พาสปอร์ตหายต่างประเทศ ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

พาสปอร์ตหายต่างประเทศ ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง?

ระหว่างทริปท่องเที่ยวอันแสนสุข เหตุการณ์ที่ใคร ๆ คงไม่อยากเจอเป็นแน่แท้ คือ “พาสปอร์ตหาย” ไม่ว่าจะเป็นหายด้วยความเลิ่นเล่อของเราเอง หรือโดนโจรขโมยก็ตาม เพราะพาสปอร์ตเปรียบเสมือนเอกสารยืนยันตัวตนในต่างประเทศ และใช้ในการเข้า – ออก ประเทศ ถ้าพาสปอร์ตหายแล้วละก็ การเดินทางเป็นอันต้องหยุดชะงักไป หรือถ้าต้องกลับประเทศภายในวัน สองวัน ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ได้ บทความนี้ Allianz Travel จึงขอพาผู้อ่านไปดูกันว่า ถ้าพาสปอร์ตหาย เราจะรับมืออย่างไรบ้าง? ต้องดำเนินการกี่ขั้นตอน และใช้เอกสารอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

ก่อนอื่นเลย พาสปอร์ตหาย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย และอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ดังนั้นแล้ว ก่อนเดินทาง ควรเตรียมความพร้อมก่อน โดยการเตรียมเอกสารสำคัญให้พร้อม

เอกสารสำคัญที่ควรเตรียมไปพร้อมกับการเดินทาง

  • สำเนาหน้าพาสปอร์ต + วีซ่า
  • สำนาทะเบียนบ้าน หรือ สำเนาบัตรประชาชน
  • รูปถ่ายติดบัตร
  • ประกันการเดินทาง (ถ้ามี)

ระหว่างที่เตรียมเอกสาร ควรเตรียมเอกสารหลายชุด และแต่ละชุด ควรจัดเก็บในกระเป๋าเดินทาง หรือสัมภาระที่แตกต่างกัน เพื่อกระจายความเสี่ยง ในกรณีกระเป๋าเดินทางหาย เมื่อพาสปอร์ตหาย จะได้มีเอกสารไปแจ้งควาและทำพาสปอร์ตใหม่

ขั้นตอนการดำเนินการ เมื่อทำพาสปอร์ตหายระหว่างการเดินทาง

ในระหว่างท่องเที่ยวหรือเดินทาง เมื่อทำพาสปอร์ตหาย ให้ทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้

  1.  เมื่อทำพาสปอร์ตหาย ไม่ตื่นตระหนก ให้เปิด Google Map เพื่อหาสถานีตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุ และรีบแจ้งความพาสปอร์ตหายให้ไวที่สุด โดยต้องระบุกับตำรวจให้ชัดเจนว่า พาสปอร์ตหาย (Lost) หรือถูกขโมย (Stolen)
  2.  เมื่อแจ้งความกับสถานีตำรวจแล้ว ให้นำใบแจ้งความพร้อมเอกสารสำคัญที่แสดงการมีสัญชาติไทยของตนเอง หรือเอกสารทะเบียนราษฎร์ที่มีอยู่ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน และอื่นๆ ไปติดต่อที่สถานทูตหรือสถานกงสุลที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ และบางครั้ง ถ้าเราต้องการกลับประเทศไทยอย่างเร่งด่วน ไม่สามารถรอรับพาสปอร์ตได้ ให้ขอสถานทูตหรือสถานกงสุลออกเอกสารเดินทาง (Certificate of Identity) ให้ใช้เดินทางกลับประเทศไทย โดยจะใช้ได้แค่ครั้งเดียว แล้วจะหมดอายุเมื่อเดินทางถึงไทย

พาสปอร์ตหาย เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก ๆ และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังนั้นแล้ว การทำประกันการเดินทางไว้ก่อน จะช่วยให้เราอุ่นใจ ไร้กังวล เพราะโดยส่วนใหญ่ประกันการเดินทางจะมอบความคุ้มครองกรณีเอกสารสำคัญสูญหายด้วย เช่น ประกันการเดินทางของ Allianz Travel ที่มอบความคุ้มครองกรณีเอกสารสำคัญสูญหาย ตามเงื่อนไขที่กำหนด เพราะฉะนั้นแล้ว แม้พาสปอร์ตจะหาย ก็ไร้กังวล และยังคงท่องเที่ยวได้ตามแพลนที่เราได้วางแผนไว้

เรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและดูแลคุณ

อลิอันซ์ทราเวลเป็นผู้นำระดับโลกด้านประกันภัยการเดินทางและบริการช่วยเหลือทั่วไป เรามีแผนประกันภัยที่หลากหลายให้เลือก ครอบคลุมตั้งแต่แผนรายเที่ยว แผนรายปี แผนครอบครัว ไปจนถึงแผนเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศ เราทุ่มเทที่จะให้บริการช่วยเหลือและปกป้องคุณทุกที่ ทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประกันภัยและการให้ความช่วยเหลือ แต่เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มากกว่านั้น และทุกบริการของเราก็เพื่อลูกค้าคนสำคัญของเรา

เที่ยวเกาหลี

ข้อควรรู้ก่อนไปเที่ยวเกาหลีใต้

เกาหลีใต้ ดินแดนแห่งมนต์เสน่ที่ใครหลายคนต่างหลงใหล ด้วยวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ อาหารรสเลิศ หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามหลากหลาย ยิ่งไปกว่านั้น คนไทยยังสามารถเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าให้ยุ่งยาก เพียงแค่เตรียมตัวให้พร้อมและทำความเข้าใจกฎระเบียบ มารยาท และข้อห้ามต่างๆ ที่อาจแตกต่างจากประเทศไทย เพื่อให้การเดินทางท่องเที่ยวของคุณราบรื่นและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น มีรายละเอียดอะไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

ต้องขอ K – ETA ก่อนเดินทางไปประเทศเกาหลีใต้

แม้คนไทยสามารถเดินทางไปเกาหลีใต้ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่ยังจำเป็นต้องขอ K-ETA (Korea Electronic Travel Authorization) หรือระบบอนุมัติการเดินทางเข้าสู่เกาหลีใต้ทางออนไลน์อยู่ ซึ่งมีขั้นตอนการของ่ายๆ เพียงทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ค่ะ

1. เข้าสู่เว็บไซต์ทางการของ K-ETA
2. กรอกข้อมูลหนังสือเดินทาง ข้อมูลส่วนตัว และแผนการเดินทาง
3. อัปโหลดรูปภาพทางการหน้าตรงพื้นหลังสีขาว และเอกสารที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น หลักฐานการจองที่พัก
4. ชำระค่าธรรมเนียม 10,000 วอน ต่อคน
5. รอผลการอนุมัติภายใน 24 ชั่วโมง

หลังได้รับการอนุมัติ K-ETA แล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัวให้พร้อมกับสิ่งที่ควรรู้เบื้องต้นก่อนไปเที่ยวเกาหลี มีอะไรมาดูกันต่อเลย

ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้

  • เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง
  • เกาหลีใต้มีฤดูกาล 4 ฤดูที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่
    1. ฤดูร้อน (Summer) อากาศร้อนชื้น มีฝนตกและลมมรสุม ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงต้นเดือนกันยายน อุณหภูมิประมาณ 20 ถึง 30 องศา
    2. ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) อากาศเย็นสบาย ฝนตกน้อย มีใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม ช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิประมาณ 10 ถึง 20 องศา
    3. ฤดูหนาว (Winter) อากาศหนาวเย็น มีหิมะตก อุณหภูมิต่ำสุด -10 องศา ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงอุณหภูมิประมาณ -5 ถึง 0 องศา
    4. ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) เที่ยวเกาหลี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิเย็นสบายกำลังดีและมีดอกไม้หลายชนิดบาน เช่น ดอกซากุระ เริ่มช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิประมาณ 10 ถึง 20 องศา
เที่ยวเกาหลี

ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) ในประเทศเกาหลีใต้

winter in south korea

ฤดูหนาว (Winter) ในประเทศเกาหลีใต้

spring in south korea

ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) ในประเทศเกาหลีใต้

  • ระบบไฟฟ้าในเกาหลีใช้ไฟ 220 โวลต์ (เหมือนประเทศไทย) เป็นปลั๊กกลม 2 หรือ 3 ขา (มีสายดิน) หากมีเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น กล้องวิดีโอ โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่องเป่าผม ควรมีปลั๊กหรือ  Adapter ติดตัวไปด้วย
  • บัตรโทรศัพท์มีขายทั่วไป ตามเคาน์เตอร์โรงแรม, ซุปเปอร์มาร์เก็ต ราคา 3,000 / 5,000 และ 10,000 วอน
  • ภาษาที่ใช้เป็นภาษาเกาหลี หรือ ฮันกึล คนเกาหลีส่วนใหญ่พูดภาษาจีนได้ ส่วนภาษาอังกฤษจะพบได้ตามสถานที่ท่องเที่ยว ป้ายแนะนำสถานที่ต่างๆ มีภาษาอังกฤษเขียนบอกเอาไว้ด้วย บางสถานที่มีป้ายภาษาไทยด้วย

สิ่งที่ห้ามทำในประเทศเกาหลีใต้

กฎและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นหากเราเดินทางถึงเกาหลีแล้วก็อย่าลืมปฏิบัติตามทั้งสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ โดยสิ่งที่ไม่ควรทำในประเทศเกาหลีมีดังนี้

  • ห้ามแอบถ่ายรูป คนเกาหลีให้ความสำคัญกับสิทธิส่วนบุคคลมาก ดังนั้นการแอบถ่ายรูปบุคคลอื่นในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างมาก ดังนั้นหากเจอหนุ่มหล่อ สาวสวยที่เกาหลี ต้องยั้งใจ ห้ามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปกันนะคะ
  • การขึ้นลงบันได และบันไดเลื่อน หากเราไม่ได้เร่งรีบก็ให้ยืนชิดขวาสำหรับบันไดเลื่อน และเดินชิดขวาสำหรับบันไดปกติ เหมือนบ้านเรานั้นเอง
  • การทานอาหาร ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือคาเฟ่ต่างๆ หลังทานแล้วจำเป็นต้องเก็บภาชนะ และเทขยะทิ้งลงถังขยะได้ และไม่ควรที่จะนำตะเกียบเสียบลงบนถ้วยอาหารเพราะเปรียบเสมือนการไหว้ศพหรือทำพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตาย
  • การใช้งานรถขนส่งสาธารณะไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่และรถไฟต่างๆ ห้ามพูดคุยเสียงดังเด็ดขาด เพราะจะเป็นการรบกวนโชเฟอร์ขับรถ หรือรบกวนคนอื่นบนรถไฟ และถือว่าเป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมากในเกาหลี
train in south korea
  • การเข้าห้องน้ำในเกาหลี ไม่ต้องตกใจหากเห็นฝาชักโครกปิดอยู่ เพราะนั้นถือว่าเป็นสัญญานบ่งบอกว่าชักโครกนั้นสะอาดพร้อมใช้งาน ดังนั้นหากเราทำธุระเสร็จแล้วก็อย่าลืมปิดฝาให้เรียบร้อยด้วยนะคะ
  • การช้อปปิ้ง การต่อราคาในร้านค้าที่มีป้ายราคาบ่งบอกชัดเจนถือเป็นการเสียมารยาทในเกาหลี แต่สำหรับร้านที่ไม่มีป้ายบอกราคานั้นสามารถต่อได้ตามปกติค่ะ
shopping at south korea

การศึกษากฎและธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศที่เรากำลังจะเดินทางไปเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ เราควรปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด เราก็ควรศึกษาไปก่อนล่วงหน้า ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัว และข้อควรระวังที่จะทำให้เราเที่ยวได้อย่างสนุกในเกาหลี

เพื่อนๆ ที่กำลังวางแผนจะเดินทางไปเกาหลี ก็อย่าลืมสิ่งสำคัญอย่างประกันการเดินทาง และ Allianz Travel ขอนำแนะนำประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุดกับความคุ้มครองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ช่วยให้คุณทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทริปได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 ที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน

10 ที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน

แอลเบเนีย หรือชื่อที่เรียกกันอย่างเป็นทางการก็คือ สาธารณรัฐแอลเบเนีย (Republic of Albania) เป็นประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ที่เที่ยวแอลเบเนีย ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติอันงดงาม วัฒนธรรมโบราณ และค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ปัจจุบันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และ คนไทยสามารถเที่ยวแอลเบเนียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่านานถึง 90 วัน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 6 มีนาคม – 31 ธันวาคม 2567 โดยผู้เดินทางจะต้องกรอก e-Visa ผ่านเว็บไซต์ https://e-visa.al/apply ก่อนเดินทางไปยังประเทศแอลเบเนีย

หากคุณกำลังวางแผนการเดินทางไปยังแอลเบเนีย แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนในแอลเบเนีย Allianz Travel รวบรวม 10 สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน มาให้คุณได้เก็บเป็นลิสต์เบื้องต้นกันแล้ว

1. Tirana

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Tirana

เมืองติรานา (Tirana) เป็นเมืองหลวงที่มีเสน่ห์และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแอลเบเนีย และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการคมนาคมของประเทศ เมืองนี้เต็มไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมาของประเทศในอดีตที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งตั้งอยู่บริเวณโดยรอบจัตุรัส Skanderbeg ที่อยู่ใจกลางเมือง หากคุณต้องการทราบประวัติของประเทศแอลเบเนีย พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติจะให้คำตอบคุณได้ดีที่สุด สิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งในติรานาคือสิ่งก่อสร้างที่ดูคล้ายโดมทรงกลมขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ใจกลางเมือง คือหลุมหลบภัยหรือบังเกอร์เก่าที่ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เรียกว่า BUNK’ART 2 คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในแอลเบเนียภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์และสะท้อนประวัติศาสตร์ด้านมืดของประชาชนในยุคเผด็จการครองอำนาจมายาวนาน แต่หากคุณต้องการพักผ่อนในวันที่อากาศอบอุ่น แกรนด์พาร์คแห่งติรานา (Grand Park of Tirana) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่และเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการหลีกหนีจากความวุ่นวายในใจกลางเมืองติรานา

2. Ksamil

ที่เที่ยวแอเบเนีย - Ksamil

คซามิล (Ksamil) เป็นหมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งทะเลไอโอเนียนทางตอนใต้ของประเทศแอลเบเนีย และอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติบูตริน (Butrint National Park) ชายหาดที่นี่เป็นดาวเด่นของแอลเบเนียริเวียร่า (Albanian Riviera) ด้วยความที่มีน้ำสีฟ้าใสเป็นประกาย หาดทรายขาว และล้อมรอบไปด้วยทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม ต่างจากชายหาดอื่นๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ยังคงเป็นสถานที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว ที่นี่เหมาะสำหรับกิจกรรมสนุกๆ บนชายหาดหรือวันหยุดแสนโรแมนติก คุณสามารถใช้เวลาทั้งวันอาบแดด ดำน้ำ ว่ายน้ำหรือนั่งเรือไปสำรวจเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่บริเวณหน้าชายฝั่งได้

3. Shkodra

ที่เที่ยวแอเบเนีย - Shkodra

เมืองชโคดรา (Shkodra) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของแอลเบเนีย ติดกับพรมแดนของประเทศมอนเตเนโกร ที่นี่ถือเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของแอลเบเนีย เนื่องจากมีเทศกาลต่างๆ มากมายตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลคาร์นิวัล วันทะเลสาบ (Lake Day) เทศกาลสำหรับเด็ก (Children’s Festival) และเทศกาลดนตรีแจ๊สแห่งเมืองชโคดรา เป็นต้น หนึ่งในสิ่งที่ควรแวะไปเยี่ยมชมคือปราสาทหินโรซาฟา (Rozafa Castle) ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตกของเมือง และเคยเป็นป้อมปราการของชาวอิลลิเรียน (Illyrian Stronghold) มาก่อน จากปราสาท คุณจะได้เห็นทิวทัศน์มุมสูงของทะเลสาบชโคดรา (Lake Shkodra) และอีกที่ที่น่าไปเยี่ยมชมก็คือสะพานเมชิ (Mesi Bridge)

4. Berat

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Berat

เมืองเบรัต (Berat) ที่เที่ยวแอลเบเนีย ทางตอนใต้ของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโอซูมิ (Osumi River) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) ด้วยความเก่าแก่ยาวนานกว่า 2,000 ปี มีหลักฐานการตั้งรกรากมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ก่อนจะเปลี่ยนผ่านการยึดครองมากมาย และตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมันในศตวรรษที่ 15 จุดเด่นของเมืองคือบ้านเรือนที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบออตโตมันไว้เป็นอย่างดี สร้างเรียงรายเป็นทิวแถวไปตามเชิงเขา มองเห็นกรอบสี่เหลี่ยมของประตูหน้าต่างมากมายจากอาคารแต่ละหลัง จนเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เมืองแห่งหน้าต่างพันบาน (The City of a Thousand Windows)’ คุณยังสามารถเดินเยี่ยมชมโบสถ์ มัสยิด ปราสาท และป้อมปราการโบราณ และที่น่าสนใจคือ คุณยังเห็นผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้

5. Durrës

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Durrës

เมืองดูร์เริส (Durrës) ที่เที่ยวแอลเบเนีย อีกแห่งที่สวยงามมาก เป็นหนึ่งในเมืองท่าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในคาบสมุทรบอลข่าน และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศแอลเบเนีย ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเอเดรียติก ห่างจากเมืองหลวงติรานาไปทางตะวันตก 33 กิโลเมตร เมืองดูร์เริสผสมผสานประวัติศาสตร์ที่นับย้อนหลังไปเกือบ 3,000 ปี วัฒนธรรม และความงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าด้วยกันอย่างน่าสนใจ คุณจะได้พบกับอัฒจันทร์โรมันของจักรพรรดิเฮเดรียน (Emperor Hadrian) สร้างขึ้นในปีคริสตศักราช 100 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเมือง และเป็นอัฒจันทร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในคาบสมุทรบอลข่าน ปราสาทดูร์เริส ซึ่งเป็นป้อมปราการยุคกลางที่มีต้นกำเนิดย้อนกลับไปถึงยุคไบแซนไทน์ ดูร์เริสยังเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางวัฒนธรรม เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และโรงละครมากมาย นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งก็คือชายหาดที่มีทรายสีทองบรรจบกับน้ำทะเลใสดุจคริสตัลของทะเลเอเดรียติก ให้คุณได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศชายฝั่งที่มีชีวิตชีวา หรือดื่มด่ำกับกีฬาทางน้ำ

6. Krujë

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Krujë

หมู่บ้านครูเยอ (Krujë) หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาแอลเบเนียแอลป์ สูง 608 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ห่างจากติรานาเพียง 32 กม. สิ่งที่น่าสนใจคือที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ย้อนกลับไปในสมัยโรมัน บริเวณนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าอัลบานี (Albani) ชนเผ่าบอลข่านโบราณที่เปลี่ยนพื้นที่นี้ให้กลายเป็นเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคนั้น ต่อมาในยุคกลางก็กลายเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของรัฐแอลเบเนีย หมู่บ้านนี้ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบ้านเกิดของวีรบุรุษแห่งชาติ Skanderbeg ผู้บัญชาการทหารที่ต่อสู้กับกองกำลังออตโตมันเป็นเวลา 25 ปีเต็ม สถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดคือปราสาทครูเยอ ซึ่งภายในจะมีพิพิธภัณฑ์ ที่สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองจากมุมสูงที่มองเห็นได้ทั้งเมือง ใกล้ทางเข้าปราสาทยังมีตลาดแบบดั้งเดิมซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย Skanderbeg ขายผลิตภัณฑ์งานฝีมือของชาวแอลเบเนีย เช่น สินค้าปัก พรม วัตถุเงิน ทองแดง เศวตศิลา ลวดลายเป็นเส้น เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม เป็นต้น

7. Saranda

แอลเบเนีย - Saranda

เมืองซารานเดอ (Saranda) เป็นเมืองตากอากาศริมทะเลยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนแถบชายฝั่งริเวียร่า (Albanian Riviera) ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติและน้ำทะเลสีฟ้าใสดุจคริสตัลล้อมรอบเมือง ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของแอลเบเนีย ระหว่างเนินเขาและทะเลไอโอเนียน คุณจะได้พบกับชายหาดที่สวยงาม แหล่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน เช่น อุทยานแห่งชาติ Butrint ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก ปราสาทเลอเคียวแลสซี่ (Lëkurësi Castle) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา และหมู่บ้านที่งดงามท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เมืองนี้มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น เดินเล่นบนถนนที่ทอดยาวเลียบอ่าว ชิมอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและอาหารนานาชาติเลิศรส พร้อมชมทิวทัศน์อันงดงามของอ่าว บาร์และร้านอาหารบางแห่งจะกลายเป็นคลับในตอนกลางคืน ทำให้เมืองนี้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวา หรือหากคุณมีเวลาพอ ก็สามารถไปเที่ยวเกาะคอร์ฟูของประเทศกรีซที่เดินทางโดยเรือเฟอร์รีเพียง 30 นาทีเท่านั้น

8. Apollonia

แอลเบเนีย - โบสถ์ใน Apollonia

เมืองโบราณอพอลโลเนีย (Apollonia) หนึ่งในสมบัติแห่งอารยธรรมและวัฒนธรรมโบราณของแอลเบเนีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 588 ปีก่อนคริสตกาล โดยอาณานิคมกรีกที่มาจากเมืองโครินธ์ มีร่องรอยของวัฒนธรรมอิลลิเรียน กรีก และโรมัน ภายใต้ซากปรักหักพังของอารยธรรมโรมัน ซึ่งเป็นจุดที่การพัฒนาถึงจุดสูงสุด

แอลเบเนีย - ร่องรอยซากปรักหักพังของอารยธรรมโรมัน

เมืองโบราณแห่งนี้ถูกค้นพบในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้มาเยือน Apollo คืออนุสรณ์สถานของ Agonotes อัฒจรรย์ ห้องสมุด ผนัง  ระเบียง วิลล่าโมเสกสไตล์โรมัน พิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่แสดงวัตถุต่างๆ อย่างน้อย 800 ชิ้นที่แสดงถึงพัฒนาการของยุคสมัย เช่น รูปเหมือนของขุนนาง กลาดิเอเตอร์ รูปเด็กผู้หญิง หินหลุมศพแกะสลัก เครื่องมือทำงาน รูปสัตว์ อัศวิน นักรบ เป็นต้น นอกจากสำรวจเมืองโบราณแล้ว คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามองทะเลเอเดรียติกสีฟ้าด้วย คุณจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันเพื่อชมอนุสรณ์สถานทางโบราณคดีทั้งหมด

9. Korçë

แอลเบเนีย - Korçë

ถ้าคุณเป็นนักดื่มเบียร์ คุณก็คงเคยได้ยินชื่อเมืองคอร์เชอ (Korçë) เมืองเล็กๆ ที่เป็นที่มาของชื่อเบียร์แอลเบเนียยอดนิยม อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอลเบเนีย ที่ใช้เวลาเดินทางจากเมืองติรานาโดยรถยนต์เพียง 3 ชั่วโมง แต่ให้ความรู้สึกเหมือนออกมานอกเส้นทางของนักท่องเที่ยว ที่นี่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 13 เป็นที่รู้จักจากบทบาทในวัฒนธรรมแอลเบเนียและมรดกทางปัญญา (เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนภาษาแอลเบเนียแห่งแรก) พิพิธภัณฑ์ระดับโลก โบสถ์เก่าแก่ สถาปัตยกรรมที่สวยงาม ร้านกาแฟแปลกตา ร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย เมืองคอร์เชอเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา มีพื้นที่สีเขียว ลานเบียร์ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ตลอดจนสถาบันที่สำคัญหลายแห่งและอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมเป็นจุดเด่นของศูนย์กลางแห่งนี้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีโรงเบียร์เป็นของตัวเองอีกด้วย!

10. Gjirokastër

สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย - Gjirokastër

เมืองกีโรคาสตรา (Gjirokastër) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์มากมาย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันของหุบเขาแม่น้ำดริโน (Drino) มีเสน่ห์ด้วยตรอกซอกซอยที่สูงชัน จนมีชื่อว่า ‘เมืองแห่งบันไดพันขั้น’ ซึ่งประกอบด้วยบ้านหลายร้อยหลัง มีลักษณะคล้ายหอคอยสไตล์ออตโตมันที่มีหลังคาหิน ระเบียงไม้ และกำแพงหิน ในย่านสำคัญของเมือง และมีปราสาท Argjiro อันงดงามบนเนินเขาสูงชัน ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 4 คุณสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อาวุธภายในปราสาทที่จัดแสดงอาวุธต่างๆ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง คุณยังสามารถเยี่ยมชมโรงละครโบราณ Hadrianapolis ใกล้กับหมู่บ้าน Sofratik ห่างจากเมืองกีโรคาสตราประมาณ 14 กม. อีกสิ่งที่น่าสนใจคือที่นี่เป็นบ้านเกิดของบุคคลที่มีชื่อเสียงของแอลเบเนีย ได้แก่ Enver Hoxha ผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์ และนักเขียนชื่อดัง Ismail Kadare คุณสามารถเยี่ยมชมบ้านที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงรายละเอียดชีวิตของพวกเขา

สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย - Gjirokastër

ถึงแม้ว่าประเทศแอลเบเนียจะไม่ได้บังคับให้นักเดินทางต้องทำประกันการเดินทาง แต่เราขอแนะนำให้คุณทำประกันเดินทางก่อนออกเดินทางไปยังแอลเบเนียค่ะ เพราะหากคุณเกิดเรื่องราวที่คุณไม่คาดคิดระหว่างเดินทาง คุณอาจต้องเสียทั้งเงินและเวลา ประกันภัยการเดินทาง จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟล์ทดีเลย์ เป็นต้น ประกันเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : 14 Best Places To Visit In Albania

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 อันดับเมือง น่าไปเรียนต่อต่างประเทศ

10 อันดับเมืองน่าไปเรียนต่อต่างประเทศ

น้องๆ ที่กำลังวางแผนไป เรียนต่อต่างประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี ทางเลือกหนึ่งที่ Allianz Travel นำมาให้น้องๆ ใช้พิจารณาก็คือการเลือกจากเมืองที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ที่มีสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและสังคมที่ดี และเป็นที่ที่เราจะต้องไปพักอาศัยอยู่ตลอดระยะเวลาที่เราศึกษาในต่างประเทศ ลองดู 10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศ ปี 2567 ที่จัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds หรือ QS สถาบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สถาบันอุดมศึกษาจากทั่วโลกที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง

เกณฑ์ในการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไป เรียนต่อต่างประเทศ

QS ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาเมืองที่น่าไปเรียนต่อต่างประเทศที่สุดในโลก โดยเปรียบเทียบจากเมืองต่างๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางในการไปศึกษาต่อกว่า 160 แห่ง และมีคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ เป็นเมืองที่มีประชากรมากกว่า 250,000 คน และเป็นเที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 2 แห่งที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกที่จัดอันดับโดย QS เพื่อเป็นการรับประกันว่าเมืองนี้จะให้ความสำคัญกับการศึกษาขั้นสูงและนักศึกษาจะได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยใช้เกณฑ์หลักๆ ในการจัดอันดับดังนี้

  1. อันดับของมหาวิทยาลัย (University rankings) พิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของมหาวิทยาลัยในแต่ละเมือ
  2. ความหลากหลายของนักศึกษา (Student mix) พิจารณาจากสัดส่วนความหลากหลายของนักเรียน
  3. ความพึงพอใจของนักศึกษา (Desirability) พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ระดับมลภาวะ และความน่าสนใจโดยรวมของเมือง
  4. การจ้างงานหลังจบการศึกษา (Employer activity) พิจารณาจากชื่อเสียงของเมืองในหมู่นายจ้างและการจ้างงานของผู้สำเร็จการศึกษาล่าสุด
  5. ความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย (Affordability) พิจารณาจากค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพทั่วไป
  6. ความคิดเห็นของนักศึกษา (Student voice) พิจารณาคะแนนรวมจากนักศึกษาในเรื่องความเป็นมิตร ความยั่งยืน และความหลากหลายของเมือง

10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ เรียนต่อต่างประเทศ ปี 2024

1. ลอนดอน สหราชอาณาจักร

ลอนดอนเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก โดยมีพลเมืองและนักเรียนจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้คุณได้พบกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ตามย่านต่างๆ ลอนดอนเป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยมากที่สุดในสหราชอาณาจักร โดยมี 3 มหาวิทยาลัยติดอันดับท็อป 50 ของโลก เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก รวมถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พิพิธภัณฑ์สงครามจักรวรรดิ และพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต ซึ่งทุกที่เข้าได้ฟรี เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองลอนดอนจัดอยู่ในประเภท ‘พื้นที่สีเขียว’ ซึ่งประกอบด้วยสวนสาธารณะ พื้นที่ส่วนกลาง ลานกีฬากลางแจ้ง และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นในขณะที่คุณอยู่ในเมืองใหญ่ คุณยังคงสามารถเชื่อมต่อกับโลกธรรมชาติได้อย่างดี หากพูดถึงค่าเล่าเรียนในลอนดอน ที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกสำหรับนักเรียนต่างชาติ นอกจากนี้ค่าเช่าและค่าครองชีพในลอนดอนยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในสหราชอาณาจักรอีกด้วย แต่ผู้ที่จบจากที่นี่ก็มีอัตราการจ้างงานสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในลอนดอนเป็นที่ต้องการของผู้จ้างงาน บริษัทต่างชาติหลายแห่งรับสมัครงานในลอนดอน เช่น Google, Amazon และ Unilever

Imperial College London

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 100 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 18 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Imperial College London (อันดับ 6 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 24,400 เหรียญสหรัฐ
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยประมาณ: 1,470-1,740 เหรียญสหรัฐ (รวมค่าที่พัก ค่าเดินทาง และการเข้าสังคม)

2. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เป็นเมืองที่ดีที่สุดในเอเชียสำหรับเรียนต่อต่างประเทศที่จัดอันดับโดย QS ปี 2024 และอยู่ในอันดับที่ 2 รองจากลอนดอนจากเมืองทั่วโลก ถึงแม้โตเกียวจะมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับระดับนานาชาติถึง 18 แห่ง แต่ก็ยังมีสัดส่วนนักศึกษาที่ต่ำมาก ข้อดีของเมืองใหญ่แบบโตเกียวคือมีสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แถมยังเป็นหนึ่งในสามศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก ควบคู่ไปกับนิวยอร์กและลอนดอน มหาวิทยาลัยยังมอบโอกาสให้นักศึกษาในการฝึกงานและทำงาน โดยมีความโดดเด่นในเรื่องการจ้างงานหลังจบการศึกษา ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนั้น โตเกียวยังได้รับคะแนนที่ดีเป็นพิเศษในด้านความพึงพอใจของนักศึกษา ซึ่งพิจารณาทั้งคุณภาพชีวิตโดยรวมในเมือง และความเป็นเมืองที่นักศึกษาต่างชาติต้องการมาศึกษาต่อด้วย

Tokyo University

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 98 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 18 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Tokyo University (อันดับที่ 28 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 8,600 เหรียญสหรัฐ

3. โซล ประเทศเกาหลีใต้

โซลเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่น เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มีสิ่งต่างๆ มากมายให้คุณค้นพบเมื่อไม่ได้อยู่ในห้องเรียน ย่านของโชซอนใจกลางเมืองเป็นหัวใจดั้งเดิมของเมืองและเป็นที่ตั้งของตลาดกลางแจ้งและวัดเก่าแก่มากมาย คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองได้โดยการเยี่ยมชมหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ 115 แห่ง โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลีและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ หากคุณต้องการหลีกหนีจากฝูงชนและเพลิดเพลินไปกับพื้นที่สีเขียวที่เปิดโล่ง กรุงโซลเต็มไปด้วยสวนสาธารณะให้คุณได้ผ่อนคลาย หากคุณต้องการเวลาพักผ่อนจากการเรียนมากขึ้น คุณสามารถไปที่วัดพุทธแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือในห้องซาวน่า หรือสปาแบบดั้งเดิม คุณจะพบกับความเงียบสงบเพิ่มเติมได้โดยออกนอกเมืองไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อสำรวจภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของเกาหลีใต้และหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์

นอกจากจะเป็นที่ตั้งของบริษัท Fortune Global 500 กว่าสิบแห่งแล้ว โซลยังเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับนวัตกรรม โดยมีบริษัทเทคโนโลยีรวมตัวกันอยู่ในสองสถานที่หลัก ได้แก่ กังนัม และ Digital Media City โซลเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการแข่งขันทางการเงินมากที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของตลาดค้าส่ง ค้าปลีก และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้อีกด้วย

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 97.6 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 20 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Seoul National University (SNU) (อันดับ 41 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 6,300 เหรียญสหรัฐ

4. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

เมลเบิร์นเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายมากที่สุดในออสเตรเลีย ที่นี่มีนักศึกษาต่างชาติประมาณ 94,000 คนจากทั่วโลก นอกจากนี้ ประชากรเมลเบิร์นประมาณร้อยละ 40 ยังเกิดในต่างประเทศ เมลเบิร์นมีชื่อเสียงในฐานะเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมและอาหารของออสเตรเลีย โดยมีร้านกาแฟและวัฒนธรรมอาหารมื้อสายที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงอาหารเอเชียที่ดีที่สุดที่อยู่นอกเอเชีย เมืองนี้มีเครือข่ายรถไฟ รถราง และรถประจำทางที่ครอบคลุมซึ่งทำให้การเดินทางในเมืองเป็นเรื่องง่าย แต่หากพูดถึงค่าใช้จ่าย ทั้งค่าธรรมเนียมและค่าครองชีพถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก แต่สำหรับมาตรฐานการครองชีพที่สูงและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่น่าทึ่ง เมลเบิร์นยังคงติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอยู่เสมอ และเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงชายหาดที่สวยงาม สถานบันเทิงยามค่ำคืน และวันที่มีแสงแดดสดใส ปฏิทินวัฒนธรรมของเมืองอัดแน่นตลอดทั้งปี ครอบคลุมทั้งศิลปะ การแสดงตลก ดนตรี ภาพยนตร์ แฟชั่น และงานเฉลิมฉลองหลากวัฒนธรรม

University of Melbourne

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนรวม: 98.4 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 7 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: University of Melbourne (อันดับ 14 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 29,400 เหรียญสหรัฐ
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยประมาณ: 1,400 ถึง 3,920 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับว่าเลือกพักอาศัยในวิทยาเขตหรือพักในที่พักส่วนตัว รวมค่าที่พัก ค่าสาธารณูปโภค ค่าเข้าสังคม ค่าของชำ ค่าขนส่ง และอื่นๆ)

5. มิวนิค ประเทศเยอรมนี

มิวนิก เมืองหลวงของแคว้นบาวาเรียซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของเยอรมนี มอบมาตรฐานการครองชีพระดับสูงให้กับนักศึกษาในราคาที่เอื้อมถึง แม้ว่าค่าครองชีพอาจดูสูงกว่าเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก แต่ก็สมส่วนกับคุณภาพชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นในตัวบ่งชี้ความพึงพอใจ ซึ่งมิวนิกอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก มิวนิกมีสถานที่ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในประเทศ ตั้งแต่สวนพฤกษศาสตร์ไปจนถึงเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ เทือกเขาแอลป์ ป่าไม้ และทะเลสาบ เหมาะสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยและให้ความสำคัญกับธรรมชาติ หลีกหนีจากชีวิตในเมืองที่จอแจ ทุกปีจะมีนักศึกษาต่างชาติกว่า 17,400 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของนักเรียนทั้งหมด เดินทางไปที่มิวนิกเพื่อเริ่มต้นเส้นทางการศึกษา ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีไปจนถึงระดับสูง ทำให้เมืองนี้ได้รับคะแนนที่ดีเยี่ยมสำหรับความหลากหลายของนักศึกษาที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและวัฒนธรรมที่แตกต่างที่มีอยู่ทั่วทั้งเมือง

Technical University of Munich

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 97.1 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 2 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Technical University of Munich (อันดับ 37)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 300 เหรียญสหรัฐ (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ)

6. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ปารีสเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติที่สำคัญและเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย 9 แห่งที่อยู่ในการจัดอันดับของ QS มหาวิทยาลัยชั้นนำของปารีสและโรงเรียนเฉพาะทางหลายแห่งได้ผลิตนักปรัชญา นักทฤษฎี นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ผู้นำทางธุรกิจ และนักคณิตศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ในวรรณคดี ภาพยนตร์ และศิลปะ สถานที่สำคัญและพิพิธภัณฑ์ที่น่าประทับใจที่สุดของยุโรปบางแห่งตั้งอยู่ในปารีส รวมถึงหอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประตูชัยฝรั่งเศส และถนนช็องเซลีเซ ปารีสยังเป็นเมืองแห่งแสงสี แฟชั่น อาหาร ศิลปะ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมที่คึกคัก แม้ว่าปารีสจะมีเรื่องค่าครองชีพที่สูง แต่ก็มีความสมดุลอย่างมากกับค่าเล่าเรียนที่ค่อนข้างต่ำสำหรับนักศึกษาต่างชาติ

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 96.3 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 9 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Université PSL (อันดับ 24)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 2,400 เหรียญสหรัฐ

7. ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเศรษฐกิจของออสเตรเลียแล้ว ซิดนีย์ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกเท่านั้นและเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย นอกจากนี้ ซิดนีย์ยังมีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพอันงดงามของท่าเรือ โรงละครโอเปร่าอันเป็นเอกลักษณ์ อากาศไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป มีกิจกรรมกลางแจ้งมาก พื้นที่สีเขียวที่มีให้เลือกหลายแห่งภายในเมือง และอยู่ไม่ไกลจากชายหาดซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามที่สุดโลก และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจากทั้ง Mercer และ The Economist ซิดนีย์ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายและเป็นมิตรมากที่สุดในโลก ช่วยให้นักศึกษาต่างชาติได้เพลิดเพลินกับวิถีชีวิตแบบออสเตรเลีย

University of Sydney

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 96.2 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 5 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: University of Sydney และ University of New South Wales (UNSW) (อันดับ 19 เท่ากัน)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 29,000 เหรียญสหรัฐ

8. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

เบอร์ลินนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ถือว่าทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นทั้งศูนย์กลางด้านการออกแบบ แฟชั่น ดนตรี และศิลปะที่สำคัญเทียบเท่านิวยอร์กหรือลอนดอน เบอร์ลินมีทั้งวัฒนธรรมที่ไม่มีใครเทียบได้และตลาดการเงินที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เบอร์ลินครองอันดับหนึ่งจากความคิดเห็นของนักศึกษา เนื่องจากคุณภาพชีวิตที่ดี ค่าใช้จ่ายที่เอื้อมถึง บรรยากาศเสรี ตลอดจนการจัดงานเทศกาลและวงการดนตรีที่เป็นที่นิยม เมืองหลวงของเยอรมนีแห่งนี้จึงมีความพร้อมมากมายสำหรับนักศึกษาต่างชาติจากทุกมุมโลก เบอร์ลินมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพชีวิตระดับสูง พร้อมด้วยที่อยู่อาศัยและการเดินทางราคาไม่แพง รวมถึงการดูแลสุขภาพที่เป็นเลิศ ที่สำคัญคือค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีทั้งหมดฟรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ และผู้สำเร็จการศึกษามีโอกาสได้งานที่ดี เนื่องจากบริษัทต่างชาติต้องการจ้างผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเยอรมนี

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 95 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 3 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Freie Universitäet Berlin (อันดับ 98 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 500 เหรียญสหรัฐ (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ)

9. ซูริก สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงด้านการศึกษาระดับโลก ในปี 2567 มหาวิทยาลัยในเมืองซูริก 2 แห่งอยู่ใน 100 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ETH Zurich และมหาวิทยาลัยซูริก ซูริกเป็นศูนย์กลางระดับนานาชาติ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และเป็นหนึ่งในเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ความมั่งคั่งทำให้ซูริกเป็นเมืองที่สะอาด ปลอดภัย และได้รับการดูแลอย่างไม่มีที่ติ มีภูมิประเทศทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของยุโรป และมักติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าซูริกจะเป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าครองชีพที่สูง แต่ก็ชดเชยด้วยค่าเล่าเรียนสำหรับนักศึกษาต่างประเทศที่ไม่แพงนักเมื่อเที่ยบกับเมืองอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา หรือออสเตรเลีย เป็นต้น นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดในโลกในการทำงาน โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและโอกาสในการทำงานที่ดีสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 95 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 2 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: ETH Zurich (อันดับ 7 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 2,100 เหรียญสหรัฐ

10. บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

บอสตันเป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตัวเมืองมีทั้งส่วนผสมของความเร่งรีบและความคึกคักของมหานครใหญ่ที่เข้ากับฉากศิลปะ การเมือง และวัฒนธรรม เข้ากับพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งของสวนสาธารณะขนาดใหญ่ นอกจากนี้ บอสตันยังเป็นศูนย์กลางทางวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แถมยังอยู่ไม่ไกลจากเพื่อนบ้านอย่างเมือง Cambridge ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันเก่าแก่และมีชื่อเสียงอย่าง Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ Harvard University ทำให้บอสตันอยู่ในอันดับที่สูงที่สุดในด้านที่นักศึกษาได้รับการจ้างงานหลังจบการศึกษา สะท้อนให้เห็นถึงชื่อเสียงในระดับนานาชาติของสถาบันต่างๆ ในหมู่ผู้จ้างงานระดับบัณฑิตศึกษาทั่วโลก

Massachusetts Institute of Technology (MIT)

รายละเอียดการจัดอันดับ

คะแนนโดยรวม: 92.3 คะแนน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับโดย QS: 8 แห่ง
สถาบันที่มีอันดับสูงสุด: Massachusetts Institute of Technology (MIT) (อันดับ 1 ของโลก)
ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยสำหรับนักเรียนต่างชาติ: 59,000 เหรียญสหรัฐ

การเลือกเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศของคุณ

แน่นอนว่าการตัดสินใจเลือกที่เรียนต่อต้องมีหลายปัจจัยที่มากกว่าแค่ดูจากการจัดอันดับการเลือกเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไป เรียนต่อต่างประเทศ คุณอาจเริ่มดูจากการจัดอันดับตามความสำคัญของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอยากไปอยู่เมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือเรื่องค่าใช้จ่ายมีความสำคัญต่อการเลือกเมืองของคุณมากกว่า สิ่งนี้จะเป็นแนวทางในการตัดสินใจเบื้องต้นของคุณ และคุณก็อาจหาข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ชีวิตจริงของนักศึกษาที่อยู่ที่นั่น รวมถึงไลฟ์สไตล์ และโอกาสพิเศษที่คุณจะได้รับ

คุณอาจจะต้องพิจารณาโอกาสระยะยาวของการเรียนในเมืองใดเมืองหนึ่งอีกด้วย อย่างเช่น โอกาสในการจ้างงานหลังจากสำเร็จการศึกษา และคุณภาพชีวิตโดยรวม ที่ช่วยส่งผลต่อการเติบโตทางอาชีพและส่วนบุคคลของคุณในระยะยาว 

การไป เรียนต่อต่างประเทศ เป็นสิ่งที่คุณต้องคิดและเตรียมตัวอย่างรอบคอบ ไม่เพียงแต่เรื่องที่เรียน ที่พัก และองค์ประกอบอื่นๆ ประกันเดินทางศึกษาต่อต่างประเทศก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ทั้งตัวคุณและคนที่อยู่ทางบ้านอุ่นใจว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองหากคุณเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ ระหว่างที่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งเรื่องการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ เหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นขณะไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุด หรือค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยขณะกลับมาเยี่ยมบ้าน ประกันสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศ Allianz Travel มีให้คุณเลือกถึง 3 แผน ที่คุณสามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : Best Student Cities | Top Universities

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทางสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ จาก Allianz Travel

ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี

ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี แผนไหนเหมาะกับเรา?

การเดินทางท่องโลกไปยังประเทศที่คุณไม่รู้จัก หรือไปประเทศที่คุณชื่นชอบวัฒนธรรม ธรรมชาติ หรือสิ่งที่แตกต่างจากประเทศไทย ถือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยประสบการณ์อันน่าจดจำและความทรงจำอันล้ำค่า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คุณตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบิน และจองที่พัก เพื่อเดินทางไปยังประเทศในฝันของคุณแล้ว สิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้คุณหมดกังวลว่าทริปวันหยุดของคุณจะไม่สะดุดระหว่างการเดินทางหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ คุณจะมีตัวช่วยให้คุณได้อุ่นใจเสมอ วันนี้เราได้นำข้อมูล ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี มาให้เพื่อนๆ เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันการเดินทางที่เหมาะสมกับการเดินทางของเรามากที่สุด

และไม่ว่าคุณจะชอบเดินทางไปต่างประเทศแบบทริปยาว ๆ ปีละครั้ง หรือทริปสั้น ๆ ปีละ 2-3 ครั้ง Allianz Travel มีแผนประกันภัยการเดินทางสำหรับนักเดินทางทุกประเภท ทั้งแผนแบบรายเที่ยว (Single Plan) ที่ครอบคลุมการเดินทางเพียงทริปเดียว และแผนแบบรายปี (Annual Plan) ที่คุ้มครองการเดินทางหลายเที่ยวในระยะเวลา 365 วัน การที่จะเลือกซื้อแผนไหนดี ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การเดินทางและแผนท่องเที่ยววันหยุดของคุณค่ะ

ทำความรู้จักประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยว

ประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยวจะให้ความคุ้มครองทริปวันหยุดของคุณจากประเทศไทยไปยังประเทศจุดหมายปลายทาง และสิ้นสุดเมื่อคุณกลับถึงประเทศไทย คุณควรทำประกันภัยการเดินทางแบบรายเที่ยวทันที่ที่คุณจองทริปวันหยุดพักผ่อนของคุณ เพราะประกันภัยการเดินทางมีความคุ้มครองครอบคลุมการยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางภายใน 30 วันก่อนวันที่คุณจะเริ่มการเดินทาง หากเกิดเหตุการณ์ที่คุณไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรืออยู่นอกเนือกจากการควบคุมของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

ถ้าคุณซื้อแผนรายเที่ยวสำหรับทริปเดียว ราคาจะถูกกว่าการซื้อแผนรายปี แต่ถ้าคุณมีแผนที่จะเดินทางสัก 2-3 ทริปในแต่ละปีเราแนะนำให้คุณซื้อแผนรายปีจะคุ้มกว่า

ทำไมต้องซื้อประกันภัยการเดินทางแผนรายปี

ประกันภัยการเดินทางแผนรายปีเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่อยู่เคียงข้างคุณตลอดทั้งปี ช่วยปกป้องคุณจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นระหว่างทริป เช่น การยกเลิกการเดินทาง เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ และสัมภาระสูญหาย เป็นต้น ไม่ว่าคุณจะเดินทางกี่ครั้งก็ตาม คุณจะได้รับความคุ้มครองทุกทริปในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่กรมธรรม์เริ่มมีผลบังคับใช้ คุณเดินทางได้มากครั้งเท่าที่คุณต้องการ และแต่ละครั้งก็ได้สูงสุดถึงจำนวนวันที่กำหนดไว้ในแต่ละแผน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

เปรียบเทียบความแตกต่างประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยว และแผนรายปี

รายละเอียดแผนรายเที่ยวแผนรายปี
แผนและความคุ้มครองเลือกประเภทแผนและความคุ้มครองตามความต้องการของแต่ละทริปได้ เช่น เดินทางเฉพาะในเอเชีย หรือเดินทางทั่วโลก แผนและความคุ้มครองมาพร้อมกับชุดสิทธิประโยชน์มาตรฐานซึ่งอาจไม่เหมาะสมสำหรับทุกการเดินทาง
ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 1-180 วัน (ขึ้นอยู่กับจำนวนวันเดินทางของแต่ละทริป)คุ้มครองต่อเนื่องสูงสุง 365 วัน
ค่าเบี้ยประกันเบี้ยประกันคิดตามจำนวนวันเดินทางเบี้ยประกันเป็นรายปี คุ้มค่าสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อย
ความยุ่งยากต้องซื้อทุกครั้งก่อนเดินทางซื้อครั้งเดียว เดินทางกี่ครั้งก็ได้คุ้มครองตลอดทั้งปี
ความคุ้มค่าเหมาะกับผู้ที่เดินทางไม่กี่วัน หรือเดินทางแค่ปีละครั้งเหมาะกับผู้ที่เดินทางบ่อย
วีซ่าเชงเก้นใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าได้ สำหรับแผนที่คุ้มครองทั่วโลก*ใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าได้ สำหรับแผนที่คุ้มครองทั่วโลก*

ตัวอย่างการเลือกซื้อ ประกันเดินทางต่างประเทศเปรียบเทียบ แผนรายเที่ยว vs แผนรายปี

ตัวอย่าง

คุณ Alliz มีแผนเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน 2024 เป็นเวลา 7 วัน, เดินทางไปประเทศอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน 2024 เป็นเวลา 20 วัน, และเดินทางไปประเทศฟินแลนด์ ในเดือนธันวาคม 2024 เป็นเวลา 20 วัน และทุกทริปต้องการความคุ้มครองแบบครบถ้วนสูงสุด

จากตัวอย่าง หากลูกค้าซื้อประกันการเดินแผนรายเที่ยว และรายปี รายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าต้องชำระมีดังนี้

แผนรายเที่ยว

คุณ Alliz ต้องทำการซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายเที่ยว ทุกครั้งที่ออกเดินทาง โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ทริปญี่ปุ่น 7 วัน
    – จำนวนผู้เดินทาง 1 คน
    – ซื้อประกันการเดินทางสำหรับเดินทางในเอเชีย แผนรายเที่ยว แผน Samba
    – ราคา 940 บาท
  2. ทริปอังกฤษ 20 วัน
    – จำนวนผู้เดินทาง 1 คน
    – ซื้อประกันการเดินทางสำหรับเดินทางทั่วโลก แผนรายเที่ยว แผน Tango
    – ราคา 2,920 บาท
  3. ทริปฟินแลนด์ 20 วัน
    – จำนวนผู้เดินทาง 1 คน
    – ซื้อประกันการเดินทางสำหรับเดินทางทั่วโลก แผนรายเที่ยว แผน Tango
    – ราคา 2,920 บาท

ราคารวมที่คุณ Alliz ต้องชำระเงินค่าเบี้ยประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว ในปี 2024
= 940+2,920+2,920 = 6,780 บาท

แผนรายปี

คุณ Alliz สามารถทำการซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี เพียงครั้งเดียวในทริปแรกที่ออกเดินทาง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ระยะเวลาของทริปการเดินทางของคุณ Alliz ในแต่ละทริปไม่เกิน 31 วัน (ทริปญี่ปุ่น 7 วัน, ทริปอังกฤษ 20 วัน, และทริปฟินแลนด์ 20 วัน) ต้องการความคุ้มครองแบบครบถ้วนสูงสุด ดังนั้นคุณ Alliz สามารถซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี แผน Tango ระยะเวลาการเดินทางในแต่ละทริปภายใน 1 ปี ไม่เกิน 31 วันต่อทริปหรือต่อครั้งที่เดินทางได้ โดยราคารวมที่คุณ Alliz ต้องชำระเงินค่าเบี้ยประกันการเดินทาง แผนรายปี ในปี 2024
= 5,620 บาท

ซึ่งประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี ให้ความคุ้มครองการเดินทางทั่วโลก**

สรุป

จากตัวอย่างด้านบนคุณ Alliz สามารถเลือกซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ แผนรายปี แผน Tango ระยะเวลาการเดินทางต่อทริปหรือต่อครั้งไม่เกิน 31 วัน ในราคา 5,620 บาท จะมีความเหมาะสมและคุ้มค่ามากกว่าซื้อประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว ที่มีค่าเบี้ยประกันการเดินทางรวมทุกทริปอยู่ที่ 6,780 บาท คุณ Alliz สามารถประหยัดเงินค่าเบี้ยประกันการเดินทางสำหรับปี 2024 ไปได้ถึง 1,160 บาท

หากเพื่อนๆ ท่านไหนมีแผนการเดินทางคล้ายๆ กับคุณ Alliz หรือมีการเดินทางบ่อย การซื้อประกันการเดินทาง แผนรายปี อาจจะเหมาะสมกับการเดินทางของเพื่อน ๆ มากกว่าการซื้อประกันการเดินทาง แผนรายเที่ยว แต่ถ้าเพื่อน ๆ เดินทางไม่บ่อย ประกันการเดินทางแผนรายเที่ยวก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเพื่อน ๆ ค่ะ

ถ้าคุณคิดว่าปีนี้จะมีทริปเที่ยวต่างประเทศเพียงครั้งเดียว ประกันภัยการเดินทางแผนรายเที่ยวคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณ แต่ถ้าคุณวางแผนเที่ยวต่างประเทศหลายทริปใน 1 ปี การซื้อประกันภัยการเดินทางแบบรายปีก็คุ้มมากกว่า แต่โดยรวมแล้ว การทำประกันภัยการเดินทางทุกครั้งที่ไปเที่ยวต่างประเทศก็เป็นความคิดที่ดีเสมอ เพราะจะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง*** เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*หากวีซ่าไม่ผ่าน และยังไม่ถึงวันเริ่มความคุ้มครองตามกรมธรรม์ สามารถใช้เอกสารการปฏิเสธวีซ่าเป็นหลักฐานในการขอคืนเงินค่าเบี้ยประกันได้เต็มจำนวน
**ยกเว้นประเทศที่ไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์สำหรับเดินทางทั่วโลกได้แก่ประเทศเนปาล และประเทศที่ถูกระบุอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง (Sanction Countries) รวมถึงประเทศดังต่อไปนี้ อัฟกานิสสถาน, แอลจีเรีย, บุรุนดี, คองโก, คิวบา, เอริเทรีย, กินี, อิรัก, คอซอวอ, ไลบีเรีย, ลิเบีย, มอริเตเนีย, ไนเจอร์, ไนจีเรีย, เกาหลีเหนือ, เซอร์เบีย,​โซมาเลีย, ซูดาน, ซีเรีย,​ และเยเมน
***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น 2024

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! [ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024]

ได้เวลาเตรียมตัววางแผนการเดินทางเพื่อไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 กันแล้ว การชมดอกซากุระที่บานสะพรั่งอย่างสวยงามหรือที่รู้จักกันในชื่อฮานามิหรือโอฮานามิในญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากในการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมและเมษายน หากคุณวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เช็คช่วงเวลาพยากรณ์ดอกซากุระบาน เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศในแต่ละปี Allianz Travel จะพาคุณไปเช็คจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่น ซึ่งตาราง พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 อย่างเป็นทางการของ Japan Meteorological Corporation จะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2024 จนถึง ณ ตอนนี้ JMC ได้เผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์ซากุระบาน ในญี่ปุ่น ออกมาแล้วทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 11 ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาซากุระบานมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้นะคะ 🙂

ไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงเวลาไหนดี ?

ดอกซากุระในญี่ปุ่นมีช่วงเวลาที่บานเต็มที่ในแต่ละสถานที่คือประมาณหนึ่งสัปดาห์ และช่วงที่บานเต็มที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ ดอกซากุระจะเริ่มบานจากเขตอบอุ่นและจุดสุดท้ายคือในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น ตัวอย่างเช่น คุณจะเริ่มชมซากุระในภูมิภาคคิวชูตอนใต้ได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และบานเต็มที่ในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แต่ดอกซากุระในจังหวัดฮอกไกโดทางตอนเหนือสุดจะบานเต็มที่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

ในแต่ละปี ซากุระจะเริ่มบานในโตเกียวตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และสามารถบานสะพรั่งได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างโอซาก้า เกียวโต และฮิโรชิม่า ก็เริ่มบานสะพรั่งในเวลาเดียวกัน ในภาคกลางของญี่ปุ่น ดอกซากุระเริ่มบานตั้งแต่ต้นถึงกลางเดือนเมษายน ภายในปลายเดือนเมษายน คุณจะเห็นดอกซากุระในโทโฮคุ และตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คุณจะเห็นดอกซากุระที่ฮอกไกโดเช่นกัน

ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงต้นฤดูกาล (เดือนกุมภาพันธ์)

ซากุระมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดคือพันธุ์โซเมอิโยชิโนะ (Somei-yoshino) ที่บานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนเมษายน และเวลาที่มีการพยากรณ์ซากุระบานในแต่ละปี ก็ยึดเอาพันธุ์โซเมอิโยชิโนะนี่แหละเป็นตัววัด ทำให้หลายคนอาจคิดว่าการชมซากุระในญี่ปุ่นมีเ)พาะช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่ความจริงแล้วซากุระบางสายพันธุ์ก็บานเร็วกว่าพันธุ์ทั่วไปเล็กน้อย เราจะมาแนะนำสถานที่ที่สามารถไปชมซากุระได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์เลยค่ะ

เมืองคาวาซุ (Kawazu) ของจังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

ห่างจากโตเกียวประมาณ 2.5 ชั่วโมง มีชื่อเสียงเรื่องดอกซากุระพันธุ์คาวาซุ ดอกใหญ่สีชมพูเข้ม ซึ่งบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ และบานนานเกือบหนึ่งเดือนทำให้เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่เร็วที่สุดในละแวกโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ ช่วงที่มีซากุระบานของทุกปียังมีการจัด เทศกาลคาวาซุซากุระ (Kawazu Cherry Blossom Festival) ที่สวยงามไปด้วยซากุระสีชมพูทั้งในเมืองและริมแม่น้ำ การประดับไฟยามค่ำคืน และร้านค้าริมทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองคาวาซุ (Kawazu) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

เมืองอาตามิ (Atami) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอิซุ (Izu)

ห่างจากโตเกียวไปทางตะวันตกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงโดยรถไฟชินคันเซ็น บรรยากาศเหมือนเมืองตากอากาศ มีบ่อน้ำพุร้อนและเรียวกังมากมาย ที่นี่เป็นแหล่งชมซากุระพันธุ์อาตามิ เป็นพันธุ์สีชมพู ดอกพุ่มสวย ปกติจะบานช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เมื่อเริ่มบานแล้วจะอยู่ประมาณ 10 วันก็จะเริ่มร่วงโรยรา จุดชมซากุระอยู่ตรงทางเดินเลียบแม่น้ำ Itogawa ใช้เวลาเดินลงจากสถานี Atami ประมาณ 10 นาที ที่นี่คุณจะเห็นต้นซากุระประมาณ 58 ต้นที่ปลูกอยู่สองข้างทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองอาตามิ (Atami)

เมืองมิอุระ (Miura) จังหวัดคานางาวะ (Kanagawa)

มีดอกซากุระคาวาซุที่ผลิดอกช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณจะได้เห็นต้นซากุระสายพันธุ์นี้ราว 1,000 ต้นเรียงรายตามเส้นทางรถไฟระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรจากสถานีมิอูระไคกัง (Miurakaigan) ไปยังสวนสาธารณะโคมัตสึไคเกะ (Komatsugaike) นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศจากทุ่งดอกมัสตาร์ดสีเหลืองนวลที่ออกดอกตามสองข้างทาง ตลอดฤดูกาล ตลาดแผงลอยหลายแห่งจะเปิดให้บริการที่หน้าสถานีมิอูระไคกัง ซึ่งท่านสามารถที่จะซื้อหาผักสดจากท้องถิ่นรวมทั้งสินค้าพิเศษของเมืองมิอุระได้

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2024

ตารางพยากรณ์ช่วงดอกซากุระบานของญี่ปุ่นในปี 2024 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 11) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2024 ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางปี 2024 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ดอกซากุระบานปี 2024 (พยากรณ์ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024)

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาที่ซากุระเริ่มบานช่วงเวลาที่ซากุระบานเต็มที่
โตเกียว – Tokyo29 มีนาคม4 เมษายน
นาโงย่า – Nagoya28 มีนาคม7 เมษายน
เกียวโต – Kyoto29 มีนาคม5 เมษายน
โคจิ – Kochi23 มีนาคม31 มีนาคม
ฟุกุโอกะ – Fukuoka27 มีนาคม2 เมษายน
โอซาก้า – Osaka30 มีนาคม6 เมษายน
ฮิโรชิมะ – Hiroshima25 มีนาคม5 เมษายน
วากายามะ – Wakayama30 มีนาคม3 เมษายน
คานาซาว่า – Kanazawa1 เมษายน8 เมษายน
นากาโน่ – Nagano8 เมษายน10 เมษายน
คาโกชิมะ – Kagoshima29 มีนาคม7 เมษายน
เซนได – Sendai2 เมษายน9 เมษายน
อาโอโมริ – Aomori15 เมษายน18 เมษายน
ซัปโปโร – Sapporo27 เมษายน30 เมษายน
ดอกซากุระบานหรือดอกซากุระบานเต็มที่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2024 Cherry Blossom Forecast (11th forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ชมดอกซากุระในญี่ปุ่น

พิกัดชม ซากุระ ญี่ปุ่นมีมากกว่า 1,000 แห่ง การเลือกพิกัดสถานที่ที่ดีที่สุดเพียงไม่กี่แห่งอาจเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก Allianz Travel ขอรวบรวมรายชื่อสถานที่ชมซากุระที่สวยงามตามภูมิภาคไว้ดังนี้ค่ะ

1. ภาคเหนือของญี่ปุ่น: ฮอกไกโด

  • สวนโมเอเรนุมะ (Moerenuma Park) เมืองซัปโปโร: สวนศิลปะแห่งนี้ออกแบบโดยประติมากรอิซามุ โนกุจิ มีประติมากรรมขนาดใหญ่ และเต็มไปด้วยดอกซากุระสีชมพูสดใสในฤดูใบไม้ผลิ

  • หอคอยและป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku) เมืองฮาโกดาเตะ: ป้อมสไตล์ฝรั่งเศสรูปดาวแห่งนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งชาติที่รายล้อมไปด้วยดอกซากุระค คุณสามารถขึ้นไปชมวิวความงามของดอกซากุระจากมุมสูงได้จากหอคอยที่มีความสูงถึง 107 เมตร
ซากุระ ญี่ปุ่น : หอคอยและป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku)
  • สวนสาธารณะอาซาฮิกาโอกะ (Asahigaoka Park) เมืองฟุราโนะ: เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในร้อยทิวทัศน์ที่สวยงามของญี่ปุ่น นำเสนอทัศนียภาพอันงดงามของแอ่งน้ำฟุราโนะ ภูเขาโทคาจิ และต้นซากุระ 3,000 ต้น

  • ภูเขาเท็นกุ (Tengu) เมืองโอตารุ: คุณจะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองโอตารุและทะเลญี่ปุ่น และต้นซากุระที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้เกิดภาพที่งดงามมาก

  • สวนอาซาฮิคาวะ (Asahikawa Park) เมืองอาซาฮิคาวะ: สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฮอกไกโด และเป็นแหล่งรวมต้นซากุระประมาณ 3,500 ต้น ซึ่งช่วงกลางคืนจะมีการประดับไฟดอกซากุระตลอดทั้งฤดูกาล

2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น: ภูมิภาคโทโฮคุ

  • มิฮารุ ทากิซากุระ (Miharu Takizakura) เมืองฟุกุชิมะ: มิฮารุ ทากิซากุระ เป็นหนึ่งในสามของสถานที่ชมซากุระที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ต้นซากุระอันงดงามที่ห้อยระย้าลงมาตลอดเส้นทางเดินมีอายุมากกว่า 1,000 ปี ที่รอต้อนรับผู้มาเยือน
ซากุระ ญี่ปุ่น : มิฮารุ ทากิซากุระ (Miharu Takizakura) เมืองฟุกุชิมะ
  • ฮิโตเมะเซ็นบงซากุระ (Hitome Senbonzakura) เมืองมิยางิ: คุณจะเห็นต้นซากุระเรียงรายไปกว่า 8 กิโลเมตรตามแม่น้ำชิโรอิชิ โดยมีเทือกเขาซาโอะที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นฉากหลัง
ซากุระ ญี่ปุ่น : ฮิโตเมะเซ็นบงซากุระ (Hitome Senbonzakura) เมืองมิยางิ
  • ซาสวนฮิโรซากิ (Hirosaki Park) เมืองอาโอโมริ: มีต้นซากุระ 52 สายพันธุ์ ราว 2,600 ต้น ซึ่งจะบานเต็มที่ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี คุณจะได้เห็นวิวสวยๆ ของปราสาทฮิโรซากิกับดอกซากุระ และภูเขาอิวากิพร้อมกัน ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก

  • คาคุโนะดาเตะ บูเคยาชิกิโดริ (Kakunodate Bukeyashiki-dori) เมืองอาคิตะ: ย่านซามูไรที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ประดับด้วยต้นซากุระสีชมพูตัดกับสีดำของรั้วบ้านซามูไรในช่วงปลายเดือนเมษายน
ซากุระ ญี่ปุ่น : คาคุโนะดาเตะ บูเคยาชิกิโดริ (Kakunodate Bukeyashiki-dori) เมืองอาคิตะ
  • ภูเขาอิวากิ (Mt. Iwaki) เมืองอาโอโมริ: ภูเขาอิวากิซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีต้นซากุระประมาณ 6,500 ต้นตลอดเส้นทางระยะทาง 20 กม. ซึ่งจะบานสะพรั่งอย่างงดงามตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม

3. ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคันโต-โคชิน

  • สวนสาธารณะแห่งชาติชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) เมืองโตเกียว: มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในสวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุด มีต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้นจาก 65 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน นำเสนอการภาพที่สวยงามน่าทึ่งในฤดูใบไม้ผลิ

  • สวนอุเอโนะ (Ueno Park) เมืองโตเกียว: มีต้นซากุระประมาณ 1,200 ต้น เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการชมดอกซากุระ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 2 ล้านคนในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะช่วงเย็นที่สวยงามด้วยแสงไฟตกแต่งส่องสว่างไปทั่ว
ซากุระ ญี่ปุ่น : สวนอุเอโนะ (Ueno Park) เมืองโตเกียว
  • แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) เมืองโตเกียว: มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้นบานสะพรั่งอย่างสวยงามไปตามริมแม่น้ำยาว 3.8 กิโลเมตร พร้อมด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่มให้นั่งชมวิวในบริเวณใกล้เคียง
ซากุระ ญี่ปุ่น : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) เมืองโตเกียว
  • สวนสาธารณะโยโยกิ (Yoyoki Park) เมืองโตเกียว: สวนสาธารณะโยโยกิเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันภายใต้ดอกซากุระที่บานสะพรั่งเพื่อสังสรรค์กัน

  • สวนริคุงิเอน (Rikugien Gardens) เมืองโตเกียว: สวนภูมิทัศน์ญี่ปุ่นอันเงียบสงบและเก่าแก่แห่งนี้เป็นสถานที่พิเศษที่มีทัศนียภาพอันงดงามของต้นซากุระที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ

4. ภาคกลางของญี่ปุ่น: ภูมิภาคโฮคุริคุและโทไก

  • ปราสาทอุเอดะ (Ueda Castle) เมืองนากาโนะ: ปราสาทอุเอดะสร้างขึ้นในปี 1583 ประดับด้วยต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่สร้างปรากฏการณ์อันน่าทึ่งในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ
ซากุระ ญี่ปุ่น : ปราสาทอุเอดะ (Ueda Castle) เมืองนากาโนะ
  • ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เมืองนากาโนะ: ปราสาทมัตสึโมโต้ถือเป็นสถานที่ชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงและมีนักท่องเที่ยวจากในประเทศและต่างประเทศเดินทางมาชมดอกซากุระกันอย่างเนืองแน่น และที่บริเวณสวนฮงมารุ ซึ่งอยู่ด้านในบริเวณปราสาทมัตสึโมโต้ จะมีการจัดงานชมดอกซากุระพร้อมจิบชายามค่ำคืน โดยจะมีการประดับไฟไลท์อัพที่ต้นซากุระและตัวปราสาท
ซากุระ ญี่ปุ่น : ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เมืองนากาโนะ
  • อุทยานซากปราสาททาคาโตะ (Takato Castle Ruins Park) เมืองนากาโนะ: สวนแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน 100 จุดชมซากุระชั้นนำของญี่ปุ่น มีต้นซากุระประมาณ 1,500 ต้น

  • สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) เมืองอิชิคาวะ: หนึ่งในสามสวนที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น มีพันธุ์ซากุระประมาณ 40 สายพันธุ์และต้นซากุระ 420 ต้น ซึ่งจะบานในช่วงกลางเดือนเมษายน นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) เมืองอิชิคาวะ
  • วัดเซนโกจิ (Shinshu Zenkoji) เมืองนากาโนะ: วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 642 ล้อมรอบด้วยต้นซากุระที่สวยงามและดอกซากุระบานสะพรั่ง ท่ามกลางหุบเขาอันร่มรื่น สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณจากผู้คนที่มีมาสักการะเป็นประจำตั้งแต่ 1,400 ปีก่อน

5. ภาคตะวันตกตอนกลางของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคันไซ/คินกิ

  • ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เมืองเฮียวโงะ: ปราสาทฮิเมจิมีชื่อเสียงในเรื่องต้นซากุระกว่า 1,000 ต้น เป็นประสบการณ์การชมดอกซากุระที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงการล่องเรือไปตามคูน้ำใต้กลีบสีชมพูในช่วงเทศกาลดอกซากุระ
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เมืองเฮียวโงะ
  • วัดโทจิ (To-ji Temple) เมืองเกียวโต: วัดโทจิมีเจดีย์ไม้ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยต้นซากุระที่สวยงามประมาณ 200 ต้น ทำให้เกิดเป็นฉากที่สวยงาม คุณสามารถเพลิดเพลินกับวิวดอกซากุระขณะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเกียวโตในบริเวณใกล้เคียง
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : วัดโทจิ (To-ji Temple) เมืองเกียวโต
  • วัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple) เมืองเกียวโต: วัดนินนาจิมีชื่อเสียงจากต้นซากุระโอมูโระ ที่ออกดอกช้าหลากหลายพันธุ์ โดยมีเจดีย์ห้าชั้นตั้งอยู่ สถานที่งดงามราวภาพวาดแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามระดับชาติ และเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระ 100 อันดับแรกของญี่ปุ่น
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : วัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple) เมืองเกียวโต
  • วัดโยชิมิเนะเดระ (Yoshimine-dera Temple) เมืองเกียวโต: วัดนี้ก่อตั้งในปี 1029 มีชื่อเสียงในเรื่องดอกซากุระบานสะพรั่งอย่างสวยงาม และตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาทางตะวันตกของเกียวโต

  • ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เมืองนารา: ภูเขาโยชิโนะมีต้นซากุระป่าสีขาวประมาณ 30,000 ต้นแผ่กระจายไปทั่วหุบเขาและสันเขา นำเสนอทิวทัศน์ดอกซากุระอันงดงามในฤดูใบไม้ผลิ
ซากุระ ญี่ปุ่น : ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เมืองนารา

6. ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น: ภูมิภาคชูโงะคุ และชิโกะคุ

  • ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) เมืองเอฮิเมะ: 1 ใน 12 ปราสาทซึ่งสร้างขึ้นก่อนสมัยเอโดะที่ยังเหลืออยู่ปราสาทมัตสึยามะเป็นสถานที่งดงามสำหรับการชมดอกซากุระ ที่ประดับประดาอยู่จำนวนมาก เป็นการผสมผสานความงามตามธรรมชาติและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) เมืองเอฮิเมะ
  • สวนริตสึริน (Ruitsurin Garden) เมืองคากาวะ: ขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของภูมิทัศน์อันเงียบสงบ ทางเดินและสระน้ำที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และเสริมแต่งด้วยต้นซากุระที่บานสะพรั่ง ทำให้เกิดบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงามสำหรับผู้มาเยือน

7. ภาคตะวันตกของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคิวชู

ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) เมืองคุมาโมโตะ: หนึ่งในปราสาทที่โดดเด่นที่สุดของญี่ปุ่น พื้นที่อันกว้างขวางของปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการสัมผัสกับความงามอันน่าทึ่งของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางสถาปัตยกรรมเก่าแก่

การวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูซากุระบาน

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปชื่นชมฤดูดอกซากุระบานในญี่ปุ่นควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โรงแรมในโตเกียวและเกียวโตจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบจองที่พักทันทีที่มีกำหนดวันเดินทาง และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel