน บัตรเครดิต อีเมล และตอบคำถามสองสามข้อด้วย
  • ตรวจสอบหมายเลขหนังสือเดินทางอย่างระมัดระวัง หากคุณกรอกหมายเลขในแบบฟอร์ม eTA ผิด คุณจะไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศแคนาดาได้
  • เมื่อคุณได้รับอีเมลการอนุมัติ eTA ตรวจสอบหมายเลขหนังสือเดินทางในอีเมลว่าตรงกับหมายเลขในหนังสือเดินทางของคุณหรือไม่ หากไม่ตรงกัน คุณต้องสมัคร eTA ใหม่
  • หากคุณได้รับอนุมัติ eTA แล้ว รายละเอียดการอนุมัติจะเชื่อมโยงกับหนังสือเดินทางที่คุณใช้สมัคร คุณต้องแสดงหนังสือเดินทางนี้เมื่อคุณเช็คอินเที่ยวบินไปแคนาดา เจ้าหน้าที่สายการบินจะสแกนหนังสือเดินทางของคุณ เพื่อยืนยันว่าคุณมี eTA ที่ถูกต้อง หากคุณมีข้อผิดพลาด คุณจะไม่สามารถขึ้นเครื่องได้

แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนให้ความสนใจ จากภูมิประเทศและธรรมชาติที่สวยงาม วิถีชีวิตของผู้คน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม คุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นหนึ่งในประเทศที่มักติดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกอยู่เป็นประจำ ทำให้ใครต่อใครอยากลองมาเที่ยวแคนาดาให้เห็นกับตาซักครั้ง การที่รัฐบาลแคนาดาประกาศเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถยื่นขอใบอนุญาตการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (eTA) แทนการขอวีซ่าได้ ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยในการช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากในการขอ วีซ่าแคนาดา และมีโอกาสเดินทางไปแคนาดาได้ง่ายขึ้น

Canada Tourist Attractions

แต่การเดินทางไปในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน ก็อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Government of Canada

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 อาหารอังกฤษ ที่คุณต้องลอง เมื่อได้ไปเยือน

10 อาหารอังกฤษ ที่คุณต้องลอง เมื่อได้ไปเยือน

หากคุณมีแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวอังกฤษ คุณควรต้องลอง อาหารอังกฤษ แบบดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดมาจากอังกฤษ หรือเป็นอาหารที่ชาวอังกฤษนิยมทานกันเป็นประจำ อาหารอังกฤษมีประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง และหลายเมนูก็มีอายุย้อนกลับไปหลายศตวรรษตั้งแต่ยุควิคตอเรียนหรือก่อนหน้านั้น มีอาหารอร่อยมากมายในอังกฤษ ที่ทั้งอร่อย มีประโยชน์ และอิ่มท้อง! ตั้งแต่อาหารเช้าแบบอังกฤษเต็มรูปแบบไปจนถึงเนื้อย่างวันอาทิตย์แบบคลาสสิก ทั้งอาหารมื้อหลักของชนชั้นแรงงานไปจนถึงอาหารชั้นสูง จนคุณเลือกไม่ถูกว่าจะรับประทานอะไรก่อนดี นั่นเป็นเหตุผลที่ Allianz Travel รวบรวม 10 เมนูผู้ดีอังกฤษที่คุณต้องลอง เมื่อได้ไปเที่ยวอังกฤษ มาให้เก็บไว้ในลิสต์ของคุณ ลองชิมเมนูโปรดของชาวอังกฤษเหล่านี้ดู คุณจะมีช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจในการรับประทานอาหารอร่อย พร้อมกับชื่นชมส่วนที่สวยงามของสหราชอาณาจักรแห่งนี้

1. ซันเดย์ โรสต์ (Sunday Roast)

หลังจากที่ครอบครัวชาวอังกฤษเข้าโบสถ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาเสร็จสิ้นในช่วงบ่ายวันอาทิตย์แล้ว สมาชิกในครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อร่วมรับประทานอาหารกันอย่างสนุกสนาน โดยเรียกประเพณีนี้กันว่า ซันเดย์ โรสต์ (Sunday Roast) หรือเราอาจได้ยินชาวอังกฤษเรียกชื่อ ซันเดย์ โรสต์ ต่างกันไป บ้างก็เรียก ซันเดย์ ดินเนอร์ (Sunday Dinner) ซันเดย์ ลันช์ (Sunday Lunch) และ ซันเดย์ จอยท์ (Sunday Joint) ซึ่งเป็นประเพณีการรับประทานอาหารของชาวอังกฤษและชาวไอริช ที่ถูกกล่าวถึงกันอย่างแพร่หลายและมีต้นกำเนิดย้อนไปถึงช่วงปี 1700 เมนูจะประกอบด้วยเนื้ออบเป็นหลักราดด้วยซอสเกรวี่ ซึ่งสามารถอบได้ทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อไก่ หรือแม้กระทั่งเป็ด ห่าน ไก่งวง และเนื้อสัตว์ป่าก็สามารถนำมาอบได้ ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและความชื่นชอบของสมาชิกในแต่ละครอบครัว รับประทานกับเครื่องเคียงนานาชนิด รวมถึง มันฝรั่งอบ ผักย่างหรืออบหรือต้ม เช่น ดอกกะหล่ำ บรอคโคลี่ แครอท และยอร์คเชอร์ พุดดิ้ง (Yorkshire pudding)

อาหารอังกฤษ ซันเดย์ โรสต์ (Sunday Roast)

ปัจจุบันนี้ หากคุณไปเที่ยวอังกฤษ และอยากชิมเมนู ซันเดย์ โรสต์ ก็ไม่จำเป็นต้องรอวันอาทิตย์แล้วนะคะ ร้าน อาหารอังกฤษ ส่วนใหญ่มีเมนูนี้บริการเสิร์ฟทุกวันเลยค่ะ ถ้าใครไปเที่ยวที่อังกฤษ (รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในเครือสหราชอาณาจักร อย่างสก็อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ) ห้ามพลาดเมนูเนื้ออบวันอาทิตย์แบบต้นฉบับแท้ๆ นะคะ

2. อาหารเช้าแบบอังกฤษเต็มรูปแบบ (Full English Breakfast)

อาหารเช้าแบบอังกฤษเต็มรูปแบบหรือ Full English Breakfast นั้นจะเป็นอาหารปรุงสุกที่ใส่รวมมาในหนึ่งจานใหญ่ ประกอบไปด้วย เบคอน, ไข่, ไส้กรอกเนื้อ หรือไส้กรอกเลือด (Black Pudding) เป้นอาหารโปรตีน เสิร์ฟพร้อมขนมปังหรือมันฝรั่งทอดเป็นคาร์โบไฮเดตให้พลังงาน รับประทานกับถั่วอบ มะเขือเทศย่าง และเห็ดย่าง ส่วนเครื่องดื่มก็จะเป็นกาแฟหรือชา แน่นอนว่ามันจะมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แตกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาค เพราะอาหารเช้าสไตล์นี้มักจะพบเจอทั่วเกาะบริเตน ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, สก็อตแลนด์, เวลส์ หรือไอร์แลนด์ ดังนั้นอาหารเช้าแบบนี้จึงมีชื่อเรียกเฉพาะที่หลากหลายทั้ง Fry Up, Full English, Full Irish, Full Scottish และ Full Welsh

อาหารอังกฤษ อาหารเช้าแบบอังกฤษเต็มรูปแบบ (Full English Breakfast)

ด้วยความที่สหราชอาณาจักรประกอบไปด้วยหลายประเทศ ดังนั้นอาหารเช้าแบบเต็มรูปแบบอาจแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ไอร์แลนด์มักจะขนมปังโซดาไอริชเพิ่มเติมในมื้อเช้า ส่วนที่สก็อตแลนด์ก็จะต้องมีสโคนมันฝรั่ง (Tattie) อยู่ด้วย และชาวเวลส์ก็ต้องมีขนมปังลาเวอร์เบรด (laverbread) ที่ทำมาจากสาหร่ายทะเล ประเพณีของอาหารเช้าแบบอังกฤษนั้นต้องย้อนไปถึงยุคกลาง ในเวลานั้นมักคนอังกฤษมักจะทานพียงสองมื้อต่อวัน คืออาหารเช้าและเย็น อาหารเช้าจะเสิร์ฟช่วงสาย ๆ ไปเกือบเที่ยงและมักจะประกอบด้วยแค่เบียร์ ขนมปัง บางทีอาจจะมีชีส และเนื้อด้วย เมื่อเข้าสู่ยุคอาณานิคม มีคนร่ำรวยเพิ่มมากขึ้น ชาวอังกฤษก็เริ่มใส่ใจกับอาหารเช้าเป็นพิเศษ โดยจะมีอาหารเช้าแบบอังกฤษเสิร์ฟในงานยิงปืนและล่าสัตว์ด้วย วัตถุดิบสำคัญอย่างไข่และเบคอนถูกจัดเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าพร้อมกับเนื้อสัตว์ต่างๆ อย่าง cold meat ที่รูปร่างคล้ายแฮม และเนื้อปลาเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้อิ่มท้องนานยิ่งขึ้น อาหารบนโต๊ะของคนชั้นสูงในช่วงเวลานั้นประกอบไปด้วยอาหารมากมายหลาย และการทานอาหารของชนชั้นสูงในสมัยนั้นยังเน้นไปถึงความสวยงามของจานชามถ้วยแก้วอีกด้วย

อาหารเช้าแบบอังกฤษเป็นที่นิยมอย่างมากทั่วประเทศ ร้านกาแฟส่วนใหญ่จะแสดงรายการอาหารทั้งหมดและให้คุณเลือกสิ่งที่คุณต้องการและไม่ต้องการได้ด้วย

3. ฟิชแอนด์ชิปส์ (Fish and Chips)

ฟิชแอนด์ชิปส์ หรือปลาชุบแป้งทอดกับมันฝรั่งทอด ถือเป็นเมนูเด็ดที่อยู่คู่อังกฤษมานานกว่า 150 ปี จนกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนอังกฤษต้องไม่พลาดที่จะลิ้มลองสักครั้ง วัฒนธรรมการรับประทานปลาทอดเริ่มเข้าสู่อังกฤษครั้งแรกโดยผู้อพยพเชื้อสายยิวจากโปรตุเกสและสเปนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่การรับประทานปลาคู่กับมันฝรั่งทอดในสหราชอาณาจักรเริ่มขึ้นราวปี 1860 และกลายเป็นอาหารจานเด็ดที่ชาวอังกฤษนิยมรับประทานกันเรื่อยมา เชื่อกันว่าปัจจุบันชาวอังกฤษ 22% ทานฟิชแอนด์ชิปสัปดาห์ละครั้ง

อาหารอังกฤษ ฟิชแอนด์ชิปส์ (Fish and Chips)

ปลาที่นิยมนำมาทำฟิชแอนด์ชิปส์จะเป็นปลาค็อด ปลาแฮดด็อก หรือปลาพอลล็อค ซึ่งจะมีรสสัมผัสและรสชาติต่างกันไป ร้านแต่ละร้านก็จะมีสูตรของตัวเองในการปรุงปลาที่นำมาใช้ นอกจากปลาแล้ว เครื่องเคียงกับซอสที่กินกับฟิชแอนด์ชิปส์ในแต่ละภูมิภาคของอังกฤษก็ต่างกันออกไป ซึ่งโดยปกติแล้วคนอังกฤษจะกินฟิชแอนด์ชิปส์กับเกลือ น้ำส้มสายชู และถั่วลันเตาบด ที่เรียกกันว่า Mushy peas แต่ก็มีหลายพื้นที่ที่มีน้ำเกรวี่ หรือ ซอสแกงกะหรี่มาให้ด้วย

4. น้ำชายามบ่าย (Afternoon Tea)

การดื่มชายามบ่ายหรือ Afternoon tea เริ่มมาตั้งแต่สมัยปลายศตวรรษที่ 18 ในปี ค.ศ. 1840 ซึ่งในยุคนั้นชาวอังกฤษนิยมรับประทานอาหารกันแค่ 2 มื้อหลัก คือ มื้อเช้าและมื้อเย็น ที่เสิร์ฟช่วง 2-3 ทุ่มกันเลย ด้วยระยะเวลาการทานอาหารที่ห่างกันมากนั้น ทำให้พอตกบ่ายก็เลยเกิดความหิวขึ้นมาเป็นปกติ จนในที่สุด เลดี้แอนนา มาเรีย ดัชเชสแห่งของเบดฟอร์ด ก็เลยสั่งให้แม่บ้านจัดชาและของว่างเบาๆ อย่างสโคนกับครีม คุกกี้ชิ้นเล็กๆ ขนมปัง เค้ก และแซนด์วิชชิ้นพอดีคำ จัดมารับประทานแก้หิวในระหว่างวัน แถมยังได้เชิญชวนเหล่าขุนนางอังกฤษ เพื่อนๆ มาร่วมจิบน้ำชา และพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันด้วย และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การจิบน้ำชายามบ่ายพร้อมของว่างชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอดีคำ ก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวอังกฤษ

อาหารอังกฤษ น้ำชายามบ่าย (Afternoon Tea)

ถ้าจะให้ครบตามสูตรของการจิบชายามบ่ายก็ต้องมาให้เต็มรูปแบบ ที่มีตั้งแต่ของคาวอย่างแซนด์วิชนานาชนิด ซึ่งหนึ่งในแซนด์วิชดั้งเดิมของการดื่มน้ำชาที่จะขาดเสียไปไม่ได้เลยคือ แซนด์วิชไส้แตงกวา นอกจากนั้นจะมีขนมอาทิเช่น สโคน ที่นิยมเสิร์ฟพร้อมกับ Clotted cream (ครีมสีขาวทำมาจากเนย แต่เนื้อสัมผัสหนาข้นกว่าและให้รสชาติหอมมัน) และแยม พร้อมด้วยขนมเค้กชิ้นเล็ก จำพวกคัพเค้ก พายหวาน หรือทาร์ตต่างๆ ดื่มพร้อมชา

ปัจจุบันการดื่มชายามบ่ายมีอยู่ทั่วไปในประเทศอังกฤษ มีเซ็ตของว่างและใบชาให้เลือกอย่างหลากหลาย ส่วนราคาก็มีตั้งแต่ย่อมเยาไปจนแพงหลายสิบกว่าปอนด์ ขึ้นอยู่กับร้านที่เราเลือกทาน

5. เชพเพิร์ดพาย (Shepherd’s Pie)

เชพเพิร์ดพาย มีต้นกำเนิดจากประเทศเลี้ยงแกะในสกอตแลนด์และทางตอนเหนือของอังกฤษ และเป็นที่ชื่นชอบของชนชั้นแรงงานตั้งแต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1700 และต้นทศวรรษ 1800 ซึ่งแม่บ้านในสมัยนั้นค่อนข้างประหยัด และมองหาวิธีที่จะนำเอาเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ มารวมกันทำเป็นอาหารจานใหม่ อย่างเช่นเมื่อรับประทานซันเดย์ โรสต์ ในวันอาทิตย์ที่ไม่หมด แม่บ้านก็จะเอาเนื้อนั้นมาทำเชพเพิร์ดพาย โดยเอามันบดปิดด้านบนแล้วอบให้ผิวมีความกรอบนิดๆ รับประทานอร่อยมาก กลายเป็นอาหารจานหรูได้อีกอย่าง

อาหารอังกฤษ เชพเพิร์ดพาย (Shepherd's Pie)

มีการพัฒนาสูตรของเชพเพิร์ดพายหลายรูปแบบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ส่วนผสมหลักและวิธีการปรุงส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม สูตรดั้งเดิมจะนำเนื้อแดงบดปรุงในซอสหัวหอมหรือน้ำเกรวี่ ผสมกับเมล็ดถั่วลันเตา แครอท ปรุงรสด้วยซอสเปรี้ยว เมื่อสุกแล้ว นำเนื้อและซอสใส่ชามหรือจานอบ ปิดด้านบนด้วยมันฝรั่งบดผสมไข่แดงให้ทั่ว โรยด้วยพาสลีย์สับ แล้วอบพายจนชั้นบนสุดเป็นสีทอง บางคนชอบใส่ชีสขูดบนมันฝรั่งบดก่อนอบเพื่อเพิ่มมิติของรสชาติ

6. ไข่สก๊อต (Scotch Eggs)

ไข่สกอตช์ (Scotch egg) เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ทำจากไข่ต้มหุ้มด้วยเนื้อสัตว์บดก่อนจะคลุกด้วยเกล็ดขนมปังแล้วนำไปทอด ที่มาของไข่สกอตช์มีข้อถกเถียงที่หลากหลาย อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าฟอร์ตนัมและเมสันในลอนดอนกล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้คิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1738 โดยได้ชื่อมาจากชื่อเล่นที่ชาวลอนดอนใช้เรียกเจ้าหน้าที่องครักษ์สกอตที่ประจำอยู่ที่นี่และพัฒนาอาหารชนิดนี้ขึ้น ส่วนด้าน Culinary Delights of Yorkshire กล่าวว่าไข่สกอตช์ถูกคิดค้นในศตวรรษที่ 19 ที่เมืองวิตบี มณฑลยอร์กเชอร์ และใช้เนื้อปลาบดแทนเนื้อสัตว์บด โดยชื่ออาหารมาจากร้านวิลเลียม เจ. สกอตแอนด์ซันส์ ซึ่งขายอาหารชนิดนี้

อาหารอังกฤษ ไข่สก๊อต (Scotch Eggs)

ไข่สกอตช์มีหลายรูปแบบ ไข่สกอตช์ชุดเล็กมักมาพร้อมกับไข่ผ่าซีกและเบคอนราดด้วยมายองเนส ในแมนเชสเตอร์จะใช้ไข่ดองเสิร์ฟพร้อมไส้กรอกแบล็กพุดดิง ในวูสเตอร์จะใช้ไข่ดองเช่นกันแต่เสิร์ฟพร้อมไส้กรอกไวต์พุดดิง ราดด้วยซอสวูสเตอร์ 

คุณอาจพบไข่สก๊อตขายในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นของว่างเย็นๆ ซึ่งหมายความว่าเราอาจรับประทานเป็นอาหารว่างมากกว่ามื้ออาหาร

7. พายและมันบด (Pie and Mash)

พายและมันบดเป็นอาหารจานด่วนต้นตำรับของลอนดอน เป็นอาหารอังกฤษแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นที่นิยมในพื้นที่ท่าเรือทางตะวันออกของเมืองหลวงในช่วงยุควิกตอเรีย เดิมทีเป็นอาหารของชนชั้นแรงงาน แป้งพายจะช่วยปกป้องอาหารของคนงานจากสิ่งสกปรกและฝุ่นผงที่มีอยู่ทั่วเมือง โดยปกติแล้วพายจะมีไส้เนื้อสับ เสิร์ฟพร้อมมันบดและซอสพาร์สลีย์สีเขียว

อาหารอังกฤษ พายและมันบด (Pie and Mash)

พายแบบคลาสสิกแบบดั้งเดิมมีทั้งไส้เนื้อบด ไก่และแฮม แต่ทุกวันนี้คุณสามารถเลือกไส้ได้มากมายหลายประเภท รวมถึงไส้ไก่ทิกก้ามาซาล่า! พายจะเสิร์ฟพร้อมกับมันบด และคุณสามารถเพิ่มถั่วลันเตา หรือถั่วบดก็ได้ หากพายเสิร์ฟพร้อมถั่ว คุณสามารถราดน้ำเกรวี่ปริมาณมากปิดท้ายจานได้

สำหรับพายและมันบดถือเป็นเมนูที่ทานเล่นหรือทานจริงจังก็ได้ เพราะร้านเบเกอรี่ในแต่ละเมืองก็จะขายพายเป็นชิ้นๆ ให้ได้ทานเล่นระหว่างวันกันอยู่แล้ว หากไปสั่งที่ร้าน คุณสามารถสั่งขนาดใหญ่สำหรับทานหลายคนหรือขนาดเล็กเพื่อทานคนเดียวก็ได้ค่ะ

8. ขนมอบคอร์นิช (Cornish Pasties)

ขนมอบคอร์นิช (Cornish Pasty) เป็นขนมปังยัดไส้ที่ทำจากเนื้อและผัก มีประวัติอันเป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจที่ย้อนกลับไปหลายศตวรรษ ได้รับความนิยมและแพร่หลายไปทั่วสหราชอาณาจักร มีต้นตำหรับจากคอร์นวอลล์ เมืองทางตอนใต้ของอังกฤษ เชื่อกันว่าขนมชนิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นสำหรับคนงานเหมืองแร่ชาวคอร์นิช ที่ต้องทำงานอยู่ใต้ดินลึกและต้องการอาหารกลางวันที่ตอบสนองความต้องการของสภาพแวดล้อมการทำงานของพวกเขา สามารถถือกินได้ง่าย แป้งครัสต์หนาและไส้แน่นจะคงความอุ่นได้นานหลายชั่วโมงจนถึงเวลาอาหารกลางวัน หรือสามารถอุ่นซ้ำได้ง่ายบนเปลวไฟของตะเกียงน้ำมัน

อาหารอังกฤษ ขนมอบคอร์นิช (Cornish Pasties)

ขนมถูกปิดผนึกด้วยแป้งที่ทำขอบจีบหนายื่นออกมา เพื่อให้คนงานเหมืองใช้จับในขณะที่กิน ช่วยให้มือที่สกปรกของพวกเขาไม่ไปโดนส่วนที่เหลือของขนม ซึ่งพวกเขาสามารถทิ้งส่วนนี้ไปเมื่อกินเสร็จแล้ว นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อด้วยว่าบางครั้งอาจมีการสลักชื่อย่อของคนงานขุดแร่ลงในแป้งที่ปลายด้านหนึ่ง เพื่อที่ว่าหากทานไม่หมดในคราวเดียว พวกเขาก็สามารถรจำได้ว่าชิ้นไหนเป็นของตนเอง และบางครั้งภรรยาของคนงานเหมืองอาจทำขนมแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งจะมีไส้คาวและอีกครึ่งหนึ่งเป็นไส้หวานสำหรับของหวาน 

เนื่องจากขนมอบคอร์นิช หรือคอร์นิชเพสทรี้ ได้รับความนิยมอย่างมากและแพร่หลายไปทั่วสหราชอาณาจักร คุณจึงสามารถหาร้านขนมอบคอร์นิชได้ทั่วทุกที่ไม่ว่าจะเป็นตามสถานีรถไฟและรถโดยสาร เพราะเป็นอาหารที่สะดวก อร่อย มีคุณค่า และทำให้อิ่มท้องดี

9. ครัมเป็ต (Crumpets)

ครัมเป็ตมักรับประทานเป็นอาหารเช้าสไตล์อังกฤษแบบดั้งเดิม ลักษณะกลมคล้ายกับแพนเค้ก แต่หนากว่า ทำมาจากแป้ง น้ำหรือนม และยีสต์ ผสมให้เข้ากันแล้วพักไว้จนแป้งขึ้นฟู หลังจากนั้นนำมาใส่พิมพ์ทอดจนสุก เชื่อกันว่าครัมเป็ตมีต้นกำเนิดมาจากเวลส์และถูกรับประทานมานานก่อนที่สูตรครัมเป็ตอย่างเป็นทางการ จะถูกเผยแพร่โดยเอลิซาเบธ ราฟฟาลด์ในปี พ.ศ. 2312 ครัมเป็ตมีรูพรุนจากฟองอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ และมีเนื้อสัมผัสหนานุ่มเหมือนฟองน้ำ ที่ช่วยให้ซอส เนย หรือแยม ซึมลงไปในเนื้อครัมเป็ตได้

อาหารอังกฤษ ครัมเป็ต (Crumpets)

ครัมเป็ตเป็นที่นิยมในสหราชอาณาจักร หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่ สามารถรับประทานได้ทั้งของว่าง ทั้งคาวและหวาน บางคนชอบละลายเนยบนครัมเป็ตร้อนๆ หรือราดด้วยซอสอื่นๆ บางคนชอบรับประทานกับผลไม้ น้ำผึ้ง หรือโยเกิร์ต ครัมเป็ตเป็นของว่างแสนอร่อยและรับประทานคู่กับชาและเครื่องดื่มอื่นๆ ได้ทั่วประเทศ

10. แบงเกอร์แอนด์แมช (Bangers & Mash)

แบงเกอร์แอนด์แมช (Bangers & Mash) เป็นอาหารทานง่ายยอดนิยมของอังกฤษ ที่มีไส้กรอกเนื้อฉ่ำเสิร์ฟพร้อมมันบดที่ละเอียดจนเนื้อแทบเป็นครีมและน้ำเกรวี่หัวหอมเข้มข้น หรือเรียกอีกอย่างว่าไส้กรอกและมันบด เป็นอาหารอังกฤษที่หาทานได้ทั่วเกาะบริเตนใหญ่ โดยเฉพาะตามผับอังกฤษที่ขายอาหารสไตล์โฮมเมดแสนอร่อย

อาหารอังกฤษ แบงเกอร์แอนด์แมช (Bangers & Mash)

คำว่าแบงเกอร์ (Bangers) เป็นคำสแลงสำหรับไส้กรอกและสามารถหมายถึงไส้กรอกชนิดใดก็ได้ คำนี้ปรากฏขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และแพร่หลายมากขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีการขาดแคลนเนื้อสัตว์ ทำให้แม่บ้านต้องเพิ่มส่วนผสมที่ราคาไม่แพงอื่นๆ เพิ่มไปในไส้กรอก เช่น ขนมปังกรอบ หรือเกล็ดขนมปัง ผสมน้ำในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น และเมื่อทอดในกระทะหรือโดนความร้อน น้ำในไส้กรอกจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนทำให้ไส้กรอกระเบิดเสียงดัง “ปัง” ทำให้เกิดเป็นคำแสลงที่เรียกไส้กรอกว่า แบงเกอร์ ปัจจุบันชาวอังกฤษยังคงเรียกแบบเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้เรียกอาหารจานที่เรียกว่า “แบงเกอร์แอนด์แมช” หรือไส้กรอกและมันบด

เที่ยวอังกฤษ ต้องไม่พลาด อาหารอังกฤษ

อาหารอังกฤษมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ สูตรอาหารแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่อร่อย มีประโยชน์ หากคุณมีทริปไปเที่ยวอังกฤษ ทั้ง ที่เที่ยวลอนดอน และที่เที่ยวในเมืองอื่นๆ อย่าลืมแวะชิมอาหารเหล่านี้ในร้านกาแฟ ผับสไตล์อังกฤษ และร้านอาหารที่มีอยู่ทั่วประเทศ และถ้าคุณได้ออกไปเที่ยวแถบพื้นที่ชนบทนอกลอนดอน คุณก็จะได้รับประสบการณ์ที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น

แต่การเดินทางไปในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน ก็อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : theplanetd.com, freetoursbyfoot, wanderingwheatleys

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวลอนดอน พร้อมกิจกรรมที่คุณไม่ควรพลาด

10 ที่เที่ยวลอนดอน พร้อมกิจกรรมที่คุณไม่ควรพลาด

ลอนดอนเป็นมหานครขนาดใหญ่ เป็นเมืองหลวงสุดฮิปของประเทศอังกฤษและสหราชอาณาจักร ที่เต็มไปด้วยกิจกรรมสนุกๆ มากมายให้คุณเลือกทำ ไม่ว่าคุณมาลอนดอนเป็นครั้งแรกหรือกลับมาเที่ยวลอนดอนซ้ำเป็นครั้งที่ 2, 3 หรือ 4 คุณก็ยังมีตัวเลือกอีกมากมายเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ดีๆ จากลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชมหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมือง ชมละครเพลงเรื่องดังที่ย่านโรงละคร West End หรือหาเวลาไปนั่งจิบชายามบ่ายสไตล์ผู้ดีอังกฤษ และ Allianz Travel จะพาคุณไปสัมผัสกับ 10 ที่เที่ยวลอนดอน พร้อมกับกิจกรรมที่จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวลอนดอน

1. ย้อนเวลากลับไปที่หอคอยแห่งลอนดอน

หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ สำหรับคนที่มาเที่ยวลอนดอนเป็นครั้งแรก หอคอยแห่งนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นที่พำนักของพระราชวงศ์ ที่คุมขังและประหารนักโทษชั้นสูงและยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาของมีค่าของราชวงศ์เอาไว้ ไฮไลต์อยู่ที่เครื่องราชกกุธภัณฑ์อันเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งประกอบด้วยมงกุฎตระการตา ลูกโลกประดับกางเขนระยิบระยับ และไม้เท้าที่เก็บไว้ใน Waterloo Barracks คอลเล็กชันนี้นำเสนอสิ่งของที่ใช้ในพระราชพิธีของราชวงศ์อังกฤษ บางชิ้นอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 มงกุฎ Imperial State Crown อันงามสง่าซึ่งประดับด้วยอัญมณีกว่า 3,000 ชิ้น รวมถึงเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก

หอคอยแห่งลอนดอน

หอคอยแห่งลอนดอนเปิดทุกวัน แต่เวลาจะแตกต่างกันออกไป มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม มีทัวร์นำชมโดย Yeoman Warders หรืออดีตทหารรักษาพระองค์ ที่ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นพรีเซนเตอร์ร่วมถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งจะเป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ของหอคอยแห่งนี้แบบครบถ้วน (รวมทั้งความเฮี้ยนของหอคอยต่าง ๆ ) ซึ่งอาจจะไม่มีปรากฏในคู่มือท่องเที่ยวมาก่อน แต่รับรองว่าจะทำให้คุณรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากแน่นอน

Tower of London

เคล็ดลับ:

คุณควรใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันในการสำรวจหอคอยแห่งลอนดอน ดังนั้นการไปถึงแต่เนิ่นๆ จะได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด เมื่อไปถึงแล้วให้ตรงไปที่ประตูทางเข้าชมมงกุฎเพชร (The Crown Jewels) เพื่อหลีกเลี่ยงการรอแถว จากนั้น เข้าร่วมทัวร์กับ Yeoman Warder เพื่อสัมผัสข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตและช่วงเวลาอันน่าสยดสยองของพระราชวังป้อมปราการแห่งนี้

2. เดินเล่นชมทิวทัศน์ ที่เที่ยวลอนดอน ย่านเซาท์แบงค์

ย่านเซาท์แบงค์ (South Bank) ลอนดอน ถือว่าเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมของเมืองเลยก็ว่าได้ มีทั้งงานศิลปะระดับโลก โรงละครที่มีชื่อเสียง ทางเดินริมแม่น้ำที่มีวิวที่สวยสุดใจ กับทิวทัศน์ของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ตัวอย่างเช่น วิวของตึกรัฐสภา หอนาฬิกาบิ๊ก เบน และกองทหารม้าหลวงตรงข้างแม่น้ำเทมส์ แต่ถ้าคุณอยากวิวที่เลิศกว่านั้น การขึ้นไปบนลอนดอนอาย (London Eye) ก็เหมาะสำหรับผู้มาเยือนเมืองหลวงเป็นครั้งแรก วงล้อขนาดใหญ่ใช้เวลา 30 นาทีในการหมุนหนึ่งรอบ และที่จุดสูงสุดสูงถึง 135 เมตร คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของสถานที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของลอนดอนจากแคปซูลแก้ว

London Eye

ถ้าคุณเดินต่อไปเรื่อยๆ คุณจะพบกับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของลอนดอนอีกหลายแห่ง เช่น Southbank Centre, Tate Modern และโรงละคร Shakespeare’s Globe พร้อมทิวทัศน์อีกฝั่งของแม่น้ำที่มีทั้งมหาวิหารเซนต์พอล หอคอยแห่งลอนดอน และตึกระฟ้าของลอนดอน นอกจากนี้คุณสามารถแวะพักที่ตลาดโบโรห์ (Borough Market) ใกล้กับสะพานลอนดอน ซึ่งมีผับ ร้านอาหาร ร้านนม ร้านขนมปัง และแผงขายอาหารเลิศรส

มหาวิหารเซนต์พอล

3. ตื่นตากับศิลปะร่วมสมัยที่พิพิธภัณท์ศิลปะ เทต โมเดิร์น

พิพิธภัณท์ศิลปะ เทต โมเดิร์น(Tate Modern) อยู่ใจกลางเมืองลอนดอนขนานกับแม่น้ำเทมส์ ตัวอาคารเป็นรูปตัว T คว่ำ มีลักษณะที่ค่อนข้างพิเศษ แปลก แหวกแนวไม่เหมือนกับหอศิลป์ที่อื่นๆ ที่เราเคยไป เนื่องจากว่าแต่เดิมที่นี่เคยเป็นโรงไฟฟ้าที่ชื่อว่า Bankside Power Station มาก่อน ซึ่งต่อมาได้ถูกปิดตัวลง จึงดัดแปลงที่แห่งนี้ให้มีดีไซน์ที่ร่วมสมัยและมีเอกลักษณ์ จนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เทต โมเดิร์นที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

ที่เที่ยวลอนดอน Tate Modern

พิพิธภัณท์ศิลปะ เทต โมเดิร์นมี 10 ชั้น แต่ละชั้นจะจัดแสดงนิทรรศการที่แตกต่างกันไป เช่น งานจัดแสดงภาพวาด ภาพถ่าย งานกราฟฟิกจากศิลปินที่มีชื่อเสียง มีห้องโถงใหญ่ที่ใช้เป็นมุมพักผ่อนสายตา มีมุมหนังสือ ร้านกาแฟนั่งชิลได้ตามสบาย และจุดไฮไลท์ของที่นี่เห็นจะเป็นจุดชมวิวชั้นบนสุดของอาคาร ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของเมืองลอนดอนได้แบบสบายๆ  โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเป็นเสน่ห์ของหอศิลป์แห่งนี้ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมได้ไม่น้อยเลย

4. เยี่ยมชมมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์แอบบี

มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์แอบบี (Westminster Abbey) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอาคารรัฐสภา หรือ พระราชวังเวสต์มินส์เตอร์ (Palace of Westminster) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นพระอารามหลวงเก่าแก่อายุกว่าพันปี เป็นสถานที่พิเศษและเป็นหัวใจของชีวิตราชวงศ์และศาสนาของประเทศมานานหลายศตวรรษ ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่าพันปีที่แล้วและปัจจุบันมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานกัน โดยโครงสร้างส่วนใหญ่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 13 คุณจะพบว่าทุกซอกทุกมุมของมหาวิหารมีเรื่องราวติดอยู่ ที่นี่เป็นทั้งสถานที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก รวมถึงพระราชพิธีอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นสถานที่เป็นสถานที่ฝังพระบรมศพของพระมหากษัตริย์อังกฤษ เช่น พระเจ้าเฮนรีที่ 3 (King Henry III), พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 (Edward I of England), สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 (Queen Elizabeth I) และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดไปจนถึงบุคคลสำคัญต่างๆ ของอังกฤษด้วยเช่นกัน

Westminster Abbey

ด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามที่อยู่คู่กรุงลอนดอนมาหลายศตวรรษ ทำให้ เวสต์มินสเตอร์แอบบี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก และเป็นสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อังกฤษมาจนถึงปัจจุบันค่ะ

Palace of Westminster, Bigben

5. ชมขุมทรัพย์ของโลกที่บริติชมิวเซียม

พิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) ในบลูมส์เบอรีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสหราชอาณาจักร ด้วยจำนวนผู้เยี่ยมชมเกือบหกล้านคนในแต่ละปี พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่มหึมาแห่งนี้ ได้รวมรวมสิ่งของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ อย่างที่ไม่สามารถประเมินค่าได้จากทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่สมัยยุคเปอร์เซีย อัสสีเรียน อียิปต์ กรีก โรมัน มาจนกระทั่งฝั่งเอเชีย ก็มีให้เลือกชมตามความพอใจ

ที่เที่ยวลอนดอน  British Museum

คุณอาจใช้เวลาทั้งวันสำรวจคอลเล็กชันโบราณวัตถุ ศิลปะ และโบราณวัตถุอันเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มากมาย นอกจากนี้หากคุณเดินผ่าน Great Court คุณจะได้เห็นหลังคากระจกที่ออกแบบให้เห็นโครงสร้างเหล็กออกแบบโดย Norman Foster และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่แผ่นหิน Rosetta Stone ที่เป็นต้นแบบของศิลาจารึกภาษาอียิปต์ ที่ได้รับการถอดความเป็นภาษากรีก แล้วกลายมาเป็นเรื่องราวให้เราได้เรียนรู้กันในปัจจุบัน

6. เรียนรู้ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่พิพิธภัณฑ์ในเซาท์ เคนซิงตัน

พิพิธภัณฑ์ระดับโลก 3 แห่งตั้งอยู่ในระยะใกล้กันในย่านเซาท์ เคนซิงตัน แต่สิ่งก่อสร้างอันโอ่อ่าของพิพิธภัณฑ์เหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความยิ่งใหญ่ภายในนั้นเท่าเทียมกัน แสดงนิทรรศการแบบอินเทอร์แอกทีฟ 7 ชั้นที่ให้ความรู้และเปิดหูเปิดตา การจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งนี้ดึงดูดใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คุณสามารถใช้เวลาหลายวันในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ตขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่เก็บคอลเล็กชั่นงานศิลปะชั้นนำของโลก

ที่เที่ยวลอนดอน  Victoria and Albert Museum

และตื่นตาตื่นใจกับความหลากหลายของพิพิธภัณฑ์ หุ่นจำลองขนาดยักษ์ของเจ้าไทรันโนซอรัสเร็กซ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ คอลเล็กชันที่น่าสนใจเกี่ยวกับธรณีวิทยาและแร่ธาตุต่างๆ ของโลก ศูนย์ดาร์วิน และสถาปัตยกรรมที่ส่งตรงจากเทพนิยายโกธิค พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติจึงเป็นผลงานที่น่าอัศจรรย์จากจินตนาการของภัณฑารักษ์ เริ่มต้นที่ห้องโถงกลาง Hintze Hall ซึ่งมีโครงกระดูกวาฬสีน้ำเงินดำน้ำห้อยลงมาจากเพดาน

Hintze Hall

เคล็ดลับ:

หากคุณต้องการสัมผัสความพิเศษ และได้คลุกคลีกับชาวลอนดอน ให้ลองเช็คตารางล่วงหน้าว่ามีวันไหนที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติเปิดดึกเป็นพิเศษบ้าง ซึ่งจะมีดนตรีและอาหารควบคู่ไปกับการจัดแสดงนิทรรศการ มีกิจกรรมที่สามารถค้างคืนได้เป็นครั้งคราวที่เรียกว่า Dino Snores ทีเราสามารถนอนอยู่ข้างฟอสซิลไดโนเสาร์ได้ด้วย

7. ชมการเปลี่ยนเวรยามที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม

การเดินทางไปเที่ยวลอนดอนจะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้ไปชมพระราชวังบัคกิ้งแฮม (Buckingham Palace) วิธีที่ง่ายที่สุดคือการดูการเปลี่ยนเวรยาม พิธีกรรมเก่าแก่ของกองทหารสวมหมวกหนังหมีอันเป็นสัญลักษณ์ที่สับเปลี่ยนเวรกันนอกพระราชวังบัคกิ้งแฮม คุณควรไปถึงก่อนเวลาเพื่อหาตำแหน่งยืนชมที่ดีที่สุด (การเปลี่ยนเวรยามเริ่มเวลา 11.00 น. เราขอแนะนำให้คุณไปถึงสัก 10.15 น.) คุณสามารถเที่ยวชมพระราชวังได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน (ห้องรับรองต่างๆ เปิดให้เข้าชมพร้อมไกด์ในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ และเปิดให้ชมเป็นเวลา 10 สัปดาห์ทุกฤดูร้อน)

การเปลี่ยนเวรยามที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม

พระราชวังบัคกิ้งแฮมสร้างขึ้นในปี 1703 สำหรับดยุคแห่งบัคกิงแฮม และต่อมาขายต่อให้พระเจ้าจอร์จที่ 3 พระราชวังบัคกิ้งแฮมเป็นที่พักของราชวงศ์ในลอนดอนตั้งแต่ปี 1837 เมื่อสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียย้ายเข้ามา ผู้เข้าชมสามารถชมห้องรับรองต่างๆ 19 ห้องจากห้องทั้งหมด 775 ห้องของพระราชวัง และเดินเล่นในสวนที่สวยงาม

Buckingham Palace

8. เดินเล่นในสวนสาธารณะไฮด์พาร์ค และเคนซิงตันการ์เดนส์ ที่เที่ยวลอนดอน อันเขียวขจี

สวนสาธารณะกลางเมืองลอนดอน ที่เที่ยวลอนดอน สุดฮิต เป็นสถานที่สำหรับพบปะและพักผ่อนของผู้คนในท้องถิ่น สวนสาธารณะไฮด์พาร์คและสวนเคนซิงตันมีอาณาเขตกว้างขวาง เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยงามติดอันดับโลก ภายในมีทั้งความร่มรื่น และสวนดอกไม้ ต้นไม้ กระจายอยู่ทั่วสวน

Hyde Park ที่เที่ยวลอนดอน

คุณจะได้สัมผัสบรรยากาศใจกลางกรุงลอนดอน พระราชวัง เก้าอี้ผ้าใบ การล่องเรือ ชมคอนเสิร์ตกลางแจ้ง หอศิลป์ ต้นไม้อันงดงาม อนุสรณ์สถานหินแกรนิตที่อุทิศแก่เจ้าหญิงไดอาน่า และอนุสรณ์สถานเจ้าชายอัลเบิร์ตอันยิ่งใหญ่ที่หันหน้าไปดรงละครรอยัลอัลเบิร์ตฮอลล์อันยิ่งใหญ่ ในวันที่อากาศดีและสดใส ชาวลอนดอนจะพากันมานั่งเล่นอาบแดด นอนอ่านหนังสือ และปิกนิกกันอย่างเพลินเพลิน คุณสามารถน้ำหนังสือเล่มโปรดไปนอนอ่านอยู่ใต้ต้นไม้ หรือพกอาหารง่ายๆ อย่าง แซนด์วิช ไปนั่งกินชื่นชมบรรยากาศไปด้วยก็จะเพลิดเพลินกันไม่น้อย

Hyde Park, London

9. ชมละครเวทีที่ดังระดับโลกในย่านเวสต์เอนด์ (West End)

ลอนดอนเป็นแหล่งรวมโรงละครชั้นน้ำของโลกไม่แพ้ย่านบรอดเวย์ในนิวยอร์ก ดังนั้น โรงละครจึงเป็น ที่เที่ยวลอนดอน อีกแห่งหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง (แม้ว่าจะมีงบจำกัดก็ตาม!) ย่านเวสต์เอนด์ (West End) เต็มไปด้วยผลงานละครเพลงที่มีชื่อเสียง มองหาละครคลาสสิกอย่างเช่น Les Misérables หรือ Mamma Mia! หรือละครที่เหมาะกับครอบครัวที่โด่งดังเป็นที่รู้จัก ได้แก่ Matilda, The Lion King หรือ Wicked รวมถึงเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น Six!, Heathers The Musical และ The Book of Mormon เป็นต้น

เข้าไปที่เว็บไซต์ TodayTix เพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรที่กำลังแสดงอยู่บ้าง คุณสามารถหาตั๋วในราคาที่คุณสามารถจ่ายได้ได้จากเว็บนี้ นอกจากนี้ หากละครเพลงไม่ใมช่แนวของคุณ คุณอาจลองหาการแสดงอื่นๆ จากโรงละครอิสระ อย่างเช่น Donmar Warehouse หรือ  Soho Theatre เพื่อติดตามการแสดงของนักแสดงหน้าใหม่ในราคาพอๆ กับเบียร์หนึ่งไพน์เท่านั้น

ที่เที่ยวลอนดอน Shakespeare's Globe

แต่ถ้าคุณชื่นชอบผลงานของเชคสเปียร์ ให้ไปที่โรงละครเชคสเปียร์ โกลบ (Shakespeare’s Globe) ย่านเซาท์แบงค์ ที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่น ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ สร้างด้วยอิฐ 36,000 ก้อน และโครงสร้างที่ไม่ใช้ตะปู ใช้คานไม้โอ๊คอังกฤษ เข้าโครงไม้แบบดั้งเดิม คุณสามารถจองทัวร์ชมโรงละครโดยมีไกด์นำทัวร์ และคอยอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ การเยี่ยมชมรอบหนึ่งจะกินเวลาราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หรือหากใครชื่นชอบละครเวทีก็สามารถตีตั๋วเข้าชมกันได้ รอบการแสดงมีวันละ 2 รอบ คือ 14.00 น. และ 19.30 น. โรงละครแห่งนี้จัดแสดงละครจากบทประพันธ์ของเชคสเปียร์ เช่นเรื่อง Romeo & Juliet, Troilus & Cressidr, As you like it และเรื่องอื่นๆ

10. ที่เที่ยวลอนดอน ชิมชายามบ่ายแบบผู้ดีอังกฤษดั้งเดิม

วัฒนธรรมการชิบน้ำชายามบ่ายหรือ Afternoon Tea มีจุดเริ่มต้นมาจากนางสนองพระโอษฐ์ของราชินี Victoria ที่ชื่อ Anna Maria Stanhope ดัชเชสแห่งเบดฟอร์ดที่เจ็ด ในปี พ.ศ. 2383  ย้อนไปช่วงต้นยุคศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษรับประทานอาหารแค่ 2 มื้อต่อวัน คือ มื้อเช้าและมื้อค่ำ ทำให้ช่วงบ่ายมักจะเกิดอาการหิวกันขึ้นมา คุณหญิง Anna จึงเริ่มสั่งให้คนรับใช้นำชาและอาหารว่าง อย่างเช่น ขนมปังและเค้ก มาทานในห้องของเธอเพื่อประทังหิว แล้วหลังจากนั้นคุณหญิงก็เริ่มชักชวนเพื่อนๆ มาทานอาหารว่างและชายามบ่ายที่บ้านจนเป็นกิจวัตร และในที่สุดชนชั้นสูงตระกูลอื่นๆก็เริ่มปฏิบัติตามจนกลายมาเป็นกิจกรรมสุดฮิตของคนยุคนั้น ซึ่งสืบต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

Ritz

สำหรับประสบการณ์แบบคลาสสิก ให้ไปที่ Claridge’s หรือ Ritz หรือถ้าคุณไปเยวลอนดอนในฤดูร้อน ให้ลองไปนั่งจิบชาที่ The Goring หรือ Orangery อันโอ่อ่าที่พระราชวังเคนซิงตัน และถึงแม้ว่าเราจะเรียกว่าการไปจิบชายามบ่าย (Afternoon Tea) แต่คุณสามารถจองเวลาไหนก็ได้ เราขอแนะนำให้คุณจองล่วงหน้า เพราะคิวมักเต็มอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และในช่วงฤดูท่องเที่ยว

Afternoon Tea at Ritz

การไปเที่ยวลอนดอนนับเป็นทริปที่ตอบโจทย์หลายคนที่กำลังวางแผนไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะนอกจากลอนดอนจะเป็นศูนย์รวมความเจริญทางเศรษฐกิจ การศึกษา ประวัติศาสตร์ และศิลปะวัฒนธรรมอันยาวนานของ อังกฤษ แล้ว ยังเป็นทั้งแหล่งช้อป กิน เที่ยวที่หลากหลาย โดนใจนักท่องเที่ยวทุกแนวอีกด้วย แต่การเดินทางไป เที่ยวลอนดอน ที่เราไม่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศ หรืออาหารการกิน ก็อาจทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ เที่ยวต่างประเทศได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล ก็คือ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันภัยการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : Best things to do in London – Lonely Planet

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel