เที่ยวโดโลไมท์ (dolomites) สัมผัสธรรมชาติงดงามดุจเทพนิยาย

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) อิตาลี สัมผัสธรรมชาติงดงามดุจเทพนิยาย

ถ้าพูดถึง ที่เที่ยวอิตาลี คุณอาจนึกถึงเหล่าเมืองสุดฮิตอย่างเวนิส ฟลอเรนซ์ หรือชายฝั่งอมาลฟี (คุณสามารถอ่านบทความเกี่ยวกับที่เที่ยวอิตาลีได้ที่นี่: เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม ดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก) แต่จริง ๆ แล้วอิตาลียังมีอีกหนึ่งมุมเงียบ ๆ ที่สวยสะกดใจไม่แพ้ที่ไหนในยุโรปเลย — นั่นก็คือ โดโลไมท์ (Dolomites) เทือกเขาสูงใหญ่ทางตอนเหนือ ที่ใครถ้าได้ไป เที่ยวโดโลไมท์ แล้วต่างตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น

เทือกเขาโดโลไมท์เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยธรรมชาติอลังการ หมู่บ้านน่ารักวิวภูเขา และวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างอิตาลีและออสเตรีย เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีมาก่อน จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษาเยอรมันที่ยังใช้กันทั่วไป ไปจนถึงอาหารและสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปเหนือ พื้นที่ทั้งหมดแบ่งออกเป็นหลายภูมิภาคและหมู่บ้านหลายแห่งในแต่ละภูมิภาค โดยแต่ละภูมิภาคมีเส้นทางเดินป่ามากมายที่เชื่อมต่อเทือกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกัน บางส่วนสามารถเข้าถึงได้ด้วยรถยนต์ บางส่วนเข้าถึงได้ด้วยกระเช้าลอยฟ้าและสกีลิฟต์ และบางส่วนเข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาวที่เหมาะกับการเล่นสกี หรือฤดูร้อนที่เหมาะกับการเดินป่าชมวิว การมาเที่ยวโดโลไมท์คือทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเที่ยวอิตาลีในบรรยากาศที่มีความเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากเมืองใหญ่ แต่ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์และความโรแมนติกแบบยุโรปแท้ ๆ

ทำความรู้จักเทือกเขาโดโลไมท์

โดโลไมท์ (The Dolomites) คือเทือกเขาที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี ที่มีลักษณะโดดเด่นจากองค์ประกอบทางธรณีวิทยา เนื่องจากภูเขาเหล่านี้เกิดจากหินโดโลไมท์เกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นหินที่มีแร่โดโลไมท์  เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ภูเขามีสีเฉดเข้มและอ่อนในแบบเฉพาะตัวที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ เทือกเขาโดโลไมท์ครอบคลุมพื้นที่ถึง 7 จังหวัด ได้แก่ เซาท์ไทโรล (South Tyrol), เทรนติโน (Trentino), เวโรนา (Verona), วิเชนซา (Vicenza), เบลลูโน (Belluno), อูดิเน (Udine) และ พอร์เดโนเน (Pordenone)

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ประเทศอิตาลี

เทือกเขาโดโลไมท์ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) เมื่อปี 2009 ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามน่าทึ่งและความหลากหลายทางธรรมชาติ  โดโลไมท์จึงเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมระดับโลกสำหรับทั้งการเดินป่าในฤดูร้อนและการเล่นสกีในฤดูหนาว

เที่ยวโดโลไมท์ ช่วงเวลาไหนดี

โดโลไมท์ เป็นจุดหมายที่สามารถเที่ยวได้ทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว หากคุณต้องการชมโดโลไมท์ในบรรยากาศที่ดีที่สุด คุณต้องเลือกเวลาให้เหมาะสม โดยแต่ละฤดูก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบกิจกรรมประเภทไหน และอีกสิ่งที่ควรพิจารณาก็คือเรื่องราคา ไม่ว่าคุณจะอยากสัมผัสประสบการณ์การเล่นสกีสุดตื่นตาในฤดูหนาว หรือเดินป่าท่ามกลางวิวสวยอลังการในฤดูร้อน การทำความเข้าใจเรื่องช่วงราคาตามฤดูกาลจะช่วยให้คุณวางแผนการเดินทางได้คุ้มค่าที่สุด รายละเอียดสรุปแบบย่อ ๆ มีดังนี้:

  • ฤดูร้อนคือช่วงพีคของการเดินป่า เส้นทางธรรมชาติเปิดกว้าง รอให้นักผจญภัยออกไปสำรวจ
  • ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงเวลาของต้นสนสีทองและเส้นทางเงียบสงบ เหมาะกับคนที่อยากสัมผัสธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
  • ฤดูหนาวเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นโลกแห่งหิมะ ราวกับหลุดเข้าไปในนิทาน
  • ฤดูใบไม้ผลิ สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน ค่อนข้างเฉอะแฉะ เส้นทางหลายเส้นทางปิด ทำให้ยากต่อการจัดเตรียมเสื้อผ้าและสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้

นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้เพื่อเลือกช่วงเวลาในการเดินทางที่เหมาะสมสำหรับคุณ

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูร้อน (มิถุนายน–กันยายน)

นี่คือช่วงเวลาไฮซีซั่นที่โดโลไมท์งดงามที่สุดสำหรับการเดินป่า ปั่นจักรยาน หรือปิกนิกริมทะเลสาบ คุณจะได้เห็นความงามของธรรมชาติอย่างเต็มพิกัด ถ้าสิ่งที่คุณต้องการคือการเดินป่า ฤดูร้อนคือช่วงเวลาที่ใช่สำหรับคุณ แต่คุณต้องวางแผนให้ดี และถ้าคุณไม่อยากเจอกับความวุ่นวาย และคนมากมาย พยายามหลีกเลี่ยงช่วงสัปดาห์ที่ 2 และที่ 3 ของเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดของโรงเรียนทั่วทั้งยุโรป

The Tre Cime di Lavaredo

The Tre Cime di Lavaredo (Three Peaks of Lavaredo) มองจาก the Cave Viewpoint

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • กลางวันยาวนาน กระเช้าลิฟต์เปิดให้บริการ ที่พักเปิดต้อนรับอย่างเต็มรูปแบบ
  • นักท่องเที่ยวหนาแน่นตามจุดยอดฮิต เช่น Tre Cime และ Lago di Braies เป็นต้น
  • ราคาที่พักสูงขึ้น และห้องพักจำกัด ถ้าไม่รีบจองล่วงหน้า

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ร่วง (ปลายกันยายน–ตุลาคม)

ถ้าคุณอยากสัมผัสโดโลไมท์ในช่วงที่สวยที่สุด แบบที่ไม่ต้องเบียดกับผู้คน ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงเวลาแห่งเวทมนตร์ที่คุณสัมผัสได้ แต่บางปีฤดูใบไม้ร่วงมาไว บางปีก็แทบไม่มาเลย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสภาพอากาศบนภูเขา โดยทั่วไป ช่วงกลางเดือนตุลาคม คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสี และสภาพอากาศก็มักจะเย็นสบาย แต่คุณก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ แต่ถ้าคุณอยากสัมผัสประสบการณ์เดินป่าแบบเต็มรูปแบบ คุณควรไปช่วงปลายกันยายนถึงกลางตุลาคมจะดีที่สุด

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ร่วง

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • นักท่องเที่ยวน้อยลง 
  • ต้นสนสีทองสว่างไสวทั่วหุบเขา 
  • อากาศยามเช้าสดชื่น และพระอาทิตย์ตกงดงาม
  • ที่พักบางแห่งจะเริ่มปิดในช่วงต้นตุลาคม หากคุณวางแผนจะเดินป่าแบบนอนค้างหลายคืน อย่าลืมตรวจสอบล่วงหน้าว่ามีที่พักที่ไหนยังเปิดอยู่บ้าง
  • หิมะสามารถมาได้ทุกเมื่อในฤดูนี้ และพอเข้าสู่ปลายตุลาคม กระเช้าลิฟต์ เส้นทางเดินป่า และที่พักหลายแห่งก็จะเริ่มปิดแล้ว

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูหนาว (ธันวาคม–มีนาคม)

ฤดูหนาวในโดโลไมท์ช่างงดงามเกินจริงราวกับเทพนิยาย ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน หมู่บ้านเล็กๆ ดูราวกับหลุดออกมาจากนิทาน

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูหนาว

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นสกี สโนว์บอร์ด สโนว์ชู หรือจิบไวน์ร้อนใต้ต้นคริสต์มาสยักษ์
  • เส้นทางเดินป่าจะถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ และไม่สามารถเข้าถึงได้ หากไม่มีอุปกรณ์ครบครันหรือไกด์นำทาง

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน–พฤษภาคม)

ส่วนใหญ่แล้วฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะโรแมนติก นึกถึงดอกไม้ป่าบานเต็มทุ่ง นักท่องเที่ยวน้อย แต่ความจริงคือหิมะที่โดโลไมท์ยังละลายไม่หมด ที่นี่จะเริ่มเป็นฤดูใบไม้ผลิจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายน

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ฤดูใบไม้ผลิ

สิ่งที่คุณจะได้พบ:

  • เส้นทางส่วนใหญ่ยังถูกปกคลุมด้วยหิมะหรือปิดเพื่อความปลอดภัย
  • ที่พักบนภูเขาหลายแห่งยังไม่เปิดให้บริการจนกว่าจะถึงช่วงกลางปี
  • ถ้าคุณไม่ได้ขับรถเที่ยวหรือตั้งใจมาเมืองตามเชิงเขาเพื่อเข้าสปาหรู ๆ เราแนะนำให้ข้ามฤดูนี้ไปก่อนจะดีกว่า

วิธีเดินทางไป เที่ยวโดโลไมท์

โดโลไมท์ไม่มีสนามบิน คุณจะต้องนั่งเครื่องบินไปลงสนามบินหลักที่เดินทางไปยังเทือกเขาโดโลไมท์ได้สะดวกจากทางฝั่งอิตาลี หลังจากนั้น ใช้เวลาขับรถประมาณ 2.5-3 ชั่วโมงไปยังเมืองหลักที่ใกล้ที่สุดในเทือกเขาโดโลไมท์ อย่างเมืองกอร์ตีนาดัมเปซโซ (Cortina d’Ampezzo) ทางฝั่งตะวันออกหากคุณมาจากเวนิส และเมืองโบลซาโน (Bolzano) ทางฝั่งตะวันตกหากคุณมาจากมิลานหรือเวโรนา

สนามบินที่ใกล้ที่สุดสำหรับการไปเที่ยวเทือกเขาโดโลไมท์:

  • สนามบินนานาชาติมาร์โคโปโลเวนิส (อิตาลี) 2 ชั่วโมง
  • สนามบินเวโรนา (อิตาลี) 2 ชั่วโมง
  • สนามบินอินส์บรุค (ออสเตรีย) 1 ชั่วโมงครึ่ง
  • สนามบินมิลานมัลเปนซา (อิตาลี) 4 ชั่วโมง
  • สนามบินมิวนิก (เยอรมนี) 4 ชั่วโมง

หากคุณเดินทางด้วยรถไฟในอิตาลี คุณต้องไปลงที่สถานีโบลซาโน (Bolzano) หรือดอบบีอาโก (Dobbiaco) แล้วนั่งรถบัสต่อเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ หรือวิธีที่ดีและง่ายที่สุดคือการเช่ารถแล้วขับรถเที่ยวในโดโลไมท์ ซึ่งจะช่วยให้คุณเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ตามตารางเวลาของคุณเอง คุณสามารถเช่ารถได้ที่เวนิส เวโรนา มิลาน โบลซาโน หรือโบโลญญา แล้วขับไปโดโลไมท์ จากนั้นคืนรถที่เมืองเดิมหรือเมืองถัดไปตามแผนการเดินทางของคุณ

*ฟลอเรนซ์ โรม หรือเนเปิลส์อยู่ไกลเกินไป เว้นแต่คุณจะวางแผนเดินทางไปเที่ยวอิตาลีนานกว่านี้โดยแวะเทือกเขาโดโลไมท์ด้วย

สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อไป เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites)

ในช่วงฤดูร้อน การเดินป่าถือเป็นกิจกรรมที่ดีที่สุดในโดโลไมท์ แต่ถ้าคุณอยากสัมผัสความงามของที่นี่แบบไม่ต้องออกแรงมาก มีกิจกรรมอีกมากมายให้เลือกที่ไม่ต้องพึ่งรองเท้าเดินป่าเลย!

นั่งกระเช้าขึ้นสู่ Cima Tofana

จากสถานีกระเช้าบนยอดเขา คุณจะได้เห็นวิวพาโนรามา 360° ของเทือกเขาโดโลไมท์ และหากเดินต่ออีกเพียงเล็กน้อย จะไปถึงยอด Tofana di Mezzo หนึ่งในจุดสูงสุดของภูเขาในภูมิภาคนี้

Marmolada

นั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ยอด Marmolada เพื่อชมวิวอลังการจากยอดเขาสูงสุดของโดโลไมท์

Lagazuoi

เที่ยวโดโลไมท์ Lagazuoi

Lagazuoi

ขึ้นกระเช้าจาก Falzarego Pass ไปยังยอด Lagazuoi แล้วชมวิวแบบไม่มีอะไรมาบดบัง และถ้าใครอยากผจญภัยเพิ่มขึ้น ก็สามารถเลือกเดินเท้าลงกลับมายังจุดเริ่มต้นได้

ขับรถชมเส้นทางภูเขาสุดอลังการ

Passo Giau

Passo Giau

Sella Pass

Sella Pass

โดโลไมท์ขึ้นชื่อเรื่องถนนภูเขาสวยระดับโลก ที่ห้ามพลาดคือเส้นทาง Passo Pordoi เส้นทาง Sella Pass และเส้นทาง Passo Giau

ชมทะเลสาบสีฟ้าใสราวกับฝัน

เที่ยวโดโลไมท์ Lago di Braies

Lago di Braies

เที่ยวโดโลไมท์ Lago Federa

Lago Federa

เที่ยวโดโลไมท์ Lago di Misurina

Lago di Misurina

เที่ยวโดโลไมท์ Lago di Carezza

Lago di Carezza

แวะถ่ายรูปและเดินเล่นริมทะเลสาบสวยๆ ที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกันอย่าง Lago di Braies, Lago Federa, Lago di Misurina และ Lago di Carezza

Seceda

Seceda

Seceda

ขึ้นกระเช้าไปที่ Seceda เพื่อชมภาพวิวที่สวยจนเหมือนภาพวาดจากหนึ่งในแลนด์มาร์กที่ต้องมีในกล้องของคุณ

Val di Funes

Val di Funes

พื้นที่เขียวขจีแห่งนี้เป็นหนึ่งในจุดที่สวยที่สุดในโดโลไมท์ คุณจะได้เห็นวิวของ Odle/Geisler Group พร้อมโบสถ์ Santa Maddalena Church เป็นภาพที่งดงามจนแทบหยุดหายใจ

Alpe di Siusi (Seiser Alm)

Alpe di Siusi (Seiser Alm)

Alpe di Siusi (Seiser Alm)

ทุ่งหญ้าอัลไพน์ที่สูงที่สุดในยุโรป เหมาะสำหรับเดินป่าและปั่นจักรยานในฤดูร้อน และเป็นลานสกีสุดฮิตในฤดูหนาว

ตะลุยกินให้ทั่วโดโลไมท์

อาหารที่นี่ผสมผสานรสชาติแบบอิตาเลียน ออสเตรีย และเยอรมันอย่างลงตัว คุณสามารถเลือกรับประทานได้จากทั้งร้านอาหารท้องถิ่นกระท่อมบนเขาไปจนถึงร้านอาหารระดับมิชลิน มีให้เลือกอยู่มากมาย

เล่นสกี

เมื่อหิมะเริ่มโปรยปราย โดโลไมท์ก็กลายเป็นหนึ่งในจุดเล่นสกีที่ดีที่สุดในยุโรปที่เป็นสวรรค์ของนักสกี

เที่ยวโดโลไมท์ (Dolomites) ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่

เทือกเขาโดโลไมท์ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ราคาค่อนข้างสูงหากเทียบกับเมืองอื่น ๆ ในอิตาลี โดยเฉพาะค่าที่พัก ไม่ว่าจะเป็นในเมืองอย่าง Bolzano หรือ Merano ไปจนถึงที่พักบนภูเขาและสกีรีสอร์ต จะมีราคาสูงกว่ามาตรฐานอิตาลีอย่างชัดเจน หากคุณต้องการพักในที่พักดี ๆ ทานอาหารร้านกลาง ๆ และมีกิจกรรมวันละ 1–2 อย่าง ควรเตรียมงบประมาณขั้นต่ำไว้ที่ประมาณ 9,500 บาท ต่อวัน แต่ถ้าไปเล่นสกีด้วย ตัวเลขนี้จะสูงขึ้นอีกพอสมควร

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณในการ เที่ยวโดโลไมท์:

  • ห้องพักแบบคู่ (Double Room) ประมาณ 6,800–11,700 บาท
  • บัตร Dolomiti Superski Pass (ต่อวัน) ผู้ใหญ่ 75 ยูโร เด็ก 38 ยูโร 
  • ตั๋วโดยสารรถสาธารณะ – ที่พักมักจะให้คุณฟรี
  • กาแฟ 1 ถ้วย ราคาประมาณ 55-75 บาท
  • ดินเนอร์สำหรับ 2 คน ในร้านอาหารแบบพื้นถิ่น ราคาประมาณ 2,200-3,700 บาท
  • เบียร์ที่โรงเบียร์ (1 ไพน์) ราคาประมาณ 200 บาท

เคล็ดลับประหยัดงบ:

  • หากเดินทางช่วง นอกฤดูกาล (เช่น ปลายกันยายน หรือพฤษภาคม) ราคาที่พักจะลดลงพอสมควร
  • ใช้ประโยชน์จากบัตรที่พัก เช่น Guest Card หรือ Dolomiti Card ซึ่งมักรวมบริการขนส่งฟรีและส่วนลดกิจกรรม
  • เลือกพักในเมืองเล็ก ๆ รอบนอก แทนรีสอร์ตชื่อดัง

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินป่าตัวยง คนรักภูเขา ตากล้องสายธรรมชาติ หรือแค่นักเดินทางที่อยากหลีกหนีความวุ่นวาย การไป เที่ยวโดโลไมท์ ประเทศอิตาลี จะมอบประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ภาพถ่ายสวย ๆ หรือจุดหมายบนแผนที่ ที่นี่คือสถานที่ที่ทำให้คุณ ได้อยู่ใกล้กับธรรมชาติ ที่ทุกฤดูกาลมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือมันจะกลายเป็นความทรงจำที่คุณไม่มีวันลืม ซึ่งการเดินทางไปประเทศอิตาลีนั้น เราจำเป็นต้องขอวีซ่าเชงเก้นก่อนออกเดินทาง โดยคุณสามารถดูวิธีการขอวีซ่าเชงเก้นได้ที่นี่ค่ะ: วิธีขอ วีซ่าเชงเก้น ไปเที่ยวยุโรป และการขอวีซ่าเชงเก้นทุกประเทศนั้น จะต้องมีการทำประกันการเดินทาง ที่มีวงเงินประกันไม่น้อยกว่า 30,000 ยูโรหรือประมาณ 1,500,000 บาท และต้องทำกับบริษัทประกันภัยที่สถานทูตให้การรับรองด้วย นอกจากนี้ประกันเดินทางเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวอิตาลีได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

และหากคุณซื้อประกันการเดินทาง Allianz Travel กรณีที่ยื่นวีซ่าไม่ผ่าน ก็สามารถทำเรื่องขอคืนเงินได้ ด้วยเหตุผลว่ายื่นวีซ่าไม่ผ่านค่ะ*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: lonelyplanet.com, catsninelives.com, earthtrekkers.com, whereandwander.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม สัมผัสดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองยอดนิยม ดินแดนแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ระดับโลก

อิตาลีเป็นประเทศที่กว้างใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย ตั้งแต่ยอดเขาแอลป์ทางตอนเหนือที่ปกคลุมด้วยหิมะ ไปจนถึงแสงแดดอบอุ่นของทางใต้ที่มีชีวิตชีวา ทุกภูมิภาคล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมที่ฝังรากลึก และอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย หากคุณมีเวลาจำกัดและไม่สามารถตระเวน เที่ยวอิตาลี ได้ทั่วประเทศได้ในทริปเดียว การเลือกว่าจะไปที่ไหนก่อนอาจกลายเป็นเรื่องหนักใจ เพราะอิตาลีเต็มไปด้วยจุดหมายที่น่าไปเยือนไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างโรม เวนิส หรือฟลอเรนซ์ ไปจนถึงเกาะเล็ก ๆ ริมชายฝั่งที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่างอิสเกีย หรือแหล่งท่องเที่ยวสุดตระการตาอย่างเกาะคาปรีและทะเลสาบโคโม

Allianz Travel รวบรวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลีที่เราคิดว่าดีที่สุดมาแบ่งปันกัน คุณสามารถเลือกวางแผนตามความสนใจ ไม่ว่าจะอยากสัมผัสบรรยากาศเมืองเก่า เดินเล่นริมทะเลสาบ หรือหลงใหลในศิลปะและอาหารท้องถิ่น มาดูกันว่าอิตาลีมีอะไรให้คุณหลงรักบ้าง!

1. โรม (Rome)

เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ เสน่ห์ไม่สิ้นสุดในอิตาลี

เที่ยวอิตาลี วิหารแพนธีออน (Pantheon)

วิหารแพนธีออน (Pantheon)

เที่ยวอิตาลี โรมันฟอรัม (Roman Forum)

โรมันฟอรัม (Roman Forum)

โรม เมืองหลวงของอิตาลีได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งเนินเขาทั้งเจ็ด” เป็นจุดหมายในฝันของใครหลายคนในการมา เที่ยวอิตาลี เมืองนี้ไม่ได้มีแค่ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีบรรยากาศสุดโรแมนติกและเสน่ห์ที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณมาถึง

การเดินเที่ยวในโรมเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ออกตาเวียน หรือ จูเลียส ซีซาร์ หรือ ฮาเดรียน เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างในยุคนั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิหารแพนธีออน (Pantheon) โรมันฟอรัม (Roman Forum) หรือโบสถ์เก่าแก่หลายแห่งที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง คนรักศิลปะต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งเต็มไปด้วยผลงานชิ้นเอกระดับโลก ส่วนสายกินก็บอกได้เลยว่า โรมคือสวรรค์ของนักชิม ไม่ว่าจะเป็นพาสต้ารสชาติแบบอิตาเลียนแท้ ๆ พิซซ่าหน้ากรอบ หรือไอศกรีมเจลาโตเนื้อเนียนละมุนลิ้นที่หาทานที่ไหนก็ไม่เหมือน

แม้โรมจะเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต แต่เมืองนี้ก็ยังมีความทันสมัยไม่แพ้ใคร ด้วยร้านแบรนด์หรูระดับโลก โรงแรมดีไซน์เท่ และร้านอาหารสุดชิคที่แฝงกลิ่นอายความคลาสสิกได้อย่างลงตัว โรมจึงเป็นเมืองที่รวมทั้งความเก่าและความใหม่ไว้อย่างกลมกลืน ถ้าคุณกำลังมองหาจุดหมายที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า วิวสวย อาหารอร่อย และแรงบันดาลใจ โรมคือเมืองที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

2. ฟลอเรนซ์ (Florence)

เมืองแห่งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และมนต์เสน่ห์ไม่รู้ลืม

ฟลอเรนซ์ (Florence)
เที่ยวอิตาลี ฟลอเรนซ์ (Florence)

ฟลอเรนซ์ มีชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนว่า Firenze เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเนินเขา พื้นที่อาจมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เต็มไปด้วยร่องรอยอันยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ ฟลอเรนซ์ คือแหล่งกำเนิดของยุคเรอเนซองซ์ เคยเป็นหนึ่งในนครที่ร่ำรวยที่สุดในยุคกลาง เป็นบ้านของตระกูลเมดิชีผู้ทรงอิทธิพล และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินชื่อก้องโลกอย่างมิเคลันเจโล (ไมเคิลแองเจโล) ผู้สร้างสรรค์รูปปั้น David และบรูเนลเลสกี (ผู้ออกแบบโดมของมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์) นอกจากนี้ แบรนด์แฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลีอย่าง Gucci, Salvatore Ferragamo, Emilio Pucci, stefano Ricci และ Roberto Cavalli ก็ถือกำเนิดที่นี่ด้วย

เสน่ห์ของฟลอเรนซ์ไม่ได้มีแค่ศิลปะเรอเนซองซ์เท่านั้น ยังมีพระอาทิตย์ตกแสนโรแมนติก อาหารอิตาเลียนแสนอร่อย และบรรยากาศละมุนที่ทำให้คุณตกหลุมรักได้ง่าย ๆ หากอยากสัมผัสเมืองนี้อย่างลึกซึ้ง แนะนำให้ลองเที่ยวกับไกด์ท้องถิ่น ที่จะพาคุณเปิดมุมมองใหม่ ๆ ของฟลอเรนซ์ และทำให้เวลาของคุณที่นี่คุ้มค่าอย่างที่สุด

3. เวนิส (Venice)

เมืองแห่งสายน้ำและมนต์เสน่ห์ที่ไม่มีที่ใดเหมือน

เที่ยวอิตาลี เวนิส (Venice)

เวนิส (Venice)

มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St. Mark’s Basilica)

เวนิส หรือเวเนเซีย (Venezia) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี เป็นเมืองที่มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย เมืองเวนิสสร้างขึ้นด้วยการเชื่อมต่อเกาะเล็ก ๆ กว่า 100 แห่งในทะเลสาบเวนิส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียติด ด้วยสะพานกว่า 400 แห่งและคลองกว่า 170 สาย ทำให้การเดินทางภายในเมืองนี้ต้องใช้เรือหรือเดินเท้าเป็นหลัก และที่นี่เป็นเมืองปลอดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

การเดินชมเมืองเวนิสคือการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น คุณต้องเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยแคบ ๆ เพื่อชมอาคารบ้านเรือนสไตล์โบราณ ร้านค้า ที่เที่ยวสำคัญต่าง ๆ โดยการข้ามสะพานเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกัน ถึงแม้ว่าคุณจะมีแผนที่ในมือ แต่ก็อาจไม่ได้ช่วยมากนัก ซึ่งการหลงทางเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเวนิส

พระราชวังดอจ (Doge's Palace)

พระราชวังดอจ (Doge’s Palace)

หอศิลป์ Gallerie dell'Accademia

หอศิลป์ Gallerie dell’Accademia

เวนิสมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St. Mark’s Basilica) พระราชวังดอจ (Doge’s Palace) หอศิลป์ Gallerie dell’Accademia ที่จัดแสดงผลงานของศิลปินชื่อดังอย่าง Titian และ Veronese และโรงละคร La Fenice ที่มีการแสดงโอเปราระดับโลก

หากคุณมีเวลา คุณควรเดินทางไปเที่ยวเกาะใกล้เคียงอย่างเกาะ Murano ที่มีชื่อเสียงด้านการเป่าแก้ว บ้านเรือนสีสันสดใสและงานลูกไม้ และเกาะ Lido ที่มีชายหาดสวยงาม ซึ่งการเดินทางไปยังเกาะเหล่านี้สามารถเดินทางได้โดยเรือ Vaporetto ซึ่งเป็นเรือโดยสารสาธารณะของเวนิส

เวนิสเป็นเมืองที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตหากเราได้มา เที่ยวอิตาลี ไม่ว่าคุณจะมาเพื่อสัมผัสบรรยากาศโรแมนติก ชื่นชมศิลปะและสถาปัตยกรรม หรือเพียงแค่เดินเล่นตามตรอกซอกซอยที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เวนิสจะมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับคุณเสมอ

4. ชิงเคว แตร์เร (Cinque Terre)

ดินแดนห้าหมู่บ้านริมผาชายฝั่งที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

ชิงเคว แตร์เร มีความหมายว่า “ดินแดนทั้งห้า” เป็นกลุ่มหมู่บ้านเล็ก ๆ สีพาสเทลหลากสีสันโดดเด่นสะดุดตา 5 แห่งที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งแคว้นลิกูเรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ประกอบด้วยหมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore) หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola) หมู่บ้านคอร์นีเลีย (Corniglia) หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza) และหมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare) นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต่างตกหลุมรักกับสถาปัตยกรรมของหมู่บ้านที่ออกแบบได้อย่างมีเอกลักษณ์ งดงาม เรียงตัวลดหลั่นไปตามไหล่เขาที่ทอดยาว ดูราวกับกำลังเดินอยู่ในดินแดนแห่งจินตนาการ  วิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านก็เรียบง่าย เนิบช้า คุณสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติ อาหารทะเลอร่อย ไร่องุ่น ไวน์และสวนมะกอก รวมถึงเส้นทางเดินเขาสุดตื่นตา ที่พาดผ่านหน้าผาและชายฝั่งทะเลที่สวยเกินจะบรรยาย

หมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore)

หมู่บ้านริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore)

หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola)

หมู่บ้านมานาโรลา (Manarola)

หมู่บ้านคอร์นีเลีย (Corniglia)

หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza)

หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza)

หมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare)

หมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare)

ปัจจุบันหมู่บ้านทั้งห้าเชื่อมถึงกันด้วยเส้นทางรถไฟ และกลายเป็นอุทยานแห่งชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะทิวทัศน์ที่นี่สวยราวกับภาพวาด

แม้คุณจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการเที่ยวชิวเคว แตร์เร จนทั่ว แต่หลายคนก็มักแวะมาที่นี่เพื่อพักผ่อน หลังจากตะลุยเที่ยวเมืองใหญ่ ๆ อย่างโรมหรือฟลอเรนซ์ ที่เต็มไปด้วยผู้คนและชมงานศิลปะแบบเข้มข้น

ถ้าไม่อยากยุ่งยากเรื่องการเดินทาง ที่นี่ก็มีทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับจากเมืองใกล้เคียงให้เลือกมากมาย ถือเป็นตัวเลือกที่สะดวกมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด แต่ก็ไม่อยากพลาดประสบการณ์สุดพิเศษของชายฝั่งอิตาลีแห่งนี้

5. ชายฝั่งอมาลฟี่ (Amalfi Coast)

สวรรค์ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยเกินห้ามใจ

ชายฝั่งอมาลฟี เป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาวไปตามอ่าว Salerno บนทะเล Tyrrhenian ตั้งอยู่ในแคว้นกัมปาเนีย อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ครอบคลุมระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยเมืองต่าง ๆ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง มีสีสันสดใสและเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ บริเวณนี้ยังมีธรรมชาติที่หลากหลาย และเต็มไปด้วยภูเขาริมทะเลสูงชัน หมู่บ้านสีสันสดใสที่เกาะอยู่ตามหน้าผา และท้องทะเลสีเทอร์ควอยซ์ที่งดงามราวภาพวาด เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทาง เที่ยวอิตาลี ที่ตราตรึงใจมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ชายฝั่งอมาลฟี ได้รับการขึ้นทะเบียนขาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก

ชายฝั่งอมาลฟี่ (Amalfi Coast)

แค่ได้เห็นภาพแรกของชายฝั่งอมาลฟี Amalfi Coast ก็อาจทำให้คุณรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่บนสวรรค์ และนี่แหละคือมนต์เสน่ห์ของชายฝั่งอิตาลีแห่งนี้ ที่ทำให้ผู้คนกว่า 5 ล้านคนต่อปีหลั่งไหลกันมาสัมผัสความงดงามไม่รู้ลืม

หมู่บ้านริมชายฝั่งทั้งหมด 13 แห่งถูกเชื่อมต่อด้วยทางหลวงหมายเลข SS163 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในโลก แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป:

  • โพสิตาโน (Positano): หมู่บ้านสีพาสเทลสุดโรแมนติกที่ดึงดูดเหล่าเซเลบและนักเดินทางผู้รักความหรูหรา ด้วยรีสอร์ทริมผาสุดอลังการและร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียม
  • อมาลฟี (Amalfi): เมืองท่าเก่าแก่ที่สุดของอิตาลี ที่เคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางทะเลในอดีต
  • ราวิลโล (Ravello): เมืองเล็กบนไหล่เขาที่เหมาะสำหรับคนชอบวิวตระการตา วิลล่าโบราณ และบรรยากาศเงียบสงบที่แสนพิเศษ
  • ปราอาโน (Praiano): สวรรค์ของคนรักทะเล ที่ชายหาดยังคงสงบเงียบและเป็นส่วนตัว
  • มิโนริ (Minori): จุดหมายของสายกิน เพราะที่นี่คือบ้านของพาสต้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
  • เชตารา (Cetara): เมืองชาวประมงเล็ก ๆ ที่คุณสามารถแวะชมป้อมปราการยุคโบราณ ซึ่งตามตำนานว่าก่อตั้งโดยเฮอร์คิวลิสเอง!
โพสิตาโน (Positano)

โพสิตาโน (Positano)

ราวิลโล (Ravello)

ปราอาโน (Praiano)

ปราอาโน (Praiano)

เชตารา (Cetara)

เชตารา (Cetara)

ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินทางผ่านชายฝั่งอมาลฟีด้วยวิธีใด จะขับรถ วิ่งเส้นทางเลียบเขา หรือแวะพักตามหมู่บ้านต่าง ๆ รับรองได้ว่าความงามของที่นี่จะติดตรึงอยู่ในใจคุณไปอีกนานแสนนาน

6. ซิซิลี (Sicily)

มรดกแห่งเกาะทางใต้ ตำนานมาเฟียแห่งอิตาลี

ซิซิลี ดินแดนที่อบอวลไปด้วยตำนานเทพเจ้ากรีกโบราณ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี ล้อมรอบด้วยทะเลไทร์เรเนียน เมดิเตอร์เรเนียน และไอโอเนียน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี และเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม เนื่องจากเคยถูกปกครองโดยมหาอำนาจสมัยโบราณหลายชนชาติ ทั้งกรีก โรมัน อาหรับ นอร์แมน เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน ซึ่งสะท้อนผ่านโบสถ์ วิหาร และแหล่งโบราณคดีที่กระจายอยู่ทั่วเกาะ นอกจากนั้น ซิซิลียังมีความสวยงามทางธรรมชาติ และยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและสูงที่สุดในยุโรป ล้วนเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก

ซิซิลี (Sicily)

ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna)

ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna)

เที่ยวอิตาลี ซิซิลี (Sicily)

ฤดูร้อนที่นี่เหมาะสำหรับการปีนเขาเพื่อชมวิวจากยอดเอตนา ส่วนฤดูหนาวก็สามารถเล่นสกีบนลานหิมะที่ปกคลุมภูเขาไฟได้อย่างน่าตื่นเต้น ลองจินตนาการถึงเกาะเขตร้อนที่มีคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งทรายอย่างอ่อนโยน แสงแดดส่องประกายบนผิวน้ำทะเลที่ระยิบระยับ และภูเขาไฟที่พ่นไอน้ำอยู่ไกล ๆ เพิ่มความงดงามด้วยเนินเขาเขียวขจีที่มีซากปรักหักพังจากยุคโบราณ และอย่าลืมลิ้มรสอาหารทะเลสดใหม่ พาสต้าแสนอร่อย และของหวานที่หรูหรา ทั้งหมดนี้คือซิซิลีสวรรค์ที่อบอุ่นและผ่อนคลาย พร้อมด้วยวิถีชีวิตแบบอิตาเลียนที่เน้นอาหารและความรักในชีวิต เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารอิตาเลียนแท้ ๆ ในบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่วุ่นวาย

7. ทัสคานี (Tuscany)

ดินแดนที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณ เพชรเม็ดงามแห่งอิตาลี

ทัสคานี แคว้นขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในอิตาลี เป็นถิ่นกำเนิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา อารยธรรมโบราณของชาวอิทรูเรีย เมืองเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ทุ่งหญ้าที่กว้างไกล สุดลูกหู ลูกตา ต้นไซเปรสที่เรียงรายอย่างสง่างาม เนินเขาที่ทอดยาว และไร่องุ่นที่กว้างใหญ่ ที่นี่คือสวรรค์สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง เวลาที่นี่ดูเหมือนจะเดินช้าลง และไม่มีวิธีใดจะผ่อนคลายไปกว่าการจิบไวน์หรือรับประทานญ็อกกีโฮมเมดใต้แสงแดดของทัสคานี

ซานจิมิญาโน (San Gimignano)

ซานจิมิญาโน (San Gimignano)

ปิซา (Pisa)

ชนบทของทัสคานีมอบทิวทัศน์ที่งดงามให้กับนักเดินทาง พร้อมด้วยวิลล่าและปราสาทที่โรแมนติก ซึ่งมักจะมีโรงบ่มไวน์และร้านอาหารชั้นเลิศอยู่ภายใน อย่าพลาดการเยือนเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบอย่างซานจิมิญาโน (San Gimignano) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เมืองนี้มีชื่อเสียงจากหอคอยยุคกลางที่ยังคงรักษาไว้ได้อย่างดี นอกจากนี้ เมืองต่างๆ ในทัสคานี เช่น ปิซา (Pisa) ซึ่งมีมากกว่าเพียงแค่หอเอน และเซียนา (Siena) ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างโบโลญญา (Bologna) และชิงเกวแตร์เร (Cinque Terre) เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป

ทัสคานีคือดินแดนที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารอิตาเลียนอย่างลงตัว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักชิม นักประวัติศาสตร์ หรือเพียงแค่มองหาสถานที่พักผ่อน ทัสคานีก็พร้อมต้อนรับคุณด้วยอ้อมแขนที่อบอุ่นและทิวทัศน์ที่งดงามเกินบรรยาย

8. ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

สัมผัสกับความหรูหราหรือเรียบง่ายที่คุณเลือกได้

เกาะซาร์ดิเนียเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลี ตั้งอยู่ทางตะวันตกของแผ่นดินอิตาลี ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยพื้นที่กว่า 24,000 ตารางกิโลเมตร คุณจะได้พบกับชายหาดขาวละเอียดที่งดงาม น้ำทะเลสีมรกต และอ่าวเล็กอ่าวน้อยที่โอบล้อมด้วยเรือยอร์ชสุดหรู ไปจนถึงชีวิตเรียบง่ายในหมู่บ้านยุคกลาง ที่ชาวซาร์ดิเนียยังคงเลี้ยงแกะตามประเพณี สวมชุดพื้นเมือง และรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้

นอกจากชายฝั่งสุดเพอร์เฟ็กต์แล้ว คุณยังจะได้พบซากปรักหักพังยุคโบราณอย่าง Su Nuraxi di Barumini ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก สะท้อนภาพอดีตอันลึกลับของชาวนูราชิที่สร้างโครงสร้างหินล้อมรอบตัวเมือง

ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

Su Nuraxi di Barumini

Su Nuraxi di Barumini

คุณจะได้เพลิดเพลินกับอาหารและไวน์อิตาลีที่ดีที่สุด สำรวจวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย ตั้งแต่พาสต้าโฮมเมดสไตล์ซาร์ดิเนีย อาหารทะเลสด จับคู่กับไวน์พื้นเมือง จากนั้นออกผจญภัยดำน้ำตื้นดูฝูงปลาสีสันสดใส หรือขับรถลัดเลาะเข้าไปในใจกลางเกาะ สัมผัสหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีฟาร์มแกะ บ้านเรือนสีขาว และภูเขาสีเขียวทอดตัวสุดลูกหูลูกตา

ไม่ว่าคุณจะมองหาความหรูหราแบบราชวงศ์ หรือความเรียบง่ายแบบชนบท ซาร์ดิเนียพร้อมมอบประสบการณ์ที่คุณจะจำไม่ลืมแน่นอนค่ะ!

9. คาปรี (Capri)

เกาะในฝัน…สวรรค์ริมอ่าวเนเปิลส์

เกาะคาปรี ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของอิตาลี เปรียบเสมือนเกาะสวรรค์ของอิตาลี ที่มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม อาหารอร่อย และความน่าสนใจของเมือง ตลอดหลายศตวรรษ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดหรู และที่พักตากอากาศ ที่ทั้งมหาเศรษฐี ดารา นักการเมือง และเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังมักจะแวะมาพักผ่อน ด้วยทิวทัศน์สุดประทับใจและความโรแมนติกที่ไม่เหมือนใคร คุณจะได้เห็นแสงอาทิตย์สาดกระทบผืนน้ำจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มดุจอัญมณี ทุกช่วงเวลาบนผืนน้ำรอบเกาะคาปรีล้วนช่างอัศจรรย์

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีแสงแดดอุ่น ๆ เกือบทั้งปี และที่สำคัญ เกาะคาปรียังมีชื่อมานานว่าเป็นบ้านของไวน์รสเลิศและอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนรสหรู เหล่านี้คือส่วนผสมที่ทำให้เกาะสวรรค์แห่งนี้มีผู้มาเยือนมากมาย

หากคุณมาเยือนคาปรีในฤดูกาลแห่งปาร์ตี้ คุณจะได้เห็นบรรดาคนดังสวมใส่ชุดหรู ๆ ของดีไซเนอร์เบอร์ต้น ๆ ของโลกมาประชันกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรแปลกใจที่ย่านดาวน์ทาวน์ของเกาะแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของร้านสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูอยู่มากมาย และความหรูของคาปรีอีกอย่างหนึ่งก็คือโรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในที่สุดของยุโรปตั้งอยู่ที่นี่ นั่นก็คือ โรงแรมลา สกาลินาเตลลา (Hotel La Scalinatella) ที่ขึ้นชื่อทั้งความหรูหราและบรรยากาศแสนโรแมนติก 

ดั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะมาแค่วันเดียวหรือค้างคืนหลายคืน คาปรีก็พร้อมมอบเสน่ห์ที่คุณจะหลงรัก ตั้งแต่ความเงียบสงบไปจนถึงความหรูหราระดับห้าดาว ที่ทำให้คุณต้องอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง

10. มิลาน (Milan)

เดินชิล ช้อปปิ้ง จิบกาแฟ ในเมืองแฟชั่นระดับโลก

มิลาน หรือ Milano ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอิตาลี เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า นิทรรศการใหญ่ ๆ ประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และได้ชื่อว่าเป็นเมืองผู้นำแฟชั่นระดับแนวหน้าของโลก ที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางธุรกิจแฟชั่นที่มีความทันสมัยไม่แพ้เมืองปารีส และนิวยอร์ก ถ้าพูดถึง ‘มิลาน’ คุณจะนึกถึงรันเวย์แฟชั่น โชว์สุดหรู และแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Giorgio Armani, Prada, Versace ซึ่งมีบทบาทสำคัญใน Milan Fashion Week ที่จัดขึ้นทุกปี แต่เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องแฟชั่นเท่านั้น มิลานยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม ตั้งแต่ มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano) สไตล์โกธิกที่อลังการ ไปจนถึง Teatro alla Scala โรงโอเปราระดับโลก และ Castello Sforzesco ปราสาทยุคเรเนอซองส์ที่ภายในมีพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการอีกกว่า 10 แห่ง

มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano)

มหาวิหารดูโอโม (Duomo di Milano)

โรงโอเปราระดับโลก Teatro alla Scala

ปราสาทยุคเรเนอซองส์ Castello Sforzesco

มิลานเป็นเมืองที่เดินเที่ยวได้ง่าย คุณจะเพลิดเพลินกับแหล่งช้อปปิ้งสุดหรูที่ตกแต่งอย่างสวยงาม จิบกาแฟอิตาเลียนแท้  หรือแวะกินขนม biscotti และ cappuccino ริมทาง

ไม่ว่าคุณจะมามิลานเพื่อแฟชั่น ศิลปะ กีฬา หรือแค่เดินเล่นชิล ๆ เมืองนี้ก็พร้อมมอบประสบการณ์หลากอารมณ์ที่คุณจะประทับใจไม่รู้ลืมค่ะ!

หากคุณหลงใหลในประวัติศาสตร์ ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนแท้ อยากพักผ่อนริมทะเล หรือใฝ่ฝันจะเดินเล่นในเมืองเก่า อิตาลีก็มีสถานที่ที่ตอบโจทย์คุณเสมอ วางแผนการเดินทางให้ดี แล้วออกไปสัมผัสเสน่ห์ของอิตาลีในแบบที่คุณชอบกันเลยค่ะ และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณเที่ยวอิตาลีได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก: travel.usnews.com, audleytravel.com, guidester.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel