ถ้าพูดถึงประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เก่าแก่และมนต์ขลังแห่งอารยธรรมโบราณ การเดินทาง เที่ยวอียิปต์ คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางทั่วโลก ที่นี่คือดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณที่สั่งสมมานานกว่า 5,000 ปี ทั้งพีระมิด มัมมี่ สุสานฟาโรห์ แม่น้ำไนล์และเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของเหล่าฟาโรห์ที่รอให้คุณไปสัมผัสด้วยตาตัวเอง วันนี้ Allianz ได้รวม 5 พิกัดเมืองในอียิปต์และสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณห้ามพลาด มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ
1. ไคโร (Cairo)
เริ่มจากเมืองหลวงของอียิปต์ เมืองไคโรเป็นเมืองที่พลุกพล่าน เสียงดัง มีเสน่ห์ในแบบที่น่าจดจำ และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในอียิปต์ คุณสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรม ศาสนา สถาปัตยกรรม อาหาร และดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์นับศตวรรษของอียิปต์ได้เพียงแค่เดินไปตามถนนในเมือง
กลุ่มพีระมิดกีซา (Giza pyramid complex)

หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) อีกด้วย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 4,500 ปีก่อน ในสมัยฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ประกอบด้วยพีระมิดสามหลัง ได้แก่ มหาพีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramid of Giza) พีระมิดคาเฟร (Pyramid of Khafre) และพีระมิดเมนคาวเร (Pyramid of Menkaure) รวมถึงมหาสฟิงซ์แห่งกีซา (Great Sphinx of Giza) และพีระมิดขนาดเล็กอื่นๆ
เวลาเปิด-ปิด: 06.00 – 16.00 น.
เว็บไซต์: https://www.pyramid-of-giza.com
พิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ (Grand Egyptian Museum)

พิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ห่างจากพีระมิดแห่งกิซ่าเพียง 2 กิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่จัดนิทรรศการถาวรขนาด 24,000 ตร.ม. และจัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่าทางประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 100,000 ชิ้น โดยหลายชิ้นถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรก บอกเล่าเรื่องราวอารยธรรมอียิปต์โบราณยุคต่างๆ ที่ผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่และสื่อมัลติมีเดียในการนำเสนออย่างน่าสนใจ

เวลาเปิด-ปิด:
ทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์และวันพุธ
- GEM Complex: 8:30 – 19:00 น.
- แกลเลอรี: 9:00 – 18:00 น.
ซื้อตั๋วรอบสุดท้าย: 17:00 น.
วันเสาร์และวันพุธ
- GEM Complex: 8:30 – 22:00 น.
- แกลเลอรี: 9:00 – 21:00 น.
- ซื้อตั๋วรอบสุดท้าย: 20:00 น.
เว็บไซต์: https://gem.eg
ตลาดข่านเอลคาลิลี (Khan el-Khalili)

ตลาดขนาดใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายศตวรรษ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1382 เป็นสถานที่ที่ต้องไปเยือนสำหรับใครก็ตามที่มาเมืองหลวงของอียิปต์ ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง มีร้านค้ามากกว่า 4,000 ร้านกระจายอยู่ทั่วตรอกซอกซอยอันคดเคี้ยว ทีขายตั้งแต่ของที่ระลึกแบบดั้งเดิม ผ้าทอ เครื่องประดับ ไปจนถึงเครื่องเทศและงานฝีมือท้องถิ่น นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีอะไรให้สัมผัสอีกมากมาย ทั้งการชมผู้คน ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และลิ้มลองอาหารรสเลิศ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของอียิปต์อีกด้วย
เวลาเปิด-ปิด: วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ 9:30 – 23:00 น. (หากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันพิเศษ เช่น วันอีด (Eid) และวันรอมฎอน (Ramadan) อาจมีการปรับเปลี่ยนเวลาทำการ)
เว็บไซต์: https://khanelkhalilicairo.com
2. ลักซอร์ (Luxor)
เมืองท่องเที่ยวสำคัญของอียิปต์ตอนบน (Upper Egypt) ซึ่งหมายถึงบริเวณทางตอนใต้ของประเทศ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในอดีตนั้นลักซอร์เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวกรีกในชื่อว่า ‘ธีบส์’ (Thebes) และเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอียิปต์ในยุคใหม่ (New Kingdom) หรือในช่วงระหว่างปี 1570 และ 1544 ก่อนคริสตกาลซึ่งเป็นยุคของราชวงศ์ที่ 18-20 ส่วนหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่จึงอยู่ที่บรรดาวิหารที่เหล่าฟาโรห์สร้างขึ้นบูชาเทพเจ้าที่ตนเองนับถือ รวมถึงสุสานของของเหล่าฟาโรห์และราชินีในหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) และหุบเขาราชินี (Valley of the Queens)
หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings)

ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ มีชื่อเสียงขึ้นมาหลังจากการค้นพบสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน (Tomb of Tutankhamun) และยังถือเป็นหนึ่งในสถานที่โบราณคดีที่โด่งดังที่สุดในโลก ปัจจุบัน นักโบราณคดีขุดพบสุสานฟาโรห์และขุนนางในหุบเขากษัตริย์นี้ได้มากมายถึง 63 สุสาน และยังคงขุดหากันต่อไป ไฮไลท์ของหุบเขาแห่งกษัตริย์ คือสุสานที่ตกแต่งอย่างประณีตและสวยงามซึ่งสร้างขึ้นสำหรับฟาโรห์ และได้รับการออกแบบมาให้เป็นที่ซ่อนและได้รับการปกป้องอย่างดี โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องพระศพและสมบัติของฟาโรห์สำหรับชีวิตหลังความตาย ในขณะที่หุบเขาแห่งนี้เคยมีการปล้นสะดมบ้างในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่สุสานหลายแห่งยังคงมีโบราณวัตถุที่น่าสนใจและภาพวาดฝาผนังอันงดงาม ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม และชีวิตประจำวันของชาวอียิปต์โบราณ
หุบผาราชินี (Valley of the Queens)

เป็นสถานที่ฝังพระศพของพระราชินีและพระราชวงศ์ผู้หญิง ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองลักซอร์ สุสานส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กและไม่อลังการเท่าสุสานกษัตริย์ และสุสานที่เป็นรู้จักกันดีคือหลุมฝังศพของพระนางเนเฟอร์ทารี (Nefetari) พระราชินีผู้เป็นที่รักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกด้านศิลปะ มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีสีสันสดใสและงดงาม ได้รับการขนานนามว่าเป็น “โบสถ์น้อยซิสทีนแห่งอียิปต์โบราณ”
วิหารพระนางฮัตเชปซุต (Temple of Hatshepsut)

อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมสุดอลังการของยุคอียิปต์โบราณอายุเกกว่า 3,500 ปี ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหุบเขา เป็นที่ประดิษฐานพระศพของฟาโรห์หญิง “ฮัตเชฟซุต” ฟาโรห์หญิงองค์เดียวในประวัติศาสตร์อียิปต์ที่รุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต เป็นสตรีที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกยุคนั้น และทรงความสามารถด้านการปกครองยิ่งกว่าฟาโรห์บุรุษส่วนมาก ทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองและแสดงความเป็นผู้นำจนข้าราชสำนักต่างประจักษ์ในความสามารถ
วิหารคาร์นัค (Karnak)


ที่ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความโดดเด่นของวิหารคาร์นัคนั้นอยู่ที่รูปปั้นสฟิงซ์หัวแกะ ที่หมอบเรียงรายอยู่หน้าวิหารจนเข้าไปถึงด้านใน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของเทพเจ้า วิหารแห่งนี้มีฟาโรห์ถึง 30 พระองค์ร่วมกันก่อสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า เป็นศูนย์รวมความเชื่อ ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวอียิปต์โบราณ และเป็นร่องรอยความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติที่ควรไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
3. เมืองอัสวาน (Aswan)

เมืองอัสวานเป็นเมืองทางตอนใต้สุดของประเทศอียิปต์ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ ซึ่งมีทัศนียภาพโดยรอบสวยงาม เนื่องจากเป็นแม่น้ำไนล์ช่วงที่ผ่านเมืองอัสวานนี้เป็นหมู่เกาะแก่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ทำให้เมืองอัสวานนั้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญมากเมืองหนึ่งของประเทศอียิปต์ และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นอีกเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย นอกจากสภาพแวดล้อมของเมืองที่น่าอยู่แล้ว เมืองนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอารยธรรมนูเบีย แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังมีแหล่งอารยธรรมแอฟริกาโบราณที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และยังเป็นรากฐานสำคัญของอาณาจักรต่างๆ ในแอฟริกา อีกหลายอาณาจักร อย่างเช่น อาณาจักรนูเบีย (Ancient Nubia) มหาอาณาจักรแห่งอาฟริกาเหนือ ตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันคือดินแดนตอนใต้ของอียิปต์ไปจนถึงตอนเหนือของประเทศซูดาน
วิหารฟิเล (Philae Temple หรือ Temple of Isis)


เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพีไอซิส มีความสําคัญและงดงามมาก ในอดีตวิหารนี้เคยถูกสร้างขึ้นบนเกาะฟิเลกลางแม่น้ำไนล์ แต่เมื่อเขื่อนอัสวานสร้างเสร็จ วิหารทั้งวิหารก็จมอยู่ใต้ระดับน้ำ หลังจากนั้นได้มีการแยกส่วนวิหารฟิเลย์ แล้วทำการเคลื่อนย้ายมาประกอบใหม่ที่เกาะอากิลเกียโดยอยู่สูงกว่าระดับน้ำ 20 เมตร หมู่วิหารฟิเล่ยังโดดเด่นในเรื่องปรากฎการณ์ของแสงและเงาอันเป็นผลมาจากตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับทรอปิกออฟแคนเซอร์ (จุดเหนือสุดที่มีโอกาสดวงอาทิตย์โคจรมาทำแนววดิ่งกับพื้นโลก) เมื่อดวงอาทิตย์เข้าใกล้จุดทำแนวดิ่งกับพื้นโลกด้านเหนือ เงาจากชายคาวิหารที่ยื่นออกมาจะสั้นลงทอดเงาตามพื้นผิวเรียบของผนัง จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุด ผนังแนวตั้งก็มีเงาดำแผ่ขยายกว้างขึ้น ทำให้ตัดกันอย่างโดดเด่นกับแสงซึ่งส่องสว่างวัตถุรอบข้างทั้งหมดอย่างเด่นชัด
พิพิธภัณฑ์นูเบีย (Nubia Museum)
เปิดทำการในปี พ.ศ. 2540 จัดแสดงโบราณวัตถุที่พบในภูมิภาคนูเบีย และบอกเล่าเรื่องราวพัฒนาการของอารยธรรมในหุบเขาไนล์ตอนใต้ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคฟาโรห์ การกำเนิดของศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม และท้ายที่สุดคือการสร้างเขื่อนในช่วงทศวรรษ 1960 พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ใกล้กับสุสานฟาฏิมียะห์ (Fatimid) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานขนาดเล็กจำนวนมากที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 9 สุสานบางแห่งเป็นของนักบุญท้องถิ่น และตกแต่งตามลวดลายธงประจำชาติ และมักมีชาวบ้านท้องถิ่นมาเยี่ยมชม
หมู่บ้านนูเบียน (Nubian Village)

คำว่าNubia หรือ Nubians หมายถึงทองคำ เป็นคำที่ชาวโรมันเรียกพื้นที่ทางใต้ของอียิปต์ซึ่งเป็นทางเหนือของซูดาน ชาวนูเบียนเป็นกลุ่มชาติพันธ์กลุ่มน้อยที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศซูดานและทางใต้ของอียิปต์ แต่เดิมมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคกลางของลุ่มแม่น้ำไนล์ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานก่อนกำเนิดราชวงศ์อียิปต์ หมู่บ้านนูเบียนในเมืองอัสวานมีความมั่งคั่งและอุดมไปด้วยประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ วัฒนธรรม และความสนุกสนาน เป็นเมืองที่โดดเด่นมีความผสมผสานระหว่างความทันสมัยและอารยธรรมโบราณ ที่สามารถสำรวจและเยี่ยมชมความแตกต่างที่น่าสนใจอย่างหลากหลายทีเดียว บ้านในหมู่บ้านนูเบียนสร้างจากดินเหนียวแล้วแต่งแต้มสีสัน เป็นเหมือนศูนย์วัฒนธรรมสำหรับนูเบียน ผู้คนที่นี่มีความภาคภูมิใจในมรดกของพวกเขา มีการจัดแสดงของที่ระลึกและงานฝีมือที่ไม่เหมือนใคร
วิหารคอมออมโบ (Kom Ombo)

ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์บนเนินเขาเล็กๆ เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศให้กับเทพเจ้าสององค์คือ เทพโซเบค (Sobek) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่เศียรเป็นจระเข้ และเทพเจ้าฮาโรเอริส (Haroeris) เทพแห่งการแพทย์อียิปต์โบราณ ที่มีเศียรเป็นเหยี่ยว สร้างขึ้นภายใต้พระเจ้าปโตเลมีที่ 6 แห่งราชวงศ์ทอเลมีในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช วิหารคอมออมโบมีความน่าประทับใจและมีสิ่งให้ชมมากมาย รวมถึงงานแกะสลักทางศาสนาต่างๆ ตลอดจนภาพเล่าเหตุการณ์ประจำวัน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ งานฝีมือและอักษรอียิปต์โบราณบนเสา และชมมัมมี่จระเข้ในพิพิธภัณฑ์จระเข้ขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กัน
วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temples)


สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ไม่แพ้พีระมิด มหาวิหารอาบูซิมเบล ถูกสร้างขึ้นในสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของอียิปต์จากการสู้รบกับนูเบีย ใช้เวลาในการสร้างถึง 20 ปี ต่อมามหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกปล่อยให้รกร้าง และทรายปกคลุมจนกระทั่งในปี 1813 มีการค้นพบส่วนบนของมหาวิหารแห่งนี้ และใช้เวลาขุดถึง 3 ปีจึงสามารถเข้าไปภายในได้และพบสิ่งของมีค่ามากมายอยู่ภายใน จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือ รูปแกะสลักองค์ฟาโรห์รามเลส ที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์หน้าวิหารถึงสี่องค์ แต่ละองค์มีความสูง 20 เมตร ต่อมาในปี 1964 ได้มีการเคลื่อนย้ายมหาวิหารเนื่องจากเป็นผลมาจากการสร้างเขื่อนอัสวาน ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบนัสเซอร์สูงขึ้น จึงมีการเคลื่อนย้ายเพื่อหนีน้ำ ถูกยกสูงขึ้นถึง 65 เมตร และห่างจากแม่น้ำ 200 เมตร โดยมีองค์กรยูเนสโก้ให้ความช่วยเหลือใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
4. เมืองอเล็กซานเตรีย (Alexandria)

อเล็กซานเดรียเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอียิปต์ เป็นจุดที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์มาบรรจบกับทะเลทรายและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อเล็กซานเดรียก่อตั้งในปี 331 ก่อนคริสตกาล และเคยเป็นเมืองหลวงของอียิปต์ในยุคเฮลเลนิสติก เมืองนี้พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิโรมัน เป็นที่ตั้งของห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และประภาคารที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อเล็กซานเดรียเชื่อมโยงอารยธรรมอียิปต์โบราณของฟาโรห์เข้ากับอารยธรรมของชาวโรมันและกรีก บุคคลสำคัญที่สุดที่อาศัยอยู่ในอเล็กซานเดรียคือพระราชินีคลีโอพัตรา ผู้ทรงมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับผู้ปกครองจักรวรรดิโรมัน ปัจจุบันอเล็กซานเดรียเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอียิปต์ และด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและเคยเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ทำให้อเล็กซานเดรียมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลายแห่ง
ป้อมไกต์เบย์ (Fort Qaitbey)

สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 บนพื้นที่ของประภาคารอเล็กซานเดรียโบราณ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่เสียหายจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 14 ป้อมปราการแห่งนี้ได้ช่วยปกป้องอเล็กซานเดรียและชายฝั่งทะเลของอียิปต์จากกองทัพศัตรูมากว่า 500 ปี ในศตวรรษที่ 20 ป้อมไกต์เบย์ได้รับการบูรณะและกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจป้อมปราการและนิทรรศการต่างๆ ซึ่งจัดแสดงประวัติศาสตร์ของอเล็กซานเดรียและบทบาทของป้อมปราการในการป้องกันเมือง และหากคุณขึ้นไปด้านบนสุดของป้อมปราการ คุณจะได้ชมทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลและตัวเมืองได้อย่างชัดเจน
ตลาดปลาอันฟูชิ (Anfushi fish market)
ตลาดปลาในอเล็กซานเดรียมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ย้อนกลับไปถึงการก่อตั้งเมืองโบราณโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นแหล่งอาหารสำคัญของเมืองมานานหลายศตวรรษ และเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของอเล็กซานเดรีย ตลาดอันฟูชิตั้งอยู่ติดกับป้อมเควตเบย์ เป็นตลาดเปิดที่คึกคักที่สุดในช่วงเช้าตรู่ของวัน เป็นช่วงเวลาที่ชาวประมงนำปลาที่จับได้ออกมาขาย ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นของอเล็กซานเดรีย คุณสามารถสังเกตชีวิตประจำวันของชาวประมงและพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่น การจะถ่ายทอดบรรยากาศที่แท้จริงและวุ่นวายออกมาเป็นคำพูดนั้นเป็นเรื่องยาก ตั้งแต่เสียงอึกทึกของฝูงชน ไปจนถึงกองปลาหลากหลายชนิดที่สดสะอาด และเสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ค้าที่คอยดึงดูดลูกค้า
ห้องสมุดอเล็กซานเดรีย (Bibliotheca Alexandrina)

เมื่อสองพันปีก่อน อียิปต์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้อันดับต้นๆ ของโลก และเมืองอเล็กซานเดรียเคยเป็นที่ตั้งของห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีหนังสือมีค่าจำนวนมหาศาล แต่น่าเสียดายที่ห้องสมุดดังกล่าวถูกทำลายลงในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่ 3 ปัจจุบัน รัฐบาลอียิปต์พยายามฟื้นคืนห้องสมุดอเล็กซานเดรียระดับตำนานให้ปรากฎต่อสายตาคนทั้งโลกอีกครั้ง โดยอาคารขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง ท้องฟ้าจำลอง และหนังสือมากมายนับล้านเล่มจากทั่วทุกมุมโลก ห้องอ่านหนังสือหลักของห้องสมุดสามารถรองรับผู้อ่านได้มากกว่า 2,000 คน ห้องนี้ออกแบบในรูปทรงนาฬิกาแดดและมีหลังคากระจกที่ช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่
เสาปอมเปย์ (Pompeys Pillar)

เสาหินเกาแก่อายุกว่า 1,800 ปีที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 3 เพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดิไดโอคลีเชียนแห่งโรมัน (Roman emperor Diocletian) ด้วยความสูง 20.46 เมตร และกว่าง 2.71 เมตร ถือว่าเป็นเสาหินแบบโรมันที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ในอดีตเสาหินนี้เคยเป็นส่วนประกอบของมหาวิหารเซราพิอุมแห่งอเล็กซานเดรีย (Serapeum of Alexandria) เป็นวิหารกรีกที่ใหญ่ที่สุดในอเล็กซานเดรีย สร้างขึ้นราว 220 ปีก่อนคริสตกาล และอุทิศให้กับเทพีเซราพิสผู้ปกป้องอเล็กซานเดรีย เป็นเรื่องแปลกที่เสาหินต้นนี้ยังเหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ ในขณะที่ส่วนอื่นถูกทำลายไปจนหมดแล้ว
สุสานใต้ดินแห่งคอมอัลชูกัฟฟา (Catacombs of Kom El Shoqafa)

5. เมืองโอเอซิสซีวา (Siwa Oasis)

ตั้งอยู่ในทะเลทรายตะวันตก (Western Desert) ของอียิปต์ อยู่ห่างจากพรมแดนลิเบีย (Libya) ไปทางตะวันออกประมาณ 50 กิโลเมตร นับเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความโดดเดี่ยวที่สุดในประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายลิเบีย (Libyan Desert) ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นแหล่งโอเอซิสที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกเทศบนเส้นทางการค้าในทะเลทรายมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวเมืองล้อมรอบด้วยต้นไม้โดยเฉพาะต้นปาล์มและต้นมะกอกที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่และแหล่งน้ำพุธรรมชาติอยู่ในเมืองอีกด้วย เมืองซีวาเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างจากอิฐโคลนตั้งอยู่เรียงราย ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่น่าสนใจของชุมชนโอเอซิสแห่งนี้ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมมาชื่นชมความงดงามของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์กลางทะเลทรายและศึกษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวเบอร์เบอร์ ชนพื้นเมืองของที่นี่รวมถึงมีกิจกรรมภายในโอเอซิสให้ทำอีกมากมาย เช่น ปั่นจักรยาน ล่องเรือชมวิว เล่นแซนด์บอร์ดในทะเลทราย ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกลับขอบทะเลทราย และลงว่ายน้ำในแหล่งน้ำพุธรรมชาติภายในโอเอซิส
ป้อมปราการชาลี (Fortress of Shali)

ศูนย์กลางเมืองซีวาโดดเด่นด้วยรูปทรงอันวิจิตรงดงามของซากป้อมปราการอิฐโคลนสมัยศตวรรษที่ 13 แห่งนี้ ป้อมปราการชาลีสร้างขึ้นจากเคอร์เชฟ (Kershef – ก้อนเกลือจากทะเลสาบที่อยู่นอกเมือง ผสมกับหินและฉาบปูนด้วยดินเหนียวในท้องถิ่น) เดิมทีอาคารที่เรียงรายเป็นเขาวงกตนี้สูงสี่หรือห้าชั้น และเป็นที่พักอาศัยของผู้คนหลายร้อยคน มีทางเดินทอดผ่านซากปรักหักพัง ผ่านมัสยิดเก่าที่มีหออะซานรูปปล่องไฟ ขึ้นไปยังยอดเพื่อชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามา ในปี 1926 มีฝนตกหนักติดต่อกัน ก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวเมืองเป็นอย่างมาก ทำให้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผู้อยู่อาศัยได้ย้ายไปยังบ้านใหม่ที่สะดวกสบายกว่า ปัจจุบันมีอาคารเพียงไม่กี่หลังที่อยู่รอบนอกถูกใช้เป็นที่เก็บของ คุณสามารถเดินจากจัตุรัสกลางเมืองขึ้นไปสู่ด้านบนเพื่อชมวิวอันงดงามของโอเอซิสได้
ทะเลสาบเกลือ (Salt Lakes)


การลอยตัวในทะเลสาบเกลือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่น่าจดจำที่สุดในการมาเยือนเมืองโอเอซิสซีวา สระน้ำสีฟ้าอมเขียวที่ใสราวคริสตัลเหล่านี้เค็มมากจนคุณลอยตัวได้อย่างสบายๆ และมอบประสบการณ์การบำบัดรักษาที่คล้ายกับทะเลเดดซี ทะเลสาบเกลือเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางธรรมชาติอันงดงาม เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทะเลทรายพิเศษที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน และได้รับน้ำจากชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ความแตกต่างอยู่ที่น้ำใสดุจคริสตัลและสีฟ้าคราม ล้อมรอบด้วยเนินทรายสีทองและต้นปาล์ม ก่อให้เกิดธรรมชาติอันเงียบสงบและเหนือจริง ทะเลสาบเกลือไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบของระบบนิเวศและวัฒนธรรมของซีวาอีกด้วย ชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวเกลือจากทะเลสาบเหล่านี้มาใช้ในการค้า การก่อสร้าง และการดูแลสุขภาพ
ภูเขาแห่งความตาย หรือ เกเบล อัล มาวตา (Mountain of the death / Gebel al Mawta)

ประกอบด้วยหลุมศพนับพันที่ขุดลงไปในชั้นหินเบื้องล่าง ซึ่งมีจารึกต่างๆ ที่ช่วยระบุอายุของหลุมศพ และการฝังศพยังคงดำเนินต่อไปในสุสานแห่งนี้จนถึงปลายยุคโรมัน สุสานที่มีชื่อเสียง 4 แห่งบนภูเขา ได้แก่ 1) ซีอามุน (Siamun) ประดับด้วยภาพสีสันสดใสของเจ้าของที่ดินหรือพ่อค้าชาวกรีกที่กำลังสวดมนต์ต่อเทพเจ้าอียิปต์ 2) เมซูไอซิส (Mesu Isis) ผนังมีภาพวาดที่สวยงามของไอซิสและโอซิริส และงูเห่า 21 ตัวที่เฝ้าทางเข้า 3) ไนเปอร์บาธอต (Niperbathot) ผนังประดับด้วยภาพวาดหมึกสีแดงแสดงถึงชีวิตประจำวัน เช่นภาพคนลี้ยงวัว และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเครื่องปั้นดินเผาสีซีวานในยุคปัจจุบัน และ 4) จระเข้ (Crocodile) สุสานขนาดเล็กที่มีภาพวาดของเทพโซเบค เทพเจ้าจระเข้ ผนังสุสานนี้ถูกทาสีแดงอมน้ำตาลและน้ำเงินโคบอลต์ ซึ่งเป็นสีที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดของเทพเจ้าและเทพธิดาอียิปต์โบราณ
เคล็ดลับการเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองยอดนิยมในอียิปต์
อียิปต์เป็นประเทศที่น่าไปเยือนอย่างยิ่ง แต่คุณควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการเดินทาง เพื่อช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเครียด ประหยัดเงิน และเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในอียิปต์โดยไม่เกิดความยุ่งยาก
- เริ่มต้นวันแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชนและอากาศร้อน: สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในอียิปต์ ไม่ว่าจะเป็นวัด ตลาด และซากปรักหักพังเปิดตั้งแต่เช้า และแดดก็แรงมากในช่วงเที่ยงวันแม้แต่ในฤดูหนาว
- เตรียมรับมือกับพ่อค้าแม่ค้าที่ตื๊อลูกค้าในแหล่งท่องเที่ยว: เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการขายแบบจัดหนัก โดยเฉพาะในตลาดสด หากคุณกำลังหาซื้อของที่ระลึกอียิปต์ คุณควรรู้จักต่อรองราคาและอย่าลังเลใจที่จะเดินจากไป
- หลีกเลี่ยงน้ำประปา: หากเป็นไปได้ ให้พกขวดกรองน้ำขนาดเล็กไปด้วย นอกจากประหยัดเงินแล้ว ยังช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องท้องเสีย
- วัฒนธรรมการให้ทิป (บัคชีช – Baksheesh): การให้ทิปเป็นเรื่องปกติในอียิปต์สำหรับแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ เส้นทาง หรือการขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้น คุณควรเตรียมแบงก์ย่อยเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดและช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่นขึ้น
- แต่งกายสุภาพเรียบร้อย: อียิปต์เป็นประเทศที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม คุณควรเตรียมกางเกงหลวม ๆ กระโปรงยาว และเสื้อปิดไหล่ไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญหรือมัสยิดในอียิปต์
และทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมพกติดตัวไว้เสมอนั่นก็คือ ประกันเดินทาง ที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลต์ดีเลย์ เป็นต้น ให้คุณท่องเที่ยวในอียิปต์ได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล! Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ขอบคุณข้อมูลจาก: lonelyplanet.com, travelandleisureasia.com, herasianadventures.com
เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel