5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

5 อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวในอเมริกา สวยจนต้องไปสัมผัส

อเมริกาเป็นประเทศขนาดใหญ่ ที่นอกจากเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวที่มีสถานที่สวยงามมากมาย ที่รอให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ไปสัมผัส ถึงแม้จะใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 20 ชั่วโมง (หรือมากกว่า) แต่ถ้าได้ไปถึงแล้วก็นับว่าคุ้มค่ากับการนั่งเครื่องบินมากๆ ค่ะ ทุก ที่เที่ยวอเมริกา เราจะได้พบกับความหลากหลายของสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ถนนสายชอปปิ้งในมหานครใหญ่ แลนด์มาร์คสุดปังที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และอื่นๆ อีกมากมาย วันนี้ Allianz Travel จะพาสายธรรมชาติไปเที่ยวอเมริกา ผ่าน 5 อุทยานแห่งชาติในอเมริกา ที่สวยจนครั้งหนึ่งต้องไม่พลาดที่จะไปสัมผัสสักครั้ง มาให้เพื่อนๆ ใส่ไว้ในลิสต์กันก่อนค่ะ

อุทยานแห่งชาติ ที่เที่ยวอเมริกา Yosemite National Park

1. อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติต้องไม่พลาดไปชมอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี หนึ่งในสถานที่ ที่เที่ยวอเมริกา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และมีพื้นที่กว้างใหญ่เกือบ 1,200 ตารางไมล์ ที่รวมสถานที่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย เช่น น้ำตกสูงตระหง่าน ต้นเซควาญา (Sequoia) อายุนับพันปี หน้าผาที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา และหินรูปร่างแปลกตา เส้นทางเดินป่าแบบไปเช้าเย็นกลับในอุทยานที่นำทางโดยไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ เป็นต้น

อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Yosemite Valley – หุบเขาโยเซมิตีเหมาะสำหรับผู้ที่มาที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีเป็นครั้งแรก นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโยเซมิตีที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนศูนย์นักท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้า จุดชมวิว พื้นที่ปิกนิก และเส้นทางเดินป่าแบบไม่ยากนัก 
  • Tunnel View – จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด วิวบริเวณนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของโยเซมิตีที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดี คุณจะได้เห็นไฮไลท์ของหุบเขาโยเซมิตีได้เกือบทั้งหมด ทางด้านซ้ายเป็นภูเขาหินขนาดยักษ์ EL Capitan ด้านขวาเป็นน้ำตกที่สวยงาม Bridalveil Falls และที่เห็นไกลๆ คือเขารูปโดม Half Dome ที่อยู่ท่ามกลางป่าสีเขียวที่เปลี่ยนเป็นสีส้มเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
  • Glacier Point – อีกหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดและครอบคลุมที่สุดในโยเซมิตี คุณสามารถมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาโยเซมิตีแบบพาโนรามา ตลอดจนสถานที่สำคัญอย่างน้ำตกโยเซมิตีและฮาล์ฟโดม ที่นี่สามารถขับรถเข้าถึงได้ เหมาะกับคนที่ไม่อยากปีนป่ายมากนัก หรือผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับเด็ก
  • Half Dome – ภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงคล้ายโดม คุณสามารถมอง Half Dome แบบไกลๆ ได้จาก Tunnel View แต่ถ้าอยากเห็นชัดๆ ต้องไปที่ Glacier Point นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของนักปีนเขาเพราะความชันเกือบตั้งฉากเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณกลัวความสูงหรือสภาพร่างกายไม่แข็งแรง คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินแบบสั้นไปยังน้ำตกเนวาดาก็ได้
     
  • Bridalveil Falls – น้ำตก Bridalveil ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าทิศตะวันตกของโยเซมิตี มีความสูงถึง 188 เมตร (ประมาณตึก 60 ชั้น) คุณสามารถเดินไปที่น้ำตกได้โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที เป็นการเดินป่าแบบสบายๆ ที่เหมาะกับครอบครัวพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงาม ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อน ละอองน้ำจะแรงที่สุดเนื่องจากหิมะละลาย คุณจึงสามารถสัมผัสได้ถึงหมอกขณะชมน้ำตก 

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนพฤษภาคมและกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่คนไม่แออัดจนเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องรู้ไว้ก่อนคือถนนและเส้นทางต่างๆ ในโยเซมิตีปิดให้บริการเกือบทั้งปีเนื่องจากหิมะตก หิมะจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนตุลาคมและตกหนักในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งโดยทั่วไปจะยังคงอยู่จนถึงเดือนมีนาคม ถนนและเส้นทางที่ปิดตามฤดูกาลทั้งหมดจะเริ่มเปิดในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นผลให้เส้นทางเดินป่าเต็มไปด้วยผู้คน การจราจรบนถนนคับคั่ง และอัตราค่าโรงแรมมีราคาแพงมาก

2. อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนนับเป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอเมริกา มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้างครอบคลุมรอยต่อของ 3 รัฐ คือรัฐไวโอมิง รัฐมอนทานา และรัฐไอดาโฮ ภูมิประเทศจะมีทั้งที่ราบ ภูเขาสูงชัน หน้าผา ทะเลสาบ บ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อน ที่เที่ยวอเมริกา แห่งนี้นับว่าเป็นความน่ามหัศจรรย์ที่มาพร้อมกับความสวยงาม และความหลากหลายทางพันธุกรรมที่คุณต้องมาสัมผัสดูสักครั้งในชีวิต และด้วยความที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนมีขนาดที่ใหญ่มากคุณจึงควรจะวางแผนการเที่ยวประมาณ 3-7 วันไปเลย เพื่อให้เที่ยวได้ครบและครอบคลุมจริงๆ

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Old Faithful – น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ปะทุน้ำเดือดจากพื้นดินสู่อากาศได้สูงถึง 55 เมตร เกิดขึ้นบ่อยครั้งเฉลี่ยทุก 30-110 นาที ครั้งหนึ่งจะกินเวลาประมาณ 1-5 นาที บริเวณนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเดินเทรคกิ้งหลายแห่ง โดยเส้นทางที่แนะนำคือเส้นทาง 2.25 กิโลเมตร (1.4 ไมล์) ที่พาเดินไปยังสระน้ำร้อน Morning Glory Pool ที่มีสีสันสวยงามอีกแห่งหนึ่ง
  • Grand Canyon of the Yellowstone – เป็นหุบเหวที่มีมีความยิ่งใหญ่ ยาวประมาณ 32 กิโลเมตร ลึกปะรมาณ 240-360 เมตร ที่เกิดจากการแยกตัวของพื้นโลกอันมีสาเหตุมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และน้ำแข็งไหลเลื่อนในยุคที่น้ำแข็งละลาย ด้านล่างมีแม่น้ำเยลโลว์สโตนไหลผ่าน จากจุดนี้คุณจะได้เห็นความสวยงามจากมุมสูง ความสลับซับซ้อนของภูเขาสูงมากมายและรรมชาติที่อยู่รอบตัว
  • Grand Prismatic Spring – บ่อน้ำพุสีรุ้งเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก สีสันสวยงามโดดเด่นไล่ตั้งแต่สีเข้มไปจนถึงอ่อน เริ่มจากตรงกลางเป็นสีฟ้า ถัดมาเป็นสีเขียวมรกต เหลือง ส้ม และแดง เป็นสีที่เกิดจากการรวมตัวอย่างแน่นหนาของแบคทีเรีย สาหร่ายและพืชเซลล์เดียวที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงได้ ซึ่งในแต่ละฤดูจะมีสีที่แตกต่างกันค่ะ
  • Hayden Valley – หนึ่งในสถานที่ที่สายชมสัตว์ป่าชอบกันมาก เพราะทุ่งหญ้ากลางหุบเขาเฮย์เดน เป็นสถานที่อยู่อาศัยตามะรรมชาติของเหล่ากระทิง กวางเอลค์ ความไบซัน หมีกริซลี่ และนกมากมายหลายชนิด เพื่อให้มองเห็นสัตว์ได้ดีขึ้น คุณควรพกล้องส่องทางไกลมาด้วย และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากสัตว์
  • Mammoth Hot Springs – บ่อน้ำร้อนที่เกลือของกรดคาร์บอนตกตะกอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณโดยรอบของบ่อน้ำพุเต็มไปด้วยไอร้อนของน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาตามพื้นผิว จุดเด่นของบ่อน้ำพุร้อนแมมมอธคือมีลักษณะเป็นน้ำตกหินปูนขนาดมหึมา และมีบันไดลดหลั่นหลายชั้น ซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะน้ำพุร้อนเย็นลงในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่สภาพอากาศปานกลาง ผู้คนยังไม่มากนัก และมีการปิดถนนเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นเดือนที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่เด็กๆ ปิดเทอม และอากาศก็อบอุ่นพอที่จะกางเต็นท์นอนข้างนอกได้ อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในบริเวณที่สูงชันก็สามารถลดต่ำลงจนต่ำกว่า 0 องศาในช่วงฤดูร้อนได้

3. อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งล้านเอเคอร์ซึ่งเต็มไปด้วยยอดเขาหินขรุขระ ธารน้ำแข็งมโหฬาร ทุ่งหญ้าอัลไพน์ และทะเลสาบใสดั่งคริสตัล มีเส้นทางเดินป่ามากมายให้กับนักผจญภัยทุกระดับตั้งแต่ผู้เดินป่าเพื่อสันทนาการไปจนถึงนักเดินป่าที่มีประสบการณ์ อีกทั้งยังมีวิวตระการตาและคุณจะมีโอกาสได้เห็นดอกไม้ป่าและแพะภูเขาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีบริเวณตั้งแคมป์ซึ่งมีให้เลือกถึง 13 จุด หรือจะพักในกระท่อมหรือชาเลต์ของอุทยานแห่งชาติก็ได้

อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) รัฐมอนแทนา

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • ถนน Going-to-the-Sun – ถนนที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา มีความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นถนนเส้นหลักของอุทยานเริ่มตั้งแต่ทางเข้าอุทยานที่เวสต์เกลเชอร์ ไปจนถึงทะเลสาบเซนต์แมรี่ ลัดเลาะไปตามไหล่เขาและหน้าผา ผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และผ่านภูมิประเทศเกือบทุกประเภทที่อุทยานมี ตั้งแต่ทะเลสาบน้ำแข็ง น้ำตก และป่าสนซีดาร์ไปจนถึงยอดเขาอัลไพน์ จุดสูงสุดของถนนคือ Logan Pass ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,036 เมตร ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากและเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าต่างๆ มีสัตว์ป่ามาเดินเยอะมาก ลานจอดรถจะเต็มราว 9 โมงเช้า ดังนั้นต้องตื่นแต่เช้ามากเพื่อมาเริ่มต้นที่นี่
     
  • Trail of the Cedars – เส้นทางเดินป่าระยะสั้นยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ถนน Going-to-the-Sun ทางเดินยกระดับตัดผ่านป่าซีดาร์แดงที่มีกลิ่นหอม แต่ไฮไลท์อยู่ที่จุดกึ่งกลางที่มีสะพานลอยเหนือ Avalanche Creek พร้อมทิวทัศน์อันสวยงามของช่องเขาและน้ำตกที่สวยงาม เราแนะนำให้มาในตอนเช้าหรือตอนบ่ายแก่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จอดรถที่แออัด
     
  • Red Bus Tour – ทัวร์รถบัสสีแดงอันเลื่องชื่อของอุทยานเกรเชีย เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากขับรถเองตามทางสูง แต่ก็อยากชมวิว รถบัสเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงช่วงทศวรรษที่ 1930 และมีหลังคาผ้าใบแบบม้วนกลับทำให้เราเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของภูมิทัศน์โดยรอบ นอกจากนี้ รถบัสแต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 17 คน

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นช่วงพีคของนักท่องเที่ยว มีอุณหภูมิเฉลี่ยในตอนกลางวันเฉลี่ยประมาณ 26 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะลดต่ำลงไปถึงประมาณ 0-5 องศาเซลเซียส (ควรเตรียมเสื้อไปหลายชั้น และเสื้อกันฝนที่มีคุณภาพดี) คุณอาจเห็นหิมะในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมบนที่สูง ด้านตะวันออกของอุทยานมีอากาศเย็นและมีลมแรงกว่าฝั่งตะวันตก ด้านตะวันออกก็แห้งแล้งเช่นกัน ในขณะที่หุบเขาทางทิศตะวันตกมีฝนตกมากที่สุด แม้ว่าราคาที่พักและค่าเข้าอุทยานจะสูงขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการและบริการรถรับส่งฟรี นอกจากนี้ คุณยังจะได้สัมผัสกับการปิดถนนและเส้นทางเดินน้อยกว่าในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์เปิด 365 วันต่อปี

4. แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

อีกหนึ่ง ที่เที่ยวอเมริกา ที่หลายคนอยากไปสัมผัสสักครั้ง นั่นก็คือ “แกรนด์แคนยอน” โดยแกรนด์แคนยอนนั้นถือกำเนิดมาจากการที่แม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านและกัดเซาะชั้นหินในบริเวณนี้เป็นเวลาหลายล้านปีซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทางธรณีวิทยาตามธรรมชาติ ความงามที่โดดเด่น สีสันน้ำตาลแดงและสีแบบทะเลทราย และภาพพระอาทิตย์ตกอันสวยงาม ล้วนแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจากทั่วโลก โตรกผาแกรนแคนยอนยาวถึง 446 กิโลเมตร กว้าง 29 กิโลเมตร และบางจุดลึกถึง 1.8 กิโลเลยทีเดียว และเนื่องจาก
แกรนด์แคนยอนมีขนาดใหญ่มาก ตัวอุทยานจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ North Rim และ South Rim

แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) รัฐแอริโซน่า

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • South Rim – อยู่ด้านใต้ของแกรนด์แคนยอน และเป็นด้านที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของศูนย์นักท่องเที่ยว ที่มีทั้งข้อมูลที่มีประโยชน์ โบรชัวร์ การจัดแสดงที่นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ ธรณีวิทยา และชีวิตสัตว์ป่าที่น่าสนใจของพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยวที่ด้านนี้ของแกรนด์แคนยอน ได้แก่ หมู่บ้านแกรนด์แคนยอน เส้นทางเซาท์ไคบับ เส้นทางไบร์ทแองเจิล เส้นทาง
    มาเธอร์พอยต์ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยายาวาปาย และอีกมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจพื้นที่ที่สวยงามและเส้นทางเดินป่าทางด้านใต้ของหุบเขาลึกด้วยการเดินเท้า หรือใช้บริการทัวร์แบบมีไกด์
  • Mather Point – ตั้งอยู่ใน South Rim เป็นจุดแรกที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเมื่อมาถึงแกรนด์แคนยอน อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวโดยใช้เวลาเดินเพียง 5 นาที คุณจะได้เห็นทัศนียภาพอันโดดเด่นของหน้าผาและเส้นทางเดินเลียบเขาด้านล่าง หากสภาพอากาศเหมาะสมจะมองเห็นไกลถึง 50 กิโลเมตรทางทิศตะวันออก และ 95 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันตก เหมาะกับการไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกเหนือหุบเขา
  • North Rim – อยู่ด้านเหนือของแกรนด์แคนยอน เหมาะสำหรับคนชอบความแปลกใหม่ หรือชอบการเดินเขา ปีนเขา ไปยากกว่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่าฝั่งใต้ แต่หลายคนเชื่อว่ามีมุมมองที่น่าสนใจมากกว่า บริเวณนี้มีสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกจนไม่สามารถเข้าไปได้
     
  • Bright Angel Point – หนึ่งในจุดที่สวยที่สุดของ North Rim และไม่ไกลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ระยะทางประมาณกิโลเศษๆ) สามารถมองเห็น South Rim ที่อยู่ต่ำกว่าประมาณ 1,000 ฟุตได้
  • Point Imperial – จุดที่สูงที่สุดของแกรนด์แคนยอนฝั่งเหนือ ที่สามารถมองเห็นวิวแกรนด์แคนยอนฝั่งตะวันออก โตรกผา แม่น้ำโคโลราโด และบางส่วนของทะเลทราย Painted Desert ด้วย
  • Cape Royal – หนึ่งในจุดที่สามารถมองเห็นวิวพาโนรามาของแกรนด์แคนยอนได้ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 36.8 กิโลเมตร

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมแกรนด์แคนยอนคือมีนาคมถึงพฤษภาคม และกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศเย็นในตอนกลางวันและมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ถ้าคุณตัดสินใจไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ที่เป็นช่วงพีคของอุทยาน ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากและที่พักมีจำกัดด้วยค่ะ ช่วงฤดูหนาวยังพอเที่ยวได้ แต่พื้นที่บริเวณ North Rim จะปิดให้บริการหลังจากหิมะตกครั้งแรก ในขณะที่ South Rim เปิดให้บริการตลอดทั้งปี

5. อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

คำว่า Zion เป็นคำในภาษาฮิบรูโบราณ หมายถึง สถานที่หลบลี้ภัย เป็นอุทยานที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ มีพื้นที่ประมาณ 593 ตารางกิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตร์ของอุทยานแห่งชาติไซออนจะมีลักษณะเป็นผาและแคนยอนที่มีความลึกประมาณ 800 เมตรและยาว 24 กิโลเมตร แคนยอนจะมีหน้าผาเป็นสีแดงสลับกับสีออกน้ำตาลซึ่งเป็นสีของหินทรายนาวาโฮซึ่งเกิดการกัดกร่อนโดยแม่น้ำเวอร์จิ้น จุดต่ำสุดของอุทยานอยู่ที่ 3,666 ฟุตที่ Coalpits Wash และจุดสูงที่สุดคือ 8,726 ฟุต ซึ่งคือภูเขา Horse Ranch ตั้งอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของที่ราบสูง Colorado The Great Basin และทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert) อุทยานแห่งชาติที่นี่มีทัศนียภาพที่โดดเด่นและเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์ที่เติบโตและอาศัยอยู่บริเวณนี้

อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) รัฐยูทาห์

ไฮไลท์ห้ามพลาด:

  • Zion Canyon หรือหุบเขาไซออน – มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร และลึกประมาณ 800 เมตร มีความงดงามของทัศนียภาพหน้าผาหินทรายที่ตั้งสูง 2,000 ถึง 3,000 ฟุตจากพื้นหุบเขาลึก และกิจกรรมเดินป่าไปตามเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยม
  • The Narrows – ช่องแคบที่แคบที่สุดของ Zion Canyon และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอุทยาน โดยการเดินลุยน้ำเข้าไปในช่องเขาเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร ได้ความรู้สึกว่าถูกโอบกอดด้วยเขาสูงทั้งสองข้าง ผู้ที่จะเดินเข้าไปต้องเตรียมอุปกรณ์ในการเดินลุยน้ำ เช่น รองเท้าแตะแบบรัดส้นเท้าที่ทนน้ำ และต้องมีวางแผนการเดินทางดี ๆ หากต้องการเดินลุยน้ำในช่องแคบนี้ และบางช่วงต้องระวังน้ำป่าหลากมากเป็นพิเศษ
  • Angels Landing – สันเขาสูง 460 เมตรเหนือพื้นหุบเขา เพื่อชมทิวทัศน์แบบ 360 องศาของหุบเขาไซออน ผ่านเส้นทางไต่เขาครึ่งวันสู่ทางคดเคี้ยว 27 โค้ง
  • Kolob Arch – ซุ้มประตูโค้งธรรมชาติที่ยาวที่สุดเป็นอันดับหกของโลก โดยเข้าถึงได้จากเส้นทางเดินป่าที่มีระยะทางประมาณ 11 กม. หรือเข้าจาก Ice Box Canyon ซึ่งเป็นเส้นทางล่องแก่ง
  • The Subway – เป็นที่รู้จักในชื่อ Left Fork of North Creek ตามชื่ออุโมงค์รถไฟใต้ดินที่คล้ายคลึงกัน ลักษณะเป็นเส้นทางเดินป่าในช่องหุบเขาระหว่างสองยอดเขาเหนือ-ใต้ของการ์เดียน แองเจิล คุณจะตื่นตาไปกับหุบเขาเว้าแหว่งแปลกตาและมีความสวยงาม เหมาะสำหรับนักปีนเขาที่มีประสบการณ์เท่านั้น

ช่วงเวลาที่ควรเที่ยว:

ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน สภาพอากาศกำลังสบาย และเป็นช่วงที่มีรถรับส่งฟรีของอุทยาน ในขณะที่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ถือเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวของอุทยาน ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวน้อย แต่สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง เช่น Narrows และ Angels Landing อาจหนาวเกินกว่าจะสนุกกันได้อย่างเต็มที่

อยากเที่ยวต้องได้เที่ยว! เพื่อนๆ สายเที่ยวที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเริ่มคันไม้คันมืออยากแพคกระเป๋าเตรียมตัวเที่ยวอเมริกากันแล้ว ก่อนออกเดินทางไปไกล ต้องมีการวางแผนที่ดี ยิ่งไปยังประเทศที่ห่างไกลจากเมืองไทยมากๆ อย่างสหรัฐอเมริกาก็ยิ่งต้องเตรียมตัวมากขึ้น ทั้งกิจกรรมมากมายในแต่ละเมืองที่อาจทำให้เราสนุกจนลืมเวลา Time zone ที่ต่างกันเป็นวันไปได้เลย

และถ้าอยากให้ทริปเที่ยวอเมริกาสนุกแบบไร้กังวล ชีวิตไม่สะดุด สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมติดตัวไว้ก็คือประกันภัยการเดินทาง เพราะเหตุฉุกเฉินหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยอาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว Allianz Travel ขอแนะนำ ประกันการเดินทาง Dance Moves ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมเกือบทุกเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน* ยิ่งค่ารักษาพยาบาลในอเมริกาก็เป็นที่รู้กันว่าแพงมาก เราก็ต้องยิ่งต้องมีประกันภัยเดินทางติดตัวไว้นะคะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มครองได้ ที่นี่ 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก : U.S. News – Travel

เลือกแผนประกันเดินทางที่ใช่สำหรับคุณ ประกันการเดินทาง Dance Moves จาก Allianz Travel

Comments