10 ประโยคที่ควรฝึกพูดก่อนตะลุยทริปต่างประเทศ

สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศ หลังจากที่คุณได้เลือกสถานที่ท่องเที่ยว ตระเตรียมลางาน จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก จากนั้นก็วางแผนจัดตารางเวลาการท่องเที่ยวในแต่ละวันว่าจะไปเที่ยวสถานที่ใดเวลาเท่าไหร่สำหรับทริปของคุณแล้ว ก็มาถึงเวลาเตรียมความพร้อมของตัวคุณเองด้วย นอกจากการจัดเตรียมจัดกระเป๋าเสื้อผ้าและสิ่งของจำเป็นแล้ว คุณควรศึกษาประโยคสื่อสารง่าย ๆ สำหรับพูดคุยกับคนท้องถิ่นเพื่อให้ทริปของคุณราบรื่นและสนุกสนานตลอดการเดินทางค่ะ

เอ่ยคำทักทาย สวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ เป็นภาษาท้องถิ่น

นอกจากการโบกมือทักทายหรือสบตาพร้อมส่งยิ้มให้กับคนที่คุณพบเจอเพื่อแสดงความเป็นมิตรแล้ว การกล่าวสวัสดีเป็นภาษาท้องถิ่นก็เป็นการแสดงไมตรีและให้เกียรติคนที่คุณพบด้วย อาจใช้คำทักทายง่าย ๆ ในภาษาอังกฤษอย่าง “Hello” หรือเป็นคำทักทายที่สุภาพได้ใจคนฟังอย่าง “Good Moring” ในภาษาอังกฤษ และ “โอฮาโย โกไซมัส” ในภาษาญี่ปุ่น ลองฝึกประโยคแนะนำตัวง่าย ๆ อย่างเช่น “สวัสดีค่ะ (อัน-นยองฮาเซโย) ดิฉัน(เชกา)ชื่อ.. ดิฉันเป็นคนไทย (เชกา แทกุอิน อิมนิดา)” ในภาษาเกาหลีเป็นต้นค่ะ ซึ่งช่วยให้เจ้าบ้านมีความรู้สึกที่ดีกับเราและคนไทยด้วยนะ

การใช้คำขอโทษเพื่อเรียกหรือสอบถามข้อมูล

หากเราต้องการสอบถามบางสิ่งกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา การเรียกเค้าโดยใช้คำว่า You, you! อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ ควรใช้คำว่า “Excuse me, could you… “ ในภาษาอังกฤษ หรือ “สุมิมาเซน” ในภาษาญี่ปุ่น เพื่อขอโทษและขอรบกวนเวลาสักครู่ในการอสอบถามหรือขอความช่วยเหลือ

การใช้คำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวคุณอาจทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ การกล่าวคำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจแก่คนท้องถิ่นด้วยภาษาของเค้าเช่น “ชเว-ซงฮัมนีดา” ในภาษาเกาหลีหรือ “Sorry” ในภาษาอังกฤษ จะช่วยให้คนที่ได้ฟังรู้สึกดีและไม่ถือสาหาความคุณแน่นอน

กล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากได้รับความช่วยเหลือหรือได้รับน้ำใจไมไมตรีจากเจ้าบ้านควรกล่าวคำว่าขอบคุณในภาษาบ้านเค้าเช่น “ออกุน” ในภาษากัมพูชา และ “เซี่ยเซี่ย” ในภาษาจีน รับรองว่าคุณจะได้รับรอยยิ้มกว้าง ๆ ด้วยความยินดีตอบกลับมา

ใช่ / ไม่ใช่ อันนี้ต้องจด

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการสื่อสารหรือสอบถามข้อมูลควรศึกษาคำว่า ใช่/ไม่ใช่ เอาไว้ด้วย เช่น คำว่า “Yes/No” ในภาษาอังกฤษ “เน/อานีโย” ในภาษาเกาหลีเพื่อตอบรับหรือปฏิเสธ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาที่พูดคุยกันเร็วขึ้นค่ะ

การใช้คำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวคุณอาจทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ การกล่าวคำขอโทษเพื่อแสดงความเสียใจแก่คนท้องถิ่นด้วยภาษาของเค้าเช่น “ชเว-ซงฮัมนีดา” ในภาษาเกาหลีหรือ “Sorry” ในภาษาอังกฤษ จะช่วยให้คนที่ได้ฟังรู้สึกดีและไม่ถือสาหาความคุณแน่นอน

กล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากได้รับความช่วยเหลือหรือได้รับน้ำใจไมไมตรีจากเจ้าบ้านควรกล่าวคำว่าขอบคุณในภาษาบ้านเค้าเช่น “ออกุน” ในภาษากัมพูชา และ “เซี่ยเซี่ย” ในภาษาจีน รับรองว่าคุณจะได้รับรอยยิ้มกว้าง ๆ ด้วยความยินดีตอบกลับมา

ใช่ / ไม่ใช่ อันนี้ต้องจด

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการสื่อสารหรือสอบถามข้อมูลควรศึกษาคำว่า ใช่/ไม่ใช่ เอาไว้ด้วย เช่น คำว่า “Yes/No” ในภาษาอังกฤษ “เน/อานีโย” ในภาษาเกาหลีเพื่อตอบรับหรือปฏิเสธ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาที่พูดคุยกันเร็วขึ้นค่ะ

ประโยคสอบถามเส้นทาง จำไว้ไม่มีหลง

การไปอยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยถึงแม้ว่าจะมีแผนที่หรือแอพพลิเคชั่นอยู่ในมือบางครั้งคุณอาจเจอเรื่องไม่คาดฝันเช่น แผนที่ยังไม่ได้ปรับปรุง ยิ่งถ้าเจอคนท้องถิ่นที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ยิ่งเซอไพร์สเข้าไปใหญ่ ดังนั้นคุณควรศึกษาประโยคสอบถามเส้นทาง เช่น ดิฉัน/ผม จะไป..(ชื่อสถานที่)..ได้อย่างไร “(ชื่อสถานที่) วะ โดโกะ เดสก๊ะ” ในภาษาญี่ปุ่น หรือ “How can I get to…..?” ในภาษาอังกฤษ ที่สำคัญควรจดจำศัพท์บอกทิศทางอย่าง ซ้าย, ขวา, และตรงไป “หมิหงิ, หิดาหริ, หมัดซุหงุ” ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งช่วยให้เข้าใจเส้นทางเมื่อมีผู้อธิบายเส้นทางมาได้รวดเร็วขึ้น

ปวดหนัก ปวดเบา กระทันหัน “ห้องน้ำ” เรื่องสำคัญ

หากคุณไม่ได้กำลังเดินซื้อของอยู่ในย่านห้างสรรพสินค้าหรือทานอาหารอยู่ในร้านที่มีห้องน้ำบริการ ในช่วงเวลาวิกฤตที่คุณต้องการห้องน้ำทันทีและรอบข้างไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ คุณต้องจำคำนี้ไว้ให้มั่น “ตุ้บตึ้ก, โซม-ตึ-วะ-บ็อน-ตุบ-ตึก-บาน-เต” แปลว่าขอใช้ห้องน้ำได้ไหมในภาษากัมพูชาหรือ “โอ่ะเต๊ะอะรัย ว๊ะ โด๊ะจิหร่ะ เดสก๊ะ ?” ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า ห้องน้ำไปทางไหนคะ/ครับ

หัดนับเลขสกิลสำคัญของขาช็อป

ระหว่างอยู่บนเครื่องบินลองหัดนับ 1-10 ในภาษาของประเทศที่เรากำลังไปเยี่ยมเยือนและจดจำวิธีการออกเสียงของคำว่า สิบ ร้อย พัน หมื่น รับรองว่าเป็นประโยชน์มาก ๆ ในเวลาจับจ่ายซื้อของไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ที่ไมได้แสดงป้ายราคาบอกไว้ค่ะ

ชิ้นนี้เท่าไหร่ แอบต่อราคาเนียน ๆ

เมื่อเจอของเตะตาถูกใจ อยากได้มาครอบครองลองมองหาป้ายราคา แต่หากไม่เจอก็เข้าไปทักทายคนขายด้วยรอยยิ้มแล้วถามราคาเลยค่ะ “How much” ในภาษาอังกฤษ หรือ “ออลมาเยโย๊” ในภาษาเกาหลีหรือขอลดราคาเนียน ๆ ในภาษาญี่ปุ่น “มะเก๊ะเต๊ะ คุดะไซ” ไม่ต้องเคอะเขิน รับรองได้ของถูกใจกลับเมืองไทยเพียบ

หากคุณป่วยและต้องการหาหมอ

เรื่องสุขภาพของคุณและผู้ร่วมทริปสำคัญมากที่สุด นอกจากการเตรียมหยูกยาที่จำเป็นติดกระเป๋าเดินทางมาแล้ว หากคุณจำเป็นต้องหาหมอเมื่อรู้สึกไม่สบายหรือเกิดอุบัติเหตุเจ็บเนื้อเจ็บตัวโดยไม่คาดฝัน ให้ศึกษาประโยคเกี่ยวกับอาการป่วยไว้ด้วยเช่น “I Feel sick” ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายในภาษาอังกฤษ “หว่อ ปิ้ง เลอ” ฉันกำลังป่วยในภาษาจีน และ ”How can I get to Hospital?” ฉันจะไปโรงพยาบาลได้อย่างไรในภาษาอังกฤษ หรือ “เบียวอิน วะ โดโกะ เดสก๊ะ” ในภาษาญี่ปุ่นในกรณีที่จำเป็นต้องพบหมอ

ที่สำคัญควรทำประกันเดินทางติดไว้ก่อนเดินทางทุกครั้ง เพราะเสียค่าเบี้ยเพียงไม่กี่ร้อยก็ช่วยให้คุณอุ่นใจตลอดการเดินทางว่าหากไม่สบายหรือเจ็บป่วยระหว่างท่องเที่ยวคุณไม่เดียวดายแน่นอนเพราะประกันคุ้มครองและช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ทำให้คุณหมดกังวลแล้วเที่ยวลั้ลลาได้ตามใจเลยค่ะ

หวังว่าตัวอย่างประโยคเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการเดินทางของคุณ นอกจากการใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารแล้วอาจต้องใช้ภาษากายหรือที่เราเรียกกันว่าภาษาใบ้นั่นเองซึ่งสามารถช่วยเราได้มากกว่าที่คิดนะคะ นอกจากนี้หากเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ควรหาคนที่พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาที่คุณถนัดได้เพื่อป้องกันการสื่อสารผิดพลาด พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

SHOPPING สบายกระเป๋าที่ต่างประเทศกับ 5 เทคนิคการต่อราคา

ฤดูหนาวมาแล้วจ้า ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของการท่องเที่ยวจริง ๆ เพราะอากาศเย็นสบาย มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ดอกไม้ฤดูหนาวเบ่งบานและหิมะตกในบางประเทศด้วย ที่สำคัญตรงกับช่วงปลายปีที่มีวันหยุดยาวติดกันแบบรัว ๆ เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงกำลังวางแผนท่องเที่ยว หรือ ว่ากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางค่ะ

การไปเที่ยวต่างประเทศนอกจากไปดูศิลปะวัฒนะธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศที่ไปเยี่ยมเยือน ลิ้มรสอาหารประจำท้องถิ่นที่หาทานได้ยากในบ้านเราและแน่นอนว่าต้องมีช่วงช็อปปิ้งเอาใจทุกคนที่มี Passion ในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองในหัวใจค่ะ ซึ่งนอกจากสินค้าแบรนด์ดังที่มีให้เลือกหลากหลายในราคาที่ถูกกว่าบ้านเราเพราะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าแล้ว ยังมีสินค้าท้องถิ่นและงาน Handmade หรืองานผลิตภายในประเทศที่มักขายคนต่างชาติในราคาแพงกว่าปกติ! ดังนั้นมาดูเคล็ดลับการต่อรองราคาเหล่านี้กันค่ะ

1. มองหาป้ายราคา

การต่อราคาสำหรับสินค้าภายในร้านแบรนด์ดังซึ่งมีป้ายเขียนราคาไว้ชัดเจนนั้นเป็นไปไม่ได้เนอะ แต่หากเป็นร้านในตลาดท้องถิ่นซึ่งมีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเดินเลือกสินค้านั้น หากพบของที่ถูกตาต้องใจให้ลองมองหาป้ายราคาค่ะ

  • หากมีป้ายราคาก็ต้องทำใจไว้ก่อนว่าอาจจะต่อราคาไม่ได้ค่ะ อาจจะได้นิดหน่อยจากราคาป้ายเท่านั้น ทั้งนี้เราต้องคิดก่อนว่าราคาที่ตั้งนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพราะถ้าราคาที่ตั้งถูกอยู่แล้วอาจโดนพ่อค้าแม่ค้าค้อนใส่ได้ค่ะ
  • หากมีป้ายราคาแต่เป็น 2 ภาษา คือภาษาท้องถิ่นและภาษาอังกฤษให้ลองคิดคำนวณอัตราเปรียบเทียบกันดูค่ะ ถ้าใกล้เคียงกันก็แสดงว่าไม่ได้บอกผ่านค่ะ แต่ถ้าต่างกันมากก็พอจะรู้แนวนะคะว่าต่อได้ประมาณไหน อิอิ
  • ไม่มีป้าย! ถ้าเราถูกใจสินค้าชิ้นนั้นให้คำนวณราคาที่จ่ายไหวไว้ในใจ เมื่อเค้าบอกราคามาเราก็เริ่มต่อรองไปยาว ๆ ค่ะ

2. สำรวจราคาทั่ว ๆ ก่อน

หากสินค้าที่คุณเล็งไว้เป็นสินค้าที่มีขายทั่วไป มีขายหลายร้าน ให้ลองเดินสำรวจดูป้าย หรือสอบถามราคารอบ ๆ จะช่วยให้คาดเดาราคาที่ดีที่สุดที่คุณน่าจะซื้อสินค้าชิ้นนั้นได้ง่ายขึ้น และต่อราคาได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เท่านี้กระเป๋าใบนั้นก็ต้องเป็นของขั้น! เอ้ยของคุณในราคาสบายกระเป๋าแล้วล่ะ

3. สุภาพไว้ได้ใจพ่อค้าแม่ขาย

ความสุภาพอ่อนน้อมนั้นช่วยให้คุณได้ดั่งใจหวังเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ที่ต่างประเทศ การทักทายด้วยรอยยิ้มและพูดคุยอย่างสุภาพจะทำให้การต่อรองราคาเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย พ่อค้าแม่ค้าเมื่อเริ่มมีความรู้สึกทางบวกกับคุณแล้วเค้าก็อยากปิดการขายและคุณก็จะได้สินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล แถมเคล็ดลับเล็กน้อยอีกสักนิดให้ลองเรียนรู้คำทักทายและคำขอบคุณเป็นภาษาท้องถิ่นและพูดด้วยรอยยิ้มรับรองว่าเรียกรอยยิ้มจากพ่อค้าแม่ค้าได้แน่นอนค่ะ

4. หาเพื่อนช็อปปิ้ง

ลองหาเพื่อนไปเดินเล่นซื้อของเป็นเพื่อนหากเป็นคนท้องถิ่นยิ่งดีใหญ่เพราะคุณจะได้ราคาเดียวกับคนท้องถิ่นเลยล่ะ แต่หากไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าเพื่อนของคุณต้องการสินค้าในร้านเดียวกันจะช่วยให้การต่อรองง่ายขึ้นเพราะคนขายคิดคำนวณแล้วว่าต้องขายได้มากกว่า 1 ชิ้นหรืออาจเตี๊ยมกับเพื่อนว่าถ้าคนขายทำทีใจแข็งก็ให้แกล้งเดินออกจากร้านไปเลย จะช่วยให้คนขายเสนอราคาสุดท้ายที่ยินดีขายกับคุณทันที

5. เทคนิคและจิตวิทยา

อาจต้องเล่นใหญ่กันสักหน่อยถ้าคุณอยากได้ของชิ้นนั้นจริง ๆ หากคุณมีราคาที่ยอมจ่ายไว้ในใจและสอบถามคนท้องถิ่นมาบ้างว่าราคาที่ตั้งขายคนต่างชาตินั้นตั้งไว้สูงกว่าราคาขายคนท้องถิ่นกี่ %

  • หลังจากต่อรองแล้วยังไม่ได้ราคาที่พอใจให้ทำทีลังเล หรือทำทีตัดใจ และเดินออกจากร้าน คนขายจะรีบเสนอราคาที่ดีที่สุดที่เค้าขายได้ให้คุณทันที
  • เริ่มต่อรองจากราคา 50% ของราคาที่คนขายตั้ง แล้วคนขายจะค่อย ๆ เสนอราคาที่ขายได้ให้คุณต่อรองเอง ทั้งนี้คุณต้องศึกษามาก่อนว่าราคานักท่องเที่ยวตั้งไว้มากกว่ากี่ % และมีราคาที่เต็มใจจ่ายอยู่ในใจ มิเช่นนั้นแล้วการต่อราคาโดยเริ่มจากราคาที่ผู้ขายขาดทุนย่อยยับก็อาจเป็นการทำเสียมารยาทกับพ่อค้าแม่ค้าและทำให้เกิดความรู้สึกทางลบได้ค่ะ
  • นำเงินสดในจำนวนเท่ากับยอดเงินที่คุณพร้อมจ่ายสำหรับซื้อสินค้าชิ้นนั้นออกมาถือไว้ในมือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขายว่าการต่อรองครั้งนี้เค้าจะไม่เสียเวลาเปล่า และช่วยให้คุณได้สินค้าในราคาตรงใจได้ไวขึ้นค่ะ

ไม่ใช่เฉพาะในต่างประเทศเท่านั้นที่ตั้งราคาขายสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยวไว้สูง ในเมืองไทยบ้านเราเองก็มีหลายร้านเช่นกันค่ะ นอกจากค่าสินค้าแล้วหากเป็นค่าบริการ เช่น ค่ารถรับส่ง บริการนวดคลายกล้ามเนื้อ หรือบริการอื่น ๆ ให้สังเกตุและสอบถามจากคนท้องถิ่นที่สนิทสนมค่ะ ต่อราคาได้เยอะเป็นเท่าตัวก็มีนะคะ จะช่วยให้เราประหยัดเงินในทริปนี้ได้เยอะทีเดียวล่ะค่ะ

แพ็คกระเป๋าไปเที่ยวฉบับมือโปร

เคยไหม แบกของพะรุงพะรัง สามสี่กระเป๋าไปเที่ยวกับเพื่อน จนเพื่อนคนหนึ่ง(ที่แอบปลื้มอยู่)ถามว่า นี่จะย้ายบ้านหรอ? ถึงเวลาหาของก็หาไม่เจอ หิ้วไปหิ้วมาก็ไม่ไหว ต้องขอให้เพื่อนช่วยแบกเป็นภาระประชาชี เศร้าใจ

ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อคุณทำตามขั้นตอนข้างล่างนี้ อิฉันรับรองว่า ไม่ว่าคุณจะมีอดีตยังไง ทริปหน้า คุณจะกลายเป็นสาวคล่องแคล่ว หนุ่มปราดเปรียว ที่เดินหิ้วกระเป๋าเล็กๆ ชิคๆ ใบเดียวไปเที่ยว ดูเป็นคนมีระเบียบในชีวิตขึ้นมาทันตาเห็น

STEP 1 เลือกกระเป๋าให้เหมาะสม

กระเป๋าล้อลากคือกระเป๋าในอุดมคติสำหรับการท่องเที่ยว หากว่าทริปนั้นคุณไม่ได้ไปตกระกำที่ไหน เดินทางโดยเครื่องบินหรือรถโดยสารที่มีพื้นที่ให้เอากระเป๋าของคุณใส่ลงไป ต้องรีวิวแผนการท่องเที่ยวดีๆ (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีเพื่อนวางแผนท่องเที่ยวให้ตลอดเวลา) เพราะถ้าไปบุกป่าฝ่าดง หรือมีการเดินทางทางเรือ ก็ขอให้เปลี่ยนมาใช้เป้ Backpack หรือกระเป๋าที่มันไม่มีล้อดีกว่านะจ้ะ

STEP 2 ทำ LIST สิ่งของที่ต้องเอาไป

จดออกมาเลยคะว่าจะเอาอะไรไปบ้าง เรื่องชุดที่จะใส่ก็ให้จินตนาการเป็นรายวันได้เลย เช่น วันที่ 1 เสื้อสีส้มลายมิกกี้เมาส์กับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขางาม ว่ากันไป อะไรที่สามารถเอามา mix and match และใส่ซ้ำจะเป็นสิ่งที่เริ่ดมาก เวลาเอาของเข้ากระเป๋าก็ค่อยๆขีดออกทีละอย่าง ให้ชัวร์ว่าเอาไปครบ อ่อ อย่าลืมพกชุดชั้นในกุงเกงในไปเผื่อซักชิ้นสองชิ้นด้วย
ขอเน้นย้ำให้เอาเสื้อผ้าติดไว้กับตัวซักชุดในกรณีโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง เผื่อกระเป๋าหายกระเป๋ามาช้าหนูจะได้มีอะไรใส่ไม่ต้องทนเหม็นในชุดเน่าๆตัวเดิมเน้อ

STEP 3 ของหนัก ของใหญ่ ใส่ก่อน

อะไรที่หนักๆ ใหญ่ๆ รูปร่างประหลาด เช่น รองเท้า ไดร์เป่าผม กระเป๋าของใช้ในห้องน้ำ เป็นต้น ให้เราใส่เข้าไปก่อน ตามด้วยพวกเสื้อผ้าเนื้อหน้า เช่น กางเกงยีนส์ เสื้อสเวตเตอร์ ยิ่งอันไหนหนักๆต้องใส่ให้ล่างๆไว้ ถ้ากระเป๋ามีล้อคือให้ใกล้ๆกับล้อ เพื่อการกระจายน้ำหนักได้อย่างสมบูรณ์ กระเป๋าจะได้ไม่พัง จะถือ จะลาก ก็ง่ายไม่เอนไปทางใดทางหนึ่ง

STEP 4 เบาๆ เล็กๆ มาทีหลัง

พอใส่พวกใหญ่ๆไปแล้ว ค่อยหยอดอันเล็กๆในช่องว่างระหว่างพวกอันใหญ่ๆ ผ้าพันคอชีฟองหรือเสื้อผ้าเบาๆ ก็ให้เอาไว้บนๆ

STEP 5 แพ็ครวมกัน

อันนี้ต้องอาศัยความครีเอทีพส่วนบุคคลเล็กน้อยที่จะสามารถแพ็คของหลายๆสิ่งไว้ด้วยกัน ท่าที่เห็นบ่อยๆ เช่น เอาเครื่องประดับใส่ไว้ในรองเท้าอีกที (อันนี้ต้องมั่นใจว่ารองเท้าหอมสะอาดพอสมควร) เอาขวดน้ำหอมใส่ในถุงเท้า (กันแตกไปในตัว) ม้วนเข็มขัดยัดใส่ในคอปกของเสื้อเชิ้ต

STEP 6 ม้วน หรือ พับ?

ถ้าเป็นพวกเสื้อยืด เสื้อนอน ให้ม้วนแล้วเอาหนังยางรัดไว้ กันยับและประหยัดพื้นที่ ส่วนพวกเชิ้ตกับกางเกงแสลคให้ไปเรียนวิธีการพับเสื้อพวกนี้ไม่ให้ยับจาก Youtube เอา หรือไม่ก็หาพวกถุงเก็บเสื้อผ้าที่เป็นพลาสติกมาใส่กันยับอีกชั้น

STEP 7 ใช้อุปกรณ์ช่วยในการจัดกระเป๋าเดินทาง (PACKING ORGANIZER)

ไปซื้อถูกๆตามตลาดนัดได้ พวกถุงซิบทำด้วยผ้าใยสังเคราะห์ขนาดต่างๆ เอามาช่วยแพ๊คพวกกุงเกงลิง ถุงเท้า ถุงมือ เครื่องประดับ ของใช้ในห้องน้ำ เครื่องสำอาง เอกสารสำคัญ อุปกรณ์ไอที ฯลฯ ช่วยให้หาง่าย เป็นหมวดหมู่ ไม่ต้องเสียเวลางมนาน พวกสบู่เหลว ยาสระผม ครีมบำรุงผิวก็เอาไปขวดหรือซองเล็กๆพอ ซื้อตามเซเว่นมีเยอะ อย่าลืมซื้อพวกถุงซิปล็อคมาห่อพวกน้ำหอม โลชั่น หรือของเหลวที่บรรจุในหีบห่อที่แตกง่าย ลองจิตนาการสภาพขวดน้ำหอมแตกกระจายอยู่กลางกระเป๋า เหอๆๆๆ

STEP 8 ถุงพลาสติกและกระเป๋าพับได้

พกไปหลายๆถุงเลย ไว้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เสื้อผ้าเปียก(เผื่อมีโปรแกรมไปเล่นน้ำ) เอาไว้แพ็คของที่ระลึกซึ่งอาจเป็นอาหารมีกลิ่นขากลับ ใครคิดจะโหลดเหล้าเบียร์ใต้ท้องเครื่องก็เอามัดๆไว้หน่อยกันกระจายเต็มกระเป๋า กระเป๋าพับได้เป็นอีกหนึ่ง item ที่มีประโยชน์ ใช้ใส่ของที่ซื้อมาในระหว่างทริปแล้วยัดไม่ลง อันนี้จะช่วยได้มาก

STEP 9 ขาไปและกลับ จงจัดเต็ม!

เสื้อผ้าหนักๆ ใหญ่ๆ ใส่ไปกลับได้จะดีมาก เช่น กางเกงยีนส์ แจ๊คเก็ตยีนส์ บู้ตส์ครึ่งแข้ง เป็นต้น ต้องถือคติ สวยสะเด็ด หล่อสะดิ้งเวลาขึ้นเครื่อง ชีวิตจะดีขึ้น 34%

ทั้งนี้ทั้งนั้น สำคัญที่สุดคือมีสติในการแพ็คของ จดจำไว้ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างในตู้เสื้อผ้าที่จำเป็นในทริปของเรา และอย่าลืมว่าของที่เราใส่ในกระเป๋าน้อยๆใบนั้น มีโอกาสสูญหายและชำรุดเสียหายได้เช่นกัน กรณีเดินทางหลายๆวัน บินหลายๆไฟลท์ หรือจำเป็นต้องโหลดของมีราคาใต้ท้องเครื่อง ขอแนะนำให้ถ่ายรูปของในกระเป๋าไว้ และทำประกันการเดินทางที่คุ้มครองเรื่องกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อยด้วยนะคะ

การเดินทาง เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับชีวิต

ครั้งหนึ่ง ผมเคยมีประสบการณ์ท่องเที่ยวในรูปแบบทัวร์ มันเป็นการเดินทางที่ผมยังจำได้ดี เพราะเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกกับครอบครัว
ผมทั้งตื่นเต้นและก็กลัวมากด้วย เพราะผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ผมไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย ไม่รู้ว่าสถานที่ที่ไปชื่อว่าอะไร ต้องนั่งรถอะไรไป เพียงแต่ผม “สบายใจ” เพราะผมจะมีไกด์และคนขับรถ พาผมไปทุกๆที่ ในที่ที่ผมไม่เคยไป
จบทริป แน่นอน ผมมีความสุข แต่ความทุกข์หละ ผมหามันไม่เจอ!!!

ความทุกข์ของการเดินทางอยู่ที่ไหน???
เวลาผ่านไป การเดินทางท่องเที่ยวออกนอกประเทศเริ่มเป็นที่แพร่หลาย มีบริษัททัวร์เกิดขึ้นมากมาย ในหลายๆประเทศที่อยากจะไป เราเพียงแค่ “จ่าย” แล้ว “รับ” สิ่งที่เค้าเสนอให้ ตาม “ข้อตกลง” ที่ได้ทำไว้
ผมค้นหาในทุกๆทัวร์ แต่กลับพบว่า ไม่มีทัวร์ไหนเลย ที่เสนอ “ความทุกข์” หรือ “ความลำบาก” ให้ผมได้ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของใคร เพราะการทำทัวร์ คือการที่ต้องทำให้ได้กำไรสูงสุด ต้นทุนต่ำสุด คนที่ไปต้องได้รับความสบายที่สุด และพึงพอใจสูงสุด ให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้า ให้กระแสเงินสดหมุนเข้าบริษัท เพื่อเลี้ยงพนักงานทุกคนให้บริษัทอยู่รอด
นับแต่นั้นมา ผมเลย ออกเดินทางด้วยตัวเอง วางแผนด้วยตัวเอง และหั่นค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง โดยมีหลักการที่ว่า

“ทัวร์ทำราคาที่เท่าไหร่…ผมจะทำราคาให้ต่ำกว่า 50-70% ให้จงได้”
“ทัวร์ให้นั่งเครื่องบิน ผมจะนั่งรถไฟ”
“ทัวร์ให้กินบุฟเฟต์รร. ผมจะกินอาหารข้างทาง”
“ทัวร์ให้นอนโฮเทล ผมจะนอนโฮสเทล”
“ทัวร์ให้กินแต่อาหารจีน ผมจะไม่แตะอาหารจีน”

หลังจากนั้น สิ่งที่ผมได้กลับบ้านมาในการเดินทางทุกครั้ง คือ
“ความทุกข์ ความลำบากจากการเดินทาง”
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับมันเลย เมื่ออยู่ประเทศไทย
การเดินทางตามล่าหาแสงเหนือเมื่อสองปีที่แล้วก็เช่นกัน ใครๆก็บอกว่าราคาเป็นแสนๆ
แต่ผมก็ทำมันมาแล้ว ให้ไม่ได้เฉียด 6 หลัก เลยซักนิดเดียว… เพียงแค่หกหมื่นต้นๆเท่านั้น
เพราะผมเชื่อว่า
“ยิ่งเราได้ใช้ชีวิตลำบากมากเท่าไหร่ ภูมิต้านทานในการใช้ชีวิต ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น”
-ที่สำคัญ เอาเงินไปเที่ยวต่อได้อีกหลายๆที่อีกด้วย

5 สิ่งผิดพลาดที่พบมากที่สุดเมื่อไปท่องเที่ยว

เชื่อว่าเวลาไปท่องเที่ยว ทุกคนก็อยากมีความสุขและสนุกที่สุด ให้คุ้มกับเงินเป็นหมื่นๆที่เสียไป แต่เคยได้ยินกฎของเมอร์ฟีไหมที่ว่า “Whatever can go wrong, will go wrong” อะไรก็ตามที่แม้วางแผนมาดีขนาดไหน เตรียมตัวมาขนาดไหน ก็สามารถผิดพลาดได้ทั้งนั้น วันนี้เรามาดู 5 ความผิดพลาดที่พบมากที่สุดในการท่องเที่ยว พร้อมวิธีป้องกันและแก้ไข เป็นความรู้ประดับบารมีนักท่องเที่ยวมือสมัครเล่นและมือโปรกันดีกว่า

กระเป๋าหาย!

ความผิดพลาดอันดับแรกๆที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกทริป เมื่อคุณเดินทางถึงที่หมายโดยปลอดภัย ไปรอรับกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องไว้ด้วยความตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น รอแล้วรอเล่าจนกระเป๋าถูกเอาไปจนเกลี้ยงสายพานก็ยังหากุชชี่ใบสีแดงแรงฤทธิ์ของคุณไม่เจอ?!? เสื้อผ้า อุปกรณ์กันหนาว ข้าวของมีค่าอะไรก็อยู่ในนั้นหมด แล้วฉันจะใส่อะไรมิทราบยะ!

จะทำยังไงดี?:

  • สงบสติอารมณ์ พยายามทำตัวเป็นผู้ดีมีเหตุผลมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แม้ว่าคุณอยากจะวีน เหวี่ยง ให้สนามบินระเบิดมากแค่ไหนก็ตาม
  • อย่าเพิ่งออกจากสนามบิน ไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินและแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีที่เป็นไปได้
  • ต่อรองเพื่อสิ่งที่คุณควรจะได้ ความจริงคือไม่ใช่ทุกสายการบินจะชดใช้ค่าเสียหายให้คุณแม้ว่ามันนั่นแหละที่เป็นคนทำหาย! (อย่าใส่อารมณ์ ใจเย็นๆไว้) ดังนั้นศึกษากฎระเบียบของสายการบินที่คุณจะบินให้ดี ใช้ทุกช่องทางกดดันให้สายการบินชดใช้ให้คุณอย่างเหมาะสม ขั้นตอนนี้ขอให้ใช้คำพูดให้เหมาะสมอย่าหยาบคายด้วยแรงอารมณ์นะจ้ะ

ป้องกันไว้ก่อน:

  • ไม่ต้องเอาอะไรไปมาก บางทริปแค่ 3-4 วันเอาของไปแค่เป้ใบย่อมๆก็พอ เสื้อผ้าชิ้นไหนใส่ซ้ำได้ก็ใส่ ไม่ต้องเสียเงินค่าโหลดกระเป๋าแถมตัดความเสี่ยงเรื่องนี้ไปโดยปริยาย
  • พกเสื้อผ้าสำรองไว้กับตัวอย่างน้อย 1 ชุด ปกติถ้าสายการบินหากระเป๋าเราเจอ เค้าจะส่งตามมา 1-2 วันให้หลัง ดังนั้นระหว่างนี้ ถ้าไม่อยากตัวเน่าก็ควรพกชุดเปลี่ยนไว้ในกระเป๋าที่เป็น carry on แก้ขัดไปก่อนได้ ส่วนใครที่ไปเมืองหนาวแนะนำให้เอาเสื้อกันหนาวขึ้นเครื่อง อย่างน้อยจะได้ไม่แข็งตายหรือเสียเงินซื้อเสื้อกันหนาวแสนแพงใหม่ก่อนที่กระเป๋าที่หายจะถูกส่งมา
  • พกเอกสารสำคัญและข้าวของมีค่าไว้กับตัว พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน เอกสารประกันการเดินทาง บัตรเครดิต ยา แว่นตา คอนแทคเลนส์ แหวนเพชรราคาแพง ฯลฯ เหล่านี้ต้องติดตัวไว้เสมอ
  • ถ่ายรูปของในกระเป๋าไว้ เวลาไปแจ้งของหายพวกสายการบินชอบถามว่ามีอะไรอยู่ข้างใน อะนี่ แกเอาไปดูซ้า
  • ซื้อประกันการเดินทาง ถ้ามีการขึ้นเครื่องหลายๆต่อที่ต้องซื้อด่วน อย่าลืมดูว่ามีคุ้มครองเรื่องนี้หรือเปล่า หลายๆที่จะชดใช้ค่าเสื้อผ้าวันแรกของเราด้วย

ตกเครื่อง!

อาจจะเป็นเพราะเที่ยวบินแรกของคุณดันดีเลย์ รถติด รถไฟฟ้าเสีย หลับเพลิน หรืออะไรก็ตามแต่ แต่พอกระเสือกกระสนมาถึงสนามบิน เที่ยวบินที่คุณจองไว้ได้โบยบินออกไปแล้ว ไม่นะ!

จะทำยังไงดี?:

  • กรณีไปต่อเครื่องไม่ทัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสายการบินเดียวกันหรือเปล่า ถ้าใช่ นั่นเป็นปัญหาของทางสายการบินเองที่จะหาเที่ยวบินต่อไปให้กับคุณให้เร็วที่สุด หน้าที่ของคุณมีอย่างเดียวคือทำตัวพูดรู้เรื่อง เจรจาอย่างใจเย็น ไม่วีนเหวี่ยง ใครๆก็อยากให้ความช่วยเหลือ
  • เปลี่ยนตั๋ว เจรจากับเจ้าหน้าที่ของสายการบินขอเปลี่ยนตั๋วอย่างมีสติ แน่นอนว่าต้องมีค่าเปลี่ยนตั๋ว แต่ก็ดีกว่าค้างเติ่งอยู่ที่สนามบินเป็นวันๆละนะ

ป้องกันไว้ก่อน:

  • ไม่จองตั๋วเครื่องบินต่อกันกระชั้นเกินไป อย่างน้อยมี 2 ชั่วโมงสำหรับการเปลี่ยนเครื่อง รอนิดหน่อย ดีกว่าตกเครื่องแล้วต้องเสียทั้งเวลาทั้งเงินเน้อ
  • เผื่อเวลาไว้บ้าง หลายๆเมืองขึ้นชื่อเรื่องรถติด เช่น กรุงจาการ์ต้า กรุงมะนิลา เป็นต้น ถ้าคุณบังเอิญเดินทางจากเมืองเหล่านั้น ควรจะเผื่อเวลาไว้เยอะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมาถึงสนามบินได้ทันเวลา

ถูกล้วงกระเป๋า!

โจรขโมยแอบอยู่ทุกหลืบ ทุกมุมเมือง ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนก็ตาม รู้ตัวอีกครั้ง กระเป๋าคุณอาจถูกกรีดเป็นทางยาว เงินและเอกสารสำคัญหายหมดเกลี้ยงก็เป็นได้

จะทำยังไงดี?:

  • แจ้งตำรวจท้องถิ่น ซึ่งอาจจะไม่ทำอะไรเลย (เพราะเจอเคสเหล่านี้ประจำ) แต่ทำไปเถอะ ยิ่งถ้าคุณซื้อประกันการเดินทางไป ใบแจ้งความคือสิ่งแรกที่บริษัทประกันจะถามถึง
  • โทรแจ้งบริษัทประกัน รีบโทรแจ้งให้เรียบร้อย เรื่องจะได้เดินเร็วขึ้น และเราจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ
  • ติดต่อสถานฑูตไทยประจำประเทศนั้นๆ จำเป็นกรณีพาสปอร์ตหาย และอาจจะช่วยคุณดำเนินการเรื่องยกเลิกบัตรเครดิตต่างๆได้

ป้องกันไว้ก่อน:

  • ใช้กระเป๋าซ่อนเงิน (money belt) โอเค เข้าใจว่ามันโค-ตะ-ระจะเกะกะและน่ารำคาญ หยิบเงินแต่ละทีก็ต้องมาลำบากล้วงกันอีก แต่ใช้เถอะ คุณยังหยิบเงินได้ยาก ขโมยก็ยิ่งหยิบของคุณยากกว่า
  • สแกนหน้าพาสปอร์ตและบัตรเครดิตเก็บไว้ จะอีเมลหาตัวเอง เก็บขึ้นพวก Dropbox หรือ Google Drive อะไรก็ได้
  • อย่าทำตัวเด่น อันนี้รวมถึงการสะพายกล้องราคาแพง ใส่นาฬิกาเรือนแสน แบกเป้ใบเขื่อง แต่งตัวแบบที่หัวขโมยมองปราดเดียวแล้วรู้ทันทีว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวเอ๋อๆคนหนึ่งที่พร้อมให้มันปล้นเอา
  • ไปในสถานที่ที่ปลอดภัย มีคนพลุกพล่าน

ป่วย บาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุ!

คุณไปปีนเขาที่เนปาล ระหว่างนั้นเกิดอาการแพ้ความสูง (Altitude Sickness) มีเหตุต้องใช้เฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้ายคุณสู่พื้นดินกระทันหัน หรือระหว่างที่คุณกำลังเล่นสกีอย่างเมามันอยู่ที่ญี่ปุ่นนั้น เกิดพลาดท่าล้มขาหัก ถูกหามเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หรือคุณอาจไม่สบายเพราะอาการเปลี่ยนก็เป็นได้ อุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้จะระวังตัวอย่างดีแล้วก็ตาม

จะทำยังไงดี?:

  • ถ้าเป็นแค่เจ็บป่วยธรรมดา เข้าร้านขายยาก็พอ ไม่ต้องถึงกับไปโรงพยาบาลให้ยุ่งยากวุ่นวาย
  • แต่ถ้าจำเป็นก็ไปโรงพยาบาลเถอะ อย่าปล่อยให้เป็นหนักถึงมันจะแพง แม้ว่าคุณจะไม่ได้ซื้อประกันการเดินทางไว้เลย
  • ตรวจสอบเงื่อนไขของประกันการเดินทางที่คุณซื้อ กรณีที่คุณซื้อประกัน ให้ตรวจสอบก่อนว่าอะไรคุ้มครองหรือไม่คุ้มครองและใช้มันซะ

ป้องกันไว้ก่อน:

  • ทำตัวให้แข็งแรงก่อนการเดินทาง ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ
  • ซื้อประกันการเดินทาง ถ้ารู้ว่าตัวเองจะผจญภัยที่ทำกิจกรรมอะไรที่อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ โปรดอย่าเสียดายเงินและซื้อประกันการเดินทางซะ
  • เตรียมยาสามัญประจำบ้านไป พวกยาแก้แพ้ ยาแก้ปวดหัว แก้ท้องร่วง ท้องอืด เพราะเอาเข้าจริงบางประเทศต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้นถึงจะซื้อได้

ภัยธรรมชาติ!

ครั้งหนึ่งในชีวิตการเดินทางของผู้เขียน ได้ไปติดอยู่ที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งตุรกีด้วยเหตุพายุหิมะถล่ม ทำให้ทุกเที่ยวบินถูกยกเลิก ต้องติดอยู่ที่สนามบินเป็นระยะเวลานานจนในที่สุดก็หาตั๋วเครื่องบินใหม่ได้ ซึ่งราคาแพงกว่าตั๋วเดิมที่ได้ refund มาถึง 6 เท่า! ตอนนั้นโชคดีว่าซื้อประกันการเดินทางไปจึงสามารถเคลมคืนได้หมด

จะทำยังไงดี?:

  • ตั้งสติ สติคือทุกอย่าง หากเจอภัยธรรมชาติอื่นๆที่แย่ยิ่งกว่าพายุหิมะ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เราต้องรู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ดังนั้นควรศึกษาภัยธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นในที่ๆเราจะไปและการเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาตินั้นๆด้วย
  • ส่งข่าวกับทางบ้านด้วย อย่าลืมบอกคนที่บ้านว่าคุณยังอยู่ดี ทางนู้นอาจเป็นห่วงจนแทบจะบินมาหาคุณด้วยตัวเอง
  • ตรวจสอบเงื่อนไขของสายการบินและประกันการเดินทางที่คุณซื้อ ดูว่ากรณีไหนที่คุ้มครองหรือไม่คุ้มครอง

ป้องกันไว้ก่อน:

  • ไม่ไปสถานที่นั้นในช่วงที่อาจเกิดภัยธรรมชาติ ถ้าคุณรู้ก็หลีกเลี่ยงซะ
  • ซื้อประกันการเดินทาง แต่ต้องตรวจสอบก่อนว่าคุ้มครองข้อนี้หรือไม่

เมื่อผมพาแม่ไปตะลุยโลก คู่มือการพาผู้ใหญ่ไปเที่ยวต่างประเทศ

หายไปนาน แต่ไม่ได้หายไปไหน เพราะผมพึ่งพาคุณแม่ไปตะลุยโลกกันที่ไต้หวันมาเองครับ
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่จัดทัวร์เองแบบครบทุกกระบวนท่าตั้งแต่พาแม่เดินออกจากบ้านจนกลับมาส่งถึงบ้าน
ตอนจบแม่บอกว่า “ผมสอบผ่านครับ 555+ ครั้งหน้าให้จัดใหม่ได้อีก”
ผมเลยมีเทคนิคเล็กๆมาฝาก สำหรับการพาผู้ใหญ่ไปเที่ยวต่างประเทศครับ

พาผู้ใหญ่เที่ยวเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย

คู่มือการพาพ่อ-พาแม่ไปเที่ยวฉบับนี้ จุดประสงค์คือ จะได้พาคนที่คุณรักไปเที่ยวได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัย 100%

โดยผมจะขอแบ่งคู่มืออกเป็น 2 ส่วนครับ คือ ส่วนของการเตรียมตัวทางสุขภาพ และส่วนของเรื่องทั่วไปในการท่องเที่ยว
โดยเราเอง (คุณลูกนั้น) ต้องทำตัวเป็นทั้งหัวหน้าทัวร์ที่ดีจัดแผนเอาใจลูกทัวร์ และทำตัวเป็นผู้ดูแลพ่อแม่ที่ดีคือทำยังไงก็ได้ให้แกไปเที่ยวได้ปลอดภัยและสุขภาพแข็งแรงตลอดการเดินทางครับ

เอาละไม่พูดมากแล้วครับ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

ไต้หวัน เป็นประเทศที่น่าพาพ่อแม่มาเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง

1. เลือกจุดหมายปลายทางที่เหมาะกับพ่อแม่

แกชอบอะไร ก็พาแกไปที่นั่นครับ แต่คงไม่ใช่แบบชอบภูเขาดันจะชวนแกไปเดินเขาที่เนปาลไรแบบนี้ ยกเว้นก็แต่ถ้าพ่อแม่แข็งแรงฟิตปั๋งอยู่ก็ว่าไป
จุดหมายปลายทางที่เหมาะกับพ่อแม่เลยคงไม่พ้นบรรดาประเทศที่เจริญแล้ว เนื่องจาก เหตุผลด้านความสะอาด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั่นเอง ที่พักก็ดี อาหารก็ดี เดินทางก็สะดวก
ถ้าเป็นในทวีปเอเชียก็เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า สิงค์โปร์ ไกลออกไปหน่อยก็ออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ครับ
ส่วนในทวีปยุโรปถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องอยู่บนเครื่องบินนานแล้วละก็ ในยุโรปพาท่านไปได้เกือบทุกประเทศละครับ

2. แกแข็งแรงพอไปเที่ยวหรือเปล่า

มีโรคประจำตัวไม่ได้แปลว่าเที่ยวไม่ได้ แต่ที่กำลังหมายถึงอยู่คือ แกมีอาการหรือโรคที่กำลังแสดงอาการอยู่ หรือว่าพึ่งพักฟื้นหายมาจากโรคที่อาการรุนแรง เช่น พึ่งพาตัดที่บริเวณท้องมาหมาดๆ หรือพึ่งกำลังหายดีจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อันนี้ควรเลื่อนการเดินทางทุกชนิดออกไปก่อน

3. เตรียมข้อมูลการเดินทางล่วงหน้าให้พร้อม

ขอแบ่งเป็น 2 ด้านนะครับ คือเรื่องของสุขภาพ และ สถานที่ท่องเที่ยว

  • สุขภาพ ถ้ารู้จุดหมายปลายทางแน่นอนแล้ว เผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 8 สัปดาห์ สำหรับการเตรียมตัว เพราะบางประเทศจำเป็นต้องฉีดวัคซีน เช่น ฉีดวัคซีนไข้เหลืองก่อนไปทวีปอเมริกาใต้
  • สถานที่ท่องเที่ยวของ Backpacker กับพ่อแม่ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน สำหรับวัยรุ่นไม่ต้องมีแผนอะไรมากมาย เพราะเราสามารถยืดหยุ่นได้ ที่นี่ปิด ก็เดินไปที่อื่นแทน ถ้าปิดหมดก็ไปเดิน แต่อุตส่าห์ได้พาพ่อแม่ไปทั้งที ก็เตรียมสิ่งดีๆไว้ให้แกครับ คัดสรรสถานที่ 5 ดาวเก็บเอาไว้เป็นตัวหลัก ถ้าเกิดปิดขึ้นมาก็เตรียมสถานที่ 4 ดาวเอาไว้เป็นแผนสำรอง

4. ทำประกันการเดินทาง (TRAVEL INSURANCE) ให้ท่านด้วย

อย่าให้เรื่องเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย มาทำให้เราต้องเสียใจในภายหลัง ไม่ว่าจะเดินไปทางที่ใดๆในโลก ถ้าระยะเวลาการเดินทางไม่เกิน 2 อาทิตย์ ค่าใช้จ่ายสำหรับประกันการเดินทางถือว่าเล็กน้อยมาก ไม่ถึง 5% ของงบการเดินทางทั้งหมดแน่ๆครับ เราจะได้สบายใจไปตลอดการเดินทาง
คำแนะนำเล็กน้อย พยายามหาประกันที่เราไม่ต้องสำรองเงินล่วงหน้า เช็คเบี้ยประกันดีๆว่าครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น เป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าไร เป็นค่าขนย้ายผู้ป่วยกลับประเทศเท่าไร ฯลฯ

5. ฉีดวัคซีนที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ

จริงๆไม่จำเป็นต้องเดินทางก็ควรต้องฉีดครับ สำหรับพ่อๆแม่ๆเราที่ปัจจุบันอายุอานามน่าจะเกิน 50-60 ปีขึ้นไปแล้ว โดยวัคซีนที่แนะนำทั่วไปเลยคือ เช่น
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza) – ฉีดประจำทุกปี (แต่อันนี้ทางรัฐบาลสนับสนุนให้ฉีดฟรีในทุกๆปีในผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปี)
วัคซีนนิวโมคอคคัส (Pneumococcal) – วัคซีนนิวโมคอคคัสมีหลายชนิด ควรไปปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดเสมอ

6. วัคซีนบางตัวสำคัญมาก แต่พ่อแม่เราดันฉีดไม่ได้

สำหรับคนที่จะพาพ่อแม่ไปเที่ยวอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เปรู อะไรแบบนี้ เราจะถูกบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนไข้เหลือง (Yellow fever) ตามกฎหมายขององค์การอนามัยโลก ซึ่งสำหรับหนุ่มสาวๆไม่มีปัญหาอะไรครับ
แต่สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปี การฉีดวัคซีนไข้เหลือง จะทำให้เรามีความเสี่ยงจากตัววัคซีนคือกลายเป็นโรคซะเองมากขึ้นได้ ดังนั้นแพทย์จึงไม่ยอมฉีดวัคซีนให้เด็ดขาด (สรุปคืออดไปนั่นเอง)
สรุปเลย ถ้ามีแผนจะพาพ่อแม่ไปเที่ยวทวีปอเมริกาใต้หรือแอฟริกา ควรวางแผนไว้แต่เนิ่นๆและไปปรึกษาแพทย์ครับ

7. จดยาสามัญประจำทริป + ยาประจำตัวที่กินทุกวัน

จดชื่อยาทั้งหมดใส่กระดาษ ขนาดยาที่กิน อย่าแกะเม็ดยาออกจากซองเด็ดขาด เวลาโดนตรวจเช็คจะได้ไม่มีปัญหา แล้วก็เตรียมยาไว้ให้จำนวนเกินกว่าจำนวนวันที่เราเดินทางเสมอ
ในกรณีที่ต้องมียากินบนเครื่องบินก็แยกที่บรรจุออกมาให้เรียบร้อย และก็เช่นเดิมอย่าแกะยาออกจากฉลากถ้าเป็นไปได้

เห็นดูไม่รู้เรื่องแบบนี้ สำคัญมากนะครับ อย่างน้อยควรมีสำเนา

8. ไปพบแพทย์ที่เรารักษาด้วยประจำก่อนเดินทาง

ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เยอะ และมีแพทย์ที่ดูแลประจำ ให้แจ้งหมอท่านนั้นเขียนจดหมายสรุปโรคและอาการที่สำคัญเอาไว้ด้วยจะดีมากครับ (ภาษาที่หมอเขียนให้ เป็นภาษาสากลที่แพทย์ทั้งโรคเข้าใจตรงกัน)
ซึ่งข้อมูลบางอย่าง ถ้าคนเป็นลูกสามารถขอถ่ายภาพเก็บเอาไว้ได้จะเยี่ยมมากเช่น

  • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือ EKG สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ใบนี้สำคัญมากครับ ใครที่มีพ่อแม่เป็นโรคหัวใจจะรู้ดี ถ้าเราได้ถ่ายภาพใบนี้เก็บไว้ก่อน เกิดไปมีปัญหาที่นู่น เราจะได้ส่งใบนี้ให้หมอที่นู่นดูเปรียบเทียบได้ครับ ว่าผิดปกติไปจากเดิมหรือไม่
  • ภาพถ่ายรังสีปอด อันนี้อาจจะขอถ่ายยากหน่อย แต่ถ้าแจ้งกับหมอดีๆผมว่าไม่มีปัญหา คนที่เป็นโรคปอดมักจะมีปัญหาภาพถ่ายรังสีปอดที่ผิดปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปพบแพทย์ต่างประเทศ เขาไม่รู้ภูมิหลังเรามาก่อน เวลาเห็นอะไรผิดปกติเดี๋ยวจะทำให้รักษาผิดพลาดได้ (เพราะจริงๆมันผิดปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ผิดปกติมากขึ้นไงครับ)

9. หาข้อมูลสถานพยาบาลเบื้องต้น

การเจ็บป่วยเป็นเรื่องไม่คาดคิด ต้องเก็บข้อมูลแบบนี้ไว้กับตัวเราเสมอ และที่สำคัญ เมืองแต่ละแห่งที่ไป หาข้อมูลเตรียมไว้เลยครับว่า สถานพยาบาลเบื้องต้นอยู่ที่ไหน กรณีอุบัติเหตุต้องทำอย่างไร ติดต่อเบอร์อะไร สำคัญมาก ยกตัวอย่าง

ญี่ปุ่น ให้เราติดต่อเบอร์ 119 ในขณะที่ของประเทศไทยคือ 1669 อะไรแบบนี้ครับ

หรือในกรณีของพ่อแม่ท่านใดที่ต้องฟอกเลือกล้างไตอยู่เป็นประจำ แต่ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ถึงแม้เราจะกะคำนวณวันไว้อย่างดีแล้ว เกิดไม่สบายและต้องฟอกเลือดฉุกเฉินที่นู่นต้องทำอย่างไร ดังนั้นเราจึงควรจะมองหาศูนย์ล้างไตเอาไว้ในเมืองที่เราจะเดินทางไปไว้ล่วงหน้าด้วยครับ
ส่วนเรื่องของโรงพยาบาลนั้น ควรจะมองหาโรงพยาบาลที่เป็น international เป็นหลัก เนื่องจากส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษได้ทำให้เราคุยรู้เรื่อง และก็มักจะรับ Travel insurance ที่เราทำมาจากเมืองไทย ส่วนจะหาที่ไหน เบื้องต้นสามารถหาได้จากหนังสือ Lonely planet แล้วก็ในอินเตอร์เน็ตครับ

10. สำหรับผู้ที่ต้องพาพ่อแม่ที่มีปัญหาโรคประจำตัวอยู่ > ข้อนี้สำคัญมาก

แนะนำมาขอรับคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้าน Travel medicine ครับได้ที่
คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง
โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
ที่คลินิกจะให้คำปรึกษาถึงโรคประจำตัว ยาที่กินประจำ จุดหมายปลายทางที่เดินทาง จนถึงวัคซีนและยาที่จำเป็นสำหรับจุดหมายปลายทางนั้นๆโดยเฉพาะ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ http://www.thaitravelclinic.com/th/
โทรศัพท์

  • 02-306-9100 ต่อ 3034, 02-3069145 (ในเวลาราชการ)
  • 02-306-9199 (วันเสาร์ 9.00-12.00น.)
เตรียมตัวมาดี มีชัยไปกว่าครึ่งครับ

เอาละครับ หลังจากเตรียมตัวด้านสุขภาพกันพร้อมแล้ว คราวนี้เรามาเริ่มมาวางแผนพาพ่อพาแม่เที่ยวกันเลยดีกว่า

1. ผู้ใหญ่จะกลัวมาก ถ้าไม่ได้นั่งด้วยกันบนเครื่องบิน

จะด้วยเหตุผลอะไรก็สุดแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งข้างกันแล้ว พ่อแม่จะมีความไม่สบายใจอย่างมาก แต่โดยปกติถ้าเราจองตั๋วใน booking เดียวกันแล้วมักไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องที่นั่งเท่าไร ยกเว้นแต่บิน low cost ที่อาจจะมีโอกาสกระเด็นหลุดออกจากกันได้ ถ้าจะเอาให้ปลอดภัยก็คงต้องซื้อที่นั่งล่วงหน้าไปด้วยครับ

2. ที่พักต้องสะอาดมาก่อนเสมอ

เนื่องจากเหล่าผู้ใหญ่ๆทั้งหลาย รักความสะอาด ความสบาย และบรรยากาศที่ดีของห้อง เราจึงควรจะหาห้องพักที่คะแนน review ด้านนี้ให้สูงมากๆเอาไว้ก่อน (มากกว่า 8-9 คะแนนขึ้นไป) และรีวิวที่ได้รับมาควรจะมาจากนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวเช่นเดียวกัน ไม่ใช่คะแนนรีวิวมาจากเด็กนักเรียน หรือคู่รักฮันนีมูนที่ความคาดหวังต่างกัน คะแนนที่รีวิวออกมาจึงอาจจะสะท้อนความชอบที่ไม่เหมือนกันได้ เช่น ห้องพักที่ต้องเดินแบกกระเป๋าขึ้นไป 4-5 ชั้นคงไม่เหมาะกับพ่อแม่เราเท่าไร แต่สำหรับเด็กๆคงไม่เคยคิดว่านี่เป็นปัญหา อะไรแบบนี้

3. ทำเลที่พักอาจจะไม่ต้องติด MRT เสมอไป

เพราะอะไร เพราะว่าถ้าจะเอาให้แม่เที่ยวสบาย ส่วนใหญ่ก็ใช้ Taxi หรือจ้างรถเป็นหลักอยู่แล้วครับ จะพาท่านเดินขึ้นเดินลง MRT ไปสูดกลิ่นตัวแออัดกันในนั้นคงไม่ค่อยจะเวิร์คเท่าไร ดังนั้น location อาจจะไม่ต้องแบบเป๊ะเว่อร์ๆเช่น ติดกับ MRT ไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างดีหมดแต่โรงแรมดันไปตั้งอยู่ข้างชานเมืองอะไรแบบนี้นะครับ ดังนั้นทำเลที่พักน่าจะเป็นเรื่องของความเหมาะสมในด้านของความสบายในการนอนและความปลอดภัยมากกว่า

ประเด็นที่สำคัญมากกว่าคือโรงแรมบางแห่งอยู่กลางเมืองและมีหลายชั้น แต่ดันไม่มีลิฟต์ ต้องแบกของเอง ถ้าเราคิดว่าเราแบกเองได้ทั้งหมดก็โอเค แต่ถ้าสัมภาระมากจริงๆ คิดดูดีๆนะครับ

4. ต้องทำการบ้านเรื่องอาหารก่อนเสมอ

ไอผมก็เป็นที่กินง่ายโคตรๆ แบบว่าซื้อเดินไปกินไปให้จบๆมื้อนี่ก็พอแล้ว รสชาติไม่ได้มีความสำคัญ เพราะเอาแค่อิ่มท้อง แต่พอพาแม่มาด้วยแล้ว มันทำแบบนั้นไม่ได้ ผมต้องมองหาร้านที่ดีและอร่อย อันนี้ต้องถามคนท้องถิ่นหรือท่าน Google เอานะครับเวลากินอาหารก็เช่นกัน พยายามไปก่อนเวลาที่คนปกติเขาจะแห่มากัน เช่นมื้อเที่ยงก็กินกันตอน 11.00 จะได้ไม่ต้องพบกับกองทัพคนตอนช่วงเที่ยงวันครับ เราจะได้กินอาหารอย่างสุนทรียภาพ

ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า พาพ่อแม่มาเที่ยวครับ

5. คิดเสมอว่าพาพ่อแม่มาเที่ยว

แผนการเดินทางเราจึงจะไม่แน่นขนัดไปด้วยโปรแกรมจำนวนมากมาย เพราะถ้าเที่ยวแบบนั้นคนแก่เหนื่อยแน่นอนครับ วันๆหนึ่งเที่ยวสัก 3-4 ที่กำลังดี จะได้มีเวลาให้แกได้เดินได้พักในระหว่างวันไปด้วยครับ สถานที่บางอย่างเราคงต้องตัดใจตัดมันทิ้งไปอย่างมีเหตุผลแบบนี้แหละ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกบรรดาที่สูงๆที่ต้องใช้เข่าเยอะๆ เช่น พวกบรรดาหอคอย เนิน ภู ยอดเขา หรือพวกบันได 400-500 ขั้นอะไรแบบนี้ เอาออกไปเถอะครับจะได้ไม่เป็นภาระลูกหลานนะ 555+

6. เราเป็นคนกำหนดเวลาก็จริง แต่ต้องเผื่อเวลาไว้เสมอ

การเคลื่อนที่ของผู้สูงอายุไม่กระฉับกระเฉงเหมือนคนหนุ่มๆ สถานที่บางแห่งต้องเดินขึ้นบันได เราอาจจะเดินแค่ 15 นาที แต่พอเป็นผู้ใหญ่อาจจะปาเข้าไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงก็ได้ครับ แล้วไหนจะเวลานั่งพักอีก ดังนั้นเราต้องเผื่อเวลาเอาไว้เสมอ จะเที่ยวแบบเก็บรวดเดียวในวันเดียวกันทำไม่ได้แน่ๆครับ

การเดินทางไปที่สนามบินก็เช่นเดียวกัน มันจะต้องเกิดเรื่องวุ่นๆแน่นอนเวลาพาคนอื่นไปเที่ยว ดังนั้นไปล่วงหน้าครับสักอย่างน้อย 3 ชั่วโมงกำลังดี เกิดมีอะไรต้องแก้ไขขึ้นมา เราจะได้ปรับเปลี่ยนหาวิธีการได้ทัน

7. เวลาจะไปซื้อตั๋วอะไร ลองหาข้อมูลดูว่า มีบัตรผู้สูงอายุหรือไม่

ในหลายๆประเทศ เขาให้อภิสิทธิ์แก่คนสูงอายุเป็นพิเศษ เช่นที่ไต้หวันนี่หลายๆสถานที่ ถ้าใครอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป เราสามารถแสดง passport แล้วได้ส่วนลด 50% ได้เลยนะครับ ส่วนใหญ่ข้อมูลพวกนี้สังเกตได้จากตอนที่กำลังเข้าคิวเพื่อรอซื้อตั๋วนั่นเอง

8. เรื่องง่ายๆ บางทีเป็นเรื่องยาก

โดยเฉพาะอะไรที่มันงงๆ เช่น ช่อง ตม. อัตโนมัติตอนออก/เข้าประเทศ ตามสนามบิน มันดูเหมือนง่ายกับผม แต่กับผู้ใหญ่แล้วมันคือสมการคณิตศาสตร์เล็กๆเลยนะครับถ้าจะเอาให้สบาย พาแกไปยืนรอช่องธรรมดาแล้วประทับตราธรรมดาจะสุนทรียภาพกว่าเยอะ เวลาไม่ได้แตกต่างกันมาก โดยที่เราควรจะยืนประกบด้านหลัง เผื่อมีปัญหาจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ เพราะถ้าเราทำไปก่อนแล้ว อาจจะโดนไล่ไม่ให้เข้ามาได้ครับ

9. กรณีหลงทาง ทำอย่างไร

อันนี้ผมย้ำกับแม่เสมอว่า ถ้าเกินพลัดหลงกันจริงจะทำยังไง แต่จริงๆคงไม่หลงหรอก เพราะมือหนึ่งเกาะชายกระเป๋าผมอยู่ตลอดเวลา อิอิ แต่ยังไงเราต้องมีแผนสำรอง ถ้าแม่ทันสมัยก็ซื้อซิมโทรหากันไปเลย ง่ายดี แต่ถ้าแม่คุณทำไม่เป็นละ ผมเลยบอกแม่ผมว่า ถ้าหลงเมื่อไร ให้ยืนอยู่ตรงนั้น ห้ามไปไหน ไม่ต้องมาเดินตามหาผม เพราะเดี๋ยวผมจะเดินตามหาเอง รับรองเจอกันแน่นอน เพราะผมจะเดินย้อนกลับทางเดิมที่ตัวเองเดินมา อีกวิธีหนึ่งขอนามบัตรโรงแรมเอาไว้ครับ แล้วให้แกเก็บไว้กับตัว ในกรณีที่หากันไม่เจอจริงๆ ก็ให้ใช้นามบัตรแทนนี่แหละ

Motherscape

10. สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป

แบบประเภทพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก แสงทไวไลท์ ทางช้างเผือกไรแบบนี้ เราอาจจะต้องลืมไปก่อน เพราะแม่เราคงไม่อาจจะทรหดอดทนแบบนี้ได้ เราเปลี่ยนสไตล์กันครับ จาก Landscape มาเป็น Motherscape แทน พวกเลนส์ถ่ายวิวเอาไว้ที่บ้าน เอาแต่เลนส์ฟิกซ์มาถ่ายแม่ตัวเองก็พอ นานๆทีจะได้มีโอกาสแบบนี้ ช่วงเวลาหัวค่ำจะได้ไม่ไปมัวถ่ายแต่รูป แต่เราจะได้นั่งกินอาหารพร้อมกับชมวิวสวยๆแทน

ข้อสุดท้ายคือ Plan A, Plan B, Plan C, Plan….Z
พาผู้ใหญ่ไปเที่ยว อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ให้พร้อมทุกทาง แล้วก็เดินทางให้สนุก โชคดี และปลอดภัยนะครับ ด้วยความปรารถนาดีอย่างสูง