10 ที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน

10 ที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน

แอลเบเนีย หรือชื่อที่เรียกกันอย่างเป็นทางการก็คือ สาธารณรัฐแอลเบเนีย (Republic of Albania) เป็นประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ที่เที่ยวแอลเบเนีย ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติอันงดงาม วัฒนธรรมโบราณ และค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ปัจจุบันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และ คนไทยสามารถเที่ยวแอลเบเนียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่านานถึง 90 วัน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 6 มีนาคม – 31 ธันวาคม 2567 โดยผู้เดินทางจะต้องกรอก e-Visa ผ่านเว็บไซต์ https://e-visa.al/apply ก่อนเดินทางไปยังประเทศแอลเบเนีย

หากคุณกำลังวางแผนการเดินทางไปยังแอลเบเนีย แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนในแอลเบเนีย Allianz Travel รวบรวม 10 สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย เสน่ห์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน มาให้คุณได้เก็บเป็นลิสต์เบื้องต้นกันแล้ว

1. Tirana

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Tirana

เมืองติรานา (Tirana) เป็นเมืองหลวงที่มีเสน่ห์และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแอลเบเนีย และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการคมนาคมของประเทศ เมืองนี้เต็มไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมาของประเทศในอดีตที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งตั้งอยู่บริเวณโดยรอบจัตุรัส Skanderbeg ที่อยู่ใจกลางเมือง หากคุณต้องการทราบประวัติของประเทศแอลเบเนีย พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติจะให้คำตอบคุณได้ดีที่สุด สิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งในติรานาคือสิ่งก่อสร้างที่ดูคล้ายโดมทรงกลมขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ใจกลางเมือง คือหลุมหลบภัยหรือบังเกอร์เก่าที่ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เรียกว่า BUNK’ART 2 คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในแอลเบเนียภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์และสะท้อนประวัติศาสตร์ด้านมืดของประชาชนในยุคเผด็จการครองอำนาจมายาวนาน แต่หากคุณต้องการพักผ่อนในวันที่อากาศอบอุ่น แกรนด์พาร์คแห่งติรานา (Grand Park of Tirana) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่และเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการหลีกหนีจากความวุ่นวายในใจกลางเมืองติรานา

2. Ksamil

ที่เที่ยวแอเบเนีย - Ksamil

คซามิล (Ksamil) เป็นหมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งทะเลไอโอเนียนทางตอนใต้ของประเทศแอลเบเนีย และอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติบูตริน (Butrint National Park) ชายหาดที่นี่เป็นดาวเด่นของแอลเบเนียริเวียร่า (Albanian Riviera) ด้วยความที่มีน้ำสีฟ้าใสเป็นประกาย หาดทรายขาว และล้อมรอบไปด้วยทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม ต่างจากชายหาดอื่นๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ยังคงเป็นสถานที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว ที่นี่เหมาะสำหรับกิจกรรมสนุกๆ บนชายหาดหรือวันหยุดแสนโรแมนติก คุณสามารถใช้เวลาทั้งวันอาบแดด ดำน้ำ ว่ายน้ำหรือนั่งเรือไปสำรวจเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่บริเวณหน้าชายฝั่งได้

3. Shkodra

ที่เที่ยวแอเบเนีย - Shkodra

เมืองชโคดรา (Shkodra) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของแอลเบเนีย ติดกับพรมแดนของประเทศมอนเตเนโกร ที่นี่ถือเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของแอลเบเนีย เนื่องจากมีเทศกาลต่างๆ มากมายตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลคาร์นิวัล วันทะเลสาบ (Lake Day) เทศกาลสำหรับเด็ก (Children’s Festival) และเทศกาลดนตรีแจ๊สแห่งเมืองชโคดรา เป็นต้น หนึ่งในสิ่งที่ควรแวะไปเยี่ยมชมคือปราสาทหินโรซาฟา (Rozafa Castle) ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตกของเมือง และเคยเป็นป้อมปราการของชาวอิลลิเรียน (Illyrian Stronghold) มาก่อน จากปราสาท คุณจะได้เห็นทิวทัศน์มุมสูงของทะเลสาบชโคดรา (Lake Shkodra) และอีกที่ที่น่าไปเยี่ยมชมก็คือสะพานเมชิ (Mesi Bridge)

4. Berat

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Berat

เมืองเบรัต (Berat) ที่เที่ยวแอลเบเนีย ทางตอนใต้ของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโอซูมิ (Osumi River) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) ด้วยความเก่าแก่ยาวนานกว่า 2,000 ปี มีหลักฐานการตั้งรกรากมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ก่อนจะเปลี่ยนผ่านการยึดครองมากมาย และตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมันในศตวรรษที่ 15 จุดเด่นของเมืองคือบ้านเรือนที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบออตโตมันไว้เป็นอย่างดี สร้างเรียงรายเป็นทิวแถวไปตามเชิงเขา มองเห็นกรอบสี่เหลี่ยมของประตูหน้าต่างมากมายจากอาคารแต่ละหลัง จนเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เมืองแห่งหน้าต่างพันบาน (The City of a Thousand Windows)’ คุณยังสามารถเดินเยี่ยมชมโบสถ์ มัสยิด ปราสาท และป้อมปราการโบราณ และที่น่าสนใจคือ คุณยังเห็นผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้

5. Durrës

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Durrës

เมืองดูร์เริส (Durrës) ที่เที่ยวแอลเบเนีย อีกแห่งที่สวยงามมาก เป็นหนึ่งในเมืองท่าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในคาบสมุทรบอลข่าน และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศแอลเบเนีย ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเอเดรียติก ห่างจากเมืองหลวงติรานาไปทางตะวันตก 33 กิโลเมตร เมืองดูร์เริสผสมผสานประวัติศาสตร์ที่นับย้อนหลังไปเกือบ 3,000 ปี วัฒนธรรม และความงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าด้วยกันอย่างน่าสนใจ คุณจะได้พบกับอัฒจันทร์โรมันของจักรพรรดิเฮเดรียน (Emperor Hadrian) สร้างขึ้นในปีคริสตศักราช 100 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเมือง และเป็นอัฒจันทร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในคาบสมุทรบอลข่าน ปราสาทดูร์เริส ซึ่งเป็นป้อมปราการยุคกลางที่มีต้นกำเนิดย้อนกลับไปถึงยุคไบแซนไทน์ ดูร์เริสยังเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางวัฒนธรรม เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และโรงละครมากมาย นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งก็คือชายหาดที่มีทรายสีทองบรรจบกับน้ำทะเลใสดุจคริสตัลของทะเลเอเดรียติก ให้คุณได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศชายฝั่งที่มีชีวิตชีวา หรือดื่มด่ำกับกีฬาทางน้ำ

6. Krujë

ที่เที่ยวแอลเบเนีย - Krujë

หมู่บ้านครูเยอ (Krujë) หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาแอลเบเนียแอลป์ สูง 608 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ห่างจากติรานาเพียง 32 กม. สิ่งที่น่าสนใจคือที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ย้อนกลับไปในสมัยโรมัน บริเวณนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าอัลบานี (Albani) ชนเผ่าบอลข่านโบราณที่เปลี่ยนพื้นที่นี้ให้กลายเป็นเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคนั้น ต่อมาในยุคกลางก็กลายเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของรัฐแอลเบเนีย หมู่บ้านนี้ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบ้านเกิดของวีรบุรุษแห่งชาติ Skanderbeg ผู้บัญชาการทหารที่ต่อสู้กับกองกำลังออตโตมันเป็นเวลา 25 ปีเต็ม สถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดคือปราสาทครูเยอ ซึ่งภายในจะมีพิพิธภัณฑ์ ที่สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองจากมุมสูงที่มองเห็นได้ทั้งเมือง ใกล้ทางเข้าปราสาทยังมีตลาดแบบดั้งเดิมซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย Skanderbeg ขายผลิตภัณฑ์งานฝีมือของชาวแอลเบเนีย เช่น สินค้าปัก พรม วัตถุเงิน ทองแดง เศวตศิลา ลวดลายเป็นเส้น เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม เป็นต้น

7. Saranda

แอลเบเนีย - Saranda

เมืองซารานเดอ (Saranda) เป็นเมืองตากอากาศริมทะเลยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนแถบชายฝั่งริเวียร่า (Albanian Riviera) ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติและน้ำทะเลสีฟ้าใสดุจคริสตัลล้อมรอบเมือง ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของแอลเบเนีย ระหว่างเนินเขาและทะเลไอโอเนียน คุณจะได้พบกับชายหาดที่สวยงาม แหล่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน เช่น อุทยานแห่งชาติ Butrint ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก ปราสาทเลอเคียวแลสซี่ (Lëkurësi Castle) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา และหมู่บ้านที่งดงามท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เมืองนี้มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น เดินเล่นบนถนนที่ทอดยาวเลียบอ่าว ชิมอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและอาหารนานาชาติเลิศรส พร้อมชมทิวทัศน์อันงดงามของอ่าว บาร์และร้านอาหารบางแห่งจะกลายเป็นคลับในตอนกลางคืน ทำให้เมืองนี้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวา หรือหากคุณมีเวลาพอ ก็สามารถไปเที่ยวเกาะคอร์ฟูของประเทศกรีซที่เดินทางโดยเรือเฟอร์รีเพียง 30 นาทีเท่านั้น

8. Apollonia

แอลเบเนีย - โบสถ์ใน Apollonia

เมืองโบราณอพอลโลเนีย (Apollonia) หนึ่งในสมบัติแห่งอารยธรรมและวัฒนธรรมโบราณของแอลเบเนีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 588 ปีก่อนคริสตกาล โดยอาณานิคมกรีกที่มาจากเมืองโครินธ์ มีร่องรอยของวัฒนธรรมอิลลิเรียน กรีก และโรมัน ภายใต้ซากปรักหักพังของอารยธรรมโรมัน ซึ่งเป็นจุดที่การพัฒนาถึงจุดสูงสุด

แอลเบเนีย - ร่องรอยซากปรักหักพังของอารยธรรมโรมัน

เมืองโบราณแห่งนี้ถูกค้นพบในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้มาเยือน Apollo คืออนุสรณ์สถานของ Agonotes อัฒจรรย์ ห้องสมุด ผนัง  ระเบียง วิลล่าโมเสกสไตล์โรมัน พิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่แสดงวัตถุต่างๆ อย่างน้อย 800 ชิ้นที่แสดงถึงพัฒนาการของยุคสมัย เช่น รูปเหมือนของขุนนาง กลาดิเอเตอร์ รูปเด็กผู้หญิง หินหลุมศพแกะสลัก เครื่องมือทำงาน รูปสัตว์ อัศวิน นักรบ เป็นต้น นอกจากสำรวจเมืองโบราณแล้ว คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามองทะเลเอเดรียติกสีฟ้าด้วย คุณจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันเพื่อชมอนุสรณ์สถานทางโบราณคดีทั้งหมด

9. Korçë

แอลเบเนีย - Korçë

ถ้าคุณเป็นนักดื่มเบียร์ คุณก็คงเคยได้ยินชื่อเมืองคอร์เชอ (Korçë) เมืองเล็กๆ ที่เป็นที่มาของชื่อเบียร์แอลเบเนียยอดนิยม อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอลเบเนีย ที่ใช้เวลาเดินทางจากเมืองติรานาโดยรถยนต์เพียง 3 ชั่วโมง แต่ให้ความรู้สึกเหมือนออกมานอกเส้นทางของนักท่องเที่ยว ที่นี่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 13 เป็นที่รู้จักจากบทบาทในวัฒนธรรมแอลเบเนียและมรดกทางปัญญา (เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนภาษาแอลเบเนียแห่งแรก) พิพิธภัณฑ์ระดับโลก โบสถ์เก่าแก่ สถาปัตยกรรมที่สวยงาม ร้านกาแฟแปลกตา ร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย เมืองคอร์เชอเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา มีพื้นที่สีเขียว ลานเบียร์ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ตลอดจนสถาบันที่สำคัญหลายแห่งและอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมเป็นจุดเด่นของศูนย์กลางแห่งนี้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีโรงเบียร์เป็นของตัวเองอีกด้วย!

10. Gjirokastër

สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย - Gjirokastër

เมืองกีโรคาสตรา (Gjirokastër) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์มากมาย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันของหุบเขาแม่น้ำดริโน (Drino) มีเสน่ห์ด้วยตรอกซอกซอยที่สูงชัน จนมีชื่อว่า ‘เมืองแห่งบันไดพันขั้น’ ซึ่งประกอบด้วยบ้านหลายร้อยหลัง มีลักษณะคล้ายหอคอยสไตล์ออตโตมันที่มีหลังคาหิน ระเบียงไม้ และกำแพงหิน ในย่านสำคัญของเมือง และมีปราสาท Argjiro อันงดงามบนเนินเขาสูงชัน ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 4 คุณสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อาวุธภายในปราสาทที่จัดแสดงอาวุธต่างๆ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง คุณยังสามารถเยี่ยมชมโรงละครโบราณ Hadrianapolis ใกล้กับหมู่บ้าน Sofratik ห่างจากเมืองกีโรคาสตราประมาณ 14 กม. อีกสิ่งที่น่าสนใจคือที่นี่เป็นบ้านเกิดของบุคคลที่มีชื่อเสียงของแอลเบเนีย ได้แก่ Enver Hoxha ผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์ และนักเขียนชื่อดัง Ismail Kadare คุณสามารถเยี่ยมชมบ้านที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงรายละเอียดชีวิตของพวกเขา

สถานที่เที่ยวแอลเบเนีย - Gjirokastër

ถึงแม้ว่าประเทศแอลเบเนียจะไม่ได้บังคับให้นักเดินทางต้องทำประกันการเดินทาง แต่เราขอแนะนำให้คุณทำประกันเดินทางก่อนออกเดินทางไปยังแอลเบเนียค่ะ เพราะหากคุณเกิดเรื่องราวที่คุณไม่คาดคิดระหว่างเดินทาง คุณอาจต้องเสียทั้งเงินและเวลา ประกันภัยการเดินทาง จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟล์ทดีเลย์ เป็นต้น ประกันเดินทางต่างประเทศ Allianz Travel จะช่วยให้ทริปการเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง จำนวนความคุ้มครองและผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : 14 Best Places To Visit In Albania

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น 2024

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2024 ล่าสุด! [ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024]

ได้เวลาเตรียมตัววางแผนการเดินทางเพื่อไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 กันแล้ว การชมดอกซากุระที่บานสะพรั่งอย่างสวยงามหรือที่รู้จักกันในชื่อฮานามิหรือโอฮานามิในญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากในการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมและเมษายน หากคุณวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เช็คช่วงเวลาพยากรณ์ดอกซากุระบาน เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศในแต่ละปี Allianz Travel จะพาคุณไปเช็คจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่น ซึ่งตาราง พยากรณ์ ซากุระ ญี่ปุ่น ในปี 2024 อย่างเป็นทางการของ Japan Meteorological Corporation จะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2024 จนถึง ณ ตอนนี้ JMC ได้เผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์ซากุระบาน ในญี่ปุ่น ออกมาแล้วทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 11 ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ทาง Allianz Travel จะอัพเดทข้อมูลการพยากรณ์ช่วงเวลาซากุระบานมาให้เพื่อนๆ ได้คอยอัพเดทและใช้สำหรับการวางแผนการเดินทาง ในบทความนี้นะคะ 🙂

ไปชม ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงเวลาไหนดี ?

ดอกซากุระในญี่ปุ่นมีช่วงเวลาที่บานเต็มที่ในแต่ละสถานที่คือประมาณหนึ่งสัปดาห์ และช่วงที่บานเต็มที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ ดอกซากุระจะเริ่มบานจากเขตอบอุ่นและจุดสุดท้ายคือในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น ตัวอย่างเช่น คุณจะเริ่มชมซากุระในภูมิภาคคิวชูตอนใต้ได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และบานเต็มที่ในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แต่ดอกซากุระในจังหวัดฮอกไกโดทางตอนเหนือสุดจะบานเต็มที่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

ในแต่ละปี ซากุระจะเริ่มบานในโตเกียวตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และสามารถบานสะพรั่งได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างโอซาก้า เกียวโต และฮิโรชิม่า ก็เริ่มบานสะพรั่งในเวลาเดียวกัน ในภาคกลางของญี่ปุ่น ดอกซากุระเริ่มบานตั้งแต่ต้นถึงกลางเดือนเมษายน ภายในปลายเดือนเมษายน คุณจะเห็นดอกซากุระในโทโฮคุ และตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คุณจะเห็นดอกซากุระที่ฮอกไกโดเช่นกัน

ซากุระ ญี่ปุ่น ช่วงต้นฤดูกาล (เดือนกุมภาพันธ์)

ซากุระมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดคือพันธุ์โซเมอิโยชิโนะ (Somei-yoshino) ที่บานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนเมษายน และเวลาที่มีการพยากรณ์ซากุระบานในแต่ละปี ก็ยึดเอาพันธุ์โซเมอิโยชิโนะนี่แหละเป็นตัววัด ทำให้หลายคนอาจคิดว่าการชมซากุระในญี่ปุ่นมีเ)พาะช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่ความจริงแล้วซากุระบางสายพันธุ์ก็บานเร็วกว่าพันธุ์ทั่วไปเล็กน้อย เราจะมาแนะนำสถานที่ที่สามารถไปชมซากุระได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์เลยค่ะ

เมืองคาวาซุ (Kawazu) ของจังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

ห่างจากโตเกียวประมาณ 2.5 ชั่วโมง มีชื่อเสียงเรื่องดอกซากุระพันธุ์คาวาซุ ดอกใหญ่สีชมพูเข้ม ซึ่งบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ และบานนานเกือบหนึ่งเดือนทำให้เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่เร็วที่สุดในละแวกโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ ช่วงที่มีซากุระบานของทุกปียังมีการจัด เทศกาลคาวาซุซากุระ (Kawazu Cherry Blossom Festival) ที่สวยงามไปด้วยซากุระสีชมพูทั้งในเมืองและริมแม่น้ำ การประดับไฟยามค่ำคืน และร้านค้าริมทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองคาวาซุ (Kawazu) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka)

เมืองอาตามิ (Atami) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอิซุ (Izu)

ห่างจากโตเกียวไปทางตะวันตกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงโดยรถไฟชินคันเซ็น บรรยากาศเหมือนเมืองตากอากาศ มีบ่อน้ำพุร้อนและเรียวกังมากมาย ที่นี่เป็นแหล่งชมซากุระพันธุ์อาตามิ เป็นพันธุ์สีชมพู ดอกพุ่มสวย ปกติจะบานช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เมื่อเริ่มบานแล้วจะอยู่ประมาณ 10 วันก็จะเริ่มร่วงโรยรา จุดชมซากุระอยู่ตรงทางเดินเลียบแม่น้ำ Itogawa ใช้เวลาเดินลงจากสถานี Atami ประมาณ 10 นาที ที่นี่คุณจะเห็นต้นซากุระประมาณ 58 ต้นที่ปลูกอยู่สองข้างทาง

ซากุระ ญี่ปุ่น : เมืองอาตามิ (Atami)

เมืองมิอุระ (Miura) จังหวัดคานางาวะ (Kanagawa)

มีดอกซากุระคาวาซุที่ผลิดอกช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณจะได้เห็นต้นซากุระสายพันธุ์นี้ราว 1,000 ต้นเรียงรายตามเส้นทางรถไฟระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรจากสถานีมิอูระไคกัง (Miurakaigan) ไปยังสวนสาธารณะโคมัตสึไคเกะ (Komatsugaike) นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศจากทุ่งดอกมัสตาร์ดสีเหลืองนวลที่ออกดอกตามสองข้างทาง ตลอดฤดูกาล ตลาดแผงลอยหลายแห่งจะเปิดให้บริการที่หน้าสถานีมิอูระไคกัง ซึ่งท่านสามารถที่จะซื้อหาผักสดจากท้องถิ่นรวมทั้งสินค้าพิเศษของเมืองมิอุระได้

ตารางพยากรณ์ช่วงเวลา ซากุระบาน ในญี่ปุ่นปี 2024

ตารางพยากรณ์ช่วงดอกซากุระบานของญี่ปุ่นในปี 2024 ครั้งล่าสุด (พยากรณ์ครั้งที่ 11) ประกาศออกมาแล้ว เผยแพร่โดย Japan Meteorological Corporation เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2024 ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการวางแผนการเดินทางปี 2024 ได้ค่ะ

ประกาศพยากรณ์ดอกซากุระบานปี 2024 (พยากรณ์ครั้งที่ 11 : 4 เมษายน 2024)

ขอบคุณรูปภาพจาก: JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ช่วงเวลาที่ซากุระเริ่มบานช่วงเวลาที่ซากุระบานเต็มที่
โตเกียว – Tokyo29 มีนาคม4 เมษายน
นาโงย่า – Nagoya28 มีนาคม7 เมษายน
เกียวโต – Kyoto29 มีนาคม5 เมษายน
โคจิ – Kochi23 มีนาคม31 มีนาคม
ฟุกุโอกะ – Fukuoka27 มีนาคม2 เมษายน
โอซาก้า – Osaka30 มีนาคม6 เมษายน
ฮิโรชิมะ – Hiroshima25 มีนาคม5 เมษายน
วากายามะ – Wakayama30 มีนาคม3 เมษายน
คานาซาว่า – Kanazawa1 เมษายน8 เมษายน
นากาโน่ – Nagano8 เมษายน10 เมษายน
คาโกชิมะ – Kagoshima29 มีนาคม7 เมษายน
เซนได – Sendai2 เมษายน9 เมษายน
อาโอโมริ – Aomori15 เมษายน18 เมษายน
ซัปโปโร – Sapporo27 เมษายน30 เมษายน
ดอกซากุระบานหรือดอกซากุระบานเต็มที่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก: Release of 2024 Cherry Blossom Forecast (11th forecast) – JMC (Jpan Meteorological Corporation)

สถานที่ชมดอกซากุระในญี่ปุ่น

พิกัดชม ซากุระ ญี่ปุ่นมีมากกว่า 1,000 แห่ง การเลือกพิกัดสถานที่ที่ดีที่สุดเพียงไม่กี่แห่งอาจเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก Allianz Travel ขอรวบรวมรายชื่อสถานที่ชมซากุระที่สวยงามตามภูมิภาคไว้ดังนี้ค่ะ

1. ภาคเหนือของญี่ปุ่น: ฮอกไกโด

  • สวนโมเอเรนุมะ (Moerenuma Park) เมืองซัปโปโร: สวนศิลปะแห่งนี้ออกแบบโดยประติมากรอิซามุ โนกุจิ มีประติมากรรมขนาดใหญ่ และเต็มไปด้วยดอกซากุระสีชมพูสดใสในฤดูใบไม้ผลิ

  • หอคอยและป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku) เมืองฮาโกดาเตะ: ป้อมสไตล์ฝรั่งเศสรูปดาวแห่งนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งชาติที่รายล้อมไปด้วยดอกซากุระค คุณสามารถขึ้นไปชมวิวความงามของดอกซากุระจากมุมสูงได้จากหอคอยที่มีความสูงถึง 107 เมตร
ซากุระ ญี่ปุ่น : หอคอยและป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku)
  • สวนสาธารณะอาซาฮิกาโอกะ (Asahigaoka Park) เมืองฟุราโนะ: เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในร้อยทิวทัศน์ที่สวยงามของญี่ปุ่น นำเสนอทัศนียภาพอันงดงามของแอ่งน้ำฟุราโนะ ภูเขาโทคาจิ และต้นซากุระ 3,000 ต้น

  • ภูเขาเท็นกุ (Tengu) เมืองโอตารุ: คุณจะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองโอตารุและทะเลญี่ปุ่น และต้นซากุระที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้เกิดภาพที่งดงามมาก

  • สวนอาซาฮิคาวะ (Asahikawa Park) เมืองอาซาฮิคาวะ: สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฮอกไกโด และเป็นแหล่งรวมต้นซากุระประมาณ 3,500 ต้น ซึ่งช่วงกลางคืนจะมีการประดับไฟดอกซากุระตลอดทั้งฤดูกาล

2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น: ภูมิภาคโทโฮคุ

  • มิฮารุ ทากิซากุระ (Miharu Takizakura) เมืองฟุกุชิมะ: มิฮารุ ทากิซากุระ เป็นหนึ่งในสามของสถานที่ชมซากุระที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ต้นซากุระอันงดงามที่ห้อยระย้าลงมาตลอดเส้นทางเดินมีอายุมากกว่า 1,000 ปี ที่รอต้อนรับผู้มาเยือน
ซากุระ ญี่ปุ่น : มิฮารุ ทากิซากุระ (Miharu Takizakura) เมืองฟุกุชิมะ
  • ฮิโตเมะเซ็นบงซากุระ (Hitome Senbonzakura) เมืองมิยางิ: คุณจะเห็นต้นซากุระเรียงรายไปกว่า 8 กิโลเมตรตามแม่น้ำชิโรอิชิ โดยมีเทือกเขาซาโอะที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นฉากหลัง
ซากุระ ญี่ปุ่น : ฮิโตเมะเซ็นบงซากุระ (Hitome Senbonzakura) เมืองมิยางิ
  • ซาสวนฮิโรซากิ (Hirosaki Park) เมืองอาโอโมริ: มีต้นซากุระ 52 สายพันธุ์ ราว 2,600 ต้น ซึ่งจะบานเต็มที่ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี คุณจะได้เห็นวิวสวยๆ ของปราสาทฮิโรซากิกับดอกซากุระ และภูเขาอิวากิพร้อมกัน ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก

  • คาคุโนะดาเตะ บูเคยาชิกิโดริ (Kakunodate Bukeyashiki-dori) เมืองอาคิตะ: ย่านซามูไรที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ประดับด้วยต้นซากุระสีชมพูตัดกับสีดำของรั้วบ้านซามูไรในช่วงปลายเดือนเมษายน
ซากุระ ญี่ปุ่น : คาคุโนะดาเตะ บูเคยาชิกิโดริ (Kakunodate Bukeyashiki-dori) เมืองอาคิตะ
  • ภูเขาอิวากิ (Mt. Iwaki) เมืองอาโอโมริ: ภูเขาอิวากิซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีต้นซากุระประมาณ 6,500 ต้นตลอดเส้นทางระยะทาง 20 กม. ซึ่งจะบานสะพรั่งอย่างงดงามตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม

3. ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคันโต-โคชิน

  • สวนสาธารณะแห่งชาติชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) เมืองโตเกียว: มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในสวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุด มีต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้นจาก 65 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน นำเสนอการภาพที่สวยงามน่าทึ่งในฤดูใบไม้ผลิ

  • สวนอุเอโนะ (Ueno Park) เมืองโตเกียว: มีต้นซากุระประมาณ 1,200 ต้น เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการชมดอกซากุระ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 2 ล้านคนในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะช่วงเย็นที่สวยงามด้วยแสงไฟตกแต่งส่องสว่างไปทั่ว
ซากุระ ญี่ปุ่น : สวนอุเอโนะ (Ueno Park) เมืองโตเกียว
  • แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) เมืองโตเกียว: มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้นบานสะพรั่งอย่างสวยงามไปตามริมแม่น้ำยาว 3.8 กิโลเมตร พร้อมด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่มให้นั่งชมวิวในบริเวณใกล้เคียง
ซากุระ ญี่ปุ่น : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) เมืองโตเกียว
  • สวนสาธารณะโยโยกิ (Yoyoki Park) เมืองโตเกียว: สวนสาธารณะโยโยกิเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันภายใต้ดอกซากุระที่บานสะพรั่งเพื่อสังสรรค์กัน

  • สวนริคุงิเอน (Rikugien Gardens) เมืองโตเกียว: สวนภูมิทัศน์ญี่ปุ่นอันเงียบสงบและเก่าแก่แห่งนี้เป็นสถานที่พิเศษที่มีทัศนียภาพอันงดงามของต้นซากุระที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ

4. ภาคกลางของญี่ปุ่น: ภูมิภาคโฮคุริคุและโทไก

  • ปราสาทอุเอดะ (Ueda Castle) เมืองนากาโนะ: ปราสาทอุเอดะสร้างขึ้นในปี 1583 ประดับด้วยต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่สร้างปรากฏการณ์อันน่าทึ่งในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ
ซากุระ ญี่ปุ่น : ปราสาทอุเอดะ (Ueda Castle) เมืองนากาโนะ
  • ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เมืองนากาโนะ: ปราสาทมัตสึโมโต้ถือเป็นสถานที่ชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงและมีนักท่องเที่ยวจากในประเทศและต่างประเทศเดินทางมาชมดอกซากุระกันอย่างเนืองแน่น และที่บริเวณสวนฮงมารุ ซึ่งอยู่ด้านในบริเวณปราสาทมัตสึโมโต้ จะมีการจัดงานชมดอกซากุระพร้อมจิบชายามค่ำคืน โดยจะมีการประดับไฟไลท์อัพที่ต้นซากุระและตัวปราสาท
ซากุระ ญี่ปุ่น : ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เมืองนากาโนะ
  • อุทยานซากปราสาททาคาโตะ (Takato Castle Ruins Park) เมืองนากาโนะ: สวนแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน 100 จุดชมซากุระชั้นนำของญี่ปุ่น มีต้นซากุระประมาณ 1,500 ต้น

  • สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) เมืองอิชิคาวะ: หนึ่งในสามสวนที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น มีพันธุ์ซากุระประมาณ 40 สายพันธุ์และต้นซากุระ 420 ต้น ซึ่งจะบานในช่วงกลางเดือนเมษายน นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) เมืองอิชิคาวะ
  • วัดเซนโกจิ (Shinshu Zenkoji) เมืองนากาโนะ: วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 642 ล้อมรอบด้วยต้นซากุระที่สวยงามและดอกซากุระบานสะพรั่ง ท่ามกลางหุบเขาอันร่มรื่น สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณจากผู้คนที่มีมาสักการะเป็นประจำตั้งแต่ 1,400 ปีก่อน

5. ภาคตะวันตกตอนกลางของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคันไซ/คินกิ

  • ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เมืองเฮียวโงะ: ปราสาทฮิเมจิมีชื่อเสียงในเรื่องต้นซากุระกว่า 1,000 ต้น เป็นประสบการณ์การชมดอกซากุระที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงการล่องเรือไปตามคูน้ำใต้กลีบสีชมพูในช่วงเทศกาลดอกซากุระ
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เมืองเฮียวโงะ
  • วัดโทจิ (To-ji Temple) เมืองเกียวโต: วัดโทจิมีเจดีย์ไม้ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยต้นซากุระที่สวยงามประมาณ 200 ต้น ทำให้เกิดเป็นฉากที่สวยงาม คุณสามารถเพลิดเพลินกับวิวดอกซากุระขณะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเกียวโตในบริเวณใกล้เคียง
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : วัดโทจิ (To-ji Temple) เมืองเกียวโต
  • วัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple) เมืองเกียวโต: วัดนินนาจิมีชื่อเสียงจากต้นซากุระโอมูโระ ที่ออกดอกช้าหลากหลายพันธุ์ โดยมีเจดีย์ห้าชั้นตั้งอยู่ สถานที่งดงามราวภาพวาดแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามระดับชาติ และเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระ 100 อันดับแรกของญี่ปุ่น
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : วัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple) เมืองเกียวโต
  • วัดโยชิมิเนะเดระ (Yoshimine-dera Temple) เมืองเกียวโต: วัดนี้ก่อตั้งในปี 1029 มีชื่อเสียงในเรื่องดอกซากุระบานสะพรั่งอย่างสวยงาม และตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาทางตะวันตกของเกียวโต

  • ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เมืองนารา: ภูเขาโยชิโนะมีต้นซากุระป่าสีขาวประมาณ 30,000 ต้นแผ่กระจายไปทั่วหุบเขาและสันเขา นำเสนอทิวทัศน์ดอกซากุระอันงดงามในฤดูใบไม้ผลิ
ซากุระ ญี่ปุ่น : ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เมืองนารา

6. ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น: ภูมิภาคชูโงะคุ และชิโกะคุ

  • ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) เมืองเอฮิเมะ: 1 ใน 12 ปราสาทซึ่งสร้างขึ้นก่อนสมัยเอโดะที่ยังเหลืออยู่ปราสาทมัตสึยามะเป็นสถานที่งดงามสำหรับการชมดอกซากุระ ที่ประดับประดาอยู่จำนวนมาก เป็นการผสมผสานความงามตามธรรมชาติและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม
พยากรณ์ ซากุระ 2024 ญี่ปุ่น : ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) เมืองเอฮิเมะ
  • สวนริตสึริน (Ruitsurin Garden) เมืองคากาวะ: ขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของภูมิทัศน์อันเงียบสงบ ทางเดินและสระน้ำที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และเสริมแต่งด้วยต้นซากุระที่บานสะพรั่ง ทำให้เกิดบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงามสำหรับผู้มาเยือน

7. ภาคตะวันตกของญี่ปุ่น: ภูมิภาคคิวชู

ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) เมืองคุมาโมโตะ: หนึ่งในปราสาทที่โดดเด่นที่สุดของญี่ปุ่น พื้นที่อันกว้างขวางของปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการสัมผัสกับความงามอันน่าทึ่งของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางสถาปัตยกรรมเก่าแก่

การวางแผนการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูซากุระบาน

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปชื่นชมฤดูดอกซากุระบานในญี่ปุ่นควรเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าอย่างน้อย 3-5 เดือน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โรงแรมในโตเกียวและเกียวโตจะเต็มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องรีบจองที่พักทันทีที่มีกำหนดวันเดินทาง และทุกครั้งที่เดินทางออกนอกประเทศ สิ่งที่ควรมีพร้อมติดตัวไว้คือประกันเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com, jw-webmagazine.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

10 จุดชมซากุระในโตเกียว

10 จุดชมซากุระโตเกียว

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่คนรักญี่ปุ่นเฝ้ารอและวางแผนเตรียมไปชมความงามของดอกซากุระ 🌸 สีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และสีขาวที่บานสะพรั่งไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้สุดไปจนถึงตอนเหนือสุดของประเทศ มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว หลายแห่งมีคนหนาแน่นเต็มพื้นที่ จนต้องต่อคิวถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความงามที่ในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียว และ Allianz Travel จะพาคุณไปชม 10 จุดชมซากุระโตเกียว ที่ดีที่สุด เตรียมตัวเดินทางไปพร้อมกับเราเลยค่ะ

1. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ (Shinjuku) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว เปรียบเสมือนโอเอซิสที่อยู่กลางกรุง มีขนาดใหญ่ประมาณ 540,000 ตารางเมตร และล้อมรอบเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร คุณจะได้เห็นภาพของต้นซากุระกว่า 1,100 ต้นบานสะพรั่ง และกลีบดอกไม้ที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าและสระน้ำ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเกินบรรยาย ที่นี่มีต้นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์จะบานช้าเร็วไม่พร้อมกัน ทำให้คุณได้ชื่นชมกับภาพความงามของดอกซากุระได้ยาวนานขึ้น เปรียบเหมือนกับการแสดงดอกไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้สวนชินจูกุเกียวเอ็นเป็นสถานที่ชมซากุระที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ร้านค้าท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบสวนยังเต็มไปด้วยของว่างอร่อยๆ และของที่ระลึกน่ารักในธีมดอกซากุระอีกด้วย

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีชินจูกุ ทางออก South Exit
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/7Aw8H6evdX2DjeBo8
ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น.- 16.00 น. (ฤดูดอกซากุระบาน จะขยายเวลาเปิดจนถึง 17.30 น.)

2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

สวนอุเอโนะ (Ueno Park) อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในโตเกียวสำหรับการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย คุณจะได้เห็นทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาชมดอกซากุระที่นี่กันอย่างมากมาย สวนอุเอโนะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร ต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นที่อยู่ในพื้นที่มากกว่าครึ่งของสวน ทำให้มึจุดชมซากุระอยู่มากมาย เริ่มจากถนนสายหลักยาวประมาณ 500 เมตร ที่อยู่ใจกลางสวนจะมีต้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์เรียงรายไปสองข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนหนาแน่นมาก แต่ถ้าอยากชมซากุระท่ามกลางบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็สามารถชมได้ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวน และเปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงเวลาดอกซากุระบานเท่านั้น และอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปชมก็คือบริเวณสระน้ำชิโนบาสุ (Shinobazu Pond) ที่คุณจะได้ชมบรรยากาศของดอกซากุระริมฝั่งน้ำ

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอุเอโนะ (Ueno Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานี Ueno เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้สวนมากที่สุด มีรถไฟหลายสายที่ผ่าน อย่างเช่น รถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงสถานี Ueno ออกทางออก Park Exit หรือรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Hibiya Line มาลงที่สถานี Ueno ออกทางออก 7 หรือ 9
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/gnAsmJvojfkARuqV6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: 5.00 น.- 23.00 น.

3. สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ตั้งอยู่ในเขตชิโยดะ (Chiyada) ใจกลางกรุงโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียวต้องไม่พลาด คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นซากุระประมาณ 1,000 ต้น บานสะพรั่งตัดกับกำแพงหินโบราณของปราสาทเอโดะ ซึ่งปัจจุบันคือพระราชวังอิมพีเรียลอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางมหัศจรรย์ที่มีต้นซากุระกว่า 260 ต้นเรียงรายไปตามคูน้ำที่ยาวกว่า 700 เมตรที่เรียกว่า “อุโมงค์ซากุระ” คุณจะรู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนผ่านความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนที่มีการประดับไฟ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น และกิจกรรมที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวชมสวนจิโดริกะฟุจิก็คือการพายเรือล่อง หรือถีบเรือเป็ดล่องไปตามสระน้ำ ซึ่งทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับดอกซากุระที่รายล้อมมากยิ่งขึ้น

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนจิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Toei Shinjuku, Tokyo Metro Tozai หรือ Hanzomon มาลงสถานี Kudanshita ออกจากสถานีที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อ 5 นาที
  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hanzomon มาลงสถานี Hanzomon ออกจากสถานีที่ทางออก 5 แล้วเดินต่อ 5 นาที

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/NERZnRnbM3BN4qGQ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

4. สวนสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสุมิดะ (Sumida Park) ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับวันเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) เป็นสวรรค์แห่งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีซากุระปลูกอยู่ถึง 1,000 ต้น เป็นจุดที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการปิกนิกมารวมตัวกันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสวนอย่างสง่างามได้อีกด้วย

สวนสุมิดะ (Sumida Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line หรือ Toei Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa
  • นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/nq9eaUnQFUEsu7ScA
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านฮิตกิ๊บเก๋อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการเดินเล่น ออกกำลังกาย พายเรือหรือถีบเรือ วาดรูป การแสดงต่างๆ และชอปปิ้งตลอดนัดทุกวันอาทิตย์ ที่นี่มีต้นซากุระญี่ปุ่นประมาณ 500 ต้น และเมื่อยืนมองจากสะพานที่ข้ามสระน้ำจะเห็นต้นซากุระสีชมพูงดงามแผ่กิ่งก้านออกไปเหนือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันงดงาม และมีตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าคอยสาปให้ชายหญิงที่มาพลอดรักกันที่สวนแห่งนี้มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ก็มีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ให้ไปกราบไหว้ขอพรศาลของเทพเจ้าเบ็นไซเต็น (Benzaiten) ภายในสวน ก็จะกลับมารักกันได้เช่นเดิม กิจกรรมยอดนิยมในสวนแห่งนี้คือการถีบเรือเป็ดชมซากุระ หรือปูผ้านั่งปิกนิกชมดอกไม้กัน

จุดชมซากุระโตเกียว : สวนอิโนะคาชิระ (Inokashira Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดินประมาณ 3 นาที (280 เมตร) จากสถานีรถไฟคิชิโจจิ (Kichijoji Station) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/sbGGWsSNaMP1gwSZ9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกซากุระในโตเกียว โดยเป็นแม่น้ำขนาดไม่กว้างนัก ทอดยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ไปตามแลห่งที่อยู่อาศัยในย่านเมกุโระ (Meguro) ในเขตชินากาว่า (Shinagawa) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว และไหลไปลงอ่าวโตเกียว ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมกุโระเรียงรายไปด้วยต้นซากุระประมาณ 800 ต้นที่บานสะพรั่งอย่างงดงามในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระ ที่มีการออกร้านกันอย่างคึกคักตั้งแต่สปาร์คกลิ้งไวน์สีซากุระไปจนถึงของว่างรสเลิศ ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์และความมีชีวิตชีวา ในช่วงกลางคืนจะมีบรรยากาศโรแมนติกที่เสริมด้วยแสงสียามเย็นที่สวยงาม

จุดชมซากุระโตเกียว : แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: สถานที่ยอดนิยมสำหรับชมซากุระอยู่บริเวณสะพาน Meguro Shinbashi ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟเมกุโระ (Meguro) และสถานีนากะเมกุโระ (Nakameguro)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/BA6k4ow4c8EjLNJT9
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาประดับไฟ 17.00 น. – 21.00 น.)

7. สวนโยโยงิ (Yoyogi Park)

สวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi Park) เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโตเกียว ตั้งอยู่ใกล้กับย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ และชิบูย่า เป็นสถานที่นั่งเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย ชื่นชมธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่นี่มีต้นซากุระประมาณ 800 ต้น และมีหลายสายพันธุ์ ทะยอยบานตั้งแต่เดือนมีนามคมไปจนถึงเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งปิกนิก นั่งพักผ่อน หรือเดินชมดอกซากุระ โดยในช่วงเทศกาลชมซากุระ จะมีคนเข้าไปจับจองพื้นที่นั่ง หาอาหารมาทาน และจิบเบียร์เย็น ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่านเท่ากับที่อื่นๆ

สวนโยโยงิ (Yoyoki Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/SJs42qdvxsCPWxE36
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

8. สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

สวนโคอิชิกาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่สวยและเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว โดยชื่อของสวนแห่งนี้นั้นได้รับการตั้งชื่อตามบทกวีและเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1629 ราวๆ ยุคสมัยเอโดะตอนต้น ในสวนมีบ่อน้ำตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยเส้นทางเดินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน สวนแห่งนี้มีความสวยงามตลอดทั้งปีด้วยพืชและต้นไม้ที่หลากหลาย ด้านหลังสวนถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองโตเกียวที่มองเห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆอย่างตัดสลับระหว่างความเป็นธรรมชาติบรรยากาศย้อนยุคกับตึกอาคารที่เต็มไปด้วยความทันสมัย แต่คนจะนิยมมาเป็นพิเศษในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของดอกซากุระที่สะท้อนจากสระไดเซ็นซุย ในสวนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นั่งปิกนิก แต่คุณสามารถนั่งชมดอกซากุระได้ที่ร้านน้ำชาที่มีเสน่ห์แปลกตาของสวน และเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาเขียวกับชิมขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

สวนโคอิชิคาวะโคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง:

  • เดิน 3 นาทีจากสถานีอิดะบาชิ (Iidabashi Station) เข้าประตูทิศตะวันตกของสวน 
  • เดิน 5 นาทีจากซุอิโดบาชิ (Suidobashi) เข้าประตูทิศตะวันออกของสวน

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/RzsR6ok9Qpjz89rb8
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00น.

9. สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden) เป็นสวนญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของโตเกียว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว เป็นสวนที่มีขนาดกว้างใกญ่และสวยงามมาก สร้างขึ้นราวๆ ปีค.ศ. 1700 ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี สำหรับโชกุนโทกุกาวะที่ 5 สวนริคุงิเอ็นเป็นผลงานชิ้นเอกของการออกแบบ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่ในรายละเอียด ชื่อของสวนนี้แปลว่า “สวนแห่งบทกวีทั้งหก” บ่งบอกถึงรากฐานที่หยั่งรากลึกในบทกวีของญี่ปุ่น โดยมีภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนฉากจากบทกวีที่โด่งดัง จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือต้นซากุระใหญ่สายพันธุ์ชิดะเระ ซากุระ ที่เมื่อบานเต็มที่ กิ่งจะย้อยตัวลงมาค้ายน้ำตก สูงประมาณ 15 เมตร และกว้าง 20 เมตร สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วงที่มีการเปิดไฟประดับ ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและงดงามมาก

สวนริคุกิเอ็น (Rikugien Garden)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: 

  • เดินประมาณ 7 นาทีจากสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ทางออกทิศใต้ (South Exit)
  • เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line)

แผนที่: https://maps.app.goo.gl/8XWkRR4arTEdxzHR7
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (ขยายเวลาเป็น 21.00 น. ในช่วงฤดูดอกซากุระบาน เพื่อจัดกิจกรรมประดับไฟ)

10. สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขาอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ ภายในสวนเด็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและต้นซากุระที่ปลูกไว้ประมาณ 600 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะนำเสนอทิวทัศน์อันตระการตาของดอกซากุระ ซึ่งคนในโตเกียวจะมานั่งปิกนิก และพักผ่นใต้ต้นซากุระกัน และช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟต้นซากุระด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีรถไฟรางเดียว Asuka Park Rail ให้บริการนั่งผ่านสวนตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.และมีจุดชมวิวที่ทำให้เราได้เห็นเมืองและมองรถไฟที่วิ่งไปมาได้ด้วย

สวนอาสุคายามะ (Asukayama Park)

รายละเอียดและวิธีการเข้าชมซากุระ

วิธีเดินทาง: เดิน 5 นาที จากสถานีโอจิ (Oji Station)
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/qBNPwKkhQXmy9z6K6
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดทำการ: เปิด 24 ชม. (มีการแสดงไฟตลอดช่วงที่ซากุระบาน ตั้งแต่เย็นจนถึง 21.00 น.)

เมืองโตเกียวสดใสมีชีวิตชีวาเมื่อถึงฤดูดอกซากุระบาน เตรียมชุดสวยๆ หยิบกล้อง และติดอาหารไปนั่งปิกนิกชมสวนชิลๆ Allianz Travel รวมจุดชมซากุระหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกเยี่ยมชมตามสไตล์ที่คุณชอบ บางคนชอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทีแผงขายอาหาร และคนนั่งปิกนิกมากมาย หรือบางคนก็ชอบเดินเล่นแบบเงียบสงบและผ่อนคลายใต้ต้นซากุระในโตเกียว และไม่ว่าคุณจะวางแผนไปที่ไหนสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจ ไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

35 ประเทศไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับนักท่องเที่ยวไทย 2567

อัพเดท! 35 ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับคนไทย ปี 2567

(อัพเดท 1 มีนาคม 2567) สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการขอวีซ่าที่ยุ่งยาก และต้องใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้านานพอสมควร Allianz Travel ขอนำลิสต์อัพเดท 35 ประเทศที่ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางของประเทศไทยสามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า มาเป็นทางเลือกให้เพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวกันแบบชิลๆ เพียงแค่เก็บกระเป๋า ซื้อตั๋วเครื่องบิน และไปเที่ยวได้เลย มีประเทศไหนบ้าง มาดูกันเลย

อัพเดท 35 ประเทศ คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า 2567

ข้อควรรู้ก่อนการเดินทาง

ถึงแม้ว่าเราไม่ต้องขอวีซ่าในการเดินทางเข้าประเทศเหล่านั่น แต่เราก็ควรเตรียมเอกสารติดตัวไปให้พร้อม กรณีที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศปลายทางเรียกตรวจสอบ เราก็ต้องแสดงหลักฐานให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเราเดินทางมาท่องเที่ยว โดยไม่มีเจตนาอื่นที่ผิดกฎหมาย Allianz Travel ขอแนะนำให้เตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ติดตัวไปด้วย

  • หลักฐานการทำงาน เช่น หนังสือรับรองการทำงาน บัตรพนักงาน หรือถ้าเป็น Freelance ก็แสดงผลงานของเรา หรือถ้ายังเป็นนักเรียน นักศึกษาก็แสดง สถานะการเรียน หรือใบรับรองการศึกษา
  • สมุดบัญชีที่มีการเคลื่อนไหว
  • ตั๋วโดยสารเครื่องบินทั้งขาไป และขากลับ
  • หลักฐานการจองที่พัก
  • แผนการเดินทางอย่างละเอียด

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้ 14 วัน

• กัมพูชา

• เมียนมา (พม่า) (*เฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ)

• ไต้หวัน (สิ้นสุด 31 ก.ค. 2567) (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไต้หวันได้ที่บทความ: 10 กิจกรรมที่ควรทำเมื่อไป เที่ยวไต้หวัน)

• บรูไน

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้ 15 วัน

• ญี่ปุ่น (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้ที่บทความ: เที่ยวญี่ปุ่น ไปได้ทั้งปี สัมผัสความงามได้ทุกฤดู)

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  30 วัน

• จีน (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจีนได้ที่บทความ:เที่ยวจีน ต้อนรับฟรีวีซ่า กับ 8 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม)

• ฮ่องกง

• อินโดนีเซีย

• ลาว

• มาเก๊า

• มองโกเลีย

• ทาจิกิสถาน

• มาเลเซีย

• มัลดีฟส์

• ฟิลิปปินส์

• กาตาร์

• รัสเซีย

• หมู่เกาะเซเชลส์

• มณฑลไห่หนาน

• สิงคโปร์ (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวสิงคโปร์ได้ที่บทความ: 10 ที่เที่ยวสิงคโปร์ สุดฮิต 2022 ที่ไม่ควรพลาด!)

• แอฟริกาใต้

• ศรีลังกา (สิ้นสุด 31 มี.ค. 67)

• ตุรกี

• วานูอาตู

• เวียดนาม (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเวียดนามได้ที่บทความ: 12 ที่เที่ยวเวียดนาม 2022 ที่ควรเก็บไว้ในลิสต์)

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  60 วัน

• คีร์กีซ หรือ คีร์กีซสถาน (สิ้นสุด 31 ก.ค. 2568)

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  90 วัน

• อาร์เจนตินา

• บราซิล

• ชิลี

• เอกวาดอร์

• เกาหลีใต้ (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ได้ที่บทความ: 10 ที่เที่ยวเกาหลี 2022 ไม่ควรพลาด)

• เปรู

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  180 วัน

• ปานามา

ประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ที่อนุญาตให้อยู่ได้  365 วัน

• จอร์เจีย (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจอร์เจียได้ที่บทความ: 13 ที่เที่ยวจอร์เจีย ธรรมชาติอันงดงามบนเทือกเขาคอเคซัส)

หมายเหตุ: เนื่องจากเป็นการอนุญาตของประเทศปลายทางซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรุณาตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งก่อนเดินทางที่สถานทูตของประเทศปลายทางที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือที่กระทรวงการต่างประเทศดังนี้

  • กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ 02 643 5128
  • กรมยุโรป 02 643 5138
  • กรมเอเชียตะวันออก 02 643 5194
  • กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 02 643 5062

ประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าล่วงหน้า แต่สามารถขอ Visa on Arrival (VOA) ได้

นอกจากประเทศที่เราสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว ยังมีอีก 11 ประเทศที่อนุญาตให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติไทยสามารถขอ Visa on Arrival หรือ VOA ได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้นๆ ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

ประเทศ/ดินแดนพำนักได้ไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียม
บาร์เรน14 วัน 5 ดีนาร์บาร์เรน (สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดา ที่ด่านท่าอากาศยานนานาชาติและสะพานข้ามแดนซาอุฯ – บาร์เรน)
โบลิเวีย30 วัน 135 เหรียญสหรัฐ (เฉพาะวีซ่าประเภทท่องเที่ยว)
ฟิจิ4 เดือนไม่มีค่าธรรมเนียม
จอร์แดน30 วัน40 ดีนาร์จอร์แดน
คีร์กีซสถาน15 วัน/1 เดือน50 เหรียญสหรัฐ/60 เหรียญสหรัฐ (สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดา)
เนปาล15 วัน25 เหรียญสหรัฐ
30 วัน40 เหรียญสหรัฐ
90 วัน100 เหรียญสหรัฐ
นิการากัว30 วัน10 เหรียญสหรัฐ
นีอูเอ30 วันไม่มีค่าธรรมเนียม
โอมาน30 วัน20 เรียลโอมาน
หมู่เกาะโซโลมอน3 เดือนไม่มีค่าธรรมเนียม
ติมอร์-เลสเต30 วัน30 เหรียญสหรัฐ

หมายเหตุ: การขอ Visa on Arrival อาจมีค่าธรรมเนียมตามแต่ละประเทศ และข้อมูลต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรุณาตรวจสอบกับประเทศปลายทางให้แน่ชัดอีกครั้งก่อนเดินทาง ***

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องวีซ่าแล้ว แต่เราก็ยังต้องเตรียมตัวและข้าวของจำเป็นให้พร้อมก่อนเดินทางเพื่อให้การเดินทางของเราราบรื่น เที่ยวสนุก ปลอดภัย และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติมจากที่วางแผนไว้ และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ การซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ ที่จะช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด กับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากเกือบทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง การเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง กระเป๋าเดินทางหรือเอกสารสำคัญสูญหาย และอื่นๆ อีกมากมาย* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ข้อมูลปรับปรุง: 1 มีนาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลจาก : mfa.go.th

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

China Tourist Attractions

เที่ยวจีน ต้อนรับฟรีวีซ่า กับ 8 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม

ข่าวดีต้อนรับปีใหม่สำหรับคนที่รักการเที่ยวต่างประเทศ เมื่อรัฐบาลจีนอนุมัติให้คนไทยเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป ต่อจากนี้ไปเมื่อนักท่องเที่ยวไทยอยากไป เที่ยวจีน ก็แค่ซื้อตั๋วเครื่องบิน และบินไป เที่ยวจีน ได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการไปเที่ยวจีนก็คือการตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนดี เนื่องจากประเทศจีนมีขนาดใหญ่ และมีเมืองที่น่าสนใจหลากหลายรูปแบบให้ไปเยี่ยมชมอยู่มากมาย Allianz Travel ขอนำเสนอ 8 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศจีน ที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับประสบการณ์ที่น่าจดจำ และนำคุณไปสัมผัสกับวัฒนธรรมและ สถานที่ท่องเที่ยวจีน ในแต่ละมุม มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ 🙂

1. ปักกิ่ง (Beijing) — เมืองหลวงยุคโบราณและยุคใหม่

ปักกิ่ง เป็นเมืองหลวงของประเทศจีนมากว่า 700 ปี ที่มีประวัติศาสตร์ทั้งสมัยโบราณและแลนด์มาร์คสมัยใหม่ คุณจะพบกับพระราชวังหลายแห่งในกรุงปักกิ่ง เช่นเดียวกับอาคารสุดทันสมัย นอกจากนี้ปักกิ่งยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การคมนาคม การเมือง และการศึกษาของจีนอีกด้วย ปักกิ่งเป็น สถานที่ท่องเที่ยวจีน ที่มีผู้คนแวะมาเยี่ยมเยียนมากที่สุดในประเทศจีน และเป็นจุดเริ่มต้นของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มา เที่ยวจีน เป็นครั้งแรก และสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวปักกิ่งก็คือการไปเที่ยวชมกำแพงเมืองจีน ซึ่งเดินทางจากปักกิ่งไปได้ง่ายที่สุด

ปักกิ่ง (Beijing) — เมืองหลวงยุคโบราณและยุคใหม่
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: กำแพงเมืองจีน พระราชวังต้องห้าม จัตุรัสเทียนอันเหมิน  หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Temple of Heaven) สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง (สนามกีฬารังนก)
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ขึ้นไปเดินบนกำแพงเมืองจีน นั่งรถสามล้อถีบชมย่านประวัติศาสตร์หูท่ง (Hutong) รับประทานเป็ดปักกิ่ง  ชมงิ้วปักกิ่งและการแสดงกังฟู เยี่ยมชมพระราชวังฤดูร้อน
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 2–4 วัน

2. กุ้ยหลิน (Guilin) – ภูมิทัศน์ภูเขาและชนบทที่สวยที่สุดในประเทศจีน

หนึ่งในเมืองที่เป็น สถานที่ท่องเที่ยวจีน ยอดนิยมก็ต้องยกให้ กุ้ยหลิน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ในมณฑลกวางซี เป็นดินแดนแห่งขุนเขา ที่เรียกว่าภูมิประเทศแบบภูเขาคาร์สต์ ที่สวยงามที่สุดและมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ภูเขาสีเขียวมากมายตั้งอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่ และสายน้ำที่มีธรรมชาติสวยงามราวกับสรวงสวรรค์ ทั้งเทือกเขาที่สลับซับซ้อน ถ้ำหินงอกหินย้อยรูปทรงแปลกตา หรือแม่น้ำไหลเอื่อยๆ คดเคี้ยวไปมา ที่สำคัญอากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งปี จนได้รับสมญานามว่า “เมืองสวรรค์บนพื้นพิภพ” นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว กุ้ยหลินยังเป็นที่ตั้งของชนกลุ่มน้อยหลายสิบกลุ่ม รวมถึงจ้วง เหยา แม้ว และตง ซึ่งอาศัยอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองในหมู่บ้านที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาขั้นบันได และสถานที่ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในกุ้ยหลินคือเมืองหยางซั่ว สถานที่ที่มีตัวเลือกที่เหมาะกับทั้งคนที่อยากทำกิจกรรมผจญภัยหรือต้องการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ 

กุ้ยหลิน (Guilin) – ภูมิทัศน์ภูเขาและชนบทที่สวยที่สุดในประเทศจีน
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: แม่น้ำหลี่ เมืองหยางซั่ว ทุ่งนาขั้นบันไดหลงจี แม่น้ำสองสาย และทะเลสาบทั้งสี่
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ล่องเรือชมทิวทัศน์ในแม่น้ำหลี่ ท้าทายตัวเองด้วยการเล่น SUP (แพดเดิลบอร์ดแบบยืน) ขี่รถ ATV ปั่นจักรยานในพื้นที่ชนบท ชมนาข้าวขั้นบันได ล่องแพไม้ไผ่ ชิมบะหมี่กุ้ยหลิน
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-4 วัน

3. เฉิงตู (Chengdu) – บ้านเกิดของแพนด้ายักษ์

เฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน และเป็นทั้งศูนย์กลางด้านการเมือง การทหาร การศึกษา การคมนาคม และอุตสาหกรรมแห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้  ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำหมินที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เฉิงตูมีภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงาม และประวัติศาสตร์อันยาวนานก่อให้เกิดวัฒนธรรมเก่าแก่ โบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าต่อการยี่ยมชม งานศิลปะหลากหลายที่สืบทอดมายาวนานนับพันปี คู่ขนานไปกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยได้อย่างลงตัว นอกจากนี้เฉิงตูยังถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดของแพนด้ายักษ์ สัตว์สงวนหายากของประเทศจีน ที่มีศูนย์อนุรักษ์และศึกษาแพนด้าที่ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม

เที่ยวจีน - เฉิงตู (Chengdu) – บ้านเกิดของแพนด้ายักษ์
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: หุบเขาแพนด้าตู้เจียงเอี้ยน ศูนย์เพาะพันธุ์และวิจัยแพนด้ายักษ์เฉิงตู พระใหญ่เล่อซาน ถนนโบราณจินลี่
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: แวะไปเยี่ยมแพนด้า ลิ้มรสหม้อไฟเสฉวนรสเผ็ด ชมการแสดงโชว์เปลี่ยนหน้ากากซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศิลปะการแสดงงิ้วชั้นสูงของเสฉวน ไหว้พระใหญ่เล่อซาน ชอปปิ้งที่ถนนคนเดินซุนซีลู่ จองทัวร์ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-4 วัน

4. ซีอาน (Xi’an) – เมืองหลวงของจีนโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ซีอาน เมืองหลวงเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองของจีน (รองจากปักกิ่ง) ได้รับการยกย่องให้เป็นสี่เมืองหลวงโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก (ร่วมกับเอเธนส์ โรม และไคโร) มีประวัติที่น่าสนใจอันเนื่องมาจากเมืองซีอานเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่ขยายจากเอเชียไปยังยุโรป และมีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก เมืองซีอานได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโก้ในปีพ.ศ. 2524 ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการมาชื่นชมความสวยงาม เรื่องราวความเป็นมาของจีนในอดีต สถานที่ทางประวัติศาสตร์ขนาดมหึมา ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม และสำรวจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนโบราณ

สถานที่ท่องเที่ยวจีน - ซีอาน (Xi'an)
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ กำแพงเมืองซีอาน หอระฆังและหอกลอง เจดีย์ต้าเยี่ยน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งส่านซี สระว่ายน้ำหัวชิงฉือ สวนสาธารณะต้าถังฝูทรงหย่วน
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: เยี่ยมชมกองทัพทหารดินเผา ขี่จักรยานเที่ยวบนกำแพงเมืองโบราณ ลองชิมของว่างในย่านชาวมุสลิม
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-3 วัน
สถานที่ท่องเที่ยวจีน - ซีอาน (Xi'an) – เมืองหลวงของจีนโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

5. เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) — ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก

เซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจที่ใช้เวลาเพียง 170 ปีในการเปลี่ยนจากหมู่บ้านชาวประมงมาเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดในจีน เต็มไปด้วยบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาที่สามารถเทียบได้กับนิวยอร์กและปารีสในแง่ของความทันสมัย คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับความเจริญยุคใหม่ของจีน และได้เห็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก เซี่ยงไฮ้มีฉายาว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เพราะว่าเต็มไปด้วยแสงสีตระการตายามค่ำคืน นอกจากนี้เซี่ยงไฮ้ยังมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่เป็นแลนด์มาร์คที่คนรู้จักไปทั่วโลกที่ใครไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ก็ต้องไปเช็คอิน

สถานที่ท่องเที่ยวจีน - เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) — ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: เดอะบันด์ สวนอี้หยวน วัดหยกเซี่ยงไฮ้ เมืองโบราณจูเจียเจี่ยว สวนสนุกดิสนีย์แลนด์, ตึกเซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ หอไข่มุกตะวันออก ย่านซินเทียนตี้ ถนนนานจิง
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: สัมผัสประสบการณ์รถไฟที่เร็วที่สุดในโลก เดินเล่นไปตามย่านเดอะบันด์ ชมวิวมุมสูงจากจุดชมวิวบนเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ ชมงานศิลปะและชองเก๋ๆ ที่ M50 Creativity Space ชอปปิ้งที่ถนนคนเดินนานจิง เยี่ยมชมตลาดและสวนอี้หยวน
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-3 วัน

6. หางโจว (Hangzhou) — สวรรค์บนดินทั้งกินทั้งชอปปิ้ง

หางโจว เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง มณฑลทางตะวันออกของประเทศจีน ตัวเมืองตั้งอยู่ที่อ่าวหางโจว และติดกับคลองต้าอวิ๋นเหอ เมืองหางโจวนับเป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของจีน นอกเหนือจากเมืองซีอาน ลั่วหยาง ปักกิ่ง นานกิง และไคฟง หางโจวเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ มีทั้งทะเลสาบซีหู ที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม มีซากโบราณสถานของวังหลวงที่เคยเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ และมีวัดโบราณเก่าแก่อีกมากมาย ซึ่งมาร์โค โปโล นักสำรวจชาวอิตาลี มาที่หางโจวในศตวรรษที่ 13 ได้ขนานนามหางโจวไว้ว่า “เมืองที่สง่างามและวิจิตรงดงามที่สุดในโลก” และอีกหนึ่งกิจกรรมในเมืองนี้ที่มีชื่อเสียงมากคือ “การชมพระจันทร์บนทะเลสาบซีหู” เพราะที่นี่ถูกยกย่องให้เป็นสถานที่ชมความงามของพระจันทร์ที่สวยที่สุดมากกว่าที่ไหนๆ ด้วย หางโจวจึงจัดเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงระดับโลก นอกจากนี้ หางโจวยังเป็นเมืองภาคตะวันออกที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูงสุด มีรถไฟฟ้าใต้ดินกว่า 10 สาย และมีสถาบันการศึกษาระดับสูงที่ติด 10  อันดันของประเทศจีนอีกด้วย

เที่ยวจีน - หางโจว (Hangzhou) — สวรรค์บนดินทั้งกินทั้งชอปปิ้ง
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: ศูนย์กีฬาโอลิมปิกหางโจวสนามกลาง ราฟเฟิลส์ซิตี้ ไช่เจียงซินซิตี้ ทะเลสาบซีหู วัดหลิ่งอิ่น(วัดหลิ่งหยิน) เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง อุทยานพื้นที่ชุ่มน้ำซีสี ไร่ชาหลงจิ่ง สวนไท่จือวัน ถนนโบราณเหอฟาง เจดีย์เหลยเฟิง
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: เดินเล่นหรือขี่จักรยานรอบทะเลสาบซีหู ล่องเรือสำปั้นผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำซีสี ทัวร์ชมคลองแกรนด์คาแนล (คลองขุดที่เก่าแก่และยาวที่สุดในโลก) และวัฒนธรรมเมืองหางโจวกับไกด์ท้องถิ่น ชิมไก่ขอทาน (Beggar’s Chicken) ดื่มชาเขียวที่ดีที่สุดของจีนที่ไร่ชาหลงจิ่ง ชมพระพุทธรูปที่แกะสลักบนภูเขาที่วัดหลิงอิ่น
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 1-2 วัน

7. หวงซาน (Huangshan) – มนต์เสน่ห์แห่งมรดกธรรมชาติของโลก

เขาหวงซานหรือภูเขาเหลือง (Yellow Mountain) ตั้งอยู่ที่มณฑลอันฮุย ทางตะวันออกของจีน เป็น 1 ใน 10 ของยอดเขาที่มีทิวทัศน์สวยงามขึ้นชื่อของประเทศจีนและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก สภาพธรณีวิทยาและธรรมชาติสวยงามราวจิตรกรรมจากปลายพู่กันศิลปิน จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติขององค์กรยูเนสโก เมื่อปี พ.ศ. 2533 เขาหวงซานประกอบด้วยยอดเขาประมาณ 72 ยอด โดยยอดเขาสูงสุดคือยอดเหลียนฮวา (ยอดเขาดอกบัว) มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,864 เมตร รายล้อมด้วยภูเขาสูงต่ำและมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คุณจะตื่นตาไปกับต้นสนเก่าแก่เรียงรายเป็นแถวและหมู่หินแกรนิตขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตาตามจินตนาการ และภาพทะเลหมอกและเมฆที่ลอยปกคลุมไปทั่ว นอกจากนี้ บริเวณเทือกเขายังมีน้ำตกใหญ่ 2 แห่ง ลำธาร 24 สาย น้ำพุร้อน และบ่อน้ำร้อนธรรมชาติอีกหลายแห่ง 

เที่ยวจีน - หวงซาน (Huangshan) – มนต์เสน่ห์แห่งมรดกธรรมชาติของโลก
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: เทือกเขาหวงซาน ชมเมืองโบราณหงชุนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 800 ปี เมืองริมน้ำโบราณซีถัง (สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Mission Impossible III) เมืองโบราณถุนซี
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: เที่ยวชมบริเวณโดยรอบของอุทยาน ชมพระอาทิตย์ขึ้นบนเขาหวงซาน ดื่มด่ำกับความงดงามของทะเลเมฆและหมอก ตื่นตาตื่นใจกับรูปลักษณ์ที่แปลกตาของมวลหมู่ต้นสนที่มีอายุตั้งแต่ 800 ปีขึ้นไป แช่น้ำพุร้อน เยี่ยมชมหมู่บ้านโบราณ
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 3-4 วัน

8. ลี่เจียง (Lijiang) – ดินแดนแห่งภูเขาและธรรมชาติสุดอลังการ

ลี่เจียง (Lijiang) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 2,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลี่เจียงเป็นเมืองเก่าที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนเผ่านาซีที่อพยพมาจากทิเบต มีลักษณะเป็นเมืองโบราณสวยงามและมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี จึงได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี พ.ศ. 2520 ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ลี่เจียงเป็นเมืองที่ได้รับฉายาว่า “เวนิสแห่งตะวันออก” อันเนื่องมาจากมีลำธารและคูคลองไหลผ่านอาคารบ้านเรือนโบราณและมีสะพานเล็กๆ ข้ามฝั่งไปมามากกว่า 300 สะพาน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลีนั่นเอง

เที่ยวจีน - ลี่เจียง (Lijiang) - ดินแดนแห่งภูเขาและธรรมชาติสุดอลังการ
  • สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ: ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) ทะเลสาบไป๋สุ่ยเหอ (Blue Moon Valley) ทุ่งหญ้าหยุนซันผิง (Yun Shan Ping) เมืองเก่าลี่เจียง สระน้ำมังกรดำ หุบเขาเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge)
  • ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ชมวิวธรรมชาติที่สวยงามที่สุดบนเยอดเขาหิมะมังกรหยกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,506 เมตร ถ่ายรูปกับจามรีที่ทะเลสาบไป๋สุ่ยเหอ หาของอร่อยและชอปปิ้งที่เมืองโบราณลี่เจียง ชมโชว์จางอี้โหม่ว (Impression Lijiang) 
  • ระยะเวลาที่แนะนำ: 3-4 วัน

เราคงไม่สามารถเที่ยวประเทศจีนได้ทั้งหมดในทริปเดียว การที่จะตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนก่อนเป็นทริปแรก เราควรคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น จำนวนวันสำหรับทริปนั้นๆ การเดินทาง สภาพอากาศ สภาพร่างกาย เป็นต้น ไม่ควรเดินทางไปหลายที่มากเกินไป มุ่งเน้นไปที่การพักผ่อนและได้ซึมซับกับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทริปของคุณ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้รับความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทางต่างประเทศ Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : chinahighlights.com, museumofwander.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

7 อาหารโอซาก้า พร้อมแหล่งร้านอาหารโอซาก้า ห้ามพลาด!!

โอซาก้าเป็นเมืองท่าในภูมิภาคทางตะวันตกของคันไซ มีกลิ่นอายของความเรียบง่าย สนุกสนาน และมีสีสัน และมีสำเนียงโอซาก้าที่โดดเด่น มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมล้ำสมัย อาหารอร่อย ว่ากันว่าชาวโอซาก้าใช้จ่ายไปกับค่าอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงทำให้โอซาก้ามีชื่อเสียงในด้านอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู ซึ่งบางเมนูก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและอาจเลยไปจนถึงต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นโชคดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด เพราะอาหารที่ควรลองส่วนใหญ่เป็นอาหารที่อยู่ในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึงได้ Allianz Travel จะพาคุณไปชิมอาหารโอซาก้าที่คุณควรลอง และแนะนำแหล่งร้านอาหารโอซาก้าที่ควรห้ามพลาด ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอาหารโอซาก้า เมนูไหนบ้าง และย่านแหล่งรวม ร้านอาหารโอซาก้า ที่ไหนบ้าง ที่เราควรไปลิ้มลองกันค่ะ :)!

1. ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ทาโกะยากิเป็นหนึ่งในอาหารโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารประจำภูมิภาคที่ขายดีที่สุดของโอซาก้า ลักษณะเป็นลูกกลมเล็กๆ ทำจากแป้งผสมไข่และสอดไส้ปลาหมึกยักษ์หรือทาโกะที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โอซาก้ามีร้านทาโกะยากิมากกว่า 700 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมืองที่ขายตลอดทั้งวันให้คุณได้ลิ้มลอง (โตเกียวมีประมาณ 200 ร้าน) ทำให้เมืองนี้เป็นตลาดทาโกะยากิที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเขตมินามิ ร้านทาโกะยากิแต่ละร้านพยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ ไม่ให้เหมือนใคร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าติดใจจนมาทานกันบ่อยๆ อย่างทาโกะยากิสูตรหน้าร้อน ที่ทานกับน้ำแข็งใส หรือบางร้านก็พยายามหาวัตถุดิบพื้นฐานที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเอร็ดอร่อยได้ แม้ไม่ต้องใส่ซอส

อาหารโอซาก้า ทาโกะยากิ (Takoyaki)

ว่ากันว่าเกือบทุกบ้านในโอซาก้าจะมีเครื่องทำทาโกะยากิ และแม้แต่เด็กๆ ก็รู้วิธีย่างทาโกะยากิ เราสามารถทานทาโกะยากิได้ทั้งเป็นของว่างและอาหารจานหลัก

2. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

โอโคโนมิยากิ หรือที่บางคนเรียกว่าพิซซ่าญี่ปุ่น สามารถหาได้เกือบทุกพื้นที่ของโอซาก้า ตั้งแต่ย่านใจกลางเมืองใหญ่ไปจนถึงย่านช็อปปิ้งในชานเมือง โอโคโนมิยากิมีรสชาติและท็อปปิ้งที่หลากหลาย ทำจากไข่ แป้งสาลี ผสมกับน้ำหรือซุปดาชิ จากนั้นใส่กะหล่ำปลีหั่น และส่วนผสมอื่นๆ อย่างเช่น หัวหอม เนื้อหมูหั่นบางๆ ปลาหมึก กิมจิ หรือชีส จากนั้นก็ย่างบนกระทะเหล็กร้อน จากนั้นราดด้วยซอสโอโคโนมิยากิ สาหร่ายแห้ง ปลาคัตสึโอะแห้ง และมายองเนสตามชอบ

อาหารโอซาก้า โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)

ร้านอาหารโอโคโนมิยากิบางแห่งก็เปิดโอกาสให้คุณปรุงและย่างเองบนโต๊ะด้วย โดยพนักงานจะนำวัตถุดิบมาให้ลูกค้าเลือก และนำไปย่างเองบนแผ่นกระทะร้อน (เท็ปปังยากิ) ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกในทริป หรือบางร้านก็จะมีพ่อครัวมาทำโอโกโนมิยากิตรงหน้าลูกค้าเลย

3. คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

คุชิคัตสึคือของทอดเสียบไม้ ที่นำเนื้อสัตว์และผักที่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำนำมาเสียบไม้ แล้วชุบแป้งทอดจนกรอบ หนึ่งในของอร่อยประจำโอซาก้าที่เทียบเคียงความนิยมได้ไม่ต่างจากโอโคโนมิยากิและทาโกะยากิ จุดเริ่มต้นของคุชิคัตสึคือปี 1929 ในย่านชินเซไก ซึ่งเป็นศูนย์กลางใจกลางเมืองของผู้ใช้แรงงานรายวันที่มีรายได้น้อย จากร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ต้องการทำอาหารจานด่วน ราคาถูก รวดเร็ว อร่อย และอิ่มอยู่ท้อง ขายให้กับเหล่าแรงงานเหล่านั้น ผลก็คือได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อาหารโอซาก้า คุชิคัตสึ (Kushi-katsu)

ร้านคุชิคัตสึส่วนใหญ่เป็นร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ มีเพียงเคาน์เตอร์แบบยืนหรือแบบนั่งเท่านั้น พอเข้าไปในร้านจะเห็นถ้วยสแตนเลสใส่ซอสตั้งไว้อยู่หน้าที่นั่งแต่ละที่บนเคาน์เตอร์สำหรับใช้ร่วมกัน โดยมีกฎเหล็กคือให้จิ้มคุชิคัตสึในซอสได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องเป็นคุชิคัตสึที่ยังไม่ได้กัดด้วยเพื่อจุดประสงค์ในเรื่องอนามัย และเป็นการใช้ซอสอย่างประหยัดเพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับร้านค้าด้วย บางร้านมีกะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้นวางไว้ให้หยิบทานได้ฟรี เพื่อแก้เลี่ยนจากการรับประทานของทอด โดยจะกินเปล่าๆ หรือจิ้มซอสก็ได้ หรือถ้าคุณต้องการซอสเพิ่มบนคุชิคัตสึที่คุณกินไปแล้ว คุณสามารถใช้กะหล่ำปลีนี้ตักซอสขึ้นมาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเวลาเอามาจิ้มซอสก็จิ้มได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

4. คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

คิทสึเนะอุด้ง หรืออุด้งร้อนในน้ำซุปที่ทำจากดาชิ โชยุ มิริน โปะหน้าด้วยฟองเต้าหู้ทอดแผ่นใหญ่ต้มซีอิ๊วหวาน โรยด้วยต้นหอมซอย เป็นอุด้งในแบบฉบับโอซาก้าแท้ๆ ที่คนโอซาก้านิยมกินมากๆ คำว่าคิทสึเนะในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวว่า สุนัขจิ้งจอก ในตำนานเชื่อว่าเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าอินาริ (เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม)  ช่วยจับสัตว์ที่เข้ามาก่อกวนพืชพรรณในไร่นา ผู้คนจึงถวายแผ่นเต้าหู้ทอดในศาลเจ้าอินาริเพื่อแสดงความขอบคุณ เลยเป็นที่มาของการเรียก ซูชิที่ห่อด้วยแผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะว่า อินาริซูชิ (Inari Sushi) ส่วน อุด้ง ที่ใส่แผ่นเต้าหู้ทอดหรืออาบูระอาเกะก็เรียกว่า คิทสึเนะอุด้งนั่นเอง

อาหารโอซาก้า คิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon)

5. บูตะมัน (Butaman)

บูตะมันคือซาลาเปาเนื้อนุ่มไส้หมูที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงหลังการฟื้นฟูเมจิ เมื่อซาลาเปาจีนที่เคยเข้ามาในย่านไชน่าทาวน์ถูกดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมสไตล์ญี่ปุ่น หากเทียบกับซาลาเปาในภูมิภาคอื่นๆ บูตะมันของโอซาก้ามีขนาดใหญ่ใส่เนื้อหมูและหัวหอมชุ่มฉ่ำอยู่ในแป้งเนื้อนุ่ม บางร้านอาจใส่ผักสับละเอียดลงไปด้วย เช่น ทาโทโกะ (หน่อไม้) หรือเห็ดหอมแห้ง วิธีรับประทานส่วนใหญ่จะแบ่งขนมปังออกเป็นสองส่วนแล้วจิ้มมัสตาร์ดรสเผ็ด หรือราดด้วยซอสเปรี้ยวและซีอิ๊ว โอซาก้ามีร้านขายบูตะมันโดยเฉพาะมากมายซึ่งมีหลายรูปแบบ บางแบบจะอันใหญ่ไส้เยอะ หรือบางแบบก็ทำขนาดเล็กและแป้งหุ้มบาง เครือร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งได้เปิดร้านทั่วภูมิภาคคันไซ โดยขายซาลาเปาได้มากถึง 170,000 ชิ้นต่อวัน คุณสามารถหาซื้อบูตะมันได้ตามร้านที่ขายโดยเฉพาะ หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่นึ่งสดใหม่ หรือจะซื้อกลับบ้านแบบแช่เย็นหรือแช่แข็งก็ได้ บางคนก็ซื้อบูตะมันในสถานีรถไฟเพื่อเป็นของขวัญและของที่ระลึก

อาหารโอซาก้า บูตะมัน (Butaman)

6. ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

ชื่อฮาโกะซูชิอาจไม่คุ้นหูพวกเรากันนัก แต่ถ้าถามคนโอซาก้าแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันหมดทุกคน เนื่องจากฮาโกะซูชิถือว่าเป็นซูชิแบบต้นตำรับของโอซาก้าที่มีมานานมากๆ แล้ว และมีรูปแบบที่แตกต่างจากซูชิแบบทั่วไปที่เรารู้จักกัน โดยจะเป็นซูชิที่ทำจากข้าวหุงในน้ำส้มสายชู ผสมกับส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ปลาไหลปรุงรส กุ้ง ปลาทรายแดงเล็ก และไข่หวาน อัดลงในกล่องไม้หรือฮาโกะ ถอดออกมาก้อน แล้วจึงหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ จึงเป็นที่มาของชื่อ “โอชิ-ซูชิ (ข้าวปั้นที่ถูกกดทับเป็นสี่เหลี่ยม)” ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยเมจิ (1868-1912) ต่อมานำมาประยุกต์เป็นฮาโกะซูชิ ที่เป็นอาหารสำหรับแขกหรือการเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ โดยรูปลักษณ์ที่สดใสและมีสีสันของซูชิเป็นตัวแทนของโอซาก้า ป้จจุบันมีจำนวนร้านอาหารที่ขายฮาโกะซูชิมีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากขั้นตอนการทำต้องใช้เวลาและความชำนาญ แต่เทคนิคและรสชาติยังได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น

อาหารโอซาก้า ฮาโกะซูชิ (Hakozushi)

7. เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

เบนิโชงะหรือชิงดองสีชมพูเป็นหนึ่งในเครื่องเคียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเมื่อรับประทานกิวด้งหรือข้าวหน้าเนื้อ และเป็นเมนูที่คุณรับประทานได้ไม่อั้น มีขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น และโอซาก้าเป็นเมืองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นในด้านการทำขิงดองและเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนโอซาก้าจะนำเบนิโชกะมาปรุงเป็นอาหารโอซาก้า แบบใหม่ๆ อาหารที่ไม่ธรรมดาที่สุดที่คุณสามารถพบได้ในโอซาก้าเท่านั้นคือเบนิโชงะเทมปุระ โดยนำเบนิโชงะมาหั่นเป็นแผ่นเสียบไม้ แล้วทอดชุบแป้งทอดแบบเทมปุระ คุณสามารถรับประทานเปล่าๆ หรือจิ้มซอสวูสเตอร์ก็ได้ เหมาะสำหรับเป็นอาหารทานเล่นเวลาดื่มเหล้า หากคุณชอบรับประทานเบนิโชงะหรือขิงดองรสเข้มข้น คุณต้องลองเบนิโชงะโนะเทมปุระแสนอร่อยนี้

อาหารโอซาก้า เบนิโชงะโนะเทมปุระ (Benishouga-no-Tempura)

ขอบคุณรูปภาพจาก: kyoudo-ryouri.com, gourmetbclass.travellerspoint.com

แหล่ง ร้านอาหารโอซาก้า ที่คุณห้ามพลาด

1. ย่านนัมบะ

การเดินทางไปยังสถานีนัมบะเรียกได้ว่าสะดวกมาก เพราะเป็นบริเวณที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมหลักของโอซาก้าที่มีทั้งรถไฟจาก JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า รถไฟฟ้านันไค รถไฟฟ้าฮันชิน และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่น จึงมี ร้านอาหารโอซาก้า และร้านอาหารมากมายทั้งในตัวสถานี ตลาด และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ด้านนอก อย่างเช่น ตลาดคุโรมงอิจิบะ (Kuromon Ichiba Market) ศูนย์การค้านัมบะพาร์ค โอซาก้า (Namba Parks Osaka) และศูนย์การค้านัมบะซิตี้ โอซาก้า (Namba City Mall) เป็นต้น

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านนัมบะ

2. ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทุกคนเมื่อมาโอซาก้าคือย่านชินไซบาชิ ซึ่งอยู่สถานีถัดจากนัมบะหากนั่งรถไฟใต้ดิน และโดทงโบริคือถนนช้อปปิ้งที่ยาวเชื่อมระหว่างสถานีนัมบะและสถานีชินไซบาชิ คุณสามารถเดินจากสถานีนัมบะไปโดทงโบริโดยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดทงโบริ/ชินไซบาชิ

ระหว่างทางที่เชื่อมระหว่างชินไซบาชิและโดทงโบริ คุณจะพบกับ ร้านอาหารแบบดั้งเดิมและ ร้านอาหารโอซาก้า ยอดนิยมมากมายที่น่าลอง หากมาในย่านนี้ คุณควรต้องมาตอนท้องว่างเท่านั้น!

3. ย่านอุเมดะ

อุเมดะเป็นหนึ่งย่านใจกลางเมืองโอซาก้า และหมายถึงพื้นที่รอบๆ สถานี JR โอซาก้า สถานีโอซาก้า-อุเมดะ สถานีอุเมดะ สถานีฮิกาชิ-อุเมดะ และสถานีนิชิ-อุเมดะ ถือได้ว่าสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายมาก เราสามารถนั่งรถไฟจากอุเมดะไปยังนัมบะหรือชินไซบาชิโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ย่านอุเมดะมีทั้งศูนย์การค้า ร้านอาหาร และร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นและอาหารว่างที่มีขายอยู่ทุกถนน

อาหารที่ต้องลองในย่านนี้มีให้เลือกมากมาย ทั้งทาโกะยากิ ปลาปักเป้า เนื้อโกเบ และเมื่อคุณทาอาหารจนอิ่มแล้ว คุณสามารถเลือกร้านกาแฟที่มีทิวทัศน์สวยงามให้คุณได้นั่งพักผ่อนเช่นกัน

4. ย่านชิน-โอซาก้า

ที่นี่คือสถานีรถไฟชินคันเซ็นที่จอดที่โอซาก้าก่อนมุ่งหน้าไปยังเกียวโต โกเบ นารา โตเกียว หรือจุดหมายปลายทางสำคัญอื่นๆ ในญี่ปุ่น และสถานีนี้ยังมีให้บริการรถไฟ JR รถไฟใต้ดินโอซาก้า และรถไฟสายอื่นๆ อีกหลายสาย คุณสามารถนั่งรถไฟจากย่านนัมบะมาที่ชิน-โอซาก้าโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือนั่งรถไฟ 5 นาทีจากสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอุเมดะ

ภายในสถานีมีร้านอาหารมากกว่า 30 ร้าน รวมถึงร้านอาหารที่เป็นแบรนด์ของโอซาก้าที่ต้องลอง หรืออาหารสตรีทฟู้ดก็มีให้เลือกมากมาย คุณสามารถหาทานอาหารยอดนิยมของโอซาก้า อย่างโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ หรืออุด้ง ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล หรือหากต้องการอาหารที่มีเฉพาะที่ ก็ซื้ออาหารกล่องบนรถไฟหรือ ‘เอกิเบน’ เมนูที่เราอยากแนะนำก็คือชุดเนื้อโกเบหรือลิ้นวัวที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

5. ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

บริเวณนี้รายล้อมไปด้วยสถานีโดบุทสึเอ็นมาเอะ (Dobutsuen-mae) สถานีเอบิซุโจ (Ebisucho) ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหอคอยสึเต็งกากุ (Tsutenkaku) และสถานีเทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งเป็นสถานีตามเส้นทางของรถไฟใต้ดินโอซาก้า เป็นย่านที่เป็นจุดแวะชิมอีกแห่งหนึ่งแห่งที่ใช้เวลาเดินจากสถานีต่างๆ ประมาณ 10 นาที หากนั่งรถไฟจากนัมบะไปสถานีเอบิซูโชใช้เวลาประมาณ 15 นาที  และจากอุเมดะจะใช้เวลาประมาณ 25 นาที

ร้านอาหารโอซาก้า ย่านโดบุทสึเอ็นมาเอะ / ชินเซไก / เทนโนจิ

ถนนช้อปปิ้งชินเซไกมีความย้อนยุคแบบเต็มรูปแบบ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดุดตาที่สุดในย่านนี้ ที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของคุชิคัตสึ หนึ่งในอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของโอซาก้า คุณสามารถลองชิมรสชาติแบบดั้งเดิมจากร้านค้าต่างๆ หรือร้านอิซากายะราคาไม่แพงแต่อร่อย นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ควรชิมอีกอย่างเช่น ซูชิ แซนด์วิชเนื้อ คุณจะพบร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น หรือร้านกาแฟทันสมัยได้ที่นี่

ตอนนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวโอซาก้ามีอะไรบ้าง นอกเหนือจากการลองชิมอาหารอร่อย  คุณอาจลองเข้าคลาสทำอาหารต้นตำรับของโอซาก้า หรือแวะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และสิ่งสำคัญที่คุณควรมีติดตัวไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คือประกันภัยการเดินทาง สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเดินทางอย่างอุ่นใจไร้กังวล เพียงจ่ายเงินไม่กี่บาท คุณก็จะได้ความคุ้มครองมากมายที่ครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง* เช่น ความเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าหาย เที่ยวบินดีเลย์ เป็นต้น Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่จะช่วยให้ทริป การเดินทางของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : livejapan.com

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel